- 19 -
(part2)
วันนั้นมันมาส่งผมที่หอ ไอ้โทไม่ได้ทำอะไรผม เรานั่งในรถแบบเงียบๆ ได้ยินแต่เสียงเครื่องยนต์ เหมือนมันรู้ว่าผมไม่ต้องการที่จะเสวนากับมันหลังจากที่มันถามว่าหิวรึเปล่า ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป นั่งปิดปากสนิทจนถึงที่พัก เดินขึ้นห้องโดยที่มันไม่ได้ตามมา
ทว่าไม่อีกกี่อึดใจก็มีเสียงเคาะประตูห้อง ผมที่กำลังจะต้มมาม่ากินจึงต้องเดินไปที่ประตูเก่าๆ มือจับที่ลูกบิดแล้วแต่สายตาดันไปเห็นสิ่งที่สอดเข้ามาข้างใต้ประตูเสียก่อน
‘ข้าวเย็นครับ และก็อย่าลืมกินยา’ผมรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนเขียน เพราะลายมือแบบนี้ผมเห็นจนคุ้นตา หลายครั้งที่ช่วยผมให้รอดพ้นจากเอฟอย่างหวุดหวิด
ผมหยิบกระดาษใบเล็กนั้นขึ้นมา ก่อนจะขยำแล้วปาทิ้งลงถังขยะตรงมุมห้อง แล้วเดินไปยังจุดเดิมที่ต้มมาม่าค้างไว้
ใครจะเปิดประตูให้โง่ เกิดมันรออยู่หน้าห้องทำไง เอาของกินมาล่อกูไม่ได้ผลหรอก
แล้วคืนนั้นผมก็อยู่กับมาม่าสองห่อ ถึงไม่มีสารอาหารแต่ทำให้ท้องอิ่ม เผลอหลับไปโดยที่ลืมไปเลยว่าอีกฝากของประตูมีกับข้าวแขวนอยู่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนเช้าที่ออกจากห้องมาจับสลากเพื่อพรีเซนต์งาน หยิบถุงขึ้นมาดมแล้วย่นจมูก
ยังกินได้แหะ...แต่ต่อให้มีของที่ผมชอบจุดจบมันก็อยู่ในถังขยะ
การพรีเซนต์งานของผมธรรมดาๆ โดนติหลายจุด แต่ผมก็น้อมรับ ตลอดเวลาที่ยืนหน้าห้องทุกคนก็เล่นโทรศัพท์ คุยกัน หลับ ตามปกติ มีเพียงสายตาคู่เดียวที่จดจ้องผมโดยไม่ละสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว
มันอึดอัด ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงจะเขิน แต่ผมไม่ใช่ อยากจะด่าแม่งออกไมค์ถ้าไม่ติดว่าอาจารย์และเพื่อนๆในเจอร์ยังนั่งอยู่ในห้อง
ไม่รู้ว่ามันจะคิดยังไงถ้าหากรู้ว่าผมทำแฟลชไดรฟ์ที่มีงานคุณภาพและดีกว่าที่ผมพรีเซนต์อยู่ตอนนี้พังจนไม่เหลือชิ้นดี ยอมได้คะแนนน้อยดีกว่าต้องไปพึ่งคนอย่างมัน
เหมือนตบหัวแล้วลูบหลัง แต่ขอโทษทีมันคนละส่วนกัน เจ็บที่หัว ลูบที่หลังมันจะไปหายได้ยังไง ก็เหมือนกับที่ผมโดนกระทำ บอบช้ำอยู่ข้างใน เยียวยาด้วยสิ่งของภายนอกมันไม่หายง่ายๆหรอก
เสร็จสิ้นงานผมเดินไปนั่งข้างไอ้บูม
“โล่งเลยดิมึง งานนี้เสร็จแล้วก็รอสอบไฟนอลวิชาอื่นอย่างเดียว”
“เออ กูขอหลับก่อน อย่าเพิ่งกวนกู” คือวิชานี้จารย์อนุญาตให้ทำอะไรก็ได้ ยกเว้นส่งเสียงดังไปรบกวนสมาธิของอาจารย์ตอนสอน
ผมตื่นมาอีกทีคือทุกคนเก็บของ พากันลุกออกไปจากห้องหมดแล้ว เหลือแต่ไอ้บูม ไอ้จ๊อบ และใครบางคนที่นั่งข้างไอ้จ๊อบ
“จารย์ปล่อยแล้วก็ไม่ปลุกกู สัด”
“เห็นมึงกำลังผันดี ฮ่าๆๆๆ ไม่น่าตื่นก่อนเลย กูกำลังจะถ่ายรูปเป็นที่ระลึก” ไอ้บูมว่าพลางพากันเดินลงมาจากตึกคณะ ผมกับมันคุยจ้อตลอดทาง โดยไม่สนใจไอ้ 2 คนข้างหลังที่เดินตามมาสักนิด
ใต้ตึกคณะยามเย็นนั้นคนไม่ค่อยพลุกพล่านเหมือนตอนกลางวัน มีนักศึกษานั่งทำงานอยู่บ้างประปรายเพราะโต๊ะพร้อมปลั๊กเสียบชาร์จแบทเพียบ มีทุกเสา อยากเอาพัดลมมาเปิดก็ได้ถ้าคุณแบกมาไหว ผมที่กำลังจะเดินเลยผ่านไปแต่ก็ต้องชะงักเพราะไอ้บูมมันสะกิดแขนผม
“เห้ยๆ นั่นมันเด็กมึงป่าววะ คุ้นๆ” คนสะกิดชี้นิ้วไปยังโต๊ะอีกฝั่งของคณะ ผมหรี่ตาลง หัวเกรียนแบบนั้น ชุดนักเรียนม.ปลาย จะมีใครซะอีก
“ใช่จริงๆด้วย แบบนี้ต้องเข้าไปทักทาย” ไอ้บูมลากผมไปหาปกป้อง เวลาน้องมันมาหาผมที่คณะ มันก็จะชอบมานั่งตรงนี้
ว่าแต่ไอ้บูมจำได้ไงวะ มันเห็นแค่หน้าวอลเฟสบุคผมครั้งเดียวไม่ใช่หรอ
“ไอ้ป้อง” ผมเรียกหัวเกรียนๆ ให้หันกลับมา มันดูตกใจเล็กน้อย
“อ่าว ผมนึกว่าโมจะลงมาจากทางนู้นซะอีก...ละนี่เพื่อนโมหรอ สวัสดีครับพี่”
ไอ้เด็กนี่ เรียกคนอื่นว่าพี่ได้ แต่ทำไมเรียกกูว่าพี่ไม่ได้วะ?
“หวัดดีคร้าบบบ พี่ชื่อบูมนะ เราชื่อไร เป็นเด็ก .. เอ๊ย น้องไอ้โมมันหรอ” ผมหยิกขามันแทบไม่ทัน ไม่ระวังคำพูดเลยนะมึง
“ปกป้องครับ” แต่ดูท่าคนตรงหน้าจะไม่ได้สังเกตจึงยิ้มตอบตามปกติ “นี่พวกพี่จะไปไหนกันหรอครับ”
“เพิ่งเลิกเรียน กำลังจะกลับบ้าน” ไอ้บูมตอบ
“นี่สอบเสร็จแล้วเหรอไง?” ผมถามบ้าง ปกป้องพยักหน้า
เออก็ดีเหมือนกัน ลูกค้าถามหาจนเริ่มจะไม่มากันแล้ว เฮียโกวก็บ่น ปกป้องไม่อยู่ทำเอารายได้ลดฮวบไปถึง 30% แต่จากนี้ไปมันคงได้มาทำตลอด เพราะตรงกับช่วงปิดเทอมเล็กของวัยมัธยม ส่วนพวกผมนักศึกษาก็ต้องแบกหน้ามาเรียนกันต่อไปเนื่องจากทางมหาลัยเลื่อนการปิด-เปิดภาคเรียนตาม AEC อะไรนั่น
“โมหิวยัง ผมหิวแล้ว ไปหาไรกินกัน” เออดี ถามเอง ตอบเอง ผมเลยหันไปหาไอ้บูม ชวนมันไปหาอะไรกินด้วยกัน แต่ขณะที่พวกเรากำลังจะเดินไปยังหน้ามหาลัยนั้นก็มีใครบางคนมาขวางซะก่อน
“จะไปไหนกัน” ไอ้โท มันถาม แต่สายตาคมจ้องไปยังคนที่เด็กที่สุด “แล้วนี่ใคร”
“เสือก” ผมตอบมัน แล้วรีบดึงปกป้องกับบูมเดินหนีออกมา จำได้ว่าคราวที่แล้วไอ้โทมันเจอปกป้องรู้สึกจะจบไม่สวยเท่าไหร่ แต่เด็กหัวเกรียนดันไม่ยอมเดินตามผมมา มันขืนตัวไว้
“มึงต่อยหน้ากูนิ กูจำได้ คราวที่แล้ว” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นปกป้องพูดคำหยาบ เวลามันคุยโทรศัพท์กับเพื่อนก็พูดกูมึง ทำนองเพื่อนสนิทกัน แต่นี่มันไมใช่ ดูท่าเด็กมันจะจำได้ ถึงได้ทำท่าทางอาฆาตขนาดนั้น
ส่วนคนที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงยิ้มมุมปากน้อยๆ
“อีกสักทีมั้ยล่ะ?”
“เห้ยยย ใจเย็นๆ นี่เพื่อนพี่ ไอ้โท กับหัวฟูนั่นชื่อจ๊อบ” บูมรีบพูดขัด “นี่น้องไอ้โมมันชื่อปกป้อง”
ถึงจะแนะนำตัวกันแต่ดูบรรยากาศแล้วไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
“กูขอเอาคืนสักหมัดเถอะ” ปกป้องพุ่งตัวหมายจะไปชกหน้าหล่อๆ ดีที่ผมยั้งมันไว้ได้ทัน
“จะต่อยก็ไปต่อยกันข้างนอก นี่มันในมหาลัย มึงจะชกกันกี่ยกตามใจเลยสัด” ผมพูดเสียงโกรธ สองคนที่ทำท่าจะต่อยกันถึงได้มีทีท่าอ่อนลง
“เอาไง จะต่อยกันให้ได้ใช่มะ? งั้นตามสบาย กูไปแดกข้าวล่ะ” ผมพูดแล้วเดินออกมาเลย
“กูก็หิว งั้นกูไปด้วย” ไอ้บูมตามมา
“ท้องกูก็ร้อง กูไปหาไรแดกด้วยคนนะ” และก็ไอ้จ๊อบครับ
เอาตามจริงผมอยากให้ปกป้องตะบั้นหน้าหล่อๆ จมูกโด่งๆของไอ้โทมันมากๆ ติดที่ว่านี่อยู่ในมหาลัย เรื่องคราวที่แล้วก็เป็นข่าว ไอ้โทมันโดนเรียกไปต่อว่า แต่ก็แค่นั้น มันเป็นลูกรักของอาจารย์หลายๆ คน และดูจากรูปร่างลักษณะแล้วเด็กมันเสียเปรียบอยู่นิดหน่อย ไม่อยากให้ปกป้องต้องเจ็บตัวเพราะผมอีก
หลายครั้งที่ปกป้องมารอผมใต้ตึกคณะ มีบ้างที่ปกป้องเห็นไอ้โทเดินตามหลังผมมาทิ้งระยะห่างๆ หลังจากเลิกเรียน
‘นั่นมันไอ้คนที่ต่อยหน้าผมวันงานนิทรรศการนี่’
‘ขอโทษแทนด้วย แต่อย่าไปยุ่งกับมันเลย’ ผมพูดเสียงเรียบ แล้วพากันเดินไปยังหน้ามหาลัยเหมือนปกติ
‘ทำไมอ่ะโม มันเป็นใคร’ เลือดร้อนจริงๆ แต่ผมก็เข้าใจนะ จู่ๆโดนต่อยจากใครก็ไม่รู้
‘แค่คนที่บังเอิญเรียนภาคเดียวกัน’ ผมตอบไปอย่างนั้น เด็กหัวเกรียนข้างๆ ขมวดคิ้วเหมือนจะไม่เชื่อ
‘อย่าให้มีอีกทีแล้วกัน ผมไม่ยอมเหมือนคราวที่แล้วแน่’
‘เออ กูไม่ห้าม’
นั่นเป็นบทสนทนาเมื่อนานมาแล้ว และผมก็ไม่ได้ห้ามจริงๆ นะ แค่บอกให้ออกไปต่อยกันข้างนอกมหาลัย
ณ ร้านอาหารตามสั่งหน้ามหาวิทยาชื่อดังที่มีxxxเป็นพรีเซนเตอร์
มีผู้ชายวัยมหาลัย 4 คน กับอีกหนึ่งหนุ่มวัยฮอร์โมนว้าวุ่นนั่งอยู่ในร้าน บรรยากาศนี่ครึ้มมาเชียว
“มาทำไม ใครเชิญ?” ผมออกปากถามเมื่อคนตรงข้ามหย่อนตูดลงบนเก้าอี้
“มากินข้าวเป็นเพื่อนไอ้จ๊อบ” ใบหน้าได้รูปหันไปหาคนหัวฟูที่ยิ้มแหยๆ เป็นการขอโทษแทน
“คนเค้าไม่ต้อนรับยังจะกล้ามา” คำพูดลอยๆ ของไอ้เด็กหัวเกรียนนี่ทำเอาโต๊ะกินข้าวจะกลายเป็นเวทีมวยไปซะแล้วถ้าหากป้าเจ้าของร้านไม่ได้มารับออเดอร์ซะก่อน
ข้างๆผมเป็นปกป้อง ฝั่งตรงข้ามเป็นไอ้โทและไอ้จ๊อบ ส่วนบูมนั่งหัวโต๊ะ ผมสั่งผัดซีอิ๊วไป
“เป็น 2 เลยครับ” คนข้างๆ
“3 ครับ” คนตรงข้าม
คือมึงจะอะไรนักหนา ส่งสายตาอาฆาตกันไปมา จะต่อยก็ต่อยไป เดี๋ยวกูร่วมวงด้วย แต่ขอแดกข้าวก่อนได้มะ? ขืนนั่งแดกข้าวพร้อมหน้าไอ้โทแบบนี้ผมคงกินไม่ลง จึงขอตัวลากมันออกมานอกร้าน
ร่างสูงเดินตามมาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ
ผมสังเกตว่ามันอารมณ์ดี จริงๆ นะ ปกติมันต้องต่อยปกป้องไปแล้ว ไม่สนหรอกว่าผมจะห้าม หรือจะเป็นในมหาลัยก็ตาม แต่นี่มันแค่เดินตามพวกผมมาอย่างเงียบๆ
“มึงจะเอาไงว่ามา” ผมเปิดประเด็น ไม่อ้อมค้อม
“ไม่ว่าไง ก็แค่อยากมากินข้าวด้วย” ไอ้โทตอบเสียงนิ่งๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ “ละเด็กนั่น...น้องมึง?”
“เออ” อดไม่ได้ที่จะกระแทกเสียงใส่ ทำไมคราวที่แล้วมึงไม่หัดถามกูก่อนที่เรื่องมันจะบานปลาย กูไม่เข้าใจมึงเลยจริงๆ
“หึ ไอ้เด็กนั่นคงไม่ได้คิดกับมึงแค่พี่มั้ง” มันส่งเสียงในลำคอ พึมพำอะไรไม่รู้ผมได้ยินไม่ถนัด
“ร้านข้าวมีตั้งเยอะแยะ” นี่กูไล่ทางอ้อมแล้วนะ
“อยากกินกับมึง” มันตอบหน้าตาย
คำตอบนี้ทำเอาผมเหวอไปนิดหน่อย ผมเสมองไปที่อื่น หลบสายตามันที่จ้องมาตรงๆ แบบไม่ปิดบังเหมือนทุกครั้ง
“กูไม่ก่อเรื่อง กูจะไม่ทำอะไรมึง แค่อยากมากินข้าวด้วย”
“ไม่อนุญาต” ผมสวนทันควัน นัยน์ตาคมหม่นแสงลง “มึงต้องขอโทษปกป้องเรื่องที่ไปชกน้องมันก่อน”
สบตามันตรงๆ ให้รู้ว่าผมพูดจริง
“ตกลง”
“แค่มื้อนี้มื้อเดียว แล้วอย่ามายุ่งวุ่นวายกับกูอีก” ร่างสูงไม่ตอบอะไร กลับถามแทน
“แล้วเด็กนั่นมาหามึงตอนเย็นที่คณะทำไมบ่อยๆ “
“ก็มันทำงานที่ร้านกุ้งเต้นเหมือนกู เลยไปพร้อมกัน”
ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ บูม จ๊อบ ปกป้องนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน นี่กูไปแป๊บเดียว พวกมึงสนิทกันละหรอ
ผมกลับมานั่งที่เก้าอี้เดิม ส่วนไอ้โทก็นั่งลงเช่นกัน ผมมองมัน คอยดูว่าจะเอ่ยปากขอโทษเมื่อไหร่ เหมือนมันจะรู้ตัว ในขณะที่ทุกคนเงียบ จมอยู่กับโลกโซเชียล เสียงราบเรียบก็พูดขึ้นมา
“วันนั้นที่ต่อยมึง ขอโทษที กูจำคนผิด”
ทุกคนเงยหน้ามองไอ้โทแบบไม่คิดไม่ฝันว่าไอ้โทจะพูดคำนี้เป็น ถึงแม้จะเป็นคำขอโทษที่ไม่จริงใจเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ได้พูดแล้ว ส่วนเด็กหัวเกรียนมันขมวดคิ้วอย่างไม่ปิดบัง
“จะมาต่อยแล้วขอโทษก็หาย ง่ายๆงี้หรอ?”
“เอาน่า...มันจำผิดคน แสดงว่ามึงหน้านะโหลนะป้อง” ไอ้บูมรีบแก้สถานการณ์ก่อนที่จะเลวร้ายไปกว่านี้ “เอางี้ให้ไอ้โทเป็นเจ้ามื้อจ่ายมื้อนี้ โอเคมะ?”
“ไม่โอเค อะไรวะพี่บูม หน้าหล่อๆของผมมีค่าแค่อาหารตามสั่ง 50 บาทเองหรอ?”
“โว๊ะ ไอ้นี่ เรื่องมาก ไม่ให้จ่ายค่าน้ำแข็ง 3 บาทก็บุญล่ะ” ไอ้จ๊อบครับ ให้เกียรติน้องมันบ้าง ตอนนี้เหมือนโดนรุม หน้ามันบึ้งบ่งบอกว่าไม่พอใจ แต่ก็แค่แป๊บเดียวเพราะหลังจากที่อาหารได้กันครบแล้ว ไอ้บูม จ๊อบ ปกป้องก็คุยส่งเสียงดัง ขณะที่ผมนั่งเงียบ รีบๆกินให้หมด คนตรงหน้าจะได้ไปให้พ้นซะที
เล่นเอากินไปมองกูไป แม่งอึดอัดชิบหาย คนหรือแมลงสาบ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป
“อ่ะนี่ หมู” ปกป้องคีบชิ้นหมูที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นมาใส่จานผม ส่วนคนตรงข้ามหยิบผักสีเขียวในจานผมไปใส่จานมัน แล้วกินเข้าไปหน้าตาเฉย
มันรู้ มันรู้ว่าผมไม่กินก้านผัก กินแต่ใบ ตอนปี 1 ทุกครั้งที่ไปกินข้าวด้วยกันมักจะเป็นแบบนี้เสมอพร้อมคำด่า
‘ในก้านมันมีแคลเซียม กูไม่สงสัยเลยว่าทำไมมึงถึงไม่สูง’
อยากจะด่า ติดที่ว่ามันคือเรื่องจริง ย้ำอยู่ได้ กูแค่สูงน้อย ไม่ใช่เตี้ยเว้ย
“อิจฉาคนแถวนี้เว้ยเฮ้ยย” จู่ๆ ไอ้บูมก็แหกปากขึ้นมา
“อ่ะ กูให้ หุบปากมึงซะนะ” หัวฟูมันแกล้งโดยการเอาใบกะเพรา (ที่มันเขี่ยไว้ขอบจาน) ไปใส่จานไอ้บูม
“อี๋ มึงเขี่ยทิ้งแล้วนี่หว่า”
“แดกๆ ไปเถอะ ไม่ตายหรอก”
“ไม่ ตอบคำถามกูให้ได้ก่อน กูถึงจะกิน”
“ว่ามา”
“ผักอะไรเห็นแล้วตกใจ?”
“ผักตบชวา”
“ผิด”
“ถั่วงอก” ปกป้องขอเล่นบ้าง
“ไม่ใช่”
“สตอ”
“ยังไม่ถูก”
“กระเทียม”
“ผิดดดด”
คราวนี้ไอ้จ๊อบเริ่มคิดหนักแล้วครับ
“ยอมยัง?”
“เออ”
“โห!! ระพา”“...”
ครับผม ขำกริบเลย
“ปลาอะไรเห็นแล้วตกใจกว่า” ไอ้บูมถามต่อ
ยัง...ยังไม่เลิกเล่น
“ปลากะพง” แต่ก็มีคนบ้าจี้ตอบมัน
“ผิด”
“ปลาดุก” ปกป้องขอลองอีกครั้ง
“ไม่ใช่ ยอมยัง?” ไอ้จ๊อบ กับปกป้องพยักหน้าหงึกๆ
“ปลาไรวะ?” ไอ้โทถึงกับถาม
“ปลากระ โฮ่!!!!”“โฮ่บ้านมึงสิ! มึงไปเลยนะ ไปเล่นตรงโน้น” ไอ้จ๊อบชี้นิ้วออกไปนอกร้านเลยครับ ฮ่าๆๆๆๆ
Next Chapter >>
- 20 -อะแฮ่ม บอกแล้วว่าไม่หาย แค่ขอตัวไปเรียนเทอมสุดท้ายให้ดีที่สุด ^_____^
คิดถึงทุกคนเลย คิดถึงตัวละครทุกตัว กลับมาเขียนตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนอารมณ์เร็วเกินไปรึเปล่า ฮ่าๆ
รักนะคะ อ่านทุกคอมเม้นต์เลย ♥