- 2 -
ขี่จักรยานช้าที่สุดในชีวิตก็วันนี้
สาเหตุไม่ใช่เพราะคนที่ซ้อนอยู่ตัวหนักหรืออย่างไร แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวผมเองต่างหาก ไม่เคยเห็นมหาลัยสวยเท่าวันนี้มาก่อน เหมือนกับเห็นสายรุ้งอยู่ลิบๆ โลกนี้เป็นสีชมพู พี่วินมอเตอร์ไซค์ขี่เข้ามาในเลนจักรยานยังไม่ด่า อารมณ์ดีหันไปยิ้มให้อีกต่างหาก สงสัยนิดหน่อยตอนพี่วินทำหน้าเหมือนกับตกใจกลัวอะไรบางอย่างก่อนจะรีบขี่กลับเข้าเส้นทางของตัวเอง แต่ก็เลิกให้ความสนใจไปเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงสะกิดเบาๆที่แผ่นหลัง
“...” หันหน้าไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า 'มีอะไร' ใส่คนที่ซ้อนอยู่
“เอ่อ”
“...” เงียบรอเขาตอบ ปูนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เหมือนกับอยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูด และขณะที่รอเจ้าตัวรวบรวมความกล้าอยู่นั้น ผมเองก็ยังคงมองหน้าเขาอยู่ จนผู้โดยสารจำต้องชี้ให้หันกลับไปมองทางดีๆ
“คือ...เราสอบ 9 โมงครึ่ง แล้ว... แบบ..." คิดว่าคนด้านหลังต้องทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้อีกแล้วแน่ๆทั้งที่ได้ยินแค่เสียง และสมองผมก็ประมวลผลประโยคอึกๆอักๆนั่นได้ทันทีว่า 'มึงปั่นให้มันเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือไง กูจะเข้าห้องสอบไม่ทันแล้ว'
“โทษที" เคยได้ยินว่าอัตราความเร็วในการเดินของมนุษย์จะประมาณ 4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นี่ว่าการขี่จักรยานของผมในเวลานี้ก็คงจะประมาณนั้น น่าจะเป็นภาพแปลกๆที่ผู้ชาย 2 คนซ้อนจักรยานกันแล้วขี่ช้าเท่ากลุ่มนักศึกษาที่เดินอยู่ข้างๆ
ก็อยากยืดเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันอะทำไงได้
อันที่จริงผมดูนาฬิกาตลอด กะเวลาไว้แล้ว แต่ก็จำต้องปั่นเร็วขึ้นเพื่อให้คนข้างหลังลดความกังวลลง ปูนนั่งตัวเกร็งมาตั้งแต่หน้าคณะ ตกหลุมตกบ่อก็ยังนิ่ง มือเกาะไปตามจุดต่างๆบนจักรยาน พยายามหลีกเลี่ยงการถูกตัวผมโดยสิ้นเชิง เห็นแล้วก็เมื่อยแทน จะบอกว่าเกาะเอวพี่ก็ได้นะจ๊ะแต่ก็ไม่กล้าอีก เขินจน
“เดี๋ยวเรารีบลงมานะ” ผู้โดยสารกล่าวพร้อมกับวิ่งฉิวขึ้นหอไปทั้งๆที่ยังจอดไม่สนิทดี มองตามแผ่นหลังใต้เสื้อนักศึกษาเรียบกริบจนลับสายตา ปูนยังคงแต่งตัวถูกระเบียบเป๊ะเหมือนกับตอนอยู่ปี 1 จะมีเปลี่ยนไปบ้างก็คือทรงผมกับไม่มีป้ายชื่อที่ต้องคล้องคอตลอดช่วงรับน้องเท่านั้น
ผมเจอเขาครั้งแรกตอนเปิดเทอมปี 1 มาได้ 2 สัปดาห์ระหว่างปั่นจักรยานเล่นอยู่ในม. ช่วงเข้ามหาลัยปีแรกผมยังมีจักรยานของตัวเองอยู่ก่อนที่มันจะหายสาบสูญไป ด้วยเพราะใช้ที่ล็อคกะโหลกกะลา เต๊าะๆนิดนึงก็หลุด แต่หลังๆก็เริ่มจะปลงและกลายมาเป็นฝ่ายขโมยของชาวบ้านแทน
วันนั้นมีจัดคอนเสิร์ตต้อนรับเฟรชชี่อะไรสักอย่างในสนามกีฬา งานเริ่มตั้งแต่ 2 ทุ่ม ผมขี้เกียจไปยืนเบียดกับคนอื่น เลยมาปั่นจักรยานรับลมเล่น อาศัยฟังเพลงที่ลอยมาตามลมแทนก็สบายดี ตอนนี้ทางค่อนข้างมืดและเปลี่ยว คนคงเข้าไปอยู่ในสนามกีฬากันหมดเพราะนี่ก็เริ่มงานมาได้ชั่วโมงครึ่งแล้ว อย่างกับม.ร้าง
ได้ยินเสียงลมพัดยอดไม้หวีดหวิว กับเสียงเพลงที่ดังมาจากที่ไกลๆ เบื้องหน้ามีเพียงแสงสว่างรำไรจากไฟข้างทางริบหรี่ไม่กี่ดวงเท่านั้น รอบข้างไร้ผู้คน อาจดูเป็นบรรยากาศที่น่าขนลุกพิลึก แต่น่าแปลกที่ผมกลับชอบความสงบแบบนี้เอามากๆ
ปั่นจักรยานเล่นได้พักนึงก็เห็นเงาตะคุ่มๆตรงหางตา หันไปมองบริเวณริมฟุตบาทฝั่งตรงข้ามก็พบกับร่างร่างหนึ่งในชุดนักศึกษาชายกำลังเดินตรงไปในทิศทางเดียวกันกับผม แปลกใจที่ยังมีคนมาเดินอยู่คนเดียวในม.เปลี่ยวๆแบบนี้ รูปร่างท่าทางมองผ่านๆดูดีทีเดียว ส่วนสูงกำลังดี เส้นผมสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติปลิวไปตามแรงลมดูนุ่มสลวย
เพิ่งเห็นว่าเขาเอาโทรศัพท์แนบหูอยู่ด้วย แต่ปากไม่ได้พูดอะไร แอบเห็นว่าเขาคิ้วขมวดเล็กน้อย หันซ้ายหันขวาเหมือนกับหวาดระแวงอะไรบางอย่างในเงามืด ผมแอบขำท่าทางนั้นในใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอาเครื่องมือสื่อสารลงมาจิ้มๆใหม่ แล้วก็เอาไปแนบหูอีก สลับไปสลับมาแบบนี้อยู่หลายรอบ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเก็บลงกระเป๋า
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจ้องเขาตอนที่เจ้าตัวหันมามอง รีบหลบตาแทบไม่ทัน ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ปั่นจักรยานเอื่อยๆต่อไป จนใบหน้าขาวๆหันกลับไปทางเดิม สีหน้าของมนุษย์ขี้กลัวดูผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่ายังมีสิ่งมีชีวิตเช่นผมอยู่ในบริเวณนั้นด้วย
ผมนำหน้าคนฝั่งตรงข้ามมาระยะนึง จะขี่จักรยานให้ช้าเท่าคนเดินเท้าก็ประหลาดอยู่ หรือจะให้เขาซ้อนท้ายแล้วพาไปส่งที่สนามดี แต่อยู่ๆจะไปให้คนไม่รู้จักซ้อนทำไม ถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง
แล้วก็เริ่มสงสัยว่าทำไมจะต้องมาพะวงกับมนุษย์ขี้กลัวแค่คนเดียวด้วย ปกติผมคงขี่ต่อไปโดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง
แต่สำหรับเวลานี้
...ผมคงชอบสีหน้าของเขาที่ผ่อนคลายลงตอนเห็นว่ามีผมอยู่ใกล้ๆล่ะมั้ง
ตัดสินใจลงจากพาหนะสองล้อกากๆของตัวเอง เปลี่ยนมาเดินเข็นแทน ชะลอความเร็วลงจนเท่าคนอีกฝั่ง ทำเป็นเดินเอ้อระเหยแต่ก็แอบเหลือบมองคนบนอีกฟากฝั่งของถนนเป็นระยะ เป้าสายตาเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจผมเลยแม้แต่น้อย เอาแต่เดินจ้ำๆตรงไปข้างหน้า
แต่ถึงยังไงผมก็พอใจกับการคอยดูเขาอยู่ห่างๆจากตรงนี้อยู่ดี
เราก้าวเดินไปพร้อมๆกันแม้จะมีถนน 2 เลนขวางกั้นอยู่
...น่าแปลกที่หลังจากวันนั้นอีกตั้ง 2 ปีกว่า ผมถึงเพิ่งจะกล้าวิ่งข้ามถนนเส้นนั้นเพื่อไปหาเขา เสียงหอบกับเสียงฝีเท้าเรียกให้ต้องหันไปมอง เห็นคนที่ขึ้นไปเอาเครื่องคิดเลขกำลังวิ่งเข้ามาหา หน้าม้าของปูนแตกกลายเป็นแสกกลางเหมือนกับทุกครั้งที่เจอในช่วงปี 3 เหมือนเขาจะไม่ได้ตัดผมมานานแล้ว ผมปั่นออกจากหน้าหอทันทีที่เขานั่งลงด้านหลัง ยังคงได้ยินเสียงหอบหายใจอยู่ แต่ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เริ่มรู้สึกหนักแปลกๆ
แม่ง... “มีอะไรหรอ” ปูนถามเมื่อผมจอดตรงข้างทาง
“ลงมาก่อน” เขาทำตามที่ผมบอก ยืนอยู่ข้างๆในขณะที่ผมก้มลงดูล้อหลังที่แบนจนติดกับพื้น
“ยางแตก?”
“อือ” ยืนขึ้นเต็มความสูง ในใจคิดว่าอาจจะโดนเจ้าของจักรยานสาปแช่ง หันไปมองปฏิกิริยาของคนข้างๆแล้วก็ได้รับหน้าเหวอๆกลับมา ปูนหันไปมองรอบๆก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นดู
“อีก 15 นาที น่าจะเดินไปทันนะ แล้วต่อรถราง ติวเรียนกี่โมงอะ”
“9 โมงครึ่งเหมือนกัน” อีกไม่ไกลเท่าไหร่ก็จะถึงประตูมหาลัย ผมเดินเข็นจักรยานล้อแบนๆไปตามทางโดยมีปูนเดินอยู่ข้างๆ แอบเกร็งนิดหน่อยที่ต้องเดินข้างกัน ยังไม่ได้เตรียมใจเลย เวลาแบบนี้ควรชวนคุยอะไรสักอย่างแต่ก็ตื่นเต้นจนสมองขาวโพลนไปหมด ทำให้ความเงียบเข้าปกคลุมจนกลายเป็นบรรยากาศน่าอึดอัด ผมเงียบ เขาก็เงียบ
แอบเหลือบมองใบหน้าของคนข้างๆ ยอมรับเลยว่าหน้าตาดี แต่ผมก็ไม่ได้เริ่มสนใจเขาเพราะเรื่องนี้ กลับกลายเป็นความมึนๆงงๆมากกว่าที่ทำให้ผมต้องกวาดสายตาหาเขาตลอดเวลาที่อยู่ในมหาลัย
ปูนเม้มริมฝีปาก และทำท่าเหมือนว่าจะขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ขมวดซะงั้น เสมองไปตามทางข้างๆ อธิบายความรู้สึกของเขาออกมาไม่ได้จริงๆ เหมือนกับเจ้าตัวกำลังคิดอะไรมากมายอยู่ในหัว กระทั่งเขาหันมามองทางผม รีบหลบตาอย่างรวดเร็ว ปูนไม่น่าจะทันเห็นว่าผมก็แอบเหลือบเขาอยู่เหมือนกัน คนข้างๆหันกลับไปมองทางข้างหน้าพักนึงก่อนจะเป็นคนเริ่มทำลายความเงียบ
“...เหมือนกับตอนนั้นเลยนะ”
“?”
“ตอนวันคอนเสิร์ตที่ม.จัด ช่วงที่เพิ่งเปิดเทอมปี 1 ใหม่ๆไง” ผมนึกตามคำพูดของคู่สนทนา
“แล้ว?” สมองเริ่มประมวลผล ปูนน่าจะหมายถึงวันที่ผมเจอเขาครั้งแรกนั่นแหละ แล้ว...ยังไง… ทำไมถึงรู้สึกถึงความน่าหวาดระแวง
“ตอนนั้นติวก็ยางแตกนี่ เห็นลงมาเดินเข็นจักรยาน”
“...” ผมหันขวับไปมองหน้าคนข้างๆ ปูนเองก็มองผมอยู่เช่นกัน แสงแดดอ่อนๆกระทบใบหน้าขาวเนียนทำให้ยิ่งดูน่ามอง ดวงตาใสสะท้อนแสงเป็นประกาย และในระยะห่างเท่านี้ทำให้ปูนต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อพูดกับผม ไม่รู้ทำหน้าแบบไหนอยู่จนเขาต้องหัวเราะออกมาก่อนจะพูดเสริม
"พอดีเราเดินอยู่แถวนั้นเลยเห็นติวเดินเข็นจักรยานไปสนามกีฬาอะ"
เชี่ย... ตกใจตรงเขาสังเกตด้วยว่าเป็นผม แล้วยังจำได้มาจนวันนี้อีก โอย... แล้วกูเนี่ยจะทำยังไง จะตอบยังไง
เขารู้ด้วยอะแม่ ฮื่อ "...ไม่ได้ยางแตก อยู่ๆก็อยากเดินเฉยๆ" อยากจะตบกบาลตัวเอง พูดอะไรออกไป โคตรของคำตอบโง่เง่าไร้สติ แต่คิดอย่างอื่นไม่ทันแล้ว จะบอกตรงๆว่าไม่ได้ยางแตก แต่ตั้งใจจะเดินไปส่งก็ยังไงอยู่ ไม่กล้าบอกอะ เขิน ในใจนี่จะร้องไห้อยู่แล้วแต่รู้สึกตัวเองหน้านิ่งมาก มองปฏิกิริยาของคนข้างๆอย่างลุ้นๆ แล้วก็ได้รับกลับมาเพียงสีหน้าแปลกใจอย่างไม่ตะขิดตะขวงของปูนเท่านั้น
"อ้าวหรอ" เขาเหมือนจะพูดอะไรอีกแต่ก็เงียบไป ก่อนจะละสายตาจากผมกลับไปมองทางข้างหน้า ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร เลยกลายเป็นว่าเราเดินไปด้วยกันเงียบๆ
จะว่าไปก็เหมือนกับวันนั้นจริงๆ ผมเดินเข็นจักรยาน ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกับเขา ที่แตกต่างคงจะเป็นระหว่างเราไม่มีถนนมากั้นแล้ว ถึงอย่างนั้นก็น่าแปลกที่แม้เขาจะมาเดินอยู่ข้างๆเหมือนอย่างที่ผมอยากให้เป็นมาตลอด 2 ปีกว่า
แต่ผมก็ยังไม่กล้าทำอะไรอยู่ดี
ผมเอาจักรยานทิ้งแถวที่จอดตรงประตูม. เดี๋ยวเลิกเรียนค่อยเอาไปเปลี่ยนยางให้ ไม่นานรถรางก็มา ผมขึ้นไปนั่งข้างๆปูน ระหว่างทางรับรู้ได้เพียงลมที่ปะทะใบหน้า เสียงจากเครื่องยนต์ และกลิ่นข้าวเหนียวหมูปิ้งจากนักศึกษาหญิงที่กำลังจ้วงอยู่ข้างหน้า กระทั่งรถรางเริ่มชะลอเมื่อใกล้จะถึงคณะของคนข้างๆ ปูนเตรียมสะพายกระเป๋าพร้อมกับหันมามองผม ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นว่าถูกผมมองอยู่ก่อนแล้ว เห็นเขาทำตัวไม่ถูกอยู่พักนึงก่อนจะกลับมามีสีหน้าปกติ
"ตอนเย็นว่างมั้ย"
“...” ผมพยักหน้า
"...งั้นเจอกันหน้าม. 6 โมง เดี๋ยวพาไปเลี้ยงไอติมเลยดีกว่า ไถ่โทษที่รบกวนหลายอย่าง ฮ่าๆ" เขายืนขึ้นพร้อมกับยิ้มให้ แล้ววิ่งลงรถรางไป ทิ้งให้ผมนั่งพะงาบๆอยู่ข้างบนคนเดียว
ขอโมเมว่าไปเดทได้มั้ยอะ งู้ย△ △ △ △ △ △ △ △ △ △ △ △ △ △ △ △ △ △ △ △ △
พออาจารย์ปล่อยก็รีบเอาจักรยานไปให้ร้านซ่อม แล้วรีบแว๊นกลับไปจอดไว้หน้าหอตามเดิม วิ่งหัวฟูขึ้นไปอาบน้ำ สระผม แปรงฟัน บลาๆ จะหาเสื้อผ้าที่ดูเป็นผู้คนใส่แต่ก็หาไม่ได้ จำได้ว่ามีเสื้อเชิ้ตอยู่ตัวนึงแต่ไอ้เพื่อนหน้าโง่น่าจะจิ๊กไปอีกเหมือนกัน สรุปคือใส่เสื้อยืด กางเกงสามส่วนกับคีบแตะโง่ๆเหมือนเดิม
ผมมาถึงหน้าม.ก่อนเวลานัด 10 นาที ตื่นเต้นเหมือนตอนก่อนจะขึ้นเวทีแสดงงานโรงเรียนครั้งแรกตอนอนุบาล 2 เวลาแต่ละนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเริ่มหัวใจเต้นรัวตอนเห็นร่างที่คุ้นเคยปรากฏในระยะสายตา
ปูนแต่งตัวสภาพเดียวกับผม แต่ด้วยใบหน้าหมดจดกับรูปร่างกำลังดีของเขาทำให้ออร่าวิ้งๆพุ่งทะลุเสื้อผ้าใส่นอนอยู่หอออกมา ผมหน้าม้ายาวปรกตาจนเจ้าตัวต้องสะบัดและกลายมาเป็นแสกกลางในที่สุด ลมพัดแรงจนผมปลิวเข้าหน้าอีกครั้ง รอบนี้เขาดูจะรำคาญจริงๆถึงยกมือขึ้นทัดผมลงหลังหูไว้ข้างนึงก่อนจะเงยหน้ามาเห็นผมที่ยืนกอดอกพิงกำแพงรออยู่
“รอนานหรือเปล่า โทษที”
“พึ่งมา” เขาพยักหน้า
“กินข้าวมายัง”
“...” ผมส่ายหัว
“งั้นไปกินข้าวก่อนดีกว่า ติวอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“กินอะไรก็ได้”
แล้วเราก็ได้เข้ามานั่งในร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง ปูนยกเมนูขึ้นมาอ่านจนบังหน้า เขาใช้เวลานานมากก่อนจะเอาลง แล้วก็ผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมมองอยู่ ผมชี้ไปที่เมนูในมือเขา ปูนมองไปรอบๆโต๊ะแล้วก็พบว่ามันมีเมนูอยู่เล่มเดียว เขาเลยหัวเราะแหะๆแล้วยื่นให้ผม ก่อนจะก้มลงเขียนชื่ออาหารใส่กระดาษยุกยิก
“กระเพราหมูสับไข่ดาว” ไม่ได้อ่านเมนูด้วยซ้ำ ผมบอกเมื่อคนฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นจากกระดาษมามองหน้าผม เขาก้มลงไปเขียนต่อก่อนจะลุกเอาไปให้เจ้าของร้าน ผมเองก็ลุกขึ้นเดินไปตักน้ำแข็งใส่แก้ว 2 ใบ ปูนเดินตามมา หยิบแก้วไปกดน้ำใส่ต่อ ผมหยิบหลอดใส่ เป็นอันเสร็จสิ้น เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ
คนที่ทัดผมไว้ที่หลังหูข้างซ้ายยกโทรศัพท์ขึ้นมากดจนบังหน้าตัวเอง ทำไมจะต้องเอาอะไรมาบังหน้าตลอดด้วย คนจะมอง ฮือ ผมเอาหลอดคนน้ำในแก้วอย่างไม่มีอะไรทำ จนเจ้าของร้านยกข้าวมาวาง 2 จาน เห็นจานของคนตรงข้ามเป็นข้าวไข่เจียวแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมอ่านเมนูนานขนาดนั้น
“ติวเล่นดนตรีที่ร้านเหล้าตรงใกล้ๆหอเราตลอดเลยป่ะ” ปูนถามออกมาตอนที่ผมกลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอพอดี
“แล้วแต่เขาจะเรียก ต้องดูด้วยว่าว่างหรือเปล่า แต่ช่วงนี้ก็ไปเล่นให้ทุกวันพุธ ...เคยเห็นเราด้วยหรอ” นึกสงสัยเพราะเมื่อวานที่เจอเขาที่ร้านเหล้า ปูนก็ไม่ได้มองมาทางผมเลย
“เมื่อวานเห็นอยู่ เพื่อนเราไปกรี๊ดที่หน้าเวทีด้วยนะ” เขาพูดขำๆ ผมนั่งนิ่ง เริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าปูนเห็นผมทุกครั้งในขณะที่ผมแน่ใจว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจถึงการมีตัวตนอยู่ของผมเลย
คงไม่ใช่ว่าเขารู้ตัวมาตลอดหรอกนะ ผมมองคนฝั่งตรงข้ามที่นั่งดูดน้ำด้วยสีหน้าที่ดูเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเหมือนทุกครั้ง แล้วสลัดความคิดแปลกๆออกจากหัว ปูนไม่น่าจะรู้หรอก ยังไงผมก็ไม่เคยแสดงออกโจ่งแจ้งสักหน่อย
“เดี๋ยวเราเลี้ยง” ปูนเดินนำไปหาเจ้าของร้าน ผมยืนดูคนที่บอกจะเลี้ยงล้วงหากระเป๋าตัง แล้วก็เกือบจะหลุดขำแต่ก็ต้องเก๊กหน้านิ่งตอนที่เขาล้วงทุกกระเป๋าที่มีอยู่บนตัวแล้วก็ยังหากระเป๋าตังไม่เจอ ใบหน้าหมดจดเงยขึ้นพร้อมกับหัวเราะแหะๆให้ผม “ลืมเอากระเป๋าตังมาอะ”
ผมควักแบงค์ยับๆออกจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้เจ้าของร้าน ขณะที่คนข้างๆได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ
“ขอโทษ” มนุษย์มึนพูดด้วยเสียงหงอยๆตอนเดินออกมานอกร้าน
“ไม่เป็นไร แล้วยังจะกินไอติมอยู่หรือเปล่า”
“...เอ่อ” พอพูดถึงไอติมแล้วเหมือนเห็นดวงตาของคนข้างๆเป็นประกายวาววับอย่างน่ากลัวก่อนจะกลับมาเป็นดวงตาหงอยๆเพราะลืมเอาเงินมาเหมือนเดิม
“เดี๋ยวออกให้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเอามาคืนทีเดียว” เขาเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าปลื้มปริ่ม ริมฝีปากสวยๆยกยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย ถ้าปูนเป็นหมาตอนนี้เขาคงกระดิกหางรัวๆอยู่
สุดท้ายก็มานั่งอยู่ในร้านไอติมชื่อดังแถวม. คนเยอะมาก รู้สึกได้ถึงสายตาของผู้หญิงโต๊ะข้างๆที่มองมาแต่ก็ไม่ได้สนใจ นั่งมองปูนที่สั่งอะไรนักไม่รู้จนพนักงานจดไม่ทัน
“ติวเอาอะไรอะ” คนฝั่งตรงข้ามถามผมเมื่อร่ายรายชื่อของกินใส่พนักงานเสร็จ
“สั่งให้หน่อย” เขาหันไปสั่งให้ผมก่อนที่พนักงานจะเดินออกไป
“พี่ติวกับพี่ปูนเขาสนิทกันหรอ” ได้ยินเสียงซุบซิบจากโต๊ะข้างๆ ผมเลื่อนสายตามามองคนฝั่งตรงข้าม ปูนนั่งดูดน้ำเหมือนอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่น่าจะได้ยิน
“ไม่นี่ ก็ไม่เคยเห็นอยู่ด้วยกันเลยนะ”
“หรือเขาคบกันป่าววะ”
“แค่กๆ” ปูนสำลักน้ำทันทีที่ผู้หญิงโต๊ะข้างๆพูดจบ รู้ได้ทันทีว่าเขาเองก็ฟังอยู่
“พี่ปูนไม่ได้คุยกับมิ้น ดาวเภสัชปีก่อนอยู่หรอ”
“เออว่ะ ได้ยินมาเหมือนกัน แต่เหมือนยังไม่ได้คบกันจริงจังนะ" หัวข้อบทสนทนาเม้มริมฝีปาก ก่อนที่จะเลื่อนสายตามามองผม ผมทำเป็นเล่นโทรศัพท์ไม่ได้สนใจ แอบใจแป้วนิดนึงเมื่อรู้ว่าเขามีคนคุยอยู่ เคยได้ยินชื่อมิ้น ดาวคณะเภสัชปีที่แล้วมาบ้าง ซึ่งก็จำหน้าไม่ได้อยู่ดี แต่ปกติผมก็ไม่เคยเห็นเขาเดินกับผู้หญิงเลย อาจจะยังไม่มีสถานะชัดเจนก็ได้ ปลอบใจตัวเองสุดๆ
รอนานมากกว่าของกินจะมาครบ ปูนเล่นสั่งมาซะเต็มโต๊ะ แต่แป๊บเดียวเขาก็กินจนเกลี้ยง แอบกลัว ไม่รู้กินแล้วเอาไปเก็บไว้ตรงไหน เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ลุกไปเคาน์เตอร์จ่ายเงิน แน่นอนว่าเป็นผมที่ต้องควักกระเป๋า
“หอติวอยู่ตรงไหนอะ” ปูนถามเมื่อออกมานอกร้าน ผมชี้ไปทางซ้ายซึ่งเป็นคนละทิศกับหอของคนข้างๆ “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราคืนเงินให้นะ” เขาโบกมือลาก่อนจะเดินไปทางหอของตัวเอง ผมมองตามแผ่นหลังบางๆของเจ้าตัวที่ห่างออกไปเรื่อยๆก่อนจะเลื่อนไปมองไฟข้างถนนฝั่งนั้นที่ติดๆดับๆตลอดแนว เปลี่ยวอีกต่างหาก ผมเลยตัดสินใจวิ่งตามเขาไป ปูนผงะเมื่อหันมาเห็นผมเดินอยู่ข้างๆ
“เดี๋ยวไปเซเว่นก่อน” เลยหอของเขาไปนิดนึงมีเซเว่นอยู่ ผมตอบเครื่องหมายคำถามบนหน้าของปูนโดยไม่ได้หันไปมองหน้าเจ้าตัว ปูนพยักหน้าหงึกหงัก ระหว่างทางเราไม่ได้พูดอะไรกันเลย ปูนทำหน้าเหมือนกับคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา รอบข้างไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มีเพียงลมเย็นๆ ไฟถนนกากๆ
กับเงายืดยาวของผมกับเขาที่ทาบไปบนพื้นถนนสีเทาข้างๆกัน
“เดี๋ยวคืนเงินให้นะ” เขาพูดซ้ำอีกรอบเมื่อเราหยุดลงตรงหน้าหอของเจ้าตัว แต่ครั้งนี้ปูนไม่ได้หันหลังเดินออกไปดื้อๆ เขาเหมือนจะพูดอะไรต่อ ผมเลยยืนรอ
ปูนยืนก้มหน้า เม้มริมฝีปาก ตามองบริเวณเสื้อของผม เริ่มสงสัยว่าบนเสื้อย้วยๆเก่าๆของตัวเองอาจจะมีรอยหนูแทะก็ได้เลยก้มลงมองตาม แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร กระทั่งคนตรงหน้าสูดลมหายใจเข้าลึกเหมือนกับกำลังเตรียมใจกับบางอย่าง แล้วเขาก็พูดออกมาในที่สุด
“เรายังไม่ได้คบกับมิ้นนะ” แล้วเจ้าตัวก็วิ่งฉิวขึ้นหอไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะมองหน้าผม
ปล่อยให้ผมยืนหาสาเหตุของการบอกข้อเท็จจริงนั้นอยู่คนเดียว________________________________________________________
เกือบดอง งานเยอะมากเลยค่ะ อะเหื้อ