กาลกีรตี 73
..."..แล้วพี่จะไปไหนวะ?"
ไอ้จีมันโผล่งถามประโยคนั้นมาในตอนที่ผมพยายามฝืนอ้าปากงับช้อนข้าวต้มเซเว่นเพื่อกระเดือกลงคอ บอกตรงๆ เลยนะผมไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองไปทำเชี่ยอะไรหรือกวนส้นตรีนใครมา หน้าข้างขวามันถึงได้โดนซัดเสียจนช้ำจนเจ็บระบมขนาดนี้ ไอ้คนทำนี่ก็มือหนักเป็นบ้า !!
"..งั้นผมถามใหม่ พี่มาทำเชี่ยอะไรไกลถึงชลบุรีวะ??"
"หึ..หึหึ"
มองหน้ามันแล้วผมก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ โอเค อาจดูกวนตรีนในสายตา แต่บอกตรงๆ นะว่าไอ้คำถามหลังเนี้ยกูไม่รู้จริงๆ ถ้ากูขอกลับไปตอบคำถามแรกยังทันไหม??
"จี...ถ้ากูเล่าอะไรให้มึงฟัง มึงจะเชื่อกูปะ?"
"..."
"กูอะ.."
"..."
"...เป็นสัตว์ประหลาด.. แดกคน พอแดกเสร็จก็จะจำศีล พอจำศีลตื่นขึ้นมากูจะจำอะไรไม่ได้...กูใช้ชีวิตอย่างเนี้ย ...วนเวียนอยู่อย่างเนี้ย...นี้อะความลับของกู"
"..."
"มึงอาจจะไม่เชื่อนะ...แต่กูพิสูจน์ได้...มึงมองมาสิ..มองตากู ข้างในตากูมีสัตว์ประหลาดอยู่..ถ้ามึงจะกล้ามองนะ..เข้ามาใกล้กูก็ได้กูไม่ว่า...ทุกอย่างมันอยู่หลังม่านตากูเนี้ย..."
เรื่องน่าตลกที่จู่ๆ ผมก็พูดสิ่งที่อยู่ในหัวผมทั้งหมดออกมา พูดออกมาแล้วใช้นิ้วแหกเปลือกตาให้มันดู ไอ้จีมันหน้าซีดลงไป แถมยังครางเรียกผมเสียงแผ่ว ผมสังเกตุนะว่ามันกล้าๆ กลัวๆ แต่มันก็ยังโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมทีละนิดๆ
"..พี่เดียร์..."
...เสียงครางเรียกชื่อ กับไอระอุร้อนของลมหายใจ...
.
.
.
.
'จุ๊พ!'
"ไอ้พี่เชี่ยหลอกจูบกู!!"
ฮา......
ผมหัวเราะจะเป็นจะตายขนาดแก้มระบมไปทั้งซีกแต่ก็ยังยังบังคับตัวเองให้หยุดหัวเราะไม่ได้ ไอ้จีแม่งก็ซื่อเสือกเชื่อ หลอกง่ายหลอกดาย ตอนแรกผมไม่คิดว่ามันจะเชื่อ แต่พอมันเสือกเชื่อจริงๆ แล้วแม่งอดขำไม่ได้ เห็นตอนอยู่ สนพ. มันกวนตรีนไม่คิดว่าตอนนี้มันจะโคตรห่วงผมเลย ด้วยความดีตอนแรกผมว่าจะแค่ดีดจมูกมันนะ แต่พอเห็นคิ้วหนาๆ นั้นขมวดเป็นปมด้วยความสับสนผมดันจุ๊พปากมันเล่นซะงั้น ขนาดแค่จุ๊พแตะเบาๆ ไอ้เถื่อนหน้าปลาบู่มันยังดิ้นยังกับโดนน้ำร้อนลวกแล้วถ้าเสือกแดกเข้าไปทั้งตัว มันจะดิ้นขนาดไหนวะ?
"หวานไหมมึง? ปากกูอ่ะ?"
ผมเริ่มเอาตลกเข้าว่าเมื่อจู่ๆ สมองดันคิดไปไกล กว่าจะกู่กลับมาได้ไอ้ภาพปลาบู่ดิ้นหนี มันกลับไม่ยอมหายลับไปจากมโนภาพในหัวสมอง
"..."
"..อย่ามาเขินอาย หน้ามึงไม่ให้ จะมางอนทำเชี่ยอะไรล่ะ มาแดกข้าวเซเว่นก่อนกองทัพเดินด้วยท้อง เดี๋ยวเข้ากรุงเทพฯ แล้วค่อยแยกกัน"
"...แล้วพี่จะไปไหน?"
อีกครั้งที่ไอ้จีมันถามคำถามเดิมๆ คำถามเบาๆ ที่มันแฝงไว้ด้วยอะไรสักอย่างที่ผมอ่านสายตามันไม่ถูก...
.
.
.
"ชีวิตกู...กูก็ต้องไปที่ๆ กูอยู่แล้วสุขใจที่สุดดิวะ "
ผมตอบมันไปอย่างนั้นล่ะ ตอบไปแบบมาดมั่นทั้งๆ ที่ยังหาที่ที่ว่าไม่เจอ โอเค เมื่อก่อนพอบอกว่าจะไปไหน ผมยังพอบอกใครต่อใครได้ ว่าที่หอ หรือไม่ก็ห้องไอ้ฝิ่น ..แต่มาตอนนี้มันไม่ใช่ ที่หอมันอ้างว้างเกินไป ที่ห้องไอ้ฝิ่นมันก็มีควายเผือกที่ไหนมาอยู่ไม่รู้ตั้งสองตัว..จากที่ๆ เคยเป็นของผม มันเลยกลายเป็นที่ของใครก็ไม่รู้ ที่อยู่กับไอ้ฝิ่น ..
.
.
.
.
"ที่ไหน? ที่ๆ พี่จะไป ..ไม่ใช่ที่ที่ผมอยู่หรือพี่?"
"ว่าอะไรนะจี?"
"เปล่า...แค่จะถามพี่ว่าตังค์มีติดตัวไหม? เอาของผมไปก่อน เอาไปก่อนแล้วคราวหน้าค่อยคืน"
ผมหันไปหาไอ้จี ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อครู่นี้มันบ่นอะไรงุ้งงิ้งๆ รู้นะว่ามันบ่นๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะมันยื่นแบงพันกับแบงย่อยมาให้ผมแค่นั้นแล้วมันก็หันกลับขึ้นรถมอไซค์มันขับออกไป
"แต้งค์ไอ้น้อง.."
ผมได้แต่ตะโกนบอกมันคงได้ยินอยู่มั้ง เพราะถึงมันไม่ได้หันกลับมาแต่มันก็ยกมือโบกลาให้..
.
.
.
...อืมส์...
เจริญ !!! ฝนตกลงมาห่าใหญ่ สักพักหลังจากที่ไอ้จีหายลับไปสุดตา สายฝนเย็นฉ่ำ เย็นชื่นใจจนเหมือนมันเป็นสายน้ำรดราดและไล่ความอัดอั้นที่คั่งค้าง หัวสมองผมว่างโล่ง โล่งจนแทบไม่เหลืออะไร อีกกี่ครั้งที่ต้องเริ่มใหม่ ..อีกกี่ครั้งที่ต้องมากังวลใจกับสมองก้อนเท่ากำปั้นที่บางวันก็เล่นตลกให้ลืมเรื่องราวที่ผ่านไปซะอย่างนั้น ...
ผมเคยอ่านมานะ ..
จากหนังสือเล่มไหนสักเล่มล่ะที่เขียนว่า เวลาเราทุกข์ใจมากๆ ร่างกายและสมองจะปรับตัวลบเรื่องที่ทำให้เราย่ำแย่ บางคนเสือกปรับตัวดี สมองเลยลบเรื่องงี่เง่าออกไปจากความทรงจำ คิดในแง่ดี ผมอาจอยู่ในจำพวกนี้ก็ได้ ..
ใครจะรู้..
***
..
'ตนเราเกิดมาแต่ตนเดียว...ตายไป ก็ตายแต่เพียงตนเดียว...'
.
.
.
เสียงนั้นแว่วรำพึงมาแต่แดนไกล..
...แว่วมาพร้อมเสียงหัวเราะแผ่วๆ และคำถาม
.
.
.
'ฤ จักเถียงข้ารึ? ฤา มันมิจริง?'
.
.
.
"จริงโคตรพ่อง!!"
ผมหลับตาแล้วสะบัดหน้าบวมๆ ไล่ความคิดที่ตามติดมาหลอกหลอนในหัวสมอง เสียงเชี่ยอะไรอย่างกับแมลงหวี่แมลงวัน ยิ่งกว่ายุงอีกมั้งที่คอยตามลาวี ดังหวี่ๆๆๆ อยู่อย่างเนี้ย เสียงเชี่ยๆ ที่ดังเนี้ย เหมือนเสียงแววๆ ของความตาย ตอนนี้แม่งยิ่งเปียกๆ ชื้นๆ เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า ไอ้ที่ผมหลอนอยู่เนี้ยมันมาจากฤทธิ์ใบกระท่อมหรือเปล่า อ่านะ ก็คนที่บ้านเคยเล่าให้ฟังนี้น่าว่าฤทธิ์ใบกระท่อมมันจะเสื่อมตอนโดนฝน ..หรือว่านี้ผมฝัน ไม่ฝันก็คงจะโดนไอ้ฝิ่นมันบังคับให้เคี้ยวใบกระท่อม ???
คิดเรื่อยเปื่อย ..
สาสสสสส...ผมเพิ่งได้สติในไอ้ตอนที่ยื่นตากฝนคิดไปเรื่อยๆ นี้ล่ะว่าโทรศัพท์ที่ใช้โทรหาไอ้จี มันซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง...แล้วกูยืนตากฝนทำมิวสิคทำเชี่ยอะไรเนี้ยยยยยยยยยย!!! ควายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!
สาสสสส แล้วจะโทรติดต่อใครได้ว่ะ?
ถ้าเรียกแท็กซี่ พี่แท็กซี่จะรับไอ้ลูกหมาตกน้ำอย่างกูไหมเนี้ย !!!!!!!!!
ควายเดียร์เอ้ย!!!
'ตนเราเกิดมาแต่ตนเดียว...ตายไป ก็ตายแต่เพียงตนเดียว...'
ไอ้เสียงเชี่ยนี้ก็ยังตามหลอนประสาทไม่ยอมเลิก สันดาน!!!
"คนเดียวแล้วไง?!! ไอ้พรมลิขิต มันก็มีเฟ้ย!! ควาย!!! "
'แล้วไหนล่ะพรมลิขิตของเจ้า?'
หงุดหงิดๆๆๆๆ เหมือนมันไม่ยอมแพ้ ไอ้เสียงหลอนกวนประสาทยังตามถามผมไม่ยอมเลิก...ไอ้สายฝนนี้ก็โหมเข้ามาทำห่าเหวอะไรอีก !! ไอ้แท็กซี่นี้ก็เสือกโบกไม่รับ !!! แล้วมึงจะมาขับแท็กซี่ทำเตี่ยอะไร?????!!! ด๊วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!
"..ภัทร..."
แรงควายๆ ของใครบางคนมันดึงผมเข้าไปกอด...
กลางสายฝน กับดินโคลน ร่มคันใหญ่มันหล่นกลิ้งอยู่ข้างๆ ผมไม่ได้อายอะไร เพราะกลางสายฝนที่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาน่ะมันไม่มีรถคันไหนที่จะหยุดจอด ..นอกจากรถยุโรปคันใหญ่ที่คุ้นสายตา..
.
.
.
กลางสายฝน..จะมีก็แค่มันกับผม...แค่ลมหายใจระอุอุ่นที่ยังพยุงให้ผมได้ยืนกลางฝนที่เหน็บหนาว...
.
.
.
ไออุ่นๆ กับแรงกอดที่เหมือนจะรัดกันให้ตาย สุดท้ายผมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ..
กี่ครั้งที่อยู่ใกล้มัน กี่ครั้งที่จำไอ้ฝรั่งแรงควายนี้ไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ..ก็เป็นมันที่อยู่ข้างๆ ผม..
"...หึ...หึ..ฮ่ะๆๆๆ ...ไม่ได้อยู่คนเดียวหรอก..ไอ้สัสนี้ไง...พรมลิขิตของกู.."
เป็นครั้งแรกที่ผมได้หัวเราะเยาะและเริ่มเถียงเสียงที่ดังอยู่ในหัว หัวเราะราวกับตัวเองบ้าและยังปากกล้าเถียงมันด้วยความมั่นใจ เถียงมันแล้วก็ร้องไห้ จู่ๆ น้ำตามันก็ไหล จู่ๆ สิ่งที่อยู่ในหัวใจผมมันก็สลายไปราวกับทรายที่โดนคลื่นเซาะ..อ้อมกอดจากวงแขนใหญ่ แรงรัดจากไอ้งูเผือก เสียงกระซิบเรียกซ้ำๆ ที่ดังอยู่ข้างๆ หู ..
.
.
.
ไม่ว่าจะฟังยังไงมันก็ยังดังเป็นชื่อผม ...ไม่ใช่คนอื่น ..
"...จี...กูเจอที่ๆ กูอยู่แล้วกูสุขใจแล้ว ...กูเจอแล้วจริงๆ "