“ตึ้ง ตึ่ง” เสียงประตูลิฟท์เปิดออกในชั้นและบรรยากาศที่ไม่คุ้นตา แม้ตึกจะเป็นตึกเดียวกันแต่การจัดผังชั้นและทุกอย่างกลับดูแตกต่างราวกับคนละตึก ห้อง Ball room อยู่บนชั้นสูงสุดของตึกเรียนและ ถึงแม้ว่าห้องนี้จะไม่ค่อยได้ถูกใช้งานบ่อยนักแต่ก็ต้องยอมรับว่าคนที่ดูแลรักษาห้องนี้นั้น ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมเพราะตั้งแต่เปิดประตูลิฟท์ออกมา คนตัวเล็กก็ไม่ได้สัมผัสถึงกลิ่นอับเลยแม้แต่น้อย
ห้องโถงใหญ่สีขาวสไตล์กรีก โรมัน อันถูกรายล้อมไปด้วยเสาสีขาวมุกที่ถูกแกะสลักเป็นรูปเกลียวคลื่นเข้ากันได้ดีกับตัวและหัวเสาที่ถูกแกะสลักเป็นรูปละม้ายคล้ายกับทานตะวันที่กำลังเบ่งบานชูช่อ อีกทั้งคนจัดงานยังได้แอบเอาหลอดไฟหลอดเล็กๆ มาพันรอบเสาแต่ละต้นเมื่อมองดูผ่านๆ ราวกับคนตัวเล็กกำลังอยู่ในป่าสน ซึ่งมีเหล่าหิ่งห้อยตัวน้อยนับพันออกมาเที่ยวหาคู่ในคืนเดือนหนาว
ตัวพื้นแม้จะดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าผ่านการใช้งานมานานหลายทศวรรษ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังแวววาวและเงามันหยอกล้อสะท้อนแสงไฟนับพันที่ถูกประดับประดาในคืนนี้ได้เป็นอย่างดี และถึงแม้ตอนนี้ผิวหน้าของมันจะถูกบดบังด้วยเศษซากของกระดาษ Paper shoot หลากสีแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความมันวาวของมันลดน้อยถอยลงไปเลย
ธงสีรุ้งที่มักจะถูกใช้ตามงานเทศกาลรื่นเริง ถูกพันเชื่อมโยงระหว่างหัวเสาหนึ่งไปสู่หัวเสาหนึ่ง และถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยรอบในขณะนี้จะดูมากด้วยสีสันอยู่สักหน่อย แต่ด้วยความที่สถานที่มันดูงดงามมากราวกับเดินอยู่ในสรวงสวรรค์ ดังนั้นต่อให้จะเอาถุงขยะมาวางซ้อนกันเป็นภูเขามันก็ไม่สามารถที่จะลดทอนความงามของสถานที่นี้ได้เลย มันงดงามมาก มากเสียจนหากผู้ร่วมงามคนใดคนหนึ่งจะร้องไห้ด้วยความปิติ ที่ได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ก็คงไม่แปลก ยิ่งคนตัวเล็กเดินเขยิบเข้าไปในตัวตึกก็ยิ่งต้องเบิกตากว้างขึ้นไปกว่าเดิมอีกเท่าตัว เพราะแม้ว่าลานตรงกลางจะขวักไขว้ไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียดกันจนแทบจะสิงเข้าไปเป็นคนๆเดียวกันอยู่แล้ว แต่หากเรามองขึ้นไปด้านบนของห้องจะพบกับดวงดาวรายล้อมมากมาย เนื่องจากด้านบนของห้องเป็นกระจกใสที่สามารถมองออกไปด้านนอกได้อย่างชัดเจน และด้วยความที่ก่อนหน้านี้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก เมื่อฝนหยุดลง ก้อนเมฆใหญ่ที่เคยรายล้อมเมืองก็ได้มลายหายไปพร้อมกับหยาดสายฝน ท้องฟ้าจึงเปิดให้คนข้างล่างได้เห็นความงดงามของธรรมชาติด้วยดาวสีทองนับร้อยพันที่กำลังค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาโอบกอดราตรีนี้อย่างช้าๆ
“Oh see, who this handsome boy is” (โอโห ไอ้หล่อนี่มันเป็นใครกันเนี่ย) เดวิดยิ้มจนตาหยีก่อนที่จะเดินเข้ามาทักทายคนตัวเล็กพร้อมกับกอดคอ อย่างที่เพื่อนสนิททักกัน
“Ha ha ha, thank you David. How long have you been here?” (ฮ่า ฮ่า ฮ่า , ขอบใจเดวิด นายมาถึงนานหรือยัง?) คนตัวเล็กเอ่ยถามก่อนจะพยายามดันตัวออกมาจากออมกอดของเพื่อนตาขีดที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะรัดเขาแน่นจนเกินไปเสียแล้ว
“Just a minute, have you eaten something yet?” (สักพักอะ นายกินอะไรมาหรือยัง?) เดวิดถามขึ้นก่อนที่คนธันจะส่ายหัวน้อยๆ แทนคำตอบ แต่ใช่ว่าเพื่อนตาขีดจะไปหาอะไรให้เขากินหรอกนะ เพราะพอถามจบประตูลิฟท์ก็ค่อยๆ เปิดออกและผู้มาใหม่ก็ค่อยๆ ทยอยเดินกันออกมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีพี่ซีอิ๊วและรูเบนกำลังเยื้องย่างออกมาพร้อมๆกัน โดยต้องยอมรับว่าสองคนนี้หากเป็นคู่กันจริงๆ ก็ดูเหมาะสมกันราวกับต้นสนคริสมาสต์และดาวสีทองที่ถูกประดับตรงยอดเสา สาวหมวยวันนี้มาในชุดเดรสสีทองแดงปาดไหล่ตรงช่วงเอวมีริบบิ้นสีเดียวกับตัวเดรสผูกเป็นโบว์อยู่ด้านหลัง ใบหน้าถูกบรรจงแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีต และถึงแม้ว่าผิวของเธอจะเป็นผิวสีแทนแต่ก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าลิปสติกสีแดงที่เธอได้ทามามันก็ช่างเข้ากับชุด รูปหน้า และดวงตาของเธอจนอดคิดไม่ได้ว่าหากในงานมีประกวด Prom Queen แล้วละก็ตำแหน่งคงไม่พ้นพี่ซีอิ๊วเป็นแน่ ส่วนคนข้างเธอก็คงจะไม่พ้นได้ตำแหน่ง Prom King แต่ไม่ใช่เพราะเขาได้ควงสาวที่สวยที่สุดในงานมาหรอกนะ แต่เป็นเพราะเขาเองก็หล่อจนรูปปั้นเดวิดที่ยืนขนาบข้างอยู่ตรงลิฟท์ยังหมอง เสื้อเชิ๊ตสีขาวคอปกที่ดูเหมือนจะเล็กไปสักหน่อยสำหรับรูเบนเพราะช่วงหน้าอกนั้นท่าทางกระดุมท่าจะหลุดหายไปเพราะตาคนผมสีอัลมอลด์เลือกที่จะปลดอวดเนื้อเนินอกที่เป็นมัดกล้ามขาวอย่างชัดเจน ส่วนตัวกางเกงก็ดูคล้ายของคนตัวเล็กทั้งสีและทรงจะต่างกันอยู่หน่อยก็ตรงที่ช่วงขาของคนตัวสูงนั้นยาวกว่าคนตัวเล็กอยู่มากจนหากมายืนข้างๆกัน ที่ควรจะเป็นเหมือนกางเกงแฝดก็คงจะดูเหมือนกางเกงพ่อกับกางเกงลูกมากกว่า ทรงผมที่ปกติถูกปล่อยละหน้าละตาตอนนี้ถูกเซ็ตให้กลายเป็นทรงผมคอมม่าเหมือนกับไอดอลเกาหลี และถึงแม้หน้าตาของเขาจะไม่มีเอเชียผสมปนอยู่แม้แต่นิดเดียวแต่ทรงผมจากแดนกิมจินี้ก็เข้ากันได้ดีกับรูปหน้าของเขาจนออร่าที่มีอยู่มากอยู่แล้วกลับมากขึ้นไปอีกจนแทบจะกลบรัศมีของทุกคนในงานไปเลย
และถึงแม้คนตัวเล็กจะเจ็บอยู่ในใจ แต่เขาเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วซึ่งเขาก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่าตัวเขาที่เป็นแค่ลูกบอลประดับจะไปเทียบกับพี่ซีอิ๊วที่เป็นดาวบนยอดเสาได้อย่างไร ต้นคริสมาสต์ไม่มีลูกบอลประดับก็ยังเป็นต้นคริสมาสต์ได้อยู่ แต่ต้นคริสต์มาสหากไร้ซึ่งดาวบนยอดแล้วมันก็เป็นได้เพียงแค่ต้นสนไม่ใช่หรือ คนเรามันก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีและคู่ควรที่สุดให้ตัวเองสิ แต่ก่อนหน้าที่จะคิดไปมากกว่านั้นเดวิดที่ยืนข้างเขาเมื่อครู่ ก็กุลีกุจอเข้าไปกล่าวทักทายบุคคลที่มาใหม่ปล่อยให้คนตัวเล็กยืนเคว้งคว้างอยู่คนเดียว
คนผิวแทนได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจเบาๆ อย่างเอือมๆ ก่อนที่จะเดินไปยังซุ้มอาหารที่อยู่ไม่ไกลนักจาก ลานเต้นรำ แต่คนตัวเล็กก็ต้องทำหน้าเบ้ขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเขาค้นพบว่าอาหารที่อยู่ในงานไม่ใช่อาหารที่หรูหราหรืออาหารที่จะทำให้เขาผ่านค่ำคืนอันหิวโหยไปได้โดยง่าย อาหารที่อยู่ตรงหน้าออกจะเป็นอาหารตามงานปาร์ตี้ง่ายๆ เช่นพวกขนมแผ่นขนมกรุบกรอบ ของทอด แล้วก็อ่างน้ำพันซ์ และ น้ำอัดลมต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าคนจัดงานจะเอาเวลาไปทุ่มเทกับสถานที่มากกว่าจะเตรียมการเรื่องอาหาร เพราะผู้คนนับร้อยที่อยู่ในงานตอนนี้ไม่มีทางเลยที่จะกินอาหารตรงหน้ากันได้อย่างพอเพียงและทั่วถึง
“I like your shirt” (เสื้อสวยดีนะ)
เสียงทุ้มๆอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังคนตัวเล็ก หากไม่มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า คนผิวแทนก็คงแทบจะวางอาหารและรีบกลับหลังหันไปคุยด้วยความรวดเร็วแล้ว แต่พอตอนนี้ ณ ขณะนี้ หัวใจมันช่างสับสนเหลือเกิน การเลือกที่จะหลบหน้ามันอาจจะดีกว่าการเผชิญหน้ากันตรงๆ
“Are you ok? Did I make something bad to you?” (นายเป็นอะไรไหม ฉันได้ทำอะไรไม่ดีกับนายหรือเปล่า) แต่ทว่าความเงียบก็คงไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก เพราะว่ายิ่งคนตัวเล็กทำทีท่าไม่สนใจและเฉไฉด้วยการมองไปที่อาหารที ขนมที รูเบนก็ยิ่งเดินเข้ามาประชิดตัวธันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนที่แขนยาวเรียวจะได้สัมผัสไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของคนผิวแทน เสียงจากบนเวทีก็ดังขึ้นมาเรียกความสนใจของคนในงานซะก่อนรวมถึง คนผิวขาวและผิวแทนด้วย
“Ok guys, before we going to have a mini concert from our school band I need some volunteer to sing a song for open this party night.” (เอาละครับก่อนที่เราจะไปรับชมมินิคอนเสิท จากวงโรงเรียนของเรา ผมอยากได้อาสาสมัครมาร้องเพลงเพื่อเป็นการเปิดงานในค่ำคืนนี้ของเราครับ) เสียงโห่ร้อง ผิวปาก ดังขึ้นทั่วงาน พร้อมกับดันเพื่อนตัวเองออกไปข้างหน้าเพื่อขึ้นไปร้องเพลงเกิดขึ้นทั่วทุกที่ในงาน แต่ก่อนที่จะเกิดความโกลาหนไปมากกว่านี้ ผู้คนตรงกลางลานก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกทีละนิดเพื่อให้ใครคนหนึ่งเดินไปหน้าเวทีได้อย่างสะดวก และเมื่อคนๆนั้นหลุดออกมาจากฝูงชนแสงไฟและแสงดาวก็เผยให้เห็นใบหน้านวลอย่างชัดเจน
“Oh Thank you, Thun let jump on here” (ขอบคุณมากธัน ขึ้นมาเลย) พิธีกรในงานพูดด้วยเสียงตื่นเต้น เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเสนอตัวขึ้นมาร้องเพลงในงานที่มีสายตาเป็นร้อยจับจ้องแบบนี้ แต่งานของเขากลับง่ายกว่าที่คิด เพราะพอเขาพูดยังไม่ทันจะจบดีกลับพบว่ามีอาสาสมัครเดินขึ้นมาข้างหน้าเวทีเพื่อให้เขาเรียกขึ้นมาแล้ว
คนตัวเล็กเพิ่งจะได้สติหลังจากโดนเรียกชื่อ ผ่านลำโพงเสียงดังไปทั่วงาน ถึงมือจะชา ขาสั่นก้าวไม่ค่อยจะออก เพราะด้วยความที่เขาร้องเพลงเพี้ยนเป็นทุนเดิมบวกกับอาการที่ไม่ค่อยจะชินกับการพูดหรือทำอะไรต่อหน้าที่สาธารณะยิ่งทำให้อาการสั่นโหมนั้นเป็นหนักจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้วในตอนนี้ แต่ถึงแบบนั้น “The show ก็ต้อง must go on “ กันแล้วละ จะมาโบกไม้โบกมือว่าพูดเล่นหรืออะไรทำนองนั้นก็คงไม่ทันแล้ว จากการที่จะหาทางรอดจากหนุ่มตาฟ้า กลับกลายเป็นว่าเขาต้องกลับมาตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิมซะอีก และถึงแม้ในหัวจะมีแต่คำว่า “ซวยแล้วอยู่เต็มไปหมด” แต่เสียงกลองที่เริ่มเคาะขึ้นจังหวะ เสียงกีตาร์ที่เริ่มขึ้น อินโท เพลง เขาเองจึงจำเป็นจะต้องจ่อไมค์ไว้ที่ปากแล้วเริ่มร้องเพลงที่เขารีเควสไปตอนไหนกับใครเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ เขาต้องรีบร้องมันออกมาให้ได้ก่อนที่จังหวะจะแซงหน้าเสียงร้องของเขาไป
“Rose girls in glass vases
Perfect bodies, perfect faces
They all belong in magazines
Those girls the boys are chasing
Winning all the games they're playing
They're always in a different league
Stretching toward the sky like I don't care
Wishing you could see me standing there
But I'm a sunflower, a little funny
If I was a rose, maybe you'd want me
If I could, I'd change overnight
And turn into something you'd like
But I'm a sunflower, a little funny
If I was a rose, maybe you'd pick me
But I know you don't have a clue
This sunflower's waiting for you
Waiting for you”
จบเพลงกันไปอย่างสะบักสะบ่อมทั้งคนร้องและคนเล่นดนตรี และถึงแม้เสียงเขาจะผิดคีย์เกือบทั้งหมด ส่วนวงดนตรีด้านหลังที่จะต้องทำงานหนักกว่าเดิมเป็นสองเท่าเดิมเพื่อทำให้เพลงมันรอดไปให้ได้ แต่เมื่อเสียงสุดท้ายถูกส่งผ่านออกมาจากคนผิวแทน เสียงตบมือก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง แม้จะไม่รู้ว่าเสียงนี้เกิดขึ้นเพราะชอบเพลงหรือว่าเกิดขึ้นเพราะดีใจที่เพลงนี้จบลงได้สักทีก็เถอะนะ
“Thank you Thun that was amazing, Ok next I want to invite Ruben who is the most handsome and the best singer in Brisbane, Woohoo” (ขอบใจมากๆเลย ธัน เมื่อกี้มันช่างงดงามมากๆเลยนะ เอาละเพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลาผมอยากจะขอเชิญรูเบนไอ้หนุ่มที่หล่อที่สุดในงานและยังเป็นนักร้องที่ดีที่สุดในเมืองเราอีกต่างหาก ขึ้นมาเลยเพื่อนอยาก วู้!!!) คนตัวเล็กวางไมค์คืนบนขาตั้งก่อนที่จะรีบเดินลงจากเวทีอย่างรวดเร็ว ประการแรกที่คนตัวเล็กต้องรีบร้อนจนแทบจะกระโดดลงจากเวทีก็คือประโยคที่พิธีกรพูดแม้จะไม่ได้ดูมีจุดไหนที่เป็นการเยาะเย้ยหรือถากถางเขาเรื่องเสียงเลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยน้ำเสียงช่วงต้นที่เปล่งออกมานั้นมันช่างดูราบเรียบไร้ความรู้สึกราวกับกระดาษขาวที่ไม่มีการแต่งแต้มอะไรเลยกลับกันกับประโยคช่วงหลังที่ดูตื่นเต้นเร่งเร้าจนคนผิวแทนรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่อยู่ยังไงก็ไม่รู้
ส่วนประการที่สองก็ไอ้คนที่กำลังจะขึ้นมาเนี่ยก็เป็นคนที่เขาหลบหน้ามาตลอดทั้งวันเลยไม่ใช่หรือไง แต่คนตัวเล็กก็ต้องหยุดชะงักเมื่อตอนจังหวะที่จะเดินสวนกับคนตัวสูงตรงบันไดเวที รูเบนก็ได้จับข้อมือเขาไว้แน่นจนจำเป็นต้องเดินตามคนผมสีอัลมอนด์กลับขึ้นมาบนเวทีอีกรอบแม้จะไม่ได้มาเพราะความเต็มใจนัก
เมื่อเดินมาถึงตรงกลางเวทีที่พิธีกรยืนอยู่ คนตัวสูงก็ไม่รีรอที่จะยื่นมือไปขอไมค์จากพิธีกรและดูเหมือนว่าพิธีกรจะรู้คิวมาก่อนล่วงหน้าแล้วดังนั้นเมื่อรูเบนมาถึงเขาจึงรีบยื่นไมค์ใส่มือให้คนตาฟ้าโดยทันที โดยไม่นึกจะเอ่ยถามถึงสาเหตุในการฉุดกระชากลากถูคนตัวเล็กขึ้นมาบนเวทีแม้แต่น้อย
“Thank you Mike, Ok guy I want to start our night with something different some guys might know my first song and some don’t but I believe not everyone will be understand because it isn’t English song” (ขอบใจมากไมค์ เอาละครับทุกคน คืนนี้ผมก็จะมาทำอะไรให้มันแตกต่างจากปกติอยู่สักหน่อยแล้วกันนะครับเพลงแรกของคืนนี้บางคนอาจจะรู้จักแต่บางคนอาจจะไม่ แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่าหลายคนในที่นี้อาจจะฟังไม่ออกเพราะมันจะไม่ใช่เพลงภาษาอังกฤษนะครับ) พูดจบเขาก็ขยิบตาใส่คนข้างล่างเวทีและก็พยักหน้าให้สัญญาณวงดนตรีด้านหลัง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นพี่เบส กับ พี่ดัมป์ที่ยืนรอจังหวะอยู่แล้ว ส่วนคนผิวแทนข้างๆก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายืนก้มหน้าด้วยความตื่นตระหนกและเขิลอายเพราะไม่รู้เลยว่างานเลี้ยงต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ
อยากรู้จักตั้งแต่ได้เจอ
ใจฉันสั่นเมื่อได้ยินเสียงเธอ
ตั้งแต่วันแรกเจอ
ก็เผลอเอาไปคิดละเมอ
พอรู้จักก็อยากจะทักทาย
แต่พอไม่เจอแล้วใจก็วุ่นวาย
เธอหายไปก็ห่วงเธอแทบตาย
จะเป็นเช่นไร
ตรงนั้นมีใครดูแลอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้
เกือบลืมหายใจเมื่อเธอเข้ามาใกล้ใกล้
แค่เธอยิ้มมา ก็สั่นไปทั้งหัวใจ
อยากจะบอกเธอให้ได้รับรู้ความในใจ
แต่บอกตอนนี้ไม่รู้จะเร็วไปหรือไม่
ก็ยังไม่รู้ว่าเธอคิดเช่นไร
ถ้าบอกคำนั้นแล้วเธอตอบมาว่าไม่ใช่
ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงจะเดินหนีไป
ดีพอแล้วที่ได้มีเธออยู่ใกล้ใกล้
ได้ยินเสียงได้คอยดูแลอยู่ไม่ไกล
จะซ่อนความลับเอาไว้ในหัวใจ
มากเพียงไหนฉันจะไม่ยอมพูดไป
อยากจะบอกให้เธอได้รู้ใจ
ที่จริงก็อยากจะบอกคำนั้นไป
แต่กลัวเหลือเกินว่าจะต้องเสียใจ
หากเธอรับไม่ได้
เธอคงไม่ยอมให้อภัยกับคำนั้น
อึดอัดเหลือเกิน ต้องเก็บเอาไว้ข้างใน
อึดอัดหัวใจ แต่ก็กลัวว่าถ้าพูดไป
กลัวว่าจะต้องเสียใจ
แต่บอกตอนนี้ไม่รู้จะเร็วไปหรือไม่
ก็ยังไม่รู้ว่าเธอคิดเช่นไร
ถ้าบอกคำนั้นแล้วเธอตอบมาว่าไม่ใช่
ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงจะเดินหนีไป
ดีพอแล้วที่ได้มีเธออยู่ใกล้ใกล้
ได้ยินเสียงได้คอยดูแลอยู่ไม่ไกล
จะซ่อนความลับเอาไว้ในหัวใจ
มากเพียงไหนฉันจะไม่ยอมพูดไป
มองกันให้ดีเธอก็คงรู้
ในความห่วงใยฉันมีอะไรซ่อนอยู่
ที่ยังไม่รู้คือเธอนั้นคิดอย่างไร
มองกันให้ดีเธอก็คงจะเห็น
ความจริงที่เป็นว่าฉันคิดอะไร
หนึ่งคำนั้นที่ยังไม่ได้พูดไป
จะเก็บเอาไว้ในวันที่จะเผยใจ
รอวันนั้น วันที่ฉันแน่ใจ
ว่าวันนี้เธอคิดว่าฉันนั่นใช่
และเธอพร้อมจะฟังความข้างใน
จะบอกว่ารักให้เธอได้ยินใกล้ใกล้
บอกว่ารักเธอได้ยินหรือไม่
ถ้ายังไม่ชัดฟังอีกครั้งก็ได้
ได้ยินไหมว่ารักเธอทั้งหัวใจ”
เสียงเฮจากข้างล่างดังสนั่นเมื่อเสียงนักร้องจบลง บางคนเฮเพราะเข้าใจว่ารูเบนร้องอะไรแต่บางคนก็แค่เฮเพราะเสียงและเสน่ห์ของคนตัวสูงที่มีออร่ามากขึ้นไปอีกเมื่อยามอยู่บนเวที ทั้งๆที่คนเหล่านั้นจะไม่เข้าใจว่าคนตาฟ้าร้องอะไรสักประโยคก็ตาม ส่วนคนผิวแทนตอนนี้
เหวอรับประทานไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องด้วยภาษาที่คนตัวสูงร้องมันเป็นภาษาไทย ร้อยเปอร์เซนต์ ซึ่งตอนแรกที่คนตัวสูงพูดก่อนร้องเขาก็เข้าใจว่ารูเบนจะร้องเพลงภาษาฝรั่งเศส ซึ่งประโยคแรกที่เขาร้องเขาก็ยังไม่เอะใจอะไร แต่พอเข้าท่อนที่สองที่สามหน้าของคนตัวเล็กก็เปลี่ยนสีชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะพอฟังดูดีๆ มันเป็นเพลงไทยนี่หว่า แล้วสำเนียงที่เขาร้องเนี่ยก็ไม่มีทางเลยที่จะฝึกกันได้ภายในเวลาวันสองวัน เพราะมันชัดมาก ส่วนมือที่คนตัวสูงบีบมาที่มือเขาเนี่ยมันก็ทำให้เขาเหงื่อแตกและสับสนว่าเขากำลังจะทำหรือจะกำลังจะเล่นอะไรอยู่กันแน่
แต่ทุกครั้งที่คนตัวเล็กเผลอเงยหน้าขึ้นไปสบตาคนตาฟ้า มันก็มีความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นมาทุกครั้งมันเป็นความรู้สึกเหมือนว่าเวลาเราชอบใครและเขาคนนั้นก็ชอบเราเช่นกัน มันถูกส่งผ่านมาทั้งหมดจากสายตาและรอยยิ้ม แต่เขาจะมั่นใจได้ยังไงว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง ฉับพลันเหมือนความคิดของเขานั้นเขามีเสียงดังออกมาเพราะ รูเบนเหมือนจะสัมผัสอะไรได้บางอย่างจากแววตาของคนตัวเล็ก เขาก็เลยทำในสิ่งที่ธันไม่คาดฝันว่าจะได้และคนในห้องก็คาดฝันว่าจะเห็นเช่นกัน เพราะจังหวะที่ทุกคนกำลัง งง ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเพราะหลังจากจบเพลงแรกก็เกิดความเงียบงันขึ้นทั่วห้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 วินาทีแล้ว แต่เมื่อวินาทีที่ 11 ได้เริ่มต้นขึ้น เสียงกรี๊ดและเสียงเฮก็ดังขึ้นไปทั่วห้อง เนื่องด้วยว่ารูเบนได้ก้มลงจูบคนตัวเล็กต่อหน้าพยานนับร้อยคนในห้อง
ปากสวยได้รูปของคนตัวสูงเข้าประชิดเข้าไปเบียดชิดเข้ากับปากเล็กนุ่มนิ่มของคนผิวแทนแต่มันไม่ได้จบกันแค่ริมฝีปากชนกันแต่มันเริ่มที่จะแนบแน่นยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อลิ้นของคนตาฟ้าเริ่มที่จะซุกซนลามเลียไปทั่วขอบปากล่างของคนผิวแทนจนทำให้ธันจำยอมต้องอ้าปากออกเล็กน้อยเพราะทนต่อการเรียกร้องของอีกฝ่ายไม่ไหว ลิ้นร้อนค่อยๆสำรวจโพรงปากของคนตัวเล็กอย่างอ้อยอิ่งจากข้างหนึ่งสู่อีกข้างหนึ่งและจบลงด้วยการเกี้ยวกวัดลิ้นของคนตัวเล็กให้ออกมาจากจุดที่มันอยู่ ซึ่งคนผิวแทนก็ให้ความร่วมมือในการประสานจูบครั้งนี้เป็นอย่างดีจนน่าจะเผลอลืมไปว่าเขาไม่ได้อยู่กันแค่สองต่อสองในห้อง
รสจูบยุติลงด้วยแรงตีเล็กน้อยจากมือของคนตัวเล็กที่สัมผัสไปที่อกของคนตัวสูงเนื่องจากว่าเขาเริ่มจะขาดอาการหายใจแล้ว และถึงแม้รูเบนจะไม่อยากถอนปากออกจากอีกฝ่ายเพราะรสหวานที่เขาเพิ่งจะได้สำรวจนั้นมันช่างซาบซ่าและยั่วยวนจนเขายังอยากจะดูดกลืนต่ออีกสักหน่อย
แต่เขาก็ไม่อยากจะถูกคนตัวเล็กเมินเฉยหรือโกรธเขาเหมือนเมื่อเช้าอีก ดังนั้นเขาจึงต้องจำยอมถอนปากออกไปแต่ก็มิวายที่จะขบกัดริมฝีปากเล็กๆอย่างหมั่นเขี้ยวและพาทั้งตัวเขาและคนผิวแทนกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงตรงหน้าเสียที
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีระลอกแรกเพิ่งจะหยุดไป แต่เสียงโห่ร้องจากผู้ชายและเสียงกรี๊ดร้องจากผู้หญิงก็ดังสนั่นขึ้นอีกครั้งด้วยความดังมากกว่าเดิม เพราะคนตาฟ้าตัดสินใจพูดผ่านไมค์ด้วยประโยคที่แสนเรียบง่ายและธรรมดาแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย คำๆนั้นที่เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่แต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมาจากตาสีฟ้าก็คือคำว่า
“Will you be my boyfriend, Thun ?”