(ขอสกรีมก่อนนะคับ คืออยากจะบ้าตายกับคอมพีซีที่บ้านมากคือโปรแกรมเวิร์ดมันรวนคับ พิมพ์ๆอยู่มันเล่นตัดออกจากโปรแกรมเลย แล้วกำลังพิมพ์ไปเรื่อยๆหายหมด เซ็งจิตมาก
ต้องมานั่งเริ่มกันใหม่ เอาเป็นว่าตอนที่ 3 มาแล้วล่ะคับทุกคน)
-3-
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทะเลทั้งเขาและผมก็ไม่ได้มีใครเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก เราสองคนนั่งกินอาหารง่ายๆที่หาได้ตามแถวนั้นก่อนที่ผมจะแยกไปนั่งร่างแบบเพื่อตกแต่งภายใน
ลมทะเลพัดผ่านบานหน้าต่างไม้เข้ากระทบกับผืนผ้าม่านบางพลิ้วไปพลิ้วมามองดูแล้วเพลิดเพลิน
เสียงเพลงเบาๆเปิดคลอไปด้วยยิ่งทำให้บรรยากาศดูโรแมนติก หากว่าเป็นนุชมาแทนผม สองคนนั้นคงจะต้องสวีตหวานอย่างแน่นอน
ผมไม่รู้ว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหนแต่มารู้สึกตัวตื่นก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนที่นอนปิ๊กนิคในห้อง ผ้าแพรสีสวยถูกดันออกจากตัวก่อนที่จะบิดขี้เกียจและสูดหายใจเข้าปอด
ว่าแต่…ผมเข้ามานอนในห้องได้ยังไง
หรือว่า…
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ผมลุกขึ้นไปเปิด
ผมเห็นคุณภวินทร์ยืมยิ้มให้ต้อนรับเช้าวันใหม่ ถึงแม้ท้องฟ้าจะยังมืดเนื่องจากพระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นเส้นขอบฟ้าก็ตาม
“หิวหรือยังครับ ไปอาบน้ำแปรงฟันก่อนนะ เดี๋ยวผมจะพาไปหาอะไรกิน ตลาดอยู่แถวๆนี้เอง”
หลังจากที่ผมทำภารกิจส่วนตัวเสร็จก็เดินออกมาหน้าบ้านเห็นจักรยานสองคันจอดอยู่
“ลำบากหน่อยยะครับ พอดีผมยังไม่ได้สั่งเตียงมาเลยต้องนอนแบบนั้นไปก่อน”
“สบายมากครับ ภัทรไม่ใช่คุณหนูที่จะต้องนอนแต่บนเตียงนุ่มๆนะครับ”
“ครับๆ เอาเป็นว่าผมมีสองทางให้เลือก หนึ่งคือเราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันก่อนถ้าภัทรยังไม่หิว สองคือเราจะไปหาอะไรกินกันก่อนถ้าภัทรหิวแล้ว”
ผมยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเขาเรียกชื่อโดยที่ไม่มีการเติมคำนำหน้าที่ดูเป็นคนอื่นคนไกล
“ยังไม่หิวครับ อีกอย่างภัทรไม่อยากพลาดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่หัวหินหรอกนะครับ”
และก็เป็นอีกครั้งที่เขาหัวเราะ
“คุณวินคงคิดว่าภัทรเหมือนเด็กอีกแล้วใช่ไหมครับ”
“ก็นิดหน่อยครับ ว่าแต่…ผมว่าเราลดหรือตัดคำสุภาพออกไปบ้างดีไหมครับ แลดูห่างเหินยังไงชอบกล”
“ได้ครับ คุณ…อ๊ะ…ได้ครับวิน”
อ่า…ครั้งแรกที่ผมเรียกชื่อเขาตรงๆ บรรยายความรู้สึกออกมาไม่ถูกเลยจริงๆ หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นแรงสูบฉีดเลือดซะจนหน้าร้อนผ่าว
“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวไม่ทันนะ”
เขาเอ่ยก่อนจะขี่จักรยานนำไปก่อนที่ผมจะเร่งความเร็วจนตามทัน ก่อนจะไปจอดอยู่บนสะพานที่ทอดตัวออกไปกลางทะเล
ดวงอาทิตย์สีส้มแดงค่อยๆโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
“ผมเพิ่งเคยตั้งใจดูพระอาทิตย์ขึ้นเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย”
“แล้วที่ผ่านมาภัทรไม่เคยดูเลยเหรอ”
“ผมไม่ค่อยมีเวลาไปไหนหรอกครับ ทำแต่งานและถึงแม้จะมีเวลาก็ใช่ว่าจะมีคนไปด้วย ให้ไปนั่งมองบรรยากาศโรแมนติกคนเดียวหรือไปดูคู่อื่นเขาสวีตใส่กันล่ะก็…ขอนอนอยู่บ้านโดยมีกระดาษร่างแบบอยู่รอบตัวยังจะดีซะกว่า”
“งั้นวันนี้ภัทรดูให้เต็มที่เลยนะ ผมจะนั่งอยู่ข้างๆนี่แหละ”
น้ำเสียงของเขาทำให้รู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจ ใช่…ตอนนี้เขากำลังอยู่ข้างๆกายของผมแต่อีกไม่นานเขาก็จะไปอยู่ข้างกายของคนอื่น
เมื่อแสงเริ่มสว่างจ้าขึ้นเขาก็ชวนผมไปหาอะไรกินเพราะว่าถ้าช้ากว่านี้ร้านประจำของเขาจะเก็บของกลับบ้าน
“ต้มเลือดหมูร้านนี้ขึ้นชื่อเลยนะครับ แต่ถ้าภัทรไม่ถนัดของหนักท้องโจ๊กก็มีนะครับ หรือกาแฟ น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋”
“ก็ในเมื่อวินบอกว่าต้มเลือดหมูขึ้นชื่อ ภัทรจะพลาดได้ไงกัน”
หลังจากมื้อเช้าแสนอร่อยสมคำร่ำลือผมก็กลับมานั่งประจำที่ระเบียงบ้านซึ่งเป็นจุดที่เห็นวิวทะเลได้ดีที่สุดและดูเหมือนว่าอีกภาพหนึ่งที่น่าสนใจคงจะไม่พ้น…
ชายหนุ่มรูปร่างสูงสมส่วนถอดเสื้อโชว์รูปร่างในขณะกำลังทาสีบ้าน ผมสีเข้มที่เคยปรกหน้าผากบัดนี้ถูกผ้าเช็ดหน้าสีขาวคาดกันไว้ ลักยิ้มที่เผยให้เห็นบ่งบอกได้ว่าคนทำกำลังเพลิดเพลิน
ลมทะเลหอบพัดมาวูบหนึ่งเป็นเหตุให้แผ่นกระดาษปลิวว่อนไปทั่ว ผมรีบคว้าบางส่วนของตัวเองไว้ได้แต่ดูเหมือนว่าจะมีอีกหลายๆแผ่นที่กระจัดกระจายไปทั่ว
ผมเก็บส่วนของตัวเองเข้าแฟ้มจนเรียบร้อยแต่ก็ต้องมาเก็บให้ส่วนของเขาด้วยเช่นกัน แผ่นกระดาษนับสิบๆแผ่นถูกรวบมารวมอยู่กองเดียวกันแต่มีเศษกระดาษแผ่นหนึ่งที่ใหญ่กว่าแผ่นอื่นแถมขอบกระดาษก็เริ่มเป็นสีเหลืองบ่งบอกถึงระยะเวลา
ความจริงผมก็มีมารยาทพอที่จะไม่ทำอย่างที่ใจคิดแต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่าทำให้จับภาพนั้นเพื่อจะนำมาดูแต่เสียงของเขากลับเรียกขัดเสียก่อน
“ว่าไงครับ วิน”
“ผมว่าจะจัดการกับซุ้มพวงชมพูสักหน่อยเลยอยากได้ผู้ช่วยมาจับเก้าอี้ให้เพราะไม่อยากตกลงมาคอหักหรือเป็นอัมพาตน่ะครับ” เขาเอ่ยก่อนจะหัวเราะตามแบบฉบับคนขี้เล่น
หลังจากที่เขาจัดการกับดอกไม้สีหวานเป็นที่เรียบร้อย ช่วงขายาวก้าวลงมาจากเก้าอี้แต่เนื่องจากพื้นด้านล่างเป็นดินที่ค่อนข้างแฉะทำให้ร่างสูงลื่นจนเสียการทรงตัว
ผมพยายามฉุดเขาไว้แต่ด้วยความที่ไม่อาจถ่วงน้ำหนักไว้ได้ มือข้างที่ว่างจึงคว้าไปที่เถาของต้นพวงชมพูแต่ด้วยความบอบบางของต้นไม้ จนแล้วจนรอดเราทั้งคู่ก็ล้มลงบนพื้นโดยมีกลีบสีหวานของดอกพวงชมพูร่วงโปรยปรายตามลงมาด้วย
ณ เวลานี้ราวกับถูกสายตาคู่คมดึงดูดไว้ไม่ให้ละไปไหนจนลืมไปแล้วว่าตอนนี้สถานการณ์ล่อแหลมมากแค่ไหนเพราะผมนั่งคร่อมอยู่ที่ช่วงเอวของเขา
ปลายนิ้วเรียวของมือใหญ่เกลี่ยไปตามแนวโครงหน้าของผมก่อนจะหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก ลูบไล้ไปมาช้าๆทำให้เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสต้องห้าม
ความอบอุ่นของเขา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ามือ รอยยิ้มหรือการกระทำก็ตาม
สิ่งเหล่านั้นทำให้ผม…เผลอ…รักคนมีเจ้าของ
มือใหญ่สัมผัสที่ซีกแก้มโน้มใบหน้าให้ก้มต่ำลงไปหาก่อนจะแนบริมฝีปากอุ่นลงบนแก้มของผมเนิ่นนาน
แต่แล้วจิตสำนึกก็ปลุกผมจากภวังค์ ผมรีบผละลุกขึ้นจากเขา
“ตัวเลอะหมดแล้ว ภัทรขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ผมรีบก้มหน้าก้มตาเดินหนี ซ่อนใบหน้าระเรื่อด้วยความเขินขาย
“เดี๋ยวภัทร…คือเมื่อกี๊…”
เขาเดินเข้ามาคว้าแขนผมไว้
“แค่อารมณ์ชั่ววูบ ภัทรไม่ถือ”
“เดี๋ยวภัทร”
เขาเอ่ยเรียกไว้อีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะเดินหนี
เขาใช้อ้อมแขนกว้างโอบรั้งผมไว้ ไม่มีถ้อยคำใดๆอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้น และเราก็มายืนเผชิญหน้าประสานสายตากัน
ร่างสูงค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างประคองซีกแก้มก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของเราแนบชิด
ตอนนี้ผมรับรู้ได้เพียงแค่สัมผัสของเขาเท่านั้น แค่…ภวินทร์เท่านั้น
ขอเพียงแค่หนึ่งอาทิตย์ที่อยู่ที่หัวหินเท่านั้น แค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่ผมจะยอมเป็นคนเลว หลังจากนั้น…
ผมจะไปจากชีวิตของเขา
คำอธิบายการกระทำเหล่านี้จากผมคงมีแต่เพียงคำว่า “ชั่ววูบ” เท่านั้น เพราะผมไม่อาจจะบอกเหตุผลที่แท้จริงออกไปได้ ผมจะบอกเขาได้อย่างไรว่า “ผมรักเขา”
เย็นวันนั้นหลังมื้อค่ำขณะที่วินกำลังล้างจานส่วนผมกำลังร่างแบบห้องไปพลางๆก็มีคนมาผมจึงอาสาไปดูให้
“ผมเอาชุดมาให้คุณภวินทร์น่ะครับ” ชายวัยกลางคนเอ่ย
“ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวผมจะบอกคุณวินให้”
“ชุดมาส่งน่ะครับ” ผมตะโกนบอกเขา
“รบกวนเอาไปแขวนไว้ในห้องให้หน่อยครับ” เขาตะโกนตอบกลับมา
ผมเดินเข้ามาในห้องของเขาซึ่งยังไม่ได้ตกแต่งอะไรก่อนจะเอาชุดที่ถูกคลุมด้วยซองซิปสีเงินขนาดพอดีกับตัวเสื้อ ดูก็รู้ว่านี่คงเป็นชุดที่สำคัญมาก
ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ผมค่อยๆรูดถุงซิปลงเพื่อดูชุดข้างในแล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้
ชุดสูทสีดำที่ทำจากผ้าเนื้อดีถูกรีดจนเรียบกริบ กลิ่นน้ำยาอัดกลีบยังคงหอมฟุ้ง ในใจของผมตอนนั้นนึกอยากจะทึ้งชุดนั้นให้ยับย่น ขาดวิ่นแต่ผมกลับทำได้เพียงแค่ยิ้ม ยิ้มให้กับภาพของเขาที่อยู่ในชุดสูทหรูที่มีหญิงสาวแสนสวยยืนเคียงข้าง
“ผมอยากคุยกับภัทรได้ไหม” เขาเอ่ยก่อนเดินเข้ามาใกล้
“ครับ ว่ามาเลย”
“ผมอยากให้บ้านเสร็จให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้น่ะ”
“กลัวว่าจะไม่ทันเซอร์ไพร์เจ้าสาวเหรอครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะภัทร”
“ถึงแม้ว่าเราจะเพิ่งได้พบกัน เพิ่งได้พูดคุยกันแต่ผมก็มั่นใจในความรู้สึกของผม ว่าผมรักภัทร”
“รักอย่างนั้นเหรอครับ แต่เสียใจนะครับคุณวิน สำหรับผมน่ะมันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ คุณก็รู้นี่ว่าผมไม่มีใคร การที่ผมจะเผลอใจไปกับใครสักคนก็ไม่เห็นจะแปลก อีกอย่างถ้าตอนนี้ผมอยู่กับคนอื่นผมก็คงจะทำแบบนี้เหมือนกัน”
“ผมหลงคิดว่าเราจะใจตรงกันเสียอีก”
“คุณหลงอยู่ในความฝัน ส่วนผมอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ขอโทษด้วยนะครับ พรุ่งนี้ผมจะเร่งทำงานให้เสร็จ เราสองคนจะได้กลับไปอยู่ในที่ที่แต่ละคนควรจะอยู่เสียที”
ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะเดินกระแทกไหล่เขาออกจากห้องไปเพื่อไม่ให้เขาเห็นใบหน้าที่เปรอะเปื้อนรอยน้ำตา ใบหน้าของคนอ่อนแอ ที่พ่ายแพ้ต่อทุกอย่าง
ผมอยากจะบอกเขาไปตามตรง อยากจะบอกออกไปว่า “รัก” เหลือเกิน
แต่เวลากำลังสั้นลงทุกวินาที ภาพหญิงสาวแสนสวยเพื่อนรักคนสนิทของผม ภาพชุดสูทอย่างเป็นทางการของว่าที่เจ้าบ่าว ภาพบ้านแสนสวยที่จะเป็นเรือนหออีกไม่นาน
ทุกๆอย่างมันตอกย้ำอย่างชัดเจนว่าภวินทร์เป็น…
สุดที่รักของคนอื่น
To B Con…
(สวัสดีคับ มาแล้วๆๆ คือใจจริงอยากจะสื่อความรู้สึกของทั้งคู่ให้มากกว่านี้แต่นี่ก็ปาเข้าตอนที่ 3 แล้วเดี๋ยวมันจะกลายเป็นเรื่องไม่สั้นไปเสียก่อน แหะๆ คิดว่าอีกไม่น่าจะเกิน 2 ตอนก็จะปิดตัวแล้วล่ะคับ ช่วยเป็นกำลังใจให้จนจบด้วยนะคับ ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์นะคับ ดีใจจริงๆ
)