2 ปีถัดมา...ผมใช้เงินส่วนหนึ่งที่ได้จากพ่อร่วมลงหุ้นกับเพื่อนที่สนิทและไว้ใจได้ เปิดบริษัทเล็กๆ ขึ้นในตัวเมืองไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก ผมใช้ความรู้และความถนัดในสายงานวิศวกรรมที่ทำมาหลายปีให้เกิดประโยชน์ โดยมีเพื่อนคอยช่วยเหลือด้านการบริหาร และมีเต้คอยสนับสนุนโดยการใช้เส้นสายในแวดวงอาจารย์ของเขา นอกจากนั้น เขายังเป็นคนที่กระตุ้นให้ผมเรียนต่อปริญญาโทด้านการบริหารจัดการเพิ่ม และตอนนี้ผมก็กำลังจะได้วุฒินั้นมาในเวลาอีกไม่กี่เดือน ทุกๆ อย่างดูเหมือนจะไปได้ดีทีเดียว ผมได้ทำงานด้านที่ตัวเองถนัดและทำในสิ่งที่ผมชอบพร้อมๆ กันโดยไม่จำเป็นต้องเป็นลูกน้องใคร ผมสามารถบริหารเวลาเพื่อที่จะดูแลงานอื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่รับเพิ่มมาอย่างเช่นการเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทอื่นๆ หรือแม้แต่ซ่อมเครื่องใช้เครื่องเรือนให้บรรดาคนในหมู่บ้าน และผมยังสามารถดูแลครอบครัวที่เหลืออยู่ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ถึงแม้รายได้ของผมจะไม่มากมายนักอย่างที่ใครหลายๆ คนคิด แต่มันก็เพียงพอและทำให้ผมมีความสุขอย่างแท้จริง และผมเชื่อว่าในอนาคต บริษัทของเราจะต้องได้ผลกำไรที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน
ในส่วนของเต้ นอกจากเงินเดือนที่เขาได้รับแล้ว เขายังมีรายได้พิเศษจากการเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยอื่นๆ เป็นที่ปรึกษา และค่าวิชาการอีกจำนวนไม่น้อย ถึงแม้ผมจะย้ำกับเขาหลายครั้งว่าเงินของผมก็คือเงินของเรา เขาไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาช่วยค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ ในบ้าน แต่เขายืนยันว่าเขาต้องทำและอยากที่จะทำ มันคือสิ่งที่เขาทำและมีความสุข ดังนั้นผมจึงปล่อยให้เขาทำงานมากตามที่เขาต้องการ ตราบเท่าที่เขาสัญญาว่าจะดูแลร่างกายของตัวเองและมีเวลาให้กับครอบครัว ซึ่งเขาก็ทำอย่างนั้นได้จริง เพราะตอนนี้เขาเลิกบุหรี่ได้ขาดมาเกือบสองปีแล้ว และเรายังไปออกกำลังด้วยกันทุกสัปดาห์ อย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้งด้วย
เย็นวันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกอยู่นั้น เต้ก็กลับมาถึงบ้าน หลังจากที่จอดรถเสร็จ เขาก็เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับกล่องขนาดใหญ่กล่องหนึ่ง ไอ้มอมแมมที่นอนอยู่บนพื้นข้างเท้าผมรีบลุกขึ้นและกระโจนเข้าหาเต้ทันที มันพยายามจะดมกลิ่นและอยากรู้ให้ได้ว่าข้างในนั้นมีอะไร
“ใจเย็นๆ เว้ยย ไอ้มอม ดีใจซะยังกับรู้เลยนะว่าในนี้มีอะไรน่ะ” เต้หัวเราะพลางชูกล่องขึ้นสูง
ไอ้มอมแมมเห่าด้วยความดีใจและวิ่งวนรอบตัวของเต้ราวกับผีเข้า
“กล่องอะไรวะน่ะ” ผมถาม
“ของขวัญให้มึงไง... แล้วก็ให้ไอ้ตัวใหญ่นี่ด้วย” เต้วางกล่องลงบนพื้นและคว้าคอของไอ้มอมเข้ามาล็อคเอาไว้ในแขนพลางขยี้หัวของมันอย่างเอ็นดู
“ข้างในมีอะไรวะ” ผมลุกออกจากโซฟาและเดินเข้าไปหาเขา
“อยากรู้ก็เปิดดูสิ”
ผมนั่งขัดสมาธิลงหน้ากล่องใบใหญ่และค่อยๆ เปิดฝากล่องออก เต้นั่งจับตัวของไอ้มอมที่กำลังเห่าและกระดิกหางอย่างบ้าคลั่งเอาไว้อย่างเต็มกำลัง และเมื่อฝากล่องถูกเปิดออก ลูกสุนัขตัวเล็กพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ก็กระโดดออกมาและรีบวิ่งเข้าไปหาไอ้มอมแมมอย่างเป็นมิตร
“เฮ้ยยย!!” ผมร้องออกมาด้วยความแปลกใจ “เอาจริงเหรอวะ! ฮ่าๆๆ”
เจ้าตัวเล็กนี้มีขนสีขาวบริสุทธิ์ตัดด้วยขนสีเทาเข้ม หางเล็กๆ ของมันแกว่งไปมาอย่างร่าเริงในขณะที่มันกำลังดมกลิ่นทำความรู้จักกับเจ้าบ้านคนก่อน
เมื่อเต้ปล่อยมือที่ล็อคคอไอ้มอมแมมเอาไว้ออก ทั้งสองตัวก็เริ่มดมกลิ่นทำความรู้จักกันทันที ไอ้มอมแมมเห่าและวิ่งวนเป็นวงกลมด้วยความดีใจ ในขณะที่ไอ้ตัวเล็กก็พยายามวิ่งไล่ให้ทันไปติดๆ
“เมื่อตอนกลางวันกูไปกินข้าวกับอาจารย์ที่คณะแล้วเจอไอ้ตัวนี้อยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยง คือพอเห็นแล้วรู้สึกว่ามันใช่เลยอะ ไม่รู้ดิ กูตกหลุมรักมันตั้งแต่แรกเห็นเลย และคิดว่ามันน่าจะเป็นเพื่อนเล่นให้กับไอ้มอมได้ดีด้วย เพราะอีกไม่กี่เดือนมันก็น่าจะตัวโตพอๆ กันแล้ว”
“กูชอบหมาพันธุ์นี้มาตั้งนานแล้ว มึงก็รู้”
“ใช่ ก็เพราะกูรู้ไง ถึงได้เลือกมันมาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านเรา ว่าแต่มึงจะตั้งชื่อมันว่าอะไรวะ”
“ไม่รู้ว่ะ มันตัวผู้หรือตัวเมียล่ะ”
“ตัวเมีย ซึ่งกูว่าบ้านเราก็คงต้องมีสมาชิกผู้หญิงบ้างนะ” เขาหัวเราะ
ผมมองดูไอ้ตัวเล็กวิ่งไปมารอบบ้านอย่างอารมณ์ดี ขาเล็กๆ ของมันกระโดดดึ๋งๆ จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยมีไอ้มอมแมมคอยเป็นตัวนำ เต้ลุกขึ้นยืนและขอตัวเดินกลับไปที่บ้านเพื่อตามแม่มาดูสมาชิกใหม่ของเราก่อน ผมพยักหน้าให้เขาและนั่งมองดูไอ้มอมแมมนอนหงายปล่อยให้ไอ้ตัวเล็กแทะหัวแทะหูเล่นอย่างเป็นมิตร เมื่อแม่ตุ๊กเดินเข้ามาที่บ้านของเรา แม่ก็ร้องอุทานออกมาอย่างดีใจพลางอุ้มไอ้ตัวเล็กขึ้นจากพื้นทันที เราสองคนมองดูแม่เล่นกับมันพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“ตั้งชื่อรึยังล่ะ พี จะให้มันชื่ออะไรดี ตายแล้ววว น่ารักน่าชังที่สุด ดูขนซิเนี่ย!” แม่หอมมันดังฟอด
“อืมมมม...” ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ชาช่า!”
ไอ้ตัวเล็กที่แม่กำลังอุ้มอยู่หันขวับมามองผมทันที
“เฮ้ย! มึงเห็นมั้ย ไอ้เต้ พอเรียกมันว่าชาช่าแล้วมันก็หันมาทันทีเลยว่ะ!”
“ก็มึงพูดเสียงดัง มันตกใจแล้วก็เลยหันมาดูน่ะสิ ไหนแม่ลองปล่อยมันลงบนพื้นก่อนซิครับ”
แม่ตุ๊กวางชาช่าลงบนพื้น มันจึงเริ่มกระโดดเหยงๆ ไปรอบบ้านเหมือนเดิม
“ชาช่า” เต้ลองเรียกชื่อของมันบ้าง และเจ้าตัวเล็กก็หันหันขวับไปมองเขาทันทีเหมือนกัน
“นั่นไง กูบอกแล้ว! มันต้องชอบชื่อนี้แน่ๆ เลยว่ะ” ผมตีลงบนหน้าขาของเต้เบาๆ “งั้นเรียกมันว่าชาช่าเลยก็แล้วกัน”
“แล้วทำไมจู่ๆ ถึงคิดชื่อนี้ขึ้นได้วะ ไอ้พี”
“ไม่รู้ว่ะ ก็กูเห็นมันโดดดึ๋งดั๋งไปมา วิ่งไปวิ่งมา เหมือนมันกำลังเต้นอยู่บนพื้นอะ แล้วจู่ๆ ชื่อนี้ก็แว้บขึ้นมาในหัว หรือมึงจะให้มันชื่อ ‘แทงโก้’ ดี”
“ไม่ล่ะ ชื่อนี้ดีแล้ววว” ทั้งเต้และแม่ตุ๊กพูดออกมาพร้อมกันทันที
แม่ยืนเท้าเอวมองดูชาช่าเล่นกับมอมแมมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงไปยังชั้นวางทีวีและหยิบรูปสมัยเด็กของเราสองคนที่เต้กำลังหอมแก้มผมอยู่ขึ้นมาดู หลังจากที่ผมนำภาพนี้กลับมาจากเซฟของพ่อ ผมก็ทำก๊อปปี้ หากรอบมาใส่ และวางมันไว้ที่ชั้นล่างในห้องรับแขกนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“แม่รู้อยู่แล้วว่าสักวันเราสองคนจะต้องลงเอยแบบนี้” แม่พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ตั้งแต่เล็กๆ แล้ว เวลาเรานอนด้วยกันก็จะกอดกันกลมเชียวแหละ หรือแม้แต่ตอนมัธยมปลาย ขนาดโตอย่างนั้นแล้ว แม่ก็ยังเคยเห็นเรานอนกอดกันท่าเดิมเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ ไม่มีผิด ตอนแรกๆ แม่ก็กังวลนะ แต่พอเราโตขึ้น เริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่ก็รู้แหละว่า คนเรามันจะมีความสุขที่สุด ก็ต่อเมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักที่สุด เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นั้นเอง” แม่วางรูปนั้นกลับลงไปที่เดิม
ผมลุกออกจากโซฟาและเดินเข้าไปกอดแม่ “ขอบคุณนะครับแม่ ที่รักพี และไว้วางใจพีให้ได้ดูแลลูกชายของแม่อย่างทุกวันนี้”
“แม่บอกแล้วไงว่าแม่เห็นเราเป็นลูกชายคนนึงมาตั้งแต่เรายังตัวเล็กนิดเดียวแล้ว ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความรู้สึกนั้นของแม่ได้หรอก” แม่ตบหลังผมเบาๆ
“พีดีใจนะครับ ที่ได้กลับมามีครอบครัวอีกครั้ง และดีใจที่ได้กลับมาอยู่บ้านของตัวเองอีกอย่างนี้”
“ไม่มีที่ไหนจะดีเท่าบ้านของเราหรอก จริงมั้ยล่ะ”
เต้ลุกออกจากโซฟาและเดินเข้ามากอดเราสองคนด้วยเหมือนกัน “แม่มีหลานไม่ได้ แม่ก็ติ๊ต่างว่าชาช่าเป็นหลานสาวไปพลางๆ ก่อนแล้วกันนะ”
พวกเราสามคนหัวเราะออกมาพร้อมๆ กันจากนั้นก็คลายวงแขนออก แม่ขอตัวเดินกลับไปทำข้าวเย็นที่บ้านต่อ ส่วนผมกับเต้ก็กลับมานั่งดูทีวีด้วยกันบนโซฟาเหมือนเดิม ชีวิตของเราสองคนเจอกับความสูญเสียและโศกนาฏกรรมมาหลายครั้ง แต่เมื่อเราตัดสินใจที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง ผมคิดว่าในที่สุดเราก็สามารถพบกับความสุขที่แท้จริงได้ แม้มันอาจจะช้าไปสักหน่อย แม้เราจะไม่สามารถดึงวันเวลาที่เคยเสียไปให้ย้อนกลับคืนมาได้ แต่วันคืนเหล่านั้นก็ทำให้เรามีทุกวันนี้ และผมมั่นใจว่าเราจะสามารถออกแบบช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในอนาคตให้มีความสุขที่สุดได้อย่างที่เราต้องการแน่นอน
จบ
.................................................................................