ตอนที่ 7 ผู้ชายขี้อาย
ตั้งแต่ที่บาดเจ็บมาผมก็ยังไม่ได้มีโอกาสออกมาหาอะไรทานนอกบ้านอย่างนี้เลย ตอนที่ยังไม่หายนั้นจะได้ออกจากบ้านแต่ละทีก็เพราะมีเรื่องตลอด แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าร่างกายของผมนั้นมันได้หายดีเป็นปกติแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสออกมาหาอะไรอร่อย ๆ ทานนอกบ้านในวันที่ผมสุดแสนจะว่างแสนว่างเช่นวันนี้
ส่วนเรื่องเด็กป้องน่ะหรือ ตอนนี้ผมกับเด็กนั่นสนิทกันมากขึ้น เพราะหลังจากวันนั้นมาผมกับเด็กนั่นมีโอกาสได้คุยกันมากขึ้น ป้องเองก็ถือว่าเป็นน้องที่นิสัยดีคนหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อได้ทำความรู้จักกันจริง ๆ จัง ๆ ทำให้ผมได้รู้ว่าป้องเป็นคนที่ชีวิตน่าสงสารมากเลยนะ จากที่ป้องเล่าให้ผมฟัง ที่ป้องต้องยอมมีอะไรกับพ่อเลี้ยงจนกลายเป็นที่มาของคลิปหลุดนั้น เพราะพี่สาวของป้องกับพ่อเลี้ยงนั้นแอบลักลอบมีความสัมพันธ์ลับกันแล้วไอ้พ่อเลี้ยงสารเลวคนนั้นก็แอบถ่ายคลิปตอนที่กำลังมีอะไรกับพี่สาวของป้องเอาไว้
และมันก็ใช้คลิปนั้นเพื่อข่มขู่ป้อง หากว่าป้องไม่ยอมมีอะไรกับมัน มันขู่ว่าจะเอาคลิปของพี่สาวป้องนั้นไปให้แม่ของป้องที่กำลังป่วยกระเสาะกระแสะได้ดู พร้อมทั้งจะเอาคลิปไปโพสลงโซเชียลเน็ตเวิร์คให้ทั่ว ป้องรักพี่สาวและแม่มากและด้วยวุฒิภาวะของป้องในตอนนั้นที่ยังไม่ได้เข็มแข็งและเด็ดเดียวมากพอ เด็กนั่นกลัวพี่สาวจะต้องอับอายผู้คน และกลัวอาการป่วยของแม่จะยิ่งทรุดหนักหากได้เห็นคลิปนั้น เขาจึงจำใจยอมให้ในสิ่งที่มันต้องการ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองก็ได้ถูกไอ้สารเลวคนนั้นแอบถ่ายคลิปเอาไว้เหมือนกัน
และสุดท้ายในวันที่พ่อเลี้ยงสวะตัวนั้นทิ้งแม่ของป้องไปคลิปวีดีโอลับเหล่านั้นก็ถูกปล่อยออกมาทั้งของป้องและพี่สาว และสิ่งที่ป้องกลัวที่สุดมันก็ได้กลายเป็นจริง เมื่อแม่ของป้องได้เห็นคลิปที่ลูกทั้งสองมีอะไรกับอดีตสามีของตัวเองอาการป่วยของท่านก็ทรุดหนักลงไปจริง ๆ
ป้องต้องกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวเพื่อเลี้ยงดูแม่ที่ป่วยหนักและพี่สาวที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย เงินที่ได้จากการทำงานพาร์ทไทม์แค่เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านแต่ละวันยังแทบจะไม่พอแล้วยังต้องปันไปเป็นค่ารักษาพยายบาลแม่อีก สุดท้ายป้องจึงตัดสินใจที่จะเข้าสู่วงการหนังผู้ใหญ่ เพราะเคยได้ยินมาว่าได้เงินดี และป้องก็คิดว่าตัวเองก็ไม่เหลืออะไรที่จะเสียหรือจะต้องอายอีกแล้ว เพราะอย่างไรเสียคนก็ได้เห็นคลิปลับของเขาไปแล้ว
ในวันนั้นผมยังคงนั่งรออยู่ที่หน้าสตูดิโอจนมีทีมงานออกมาบอกว่าถ่ายทำเสร็จแล้ว ตามกฎของค่ายในขณะที่กำลังถ่ายทำนั้นนอกจากนักแสดงก็จะมีแค่ทีมที่เกี่ยวข้องจริง ๆ ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้อยู่ข้างในได้ แม้คุณรามจะไม่ได้ว่าอะไรถ้าหากผมจะอยู่ข้างในด้วย แต่ผมขอเลือกที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบดีกว่า และทางฟรองค์เอง เขาก็ไม่อยากให้ผมเห็นตอนที่เขามีอะไรกับคนอื่นด้วย
หลังจากที่ถ่ายทำจนเสร็จเด็กนั่นก็ดูมีอาการอิดโรยและซึมหนักจนน่าเวทนา ฟรองค์เองก็ดูลำบากใจ ผมก็เข้าใจเพราะที่ฟรองค์ทำก็เพราะเป็นงานและป้องก็ยินยอมที่จะแสดงเอง ป้องบอกผมว่าที่ยอมรับงานนั้นในตอนแรกเพราะคิดว่าตัวเองจะทำใจได้และอยากจะได้เงินไปจุนเจือครอบครัวเร็ว ๆ แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อเริ่มถ่ายทำจริง ๆ ภาพบาดแผลในอดีตมันก็เข้ามาตอกย้ำจนเขาถึงกับสติแตกไปในคราวแรก ขนาดเด็กนั่นสภาพน่าสงสารออกขนาดนั้นคุณรามก็ยังจะกล้าหาว่าเด็กนั่นสำออยได้ลงคอ ผมล่ะเชื่อเขาเลยจริง ๆ อยากรู้นักว่าจิตใจเขานั้นมันทำด้วยอะไร
☼☼☼☼☼☼
นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะไม่รู้ว่าหนังที่ฟรองค์และป้องแสดงนั้นได้วางขายไปหรือยัง เพราะผมเองก็ไม่ได้ตามข่าว วันนี้ผมออกมาทานผัดไทยกุ้งสดที่ร้านตรงหน้าปากซอยบ้าน เพราะเจ้าสองเคยซื้อไปให้ทานที่บ้านแล้วรสชาตินั้นอร่อยถูกปากผมมาก วันนี้ผมก็เลยออกมาทานเองถึงร้าน
“ป้าครับ เอาผัดไทยสามที่นะครับ ทานที่นี่หนึ่งที่ อีกสองขอห่อกลับบ้านครับ อ่อ ห่อหนึ่งไม่ใส่ถั่วงอกนะครับ” ผมไม่ลืมที่จะสั่งกลับบ้านไปฝากแม่และเจ้าสอง ห่อที่ว่าไม่ใส่ถั่วงอกนั้นน่ะสำหรับเจ้าสองโดยเฉพาะ เพราะเจ้าเด็กนี่เกลียดถั่วงอกและผักอีกหลายชนิดมาแต่ไหนแต่ไร ต่างจากผมที่ชอบทานผักทุกชนิด
ส่วนผมขอเลือกที่จะทานอยู่ที่ร้านเลย เพราะอยากจะลิ้มรสตอนที่เพิ่งทำเสร็จร้อน ๆ จากเตา มันคงจะอร่อยกว่าใส่ห่อไปทานที่บ้านเป็นไหน ๆ เพราะกว่าผมจะเดินกลับไปถึงบ้านมันก็คงจะเย็นหมดแล้วและรสชาติก็คงจางลงพอดี และตอนนี้แม่กับเจ้าสองก็ออกไปตลาดกันถ้าให้ผมหิ้วกลับไปทานที่บ้านคนเดียวก็คงเหงาแย่
“จ้า นั่งรอก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวป้าทำให้” คุณป้าคนขายนั้นแม้จะยังง่วนอยู่กับการทำผัดไทยให้ลูกค้าคนก่อนหน้า แต่เธอก็ยังไม่ลืมที่จะหันมายิ้มรับออเดอร์จากผม เพราะอาหารอร่อยและคนขายอัธยาศัยดีนี่เองถึงได้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างนี้
ผมกวาดสายตามองไปด้านในร้านที่ไม่ค่อยจะมีโต๊ะว่างเหลือสักเท่าไหร่ เพื่อหาที่นั่งในทำเลที่ถูกใจที่ยังพอจะเหลือว่างอยู่ จนสายตาของผมไปสะดุดที่โต๊ะ ๆ หนึ่ง มันไม่ใช่โต๊ะที่ว่างหรอกนะ มีผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอย่างใจจดใจจ่อนั่งจับจองอยู่ก่อนแล้ว ผู้ชายที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
“ขอนั่งด้วยคนนะครับ” ผมเดินตรงเข้าไปลากเก้าอี้และนั่งลงตรงหน้าผู้ชายคนนั้นที่โต๊ะเดียวกันนั่นแหละ
“เชิญครับ” เขาตอบรับผมโดยที่สองตายังคงเอาแต่เพ่งมองหนังสือการ์ตูนในมือ ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รู้นะว่าผมเป็นใคร
“เอาแต่โทรมาบอกว่าเป็นห่วง แต่ไม่เคยคิดจะมาเยี่ยมกันบ้างเลย ใจร้ายจัง” ผมแกล้งทำพูดกระเซ้าอย่างทีเล่นทีจริงเพื่อให้คนตรงหน้านี้รู้ตัวสักที
และก็ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวแล้วจริง ๆ เมื่อผมทักออกไปแบบนั้น ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมที่อยู่ตรงหน้าของเขา
“คุณหนึ่ง!” ก็ไม่รู้ว่าเขาจะตกใจอะไรขนาดนั้น แค่เห็นว่าผมอยู่ตรงหน้าเขาก็ถึงกับหน้าเหวอและอุทานออกมาเป็นชื่อผมเสียงดังลั่น หนังสือการ์ตูนในมือนั้นก็เป็นอันหลุดร่วงลงพื้น คุณโชนก็ยังคงเป็นคุณโชนจริง ๆ เลย
ผมได้แต่เอานิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ปากและส่งเสียงชู่วว์เพื่อเตือนให้เขาลดเสียงลงหน่อย เพราะเสียงที่ดังสนั่นของเขาเมื่อครู่นี้นั้นทำเอาคนอื่น ๆ ในร้านเป็นอันต้องหันมามองที่พวกเราเป็นตาเดียว
“ขะ คุณหนึ่ง หะ หายดีแล้วเหรอครับ” เขาถามผมอย่างตะกุกตะกัก เมื่อไหร่อาการตื่นเต้นของเขาเวลาคุยกับผมนี่จะหายสักทีนะ
“หายดีแล้วครับ ผมก็เพิ่งจะบอกคุณไปทางโทรศัพท์เมื่อคืนเองนี่ ว่าแต่คุณเถอะผ่านมาแถวบ้านผมทั้งทีไม่คิดจะเข้าไปทักทายกันเลยหรือไง” ผมก็พูดเย้าเขาเล่นไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้น้อยใจอะไรหรอก เขาจะมาเยี่ยมผมหรือไม่มามันก็คือสิทธิ์ของเขา ผมก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับเขามากมายสักหน่อย
“เอ่อ คือว่า.... เอ่อ ผะผัดไทยน่าทานจังเลยนะครับ” คุณโชนเขาทำเหมือนจะหลบสายตาผม ผมยังไม่ทันจะได้ฟังว่าเขาจะตอบผมว่าอะไร คุณป้าเจ้าของร้านก็ยกจานผัดไทยมาเสิร์ฟตรงหน้าพวกเราเสียก่อน เขาก็เลยได้โอกาสทำทีเบี่ยงเบนประเด็นและความสนใจของผมไปที่ผัดไทยในจานตรงหน้านั้นแทน อย่าคิดว่าผมรู้ไม่ทันนะ
“แหม พ่อหนุ่มมาทานทุกวันอยู่แล้วจะทำเป็นตื่นเต้นอะไรจ๊ะ” ผมถึงกับเลิกคิ้วไปกับคำที่คุณป้าเขาพูดกระเซ้าคุณโชน พลางมองเขาอย่างนึกสงสัยนี่เขามาแถวบ้านผมทุกวันเลยอย่างนั้นหรือ
คุณป้ากลับไปประจำอยู่ที่เตาแล้วหลังจากเสิร์ฟอาหารเสร็จ ปล่อยให้คุณโชนนั่งหน้าเหวอและอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่อย่างนั้น
“นี่คุณมาทำอะไรแถวบ้านผมทุกวัน”
“เอ่อ คือว่า.....” เขาก้มหน้าก้มตาดูเหมือนกับว่าจะไม่กล้ามองหน้าผม สองมือของเขาถูกยกขึ้นมาถูกันไปมาเสมือนกับว่าทำเพื่อแก้เก้อไปอย่างนั้น อะไรของเขากันนะ ผ่านมาแถวบ้านผมทุกวันแต่ไม่คิดจะเข้าไปดูดำดูดีผมเลยหรือไง โกรธดีไหมนี่
“คือว่า ผมอยากจะมาหาคุณหนึ่งที่บ้าน แต่ผมก็รวบรวมความกล้าได้ไม่ถึงสักที กลัวว่าจะทำให้คุณหนึ่งรำคาญหรือลำบากใจ เลยได้แค่มองหลังคาบ้านคุณหนึ่งแล้วก็กลับ”
“คุณ.....” ผมรู้สึกหวิว ๆ ไปทั้งตัวเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น นี่เขาแอบมามองหลังคาบ้านผมทุกวันเลยหรือนี่ โถ พ่อเด็กน้อย ตอนนี้เขาทำหน้าหงอเสียจนดูน่าสงสารเชียว
“ถ้าครั้งต่อไปคุณอยากมาหาผม คุณก็มาได้เลยนะ ไม่ต้องใช้ความกล้าอะไรทั้งนั้น เพราะผมอยากให้คุณมา” ผมว่าพลางอมยิ้มให้กับคุณโชน ผมไม่ได้กำลังอ่อยเขาอยู่หรอกนะ ผมก็แค่พูดไปตามที่ใจคิด ก็เวลาที่มีคนเป็นห่วงเรา อยากจะมาเยี่ยมเรา เราก็ต้องดีใจและอยากให้เขามาเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่
คุณโชนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองผมด้วยท่าทีที่ดูกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนที่เขาจะอมยิ้มที่แฝงไปด้วยความเหนียมอายจนเห็นได้ชัดให้กับผม เฮ้อ ก็อย่างที่ผมว่า คุณโชนก็คือคุณโชน แต่ว่าคุณโชนที่เป็นคุณโชนแบบนี้ก็น่ารักดีนะ ก็นี่แหละเสน่ห์ของเขาล่ะ
“เอ่อ คุณหนึ่งครับ” ผมเหลือบตามองเขาแทนประโยคคำถาม เมื่ออยู่ ๆ เขาก็ทักขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังจะตักผัดไทยใส่ปาก
“พอดีผมมีตั๋วละครเวทีอยู่สองใบ มะรืนคุณหนึ่งพอจะว่างไปดูละครกับผมไหมครับ” เขาดูเหมือนจะต้องรวบรวมความกล้าอยู่มากกว่าจะกล้าเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกมา แต่เอาอีกแล้ว เขาก้มหน้าหลบสายตาผมอีกแล้ว แล้วผมนี่ก็ไม่รู้เป็นบ้าอะไรถึงยิ้มไปกับท่าทางแบบนั้นของเขาได้ทุกที
“นี่คุณกำลังจะชวนผมไปเดทเหรอ” เห็นเขาดูเหมือนกำลังเขินมากผมก็เลยนึกอยากแกล้งเล่นสักหน่อย ผมก็พูดกระเซ้าเขาเล่นไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดอะไรหรอก เพราะผมก็รู้อยู่แล้วว่าเขาก็คงแค่มีบัตรละครเวทีแต่ไม่มีเพื่อนไปดูก็เลยมาชวนผมเท่านั้นเอง
“เอ่อ คือว่า............. ถ้าคุณหนึ่งไม่ว่าอะไร................. ปะไป.....เดทกับผมได้ไหมครับ” ประโยคที่เขาพูดเมื่อสักครู่นี้เขาไม่ได้พูดแบบติด ๆ กันหรอกนะ เขาพูดไปพลางเว้นวรรคยาว ๆ เหมือนหยุดคิด พลางแอบชำเลืองตามองผมเหมือนหยั่งเชิง ราวกับว่าใจหนึ่งก็อยากจะชวน แต่อีกใจก็ยังไม่ค่อยกล้า แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะรับมุกผมอย่างนี้เลยนะ
ยิ่งเห็นท่าทีของเขาเป็นแบบนั้นก็ผมยิ่งนึกสนุก ถ้าอย่างนั้นก็ขอแกล้งอีกสักหน่อยก็แล้วกันนะ
“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ไปล่ะ” ผมตอบเขาพลางแสร้งทำหน้าจริงจัง
โถ แค่ผมตอบกลับไปแบบนั้นคุณโชนก็หน้าเศร้าไปในทันที แค่ผมไม่ไปดูละครด้วยมันทำให้เขาหมดอาลัยตายอยากขนาดนั้นเชียวหรือ เล่นเสียผมรู้สึกผิดไปเลย ไม่แกล้งแล้วก็ได้
“เอาเป็นว่ามะรืนนี้คุณมารับผมที่บ้านก็แล้วกัน”
“จริง ๆ นะครับ!!” คุณโชนเงยหน้าขวับขึ้นมาในทันที เมื่อผมพยักหน้ายืนยันในคำตอบตาของเขาก็ดูเป็นประกาย และฉีกยิ้มร่าอย่างมีความสุขมากมาย ผมว่าเขาชักจะเล่นใหญ่เกินไปแล้ว ก็แค่ผมจะไปดูละครเวทีด้วยไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้นสักหน่อย
“ขอบคุณนะครับคุณหนึ่ง!!”
__________________________________
[มีต่อในรีพลายถัดไปครับ]