Universe 13th : บางอย่างที่ต่างออกไป
‘ไนล์ วันนี้พี่จะเข้าไปหาไอ้ภูที่คอนโด รอเจอพี่ด้วยนะครับ พี่คิดถึง'ผมอ่านข้อความที่พี่เทมส์ส่งมาให้ด้วยความดีใจ ผมมาอยู่กับพี่ภูได้ครึ่งเดือนแล้ว และก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เพราะพี่ภูไม่ค่อยอนุญาต เขาบอกผมว่าอยากได้อะไรก็ให้บอกป้าแม่บ้านให้ซื้อเข้ามาให้ และพี่ภูก็จะให้เงินไว้ทุกครั้ง แต่ผมก็ไม่เอามาใช้หรอก ผมเก็บเงินพี่ภูไว้ แล้วใช้เงินของตัวเองแทน ส่วนหนึ่งก็เพราะเกรงใจ มาอยู่บ้านพี่ภู รบกวนพี่ภู แล้วยังจะใช้เงินพี่ภูอีกผมก็ทำไม่ลง ส่วนอีกใจผมไม่อยากให้พี่ภูฝังใจว่าผมมาปอกลอกหรือหาผลประโยชน์จากเขา
พี่ภูรู้สึกแย่กับเรื่องนี้เพราะคนรักเก่ามามากพอแล้ว ผมไม่อยากจะไปตอกย้ำปมในใจอะไรของเขาอีก ผมอยากให้เขาหายดี และมองโลกในแบบที่เขาเคยมองได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆ อย่างเคย
“ป้ามลครับ ไนล์รบกวนป้ามลไปซื้อของสดให้ไนล์หน่อยได้ไหมครับ วันนี้ไนล์อยากทำแกงส้มเป็นอาหารเย็น”
ป้ามลหันมายิ้มให้ผมอย่างใจดี “ได้สิคะ แต่ขอป้าเอาผ้าที่รีดแล้วเข้าตู้ก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าไปให้”
ผมรีบเดินเข้าไปหาป้ามล พร้อมกับยื่นเงินให้จำนวนหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากบอกป้ามลอย่างเอื้อเฟื้อ
“เดี๋ยวไนล์ทำให้ก็ได้ครับ ป้ามลไปเลยเถอะ ถ้าไปสายกว่านี้แล้วแดดจะร้อน”
ผมสารภาพตามตรงว่าออกจะเป็นห่วงป้ามลไม่น้อย เพราะแกก็อายุไม่น้อยแล้ว ถ้าเกิดเป็นลมเป็นแล้งไปเพราะออกไปซื้อของให้ผม ผมต้องรู้สึกไม่ดีไปตลอดแน่ๆ
“โถ่ คุณไนล์คะ แดดร้อนแค่นี้เองป้าไม่เป็นอะไรหรอก ให้ป้าจัดการตรงนี้เองเถอะนะคะ เกรงใจคุณไนล์แย่แล้ว ตั้งแต่คุณไนล์มาอยู่ที่นี่ งานป้าน้อยลงเยอะเลย แถมเงินก็ยังได้เท่าเดิมอีก อย่าให้ป้าเอาเปรียบคุณไนล์กับคุณภูเลยนะคะ”
“ป้ามลอย่าคิดแบบนั้นสิครับ ไนล์ไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย แล้วที่ไนล์ช่วยก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไรเลยนะครับ”
ผมยู่หน้าใส่ป้ามลงอนๆ เพราะตั้งแต่มาอยู่ผมก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรมาก นอกจากดูแลเรื่องส่วนตัวของพี่ภูกับเข้าครัวเป็นหลัก ส่วนเรื่องทำความสะอาดบ้าน รีดผ้า ซักผ้า ป้ามลก็ยังเป็นคนทำเหมือนเดิม เว้นเสียแต่แกไม่ว่างหรืองานล้นมือ ผมถึงจะได้ช่วยหยิบช่วยจับเป็นบางคราว แต่แทนที่ป้ามลจะมีท่าทีแบบอื่น แกดันหัวเราะออกมาเสียแบบนั้น
“คุณไนล์น่ารัก อีกหน่อยคุณภูจะต้องดีขึ้นแน่ๆ”
ป้ามลพูดพลางยิ้มให้ผม แต่แทนที่ผมจะดีใจผมกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้พี่ภูจะไม่ค่อยได้ดุหรือเสียงดังใส่ผมเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ใช่ว่าเราจะคุยอะไรกันมากขึ้น ถ้าจะดีหน่อยก็คือได้นั่งกินข้าวด้วยกันเงียบๆ โดยไม่มีเสียงพี่ภูดุผม ความคืบหน้าอะไรมากกว่านี้ไม่มีหรอก
“ไนล์กลัวว่าพี่ภูจะเบื่อ ทุกวันนี้แค่พี่ภูไม่ดุ ไม่ว่า ไนล์ก็ดีใจจะแย่แล้ว”
“เชื่อป้านะคะคุณไนล์ สักวันคุณภูต้องมองเห็นความหวังดีของคุณไนล์ ควาพยายามของคุณไนล์จะไม่สูญเปล่าค่ะป้ามั่นใจ”
ผมหันไปยิ้มให้ป้ามลเป็นการขอบคุณแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ป้ามลพูดคงไม่มีทางเกิดขึ้นง่ายๆ บางทีมันอาจจะนานจนเวลาที่ผมมีให้พี่ภูไม่เพียงพอที่จะให้รอต่อได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ.. ยังไงผมก็จะพยายามทำในส่วนของผมให้เต็มที่และดีที่สุดแล้วกัน
Rrrrและในขณะที่ผมกับป้ามลกำลังคุยกันอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น พอเห็นเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอก็ได้เห็นว่าคุณแม่ของพี่ภูเป็นคนโทรมา ผมกดรับสายด้วยรอยยิ้มกว้าง เพราะกำลังคิดถึงท่านอยู่พอดี
“สวัสดีครับคุณแม่”
ผมกรอกเสียงลงไปอย่างระมัดระวังหลังจากหันซ้ายหันขวาแล้วเห็นว่าพี่ภูไม่ได้อยู่แถวนี้ เดี๋ยวเกิดเขาได้ยินขึ้นมา ความแตกละจะเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนป้ามลเองพอเห็นผมรับสายจากคุณแม่แกก็ขยับปากบอกว่าขอตัวไปซื้อของตามที่ผมสั่งแล้วก็ปลีกตัวออกไป
(น้องไนล์ เป็นไงบ้างคะลูก? ทุกอย่างโอเคดีไหม?)
คุณแม่ส่งเสียงถามผมอย่างเป็นห่วง ทำเอาผมอดยิ้มตามไม่ได้เมื่อได้ยินความเอื้ออาทรที่อีกฝ่ายมีให้
“โอเคดีครับ ไนล์สบายดี ส่วนพี่ภูก็.. ดีขึ้นบ้างครับ เดี๋ยวนี้ดุไนล์น้อยลง”
(แบบนี้เขาเรียกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายค่ะ แม่ว่าไม่น่าจะดีขึ้นเท่าไหร่นะ) คุณแม่ว่าเสียงงอนๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียดจนผมนึกเป็นห่วง
“คุณแม่มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่าครับ บอกไนล์ได้นะ เผื่อไนล์จะช่วยแบ่งเบาคุณแม่ได้บ้าง”
(จะว่ามีก็มี แต่แม่ไม่รบกวนน้องไนล์ให้ช่วยดีกว่า เพราะแค่ทุกวันนี้ที่น้องไนล์ไปดูแลพี่ภูให้ แม่ก็เกรงใจจะแย่แล้ว)
ปลายสายพูดอย่างเกรงใจ ให้ผมต้องยิ้มบางก่อนจะตอบอย่างจริงจัง
“ไนล์ยินดีช่วยนะครับคุณแม่ อะไรที่ไนล์พอทำได้ทั้งเพื่อคุณแม่ ทั้งเพื่อพี่ภู ไนล์ไม่มีปัญหา”
(ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ) คุณแม่ดูลังเลเล็กน้อย แต่ผมคิดว่าท่านคงหาทางไหนไม่ได้แล้ว ถึงได้มาเอ่ยปากพูดกับผม (แม่กลุ้มใจที่พี่ภูไม่ยอมมาช่วยงานที่บริษัทสักทีนี่แหละค่ะ .. แม่แก่แล้ว จะไหวไปถึงวันไหนก็ไม่รู้ เลยอยากให้พี่ภูเข้ามารับช่วงต่อไวๆ)
“คุณแม่ยังไม่แก่ขนาดนั้นสักหน่อยครับ” ผมรีบพูดแก้ ไม่ได้จะเอาใจท่าน แต่คุณแม่ของพี่ภูที่ผมเห็นดูเด็กกว่าอายุจริงอยู่มากจริงๆ “แต่ไนล์ก็เข้าใจนะครับ เรื่องที่คุณแม่อยากให้พี่ภูไปช่วยงาน”
ผมลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง คิดว่าจะพูดเรื่องที่เห็นเมื่อวันก่อนไปดีไหม เพราะลึกๆ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าที่ผมเห็นพี่ภูอ่านเอกสารต่างๆ ของบริษัทเพราะอยากจะเข้าไปช่วยงานหรือเปล่า แต่เท่าที่คิดทบทวนผมก็มองว่าผลลัพธ์มันน่าจะออกมาในทางบวกมากกว่าทางลบ จึงตัดสินใจบอกคุณแม่ไปตามตรง
“อันที่จริงแล้ว เมื่อวันก่อนไนล์ก็เห็นพี่ภูเขาเอาเอกสารงานต่างๆ ของบริษัทมาอ่านอยู่นะครับ แต่ที่ไนล์ยังไม่กล้าบอกคุณแม่ เพราะไนล์เองก็ไม่แน่ใจว่าพี่ภูคิดยังไง แต่ถ้าให้ไนล์มอง ไนล์คิดว่าพี่ภูเองก็คงมีความคิดอยากไปช่วยงานคุณแม่อยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่อาจจะต้องกระตุ้นพี่ภูบ้าง.. ยังไงคุณแม่ลองพูดกับพี่ภูดูนะครับ”
(จริงเหรอคะน้องไนล์?) น้ำเสียงของแม่พี่ภูเปลี่ยนไปเป็นสดใสขึ้นมาทันที แต่ประโยคต่อมาของคุณแม่นี่สิที่ทำเอาผมห่อเหี่ยวแทน (แต่แม่ว่าให้แม่ไปกระตุ้นคงไม่ได้ผลหรอก รายนั้นน่ะ หัวดื้อกับแม่จะตาย แม่ว่าให้น้องไนล์ไปคุยกับพี่ภูดีกว่า ไม่แน่พี่ภูอาจจะยอมฟังน้องไนล์มากกว่าแม่ก็ได้นะคะ)
ผมส่ายหน้าหวือปฏิเสธทั้งที่คุณแม่มองไม่เห็นนี่แหละ
“ไม่มีทางหรอกครับที่พี่ภูจะฟังไนล์ เผลอๆ ได้ดุว่าไนล์ไปยุ่งเรื่องของพี่ภูอีกแน่ๆ”
(น้องไนล์ก็ลองดูก่อนสิคะ เชื่อแม่ แม่มั่นใจว่าพี่ภูคงจะอ่อนลงให้น้องไนล์ไม่น้อยแล้วล่ะตอนนี้)
“ทำไมล่ะครับ” ผมถามอย่างสงสัย ไม่แน่ใจว่าทำไมคุณแม่ถึงมั่นใจขนาดนั้น
(ก็เดี๋ยวนี้น่ะ พี่ภูไม่โทรมาบ่นกับแม่แล้วว่าอึดอัดอย่างนั้น เบื่ออย่างโน้น รำคาญอย่างนี้ ต่างกับช่วงแรกๆ ลิบลับ โทรมาก็คุยเรื่องอื่น ไม่บ่นเรื่องน้องไนล์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว)
ผมหัวเราะแหะๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรรู้สึกอะไรก่อนดี คือควรเศร้าไหมที่ก่อนหน้าพี่ภูดูรังเกียจผมมากขนาดนั้น หรือควรดีใจที่ปัจจุบันพี่ภูไม่ได้รังเกียจผมเท่าตอนแรกแล้ว?
แต่ผมก็พยายามปลอบใจตัวเองแหละว่าอย่างน้อยมันก็เป็นไปในทิศทางบวกมากขึ้น เพราะปัจจุบันเวลาอยู่ด้วยกันก็พี่ภูก็ดุผมน้อยลง มองผมตาขวางน้อยลง อย่างร้ายก็มีหงุดหงิดบ้างตามประสา เวลาที่เขาต้องการทำสมาธิอะไรเงียบๆ แล้วผมเข้าไปขัดจังหวะหรือทำให้เขาเสียสมาธิไป นอกนั้นผมก็ไม่เคยถูกดุอะไรอีก
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ภูจะฟังไนล์นะครับคุณแม่ .. คนไม่ชอบขี้หน้ากัน ยังไงก็ไม่ชอบกันวันยังค่ำแหละครับ”
ผมเผลอตัดพ้อด้วยความน้อยอกน้อยใจโดยไม่รู้ตัว ให้คุณแม่ต้องส่งเสียงร้องปลอบเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
(โถ น้องไนล์ น้อยใจพี่เขาหรอคะ?) คุณแม่ถามตรงๆ ทำเอาผมแทบไปไม่เป็น
“คะ.. ครับ ก็ ก็นิดหน่อยครับ แต่ที่จริงไนล์ก็ไม่มีสิทธิ์น้อยใจอะไร ที่ได้อยู่ใกล้ชิดพี่ภูแบบทุกวันนี้ก็ดีมากพอแล้วครับคุณแม่”
ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้มั่นคง แต่คนปลายสายก็จับได้อยู่ดี ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากถูกคาดคั้น แต่นขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถามนั้น เสียงเรียกของพี่ภูก็ดังแว่วมาให้ได้ยินเสียก่อน
“ไนล์ ไนล์ ไนล์!! เสื้อยืดตัวที่ฉันใส่บ่อยๆ อยู่ไหนเนี่ย นายเอาไปเก็บไว้ไหนทำไมหาไม่เจอ?”
เสียงโวยวายจากเจ้าของคอนโดดังลั่นคับห้อง ทำเอาผมต้องรีบวางสายจากคุณแม่เพื่อไปช่วยพี่ภูหาเจ้าเสื้อยืดตัวที่ว่า ซึ่งคุณแม่เองก็คงได้ยินที่ลูกชายโวยวายเลยขำคิก ก่อนจะรีบบอกอย่างเข้าใจ
(ไปเถอะค่ะน้องไนล์ แม่ฝากพี่ภูด้วยนะคะ แล้วถ้ามีโอกาสยังไง น้องไนล์ลองคุยกับพี่ภูให้แม่หน่อยนะลูก ไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร ถือว่าลองดูเล่นๆ ละกัน)
“ครับ ถ้าไนล์มีโอกาส ไนล์จะลองช่วยพูดนะครับ แต่ไนล์คงไม่กล้ารับประกันเพราะยังไงไนล์ก็คิดว่าพี่ภูไม่น่าจะฟังไนล์ขนาดนั้น”
ผมแบ่งรับแบ่งสู้ในขณะที่คุณม่ก็ดูมันใจเหลือเกินว่าผมจะช่วยพูดกับพี่ภูได้
(เอาเถอะจ้ะ แม่เชื่อมือน้องไนล์ฝากด้วยนะคะ)
“ครับๆ งั้นแค่นี้ก่อนนะครับคุณแม่ สวัสดีครับ”
(สวัสดีจ้า ดูแลตัวเองนะลูก มีอะไรโทรมาหาแม่ได้ตลอดนะ) คุณแม่ไม่วายกำลับให้ผมยิ้มได้
“ครับ”
ผมกดวางสาย และยังไม่ทันจะตั้งตัว พี่ภูก็เปิดประตูห้องผมพร้อมกับพรวดพราดเข้ามาทั้งที่ท่อนบนยังคงเปลือยเปล่า มีแต่กางเกงขาสามส่วนเท่านั้นที่ใส่ติดตัวอยู่
“มัวแต่ทำอะไรอยู่ ฉันบอกว่าฉันหาเสื้อไม่เจอไง นายเอาไปเก็บไว้ที่ไหนห๊ะ?”
ผมเบือนหน้าไปอีกทางไม่กล้ามองพี่ภูแม้แต่นิด หนำซ้ำตอนนี้แก้มก็ร้อนขึ้นจนคาดว่ามันจะต้องออกสีแดงในเร็วๆ นี้ พอรู้ตัวว่าจะออกอาการแปลกๆ ใส่อีกฝ่าย ผมเลยรีบก้มหน้าก้มตาตอบพี่ภูเสียงค่อย
“พะ.. พอดีเมื่อกี้ไนล์หาของอยู่ครับเลยออกไปช้า ยังไงเดี๋ยวไนล์ไปดูที่ป้ามลรีดให้พี่ภูก่อนนะครับ อาจจะเพิ่งรีดเสร็จยังไม่ได้เอาไปใส่ตู้เสื้อผ้าให้”
“หึ!”
ผมได้ยินเสียงพี่ภูหัวเราะในลำคอเบาๆ แต่ไม่กล้าเงยมอง และไม่กล้าเบี่ยงตัวขอทางเดินด้วย ได้แต่ภาวนาขอให้พี่ภูหลีกทางไวๆ แต่ดูเหมือนคำภาวนาของผมจะไม่เป็นผลเท่าไหร่ เพราะจู่ๆ พี่ภูก็ตรงเข้ามาประชิดตัวแล้วเดินไล่ต้อนจนผมถอยหลังไปติดกำแพงห้อง
“หน้าแดงแบบนี้คืออะไร? ชอบ? หึ..” พี่ภูเดินเข้ามาจนชิด ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าชิดอยู่ตรงใบหน้าผม ด้วยความที่ผมเตี้ยกว่า ทำให้พี่ภูกักผมไว้ด้วยร่างกายของเขาเองได้สบายๆ ในขณะที่ผมได้แต่ก้มหน้างุด ผมไม่เคยใกล้ชิดกับใครมากขนาดนี้มาก่อนยกเว้นกับพี่ชายตัวเอง
“พะ.. พี่ภู เอ่อ ไนล์ ไนล์จะไปหาเสื้อให้ครับ” ผมตะกุกตะกักบอก แต่ดูเหมือนพี่ภูจะไม่ได้ฟังที่ผมบอกเลยสักนิด แถมยังยื่นหน้ามาจนใกล้ผมแทนอีกต่างหาก
“ตอบมาก่อนว่าหน้าแดงทำไม คิดอะไรลามกกับฉันใช่ไหมไนล์?”
ผมเงยหน้าเบิกตากว้างขึ้นสบกับพี่ภูเพราะตกใจในข้อกล่าวหาที่จู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายยัดเยียดให้ แต่ดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เพราะตอนนี้แววตาคมของพี่ภูพราวระยับราวกับถูกใจที่ได้แกล้งผม
“นะ ไนล์เปล่า... เปล่าครับ ไนล์ไม่ได้คิด” ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่คนตรงหน้า แต่พี่ภูกลับหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างชอบใจ
“ไม่ได้คิดแล้วหน้าแดงทำไม หรือว่านี่เป็นแผนของนาย.. นายเอาเสื้อฉันไปซ่อนเพราะอยากเห็นฉันเปลือยท่อนบนเดินไปเดินมาในบ้านใช่ไหม”
“ใช่ที่ไหนล่ะครับ.. โถ่พี่ภู เลิกแกล้งไนล์เถอะนะ เดี๋ยวไนล์ไปหยิบเสื้อมาให้” ผมพูดไปยู่ปากไป เพราะติดนิสัยที่มักจะทำแบบนี้เวลางอนพี่เทมส์ โดยลืมตัวไปว่าคนที่ผมอยู่ด้วยตอนนี้คือพี่ภูไม่ใช่พี่เทมส์
ผมเงยหน้ามองพี่ภูอีกครั้ง ตั้งใจจะรวบรวมความกล้าขอร้องอีกสักรอบให้พี่ภูปล่อย เพราะขืนอยู่กันแบบนี้ต่อไปนานๆ ผมหัวใจวายแน่ แต่แล้วผมก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นสายตาที่พี่ภูมองมา โดยเฉพาะแววตาคมปราบที่จ้องริมฝีปากผมไม่กะพริบ
ผมเตรียมจะเม้มปากทันทีตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ พี่ภูก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วประทับริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากผมเบาๆ
เขาไม่ได้รุกล้ำ แค่แตะริมฝีปากลงมาแนบเฉยๆ ... แต่แค่นั้นก็ทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ ของผมเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกจากขั้ว
พี่ภูจูบผม ... จูบแบบที่เขามีสติและรู้สึกตัวดีพี่ภูจูบแช่อยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะผละออก แววตาคมคู่นั้นเต็มไปด้วยความสับสน เขาสะบัดศีรษะแล้วหันมามองผมอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะพูดในสิ่งที่ผมได้ยินแล้วยอมรับว่าเจ็บไม่น้อย
“นายยั่วฉัน นายอยากให้ฉันจูบ เลยทำทางแบบนั้นใส่ฉัน.. ร้ายนักนะ”
ผมเม้มปากแน่น นึกเสียใจที่ถูกกล่าวหาแบบผิดๆ “ไนล์เปล่า ไนล์ไม่ได้..”
“หยุดพูด! ฉันไม่อยากฟัง” พี่ภูชี้หน้าผม “จำไว้ว่าฉันจะไม่ยอมโดนนายปั่นหัวอย่างแม่ อย่างไอ้เทมส์แน่ ไอ้หน้าไร้เดียงสาแบบนี้น่ะ ฉันรู้ทันหรอกว่าไม่ได้ใสซื่ออย่างที่เห็น”
พี่ภูพูดแค่นั้นแล้วก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมยืนน้ำตาคลอกับคำพูดต่อว่าที่ผมไม่ได้เป็นคนทำเลยสักนิด
.
.
.
Kirin’s Partนี่มันโคตรจะงี่เง่า งี่เง่ามากๆ
ผมเผลอจูบเด็กนั่นไป ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโน้มหน้าตัวเองลงไปตอนไหน พอรู้อีกที ริมฝีปากของเราสองคนก็สัมผัสกันแล้ว
และแน่นอนว่ามันรู้สึกดีไม่ต่างจากครั้งที่แล้วสักนิด
ซึ่งนั่นทำให้ผมหงุดหงิด และเผลอโทษว่าเป็นความผิดของไนล์ ทั้งที่ไนล์ไม่ทันจะได้ทำอะไรด้วยซ้ำ
แต่แล้วยังไงล่ะ? จะให้ผมยอมรับงั้นหรอว่าตัวเองรู้สึกต้องการมากๆ ต้องเห็นไนล์ยู่ปากด้วยท่าทางน่าเอ็นดูขนาดนั้น ในใจผมตอนนั้นได้แต่คิดว่าอยากจะแนบริมฝีปากลงไปสัมผัส ผมรู้ดีว่ามันจะรู้สึกดี เพราะผมเคยจูบริมฝีปากเล็กๆ นั่นมาแล้ว เคยสัมผัสมาแล้ว และรู้ว่ามันหอมหวานจนยากจะห้ามใจขนาดไหน
และที่สำคัญสิ่งที่ทำให้ผมขาดสติจนต้องทำแบบนนั้นก็คือ
‘ความรู้สึกคุ้นเคย’ตอนที่ไนล์ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ มันมีภาพเด็กผู้ชายนั่งตาแดงๆ น้ำตาคลอดูน่ารังแกและน่าปกป้องไปพร้อมๆ กันปรากฎเข้ามาในหัวจนทำให้ผมเผลอลืมตัว ทำในสิ่งที่ลึกๆ หัวใจตัวเองต้องการและอยากทำออกไป
‘เด็กขี้แย แล้วมาบอกว่าไม่ได้ร้องไห้ น้ำตานี่อะไรกัน หื้ม?’และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้ผมโน้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากตัวเองลงไปบนอวัยวะเดียวกันที่แสนจะจิ้มลิ้มของอีกฝ่าย
แต่หลังจากที่ได้สัมผัสแล้ว พอสติกลับมาครบถ้วนผมก็เกิดหงุดหงิดความไม่ได้สติของตัวเองจนเผลอโทษไปว่าเป็นความผิดของไนล์ เอาจริงผมก็รู้แหละว่าครั้งนี้มันเกิดจากผมเต็มๆ แต่ไนล์เองก็มีส่วน เขาจงใจทำท่าทางแบบนั้น เขาเอาจุดเด่นของตัวเองมาหลอกล่อผม โดยเฉพาะไอ้ความไร้เดียงสาปลอมๆ นั่น เลยทำให้ผมเจ็บใจมากที่สุดที่ยอมตกลงไปในหลุมพรางที่อีกฝ่ายขุดขึ้น
มันถึงโคตรจะงี่เง่า งี่เง่ามากๆ ยังไงล่ะ
และในขณะที่ผมกำลังโกรธและหงุดหงิดไปกับอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเองนั้นเสียงเตือนข้อความเข้าของโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น
‘วันนี้ตอนเย็นจะแวะเข้าไปหาที่คอนโด มีโปรเจ็คใหม่จะให้มึงช่วยดู เป็นโปรเจ็คร่วมระหว่างบริษัทพ่อกูกับบริษัทแม่มึง โดยมีมึงกับกูเป็นหัวหน้าทีมร่วม รายละเอียดอื่นค่อยคุยกันเย็นนี้’ผมขมวดคิ้วมองประโยคยืดยาวที่ไอ้เทมส์ส่งมาด้วยความสงสัย ทำไมต้องเป็นผมกับมันเป็นหัวหน้าทีมร่วม ทั้งๆ ที่แม่ก็รู้ว่าผมยังไม่พร้อมเข้าไปทำงานในบริษัท
แต่ก่อนที่จะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องก็ดึงความสนใจของผมไปได้เสียก่อน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“พี่ภู.. จะเที่ยงแล้วครับ ทานข้าวครับ”
เสียงของไนล์ที่เรียกอยู่หน้าห้องทำให้ใจผมปั่นป่วนขึ้นมาอีกรอบ แต่สุดท้ายก็ต้องบอกให้ตัวเองสงบลง ผมจะงี่เง่าต่อเนื่องแบบนี้ไม่ได้ ผมจะไม่ยอมให้ไนล์มามีอิทธิพลเหนือความคิดและความรู้สึกของผมแบบนี้ไปเรื่อยๆ แน่
ผมตัดสินใจเปิดประตูออกมา แต่ก็พบว่าคนที่เรียกไม่ได้อยู่ที่หน้าประตูห้องแล้ว ไนล์กำลังเดินตรงดิ่งกลับไปที่ครัวเร็วๆ เขาเหลือบมองผมนิดหน่อยตอนยกกับข้าวที่ทำเสร็จแล้วมาวางที่โต๊ะ และพอผมเดินเข้าไป เขาก็ถอยกรูดเตรียมจะหันกลับเข้าห้องนอนทันที และเพราะการกระทำแบบนั้นเลยทำให้ผมต้องรีบคว้าต้นแขนเล็กๆ นั่นไว้ไม่ให้หนีไปได้ทัน
“จะไปไหน?”
ผมจ้องใบหน้าเล็กๆ ที่ประกอบด้วยเครื่องหน้าจิ้มลิ้มน่ามองอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไนล์กลับก้มหน้านิ่งไม่ยอมให้ผมสบตา ผมเลยต้องใช้มือตัวเองจับคางของคนตัวเล็กกว่าเชิดขึ้น และเป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเต็มอก ตอนที่ผมเห็นใบหน้าของไนล์เต็มๆ
ดวงตากลมโต และปลายจมูกเล็กๆ ของเด็กตรงหน้าแดงก่ำ ไม่บอกก็รู้ว่าต้องเพิ่งร้องไห้มาแน่ๆ แถมต้องนี้น้ำใสๆ ที่คลออยู่ในหน่วยตาก็ทำท่าจะปริ่มขึ้นมาอีกรอบ เมื่อเห็นผมจ้องหน้าไม่ยอมปล่อยให้เขาได้ขยับหนีไปไหน
“ไนล์.. ไนล์กำลังจะเข้าห้อง พี่ภูจะได้...”
“แล้วกินข้าวแล้วเหรอถึงจะเข้าห้องน่ะ?”
ผมถามสวนขึ้นไปโดยไม่รอให้ไนล์พูดจบ ผมนึกรู้ว่าไนล์จะพูดว่าอะไร ยังไงก็คงหนีไม่พ้นประโยคเทือกๆ ‘
พี่ภูจะได้กินข้าวแบบสะดวกใจ ถ้าไม่ต้องเห็นหน้าไนล์’ อะไรแบบนั้นแน่ๆ
แต่ก็เข้าใจได้แหละว่าทำไมไนล์ถึงคิดแบบนั้น เพราะช่วงแรกๆ ที่เราอยู่ด้วยกันผมจะพูดอะไรแบบนี้ใส่ไนล์บ่อยมาก แต่ไนล์ก็มักจะรับฟังอย่างสงบ ไม่เคยเถียง ไม่เคยชักสีหน้า ทำตามโดยที่ไม่เคยปริปากอะไรเลยสักคำ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอาจจะด้วยความรู้สึกผิดหรืออะไร แต่หลังๆ ผมก็ไม่ได้ไล่หรือพูดอะไรแบบนั้นกับไนล์แล้ว เราสามารถนั่งกินข้าด้วยกันเงียบๆ ได้ ตราบเท่าที่ไนล์ไม่งี่เง่าใส่ และไม่ทำอะไรให้ผมขวางหูขวางตา ผมก็ว่าผมรับได้ที่จะมีเขาวนเวียนอยู่ใกล้ตัว
เพิ่งจะมีวันนี้นี่แหละที่ผมกลับมาเป็นผีบ้า อารมณ์แปรปรวนขึ้นอีกครั้ง และที่สำคัญครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของไนล์ด้วย ไอ้ครั้นผมจะใจร้ายไล่ให้เขาเข้าไปนั่งหิวรอในห้องจนกว่าผมจะกินเสร็จแล้วค่อยให้เขาออกมากินทีหลังนี่ก็น่าจะเกินไปหน่อย
ผมเลยตัดสินใจที่จะรั้งเขาไว้ เพื่อซ่อมแซมความรู้สึกเสียใจของเขาและความรู้สึกผิดของตัวเอง
... ความรู้สึกผิดที่ทำให้ใจผมหวั่นไหวแต่ผมกลับไม่ยอมรับความเป็นจริง
“เดี๋ยวไนล์ค่อย..”
“นั่ง” ผมชี้นิ้วที่ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ไปยกจานมาอีกชุดแล้วมานั่งกินด้วยกัน”
(อ่านต่อด้านล่าง)