ตอนที่สิบสาม
ที่แน่ๆ คือไม่ถูกชะตากับยัยนี่อย่างแรง
“ขวัญ” เสียงผู้หญิงอีกคนที่เดินมาหานังขวัญผวาที่ยืนตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่เธอจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ อาการเหมือนกับเป็นไบโพลาร์ หันมาทางซ้ายมือและยิ้มให้เพื่อนสาวจากที่คาดคะเน
“บัย ~” ผมว่าพลางเอียงหน้าเล็กน้อยและยกมือขวาขึ้นมาใกล้เคียงกับกรอบหน้า โบกสะบัดนิดๆ เป็นการขับไล่ไสส่ง
เหม็นกลิ่นเหม็นหืนค่ะ ช่วยไปไกลๆ ที
เธอคนนั้นหันมาจิกสายตามาทางผมที่คลี่ยิ้มหวาน ก่อนจะเดินกระแทกส้นสูงไปนั่งประจำที่ ซึ่งอยู่ห่างจากโต๊ะเราไปหกเจ็ดโต๊ะ
ดี ไปไกลๆ ได้ก็ยิ่งดีอีควาย
เห็นดังนั้นจึงค่อยตัดสายเพื่อนทิ้ง
หล่อนก็มีประโยชน์แค่นี้แหละคริสตี้
“หนูชอบฟังเพลงของปาน ธนพรเหรอคะ ?” พี่นนท์ที่ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ชวนคุยสัพเพเหระ ทำให้ผมต้องสบตามอง
แหม คุณผัวหาเรื่องคุยกลบเกลื่อนเหรอคะ ?
“ใช่ แม่ชอบเปิดให้ฟังตั้งแต่เด็ก ชอบฟังหมดแม้แต่บาปกรรมมีจริง ชีวิตคู่ และก็ตบมือข้างเดียว หญิงร้ายชายเลว อ้อ ! ล่าสุดเพลงโปรดที่สุดก็ตราบลมหายใจสุดท้าย ฟังแล้วอินดี พี่นนท์เคยฟังมะ ?” ผมถามประดับยิ้มร้าย
“เหมือนหนูกำลังโมโหพี่อยู่เลยอะ” อีกคนหัวเราะเจื่อน หน้าตาดูหวั่นๆ
“บ้า คิดมากแล้ว” แสร้งหัวเราะขำ พลันหยิบหลอดจ้วงแทงน้ำแข็งก่อนจะยื่นริมฝีปากไปดูดน้ำชามะนาว
เดี๋ยวก่อน อีขวัญผวาจะจำชื่อนี้ให้ขึ้นใจ จะนำแม่งไปแต่งในนิยายฆาตกรรมหั่นชำแหละศพ ฆ่าทางอ้อมเหมือนสมุดเดดโน๊ต
ความแค้นนี้จะไม่มลายหายไป !
“เจอเมียเก่าคงไม่ใจเต้นเนอะ” อ๊อกคนนี้อดไม่ได้ที่จะแดกดันอีกฝ่าย
“บ้า พี่ไม่คิดอะไรแล้ว อีกอย่างเราสองคนไม่เคยถึงขั้นนั้นกันค่ะ” พี่นนท์ร้อนรนตอบกลับ
“อ๋อเหรอ” อีอ๊อกว่าพานยักไหล่ บึนปากเหมือนไม่แยแส ทั้งที่จริงอยากล้วงข้อมูลเต็มไปหมด
“เห็นพี่พูดแบบนี้อ๊อกก็เบาใจลง” ปรับสีหน้ากลายเป็นชื่นบาน ก่อนที่พนักงานจะเดินมาเสิร์ฟเป็ดย่างจานใหญ่กับบะหมี่หยกสีเขียว หลังจากนั้นผมก็หยิบส้อมมาจิ้มเป็ดใส่จาน กระแทกจนกระทบเสียงจานชาม มิวายกล่าวเสียงเนิบนาบขึ้นมาว่า “อย่าให้รู้ลับหลังก็แล้วกัน” พานหรี่ตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด
คนตรงหน้ากลืนน้ำลายลงคอ ลูกกระเดือกนี่ขยับหายเข้าไปให้เห็นก่อนจะปูดโปนดังเดิม เขาพยักหน้ารับช้าๆ เอ่ยคำว่า “ค่ะ” เป็นการทำความเข้าใจ
ดีมาก คลี่ยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว มีผัวเชื่อฟังแบบนี้ค่อยเบาใจลงหน่อย ชวนอีกฝ่ายทานอาหารมื้อแรกของวันต่อ เพราะต้องกินเยอะๆ จะได้มีแรงต่อกรกับยัยมารผจญ
พนันได้ว่าอีนางนั่นต้องมาชวนคุยต่อไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นเราต้องรีบแดกและออกจากร้านในทันที
ทว่าสิ่งที่คิดไม่เคยเป็นไปตามที่หวัง ก็เหมือนพล็อตนิยายที่อยากให้ออกมาดีแต่ก็เสือกผิดหวัง ดันมีตัวประกอบเข้ามาขัดอกขัดใจเสียนี่ เช็กบิลไม่ทันไรหล่อนก็เดินมายิ้มให้ว่าที่ผัว
แม่ ! อ๊อกไม่ยอม อ๊อกจะตบกับอีนังนี่ ได้โปรดอย่ารั้งอ๊อก ไม่ บอกว่าไม่ไง พี่นนท์อย่ามาจับ คิดแล้วก็ชำเลืองตามองไปที่เรียวแขน
อ๋อ ไม่มีคนจับ กูคิดไปเอง
“จะกลับแล้วเหรอนนท์ ?”
ใช่ กลับไปเผาบ้านมึงทั้งหลังนั่นแหละ !
“อืม” เสียงพี่นนท์ขานรับเนิบนาบ
อ๊อกไม่พอใจ อ๊อกไม่อยากให้พี่นนท์ตอบกลับยัยนั่น !
พอแฟนหนุ่มหันไปรับเงินทอนแล้วกล่าวขอบคุณพนักงาน ยัยขวัญผวาก็หาเรื่องจิกกัดใหญ่
“ตายจริง นี่นนท์ต้องเลี้ยงน้องเขาด้วยเหรอ” ประโยคหลังเธอปรายตามองมาทางผม “หรือว่าน้องเขาไม่มีเงินพอ นนท์เลยต้องลำบาก”
แม่ มันด่าอ้อมๆ ว่าหนูเกาะผู้ชายกินอะ !!
“อ๊อกเป็นแฟนพี่” พี่นนท์ออกมาปกป้อง รีบเดินจูงแขนผมออกจากร้านเพราะมันเสียมารยาทคนข้างใน
ทว่าเธอคนนั้นก็เดินตามมา ทำให้ผมกับพี่นนท์ต้องหันไปมองตามต้นเสียง “แต่ตอนขวัญคบกับนนท์ก็หารกันทั้งนั้นเลยนะ” อีกคนตัดพ้อ รื้อฟื้นเรื่องในอดีต ไม่ทันไรก็ด่ากระทบกระเทือนมาทางผม “แฟนใหม่นนท์ไม่รู้เลยเหรอ ว่านนท์ก็ลำบากเหมือนกันที่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวอะ”
คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกจุก ตัวนั้นนิ่งชาไปหมดกับคำที่ได้ยิน
เออ นั่นสินะ ผมเองก็ทำให้พี่นนท์ต้องลำบากไปด้วยเลย ถึงเขาจะดูรวยมีเงินใช้ตั้งมากมายขนาดไหน แต่เขาก็ต้องแลกกับหยาดเหงื่อในการทำงานทั้งนั้น พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ผมก็เริ่มรู้สึกเจ็บแปลกๆ รู้สึกผิดแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตามที
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ค่อยจะสนใจปัญหาครอบครัวของพี่นนท์เลยสักครั้ง พอคนที่ชื่อขวัญพูดโพล่งมาแบบนั้น ก็เหมือนจะทำให้ผมตระหนักอะไรได้หลายๆ อย่าง
เขา...ผู้มากความสามารถ สมกับการเป็นแฟนที่หลายคนถวิลหา เอาจริงเอาจังในหน้าที่การงาน นอกเหนือจากนี้ยังมุ่งมั่นกับการไล่ตามความฝัน
อ๊อกขอไม่นับเรื่องเยนะ ถึงแม้ลึกๆ จะคิดไปแล้วก็ตามที
ส่วนผม...ผู้ไม่สำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ฐานะทางบ้านก็ลำบาก เกียจคร้านจนติดเป็นนิสัย รู้สึกพยายามเท่าไรก็ไม่มากพอ
ทั้งที่ทุกคนต่างก็ดิ้นรนกันทั้งนั้น
“นั่นมันขวัญไง แต่นี่อ๊อก” เสียงคนข้างกายที่ดูไม่พอใจกับคำพูดของเธอ มันให้ความรู้สึกเหมือนผมเป็นคนสำคัญยิ่งนัก พอเงยหน้ามองเจ้าตัวก็เห็นเขาเอียงหน้ามาสบสายตาก่อนจะพากันออกจากพิกัดตรงนี้ หวังให้เราสองคนจะได้ไม่ต้องมาเสวนากับคนที่ขุดเรื่องเก่า
เฮ้อ อ๊อกไม่ชอบเรื่องดราม่าเลยค่ะแม่ขา...
“อ๊อก” เสียงพี่นนท์ที่เอ่ยขัดบรรยากาศภายในรถ ปลุกสติผมที่กำลังเหม่อลอยในภวังค์
“หืม ?” หันหน้าไปมองตามต้นเสียง ปั้นหน้าแย้มยิ้มให้ดูปกติ แต่ดูเหมือนอีกคนจะมองออก
“พี่ขอโทษที่ทำให้เราต้องมาเจออะไรแบบนี้นะ”
“เอ๋ ไม่ใช่ความผิดพี่นนท์สักหน่อย” ผมส่ายหน้าอมยิ้มน้อยๆ “มันแค่เรื่องบังเอิญน่ะ” ยื่นปลายนิ้วไปจิ้มแก้มอีกคนเพื่อหยอกเอิน “ทีหลังอย่าโทษตัวเองนะ”
อีอ๊อกเพียงแค่หวังให้คนข้างกายเบาใจลง
มาถึงบ้านก็เพราะพี่นนท์อาสาเดินมาส่ง ผมที่เปิดประตูเข้ามาในรั้วเหล็กก็ฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย ตลอดระยะเวลาเดินทางกลับมาก็มัวแต่คิดเรื่องนั้นไม่หยุด
รู้สึกผิด ต่อให้ไม่ใช่ความผิด
“ผมขอโทษนะ” สุดท้ายก็เอ่ยออกมาจนได้ เพราะเก็บไว้ก็คงอึดอัดใจไปเปล่าๆ “ขอโทษที่ทำให้พี่นนท์ต้องเลี้ยงตลอด” ผมที่ก้มหน้าซึมพลันเงยหน้าไปจ้องอีกคนอย่างหมายมั่น “ไว้อ๊อกจะหาเงินมากกว่านี้ จะไม่ทำให้พี่ต้องลำบากคอยเลี้ยงตลอดเวลา”
“เดี๋ยวสิอ๊อก” พี่นนท์แย้งขึ้นมา สีหน้าดูเคร่งเครียดปนกังวล “กับอ๊อกพี่เลี้ยงได้อยู่แล้ว ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
สมกับคำพูดในการเป็นพระเอกของเรื่องซะจริงๆ ใจผมนี่สั่นไปหมด พานส่ายหน้าประกอบ “มันไม่ได้เกี่ยวกับลำบากไม่ลำบาก แต่อ๊อกแค่รู้สึกว่าตัวเองควรประสบความสำเร็จและหาเงินได้บ้าง นอกจากใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ”
พี่นนท์ได้ยินดังนั้นแววตาก็ดูเศร้าสลด ยื่นมือมาลูกหัวเพื่อปลอบประโลม “อ๊อกอย่าคิดมากเลยนะ”
แต่อ๊อกรู้ดีอยู่แก่ใจไง ฉุกคิดว่าตัวเองควรลงมือเอาจริงเอาจังกับอะไรสักอย่าง หากตั้งใจแล้วละก็...ความฝันคงไม่ไกลเกินเอื้อม
ดีเสียอีกที่คนที่ชื่อขวัญมาช่วยเตือนสติ แม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดนั้นมีผลกับตัวเรามากแค่ไหน มันทำให้อดเปรียบเทียบตัวเองไม่ได้เลย
เหมือนชีวิตผมกับพี่นนท์นั้นมีความแตกต่าง ระดับความพยายามของเราไม่เท่ากัน แต่เพราะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ ผมถึงอยากประสบความสำเร็จเทียบเท่ากับเขา
ถึงจะไม่ใกล้เคียงมากนัก แต่ก็ขอแค่ลองเพียรพยายามดูสักครั้ง…
“ให้พี่ไปช่วยเคลียร์กับเธอให้ไหม เธอพูดไม่ดีกับเราเลย” พี่นนท์ถาม ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยข้างพวงแก้มของผมอย่างทะนุถนอม
ผมตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก มันก็ดีนะ การที่เขาพูดแบบนั้นมันก็เป็นแรงผลักดันให้อ๊อกอยากเขียนหนังสือ” ว่าแล้วก็เอาแก้มแนบอิงกับฝ่ามืออุ่นๆ
กว่าจะลาพี่นนท์แล้วขึ้นห้องมาได้ คนตัวโตก็แทบจะยื้อหวังให้เลิกฟุ้งซ่าน สุดท้ายไอ้เราก็ทำได้แค่ตกปากรับคำ กลับมานอนที่ห้องครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ๆ นึกถึงคำพูดของขวัญ เลยได้แรงบันดาลใจต่างๆ มากขึ้น ฉุกคิดดังนั้นก็ดีดตัวขึ้นจากที่นอน และไม่คิดจะเอาคำพูดของยัยขวัญผวาไปพูดให้คริสตี้ฟังด้วย
ปัญหาใครก็ปัญหามันเถอะ…
[อีขวัญผวานี่ควรโดนตบเลือดกบปากมากนะ]
“ใช่มะ อีสัตว์ กูนี่อยากจะจิกหัวมันกดลงหม้อเอ็มเคมาก” พูดแล้วก็คันไม้คันมือ แต่ก็ทำได้แค่คิด
[แล้วนางมาเสือกเหี้ยไรวะ ผู้ชายจะเลี้ยงแฟนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกมะ แล้วแต่ความเต็มใจส่วนบุคคล]
ได้ยินคริสตี้พูดแบบนั้นผมก็พยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย แม้ลึกๆ ก็เกรงใจกับการที่จะมีใครสักคนมาเลี้ยงเรา
คำพูดของเธอมันจี้จุดอะ
“แล้วรู้ปะพี่นนท์พูดว่าไงตอนนางบอกหารตังค์กับเขามาก่อน พี่นนท์นี่ตอบไปพร้อมเสียงขึงขังเลยจ้ะว่า ‘นั่นมันขวัญไง แต่นี่อ๊อก’” ดัดเสียงให้เข้มขึ้นตามคำพูดของพี่นนท์ “คือตอนนั้นกูแบบ...อีเหี้ยมึงเก็ทปะ ? ผัวอะอีสัตว์ คำว่าโพผัวมันเด่นออกมาโดยไม่ต้องมีคำพูดก็ยังได้”
[พี่เขาโคตรหล่อเลย] คริสตี้ว่า
ผมเห็นด้วยกับคำคำนั้น “ใช่มะ คือกูรู้สึกว่าตัวเองสวยมากอะ เหมือนกูได้รับการปกป้องจากคนที่รัก แล้วยิ่งพี่นนท์พูดแบบนั้นนะ ใจกูนี่เต้นแรงมากเหมือนจะระเบิดออกจากอก ถ้าเอากันตรงนั้นได้คือกูเยกันแล้วอะ”
[คนหรือสัตว์] คริสตี้ท้วง
“เบื่ออะอีห่า คือกูรู้ตัวนะว่าตัวเองสวย แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้แฟนดีขนาดนี้ปะ คนอะไรแม่งจะเพอร์เฟกต์ ได้ผัวหล่อ การงานดี โปรไฟล์เลิศ เป้าใหญ่ เยดุ คืออีเหี้ย กูพร้อมมีลูกกับเขาสักสิบคนก็ยังไหว” พูดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตาด้วยความเปรมปรีดิ์
[มึงสวยไง]
“ใช่ กูรู้ ข้อนี้กูไม่เถียง มันไม่แปลกที่คนดีๆ อย่างกูจะได้ผัวดีๆ กับเขาบ้าง แบบบางทีกูก็คิดนะว่าอยากจะหน้าตาดีน้อยลง แต่มันทำไม่ได้ไงมึง มันยากมาก อีเหี้ยตื่นมาทุกวันคือกูหงุดหงิดทุกเช้า คนเหี้ยอะไรดูดีขึ้นทุกๆ วัน”
[มึงๆ]
“ว่าๆ” ขานรับเมื่อปลายสายเรียก ตั้งอกตั้งใจฟังกับคำที่เพื่อนจะกล่าว
[มึงนอนเยอะๆ นะ]
“ทำไมอะ” ผมถามอย่างงงงวย
[เปล่า กูแค่เป็นห่วง] คริสตี้ดันไม่ให้คำตอบ จากนั้นจึงถามต่อว่ามีอะไรจะคุยอีกไหม ผมถึงได้ปรึกษาเรื่องพล็อตนิยายแทน ภายในไม่กี่นาทีต่อมาก็นึกไอเดียออก เริ่มพรมนิ้วใส่แป้นพิมพ์ หารูปประกอบฉากให้คนนึกภาพตาม จับโยนอีขวัญผวาให้มามีบทบาทส่วนร่วมในนิยายสยองขวัญ
อีนี่ต้องตายทรมานค่ะ หมายหัวเอาไว้แล้ว
นึกแล้วก็กัดฟันแน่น พาลให้นึกถึงตอนคุยกับพี่นนท์เรื่องนี้
‘ให้พี่ไปช่วยเคลียร์กับเธอให้ไหม เธอพูดไม่ดีกับเราเลย’
‘ไม่เป็นไรหรอก มันก็ดีนะ การที่เขาพูดแบบนั้นมันก็เป็นแรงผลักดันให้อ๊อกอยากเขียนหนังสือ’
ใช่แล้ว และกูนี่แหละจะเอาเรื่องของมันไปเขียนในนิยาย จะเสวยสุขจากผลงงานชิ้นนี้ ความแค้นต้องไม่เปล่าประโยชน์
พอโปรยพล็อตจนหนำใจ นำความโกรธเกลียดเป็นแรงผลักดันในการสร้างสรรค์ผลงาน ดูเหมือนจะได้การตอบรับที่ดีกว่าที่คิด แต่มันก็เป็นเพียงแค่ไม่กี่นาทีหรอก เมื่อสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้กลับถูกทำลายจากบุคคลที่เคยเจอ
ใช่ ผมโดนกันซีนอีกแล้ว กลายเป็นคนคนนั้นอีกแล้วที่คิดแนวเดียวกัน ไม่พอเท่านั้น แม้แต่รูปที่หามาได้ก็ยังถูกเซฟไปใช้ต่ออย่างรวดเร็ว และยังมีหน้ามาพูดถึงพล็อตนิยายตัวเองอีก
ให้ตายเถอะโคตรไร้มารยาท หลายครั้งหลายคราแล้วนะชักจะทนไม่ไหว หัวใจแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ หยาดน้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม เสียความรู้สึกไปหมด
ถึงพล็อตและรายละเอียดของพวกเราจะไม่เหมือนกันเลย แต่ช่วยอย่าทำตัวแบบนี้อีกได้ไหม
“ฮือออ” สติแตกจนได้ หรือเพราะว่าอ่อนแอมากเกินไป ฟูมฟายและทรมานเกินกว่าจะแบกรับไหว มันทำให้แพนิคนึกไปถึงเรื่องในอดีตที่เคยพบเจอมาก่อน
เกลียด เกลียดความรู้สึกนี้มากๆ เกลียดจนต้องโทรไประบายกับคริสตี้อีกครั้ง หรือเพราะว่านี่คือเวรกรรม
“มึง ฮึก” ทันทีที่เพื่อนกดรับสาย ตัวเองก็ยิ่งสะอื้นหนักกว่าเก่า พอได้ระบายในสิ่งที่กักเก็บและเคยเจอ ความรู้สึกทุกข์ทรมานก็ค่อยๆ ทุเลาลง
มันแค่งงและไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเจอคนประเภทนี้ ทั้งดราม่าในวงการ ในนิยายตัวเอง สังคม สภาพแวดล้อม ผมยังคงเป็นเด็กน้อยใสซื่อจนเกินไป
[ชีวิตมึงนี่ถ้าเป็นนิยายสักเรื่องคงมีคนติดตามแน่ๆ มีแต่เรื่องพีคๆ ทั้งนั้นเลย] คริสตี้กล่าวอย่างติดตลก หลังจากเห็นผมหยุดร้องไห้ มันเว้นคำพูดก่อนจะเอ่ยต่อ [นี่อ๊อก]
“อืม ว่าไง” ผมขานรับอย่างเหม่อลอย
[ทำไมไม่ลองเอาเรื่องตัวเองมาแต่งนิยายดูล่ะ ?]
ราวกับคำพูดนั้นเป็นตัวชี้นำทางแห่งแสงสว่าง ไอเดียและแนวพล็อตที่ไม่เคยเจอในวงการก็ปิ๊งขึ้นมาทันที ช่างเป็นแนวที่น่าสนใจที่สุดในชีวิต แนวที่คิดว่าผลงานนี้นี่แหละจะต้องเป็นที่จับตามอง แม้มันจะมีข้อดีข้อเสียอยู่อย่างหากนำไปใช้ แต่คงต้องทำให้เห็นถึงพัฒนาการตัวละคร ไม่ว่าจะด้านการเขียนหรือด้านจิตใจ
“เออว่ะ” ทำไมนึกไม่ได้นะ ผมเริ่มระบายยิ้มกว้าง เหมือนมีไฟปะทุเข้ามาในอก “กูได้ชื่อเรื่องเลยอะ”
ในเมื่อทุกสิ่งในชีวิตคือเรื่องตลกร้าย...
[เรื่องไรวะ]
“เดี๋ยวกูมา ขอบคุณมากนะมึง” ว่าแล้วก็กดตัดสายทิ้ง เริ่มเปิดเรื่องโดยไม่คิดจะร่างพล็อต มีเพียงความรู้สึกและหัวสมองตื้นๆ ที่พอจะนึกออกในยามนี้
ใส่ทั้งเพลงที่ชื่นชอบและสอดคล้องกับเนื้อหา ใส่ทั้งคำโปรยที่เต็มไปด้วยคำจิกกัดและเป็นเรื่องสะท้อนที่มีอยู่จริง
กดบันทึก เผยแพร่ และแชร์เข้าสู่ทวิตเตอร์พร้อมแฮชแท็ก
มาค่ะอีควาย…
เจอกับกูหน่อยเป็นไง
#เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย (Yaoi)
‘ชื่อไร’
‘ชื่ออ๊อก’
‘อ๊อก ?’
‘ใช่ อ๊อกๆ แบบหรรมติดคออะ’
“เชิญเร่กันเข้ามา”
เร่กันเข้ามาด่ากูนี่ไงอีเหี้ย ! แต่งนิยายชื่อเรื่องก็ล่อตีนแล้วค่ะ ช่วงนี้ยิ่งมีดราม่าวงการอยู่ด้วย อีอ๊อกเริ่มตัวสั่นงันงกแล้วนะคะคุณแม่ขา ไม่กล้าเข้าไปส่องทวิตเลย จู่ๆ แจ้งเตือนก็มากกว่าปกติ แรกเริ่มด้วยเพื่อนนักเขียนที่เมนชั่นตอบกลับมาอย่างขบขัน ไอ้เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เรื่องภาษานี่ก็ไม่ได้เก่งอะไรเลยสักนิด ออกจะใช้คำผิดความหมายเสียด้วยซ้ำ มีสิทธิ์ถูกยกประเด็นมาด่าในภายภาคหน้า
ไม่ได้สนับสนุนนักเขียนให้มาค้าประเวณีนะคะ มันก็แค่สิ่งที่พบเจอบ่อยๆ จนขี้เกียจจะตอบคำถามก็เท่านั้นเอง
ฮือ กูโดน กูโดนด่าแน่ๆ ผลีผลามมากเกินไปแล้ว
“ไม่เอาๆ ไม่ส่องเด็ดขาด” ใจยิ่งบางๆ อยู่ด้วย คือกระแสตอบรับไปในทิศทางที่แย่ ดำดิ่งกันพอดี
อ๊อกไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วจริงๆ รีบยกมือขึ้นมาไหว้หน้าจอคอม และแล้วก็มาสะดุ้งโหยงเมื่อคุณแม่ตะโกนเรียกชื่อ ไอ้เราก็หุนหันดีดตัวจากเก้าอี้ลงมาข้างล่าง ปรากฎว่ามีคนมาหาซึ่งก็คือพี่เดือน
“พี่มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อยอะ” คนตรงหน้าเอ่ยปาก
อีอ๊อกยืนงง หน้าตาแตกตื่น “อะไรอ๋อ ?” ระ...หรือว่าพี่นนท์จะเอาไปบอกเรื่องที่เราสองคนผสมพันธุ์ แถมยังแตกในด้วย
ไม่ ไม่จริง คุณผัวเป็นคนปากพล่อยอย่างงั้นเหรอ
“เรื่องคริสตี้”
อ๋อ โล่งอก รีบเอามือมากุมตำแหน่งหัวใจและลดท่าทีลง
“ไปคุยบ้านพี่นะ” พี่เดือนว่าพลางหันหลัง
เฮ้ย ไม่ดีปะชวนคนเข้าบ้านอะ พี่เขาคิดไม่ดีกับเราแน่ๆ เลย แต่ลืมไปว่าเคยเป็นผัวเพื่อนมาก่อน อ๊อกเลยเลิกมโนเพ้อเจ้อและเดินตามไล่หลัง
บ้านพี่เดือนขยับขาสักสามสิบก้าวก็ถึงแล้ว แถมเขาพาหนูเข้าห้องด้วย !
“พี่มีอะไรจะคุยเหรอ ?” ผมพยายามใจดีสู้เสือ มองอีกฝ่ายที่ล้มตัวลงนั่งข้างขอบเตียง
อย่าบอกนะว่า...
“คือพี่…”
ไม่จริง “อ๊อกคบกับพี่นนท์แล้ว !” ผมรีบขัด หลับตาลงแน่น “พี่อย่าทำแบบนี้เลย พี่นนท์เป็นเพื่อนพี่นะ พี่จะมาแทงข้างหลังเพื่อนตัวเองไม่ได้ และอีกอย่างอ๊อกเป็นน้องพี่ด้วย พี่จะมาคิดอะไรเกินเลยกับอ๊อกไม่ได้เด็ดขาด มันผิดศีลธรรม !” ผมรีบขัดอีกฝ่าย น้ำตาเริ่มเอ่อคลอพลอยกังวล
นี่มันไม่ใช่พล็อต Incest นะ เขียนนิยายเจอปัญหาก็เหนื่อยพอแล้ว จะมาถูกสารภาพรักชวนขึ้นเตียงอีกอ๊อกทำใจไม่ได้หรอก
“ไม่ใช่ คือพี่จะบอกว่า…”
“ชอบอ๊อกสินะ คืออ๊อกรู้ว่าตอนเด็กอ๊อกเคยชอบพี่มาก่อน แต่พอโตขึ้นอ๊อกรู้แล้วว่าตัวเองชอบในฐานะน้องชายที่ปลื้มพี่ชายก็เท่านั้น แต่ตอนนี้พี่กลับมาหลงรักอ๊อก ข้ามความสัมพันธ์ระหว่างเรา มันไม่ควรเลยนะพี่” ตัวผมสั่นระริก ใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ กับข้อเท็จจริง
“พี่ชอบ…”
“แต่ผมไม่ชอบพี่ !”
“คือไอ้สัตว์ มึงฟังกูก่อนได้ไหมวะ !”
“...” ช็อก
“เป็นเหี้ยอะไรชอบมโนเพ้อเจ้ออยู่ได้”
“...”
คนตรงหน้าพรูลมหายใจทิ้ง สงบสติอารมณ์ให้เย็นลงจึงค่อยปรือตาขึ้น “คือพี่จะบอกว่าพี่ชอบคริสตี้”
จะฟ้องมันแน่ว่ามันมีผัวดุ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอ๊อกอะ” ผมถามเลิกแสดงละคร เดินไปที่เตียงนอนและนั่งลงข้างๆ อีกคน
โธ่ที่แท้ก็อยากปรึกษาความรักเป็นการส่วนตัวนี่เอง
พี่เดือนดูสีหน้าหมองคล้ำ ท่าทางดุเครียดจัดพานส่ายหัว “พี่อยากให้เราช่วยหน่อย”
“ช่วยตัวเองน่ะเหรอ ?” คราวนี้พี่เดือนถึงกับหันมามองตาขุ่น ผมเลยหัวเราะเจื่อน “อ๊อกแหย่เล่นน่ะ” ปกติไม่ค่อยเห็นพี่เดือนโหมดนี้สักเท่าไร “อยากให้อ๊อกช่วยยังไงเหรอ ?”
“ช่วยเป็นแม่สื่อให้ที”
‘สื่อสารน่ะเหรอ ?’ แต่ถ้าพูดออกไปโดนตบหัวลั่นแน่ เลยเงยหน้าขมวดคิ้วแน่น เรื่องความรักยิ่งไม่สันทัดซะด้วยสิ “เกรงว่าจะไม่ได้”
“ทำไมล่ะ ?” น้ำเสียงอีกคนดูผิดหวัง
“ก็คริสตี้คงไม่ยอมหรอก อีกอย่างมันก็ดูไม่ค่อยอยากจะมีแฟน”
“ใครบอก ?”
“อ๊อกบอกเอง” ผมตอบหน้าด้านๆ “แต่ในฐานะเพื่อนสนิทมัน มันคงไม่ยอมแน่ถ้ารู้ว่าอ๊อกวางแผนช่วยเรื่องความรัก”
“...”
“เสียใจด้วยนะ” ผมพูดพลางตบแผ่นหลังกว้างปุ๊ๆ เป็นการปลอบใจ
ตัดใจเสียเถิดหาได้อีกเยอะอีกะหรี่พรรค์นั้น
“พี่จะทำอะไรน่ะ” สายตาผมมองลงต่ำเมื่อจู่ๆ พี่เดือนก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาและยัดแบงค์ห้าร้อยใส่มือผม
“เฮ้ยพี่ !” ผมตกใจรีบคืนเงินให้คนข้างกาย แหม จะมายัดเงินเป็นค่าปิดปากไม่ได้หรอกนะ “พี่อย่าทำแบบนี้อ๊อกไม่ชอบ” ผมบอก แต่แล้วพี่เดือนก็หยิบแบงค์พันกับแบงค์ห้าร้อยใบเดิมมายัดใส่มือ แถมยังจับมือผมให้กำเงินเอาไว้แน่น
“ถือว่าช่วยพี่หน่อยเถอะ พี่ขอร้องล่ะ พี่ชอบเพื่อนเรามากจริงๆ” น้ำเสียงอีกฝ่ายดูน่าเห็นใจ
“แต่ว่า…” ผมกะจะแย้งปฎิเสธ แต่ก็ถูกแบงค์ห้าร้อยอีกใบมายัดใส่มือ
สองพันแล้วนะแม่
“คือพี่จะมาซื้อใจอ๊อกด้วยเงินไม่ได้หรอกนะ อ๊อกไม่ได้เป็นคนแบบนั้น” ผมค่อยๆ คลายปมคิ้วเล็กน้อย
“...” พี่เดือนดูมีสีหน้ามุ่งมั่น หยิบแบงค์พันมายัดใส่มือผมอีกที
สามพันแล้ว “อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ” ผมพึมพำ
อีกคนหยิบแบงค์เทาให้อีกใบ
“โอเคเสี่ย เดี๋ยวหนูเป็นแม่สื่อให้เอง” อีอ๊อกฉีกยิ้มกว้างในบัดดล เอนหัวซบลงกับลาดไหล่พี่ชายในทันที
แหม คิดๆ ดูแล้ว “ขอแบงค์เทาอีกใบได้มะ ?”