* ขอแทรกแจ้งนิดนึงจ้า เรื่องนี้จะถูกเปลี่ยนชื่อจาก Single Mommy เป็น Love again นะคะ
10
[/size]
แม้ความรู้สึกจะยับย่นเป็นกระดาษาโดนขยำทิ้งอย่างไรแต่ไป๋ก็ยังมายังร้านของเจียอยู่ดี ทว่ากลับคว้าน้ำเหลวสามวันติด ไม่พบแม้แต่เงา ถามเด็กในร้านก็รู้เพียงแค่ว่าเจียติดธุระจะไม่เข้าร้านทั้งอาทิตย์ แล้วแบบนี้เขาจะไปหาเจียได้จากไหน เบอร์ก็ไม่มี โง่จริง ๆ เลยไอ้ไป๋แทนที่จะขอเบอร์เขามาไว้
ท่อนขายาวเดินเตะฝุ่นตามถนนไปเรื่อยเปื่อยด้วยความเบื่อหน่าย เขาไม่รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จะสิ้นสุดเมื่อใด มันจะดีขึ้นแบบที่หวัง จะยังย่ำอยู่กับที่ หรือไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลย ไป๋ทรุดกายลงนั่งลงบนเก้าอี้ริมฟุตบาธเพื่อปรับอารมณ์ตัวเอง ดีกว่ากลับห้องไปแล้วต้องเอาเหล้าเข้ากล่อมตัวเอง
“ไง”
อยู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนนึงเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวถัดไปแล้วส่งเสียงทักขึ้นมา ไป๋หันไปมองตามเสียงนั้นด้วยความสงสัยว่าคนนั้นคุยกับใคร แต่เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายชัดเต็มสองตาเขาก็รู้ทันทีว่าได้เวลาเผชิญหน้ากับด่านยากในเรื่องนี้แล้ว
“ได้เจอกันสักทีนะ”
ผู้ชายคนนี้คือ ‘จุ้ย’ พี่ชายแท้ ๆ ของเจีย คนที่ทำให้เขาหาเจียไม่เจอเป็นปี ไป๋กลืนน้ำลายมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันทั้งโกรธเคืองที่ถูกปิดกั้น ทั้งรู้สึกผิดและเสียใจที่ทำร้ายน้องชายอีกฝ่าย
“พี่จุ้ย”
“เราคงไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นหรอกมั้งคุณไป๋” บรรยากาศระหว่างจุ้ยและเจียแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนที่เรายังอยู่ด้วยกันเจียเคยเล่าว่าพี่ชายหวงตนมาก ทั้งหวง ทั้งสปอยล์น้องชายคนเดียวสุด ๆ ในเวลานั้นเขาไม่ได้สนใจที่จะใส่ใจ แต่เวลานี้เข้าใจแล้วกับคำพูดที่เจียเคยบอกไว้
“ครับคุณจุ้ย”
“หาเจอจนได้สินะ”
“ครับ”
“ยากไหมล่ะ”
“ก็ยากครับ”
“แล้วยังจะทำไปทำไม” ราวกับว่าน้ำเสียงของพี่ชายเจียในประโยคนี้ตีความได้ว่าแล้วเขายังจะกระเสือกกระสนที่จะโผล่หน้าเข้ามาในชีวิตน้องชายเขาอีกทีทำไม
“ผมรักเจีย”
“เหรอ”
“จริง ๆ นะครับ”
“คุณทำให้ชีวิตน้องชายผมเกือบพัง แล้วยังมีน่ามาบอกว่ารักอีกเหรอ” ไป๋จนมุมเถียงไม่ออก ตอนนั้นถ้าเราพูดกันด้วยเหตุผล เรื่องราวมันคงไม่เดินมาถึงจุดนี้ ทุกครั้งที่คิดไป๋ก็เสียใจเสมอหากแต่มันไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้แล้วและเขาก็ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นั้นเช่นกัน
“เรื่องในอดีตผมไม่อยากขุดมาพูด แต่ที่อยากรู้ว่าคุณยังจะเข้ามาวุ่นวายชีวิตของน้องชายผมอีกทำไม” น้ำเสียงที่ไม่มีความคุกคามแต่กลับทำให้ไป๋สะท้านไปทั้งร่างกาย
ดูกระจอกชะมัดเลย ไอ้ไป๋เอ๊ย
“ผมยืนยันคำตอบเดิมว่าผมรักเจีย โอเค ผมรู้ว่ารู้สึกตัวช้าจนทำร้ายเจียไปไม่น้อย ซ้ำยังเกือบทำให้ลูกไม่ได้เกิดมา แต่ผมสำนึกผิดแล้ว สำนึกผิดแล้วจริง ๆ ผมมาเพียงเพราะอยากขอโอกาส” ไป๋เดินเข้าไปโค้งตัวให้เป็นการขอโทษพี่ชายของเจียด้วยความสำนึกผิด
“ช่วยให้โอกาสผมได้ไหมครั- อั่ก!” ไม่ทันได้ตั้งตัวหมัดหนัก ๆ จากอีกคนก็กระแทกเข้าที่เสี้ยวหน้าด้านซ้ายจนสะบัดและล้มลงกับพื้น ไป๋ถ่มเลือดออกจากปากพลางหยัดตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้คิดจะสู้กลับเขาทำเพียงยืนนิ่งรอให้คนแก่กว่าทำจนกว่าจะพอใจ ทำจนกว่าเขาจะเจ็บได้ถึงเสี้ยวนึงของเจีย
“พี่จุ้ย! พอแล้ว! พอแล้วครับ”
“เจีย ลงมาทำไม”
ไป๋มองสองพี่น้องด้วยแววตาเสียใจ เจียลอบมองอย่างเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าหมัดของพี่ชายตนหนักแค่ไหน อดีตนักเทควันโดเยาวชนทีมชาติทำมุมปากแตกเลือดซิบ
“กลับไปหาหลานก่อน พี่ขอคุยกับเขาให้รู้เรื่อง”
“เจียขอรอได้ไหม ตรงนู้นก็ได้” เจียเข้าใจว่าพี่จุ้ยเป็นห่วงตนเองแค่ไหน เพราะชีวิตก่อนหน้านี้ที่เขาเกือบทำมันพังไป นอกจากเขาที่เสียใจแล้วก็มีครอบครัวนี่แหละที่กอดคอร้องไห้ไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นตอนที่รู้ว่าพี่จุ้ยจะออกมาเคลียร์กับไป๋เขาถึงขอติดมาด้วย
“โอเค” ไป๋มองเจียที่เดินห่างออกไปก่อนจะดึงสายตาตัวเองกลับมาสบกับคนโตกว่าด้วยความจริงใจ
“จะอยู่ให้ได้เลยใช่ไหม”
“ครับ ผมอยากได้โอกาส”
“เหรอ แล้วรู้ไหมว่าเจียเขามีคุณแพททริคอยู่แล้ว” สถานะของผู้ชายคนนี้ยังคลุมเครือแต่เอาเข้าใจความรู้สึกลึก ๆ ในใจมันบอกว่าไม่ใช่ ระหว่างเจียและคุณแพททริคอะไรนั่น ไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่าคนรู้จักหรือเพื่อน
“จะหาว่าผมหลงตัวเองก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าเจียยังรักผมอยู่”
“ยังรักไม่ได้หมายความว่าจะต้องการ” อ่า นั่นสินะ ไป๋ถอนหายใจ แต่ความหม่นหมองอยู่ในใจได้ไม่นาน เพียงแค่เผลอเหลือบสายตาไปหาคนที่ยืนห่างกันออกไป ดวงตาเรียวสวยที่ยังทอประกายความเป็นห่วงอยู่ ทำให้เขามีแรงฮึดขึ้นมา
“ถ้าเจียไม่ต้องการ ผมคงไม่มีหน้ามายืนอยู่อหน้าคุณแบบนี้หรอกครับ” ใช่ จะหาว่าเขาคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ แต่ถ้าคนที่ไม่ต้องการกันจริง ๆ ไม่มีทางยอมให้เขาเข้าใกล้ตนเองและเข้าใกล้ลูกแบบนี้หรอก
“หึ ผมคุยกับเจียแล้ว หลังจากนี้ผมจะปล่อยให้เขาจัดการเรื่องนี้เอง แต่ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นยังไง คุณต้องยอมรับมันให้ได้”
“ครับ”
“แต่บอกตามตรงว่าผมปล่อยคุณไว้ตอนนี้ในฐานะพ่อของหลานผมเท่านั้น ส่วนฐานะอื่นคงไม่ได้จะให้ง่าย ๆ”จุ้ยพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก็เดินหมุนตัวจากไปพร้อมกับโอบร่างบอบบางของน้องชายตัวเองไปด้วย เขาได้แต่มองตามหลังทั้งคู่ไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจเบาบางลงไปหลายส่วน
อย่างน้อยเขาก็พอจะมีโอกาส มีพื้นที่ได้สู้เพื่อเรียกความรักตัวเองคืนกลับมา
…
“ฮัลโหล”
(อยู่ไหนวะไป๋)
“อยู่กับลูก มีอะไร”
(เหรอ กูไปหาได้ปะ)
“มึงกลับมาแล้วเหรอ”
(อืม)
“มึงพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวกูหิ้วข้าวไปฝาก”
ไป๋กดวางสายทันทีไม่ให้มีการสาวความยาวยืดก่อนจะหันกลับมาสนใจลูกชายในอ้อมแขนที่ส่งเสียงอ้อแอ้ หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อได้เล่นกับเขา ไปทำงานมาเหนื่อย ๆ ได้แวบมาเจอลูกและแม่ของลูก ก็ทำให้หายเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้ง
นับตั้งแต่วันนั้น ไป๋ก็กล้าที่จะเดินหน้ามากขึ้น กล้าที่จะเข้าหาทั้งเจียและลูกมากขึ้น แรก ๆ เจียก็ยังคงไว้ด้วยความเย็นชาแต่นานวันเข้าก็เริ่มผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดจนเขารู้สึกได้ แต่จะไม่ทักหรอกนะ ไม่อย่างนั้นแม่แมวตัวนี้คงคาบลูกวิ่งหนีเขาไปอีกแน่นอน
“เจียครับผมฝากสั่งข้าวกลับบ้านซัก 2 กล่องได้ไหม” ไป๋ส่งเสียงถามแม่แมวที่นั่งทำบัญชีอยู่ไม่ไกลแต่ไม่ได้ละมือจากการเล่นกับลูกเลย
“ได้สิ เอาอะไรล่ะ” เจียหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรลงไปบอกน้องที่เคาน์เตอร์
“เอาอะไรก็ได้เลย แต่ขอเผ็ดน้อยกล่องนึงนะครับ ไอ้โซ่มันกินเผ็ดไม่ค่อยได้” เจียพยักหน้ารับก่อนจะโทรสั่งข้าวผัดกุ้งง่าย ๆ ให้ ก่อนจะเผลอมองไป๋ด้วยแววตาพิจารณา ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันที่นี่จนถึงตอนนี้ก็มักได้ยินชื่อ โซ่ ผ่านเข้าหูอยู่บ่อยครั้ง ช่วงแรก ๆ ก็มีมาพร้อมกับไป๋ด้วยซ้ำ แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยเขาว่าเขาดูออก เหลือเพียงแต่เจ้าตัวนั่นแหละที่ดูออกไหม
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น คิดอะไรอยู่เหรอ”
ไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าไป๋อุ้มลูกมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ เจียเงยคอมองคนที่ก้มหน้าลงมาหา ความใกล้ชิดที่เขาไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้ก็ทำเอาประหม่าไม่น้อยแม้เราจะเคยผ่านกันมามากกว่าแค่หน้าอยู่ใกล้กันก็ตาม
“โซ่ ... เอ่อ ไม่มีอะไร จะกลับแล้วใช่ไหม ส่งลูกมาสิ"
“เดี๋ยวก่อน ... เจียพูดถึงโซ่เหรอ” ไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเจียไม่ยอมสบตา ไม่ยอมตอบ เขาไม่รู้เลยว่าเรื่องของโซ่จะทำให้เจียไม่สบายใจ
“ผมกับโซ่เราเป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ นะ” คนที่กลัวโดนโกรธก็ร้อนรน รีบอธิบาย เจียที่เห็นไป๋เป็นแบบนี้ความหน่วงในใจก็ลดฮวบลงทันที นั่นสินะ เขาจะไประแวงอะไร ในเมื่อเจ้าตัววิ่งวุ่นหาเขากับลูกเช้าถึงเย็นถึงแบบนี้
“อืม ส่งลูกมาเถอะ รีบกลับได้แล้วเดี๋ยวจะดึกซะก่อน” ไป๋ยอมส่งลูกให้เจีย ไจ่ไจ๋ที่ละออกจากอกอุ่นของพ่อกำลังจะอ้าปากร้องแต่พอเจออ้อมแขนที่คุ้นเคยของแม่ก็หยุดนิ่งแล้วซบลงบนไหล่บางพลางส่งยิ้มมาให้เขา
ให้ตายสิ ลูกใครหว่ามันน่ารักจังวะเฮ้ย
“พรุ่งนี้เจอกันครับ”
“อื้อ กลับดี ๆ”
ไป๋แบกอารมณ์ดี ๆ กลับมาที่ห้องเหมือนทุกวัน แม้ใจจะไม่อยากห่างแต่ก็ต้องให้พื้นที่กับอีกฝ่ายเพราะตอนนี้บอกตามตรงก็ยังไม่ได้คืบหน้าอะไรไปมากกว่าการถูกยอมรับว่าเป็นพ่อของลูก แต่ในฐานะคนรักเจียยังคงเว้นระยะห่างไว้เช่นเดิม
“นี่ข้าว เป็นไงบ้างเรียบร้อยแล้วเหรอ”
“อื้อ ฝึกเสร็จกูคงต้องกลับเลย” ไป๋ที่คิดอะไรในหัวเพลิน ๆ ก็โพล่งสิ่งที่คิดออกมา
“อาทิตย์หน้ากูพาเจียกับลูกไปเที่ยวดีกว่า มึงว่าดีปะ จะได้ใช้เวลาด้วยกันแบบครอบครัวด้วย” พูดเสร็จก็ไม่รีรอเดินไปหยิบโน้ตบุ๊กแล้วเสิร์ชหาสถานที่น่าสนใจเหมาะสมเที่ยวกับครอบครัว ไป๋ตกลงอยู่ในห้วงความคิดจนไม่ทันได้เห็นสายตาตัดพ้อน้อยใจจากเพื่อนข้างกาย
เพราะเมื่อคืนมัวแต่ตื่นเต้นกับการพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรให้เจียยอมไปเที่ยวด้วยกันจนดึกดื่น วันนี้เลยตื่นสายกว่าปกติ ความรู้สึกหนักช่วงอกทำให้เขารีบลืมตาตื่นขึ้นมาดูแล้วพบกลุ่มผมของคนอยู่บนอกตัวเอง ไป๋ขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ เขาไม่ชอบให้ใครมาโดนตัวหรือยุ่มย่ามกับร่างกาย เขาดันตัวโซ่ลงจากอกซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่โซ่ตื่นขึ้นมาแล้วหน้าซีดเมื่อเห็นไป๋ส่งสายตาไม่พอใจ
“คือ”
“มึงมานอนบนเตียงกูได้ไง”
“กูนอนละเมอ”
“เหรอ”
โซ่หลบสายตา รู้ว่ามันคำแก้ตัวที่โคตรจะไม่น่าเชื่อ อยู่กันมาตั้งหลายเดือนไม่เคยมีพฤติกรรมละเมอเดินแล้วใครมันจะไปเชื่อ แต่จะว่าไม่เคยมีก็ไม่ได้ เพราะคืนก่อน ๆ เขาลอบเข้ามาในห้องนอนของไป๋ หากโชคดีไป๋ไม่ได้ล็อกประตูเขาก็จะมานั่งมองหน้าไป๋จนหลับ แล้วจะตื่นมาตอนเช้ามืดเพื่อกลับเข้าห้องตัวเอง
“อย่าทำแบบนี้อีก กูไม่ชอบ” คำว่าไม่ชอบของไป๋กระแทกหน้าจนโซ่ได้แต่กัดปากเพื่อห้ามตัวเอง ร่างสูงโปร่งเดินเข้าห้องน้ำโดยไม่คิดหันมาสนใจอีก
“วันนี้ไปแฮงค์เอาท์กันไป๋” เจมส์ รุ่นพี่ที่เป็นเทรนเนอร์ให้หันมาชวนหลังจากเลิกงาน แต่สิ่งสำคัญที่สุดของไป๋ตอนนี้คือการไปหาเจียและลูกทุกเย็น ฉะนั้นอีเวนท์อื่นปลีกย่อยเขาปฏิเสธมันไปทั้งหมด
“โทษทีเจมส์ ผมมีธุระแล้ว”
“เฮ้ยได้ไง ช่วงนี้เลิกงานแล้วหายตลอด ติดสาวที่ไหนเปล่า” ไป๋หัวเราะเมื่อถูกรุ่นพี่แซวเข้าตรงประเด็น ผิดแต่ว่าคนที่เขาไปติดด้วยไม่ใช่ผู้หญิงน่ะสิ
“ไปแล้วครับ” คนถูกถามไม่ได้ตอบทำเพียงส่งยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายหลัง สองเท้าชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกตามหลังมา
“จะไปหาเจียเหรอ” เป็นโซ่ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาหาที่หน้าลิฟต์ ไป๋ทำเพียงพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปมองเลขลิฟต์
“กูไปด้วยสิ มึงยังไม่ยอมให้กูเจอหลานเลยนะเว้ย”
“หน้ามึงซีดขนาดนี้ กลับไปนอนเหอะ” ไม่ใช่ว่าเขาดูไม่ออก เพียงแต่ไม่เคยพูดและคิดว่าท่าทีของตัวเองชัดเจนมากพอที่จะไม่ทำให้ใครอีกคนคิดเกินไปไกล แต่บางทีก็คงลืมไปว่าหากไม่พูดให้ชัดเจน ก็จะมีคนฉวยโอกาสจากจังหวะคลุมเครือแบบนี้
“กูอยากไป ให้กูไปเหอะนะ” ไป๋พยักหน้าตัดความรำคาญ ทั้งคู่พากันนั่งบัสจนมาถึงป้ายปลายทาง แต่ร้านของเจียจะต้องเดินเท้าต่อเข้าไปในซอยเล็กน้อย ช่วงเย็นมีคนเดินอยู่ริมถนนประปรายทว่ากลับไม่ได้มากมายเหมือนประเทศไทยเพราะอากาศที่เริ่มหนาวจัดทำให้คนออกจากบ้านน้อยลง
“มึงสั่งอาหารเอาเลยละกัน เดี๋ยวกูมา” ร่างสูงใหญ่ของไป๋หายขึ้นมาด้านบนซึ่งตอนนี้เขาได้กลายเป็นแขกขาประจำโดยที่สามารถขึ้นชั้น 2 ของร้านได้ตามสะดวก แม้จะมีสายตาอยากรู้อยากเห็นจากพนักงานในร้านบ้างแต่ถ้าเจียยังไม่สะดวกใจที่จะระบุสถานะของเขา เขาก็จะทำเป็นไม่สนใจ
“แอ้!!” ทันทีที่เจ้าเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเห็นคนคุ้นหน้าก็รีบส่งเสียงเรียกทันที ทว่ารอยยิ้มของไป๋กลับชะงักไปเมื่อเห็นว่านอกจากเจียแล้วยังมีคนอื่นอยู่ภายในห้องอีกคน คุณแพททริคอะไรนั่นหันมามองเขา เราต่างมองกันอย่างหยั่งเชิง
เจียลอบมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกนั่งไม่ติดอย่างไรชอบกล เขายอมรับว่าตัวเองเริ่มจะโอนอ่อนกับไป๋มากขึ้น คนตัวบางกัดปากแสร้งทำเป็นก้มหน้าเล่นกับลูกน้อยในอ้อมแขน เจียรู้สึกได้ว่าไป๋เดินเข้ามายืนซ้อนด้านหลังเก้าอี้ ก่อนจะชะงักงันเมื่อใบหน้าคมคายโน้มตัวลงจนแก้มจะแนบแก้มเขา ดวงใจที่มันสงบราบเรียบกลับเต้นโครมครามอย่างห้ามไม่อยู่ นี่นับเป็นการใกล้ชิดจริงจังครั้งแรกหลังจากกลับมาเจอกัน
“ว่าไงครับไจ่ไจ๋ วันนี้ดื้อกับคุณแม่หรือเปล่าหืม” ดวงตาเรียวกลิ้งหลุกหลิกไม่กล้าขยับกาย เขารู้สึกเสียอาการมากเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้แบบนี้ ไป๋ก็ยังทำทีท่าเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป
“ผมกลับก่อนนะครับ” แพททริคพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มบางติดริมฝีปาก เจียถอนหายใจเมื่อไป๋ดึงตัวเองกลับขึ้นไป เขาจึงได้ทีลุกขึ้นยืย
“ครับ เดินทางดี ๆ นะครับ”
“ครับ อย่าดื้อกับมัม ๆ นะครับเด็กดี” แพททริคเอื้อมมือมาแตะข้างแก้มของเด็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งคำพูดสุดท้ายที่ทำให้เจียต้องเหลือบมองหน้าไป๋อย่างห้ามไม่อยู่ ปกติแล้วคุณแพททริคไม่เคยเรียกแทนตัวเขาว่า มัม ๆ เลยสักครั้ง
“สนิทกันมากเลยเหรอ”
“เขาเป็นหุ้นส่วนที่บริษัทพ่อน่ะ รับลูกไปสิ”
เจียส่งลูกให้ไป๋แล้วผละตัวกลับมาทำงานดังเดิม ปล่อยให้พ่อลูกเล่นกันเหมือนอย่างทุกวัน คนเป็นแม่เช็คสต็อคของไปลอบมองพ่อลูกไป มันทำให้รู้สึกอบอวลในใจอย่างบอกไม่ถูก ยอมรับเลยว่ามันเป็นภาพที่เขาอยากเห็นมาตลอด เขายินดีที่ลูกได้รับความอบอุ่นและรอยยิ้มที่หาดูได้ยากของไป๋ก็มักมีให้ลูกเสมอ
หากว่าเราเริ่มต้นกันได้
หากว่าตอนนั้นเราต่างรักกัน
ทุกอย่างมันก็คงจะดีกว่านี้
“เจีย”
“อือ” คนถูกเรียกขานรับในลำคอพลางกดหน้าลงต่ำเพื่อป้องกันแววตาสั่นไหวของตัวเอง
“อาทิตย์นี้เราไปเที่ยวกันไหม พาลูกไปด้วย” ประโยคคำถามนั้นของไป๋ ทำให้เจียรีบเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะผงะไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะ รอยยิ้มร่าเริงของลูกบวกกับแววตาเว้าวอนของไป๋ เจียจึงเผลอพยักหน้าตอบตกลงไปไม่ทันรู้ตัว
“ขอบคุณนะ ไปวันศุกร์กลับวันอาทิตย์นะ”
“อะแฮ่ม อื้ม” เจียกระแอมไอแล้วตอบรับพลางเสหน้าหนี ทำเป็นอ่านกระดาษบนโต๊ะไม่สนใจเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากอีกคนที่ชวนเขินอาย
เจียหวังว่าการไปเที่ยวครั้งนี้เขาจะพบความสุขอีกครั้งในชีวิต
__________________________________
จะจบแล้วค่ะ เกียมรับแรงกระแทก
ดราม่าของจริงคือหลังจากนี้ เตือนแน้วนะ
#เรื่องค่อนข้างสั้นสิบเก้าสิงหา