Right from the start I knew
You'd set a fire in meWake Me - Bleachers17th drift - Teasers
สามอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกหก
“สรุปงานเหี้ยนี่ส่งวันไหนนะ” ปรินเงยหน้าขึ้นจากแลปทอปบนตักด้วยสีหน้าท้อถอย รอบตัวเต็มไปด้วยแบบแปลนกระดาษที่กระจัดกระจายไปทั่ว ฟาร์ที่นั่งก้มหน้าก้มตาวาดแบนอันใหม่อยู่ตอบทันควัน
“เดือนหน้า”
“สัส อาจารย์เก็บกดกันนักหรอวะ สั่งงานกันเหมือนอยากให้เด็กตาย” เขาบ่น ก่อนจะหันไปหานาวาฬที่นอนกดโทรศัพท์อยู่กับพื้นอย่างไม่สนใจ “แล้วมึงคุยเหี้ยอะไรกับใครนักหนาครับคุณนาวาฬ ว่างก็มาช่วยพวกกูนี่”
“เออๆ”
นาวาฬวางโทรศัพท์ก่อนจะคว้ากรรไกรขึ้นมาตัดแบบที่ฟาร์เพิ่งวาดออกมา ต่อให้เขาเริ่มทำงานแล้วแต่ปรินยังคงบ่นไม่เลิก
“สัสหิวชิบหาย รีบทำจะได้รีบแดก”
พวกเขาเปิดเทอมกันมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว และกำลังสู้รบปรบมือกับงานที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัวของปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัยเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ
การเปิดเทอมทำให้ปรินกับฟาร์กลับมาคุยกันอีกครั้ง แม้ว่าต่างฝ่ายต่างสุภาพกับอีกฝ่ายมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ทำให้นาวาฬและรีรักสบายใจขึ้นมาได้เยอะ แม้ว่าปรินจะพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กับฟาร์สองต่อสองอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม แต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับฟาร์ที่ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตอะไร เหมือนที่ปรินบอกเขาอย่างปลงๆ ระหว่างการคุยโทรศัพท์สองวันหลังจากเปิดเทอม
“ขนาดกูเลี่ยงมันขนาดนี้แม่งยังไม่รู้เลย”
“ฟาร์มันก็เอ๋อๆ อย่างนี้อยู่แล้วป่าววะ ถ้ามึงไม่บอกกับมันต่อหน้ามันก็ไม่รู้หรอกว่ามึงหลบมันอยู่”
“เออ กูก็ไม่ได้คาดหวังอะไรหรอก เพื่อนก็ไม่ควรชอบกันอยู่แล้ว กูเสือกไปชอบแม่งเจออย่างนี้ก็ถูกแล้ว”นอกจากปรินที่มีความลับแล้ว นาวาฬก็รู้ว่าฟาร์เองก็มีความลับเช่นกัน นอกจากรีรักแล้ว ฟาร์ก็ยังไม่ได้บอกพวกเขาเรื่องที่ย้ายออกจากคอนโดของรักแม้ว่าเพื่อนทุกคนจะรู้กันหมดแล้ว ฟาร์ยังไม่ได้เล่าถึงการมีตัวตนของเมษาให้พวกเขาฟังเช่นกัน นอกจากรักที่เจอลากไปเจอเมษาอยู่ครั้งหนึ่ง
“หน้าเหมือนพี่จุนชิบหาย ดูใกล้ๆ กูยังแทบแยกไม่ออก” รีรักมาเล่าให้เพื่อนฟังทีหลัง
“แล้วดูเป็นคนไง”
“ก็ใช้ได้ ดูแลฟาร์ดี เรียกฟาร์ว่าน้องฟาร์” รีรักทำท่าคิดก่อนจะทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดอะไรขึ้นได้ “สรุปคือมึงรู้แล้วใช่มะว่าฟาร์มันชอบผู้ชาย”
“สัสพูดมาขนาดนี้ไม่รู้ก็แปลกแล้ว นี่คือความลับของฟาร์ที่มึงบอกมึงรู้แต่บอกไม่ได้ใช่ปะวะ”
“เปล่า คนละเรื่องกัน”
“อ้าว”
“เออ เรื่องนั้นฟาร์ให้กูสาบานว่าจะไม่บอกกูเลยจะไม่บอก แต่ถ้าพวกมึงฉลาดก็น่าจะรู้กันเองได้แล้วเว้ย”จนแล้วจนรอด นาวาฬก็ยังนึกไม่ออกว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรไปได้ การชอบผู้ชายนี่ยังไม่ใช่ความลับพออีกหรอ
“กูคิดไม่ออกละ แดกข้าวไหนดีวะ เดี๋ยวค่อยกลับมาทำพรุ่งนี้” ปรินหาว บิดขี้เกียจไปด้วย
“ไปร้านรักดีมั้ย ไม่ได้ไปกันนานแล้ว” ฟาร์เสนอ ตอนนี้พวกเขาอยู่กันที่คอนโดของปรินที่ถูกใช้เป็นสเตชั่นการทำงานส่งอาจารย์ของพวกเขาเสมอมา และนั่นทำให้ร้านของรักเป็นตัวเลือกที่สิ้นคิดและอยู่ใกล้ที่สุดจากพวกเขา
“ได้นะ มึงไลน์บอกไอ้รักหน่อยว่าจะเข้าไป”
“กูไม่ไปนะ กูมีนัด” วาฬปฏิเสธง่ายๆ ท่ามกลางการเลิกคิ้วขึ้นของเพื่อนทั้งสองคน
“นัดอะไรของมึงอีก” ฟาร์โวยวาย “ช่วงนี้นัดคนบ่อยนะ สาวใช่มั้ย ตกลงใคร มึงรู้รึเปล่าปริน”
“ไม่รู้ ไอ้วาฬทำตัวมีความลับไม่พอทิ้งเพื่อนอีก”
“กูมีนัดกับพี่เบนเว้ย จะไปช่วยพี่แม่งซ่อมเตาเผาเซรามิค เห็นบอกว่าทะเลาะกับพี่กูวันก่อนเลยเจอพี่กูชู้ตค้อนใส่ร้าว” นนท์สกุลในอารมณ์รุนแรงไม่ใช่เรื่องที่จะเจอได้บ่อยนัก แต่เมื่อเจอแล้วพลังการทำลายล้างก็สูงพอดูเช่นกัน “ฝากหวัดดีเซลีนให้กูด้วยนะ”
“เออออ เดี๋ยวบอกให้ แม่งดีใจแน่นอนมึงไม่ไปเนี้ย ไอ้รักจะได้ไม่ต้องคอยเกรงใจมึง”
นาวาฬหัวเราะ เซลีนยังคงไม่กลับประเทศตัวเอง เธอวนเวียนท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทยมาได้สามอาทิตย์แล้ว ความปลาบปลื้มของเธอที่มีต่อรีรักก็เพิ่มพูนขึ้นทุกวันเช่นกันอย่างไม่เกรงใจใคร แม้ว่ารีรักเองจะดูไม่อะไร แต่เขาก็ปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดีเป็นที่สังเกตในหมู่เพื่อนว่าอาจจะดีเกินไปเสียด้วยซ้ำจนโดนแซวในหมู่เพื่อนเป็นประจำ
“งั้นเดี๋ยวกูไปละ นัดพี่เบนไว้หกโมง” นาวาฬดูนาฬิกา ทำเป็นไม่ได้ยินฟาร์ที่พูดค่อยๆ ให้ได้ยินกับปรินแค่สองคน
“พนันกันมั้ยว่าวาฬไม่ได้ไปหาพี่เบนหรอก”
…………
ต่อให้เพื่อนจะสงสัยมากขนาดไหน วาฬก็ไม่ได้โกหกเรื่องที่มีนัดกับเบญจมินทร์ไว้
“แล้วพี่ไปพูดอะไรพี่นนท์ถึงได้โกรธขนาดนั้น” วาฬเดินเช็ดผมออกจากห้องน้ำในห้องนอน เขาอยู่ในชุดคลุมอย่างคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เบญจมินทร์ที่อยู่ในชุดคลุมแบบเดียวกันบนเตียงอ้าปากหาวอย่างเหนื่อยจัดแต่ก็ตอบแต่โดยดี
“มันเล่าว่าเจอกวางแซวว่าช่วงนี้ไม่เห็นพี่เลย มันทำอะไรพี่พี่เลยไม่ออกจากบ้าน พี่เลยพูดเล่นๆ แบบของพี่กลับว่าถ้าจะมีใครทำอะไรใครต้องเป็นพี่ทำมันมากกว่า ถ้าพี่ทำมันออกจากบ้านไม่ได้เป็นอาทิตย์แน่ มันเลยโมโหว่าถ้าพี่กับมันจะเป็นโฮโมมันต้องทอปพี่ ไม่ใช่พี่ทอปมัน” ชายหนุ่มหัวเราะ “ซึ่งพี่ก็แค่พูดเล่นป่าววะสัส เถียงไปเถียงมามันเลยโมโหขว้างค้อนใส่พี่ตอนพี่ขึ้นรูปอยู่”
“ไม่เชื่อ พี่ต้องพูดมากกว่านั้นแน่ๆ ไม่งั้นพี่นนท์ไม่โกรธขนาดนั้นหรอก” รอยร้าวที่เตาเผาดินในสตูดิโอข้างตัวบ้านของเบญจมินทร์นั้นรอยใหญ่ไม่ใช่เล่น บ่งบอกได้ดีถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของคนปา พวกเขาใช้เวลาเป็นชั่วโมงไปกับการซ่อมมันให้ดูดีตามเดิม กว่าจะได้เข้ามาอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดจากเศษดินก็ปาเข้าไปทุ่มครึ่งแล้ว
เบญจมินทร์หัวเราะ
“เออ พี่ก็เล่นแรงไปหน่อยแหละ บอกมันว่าถ้าจะเล่นกันจริงๆ พี่เอามันได้เป็นร้อยรอบกว่าที่มันจะกดพี่ได้ครั้งนึง เอาจนร่างกายมันสร้างมดลูกขึ้นมาเก็บน้ำพี่ได้เองเลย”
“จะอ้วกก”
“แค่พูดเล่นป่าววะ”
“เป็นเราก็ขว้างเว้ย! จะขว้างให้โดนด้วยไม่ใช่แค่ให้เตาเผาสุดที่รักพี่ร้าว”
“เออๆ พี่ก็ชดใช้กรรมไปแล้วนี่ไง แล้วนี่จะมานั่งได้ยัง จะได้เลือกหนังไปให้จบๆ” เบญจมินทร์ไล่ดูหนังในเนทฟลิกซ์ พวกเขาตัดสินใจว่าจะดูหนังกันสักเรื่องก่อนนาวาฬจะกลับบ้านถ้าไม่หลับไปเสียก่อน ด้วยความเหนื่อย สถานที่ดูหนังที่ปกติจะเป็นโซฟาข้างล่างถูกเปลี่ยนมาเป็นห้องนอนของเบญจมินทร์เผื่อว่าจะมีใครง่วงแล้วหลับไปเลยจะได้นอนกันสบายๆ ไม่มีการตื่นมาปวดเนื้อปวดตัวจากการนอนผิดที่ผิดทางกันทีหลัง พวกเขาเหนื่อยกันถึงขนาดนั้น
“สองนาที ชาร์ตแบตมือถือแป้บ” นาวาฬเสียบสายชาร์ตเข้ากับปลั๊กไฟข้างเตียง แสงหน้าจอที่สว่างวาบขึ้นทำให้เขาเห็นข้อความที่เข้ามาระหว่างที่เขาอาบน้ำอยู่
a -
ทำไรอยู่ครับข้อความของอนาคินทำให้นาวาฬรีบกลั้นยิ้มก่อนที่เบญจมินทร์จะสังเกตเห็น
นับตั้งแต่วันที่ไปกินข้าวด้วยกันวันนั้น นาวาฬและอนาคินก็คุยกันมาโดยตลอด แม้ว่ามันจะเป็นการคุยอย่างไม่มีประเด็นแต่นั่นก็ทำให้วาฬรู้สึกดี เขาบ่นเรื่องงานที่มหาวิทยาลัยบ้าง เล่าเรื่องตื่นเต้นที่เกิดขึ้นแต่ละวันในอีกฝ่ายฟังบ้าง แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับเขา
อนาคินไม่เคยถามหรือพูดเรื่องส่วนตัวกับเขา แม้จะดูสนใจกับการที่เขานอนหลับไหมในแต่ละคืนเป็นพิเศษ แม้ว่าจะพูดเล่นบ้างเป็นครั้งคราว แต่นาวาฬก็สังเกตได้ว่าอนาคินไม่เคยก้าวข้ามผ่านการพูดคุยธรรมดาแบบเป็นพี่น้องเหมือนกับที่เขาทำกับคนทั่วไปอย่างเช่นจุนน์ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไร นาวาฬยอมรับว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกตัวเองออกมาตรงๆ กับอนาคิน และเขาก็ยังไม่คิดที่จะทำด้วย มันไม่แปลกหรอกที่อนาคินจะไม่รู้และไม่คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นหัวข้อแห่งความรักของนาวาฬที่เป็นเพื่อนกันมาก่อน
นาวาฬพบว่าตั้งแต่เริ่มกลับมาเป็นเพื่อนกัน เขาเริ่มหวาดกลัวกับเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ที่สูงลิบลิ่วว่าอนาคินจะมองว่าเขาเป็นน้อง หรือเป็นเพื่อนอย่างที่เคยเป็นมามากกว่าที่จะมองเขาว่าเป็นคนที่มีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ด้วย แหงสิ มันชัดเจนอยู่แล้วว่าทั้งเขาและอนาคินไม่ได้ชอบผู้ชาย หรือตอนนี้ที่เขาชอบอนาคิน มันก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ กูชอบผู้หญิง ของเขาที่เป็นมาตลอดชีวิตหายลงไปง่ายๆ ต่อให้เบญจมินทร์จะเอามาล้อเลียนเขาขนาดไหน นาวาฬก็รู้ดีว่าอนาคินแค่ชอบพูดเล่นและแหย่เขาไปวันๆ โดยไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น เขาสุภาพ ขี้เล่น อบอุ่น ใจดีกับนาวาฬก็จริง แต่อนาคินก็ทำแบบนั้นกับทุกคนและไม่ใช่แค่กับเขาคนเดียว และนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่นาวาฬเจอว่าตัวเองเริ่มทุกข์ใจนิดๆ ทุกครั้งที่คิดถึงมัน
เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องรู้สึกอย่างนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นาวาฬไม่อยากจะยอมรับกับตัวเองว่าชอบอดีตเจ้านายมาตั้งแต่สี่ปีก่อน นี่ไงล่ะปัญหาที่เขาไม่อยากเจอ นี่ไงล่ะอุปสรรคในการใช้ชีวิตเรียบง่ายไร้มลทินของเขา ที่เขารู้ดีว่าจะทำให้เขาติดอยู่ในวังวนของความรักที่ไม่สมหวังทันทีที่ยอมรับกับตัวเองว่าชอบผู้ชายด้วยกัน
มันไม่ใช่แค่ต้องทำให้อีกคนมาชอบเขากลับ มันคือการพยายามเปลี่ยนชีวิตของอีกคนเพื่อความสุขส่วนตัวของเขาเอง คนเราจะไปเปลี่ยนเพศที่อีกฝ่ายชอบได้อย่างไร ไหนจะครอบครัวที่ต้องยอมรับอีกล่ะ ความเสี่ยงที่จะโดนมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากสังคมอีกล่ะ เรื่องการสร้างครอบครัวที่เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้นอีก สำหรับนาวาฬแล้วมันไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก เขามีแค่นนท์สกุลที่เขาไม่คิดว่าจะแคร์อะไรกับเพศที่เขาชอบ แถมยังมีลัลเป็นผู้สืบสกุลแล้วอีก เพื่อนเขาอีกสองคนก็ชอบเพศเดียวกัน รีรักก็ดูไม่แคร์อะไร เบญจมินทร์ก็ยอมรับได้ทุกอย่างที่เขาเป็น จุนน์ก็เคยมีประสบการณ์กับผู้ชายด้วยกันมาก่อน คนอื่นนอกเหนือจากนี้ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะสนใจ
แต่อนาคินไม่ใช่อย่างนั้น ชายหนุ่มยังมีครอบครัวที่ยังต้องสนใจ มีภาพลักษณ์ทางสังคมที่เต็มไปด้วยคนงี่เง่าไม่เข้าใจที่ยังต้องรักษา นาวาฬไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าถ้าวันหนึ่งอนาคินหันกลับมาชอบเขาแล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ เขาเริ่มทำใจแล้วว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้คงเป็นไปได้ยากที่จะสมหวังอย่างที่เขาอยากให้เป็น
แค่ขออยู่อย่างนี้ให้นานขึ้นนิดนึงก็พอ
Nawhale -
เพิ่งอาบน้ำเสร็จครับเขาวางมือถือลงก่อนจะโดดขึ้นไปนั่งบนเตียงข้างๆ เบญจมินทร์ที่กำลังทำหน้ายุ่งเลือกหนังอยู่ เสียงข้อความดังขึ้นอีกหลายครั้งแต่นาวาฬเลือกที่จะไม่อ่านและไม่ตอบ ตอบเร็วไปอ่านเร็วไปก็ไม่ดีหรอก เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขานั่งเฝ้ามือถือพร้อมตอบทั้งวัน
ถ้าเบญจมินทร์ได้ยินความคิดของเขาตอนนี้ คงโดนแซวว่าสาวน้อยสัสๆ แน่นอน
“มันไลน์มาก็ไปตอบมันหน่อยไป” เบญจมินทร์พูดขึ้นลอยๆ โดยไม่ได้ละสายตาไปจากหน้าจอทีวี นาวาฬส่ายศีรษะ
“ไม่อะ”
เบญจมินทร์หัวเราะหึ “เล่นตัวนะเรา มีอะไรที่ไม่ได้บอกพี่เปล่า”
นาวาฬเงียบ ต่อให้ผ่านมาสามอาทิตย์แล้วเขาก็ยังไม่ได้เล่าให้เบญจมินทร์ฟังถึงเรื่องชิชาในวันนั้นว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งมันผิดวิสัยเขาเอามากๆ เขารู้แหละว่าพี่ชายเขาต้องเอาไปเล่าให้เพื่อนสนิทฟังแน่ๆ แต่นั่นก็ดีกว่าการที่เขาเล่าเองแล้วต้องอธิบายให้เบญจมินทร์ฟังว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะกีดกันชิชาไม่ให้เจออนาคินขนาดนั้น
อ้อ เขายังไม่ได้บอกเบญจมินทร์เรื่องที่เขายังชอบอนาคินด้วย
“เรื่องชิชาอะนะ ก็รู้จากพี่นนท์แล้วนิ”
“อยากฟังเรื่องเต็มๆ”
“มันก็ตามที่พี่นนท์เล่าแหละ”
“ว่าเราลืมเอาเอกสารชุดนั้นให้ไอ้คินดูอะนะ โคตร BS วันนั้นมาทำตกที่นี่กระจายไปทั่ว พี่กับไอ้นนท์ยังช่วยเก็บ รู้คอนเทนต์ข้างในขนาดนั้นคงไม่ลืมกันง่ายๆ มั้ง”
บางครั้ง เขาก็เกลียดความรู้ทันของเบญจมินทร์
“คนมันก็ลืมกันได้เว้ย”
“ลืมจริงหรือตั้งใจลืม”
“แล้วพี่เบนจะมาบังคับให้พูดอะไรวะเนี้ย”
“อะ อีกเรื่องก็ได้ ไอ้คุณอนาคินเนี้ยมันกลายเป็นโคลต่อหน้าคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หา” วาฬทำหน้างงใส่เบญจมินทร์ที่ยังคงจ้องหน้าจอทีวี แม้ว่ามุมปากจะมีรอยยิ้มกวนๆ ประดับอยู่ เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเรียกอนาคินว่าโคลต่อหน้าใคร แล้วเบญจมินทร์ไปเอามาจากไหนล่ะ
คำพูดเดียวที่เป็นหลักฐานได้ว่าเขากับอนาคินรู้จักกันมาก่อน
“นนท์บอกว่าเราเรียกไอ้คินว่าโคลตอนอยู่ในห้องประชุม”
“…..”
“บอกอีกว่าไอ้คินพูดกับผู้หญิงคนนั้นด้วยว่ามันต้องเข้าข้างเราเพราะเป็นคนสำคัญของมันด้วย”
“ไม่เห็นจำได้” จำได้สิ จำได้แม่นเลยแหละ
“พี่ชายมึงไม่ได้โง่นะ เราอาจจะเล่าอะไรให้พี่ฟังเยอะกว่าไอ้นนท์มัน แต่มันก็ต้องสังเกตบ้างแหละว่ามีอะไรแปลกๆ” คนพูดอ้าปากหาวอย่างเหนื่อยจัด “แล้วนอกจากเราก็ยังมีไอ้คิน นนท์มันก็สนิทกับไอ้คินเป็นสิบปี ไม่คิดว่ามันก็อ่านไอ้คินออกรึไง”
“ไม่มีอะไรให้สังเกต”
“มีสิ”
“ไม่มี”
“วะ เถียงกูอีก”
“ก็พี่คินไม่มีอะไรให้สังเกตอะ มีคนมาทำลูกน้องเจ้านายก็ต้องปกป้องอยู่แล้วปะวะ”
“คนอย่างไอ้คิน การปกป้องของมันคือการพูดกันดีๆ ตักเตือน ยื่นข้อเสนอ แต่นี่ไปกระชากแขนลูกสาวบริษัทลูกค้าในเรื่องที่เราผิดเต็มๆ เข้าข้างอีก ไม่ว่าอะไรซักคำ คิดว่ามันไม่น่าสังเกตเลย?”
“….”
“แล้วนี่เราเพิ่งเรียกไอ้คุณอนาคินว่าพี่คินที่ปกติให้ตายก็ไม่เรียก คุยกันห้านาทีพี่ก็สังเกตได้ขนาดนี้ละ จะหลอกใครไม่ทราบครับคุณนาวาฬ”
ชิท กูลืม“กลับมาเป็นเพื่อนกันแล้วเหอะ”
“กลับมาเป็นเพื่อนกันแล้วเหอะ” เบญจมินทร์ทำปากล้อเลียนจนเจอนาวาฬถีบขาอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ “ขอให้จริง ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวจะมาร้องไห้งอแงใส่พี่ว่าไม่รู้ว่าตัวเองชอบเขาเปล่าเหมือนคราวก่อนอีกล่ะ”
“…..”
“อย่าไปชักว่าวๆ ข้างๆ ตอนมันนอนด้วยนะ sexual harrassment นะนั่น”
“เงียบว้อยยยยย” นาวาฬโอดครวญ รู้สึกได้ถึงเลือดที่พุ่งขึ้นหน้าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาไม่ภาคภูมิใจกับมันนักเมื่อสี่ปีก่อน เบญจมินทร์หัวเราะหึ
“พี่ก็แค่เตือน เดี๋ยวมันตื่นขึ้นมาจับกดไม่รู้ด้วย”
“ลองกดดิพ่อจะกดกลับให้ดู”
“โห นี่มึงคิดว่ามึงจะกดเพื่อนกูได้หรอครับน้องนาวาฬ ดูกล้ามไอ้คินมันซะก่อน ส่วนสูงอีก แค่ไซส์ก็ต่างกันแล้ว”
เบญจมินทร์พูดไม่ผิด นาวาฬที่ถือว่าสูงยังเตี้ยกว่าอนาคินเกือบสิบเซนติเมตร ต่อให้จะไม่ได้กล้ามเนื้อเหมือนนักกีฬา แต่อนาคินก็มีรูปร่างดี
“นี่ยังไม่พูดถึงไซส์ไอ้นั่นนะ พี่บอกเลยของมึงยังไม่ถึงครึ่ง”
“…..”
“เพื่อนพี่ไม่เล็กว้อย ไม่เชื่อว่างๆ ก็ลองสังเกตเป้ากางเกงมันดู ยิ่งเวลาแข็งแม่งเกือบท่อนแขน ความภาคภูมิใจของกลุ่มพี่”
เออ กูสังเกตแน่ นาวาฬรู้สึกได้ถึงหน้าตัวเองที่เริ่มร้อนแต่ก็พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ จะว่าไป เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยแฮะ เรื่องเซ็กส์ในแบบที่เขาไม่เคยลอง ….
“แล้วพี่เบนไปรู้ได้ไงเวลาแข็งมันเป็นไง” เขาพูดเล่นๆ คาดหวังให้คำตอบจากหนุ่มรุ่นพี่จะเป็นอะไรแนวเล่นๆ เหมือนกัน แต่คำพูดที่ออกมาจากปากคนตรงหน้ากลับทำให้เขานิ่งอึ้งแถมหน้าแดงขึ้นไปอีก
“เห็นตอนเอาผู้หญิงกับมันตอนสมัยเรียน” เบญจมินทร์ตอบสบายๆ
“หา”
“จะหาอะไรวะ”
“พวกพี่สองคนรุมผู้หญิงคนเดียวกันนี่นะ”
“คิดว่าพวกกูแค่สองคนหรอ ไอ้จุนน์ นนท์ก็ด้วย”
“พี่นนท์นี่นะ?!?” ชื่อคุณชายผู้แสนดีของตระกูลวธนการทำให้ผู้เป็นน้องต้องถามซ้ำด้วยสีหน้าขยะแขยง ภาพพี่ชายตัวเองกำลังโยกตัวอยู่เหนือร่างหญิงสาวโดยมีเพื่อนอีกสามคนทำกิจกรรมทางเพศรอบตัวผุดขึ้นในสมองและทำให้เขาอยากอ้วกออกมาในทันที
“เออ พี่เรานี่แหละตัวดีกับไอ้จุนน์ พี่กับไอ้คินแค่ถูกลากเข้าไปเฉยๆ ไอ้นนท์สั่งพี่บ้าง ไอ้คินทนดูไม่ไหวเองบ้าง ไรงี้ เอ้า กินน้ำซะ” เบญจมินทร์หันไปรินน้ำในเหยือกข้างหัวเตียงใส่แก้วให้คู่สนทนา “หน้าแดงใหญ่แล้วมึง”
นาวาฬไม่พยายามทำสีหน้าท่าทางตัวเองให้ปกติอีกแล้ว เขารับแก้วน้ำขึ้นมาดื่มด้วยใบหน้าแดงจัด ในหัวจินตนาการไปร้อยแปดถึงเรื่องที่เพิ่งได้ยิน ไม่สิ มันเป็นการจินตนาการไปร้อยแปดโดยตัดคนอื่นทิ้งหมดจนเหลือแค่อนาคินมากกว่า แผ่นอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อขนาดกำลังพอดี หยาดเหงื่อจากการขยับตัว ดวงตาสีเขียวหม่นที่ถูกใช้เพื่อจับจ้องบุคคลใต้ร่างที่ขยับตามจังหวะร่างกาย แก่นกายแข็งแรงที่ปัดผ่านหน้าขาเขาเมื่อขยับเข้ามาใกล้ เสียงพร่าเร่าร้อนข้างหู …
นาวาฬครับ วาฬรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เกิดขึ้นในแทบจะทันที
แม่ง ฮอร์โมนเหี้ย กูไม่ใช่เด็กมอปลายแล้วนะเว้ย“นี่… อยากแล้วใช่มะ” เบญจมินทร์ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ยังไม่ละสายตาไปจากหน้าจอเน็ทฟลิกซ์ เปิดโอกาสให้นาวาฬได้ขว้าผ้าห่มขึ้นมาปิดเป้ากางเกงที่ขยายตัวขึ้นเล็กน้อย “นี่พี่พูดแค่นี้เองนะ ชอบมันขนาดนี้ก็ไปบอกมันไป มันไม่ว่าอะไรหรอก”
“ไม่ได้อยาก ไม่ได้ชอบด้วย” วาฬเถียงข้างๆ คูๆ เบญจมินทร์หันมามองเขาในที่สุด
“แล้วจะแย่งผ้าห่มพี่ไปปิดทำไม” เขามองผ้าห่มผืนที่ว่าอย่างรู้ทัน
“หนาว”
“หนาวแค่ท่อนล่างรึไง ไหนมาดู” ชายหนุ่มทำท่าจะเปิดผ้าห่มที่คลุมตัวรุ่นน้องอยู่ เจ้าตัวได้แต่ดิ้นไปมาก่อนจะขู่ฟ่อๆ
“อย่านะเว้ย”
“ทำไมวะ ถ้าหนาวจริงทำไมพี่จะใช้ผ้าห่มด้วยไม่ได้”
“ก็ไม่อยากให้ ไปใช้ผืนอื่นดิ”
“แค่ยอมรับกับพี่ว่ายังชอบมันอยู่ อยากได้มันก็จบ เดี๋ยวพี่ช่วยเอง”
“ไม่ได้อยากเว้ย! ไม่ได้ชอบด้วย”
“งั้นก็เอาผ้าห่มมาแบ่งให้พี่นี่”
“ไม่ว้อย ปล่อยไอ้เหี้ยพี่เบน!”
พวกเขายื้อยุดแย่งผ้าห่มกัน เบญจมินทร์มีสีหน้าขบขันในขณะที่นาวาฬหน้าแดงไปหมด ให้พี่เบนเห็นไม่ได้ เขาคิดในใจ ถ้าแม่งเห็นเราตายดีกว่า ต่อให้เบญจมินทร์สูงกว่าเขาแค่ไม่กี่เซนติเมตรแต่ชายหนุ่มก็ออกกำลังกายเป็นประจำ บวกกับงานอดิเรกเช่นการปั้นที่ทำให้กล้ามเนื้อแขนนั้นแข็งแรงกว่านาวาฬเป็นหลายเท่าตัว นาวาฬดิ้นสุดแรงเกิด แต่ท้ายที่สุดก็โดนเบญจมินทร์ใช้ลำแขนกดไหล่ให้นอนราบกับเตียงอยู่ดี
“คิดว่าจะชนะพี่ได้หรอวะ หึ”
หยดเหงื่อของชายผู้เปรียบเสมือนพี่ชายคนหนึ่งหยดลงบนแก้มของนาวาฬ เขาจ้องไปยังใบหน้าหล่อกวนของเบญจมินทร์ ดวงตาสีดำขลับมีแววสนุกสนาน กล้ามเนื้อขาเป็นมัดสัมผัสอยู่กับเรียวขาบางของเขาจนเขารู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่เต้นอยู่ เสียงต่ำทุ้มนั้นแหบพร่าจากการใช้แรง
ภาพตรงหน้ามันเหมือนกับที่เขาจินตนาการเอาไว้กับอนาคินไม่มีผิด
แต่มันไม่เหมือนกัน เขาไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเหมือนกับที่เขารู้สึกกับภาพจินตนาการที่มีอนาคินอยู่ กลับกัน เขาแค่รู้สึกอยากพลิกตัวกลับและเอาชนะด้วยการใช้แรงเหมือนทุกครั้งที่โดนแกล้ง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ”
เขาคงส่งสีหน้าแปลกๆ ออกไปที่ทำให้เบญจมินทร์ต้องเอ่ยถามด้วยความสงสัยแม้ว่าจะยังไม่หยุดกดไหล่เขา นาวาฬมองตรงเข้าไปในดวงตาของผู้เป็นพี่ชาย เขาต้องการทำให้มั่นใจว่าคนข้างหน้าจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดจริงๆ
“เออ เราชอบพี่คิน”
“หา—โอ้ย!!”
นาวาฬใช้จังหวะที่เบญจมินทร์ทำหน้างุนงงเพราะไม่ได้คิดว่าเขาจะยอมรับง่ายๆ อย่างนั้น พลิกตัวกลับก่อนจะเหวี่ยงรุ่นพี่ให้ออกจากตัวเองและปลดปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระ แต่เขากะแรงเหวี่ยงผิดไป และนั่นทำให้เขาตกลงไปกระแทกพื้นข้างเตียงเข้าอย่างจัง แขนขาชี้กันไปคนละทาง เบญจมินทร์ก็ตกลงมาอยู่ที่ข้างเตียงเช่นกัน ลำตัวทับอยู่บนขาข้างหนึ่งของคนเหวี่ยง แต่เขาไม่ได้ดูเดือดร้อน กลับกัน เขากลับหัวเราะค่อยๆ อย่างเข้าใจอะไรบางอย่าง
“แค่เนี้—“
“ทำอะไรกัน”
เสียงที่คุ้นเคยของผู้เป็นพี่ชายทำให้นาวาฬต้องหันขวับตามเสียงโดยทันที นนท์สกุลยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้างุนงงกับภาพตรงหน้าของเพื่อนสนิทและน้องชายที่ถูกพันกันยุ่งอยู่ในผ้าห่มบนพื้นข้างเตียง เขาอยู่ในชุดสูทที่บ่งบอกว่าเพิ่งเลิกงานมาและคงตรงดิ่งมาหาเพื่อนสนิททันทีอย่างที่ทำเป็นประจำ
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้นาวาฬต้องกลั้นหายใจ ข้างหลังนนท์สกุล อนาคินยืนอยู่ตรงนั้นในชุดทำงานเช่นกัน สิ่งที่ต่างกันคงเป็นสีหน้าอ่านไม่ออกของเขาที่มองตรงมาที่เหตุการณ์ตรงหน้า ดวงตาสีเขียวหม่นของเขาถูกใช้มองไปรอบๆ กองผ้าห่มนั้นอย่างละเอียดเหมือนกำลังประเมินภาพ ท่ามกลางความพรั่นพรึงของนาวาฬ สายตาคู่นั้นหยุดลงที่กลางตัวของเขา การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เขาพยายามซ่อนไว้จากเบญจมินทร์นั้นถูกเปิดเผยภายใต้กางเกงขาสั้นที่สวมใส่อยู่อย่างไม่มีอะไรปิดบัง
และแน่นอน อนาคินไม่รู้ว่าเขาเป็นต้นเหตุของมัน
นาวาฬกรีดร้องในใจ เสียงต่อว่าเบญจมินทร์ของนนท์สกุลว่าเล่นอะไรไร้สาระดังผ่านหูไปแว่วๆ เขากระโดดลุกขึ้นนั่งที่ปลายเตียง เอาผ้าห่มปิดท่อนล่างของตัวเองเอาไว้ กัดปากตัวเองไปด้วยเมื่อการปรากฎกายของอนาคินนั้นทำให้แกนกายของเขาขยายตัวมากขึ้นไปอีก
ฆ่ากูเหอะ ฆ่ากูตอนนี้เลย…….