หนึ่งปีที่แล้ว…“เราเลิกกันเถอะ...”
“ทำไม...”
“เพราะไพน์ไม่ได้รักกันน่ะสิ…”
“ไม่...ไพน์รักกันนะ” อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่หรอก...มันไม่ใช่ความรัก ไพน์คบกับกันก็เพื่อลบความรู้สึกบางอย่างของไพน์ออกไป...แต่สุดท้ายนายก็ทำไม่ได้”
“กัน...”
“ชีวิตคนเรามันสั้นนะ...ทำตามที่ใจไพน์เรียกร้องเถอะจะทำอะไรก็รีบๆทำก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป...”
“ฮึก..”
“ไม่มีถูกผิดสำหรับความรักหรอกนะ...”
“ฮึก...ไพน์ขอโทษ”
“กันรักไพน์นะ...ลาก่อน”
“ฉันก็รักนาย...กัน...”
ผมมองตามแผ่นหลังกว้างของคนรักของผมที่เพิ่งยุติความสัมพันธ์ลงเพียงเพราะเขารู้มาตลอดว่าที่ผมตกลงรับรักเขาเพราะอะไร แต่เขาก็เลือกที่จะเคียงข้างดูแลผมเพื่อที่สักวันหนึ่งผมอาจจะรักเขา ใช่...ผมยอมรับว่าผมรัก ‘กัน’ และสามารถพูดคำว่ารักได้เต็มปากแต่...
มันเป็นรักในแบบของเพื่อนที่มีความหวังดีมอบให้แก่กัน ไม่ใช่รักในแบบของคนรัก...
ผมรู้ว่ากันรักผมและรอคอยผมมานานแค่ไหน...ผมตกลงคบกับกันเพื่อที่หวังว่าผมอาจจะรักกันได้สักวันหนึ่ง
แต่สุดท้ายหัวใจของผมก็เพรียกหาเพียงคนๆเดียว...
พี่หิน...พี่ชายต่างสายเลือดของผม...
“อ้าวไพน์...กลับมาแล้วเหรอ ^_^” ผมไม่รู้ว่าเดินกลับมาถึงบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมรู้แต่ว่าตั้งแต่กันหันหลังเดินจากผมไป ผมก็เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาตลอดทางจนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของตนเองและเสียงเสียงเรียกของร่างสูงที่อยู่ในห้วงความคิดของผมแทบจะตลอดเวลา
พี่หิน...
“ครับ” ผมตอบรับคำพลางเดินเลี่ยงขึ้นไปบนห้องนอนที่อยู่ชั้นสองของบ้านแต่ข้อมือผมก็ถูกคว้าเอาไว้ก่อนด้วยมือแกร่งของอีกคน
“เมื่อกี้กันมาหาพี่ที่บ้าน” น้ำเสียงราบเรียบที่เอ่ยขึ้นมาเหมือนปกติแต่ประโยคนั่นทำเอาหัวใจผมกระตุกวูบดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็วดวงตาที่เพิ่งผ่านการร้องไห้ของผมเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ
กันมาอย่างนั้นเหรอ...มาหาพี่หิน...หระ หรือว่ากันจะบอกอะไรกับพี่หิน...
ไม่นะ...ถ้าพี่หินรู้เรื่องนั้นต้องเกลียดผมแน่ๆเลย...ผม...ผมไม่ต้องการแบบนั้น...
“หระ เหรอฮะ...ละ แล้วเขามาทำไม...”
“กันฝากนี่มาให้ไพน์น่ะ...”
พี่หินยื่นซองจดหมายแผ่นหนึ่งที่คาดว่าด้านในคงมีแผ่นกระดาษที่เขียนข้อความบางอย่างเอาไว้ ผมรับมันมาด้วยมืออันสั่นเทา ก้อนสะอึกจุกอยู่ที่คอผม รู้สึกว่าอากาศที่ใช้หายใจเริ่มติดขัด
“ขอตัวนะ...ครับ” ผมบอกโดยที่ไม่แม้แต่จะกล้ามองร่างสูงที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายสักนิด ผมยอมรับว่าผมกลัว...กลัวที่จะมองใบหน้าคมคายนั่น ถึงผมจะบอกกับตัวเองว่าไม่รู้สาเหตุที่จะต้องกลัวแต่ลึกๆแล้วผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผมเองที่ไม่กล้าพอที่จะยอมรับมัน...
ผมมันเป็นคนขี้ขลาด...ผมรู้...
ปัง!!
เสียงปิดประตูห้องด้วยฝีมือของผมเองดังขึ้น ร่างของผมพิงกับบานประตูพลางแข้งขาที่อ่อนล้าบวกกับจิตใจที่อ่อนแอค่อยๆทำให้ร่างของผมทรุดลงกับพื้น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของผมจ้องไปยังวัตถุสีขาวแผ่นบางในมือก่อนจะค่อยๆแกะมันออกด้วยมือที่สั่นเทา...
ผมไม่รู้ว่าข้อความที่อยู่ข้างในคืออะไรแต่ที่ผมรู้คือเจ้าของจดหมายนี้กำลังเจ็บ...เจ็บปวดกับความเห็นแก่ตัวของผมเอง...
ผมมันเลวที่ทำร้ายคนๆหนึ่งที่รักผมอย่างจริงใจ...
ผมค่อยๆคลี่แผ่นกระดาษออกช้าๆ ลายมือบรรจงที่ผมจำได้ขึ้นใจเรียกน้ำเหลวใสให้รื้นขึ้นในนัยน์ตาผมอย่างห้ามไม่อยู่ ผมค่อยๆอ่านข้อความที่อยู่ในแผ่นกระดาษที่ขาวที่ตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของผมแม้ดวงตาผมจะพร่าเลือนแต่ผมก็ยังพยายามเพ่งอ่านต่อไป
To… Pine
หวัดดีอีกครั้งนะไพน์...ไพน์คงจะสงสัยว่ากันจะเขียนจดหมายหาอีกทำไมในเมื่อเราสองคนเพิ่งจะคุยกันไป แต่กันก็แค่อยากจะบอกไพน์ว่า...เรื่องนั้นกันบอกพี่หินไปหมดแล้วนะ...กันรู้ว่าไพน์อาจจะโกรธแต่จะให้ทำไงได้กันอยากเห็นไพน์มีความสุขกับคนที่รักนี่นา...การที่กันเดินจากมานั่นหมายความว่ากันต้องการให้ไพน์ได้อยู่เคียงข้างกับคนที่ไพน์รักจริงๆ ฮะ ฮะ เจ็บเหมือนกันแฮะ ช่างเถอะ...เอาเป็นว่ากันทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ ไปเคลียร์เองแล้วกัน กันโคตรจะเท่ห์เลยใช่ม้า ^O^
อีกอย่างที่กันอยากจะบอก...รักไพน์นะ...ตลอดสองปีที่ผ่านมาหัวใจกันบอกเสมอว่ารักไพน์ ถึงกันจะไม่มีสิทธิ์พูดประโยคนี้แล้วแต่กันก็อยากจะพูดว่ารักนายๆๆๆ ฮ้า...อยากร้องไห้อีกแล้วสิ ที่ร้องไห้น่ะเพราะดีใจนะที่จะไม่ต้องมาปวดหัวกับตัวแสบอย่างนายอีก มีเวลาไปส่องสาวอื่นแล้วด้วย ฮิฮิ ฉันคงเพ้อมากไปละแค่นี้แล้วกัน...
ถ้าเราได้เจอกันอีกวันนั้นไพน์ต้องมีความสุขยิ้มกว้างๆให้กันเห็นนะ
From…gun
คนอกหักที่จะรักนายตลอดไป...
[/i]
ผมค่อยพับกระดาษแผ่นนั้นพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูที่ออกมาจากดวงตามากมาย รอยยิ้มพร้อมเสียงสะอื้นเผยขึ้นช้าๆ ไม่ว่าอย่างไรผู้ชายที่ชื่อกันคนนี้ก็ยังหวังดีกับผมเสมอมา ตลอดสองปีที่ผมมีเขาอยู่เคียงข้าง คอยดูแลผม ให้ความรักกับผม อ้อมกอดอุ่นๆพร้อมกับคำปลอบโยนต่างๆนาๆมันทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจเสมอ ผมได้แต่หวังว่าสักวันเขาจะเจอคนดีๆที่รักเขารักและรักเขาเช่นกัน ผมภาวนาอย่างนั้น...นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมจะตอบแทนเขาได้ในเวลานี้...
ผมรักกัน...ถึงมันจะไม่ใช่ความรักแบบคนรักแต่หัวใจผมก็บอกเสมอว่าผมรักเขา...
แม้ผมจะไม่สามารถมอบความรักในแบบที่กันต้องการได้เพราะผมได้มอบให้ใครอีกคนไปจนหมดแล้ว...
แต่ผมก็อยากให้เขาได้รับรู้ว่าผมก็รักเขาเช่นกัน...
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าของผมที่ค่อยๆก้าวลงขั้นบันไดลงมาช้าๆ เหมือนแต่ละก้าวมันช่างบีบรัดหัวใจของผมเหลือเกิน สายตาของผมสอดส่องมองหาร่างของใครบางคน...
ใครบางคนที่กุมหัวใจผมไว้ทั้งดวง...
แสงสีนวลของทีวีที่ส่องแสงขึ้นภายในความมืดของบ้านทำให้ผมรู้ว่าคนที่ผมตามหาอยู่ที่ไหน สองขาของผมก้าวไปที่หมายนั่นช้าๆมือทั้งสองข้างกำแน่นอย่างงรู้สึกเกร็งสะท้านไปทั้งตัว ผมไม่รู้ว่าผมจะขอบคุณกันดีหรือเปล่าที่ช่วยเผยในสิ่งที่ผมไม่แม้แต่จะกล้าปริปากออกมา...ก็อย่างที่บอกเพราะผมกลัว...กลัวความผิดหวังและความรู้สึกเกลียดชังที่อาจจะได้รับ...
และถ้าสิ่งนั้นเป็นจริง ผมคงไม่มีแม้แรงที่จะ...หายใจ...
“พะพี่...หินครับ” ผมรวบรวมความกล้าครั้งใหญ่ในชีวิตเอ่ยเรียกคนที่นั่งดูทีวีออกไป เสียงที่แผ่วเบาที่กลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้ยินแต่สุดท้ายแล้วใบหน้าคมที่คุ้นเคยก็หันมาตามเสียงเรียกของผม...
ผมรู้สึกว่าอัตราหัวใจของผมเต้นรัวเร็วขึ้น...
“นั่งสิ...” พี่หินเอ่ยบอกผมพลางเขยิบเว้นช่องว่างข้างตัวให้ ผมเดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟาข้างกายพี่หินอย่างเคยชินแต่ในความรู้สึกผมมันช่างแตกต่างจากวันก่อนๆโดยสิ้นเชิง ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทุกบริเวณความอึดอัดครอบงำเข้าสู่ภายในร่างกายจนราวกับว่าแทบจะขาดอากาศหายใจ
พี่หินรับรู้ความรู้สึกของผมแล้ว...
แล้วเขาจะรังเกียจความรักของผมมั้ย...
“พะพี่...”
ก่อนที่ผมจะได้เอ่ยเอื้อนถ้อยคำใดออกไปริมฝีปากร้อนก็พุ่งเข้ามาฉกฉวยเข้ากับเรียวปากบางซีดของผมอย่างแผ่วเบา ผมนิ่งอึ้งกับการกระทำของอีกฝ่ายแต่สุดท้ายผมก็ตอบรับสัมผัสนี้ไว้อย่างเต็มใจ...ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าผมโหยหาสัมผัสนี้มานานแสนนาน...
สัมผัสบางเบาราวกับขนนก...แต่กลับหอมนุ่มละมุนลิ้น...
“ไม่ต้องพูดอะไร...พี่รู้ทุกอย่างแล้ว...” ถ้อยคำอบอุ่นที่เอ่ยเอื้อนทันทีที่ถอนเรียวปากออกจากกัน เหมือนยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมเฝ้ารอคอยมาตลอดใกล้จะเป็นจริง...
ขอบคุณพระเจ้าที่รับฟังคำอธิษฐานของผม...
“พี่ก็รักไพน์...” ผมนิ่งค้างกับประโยคบอกรักที่ดังขึ้นจากพี่หินที่มาพร้อมกับอ้อมกอดอบอุ่นอย่างไม่ทันตั้งตัว สมองผมตีกันให้วุ่นอีกใจหนึ่งก็รู้สึกยินดีกับประโยคนี้แต่อีกใจหนึ่งก็ขบคิดกับคำบอกรัก
รัก...แบบไหน...
แบบพี่น้อง...
หรือแบบที่ผมรู้สึกกับพี่หิน...แบบคนรัก...
“ผมก็รักพี่ฮะ...พี่ชายของผม...” ผมเอ่ยแผ่วเบาผมยังไม่กล้าฟันธงลงไปว่าคำว่ารักของพี่หินสื่อถึงอะไรกันแน่ ผมก็เลยต้องใช้คำว่า ‘พี่ชาย’ เพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกของผมเอาไว้ ถึงมันจะเจ็บปวดที่ต้องเอ่ยแต่ก็ยังดีกว่าต้องเสียพี่หินไปเพราะคำพูดที่ทำร้ายตัวเอง...
“พี่รักนายที่เป็นไพน์...เด็กผู้ชายคนหนึ่ง...”
“…”
“ไม่ใช่ไพน์...ในฐานะน้องชาย...” น้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับสัมผัสบางเบาที่ขมับของผมเรียกน้ำตาของผมให้พรั่งพรูออกมา มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจเหมือนที่ผ่านมาแต่มันเป็นหยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ...
ช่วยบอกผมทีว่ามันไม่ใช่ความฝัน
“ไหนลองบอกพี่อีกทีซิ...คำว่ารักของนายน่ะ” พี่หินถอนอ้อมกอดออกพลางจ้องเข้าไปในนัยน์ตาผมเหมือนกับค้นหาบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้...คำว่ารักที่พี่หมายถึงคงเป็น...
“ผมรักพี่ครับ...รักมานาน...ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ…”
“^_^”
“รักพี่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง...ไม่ใช่พี่ชาย...” จบประโยคสุดท้ายผมก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาคมแสนมีเสน่ห์ ผมพูดออกไปแล้ว...ความรู้สึกที่ผมเก็บซ่อนลึกไว้ห้าปีในที่สุดมันก็ถูกเผยออกแล้ว มันถูกพูดออกมาพร้อมกับหัวใจผมที่เต้นระรัวเมื่อมันสัมผัสได้ว่าเจ้าของผู้กอบกุมหัวใจดวงนี้ก็เปิดรับผมเข้าไปอยู่ในหัวใจอีกดวงเช่นกัน...
“ไพน์...” ผมสัมผัสได้ถึงมืออุ่นร้อนที่แตะลงที่ปลายคางผมพร้อมเชยคางผมขึ้นให้สบกับดวงตาคมเฉียบที่ฉายความนัยบางอย่าง สายตาสองคู่สบกันนิ่งเหมือนกับว่าตกอยู่ในห้วงวังวนของความนัยที่สื่อออกทางแววตา แม้ไม่มีคำเอ่ยเอื้อนใดๆแต่เราทั้งคู่ก็รับรู้กันได้...ด้วยดวงตา...และหัวใจ...
ขอบคุณครับพระเจ้าที่รับฟังคำอธิษฐานของผม...
และอีกคนที่ผมไม่อาจจะลืมได้...
ขอบใจมากๆนะ ฉันไม่รู้จะต้องตอบแทนนายยังไง...แต่นายจะอยู่ในห้วงหัวใจของฉันตลอดไป...
กัน...กันยพัฒน์
หนึ่งเดือนผ่านไป
“พี่หินนนนนนนน แฮกๆ”
“วิ่งทำไมเดี๋ยวก็ล้มหรอก ดูดิ๊!! เหงื่อเต็มเลย”
“ก็ผมกลัวพี่รอนานนี่ ”
“นานแค่ไหนพี่ก็รอได้เสมอ” เสียงทุ้มอ่อนโยนพร้อมกับสายตาที่สื่อความหมายทอดมองเข้ามาในนัยน์ตาผม
งืออออออ เขิน
“ไปกินไอติมกันเถอะครับ ” ผมจับมือหนาของเฮียพลางส่งยิ้มที่คิดว่าน่ารักที่สุดออกไป เฮียกระชับมือของเราสองคนให้แน่นมากขึ้น ก่อนจะพากันเดินออกจากรั้วโรงเรียน จุดหมายของเราก็คือร้านไอติม
“พี่หิน”
“ครับ”
“ขอบคุณนะครับที่รักผม”
“พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณนาย ที่ให้พี่รัก ^_^” สายตาของเราทั้งคู่จ้องมองกันเพื่อสื่อถึงความรู้สึกที่มีให้แก่กัน ความอบอุ่นจากมือที่จับกันแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูหัวใจ การที่เราได้รับความรักจากคนที่รักมันมีความสุขอย่างนี้นี่เอง
“เข้าไปในร้านกันเถอะ” มือหนาขยี้หัวผมเบาๆ ผมเลยทำแก้มพองลมใส่เขาซะเลยโทษฐานทำให้ผมหมดหล่อ เอ๊ะ!! ไม่ใช่สิ น่ารักต่างหาก
พี่หินพาผมเข้ามาในร้านไอติมที่ตกแต่งด้วยโทนสีส้มน่ารักๆแห่งหนึ่ง เราสองคนเลือกมุมที่อยู่ด้านในสุดของร้านเพราะพี่หินไม่ชอบที่ที่มีคนพลุกพล่านเท่าไหร่ โอย...ผมรู้สึกหน้ามืดชอบกลสงสัยไปเดินตากแดดเมื่อกี้แน่ๆ
“ไพน์...เป็นอะไรหรือเปล่า” พี่หินถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง มือหนาวางทาบลงบนหน้าผากนูนของผมเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับแค่หน้ามืดนิดหน่อย แฮ่ๆ”
“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร ถ้ารู้สึกไม่ค่อยดีต้องบอกพี่นะ” พี่หินลุกจากเก้าอี้ตรงข้ามมานั่งข้างๆผมพร้อมกับจับตัวผมนู่นนี่จนวุ่นวายไปหมด
แต่ผมแอบรู้สึกดีนะ
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ ฮ้า ไอติมมาแล้ว ^O^” ผมทำเสียงดี๊ด๊ามากมายเมื่อไอติมรสสตอเบอร์รี่ที่โปรดปรานของผมกับรสช็อกโกแลตของพี่มาเสิร์ฟ ผมแอบเห็นพี่หินส่ายหัวไปมากับความดื้อของผมแต่ผมไม่เป็นไรจริงๆนี่นา
“มากินไอติมกันเถอะครับ ” ผมหยิบช้อนยื่นให้พี่หินแล้วก็เริ่มสวาปามไอติมแสนอร่อย ฮ้า ได้กินอะไรเย็นๆนี่มันชื่นใจจริงเลย หุๆของพี่หินก็แอบน่ากินเหมือนกันนะเนี่ย
“อ้าวไพน์ มากินของพี่ได้ไง ของตัวเองก็มี”
“เชอะ! งก!” ถึงผมจะว่าอย่างนั้นแต่ก็ยังตักไอติมของอีกฝ่ายเข้าปากไม่หยุด เหมือนกับคนข้างๆที่ปากบ่นผมว่าไปแย่งไอติมแต่ก็ไม่ห้ามผมซ้ำยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีกต่างหาก
ผมรู้ว่าผมมันน่ารักแต่มองกันขนาดนี้ผมก็เขินนะ
“เลอะน่ะ...” จบน้ำเสียงทุ้มผมก็เข้าใจทันทีว่าพี่หินหมายถึงอะไร ลิ้นร้อนเลียเข้าที่มุมปากผมอย่างอ่อนละมุนขจัดคราบไอติมที่เปรอะเปื้อนให้
“พี่หินบ้า! เช็ดเองได้น่า” ผมตีเข้าที่อกหนาแก้เขิน คนบ้า! ทำอะไรก็ไม่รู้คนเยอะแยะ ถ้าอยู่ที่บ้านจะไม่ว่าสักคำ (ซะงั้นไป =_=)
เคร้ง!
“อ๊ะ! เดี๋ยวไพน์เก็บเอง ” เพราะความที่เขินมากไปหน่อย มือไม้ที่ปัดป่ายของผมเลยไปโดนช้อนหล่นตกลงไปใต้โต๊ะ พี่หินทำท่าจะลงไปเก็บแต่ผมก็ห้ามเอาไว้ซะก่อน ก็ผมตัวเล็กกว่ามุดง่ายกว่าพี่เขานี่ ให้พี่หินมุดลงไปมีหวังคราวนี้ได้พังทั้งโต๊ะแน่ๆ
วูบบบบ!!!
ขณะที่ผมกำลังเอื้อมไปหยิบช้อนไอติมผมก็รู้สึกหน้ามืดพร้อมอาการปวดหัวอย่างหนัก เหมือนกับดวงตามืดดับไปชั่วขณะ ผมเพ่งมองผ่านความมืดใต้โต๊ะ
ระหว่างที่ผมกำลังพยายามสลัดอาการปวดหัวออกไป มือผมกุมที่ขมับตัวเองพร้อมบีบมันอย่างแรงเผื่อมันจะหายปวด หลับตาลงและภาวนาว่าเมื่อลืมตาโลกที่มืดดับจะกลับมามองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง
และคำภาวนาก็เป็นผล แต่ศีรษะนี่สิมันไม่ทุเลาลงเลย ปวดมาก เหมือนหัวจะระเบิด มันรู้สึก...
“ไพน์ หาเจอยัง ทำไมนานจัง” เสียงพี่หินดังมาจากด้านบนเก้าอี้ ผมเลยรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ถ้าพี่หินรู้จะต้องตกใจเป็นห่วงกันให้เรื่องใหญ่โตแน่ๆ เผลอๆผมอาจโดนบังคับให้ไปโรงพยาบาลสิ่งที่ผมกลัวที่สุดรองจากผี
“ครับๆเสร็จแล้ว”
“เป็นอะไรหรือเปล่าสีหน้าไม่ค่อยดี” ผมว่าแล้วว่าพี่เขาต้องถาม
“เอ่อ...พอดีเมื่อกี้ซุ่มซ่ามหัวโขกขาโต๊ะ ซี๊ดดดด เจ็บอ่ะ ” ผมว่าพลางแกล้งเอามือคลำศีรษะตัวเองป้อยๆ เหมือนเจ็บจริงๆทั้งที่ความจริงอยากจะร่ำร้องอย่างทรมานแต่ก็ต้องทำเป็นร่าเริงอย่างกลัวว่าพี่หินจะจับพิรุธได้
“ไอ้เด็กติ๊งต๊องเอ๊ย!!”
ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะหน้ามืดบ่อยๆ ตามืดดับเหมือนสัญญาณโทรศัพท์ที่ขาดๆหายๆบางครั้งรู้สึกลูกตาลามไปถึงปวดหัวมากจนแทบระเบิด อยากจะควักมันออกมาทิ้ง นี่ผมเป็นอะไรกันแน่...ผมไม่กล้าไปหาหมอเพราะกลัวคำตอบ กลัวว่าจะต้องรับรู้สิ่งน่ากลัว ถึงแม้ตอนนี้การมันจะแย่มากแล้วก็ตาม
ผมรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“ไพน์ เป็นอะไรหรือเปล่า เข้าห้องน้ำนานแล้วนะ” น้ำเสียงกังวลของพี่หินดังแทรกผ่านบานประตูเข้ามา ผมพยายามประคองตัวเองที่หน้ามืดล้มพับลงไปกับพื้นห้องน้ำ มือกำอ่างหน้าไว้แน่น วันนี้ก็เอาอีกแล้ว มันเป็นอีกแล้ว
ใช่ครับ! พี่หินยังไม่รู้เรื่องนี้ ผมไม่อยากบอกเขา ไม่อยากให้เขามาเป็นกังวลเรื่องของผมสิ่งที่พี่เขาทำให้ผมอยู่ตอนนี้มันก็มากเกินพอแล้ว
แอด ~
“พี่ก็..ผมกำลังถ่ายหนักอยู่พี่เข้ามาทักอย่างนี้มันก็หดเข้าไปหมดสิ =3=” ผมเปิดประตูออกมาแสร้งทำหน้ายู่ใส่พี่หิน พยายามเพ่งมองใบหน้าที่เลือนลางจากการมองเห็น
“อ้าว...พี่ขอโทษ ก็ไม่รู้นิเห็นหายเข้าไปนานนึกว่าเป็นอะไร พักนี้ยิ่งดูซีดๆอยู่”
“ซีดที่ไหนกัน ไพน์ขาวขึ้นต่างหาก พี่หินมั่วอีกละ” ผมเอานิ้วจิ้มจึกๆไปที่อกแกร่ง
“ครับๆมั่วก็มั่ว ไปนอนได้แล้วดึกแล้วนะ” ว่าจบพี่หินก็จูงมือผมไปนอนผมเลยถือโอกาสที่พี่เผลอหลับตาลง ตอนนี้ผมมีเขาคอยประคอง คอยนำทาง ผมขอพักร่างกายแล้วเดินไปตามทางที่มือใหญ่นำพา
ขอโทษนะครับพี่ที่ผมต้องปิดบังแต่ผมไม่อยากทำให้พี่ไม่สบายใจ
“พี่ครับผมขอนอนกอดพี่นะ” ไม่ต้องรอคำอนุญาตผมก็ซุกลงเข้าที่อกแกร่งทันที มือผมกอดรัดร่างอบอุ่นเอาไว้แน่น มีบางอย่างทำให้ผมรู้สึกกลัวจับใจ ถึงตอนนี้ผมจะไม่รู้แน่ว่าตัวเองเป็นอะไรแต่ลางสังหรณ์บอกผมว่ามันไม่ดีเอาซะเลย
อ้อมแขนแกร่งเอื้อมมาโอบรัดร่างผมตอบ มือหนาสางที่ผมนุ่มของผมเบาๆความอบอุ่นแผ่ซ่านจนผมอดไม่ได้ที่จะซุกตัวเข้าหาร่างใหญ่มากขึ้น คางสากเกยเข้าที่หัวทุยๆของผม ถ้าวันหนึ่งผมไม่ได้นอนกอดพี่หินอย่างนี้อีกจะเป็นยังไงนะ แค่คิดผมก็ทนไม่ได้แล้ว
“พี่ครับ...ให้ผมเป็นของพี่ได้มั้ยครับ” ผมเอ่ยเสียงแผ่วในอ้อมอกแกร่ง
“ไพน์...พูดอะไรออกมาน่ะ” เจ้าของอ้อมแขนอบอุ่นคลายออก พี่หินดูจะตกใจไม่น้อยกับประโยคเอ่ยขอของผม แต่ผมพูดจริงๆนะ ผมอยากเป็นของพี่หินก่อนที่ผม..อาจจะไม่มีโอกาสได้เป็น
ลางสังหรณ์บางอย่างบอกไว้อย่างนั้น
“ผมพูดจริงๆนะฮะ”
จบประโยคผมก็เคลื่อนตัวเข้าไปประทับริมฝีปากเบาๆก่อนจะกดแนบสนิทขึ้นวินาทีต่อมาที่อีกฝ่ายตอบรับผมและเริ่มเป็นฝ่ายชักนำแทนมันทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมา
“แน่ใจนะ?” ถอนเรียวปากขึ้น มองตาผมอย่างไม่แน่ใจ
“ครับ”
เพียงแค่นั้นร่างสูงก็จู่โจมเข้ามา ริมฝีปากหนาบดเบียดรุกล้ำจนผมรู้สึกเสียววาบไปหมด ถึงผมจะเป็นคนเสนอเองแต่พอเอาเข้าจริงๆแล้วผมก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน กายแกร่งที่เริ่มขึ้นคร่อมทับพร้อมกับจูบอันเร่งเร่าร้อน ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กอย่างลึกล้ำ พร้อมกับมือที่เริ่มเล้าโลมร่างเล็กของผมไม่หยุด มือของผมเริ่มปัดสะเปะสะปะไปที่อกแกร่ง เสื้อผ้าที่ติดตัวเราทั้งสองคนค่อยๆหลุดออก
ริมฝีปากหนาร้อนผ่าวละมากดจูบขบเม้มที่ซอกคอของผมไล้ลงไปเรื่อยตามไหปลาร้าไหล่ลาดเนียนจนถึงหน้าอกที่มีเม็ดทับทิมสีหวานที่เริ่มแข็งขืนชูชันตามแรงอารมณ์ที่ถูกปลุกขึ้นจนปากร้อนอดใจไม่ได้ที่จะเข้าครอบครองมัน มืออีกข้างก็จัดการบดขยี้ตุ่มแต้มสีชมพูอีกข้างไม่ขาดมือจนเสียงครางหวานกระเส่าเล็กลอดหลุดออกมา
“อื้อ พี่หิน อ่า...” เสียงหวานร้องแทบขาดใจเมื่ออีกฝ่ายบดขยี้ลงไปแรงๆซ้ำมืออีกข้างยังลูบไล้ไปตามผิวกายเนียนละเอือดอย่างโหยหา มือหนาบีบเน้นไปตามร่างกายบางอย่างหลงใหล ความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นตามลำดับ ร่างเล็กกระตุกไหววูบเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสร้อนผ่าวที่ลูบวนผ่านกางเกงชั้นในขาวเนื้อบางกดบีบเน้นย้ำจนมันเริ่มสู้มือ ร่างสูงที่อารมณ์แทบระเบิดออกมาเสียให้ได้ดึงรูดทีเดียวชั้นในบางที่ขัดขวางเขาก็เลื่อนหลุดออกจากกายเล็กทันที
ใบหน้าหวานที่แดงก่ำช่วยพัดโหมกายดิบเขาให้พุ่งทะยานขึ้นทันที ปากร้อนประกบจูบดูดดื่มกับร่างเล็กข้างใต้ดุเดือด ร่างใหญ่กดทับตัวลงไปถูไถแก่นกายใหญ่ของตนผ่านกางเกงนอนตัวบางเข้ากับแก่นกายเล็กที่เปลือยเปล่าเรียกความรู้สึกเสียวซ่านแปลกใหม่ให้กับร่างบางจนส่งเสียงครางไม่เป็นภาษา
“นะนาย อื้ม กะ กำลังทำให้พี่...คลั่ง” ปากร้อนกระเส่าพรมจูบลงบนหน้าท้องแบนราบหนักขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงมือเล็กที่ช่วยปลดกางเกงให้กับเขาพร้อมลูบวนสัมผัสแก่นกายเขาอย่างที่เขาเคยทำ
“พะ พี่ ก็ทำให้ผม อ๊า แทบบ้าเหมือนกัน” ว่าเสียงกระเส่าเมื่อแท่งรักสีหวานถูกปาหนาครอบครอง มือบางขยุ้มกลุ่มผมหนาของคนด้านบนระบายอารมณ์ที่ลุกโชนขึ้น
ร่างเล็กกระตุกสองสามทีมือบางกำผ้าปูที่นอนแน่นเมื่อร่างสูงค่อยๆลากปลายลิ้นไปตามแท่งสีหวานลงไปตามแนวกั้นระหว่างส่วนอ่อนไหวด้านหน้าไปถึงช่องทางด้านหลัง ขาเรียวทั้งสองข้างถูกจับแยกออกกัน เกร็งปลายลิ้นร้อนก่อนจะแทรกสัมผัสเข้าทางช่องทางรักไล้วนแลบเลียราวกับขนมหวานก็มิปาน นัยน์ตาหวานเยิ้มก้มลงมองท่วงท่าน่าอายด้วยใบหน้าแดงซ่าน
“พร้อมมั้ยครับ” เคลื่อนตัวขึ้นมาถาม ประกบจูบปากบางดูดดื่มพลางจับมือบางให้ไปสัมผัสแก่นกายใหญ่ที่ชูชันของตนเพื่อบอกถึงความต้องการที่มากล้นจนทะลักออกมา มือบางจับเจ้าสิ่งนั้นสั่นระริก ทำใจกล้าจับสิ่งที่อยู่ในมือจ่อเข้ากับช่องทางสีหวานของตน
“เข้ามาเถอะครับ...” ราวกับเป็นเสียงอนุญาตร่างสูงรีบสอดใส่แก่นกายใหญ่เข้าไปทีเดียวจนมิด ใบหน้าหยาดเยิ้มเบ้หน้าด้วยความเจ็บแต่ก็กัดฟันทนเพราะรู้ว่าตัวเองยั่วจนอีกฝ่ายไม่ไหวจะทน ความรู้สึกเจ็บแปลบมากขึ้นเมื่อร่างใหญ่ด้านบนเริ่มขยับตัว มือบางเกาะไหล่หนาไว้แน่น ปากหนาประกบจูบร้อนหวังให้ความเจ็บของร่างเล็กเบาบางลง เมื่อร่างเล็กเริ่มคุ้นชินก็เริ่มเพิ่มแรงกระแทกเข้าไปมากขึ้น
“อ่ะ อ่ะ...อ้า....”
“อ๊า...พี่ฮะ...”
ร่างเล็กครางร้องไม่เป็นภาษา น้ำเสียงกรีดกรายที่ดังลั่นห้องอย่างทรมานทำให้ร่างใหญ่ด้านบนรู้ว่าอีกคนกำลังใกล้สุดทางเลยเร่งระรัวสอดใส่ เพียงไม่กี่นาทีต่อจากนั้นน้ำเหลวข้นของร่างบางก็พุ่งทะยานฉีดเข้าที่หน้าท้องแกร่ง เสียงหอบแฮกดังก้องไปทั่วห้องคละเคล้าไปกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ยังดังไม่หยุดเนื่องจากร่างที่กำลังกระแทกตัวเข้ามายังไม่ถึงจุดหมาย
“อ้า รักนะครับ...อื้มมม”
ร่างสูงทิ้งกายใหญ่ลงข้างร่างบางพร้อมทั้งรั้งเอวบางเข้ามากอด มือหนาเช็ดคราบเหงื่อที่ซึมตามหน้าผากและไรผมออกก่อนจะกดจูบที่ขมับบางเบาๆอย่างสุดรัก ยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานอ่อนเพลีย
ต่อข้างล่างนะคะ