ตอนที่ 36
หลังจากคืนนั้น คืนที่ได้เยียวยาหัวใจตัวเองด้วยคำถามมากมาย ผมก็ยอมกลับไปเป็นคนโง่คนเดิมด้วยความเต็มใจ ยอมเชื่อคำพูดมากมายที่พรั่งพรูออกมาอย่างแสนหวานจากริมฝีปากของคุณยะ มีความจริงในนั้นมากน้อยแค่ไหน ผมก็โง่พอที่จะไม่ตั้งคำถามกับตัวเอง ยอมเชื่อ ยอมฟัง ยอมวางหัวใจไว้บนกำมือเขาอีกจนได้
ผมไม่เคยเข้มแข็งได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทุกคำพูดของคุณยะ ทุกคำที่คนคนนี้เอ่ยออกมา ผมพร้อมยอมเชื่อจนหมดหัวใจ เชื่อจนเหมือนคนโง่ที่ไม่เคยเข็ดกับความย่อยยับของหัวใจตัวเอง
ในคืนที่ผมยอมซุกใบหน้าลงบนอกเขา ทิ้งกายอยู่อ้อมกอดของเขาอย่างง่ายดาย และหลับฝันหวานตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า จนถึงวันนี้ที่เวลาไหลผ่านมาร่วมเดือน ทุกอย่างสวยงามไปเสียหมด แค่เห็นหน้าเขาก็มีความสุขแบบล้นทะลัก ยิ่งได้มองเข้าไปในดวงตาสีราตรีก็เห็นความรักฝังลึกอยู่ในนั้น
ก๊อก...ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งดึงผมกลับมาอยู่บนโต๊ะทำงานอย่างที่ควรเป็น ก่อนที่จะได้ขยับริมฝีปากเอ่ยคำอนุญาตออกไป ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดเข้ามาเสียก่อน
“คุยกันหน่อยสิ” ผู้มาเยือนเอ่ยเสียงเรียบ ระหว่างที่เดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟารับแขก
ถึงจะผูกพันด้วยสถานะพ่อลูกที่มีสายเลือดเดียวกัน ซ้ำยังทำงานอยู่ที่เดียวกัน ทว่าน้อยครั้งที่เจ้าของสยามชโยดมจะเดินมาเคาะประตูห้องทำงานของผม
“ครับ” ผมตอบรับ ขยับตัวลุกจากเก้าอี้ทำงานเดินไปยังชุดโซฟาขนาดใหญ่ ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของคุณชลัช
“กับมันเป็นยังไงบ้าง”
‘มัน’ คนที่คุณชลัชหมายถึงคือ ‘คุณยะ’
มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ ตั้งแต่วันที่ผมเดินมาหาเขาอย่างนกปีกหัก บอกเขาว่าผมเป็นลูก หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยเอ่ยถึงคุณยะกับผมเลย จนกระทั่งตอนนี้เองที่เขาเอ่ยถึง
“ก็ดีครับ” ผมตอบ
“แน่ใจไหมว่ามันจะไม่ทำร้ายเธอแบบเดิมอีก” เขาถามเสียงเรียบ ส่วนผมพอเจอคำถามนี้เข้าก็เหมือนกับว่าถูกรื้อบาดแผลขึ้นมาใหม่ “ฉันไม่ไว้ใจมัน กลัวมันจะทำกับเธอเหมือนเดิมอีก” คำพูดเหล่านี้คล้ายเอ่ยออกมาพร้อมความห่วงใย ที่นานครั้งเขาจะแสดงออกมาให้ผมรู้สึก
ระหว่างผมกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ หรือแม้แต่คุณพิมดาวผู้เป็นแม่ ความสัมพันธ์ระหว่างเราสามคนห่างเหินอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้นมาตลอด กับคุณพิมดาวยังมีโอบกอดบ้างแต่อ้อมกอดนั้นก็จืดจาง ไม่ต่างจากโอบกอดตามหน้าที่ของความเป็นแม่ ส่วนคุณชลัชไม่เคยแม้แต่จะอ้าแขนออกมาเพื่อรับผมเข้าสู่อ้อมกอด ผมเองก็ไม่ได้เจ็บปวดไปกับความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกที่ไม่เหมือนครอบครัวอื่น เข้าใจว่ามันยากที่จะโอบกอดกันด้วยความรักและผูกพัน แต่ใช่ว่าพวกเขาจะเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่อง ทุกอย่างมันเป็นไปตามสิ่งที่ต้องเป็น พวกเขาให้การเลี้ยงดูเท่าที่ผมอยากได้รับและให้มากกว่าที่ผมอยากได้จากพวกเขาเสียด้วยซ้ำ
“ผมไว้ใจเขาก็พอครับ” ตอนที่ผมตอบคุณชลัชไปแบบนั้น เจ้าของคำถามก็พ่นลมหายใจออกมาทันที สีหน้าเขาดูหงุดหงิดและเป็นกังวลในคราวเดียวกัน
“พี...” มีความลังเลอยู่ในน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อผม “ฉันอยากขอให้เธอเลิกกับมัน...ได้ไหม?”
“ไม่ได้ครับ” ผมตอบทันที ไม่เสียเวลาคิดแม้แต่วินาทีเดียว
“ฉันขอในฐานะพ่อ” นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่คุณชลัชเอาความเป็น ‘พ่อ’ มาใช้ ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่ามันไม่มีทางได้ผล เพราะไม่ว่าใครก็ห้ามไม่ให้ผมรักคุณยะได้
“ไม่ว่าคุณชลัชจะขอในฐานะอะไร ผมก็ไม่เลิกกับเขา”
“เธอไม่กลัวเลยหรือไงว่าจะถูกมันหลอกเหมือนที่ผ่านมา”
กลัวสิ... แต่ความรู้สึกที่อยากรักเขามีมากกว่าความกลัวเป็นร้อยพันเท่า
ในใจคิดแบบนี้แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ได้แต่บอกออกไปว่า
“ไม่กลัวครับ”
คำตอบของผมทำให้คุณชลัชเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ย
“มันเกลียดฉัน” เขาถอนหายใจอีกครั้ง คล้ายไม่อยากพูด เงียบไปสักพัก ถึงได้เอ่ยออกมาอีกครั้ง “บางทีมันอาจจะใช้ความเจ็บปวดของเธอเป็นการแก้แค้นฉัน”
ผมก็เคยคิดแบบที่เขาพูด เคยคิดว่าที่คุณยะเกลียดผมก็เพราะเกลียดคนที่เป็นเจ้าของสายเลือดในตัวผม
“คุณชลัชทำอะไรให้เขาเกลียดครับ”
เขานิ่งไปพักใหญ่ ถอนหายใจ แล้วจึงค่อยตอบคำถามของผม
“ฉันเคยทำร้ายมัน”
“ทำร้าย?” ผมทวนคำที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเบาๆ
“ใช่” เขาพยักหน้า “มันถึงได้เกลียดฉันมาจนถึงวันนี้”
ผมจินตนาการไม่ถูกเลยว่า คุณชลัชทำร้ายเพื่อนรุ่นน้องของตัวเองแบบไหนกัน ถึงทำให้อีกฝ่ายเกลียดได้ฝังลึกจนถึงวันนี้ จนกระทั่งเรื่องราวในอดีตถูกถ่ายทอดออกมาช้าๆ แต่ความรุนแรงของมันไม่ได้เชื่องช้าเลยสักนิด
.................................
เพราะเรื่องราวที่ผ่านระยะเวลามามากกว่าชีวิตผมถูกบอกเล่าออกมา และเป็นเรื่องราวความบาดหมางในรูปแบบที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของผมไปมากจริงๆ คนที่อยู่หลังโต๊ะทำงานหลังใหญ่ถึงได้ไม่ยอมตอบคำถามของผมและไม่ยอมให้ผมถามมันกับเขา
แต่ผมก็รู้แล้ว และคิดว่าตัวเองไม่ควรอยากรู้เลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องเจ็บปวดไปกับสิ่งที่คุณยะเคยเผชิญหน้ากับมัน
“คุณยะ...” ยามเอ่ยเรียกชื่อเขา เสียงของผมสั่นเทา แม้จะพยายามฝืนบังคับให้เป็นปกติแล้วก็ตาม เพราะความรู้สึกในใจของผมกำลังปวดร้าวแทนคนที่อยู่ตรงหน้า
เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารบนโต๊ะ ปากกาในมือถูกวางลงบนแผ่นกระดาษสีขาวที่บนนั้นเต็มไปด้วยตัวหนังสือและตารางตัวเลข ไม่ทันที่เขาจะได้ขยับตัวลุกจากเก้าอี้มาหาผมด้วยสีหน้าตกใจกับสภาพใบหน้าชุ่มน้ำตาที่เห็น ผมก็เดินไปถึงตัวเขาก่อน ทิ้งตัวลงนั่งบนตักเขาอย่างไม่กลัวว่าเจ้าตักจะหนัก กอดร่างกายหนาที่แสนอบอุ่นไว้แน่นด้วยความรู้สึกอยากปลอบโยนความเจ็บปวดของเขาในอดีตที่ยาวนานมากกว่าชีวิตของผม พร้อมกับใช้ไหล่กว้างของเขาเป็นที่รองรับน้ำตาซึ่งไหลทะลัก ทั้งที่ร้องไห้มาตลอดทางแล้วแท้ๆ ร้องจนน้ำตาชุ่มแก้ม พนักงานและลูกค้าของพุฒิธาดาเห็นยังตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของผม พี่แอลที่อยู่หน้าห้องตกยิ่งกว่า ถามผมใหญ่ว่าเป็นอะไร แต่ผมไม่มีเวลาที่จะตอบคำถามของอีกฝ่าย
เจ้าของไหล่ปล่อยให้ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น โดยไม่ถามอะไรสักคำ จนผ่านไปหลายนาที จนน้ำตาผมน้อยลง เสียงสะอึกสะอื้นที่หลุดออกมาจากริมฝีปากเบาบางลงนั่นแหละ คำถามถึงได้ดังขึ้น
“เป็นอะไร โดนใครทำอะไรมา” เสียงอ่อนโยน มือก็ลูบแผ่นหลังผมไปพลาง
“ฮึก...คุณยะ...” ผมก็ได้แต่เรียกชื่อเขาปนไปกับเสียงสะอื้นเบาบางของตัวเอง ผมอยากเกลียดคนที่ทำร้ายเขา แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะฝ่ายนั้นคือพ่อ
“พี” เขาเรียกผม อะไรในน้ำเสียงนั้นฟ้องว่าเขาเริ่มรู้แล้วว่าเรื่องไหนที่ทำให้ผมมาที่นี่พร้อมน้ำตานองหน้า “...ฉันบอกแล้วใช่ไหม ทำไมถึงไม่ฟัง”
“ก็...” ผมพูดไม่ออกตอนที่ถูกดึงใบหน้าออกมาจากไหล่เขา แววตาเขาดูโกรธจนเห็นได้ชัด ผมไม่อยากถูกเขาโกรธเลย ไม่อยากทะเลาะกันด้วย “...ผมขอโทษ”
“รู้แล้วมันทำให้เธอสบายใจขึ้นไหม” เขาถาม น้ำเสียงที่เปล่งออกมาและสายตาที่ใช้มองผมลดความขุ่นมัวลง ขณะเดียวกันก็ใช้ปลายนิ้วอุ่นเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มให้อย่างอ่อนโยน “รู้แล้วก็ต้องมานั่งร้องไห้บนตักฉัน”
...เขาพูดผิดไปนิดหนึ่ง ผมไม่ได้นั่งร้องไห้บนตักเขาเท่านั้น ผมน่ะร้องไห้ตั้งแต่เรื่องราวเริ่มไหลออกมาจากปากคุณชลัชด้วยซ้ำ
คุณชลัชบอกว่า...เขาเคยข่มขืนคุณยะ แม้ไม่ถึงขั้นสุดท้าย แต่มันก็ทำให้กลายเป็นฝันร้ายของคนที่ถูกทำแบบนั้นได้เหมือนกัน และเพราะเรื่องที่ตัวเองต้องพบเจอมันโหดร้ายสำหรับคนถูกกระทำเหลือเกินหรือเปล่านะ คุณยะถึงได้รู้สึกผิดและต้องรับผิดสิ่งที่ตัวเองเคยพลั้งเผลอทำร้ายพี่เลม่อนไปในตอนนั้น
“ก็ผมเสียใจ ผมไม่อยากให้คุณยะเจอเหตุการณ์แบบนั้น”
“มันผ่านไปแล้วพี” ต่อให้คุณยะบอกว่ามันผ่านไปแล้ว แต่ผมก็เชื่อว่าคุณยะยังไม่ลืมและเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ยังเป็นฝันร้ายที่ยากจะลืมเลือน
“คุณยะ...เกลียด...ผมไหม เกลียดที่ผมเป็นลูกเขา” แม้คุณยะจะเคยบอกว่าไม่ได้เกลียดผม ทว่าพอมารู้ความจริงเรื่องนี้แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าคุณยะจะเกลียดผมที่เป็นลูกของผู้ชายที่ใช้กำลังฝืนใจเขา
“เพิ่งผ่านมาได้กี่วันเอง เธอก็จะมาถามคำถามเดิมกับฉันอีกแล้ว” เขาเริ่มมีรอยยิ้มแม้จะไม่มากก็ตาม ปลายนิ้วโป้งหยอกล้ออยู่กับจุดสีดำบนแก้มของผม “ฉันจะเกลียดเธอได้ยังไง รักจะตายไป”
พร้อมกับคำหวานหูที่เอ่ยเอาใจผม คือปลายนิ้วที่ละออกไปแล้วแทนที่ด้วยริมฝีปากอุ่นบนแก้มชื้นน้ำตา ก่อนจะเลื่อนต่ำลงไปเพื่อเปลี่ยนเป้าหมายเป็นริมฝีปากติดจะสั่นเพราะแรงสะอื้นของผม
“แต่คุณชลัชบอกว่าคุณยะอาจจะเกลียดผม แล้วก็ใช้ผมแก้แค้นเขา” ผมพูดขึ้นตอนที่ปากของตัวเองถูกปล่อยให้เป็นอิสระ คำพูดของคุณชลัชยังค้างอยู่ในหัว เจ้าตัวยังเชื่อว่าคุณยะแค้นตัวเองอยู่ และเชื่อด้วยว่าคุณยะไม่ได้รักผมจริง
“เชื่อพ่อมากกว่าเชื่อฉันหรือไง” เขาถาม รอยยิ้มหายไป
ผมก็ไม่อยากเชื่อที่คุณชลัชพูดเท่าไรหรอก แต่ก็อดเชื่อไม่ได้ ยังจำตอนที่ผมเดินเข้าไปบอกคุณชลัชว่าเป็นลูกเขา ตอนนั้นคุณชลัชสั่งผ่านคุณพิมดาวให้คุณยะมาคุยด้วย แต่คุณยะก็ไม่ยอมมาคุย แม้แต่ตอนที่คุณชลัชไปหาถึงที่ทำงาน เพื่อบอกว่าผมจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ คุณยะก็ไม่สนใจ ซ้ำยังบอกอีกว่าผมไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขาเลย จะไปอยู่ที่ไหนหรือไปอยู่กับใครก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมารับรู้ ผมก็เพิ่งรู้วันนี้เอง
สิ่งที่คุณยะบอกผมเมื่อคืนนั้น ต่างจากคำบอกเล่าของคุณชลัชในวันนี้
“คุณยะเคยพูดใช่ไหม...ว่าผมไม่ได้มีความสำคัญกับคุณยะ ผมจะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวกับคุณยะ เพราะผมก็แค่ลูกของคนที่คุณยะเกลียดจนไม่อยากอยู่ร่วมโลกด้วย คุณยะเกลียดเขา แล้วก็เกลียดผมเหมือนที่เกลียดเขา” พอผมถาม คุณยะก็เงียบไปเลยและไม่มองหน้าผมด้วย เขาเอาสายตาไปไว้ที่อื่น
“ใช่ไหมครับ” ผมถามย้ำ “คุณยะเกลียดผมเหมือนที่เกลียดเขา...ใช่ไหม” นานเลยที่ผมได้แต่จ้องใบหน้าหล่อเหลาที่สายตาคมกริบนั้นไม่ได้มองมาที่ผม แม้ไม่มีคำตอบ ทว่าความเงียบและสายตาที่หนีจากใบหน้าผมไปนั้นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องตอบว่า ‘ใช่’ เลยด้วยซ้ำ
ผมพยายามกลั้นน้ำตาเมื่อคำตอบที่ชัดเจนแสดงออกมาผ่านความเงียบของอีกฝ่าย ซึ่งมันก็ไม่ได้ผล ความพยายามของผมถูกทำลายลงด้วยความเจ็บปวดในอกซ้าย น้ำตาไหลเต็มสองแก้ม เสียงสะอื้นของผมดึงสายตาของคุณยะให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว
“ใช่ ฉันเคยพูดแบบนั้น” เขาเช็ดน้ำตาให้ผม ยิ่งทำให้ผมน้ำตาไหลพรากกับคำตอบที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังรับกับมันไม่ได้ “...แต่ฉันก็มีเหตุผลที่พูดไปแบบนั้น เธออยากฟังไหม”
“ฮึก...อยาก” ผมรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว อยากฟังเหตุผลของเขา เผื่อว่าจะช่วยลดความเจ็บปวดจากความจริงที่ว่าเขาเกลียดผม เกลียดเพราะผมเป็นลูกของคนที่ทำร้ายเขา
“อยากฟัง เธอก็ต้องหยุดร้องไห้ก่อน”
ได้ผลทันที ผมกลั้นน้ำตาไว้สุดพลัง ปล่อยให้สองมือของเขาปัดเอาเม็ดน้ำตาที่ค้างอยู่บนใบบนหน้าออกไป จนรู้สึกได้ว่าบนหน้าของตัวเองไม่เหลือคราบน้ำตาอีกแล้ว
“ฉันอยากให้เธอไปมีชีวิตที่ไม่มีฉัน...อย่าร้อง” เขารีบห้ามตอนที่เห็นน้ำตากลับมาปริ่มล้นอยู่ที่ขอบตาผม แต่ก็ห้ามไม่สำเร็จ น้ำตาผมไหล ขณะที่เขาจะใช้มือเช็ดน้ำตาให้เช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ทว่าครั้งนี้ผมกลับปัดมือเขาออกไปอย่างแรง ปฏิเสธความอ่อนโยนของเขาด้วยสุ้มเสียงขุ่นขวาง
“ผมจะร้อง!” ผมตอบอย่างหงุดหงิด เจ็บปวดกับเหตุผลของเขา เหตุผลแบบนี้ไม่ต้องมีซะดีกว่า
“ตามใจเธอละกัน อยากร้องก็ร้อง แต่ต้องออกไปร้องนอกห้องฉัน” ว่าแล้วเขาก็จับเอวผม ทำท่าจะยกตัวผมขึ้นจากตักเป็นเชิงไล่อย่างที่พูด ผมเลยรีบกอดตัวเขาไว้ ซุกหน้ากับไหล่ที่ยังคงชุ่มด้วยน้ำตาของผม กอดเขาไว้แน่นเพราะไม่อยากถูกลากตัวออกไปจากห้องนี้
“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!” ผมตะโกนด้วยอารมณ์ขัดใจผสมไปกับความน้อยใจ น้ำตาพรั่งพรู “ทำไม...ฮึก...ทำไมไม่เคยง้อผมเลย มีแต่ทำร้ายจิตใจผม...ฮึก...คุณยะไม่เคยรักผมเลยใช่ไหม...ฮึก...ที่พูดว่ารักผม ก็โกหกใช่ไหม...เกลียดผมมากเลยใช่ไหมล่ะ...ฮื่อออ...” ผมร้องไห้ฟูมฟายด้วยเจ็บปวดหัวใจ แต่ร้องถึงขนาดนี้แล้วเจ้าของไหล่ที่ชุ่มด้วยน้ำตาของผมก็ยังคงเงียบ ไม่มีคำปลอบโยน แม้แต่มือก็ยังไม่ยอมที่จะยกขึ้นมากอดปลอบเพื่อให้ผมเบาน้ำตาลง
ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของผมกับความเงียบของเขา
“ใจร้าย...ฮึก...คุณยะใจร้าย”
ได้ยินเขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนท่อนแขนแข็งแรงจะโอบรอบตัวผม
“ถ้าเธอมั่นใจในความรู้สึกของฉันสักนิด เธอก็คงจะไม่เอาแต่ถามว่าฉันเกลียดเธอใช่ไหม ฉันไม่รักเธอใช่ไหม...อยู่แบบนี้หรอกพี” คำพูดของเขาทำให้ผมเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองไม่หนักแน่นเอาซะเลย “เธอจะเชื่อฉันหน่อยไม่ได้หรือไง” คำพูดของเขาฟังดูอ่อนล้า
“ผมเชื่อทุกคำพูดของคุณยะ”
“เชื่อ... แต่ก็เอาแต่ถามฉันนี่นะ”
“ก็ผม...” ผมเถียงไม่ออก สุดท้ายก็ต้องพูดคำที่ติดปากออกมา “...ผมขอโทษ” ผมเอ่ยตอนที่เอาหน้าเปรอะน้ำตาขึ้นมาจากไหล่ของเขา มือของคุณยะก็ช่วยซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยนเหมือนเดิม
“โตแล้วนะ ร้องไห้ให้น้อยลงได้แล้ว”
ผมพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ส่วนในใจนั้นกลับค้าน ผมรู้ว่าทำอย่างที่เขาบอกไม่ได้หรอก ผมเป็นคนอ่อนแอ มีเรื่องอะไรมาโดนนิดเดียวก็พร้อมจะน้ำตาแตกได้เสมอ โดยเฉพาะทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณยะ
“ไม่ว่าฉันจะเคยพูดอะไรแบบไหนออกไป เธอรู้ไว้เลยว่าฉันไม่เคยพูดมันออกไปเพราะว่าเกลียดเธอ ฉันไม่เคยเกลียดเธอ ฉันรักเธอ เธอจำแค่นี้ก็พอ...ทำได้ไหมคนดี” เขาทอดเสียงหวานในประโยคสุดท้าย ความเจ็บปวดที่ทำเอาน้ำตาแตกไปหลายรอบคล้ายกับไม่เคยเกิดขึ้นเลย
“ครับ” ผมตอบรับคำขอของเขาอย่างว่าง่าย แต่ผมก็ยังมีคำถาม “คุณชลัชบอกว่า...” ผมพูดแค่นี้เขาก็ตีหน้ายุ่งแล้ว
“ไม่ต้องไปฟังมันมากได้ไหม” สุ้มเสียงไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมให้ผมพูดต่อ “มันพูดอะไรอีก พูดมาให้หมดทีเดียวเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงมันให้ฉันฟังอีก”
เมื่อเขาเปิดโอกาสแล้ว ผมก็เริ่มพูดต่อจากที่ค้างไว้
“คุณชลัชบอกว่าที่คุณยะเลี้ยงผมเพราะมีแผน คุณยะจะสอนให้ผมเกลียดคุณชลัช จากนั้นก็จะใช้ให้ผมไปทำเรื่องไม่ดี ทำให้ธุรกิจโรงแรมของเขาเจ๊ง พอผมทำสำเร็จก็จะบอกความจริงว่าผมเป็นลูกเขา” ครั้งนี้คุณยะไม่หลบตาผม ซ้ำยังตอบกลับมาทันที
“ใช่ ฉันตั้งใจทำแบบนั้นเพราะฉันเกลียดมัน” คำตอบของเขาทำให้ผมได้แต่กัดปากตัวเองจนเจ็บ เพื่อห้ามความเสียใจที่จะหลุดออกมาเป็นเสียงสะอื้น “อย่ากัดปากตัวเอง ไม่เจ็บหรือไง” ปลายนิ้วอุ่นแตะลงมาที่ริมฝีปากของผมให้คลายตัวออกจากกัน
“มันไม่เจ็บเท่าที่ข้างในเจ็บหรอกครับ” ขอบตาผมร้อนจัด จนกลัวว่าจะได้เสียน้ำตาเป็นแน่ ถึงอย่างนั้นผมก็พยายามจะกลั้นเอาไว้สุดพลังไม่ให้น้ำตาล้นออกมาเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา แต่ที่กั้นเอาไว้ไม่ได้คือคำตัดพ้อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากติดสั่น “งั้น...ที่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดีก็เลยอยากให้ผมเกิดมา...ก็ไม่จริงสินะครับ”
“ช่างจำ” เขาว่ายิ้มๆ
“ผมจำทุกคำพูดของคุณยะได้หมดนั่นแหละ” ผมหรี่ตามองเขาด้วยโมโหที่เขายังยิ้มได้ทั้งที่ผมกำลังเสียอกเสียใจกับความจริง
“ฟังฉันนะพี ตอนนั้นที่ฉันบอกกับแม่เธอไปแบบนั้น มันก็แค่ความคิดของวัยรุ่นที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่” เขาอธิบาย “แล้วมันก็เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว พูดแล้วฉันก็ลืม”
“แต่เหตุผลที่คุณยะอยากให้ผมเกิดมาก็เพื่อแก้แค้น” มันเป็นความจริงที่เจ็บปวด ผมมีโอกาสเกิดมาก็เพราะความแค้นของคนคนนี้ มันไม่น่าภูมิใจเลยสักนิด
“ฉันยอมรับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันขอโทษที่ครั้งหนึ่งเคยคิดจะใช้เธอแก้แค้นคนที่ฉันเกลียด ยกโทษให้ฉันได้ไหม”
ผมพยักหน้าให้กับคำขอของเขา ถึงผมจะเจ็บปวดกับความจริงก็ตามเถอะ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณยะที่คิดแบบนั้นกับคนที่ตัวเองเกลียด
“คุณยะ...” ผมแค่เรียกชื่อเขา ยังไม่ทันเอ่ยไปมากกว่านั้น เจ้าของชื่อก็เหมือนรู้ว่าผมจะเอ่ยถึงเรื่องใด เขาถึงได้รีบห้าม
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้น ถ้าไม่อยากให้ฉันกลับไปเกลียดมันเหมือนเดิม” เขาพูดแบบนี้ก็แสดงว่า...
“ตอนนี้คุณยะไม่เกลียดคุณชลัชแล้วหรือครับ” ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ถึงการกระทำของคุณชลัชจะสมควรถูกเกลียดก็ตาม
“เพราะเธอไงที่ทำให้ฉันต้องเลิกเกลียดมัน” เอ่ยเสียงขุ่น ดูเขาไม่พอใจเท่าไรที่ต้องยกโทษให้คนที่เคยทำร้ายตัวเอง “ขืนฉันยังเกลียดมันอยู่ มันคงได้นั่งปั่นหูเธอให้เลิกกับฉันทุกวันแน่ๆ”
“คุณชลัชไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ” ผมแก้ตัวแทนฝ่ายที่ถูกเอ่ยถึง
“รู้จักแก้ตัวแทนมันตั้งแต่เมื่อไร” เสียงขุ่นไม่พอใจ ตาก็เริ่มขวาง “แล้วที่เธอมานั่งร้องไห้บนตักฉัน เอาแต่ถามว่าฉันเกลียดเธอไหม รักเธอไหม ไม่ใช่เพราะโดนมันเป่าหูมาหรือไง”
“ไม่ใช่สักหน่อย คุณชลัชแค่หวังดีกับผม กลัวว่าผมจะถูกคุณยะหลอก” ระหว่างผมกับคุณชลัชจะไม่เหมือนพ่อลูกคู่อื่น เราสองคนมีความห่างเหินมากั้นเอาไว้ ถึงอย่างนั้นผมก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยของเขานะ ตั้งแต่เขารู้ว่าผมคือลูก เขาก็มองผมด้วยสายตาของความเป็นพ่อ เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาในรูปแบบของความใกล้ชิดเท่านั้นเอง
“งั้นเธอก็กลับไปบอกมันซะ ว่าฉันจริงจังกับเธอ ไม่มีวันเลิกกับเธอแน่นอน” คำพูดของเขาหนักแน่น ทำเอาริมฝีปากผมขยับเป็นรอยยิ้ม
“ผมก็ไม่มีวันเลิกกับคุณยะ” ถ้าเขายังรักผม ยังต้องการผม ผมก็จะอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าเขาไปตลอดชีวิต
...สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พูดออกมาเลย เมื่อวันหนึ่งผมต้องเป็นฝ่ายกลับคำพูดนี้เสียเอง
...............................................
“เจย์ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
ผมโพล่งคำถามออกมาทันทีที่ประตูห้องพักของโรงแรมพุฒิธาดาเปิดออก คนที่ควรลากกระเป๋าเดินทางไปที่คอนโดมิเนียมของผม หรือถ้านึกอยากจะเข้าพักในโรงแรมจริงละก็ควรเป็นที่สยามชโยดมมากกว่าที่นี่มีรอยยิ้มคุ้นตาส่งมาให้เป็นคำทักทายแรก ทว่ารอยยิ้มนั้นแปลกไปเพราะภายในใจของเจ้าตัวเต็มไปด้วยบาดแผล...ที่เกิดจากการตัดสินใจครั้งล่าสุดของผม
‘เจย์... เขารักผมแล้ว ผมสมหวังแล้วนะ’
ครั้งล่าสุดที่จิระโทรมาหาผม ผมก็ทักทายอีกฝ่ายด้วยประโยคด้านบน จิระเงียบไปพักใหญ่ กว่าที่เจ้าตัวจะเอ่ยถามออกมาด้วยสุ้มเสียงเจือความเศร้าสร้อยและสิ้นหวัง
‘แล้วที่บอกว่าจะกลับมาอยู่กับผมล่ะ’
‘ขอโทษนะเจย์ คือผม...’ ไม่รอให้ผมพูดจบ อีกฝ่ายก็พูดตัดบททันที
‘อืม...เข้าใจแล้ว’
แล้วจิระก็วางสายไปและไม่ติดต่อมาอีกเลย ผมพยายามโทรไปหาทุกวัน เจ้าตัวก็ไม่ยอมรับสาย จนกระทั่งเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วจิระก็โทรเข้ามา บอกกับผมว่าตอนนี้อยู่ที่พุฒิธาดา ผมถึงได้รีบออกมาจากเพนต์เฮ้าส์บนชั้นสามสิบสองทั้งที่เพิ่งเปิดประตูเข้าไปไม่ถึงห้านาที
“หิวข้าว ไปหาอะไรกินกันไหม” เจ้าตัวไม่ได้ตอบคำถามของผม กลับพูดไปอีกเรื่อง
ตอนนี้ก็ทุ่มครึ่งแล้ว ผมเองก็เริ่มรู้สึกหิวเหมือนกัน ตอนแรกว่าจะขึ้นมาอาบน้ำให้หายเหนื่อยจากการนั่งประชุมทั้งวัน แล้วค่อยลงไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารของโรงแรมตามลำพัง เพราะวันนี้คุณยะไม่อยู่ เขาบินไปดูที่ดินที่เชียงใหม่เมื่อเช้านี้เอง พรุ่งนี้ถึงจะกลับ
“ไปสิ ผมก็หิวเหมือนกัน”
ที่แรกผมคิดว่าจิระจะแค่ลงมากินมื้อค่ำที่ร้านอาหารของโรงแรม ทว่าอีกฝ่ายกลับถามผมว่าจอดรถไว้ที่ไหน ถามแบบนี้ผมก็เข้าใจว่าจิระอยากจะไปร้านอาหารที่เจ้าตัวชอบไปประจำ
“ผมขอขับเองนะ” พอผมเปิดประตูรถ ยังไม่ทันก้าวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยรถ จิระก็เอ่ยขึ้น ซ้ำยังดึงตัวผมออกมาและเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับแทน ผมเลยต้องเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งแทน
ถึงจิระจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่ประเทศไทย ทว่าการที่เขาบินมาหาผมปีละสองครั้ง รวมถึงกลับมาเยี่ยมตายายชาวไทยของตัวเอง แต่ละครั้งก็ไม่เคยต่ำกว่าสิบวัน ทำให้เจ้าตัวคุ้นเคยและรู้จักเส้นทางในกรุงเทพฯ พอสมควร และยิ่งเส้นทางที่มุ่งไปยังสถานที่ที่เจ้าตัวชอบนั้น ยิ่งไม่ลืม
ดังนั้นผมจึงไม่ห่วงเมื่อรถของผมเคลื่อนตัวออกไปจากลานจอดรถ แต่ที่เป็นห่วงคือใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่ขมขื่นของคนที่อยู่หลังพวงมาลัยรถต่างหาก
“เจย์...เรื่องนั้น...” ผมตั้งใจจะพูดเรื่องที่ตัวเองผิดสัญญากับจิระ เพียงแค่เอ่ยออกมาไม่กี่คำอีกฝ่ายก็ชิงพูดไปเรื่องอื่นเสียก่อน
“ผมอยากเห็นรูปนั้นจัง เห็นมาร์คัสบอกว่าเป็นรูปของพีรัชกับเขาคนนั้น” คำพูดของจิระเรียบเรื่อยก็จริง แต่ฟังยังไงก็ไม่ต่างจากคำตัดพ้อกึ่งประชดประชัน
“เจย์...โกรธผมใช่ไหม ผมขอโทษ”
ผมนึกไปถึงภาพวาดที่มาร์คัส รอสส์มอบให้ก่อนที่เจ้าตัวจะบินกลับ ภาพนั้นสวยมากจริงๆ มองแล้วเหมือนถูกดึงเข้าไปในความทรงจำแสนหวาน กลับไปหาวันนั้นที่ผมกับคุณยะถ่ายรูปด้วยกันเป็นครั้งแรก ตอนนี้ภาพของคุณยะและภาพของผม แขวนคู่กันอยู่บนผนังเหนือเตียงนอนในห้องเพนต์เฮ้าส์ที่พุฒิธาดา สถานที่ซึ่งเป็นบ้านหลังใหม่ของผม ผมย้ายมาอยู่กับคุณยะได้สองสัปดาห์แล้ว
“ไม่ต้องทำเสียงเศร้าขนาดนี้ก็ได้” จิระหันกลับมายิ้มขื่น ราวกับว่ายิ้มนั้นไม่ใช่สำหรับผมแต่เป็นของเขา ระหว่างที่ชะลอความเร็วรถลงเมื่อตรงหน้าคือสัญญาณไฟแดง “ผมก็แค่อยากเห็นรูปที่ผมต้องใช้ตัวเข้าแลก อยากรู้ว่ามันคุ้มกับเวลาสิบวันที่ผมต้องใช้ชีวิตเหมือนตกอยู่ในนรกกับศิลปินผู้โด่งดังคนนั้นไหม”
“...” ผมพูดไม่ออก ยิ่งเห็นหน่วยตาที่เริ่มแดงและคลอด้วยหยาดน้ำใส ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ใช้ความรักและความจริงใจของจิระเพื่อประโยชน์ของตัวเองมาตลอด สุดท้ายผมก็พูดคำเดิมออกมา “...ผมขอโทษ ต่อไปเจย์ไม่ต้องทำอะไรเพื่อผมอีกแล้วนะ”
“พอสมหวัง ผมก็หมดประโยชน์เลยสินะ”
“เจย์อย่าประชดได้ไหม” ผมเริ่มหงุดหงิด รู้ตัวว่าผิด แต่ก็ไม่อยากถูกประชดแบบนี้
“สิบวัน...มันไม่น้อยเลยนะพีรัช” เสียงของจิระสั่น เจ้าตัวดึงสายตากลับไปยังถนนด้านหน้า เงียบอยู่นาน จนกระทั่งสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เจ้าตัวถึงได้เอ่ยขึ้นมาในจังหวะที่ล้อรถกลับมาหมุนใหม่ “...ไม่ถามหน่อยเหรอว่าสิบวันที่ผมต้องอยู่กับมัน ผมต้องทำอะไรบ้างเพื่อจ่ายค่าภาพนั้นแทนพีรัช”
“...” ผมรู้ว่าจิระเจ็บปวด
“บ้านพักตากอากาศของมันอยู่บนเกาะ มองจากระเบียงบ้านพักเห็นทะเลสวยมากเลยนะพีรัช แต่เสียดายที่ผมได้แค่มอง... สิบวันที่นั่น ผมก็อยู่ได้แค่ในบ้าน แต่ที่มากที่สุดคงเป็นบนเตียง”
“เจย์... ผมขอโทษ” ขอบตาผมร้อนผ่าวไปกับคำพูดเรียบเรื่อยของจิระแต่แฝงไว้ด้วยทุกข์สาหัสที่เจ้าตัวต้องพบเจอและเรียกมันว่า...นรก ความหงุดหงิดเมื่อครู่จางหายไปกับถ้อยคำขมขื่น ที่เข้ามาแทนที่คือความรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวเหลือเกิน
“ไม่ต้องขอโทษหรอก” เจ้าตัวเอ่ยเบาๆ ระหว่างพาล้อรถไปยังถนนอีกเส้นหนึ่งที่พาออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ “พีรัชก็แค่ขอร้องให้ผมทำ ไม่ได้ขู่บังคับผมซะหน่อย แล้วผมก็เต็มใจทำเพื่อพีรัชด้วย หวังว่าสิ่งที่ผมทำให้พีรัชมาตลอดจะทำให้คำสัญญานั้นเป็นความจริงในสักวันหนึ่ง แต่ก็... เป็นความเพ้อฝันของคนโง่ๆ พีรัชไม่ต้องใส่ใจก็ได้ ยังไงผมก็ยังรักพีรัชเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน”
“ขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้” ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่ต้องขอโทษ ผมก็ยังเอามันออกมา เพราะไม่มีคำไหนที่จะใช้แทนความรู้สึกผิดได้เท่าคำนี้แล้ว แม้รู้ดีว่าสิ่งที่จิระต้องการจากผมไม่ใช่คำขอโทษที่ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่เป็นการรักษาสัญญาที่ผมพร่ำพูดไว้ในอดีต คำสัญญาที่ผมใช้บีบบังคับให้จิระยอมทำทุกอย่างเพื่อผม
“ไม่เป็นไร” ใบหน้าด้านข้างที่ผมเห็น ไม่ได้เป็นอย่างคำที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาเลย มือของจิระที่จับพวงมาลัยรถเกร็งอย่างเห็นได้ชัด
“เจย์...ผม...”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ ขอผมอยู่เงียบๆ สักสองสามนาทีนะ”
“อืม...” ผมพยักหน้า ทำตามคำที่อีกฝ่ายขอ
.
.
.
อ่านต่อด้านล่าง