ตอนที่ 18บลูไม่ได้อยากให้ลุคตามไปด้วยทุกที่ แต่การหนีจากลุคในเวลานี้มันก็อาจทำให้กลายเป็นผู้ต้องสงสัย
“นายมีเรื่องให้ทำตั้งมากมายไม่ใช่หรือ ทำไมไม่ไปทำ”
ภายในห้องสีขาวที่มีเครื่องเรือนของลุควางอยู่ บลูกำลังยืนเท้าเอว ท่าทางเอาเรื่องคนที่ใช้เวลามากกว่ากันแค่ 10 นาทีในการเดินทางมาถึงห้องนี้
คาดว่าที่ช้าน่าจะเป็นเรื่องการหาที่จอดรถ กับรอลิฟท์ ไม่ใช่เรื่องการจราจร
“ก็เผื่อว่ามีอะไรให้ช่วย”
“ไม่มีอะไรให้ช่วย บอกไว้เลยว่า ไอ้แสงขาว ๆ จากนายน่ะมันคือสัญญาณเรียกศัตรู”
“แต่ตอนนี้เก็บไปแล้ว” ลุคผายมือ ขณะที่เดินเข้ามาใกล้
...เออ จริง ไอพลังงานของมือปราบถูกเก็บหายไปตั้งแต่ตอนที่อยู่ในบ้านไม้กลางบึงน้ำหลังนั้น น่าจะหายไปพร้อม ๆ กับตอนที่จัดการปีศาจตนนั้นเสร็จ
ลุคเหลียวมองไปรอบห้อง “นายจะย้ายของในห้องนี้ไปที่ไหน”
บลูเงียบ ไม่ตอบคำถาม ลุคก็เลยพยักหน้า “แล้วพวกเตียงกับเครื่องครัวของฉันล่ะ นายย้ายไปด้วยหรือเปล่า”
บลูพยักหน้า “พรุ่งนี้บริษัทขนย้ายจะมาย้ายไป เสร็จเรียบร้อยจะบอก มันออกจะยุ่งยากสักหน่อย”
สีหน้าท่าทางของบลูดูลำบากใจที่จะเล่าอย่างแท้จริง และลุคก็เข้าใจ
“หมายความว่า ในระหว่างวันพรุ่งนี้และวันถัดไปจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ห้ามฉันตามนายถูกต้องไหม”
บลูพยักหน้า
“สัญญาได้ไหม ว่าในเวลาที่ฉันไม่ได้ตามนาย นายจะไม่เอาตัวไปเสี่ยงอันตราย”
“ลุค เมอร์ฟี่ นายไม่เบื่อบ้างหรือไง ที่ต้องพูดประโยคนี้ซ้ำอยู่ทุก ๆ 5 นาทีน่ะ”
“ไม่นะ ครั้งก่อนที่พูดคำนี้ มันนานกว่า 10 ชั่วโมงแล้ว” ลุคเดินเข้ามากอดแล้วแนบคางไว้กับผมนิ่ม
“นายมันสสารน่าเบื่อ” บลูบ่นเบา ๆ “นายจะอยู่ในห้องนี้ต่อก็ได้นะ แต่ฉันต้องนอนพักแล้ว”
ลุคก้มลงหอมที่ขมับ “นอนพักให้สบาย ฉันจะเป็นการ์ดให้นายเอง รับรองว่าจะไม่มีใครรบกวนการนอนพักของนาย”
...
เบส ข้าวโพด และนทีกลับจากการเที่ยวเกาะในแบบที่ไม่ได้รู้สึกว่า ‘มีเรื่องสนุก ๆ ที่จะไปเล่าอวดให้คนที่ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันฟังมากมายหลายเรื่อง”
มีก็แต่รูปถ่ายมากมายที่นทีถ่ายและอัพโหลดใส่ไดรฟ์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไว้ เพราะที่เกาะไม่มีอินเทอร์เน็ต แล้วในระหว่างที่กำลังนั่งรถกลับมาเบสก็ถามถึงรูปภาพเหล่านั้น นทีจึงเปิดโน้ตบุ๊กให้ดูรูปอยู่ด้วยกันที่เบาะด้านหลัง
นทีถ่ายรูปมาเยอะ แต่มันก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดที่ต้องใช้เวลาดูนานมากอย่างที่เบสกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้
รูปในตอนที่ออกเดินทาง ไปจนตอนที่ขึ้นเรือไม่เท่าไหร่ มีอยู่รูปสองรูปที่เบสจะจ้องมองรูปอยู่นิ่ง ๆ แต่รูปที่ถ่ายบนเกาะอินนี่ถือว่า เบสพิจารณามากเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ซูมเข้าซูมออกไปยังบางจุดในรูป
บางรูปดูผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังกลับมาดูมาวิเคราะห์ใหม่ก็มี
ชัดเจนเลยว่า เบสกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างในภาพ
นทีอยากถามใจจะขาด แต่ยอมรับกลัวคำตอบ พยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากข้าวโพดก็ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะข้าวโพดขับรถอยู่
ตอนแรกก็พยายามจ้องมอง และสังเกตภาพตามเบสไปด้วย แต่ผ่านไปได้ไม่ถึง 15 นาทีนทีก็เปลี่ยนมาสังเกตท่าทีของเบสแทน
ข้าวโพดแวะปั๊มน้ำมัน เพื่อแวะซื้อขนมและเข้าห้องน้ำ เบสถึงได้เงยหน้าขึ้นมา
“เอาอะไรไหมเบส” นทีถาม
“ขอชามะนาวไม่หวาน” เบสบอก “เดี๋ยวเราเฝ้ารถ พอข้าวโพดหรือนทีกลับมา เราค่อยไปห้องน้ำ”
ทั้ง 2 คนพยักหน้าตามนั้น
ข้าวโพดเข้าห้องน้ำเสร็จ ก็ไปซื้อชามะนาวมาให้เบสก่อน ส่วนนทีไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อขนม
เบสไม่ได้พักหน้าจอโน้ตบุ๊ก เพราะคิดว่าไปเข้าห้องน้ำแค่ไม่กี่นาที แต่ภาพที่เบสกำลังดูอยู่เป็นภาพตอนที่กำลังเดินเที่ยวในหมู่บ้านชาวประมง
ข้าวโพดพยายามเพ่งมองหาคน หรือ เงาที่อาจเป็นสิ่งที่เบสกำลังพยายามมองหา แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรในรูปนี้ที่น่าสงสัย
จากเรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ ข้าวโพดรู้สึกระแวงและไม่ไว้ใจใครหลายคนบนเกาะนั้น แต่ถ้าจะถามถึงสถานที่ที่รู้สึกไม่ไว้ใจ ก็แทบจะทุกพื้นที่บนเกาะนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะหมู่บ้านประมง หมู่บ้านโบราณหรือแม้แต่ที่บ้านพัก
ตั้งแต่ตอนที่ลุคฝังเข็มเล่มเล็กไว้เหนือหัวใจ ข้าวโพดก็บอกกับตัวเองมาตลอดว่าควรไปเรียนมวย หรือการต่อสู้อะไรสักอย่างเพิ่มเติม แต่จะไปอย่างไรในเมื่อในใจกำลังเป็นกังวลที่เบสกำลังกลายไปเป็นใครอีกคนที่ไม่รู้จัก
เบสกลับมาที่รถอย่างรวดเร็ว และถามขึ้นทันทีที่เปิดประตูรถเข้ามา แล้วนั่งลงที่เดิม
“เป็นอะไร ขับรถไหวหรือเปล่า”
“ไหว ไม่ได้เป็นอะไร”
“เห็นหน้าซีด”
“แล้วถ้าเราไม่สบาย เบสจะขับรถไหมล่ะ นทียังไม่มีใบขับขี่”
“เออ นี่ ตกลงนทีขับรถเป็นหรือไม่เป็นกันแน่”
“เป็น เคยขับรถกระบะของที่บ้าน แต่ไม่รู้ทำไม มันขับรถคนอื่นไม่ได้ เห็นนานาพยายามจะให้มันไปเรียนขับรถจะได้ไปทำใบขับขี่ แต่ก็ไม่สำเร็จ”
เบสทำหน้ายู่ แล้วดื่มชามะนาว ขณะที่ข้าวโพดดื่มน้ำอัดลม
“เบสบอกให้นทีมันแชร์รูปมาให้สิ แล้วไปดูที่หน้าจอใหญ่ที่บ้านดีกว่ามาเพ่งแบบนี้”
“รู้หรือไงว่าเรากำลังหาอะไร”
“ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่เบสสนใจ หรือชอบ เราก็ตามใจเบสอยู่แล้ว”
เบสส่ายหน้าแล้วหันไปมองข้างนอก
“หิวหรือเปล่า”
“ยังไม่หิว ข้าวโพดหิวหรือไง”
“ไม่เท่าไหร่ จากตรงนี้ยิงยาวถึงบ้านเลยก็ได้”
นทีเคาะประตูก่อนที่จะเปิดประตูรถ “อ้าวยังไงกันคุณ มาอยู่เบาะหลังกันหมด จะให้ผมขับรถหรือครับ ไม่รับประกันความปลอดภัยนะครับ”
ข้าวโพดลุกจากที่นั่งด้านหลัง ย้ายไปที่นั่งคนขับ
“ทำไมนทีขับรถกระบะที่บ้านได้ แต่ขับรถคนอื่นไม่ได้” เบสถามเมื่อนทีเข้ามาประจำที่แล้วส่งถุงขนมให้
“รถส่งน้ำแข็งที่บ้านน่ะเหรอ ขับด้วยความจำเป็นไง เพราะต้องทำงาน แต่ก็ใกล้ ๆ ละแวกบ้าน ขับทุกครั้งก็เครียดเหงื่อตกทุกครั้ง แล้วจะให้ไปขับรถคนอื่นเหรอ ไม่เอาหรอก ไม่มีเงินซ่อมให้เขา” นทีอธิบายยาว
“ไม่เห็นมันจะต่างกันเลย”
“มันต่างกันครับ ต่างกันมาก” นทียืนยัน
ข้าวโพดเลี้ยวรถออกจากปั๊มน้ำมันเข้าสู่ถนนใหญ่ “ที มึงอย่าลืมแชร์รูปให้กูด้วยนะ”
“ไม่ลืม” ข้าวโพดหันไปค้นกระเป๋า “แต่กูว่ากูมีแฟลชสำรอง 32 กิ๊กติดอยู่ก้นกระเป๋าอันนึง แต่ขอหาก่อน โหลดใส่แฟลชไปเลยดีกว่า”
ในที่สุดนทีก็หาแฟลชไดร์ฟสีแดงที่อยู่ก้นกระเป๋าจนเจอ จัดการฟอร์แมทแล้วอัพโหลดรูปทั้งหมดให้เบส
ระหว่างนั้นเบสก็เลือกดูขนมที่นทีซื้อมา
“มีโตเกียว มึงป้อนข้าวโพดสิ” นทีแนะนำขณะที่กำลังโหลดภาพ
เบสพยักหน้า หยิบขนมโตเกียวป้อนให้ข้าวโพด
“ย้ายไปนั่งข้างหน้าดีกว่าไหม” เพราะตอนนี้เบสที่นั่งอยู่เบาะหลังต้องยื่นมือไปป้อนข้าวโพดที่ขับรถ
เบสพยักหน้าอีกครั้ง แล้วจะก้าวข้ามช่องว่างระหว่างเบาะไปหาข้าวโพดจริง ๆ
“เดี๋ยวเบส ใจเย็น ขอเอารถเข้าข้างทางก่อน” ข้าวโพดเตือน
“อ้าว” เบสดูงุนงง แต่ก็รอจนข้าวโพดบอกให้ข้ามมาได้ ถึงได้ข้ามมาหา จากนั้นข้าวโพดก็ออกรถต่อไป
“คิดว่าจะเลือกโหลดไปเฉพาะรูปที่มีแต่มึง 2 คนเสียอีก เห็นที่เกาะไม่ค่อยได้ถ่ายรูปกัน ไม่คิดว่าจะเอาทั้งหมด ไม่งั้นก็โหลดให้ตั้งแต่แรกแล้ว”
ตลอดเวลาที่อยู่บนเกาะข้าวโพดกับเบสใช้โทรศัพท์ส่วนตัวถ่ายรูปไปเพียง 5 รูป คือรูปเดี่ยวของทั้งคู่กับรูปวิวอีก 3 รูป ก็สมควรที่นทีจะคิดอย่างนั้น
“ก็กูเห็นมึงถ่ายรูปตั้งแต่ขาไปยันกลับ ก็คิดว่าไว้บอกเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วไปกัน 3 คนก็ต้องมีรูปทั้ง 3 คนเป็นที่ระลึกสิวะ” ข้าวโพดบอก
“แหม ๆ ไปกัน 3 คน” นทีทำน้ำเสียงกระแนะกระแหน “มึง 2 คนตัวติดกันตลอด รู้หรือเปล่าเหอะ ตอนที่กูไปจีบลูกชายเจ้าของรีสอร์ทน่ะ”
“นที” เบสหันมาดุ
นทีแกล้งทำเป็นตกใจ “อะไร แค่นี้ต้องดุด้วย”
“นานาล่ะ”
“กูแหย่เล่น กูเปรียบเทียบ กูพร่ำไปเรื่อย กูไม่ได้พูดจริง โอเคป้ะ”
เบสส่ายหน้าขำ ๆ ไม่ได้ว่าอะไร
“กูควรอธิบายอะไรต่ออีกสักหน่อยไหม”
ข้าวโพดเหลือบตามองกระจกมองหลัง “มึงอยากอธิบายอะไรก็พูดมาเหอะ ปล่อยรถเงียบ เดี๋ยวกูเผลอหลับใน”
“ตบปากก่อนเลยมึง” นทีขยับตัว “ชี้แจงก่อนเลยนะครับคุณเบส กระผมมิได้จีบลูกชายเจ้าของรีสอร์ท คุณก็เห็นว่าพอถึงฝั่งโทรศัพท์มีสัญญาณ กระผมก็โทรหานายหญิงนานาเป็นคนแรกเลยนะ”
“รู้แล้ว” เบสพยักหน้า “นี่ถ้าย้ำมาก ๆ จะคิดว่าจีบจริงละนะ”
“กลัวคิดว่าจริงแล้วจะเอาไปฟ้องนายหญิงน่ะสิ” นทีทำสีหน้าขอความเห็นใจ “นี่กูเปล่าย้ำนะ กูแค่ทำความเข้าใจ”
“เข้าใจแล้ว” เบสหันไปป้อนขนมให้ข้าวโพด ที่หันมาหาทำให้ต้องดุกันอีกคน “อ้าปากอย่างเดียว ไม่ต้องหันมา”
“โดน...” นทีชี้เพื่อนแล้วหัวเราะ
“แหมมึง พอกูโดนดุแล้วมีความสุขนะ”
“ถูกต้องครับผม” นทีบอกแล้วส่งแฟลชไดร์ฟ ที่โหลดเสร็จแล้วให้กับเบส
ตั้งแต่ออกเดินทางจากบ้านไปเที่ยวเกาะอิน จนกลับมา ทั้ง 3 คนเพิ่งได้คุยกัน หัวเราะกันอย่างผ่อนคลายก็ตอนนี้เอง
ข้าวโพดและเบสไปส่งนทีถึงหน้าบ้าน ทั้งลงไปสวัสดีแม่ของนที ส่วนพ่อยังอยู่ที่โรงน้ำแข็ง
เมื่อกลับขึ้นมาบนรถ เบสก็ชวนคุย ในแบบที่ข้าวโพดรู้ว่าเบสกำลังพยายามที่จะไม่ปล่อยให้เกิดช่วงเงียบอย่างที่ข้าวโพดบอกไว้ก่อนหน้านี้ จนมาถึงหัวข้อเรื่องที่ข้าวโพดต้องคิดให้รอบคอบก่อนที่จะตอบ
“ถ้าเมื่อวานนี้พวกเราไม่ไปเกาะอิน ข้าวโพดจะทำอะไร”
“คงไปช่วยชมรมใดชมรมหนึ่งในมหาวิทยาลัยน่ะแหละ”
“แต่เราไม่ชอบไปชมรมนี่”
ข้าวโพดพยักหน้า “เรารู้ แต่ก่อนนี้เราเป็นยังไง เบสก็คงเห็นอยู่ แต่ในเมื่อเวลานี้พวกเราอยู่ด้วยกัน ถ้าเรายังทำอะไรแบบเดิมทั้งที่รู้ว่าเบสไม่ชอบ มันก็จะทำให้เบสรู้สึกไม่ดีใช่ไหม”
“แสดงว่าฝืนใจไปเที่ยวกับเราสินะ”
“เบสรู้ดีว่าเราไม่ได้ฝืนใจ เราอยากไปเที่ยวกับเบส แล้วทำไมต้องพูดอะไรแบบที่จะทำให้ตัวเองต้องอารมณ์ไม่ดีแบบนั้น”
เบสนิ่งเงียบหันไปมองทางอื่น ข้าวโพดก็เอื้อมมือมาจับศีรษะ
“อย่าคิดมาก แล้วถ้าอยากไปไหนก็บอก”
“ข้าวโพดมักจะตามใจคนอื่นอยู่ตลอดเวลา สักวัน ตัวตนของข้าวโพดจะหายไป”
“คนอื่นที่ไหนล่ะ เราตามใจเบสต่างหาก ถ้าไม่ใช่เบส เราก็ไม่ตามใจหรอก”
เบสไม่เห็นด้วย “แต่จากที่เราเห็น มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย ข้าวโพดดีกับทุกคน ตามใจทุกคน”
“ตามใจ กับช่วยเหลือกัน มันคนละเรื่องกันนะเบส เราตามใจเบสเพราะอยากให้เบสมีความสุข ส่วนเรื่องเพื่อนหรือเรื่องชมรมเนี่ยเราไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องช่วยเหลือหรืออะไร คิดแค่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่เราทำได้เราก็อยากทำ”
“ถึงจะทำไม่ได้ ก็อยากจะไปเรียนเพื่อทำให้ได้ใช่ไหม”
ข้าวโพดหัวเราะ เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งคิดเรื่องไปเรียนการต่อสู้อยู่พอดี
“ก็เพื่อนกัน รุ่นพี่ รุ่นน้องมีอะไรที่ช่วยกันได้ก็ช่วยกัน เราเองก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง เราอาจต้องเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือในสักวันหนึ่งก็ได้”
“แล้วถ้าเขาไม่ช่วยล่ะ”
“ก็ไม่เป็นไร อะไรที่ให้ไปแล้ว ถ้าจะไม่ได้รับกลับมาก็ไม่เป็นไร”
เบสหันไปมองใบหน้าด้านข้างของข้าวโพด คิดว่าคำที่ข้าวโพดบอกออกมามีความหมายมากกว่าเรื่องการช่วยเหลือคนอื่น
“ข้าวโพดเป็นคนดี”
“เบสเคยเรียกเราว่าเป็นอาสาไม่ต้องสมัคร” ข้าวโพดเหลือบตามองคนที่ไม่มีท่าทีว่าจะจำคำพูดของตัวเองได้ “แถมยังทายไว้ว่า ถ้ามีแฟนก็ไม่น่าจะคบกันได้ยืดเพราะเราไม่น่าจะมีเวลาเหลือให้แฟน”
ดังนั้นข้าวโพดจึงตามใจ และให้เวลากับเบสก่อนเสมอ
“เรารู้ว่าข้าวโพดดีกับเรามาก...” เบสพูดแล้วนิ่งเงียบ สีหน้าแววตาเหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่วินาทีหนึ่งแล้วก็หายไป “เอาเป็นว่า ทำทุกอย่างเหมือนเดิมก่อนที่เรา...จะมาอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าจะไปไหน ก็อยากให้บอกกันไว้บ้างก็ดี เผื่อเราจะได้ตามไปกินซาลาเปาข้างตึกกิจกรรม”
“ได้ ขอบใจนะ”
มือที่จับพวงมาลัยรถแน่นกว่าเดิม
ไม่เคยเลยสักครั้งที่ข้าวโพดจะไม่บอกกับเบสว่าจะไปไหน กับใคร และจะทำอะไร เบสอยู่ในสถานะพิเศษมาตั้งแต่วันแรกที่พบกัน
แต่เมื่อเลี้ยวรถเข้าซอยมาได้ไม่ถึง 50 เมตรก็เห็นคนซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งถีบรถมอเตอร์ไซค์อีกคันจนตกข้างทาง ข้าวโพดกดแตรรถลากยาวเสียงดัง ทำให้รถมอเตอร์ไซค์คันแรกหันมามองแล้วรีบหนีไป
“เบส”
“หือ”
“ขออนุญาตไปช่วยคนนะ”
เบสพยักหน้า มองตามข้าวโพดที่จอดแล้วรีบลงไปช่วยคนเจ็บ ขณะที่มีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีก 2 คันแวะมาช่วยแต่คนเจ็บถูกรถทับและหมดสติ ทำให้ทั้ง 3 คนไม่กล้าดึงคนเจ็บออกมา
เบสคว้าโทรศัพท์มาส่งให้ข้าวโพด “เรียกตำรวจกับเรียกรถฉุกเฉินสิ”
ข้าวโพดรับโทรศัพท์มากดแจ้งเหตุทันที ไม่ถึง 5 นาทีรถฉุกเฉินก็มาถึง ตามมาด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบสจึงถอยมายืนอยู่ข้างประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ มองดูข้าวโพดพูดคุยกับตำรวจทั้งกลับมาดูภาพจากกล้องหน้ารถว่ามองเห็นป้ายทะเบียนของรถมอเตอร์ไซค์คันที่เป็นฝ่ายถีบหรือไม่ แล้วกลับไปบอกกับตำรวจว่า จะกลับไปโหลดไฟล์ภาพจากกล้องหน้ารถที่บ้านแล้วส่งเมล์ไปให้ที่สถานีตำรวจ
เมื่อญาติผู้บาดเจ็บมาถึงก็แบ่งกลุ่มกันคนหนึ่งไปกับรถกู้ภัยเพื่อพาคนเจ็บไปโรงพยาบาล ส่วนที่เหลือยืนคุยอยู่กับตำรวจ
ช่วงเวลาที่วุ่นวายนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น แต่เป็นช่วงเวลาที่คนกอดอกยืนมองมีรอยยิ้มอ่อนเกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เรียกว่าข้าวโพดอยู่จนกระทั่งตำรวจและญาติหันมาบอกขอบคุณ ข้าวโพดถึงได้กลับมาที่รถ
“เรียบร้อยแล้วหรือ”
“ยังหรอก ต้องกลับไปโหลดคลิปช่วงที่โดนถีบแล้วส่งไฟล์ให้ตำรวจกับญาติเขา”
“ขอเมลมาแล้วหรือ”
“ให้มาทั้งเมล ทั้งเบอร์โทรฯและไลน์” ข้าวโพดยักคิ้ว “เผื่อลืม ลบไฟล์ทิ้งก็ยังมีสำรอง”
ความสุขของข้าวโพด-จิรกร คุณสิริกร คือการได้ช่วยเหลือผู้อื่น และยิ่งมีความสุขมากขึ้นเมื่อหันมาเห็นว่าเบสชื่นชม
“ตอนที่กดแตรรถเสียงดัง ไม่คิดหรือว่าถ้าอีกฝ่ายมากันหลายคน หรือมีอาวุธเขาอาจจะหันมาทำร้ายเรา”
ข้าวโพดเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะที่ส่ายหน้า “ไม่คิดหรอก ถ้าคิดก็จะไม่ได้ช่วยคน”
เบสเห็นด้วย “ก็จริงนะ แต่ถ้าตอนนั้นข้าวโพดไม่กดแตรในทันทีที่เกิดเหตุขึ้น คนพวกนั้นก็อาจจะตามไปซ้ำคนเจ็บก็ได้ ทำดีแล้ว”
ข้าวโพดยิ้มกว้าง ความยินดีและความภูมิใจที่ฉายออกมาทางแววตาชัดเจน
ตัวตนของข้าวโพดไม่ได้หายไปไหน ยิ่งเขาช่วยเหลือ ดูแลคนอื่นมากเท่าไหร่ ตัวตนของเขาก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
...
ลุคผู้ไม่มีความจริงจังในการขัดใจบลู ก็ยังคงไม่มีความจริงจังอยู่เช่นนั้น เพราะสุดท้ายก็ยอมมาดูข้าวโพดและเบสที่บ้านว่ากลับมาหรือยัง และเป็นอย่างไรบ้างตามที่บลูต้องการ แต่การตามใจครั้งนี้ต้องมีเงื่อนไข
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพบเห็น และต้องอยู่ห่างจากแมงมุมดำตัวนั้น บลูเลือกที่จะแฝงตัวและรออยู่ที่คาเฟ่สัตว์เลี้ยง แล้วให้ลุคไปดูที่บ้าน
แต่ที่รอต้อนรับลุคที่หน้าบ้านหลังใหญ่ คือวิญญาณชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว กับกางเกงขายาว เป็นวิญญาณที่ยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก หากไม่เพราะเงาสีดำที่ปกคลุมอยู่ตั้งแต่เข่าลงไปที่บ่งชี้ว่ามีพ่อมดใช้คาถาตรึงเขาไว้ที่นี่ ลุคก็จะคิดว่านี่คือวิญญาณทั่วไป
ชายหนุ่มทั้งกลัว และยินดีที่ได้พบกับลุค
“...คุณคือลุค เมอร์ฟี มือปราบวาติกันใช่ไหมครับ...”
ลุคพยักหน้า ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่นี้มาอย่างยาวนานมีวิญญาณที่ถามแบบนี้ไม่เกิน 5 ครั้ง
“...เขาบอกว่า คุณสามารถปลดปล่อยและส่งผมไปจากที่นี่ได้ แต่ทันทีที่คุณปล่อยผมไป เขาก็จะรู้ว่าคุณมาที่นี่...”
“แล้วนายอยากไปจากที่นี่ไหม”
วิญญาณตนนั้นยอมรับ “...แต่คนที่ผูกผมไว้ที่นี่ดูน่ากลัวมากเขาใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ และมีปีศาจอยู่กับเขาด้วยตัวหนึ่ง มันมีรูปร่างคล้ายกบผสมเต่า ผมบรรยายรูปร่างไม่ถูก แต่ที่เห็นชัดเลยก็คือมันมีลิ้นยาวและเหม็นมาก...”
ชายหนุ่มคนนี้ตอนที่เป็นมนุษย์คงจัดอยู่ในกลุ่มพลเมืองดี เมื่อตายไปแล้วก็ยังคงพยายามช่วยเหลือลุคอย่างเต็มที่
“ขอบใจ ฉันพอจะนึกออกแล้ว ว่าคนที่ตรึงนายไว้ที่นี่เป็นใคร”
“...แล้วเขาเอาผมมาเป็นเหยื่อล่อคุณเพราะอะไร...”
“เพราะพวกเราต้องสู้กัน”
“...แต่เขามีผู้ช่วยเป็นปีศาจ คุณควรไปหาคนมาช่วย...”
ลุคยิ้มอ่อน “ชอบใจที่เป็นห่วง แต่โดยหน้าที่ การปล่อยวิญญาณผู้บริสุทธิ์แบบนายคือสิ่งแรกที่ฉันต้องทำ ไม่ใช่การเรียกผู้สนับสนุน”
“...คุณไปหาคนช่วยก่อนก็ได้ เขาคงไม่ทำอะไรผมหรอก...”
ลุคส่ายหน้า “เขาจะทรมานนายอย่างเหี้ยมโหดอย่างหนักต่างหาก” ชายหนุ่มพับแขนเสื้อขึ้น อักขระบนปลอกข้อมือแอเรียสเปล่งประกาย
“นายไม่มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าบ้านใคร ดังนั้นฉันจะส่งนายไปอีกฝั่ง”
“...ขอบคุณครับ...”
“แต่ก่อนจะทำอย่างนั้น ฉันขอถามก่อนว่านายเห็นแมงมุมสีดำตัวใหญ่กลับมาหรือยัง”
“...กลับมาแล้วครับ พร้อมกับลูกชายเจ้าของบ้าน...”
เพราะการถูกตรึงอยู่ในที่นี้ ก็มองเห็นเพียงเท่านี้ การสอบถามต่อไปมีแต่จะเสียเวลาเปล่า ลุคจึงเริ่มการส่งวิญญาณ
“เล่าให้ฉันฟัง นายรู้ได้อย่างไรว่าตายแล้ว”
“...ผมถูกฆ่า จำได้แค่ว่านั่งกินเหล้าอยู่กับเพื่อน แล้วผมก็หลุดออกมา มองเห็นตัวเองล้มลงไปกับโต๊ะ มองเห็นรอยเลือดเต็มหลัง...” วิญญาณชายหนุ่มบิดตัวให้ดูด้านหลัง ยังมองเห็นคราบเลือดที่ด้านหลัง “...แล้วก็ได้ยินเสียงลมแรงมาก เลยรีบหนี ตอนนั้นคิดแต่ว่าต้องหนีไปให้ไกล ๆ แต่ก็ถูกดึงมาที่นี่...”
ลุคพยักหน้า เสียงลมแรงอาจเป็นไปได้ทั้งยมทูต หรืออาจเป็นผู้ที่จะมาชิงวิญญาณของเขา แต่ผู้ที่มาชิงวิญญาณพบชายหนุ่มคนนี้ก่อน จึงส่งมาให้พ่อมดเพื่อตรึงไว้ที่นี่ ซึ่งนั่นหมายความว่าพ่อมดตนนี้ควบคุมได้ทั้งปีศาจและวิญญาณ
“นึกย้อนกลับไปตอนที่นายกำลังกินเหล้าอีกครั้ง นายนั่งกินเหล้าอยู่ที่ไหน เพื่อนที่นั่งกินเหล้าอยู่ด้วยกัน กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ นายเดินทางมาที่ร้านเหล้านั้นอย่างไร งานที่นายทำเมื่อบ่ายวันนี้ ...”
เมื่อร่างวิญญาณของชายหนุ่มเริ่มชัดเจนขึ้น ลุคจึงคลายคาถาที่ตรึงวิญญาณชายหนุ่มไว้ แต่ทันทีที่วิญญาณของชายหนุ่มหายไป เงาปีศาจสีดำก็ปรากฏขึ้นจากทางด้านหลัง
นั่นเป็นเงาสีดำของสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกบผสมเต่าอย่างที่วิญญาณบอกเมื่อครู่
ปลอกข้อมือแอเรียสส่งดาบสั้นคู่ออกมาให้ ซึ่งทำให้ลุคลอบยินดีอยู่ในใจเพราะนี่คืออาวุธที่แอเรียสส่งออกมาให้ใช้บ่อยที่สุด จนมีความชำนาญ
เงาปีศาจส่งเสียงแหลมแล้ว ‘กระโดด’ เข้ามาหา ลุคหมุนตัวแล้วฟันดาบเฉียงลง เงาปีศาจที่ถูกผ่าออกตามแนวดาบกรีดร้อง แล้วถอยออกไปรวมร่างใหม่
“ดาร์ท” ลุคยังอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ดวงตายังไม่ละจากปีศาจที่อยู่ตรงหน้า “ส่งลูกสมุนออกมาก่อนแบบนี้ ดูจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเฮ้นช์แมนเลยนะ”
มีแสงสว่างวาบเหมือนพลุขนาดเล็กจากนั้นพ่อมดในชุดสีน้ำเงินเข้มเกือบดำปรากฏขึ้น
นี่คือดาร์ท พ่อมดผู้มีคางคกพิษเป็นเครื่องราง จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษของคางคก แต่ในเวลานี้รูปร่างหน้าตาของดาร์ท แทบไม่ได้ต่างอะไรจากปีศาจคางคกตัวหนึ่ง
ดาร์ทสะบัดไม้กายสิทธิ์ในมือ เปลวไฟสีม่วงพุ่งออกมาจากปลายไม้ตรงเข้าหามือปราบวาติกันที่กระโดดหลบ กลิ่นฉุนจากเปลวไฟบ่งบอกว่านอกจากจะเป็นไฟพ่อมดแล้ว ไฟนี้ยังมีพิษอีกด้วย
ดาร์ทควบคุมไฟไล่ตามลุค ปลอกข้อมือแอเรียสเรียกกำแพงแก้วขึ้นมากั้นแล้วผลักดันเปลวไฟสีม่วงออกไปด้านข้าง สะเก็ดเปลวไฟที่ถูกกำแพงบ้านกัดเซาะ เป็นรอยลึก
“กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซ”
มีเสียงร้องแหลมเล็กดังมาจากในบ้าน ตามมาด้วยร่างสีดำที่อยู่บนหลังบ้าน ทำให้มองเห็นดวงตาสีแดงอย่างชัดเจน และที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือไอสีดำที่แผ่กระจายจากร่างนั้น
นั่นไม่ใช่ไอหรือพลังงานชีวิต แต่มันคือการข่มขู่ผู้ที่อยู่นอกรั้วบ้าน
ลุคกำลังจะคิดว่าแมงมุมดำอารันญ่ากำลังข่มขู่ตนเอง แต่เมื่อหันไปหาดาร์ทและปีศาจคางคกยักษ์ ปรากฎว่าทั้งคู่กลับรีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
เฮ้นช์แมนทั้ง 4 ของซอว์นีย์ไม่น่าจะต้องมีใครกลัวใคร แต่ดาร์ทยอมหลบให้กับอารันญ่าโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ลุคหันไปมองแมงมุมสีดำตัวใหญ่ขนาดเกือบเท่าหลังคาบ้าน แล้วก้มลงมองกำแพงที่มีรอยไหม้ จากนั้นก็เหลียวมองไปรอบตัว
“ถ้าไม่ว่าอะไร ขอล้างพิษที่รั้วนี่ได้ไหม”
อารันญ่ายังไม่ได้อนุญาตหรือปฏิเสธ ลุคก็ยกข้อมือขึ้นมาสั่งการ “แอเรียส ช่วยส่งอะไรสักอย่างออกมาล้างพิษที่รั้วนี่หน่อยเถอะ ถ้าชาวบ้านแถวนี้มาโดนเข้าจะเป็นอันตราย”
สิ่งที่ปลอกข้อมือส่งออกมาคือน้ำเย็นจัดที่จับพิษร้ายลงมาจากกำแพง แล้วสลายไปก่อนที่จะตกกระทบพื้น ถึงร่องรอยของกำแพงที่ถูกกัดเซาะจะแก้ไขไม่ได้ แต่การที่ไม่มีพิษตกค้างอยู่ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วในเวลานี้
ตลอดเวลาที่ลุคจัดการกับพิษคางคกที่กำแพง แมงมุมสีดำตัวนั้นยังคงเฝ้ามอง และไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาหา
มีความเข้าใจกันโดยที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูดออกมา
ลุคพยักหน้า แล้วเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ แต่ไม่พบบลูที่คาเฟ่สัตว์เลี้ยงที่นัดกันไว้ ที่แน่ใจว่าบลูไม่ได้อยู่จริง ๆ ก็เพราะปลอกข้อมือแอเรียสที่สงบนิ่งไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนว่ามีปีศาจอยู่ในละแวกใกล้เคียง ลุคจึงกลับมาที่โบสถ์เชอริชของสาธุคุณฌ็องส์ ซึ่งพบว่าจัสตินยังรออยู่ที่นี่
ชายชาวเยอรมันนั่งหลังตรงหลับตาสำรวมตนอยู่ที่มุมห้อง จนกระทั่งลุคเดินเข้ามาในห้องจึงได้ลืมตาขึ้น จากนั้นจึงเป็นเสียงเปิดประตูห้องนอนที่ชั้นบน และสาธุคุณเดินลงมาหา
“ต้องการนมอุ่นสักแก้วหรือไม่” เจ้าของบ้านถาม
ลุคส่ายหน้าแล้วเดินไปล้างหน้า “ขอบใจมาก ขอน้ำสักแก้วก็พอ”
สาธุคุณเดินไปรินน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ขณะที่จัสตินหันไปมองนอกบ้านแล้วมองกลับมาที่ลุคที่เดินออกมาจากห้องน้ำ
“นายให้เขาไปรอที่ไหน”
“เขาหายไป”
จัสตินกับสาธุคุณขยับนั่งตัวตรงรอฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ หลังจากที่ลุคเล่าเรื่องโดยย่อผ่านไปรอบหนึ่ง ทั้งหมดจึงกลับมาช่วยวิเคราะห์ความผิดปกติมากมายที่เกิดขึ้นที่หน้าบ้านของอัจฉราค่ำวันนี้
“อารันญ่าที่ควบคุมเบสไว้ และมีข้าวโพดคุมเธออยู่อีกที เธอรู้อยู่แล้วว่ายังไงฉันก็ต้องไปดูเบสกับข้าวโพด” เพราะลุคก็มักไปดูทั้งคู่เป็นระยะมาตลอด แต่เธอไม่เคยแสดงตน “ตอนที่ฉันคุยกับวิญญาณผู้ชายคนนั้น และสู้กับดาร์ท เธอก็ไม่ออกมา จนกระทั่งไฟพิษของดาร์ทไปถูกกำแพงเธอจึงปรากฏตัวขึ้น ฉันคิดว่าเธอกำลังรักษาอาณาเขตของตัวเองไม่ให้ดาร์ทและฉันเข้าไปวุ่นวาย”
(มีต่อครับ)