คุณครับ...ได้(ฟัน)ผมแล้วก็มารักกันเถอะครับ บทที่ 59/60 พิเศษ UP 6/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณครับ...ได้(ฟัน)ผมแล้วก็มารักกันเถอะครับ บทที่ 59/60 พิเศษ UP 6/1/55  (อ่าน 805501 ครั้ง)

ออฟไลน์ www.maxdevil

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
วรุจน์เป็นอะไรไปหน่ะ 

ออฟไลน์ broncho

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-1
อยากอ่านต่อมากมาย คุณคฑาวุฒิได้โปรดอย่าปล่อยให้ค้างนาน
ทั้งของเก่าของใหม่ โปรดได้ลำเลียงลง
ตัวเรานี้รออ่านอยู่ แทบขาดใจ~

ออฟไลน์ foyer

  • 「★ the sons of a battlecry」
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +822/-2
กำลังสงสัยว่าคนที่ได้ฟันเป็นพระเอก
หลังจากตัดไปตัดมา...เหลือประธาน กับธฤตแล้วกัน
ว่าแต่...ธฤตบทหายไปไหนหว่า...? เก็บไว้มึนตอนหลังป่าว หุหุ

ออฟไลน์ ACOLINE

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 130
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
แอบเชียร์ ท่านประทาน อยู่ จะใช่หรือป่าว ลุ้นๆ :mc4:

sakuracity

  • บุคคลทั่วไป
แงแง โดนรีเฉยเลยอะ แอบเซง....รบกวนเอามาลงใหม่ด้วยนะครับคุณคทา ขอบคุณค้าบบบ

gummin

  • บุคคลทั่วไป

DasHimmel

  • บุคคลทั่วไป
ตัวละครมาใหม่อีกแล้ว!! เริ่มสับสนแล้วตอนนี้
คนที่จีบกายตอนนี้ต่างก็เคยรักอรัญกันทั้งนั้น!!?!!
อะไรเนี่ยยย งงมาก แม้แต่กายยังเคยรักอรัญเลยอ่ะ
ที่สำคัญ...วรุจน์สุดสวาทลืมกายได้ยังไง๊!!!!!!!!!!!!!!!!!!

aimaim

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้ถ้าจำไม่ผิด หายไป 2 ตอน ว่าแต่พี่นายคนเขียนจะรูถ้ไหมว่าต้องลงตอนซ่อม?? พี่ท่านยิ่งหายตัวบ่อยๆ อยู่ด้วย

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
Guy Chapter 38

“เป็นรปภ. มานานกี่ปีแล้วไอ้น้อง” สารวัตรหนุ่มถามพนักงานของโรงแรม The Atlantis ซึ่งยืนเฝ้าหน้าห้องของวรุจน์
“สองปีกว่าครับ” ชายหนุ่มรุ่นน้องตอบ
“สองปีกว่านี่กว่ากี่เดือน ตอบให้ชัดเจน”
“เอ่อ...หกเดือนครับ”
“แค่นี้เองหรือ ทำไมโรงแรมไม่ส่งคนที่มีชั่วโมงบินสูงๆ มาเฝ้า” นายตำรวจออกความเห็นแล้วขู่ว่า “นายรู้หรือเปล่า ถ้าทำงานพลาด ปล่อยให้คนที่ปองร้ายคุณวรุจน์เข้าไป ถึงตายเลยนะโว้ย”
“เอ่อ ครับ ทราบครับ”
“แต่ไม่ต้องห่วง อีกหน่อยพี่ก็จับคนร้ายได้ คดีจิ๊บๆ สบายมาก”
“ครับ” พนักงานของ The Atlantis พยักหน้า
“ว่าแต่ว่า นายรู้หรือเปล่าว่า ในโรงแรม คุณวรุจน์ไม่ถูกกับใครบ้าง” นายตำรวจถาม

“คุณเป็นพนักงานโรงแรมหรือเปล่า” วรุจน์ถามกาย
“เปล่าครับ” กายตอบเสียงแผ่ว มองหน้าวรุจน์นิ่ง ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะได้ยินคำถามแบบนี้จากวรุจน์
“เฮ้อ ดีจัง ในที่สุดก็มีคนอื่นมาเยี่ยมผมซะที” วรุจน์ถอนหายใจแล้วยิ้มออกมาบางๆ “วันๆ มีแต่ผู้บริหารโรงแรมมาเยี่ยม ผมอยากได้ยินเรื่องอื่นจะแย่”
“เรื่องอะไรครับ” กายถามเบาๆ ยังตั้งตัวไม่ติด
“อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับผม คุณเล่ามาสิ”
“เล่าเกี่ยวกับคุณ” กายยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก
“ว่าคุณรู้จัก และเกี่ยวข้องกับผมยังไง” วรุจน์เติม และเมื่อเห็นกายยังนิ่งอยู่จึงถามต่อว่า “คุณเป็นใคร เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยหรือเปล่า เล่าให้สั้น กระชับ หมอบอกว่าผมยังรับข้อมูลได้ไม่ดี ต้องคอยดึงความจำกลับคืนมาทีละน้อย”
“ดึงความจำ” กายทวนคำ
“ทั้งที่ผมอยากจะฟื้นความจำครั้งเดียวให้จำทุกอย่างได้หมด แต่ผมปวดหัวมากเวลาพยายามนึกอะไรให้ออก เพราะฉะนั้น หมอก็เลยใช้วิธีให้คนอื่นเล่าเรื่องราวให้ผมฟังทีละน้อย และให้ผมรับรู้ไปเรื่อยๆ ตอนแรกผมก็คิดว่าดี แต่ว่าตอนนี้ผมก็ชักจะสงสัยว่า เผื่อนมีคนมาเล่าเรื่องโกหกให้ผมฟังล่ะ”
“ผมไม่ใช่คนโกหก”
“ดูตาคุณก็น่าจะเป็นยังงั้น เพราะฉะนั้น เวลาเล่า ห้ามหลบตาผม” วรุจน์จ้องตาของกาย “บอกมาซิว่าคุณเป็นใคร เกี่ยวข้องกับผมยังไง”

พฤศปรายตาไปมองกายอยู่บ่อยๆ ด้วยสีหน้าไม่พอใจเพราะล่ามของการประชุมแปลตะกุกตะกักอยู่หลายครั้ง ครั้นหันไปมองคเชนทร์ ฝ่ายนั้นก็เอาแต่นั่งมองกาย ไม่มีสมาธิเช่นกัน
“คุณคเชนทร์ครับ” พฤศตัดสินใจเรียกรองประธานบริษัท “ช่วยอธิบายสรุปกลยุทธ์ที่จะรับมือกับผู้สื่อข่่าวเรื่อง F-35 ด้วยครับ”
คเชนทร์ยังนิ่ง
“คุณคเชนทร์” พฤศเรียกคเชนทร์อีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
“ผมขอพักห้านาทีแล้วค่อยประชุมต่อ” คเชนทร์พูดขึ้นมา
“เราเพิ่งประชุมกันได้ไม่ถึงชั่วโมง” พฤศแย้ง
“แต่วันนี้มีแต่เรื่องเครียดๆ ผมว่าพักก่อนเถอะ” คเชนทร์แย้งเช่นกันแล้วหันไปมองรอบๆ ราวกับหาเสียงสนับสนุนม ซึ่งทุกคนที่อยู่ในการประชุมรีบแสดงความคิดเห็นออกมาทางสีหน้าทันที ยกเว้น 'ล่ามของการประชุม'
“งั้นเชิญ” พฤศผายมือแล้วเอนตัวพิงพนักพิงเก้าอี้ มองคเชนทร์ตาขวาง ครั้นรอให้ทุกคนรวมทั้งกายเดินออกจากห้องประชุมจึงพูดขึ้นว่า
“นายอยากพักเอง หรืออยากให้คนอื่นพัก”
“อยากให้กายพัก” คเชนทร์ตอบ “พอใจกับคำตอบหรือเปล่า”
“คเชนทร์ นายกำลังเอาเรื่องส่ายตัวมาปนกับเรื่องงาน และที่สำคัญ ให้เรื่องส่วนตัวอยู่เหนือเรื่องงานด้วยซ้ำ”
“ซักครั้งจะเป็นไรไปพฤศ ทำยังกับนายไม่เคย เลิกยุ่งกับเราซะทีเถอะน่า” เสียงคเชนทร์หงุดหงิด
“ก็ไม่อยากจะยุ่ง แต่อย่าลืมนะว่า คนของนายก็ยังอยู่ในข่ายต้องสงสัย” พฤศโต้
“เราไม่สงสัยเขาแม้แต่นิดเดียว”
“แต่เราสงสัย”
“แต่นายก็หาหลักฐานมามัดตัวเขาไม่ได้ซะที ใช่หรือเปล่า”
“ความจริงก็คงต้องเป็นความจริง”
“ใช่” คเชนทร์โน้มตัวมาข้างหน้า จ้องตาพฤศ “ความจริงมันก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ กายเป็นคนแบบไหนเรามองออก และมองออกไม่ยากด้วย”
“งั้นหรือ สายตาของนายชัดเจนมากเลยหรือ” พฤศเลิกคิ้ว
“ชัด”
“ไม่ชัด” พฤศแย้ง “เพราะความรักมันบังตานายอยู่”
“นายเองก็มีอคติ” คเชนทร์สวนกลับ “เห็นชอบเป็นผิดไปหมดเสียทุกอย่าง”
“เรามองตามความเป็นจริง” พฤศยักไหล่
“ตั้งแต่ทำงานมา เราก็ไม่เห็นว่ากายมีอะไรที่น่าจะต้องจับตามอง สู้เอาเวลาไปตรวจสอบพนักงานคนอื่นๆ ดีกว่า นายก็รู้ ยังมีคนอยู่ในข่ายต้องสงสัยอีกตั้งหลายคน อย่ามาเสียเวลากับคนซื่อๆ คนหนึ่งเลย”
“ซื่อ” พฤศเค้นหัวเราะในลำคอ
“ทำไม” คเชนทร์ถามเสียงห้วน “ทำไมจะพูดแบบนี้ไม่ได้”
“คนอย่างเขานั่นหรือซื่อ” พฤศเบ้ปาก “ภายใต้ท่าทางเงียบๆ ดูไร้เดียงสา นายคงนึกไม่ถึงว่าเขาฉลาดกว่าที่นายคิด แต่เราไม่สงสัยหรอกว่านายจะคิดแบบนั้น อย่างที่นายพูด ใช่ว่าเราจะไม่เคย เราพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง เรื่องนี้นายก็รู้ดี เพราะฉะนั้นขอเตือนอย่างคนที่มีประสบการณ์ ถ้ายังปล่อยให้ความรักความหลงมันบังตานายอยู่ ยังไงนายก็มองไม่เห็นสิ่งที่ไม่ดีของเขาหรอก”
“นายจะพูดเกินไปแล้วนะพฤศ เห็นอะไร” คเชนทร์พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่พอใจ
“ใครยอมแลกตัวกับผู้บริหารบริษัทเพื่อประโยชน์เรื่องงาน ไม่น่าสงสัยก็ไม่รู้จะว่ายังไง”
“พฤศ” คเชนทร์อุทาน “นายพูดบ้าอะไร”
“นายก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง”
“บ้ากันไปใหญ่แล้ว”

...ใช่ บ้ากันไปใหญ่แล้ว...
กายเม้มปาก กำมือแน่น อยากจะชกผนังข้างประตูห้องประชุมสักสองสามครั้ง และอยากจะเดินเข้าไปในห้องประชุมเดี๋ยวนี้และตะโกนใส่หน้าพฤศ
...คนอย่างไอ้กาย ไม่มีวันทำอะไรแบบนั้น...
“กาย” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง กายสะดุ้ง หันไปมองการุณย์ซึ่งเดินเข้ามาใกล้และพูดว่า “ตั้งใจหน่อยนะ เปนล่ามต้องใช้สมาธิสูง คุณคเชนทร์อุตส่าห์ช่วย อย่าให้ความตั้งใจของเขาเสียเปล่า”
“ครับ” กายตอบ การุณย์เคาะประตูห้องประชุมซึ่งเปิดแง้มเอาไว้ รออยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไปในห้อง กายสูดลมหายใจลึก ถอยหลังไปหลายก้าว แล้วเดินไปยืนมองท้องฟ้าภายนอกกระจกบานใหญ่เพื่อสะกดอารมณ์ แต่ในใจกลับอดถึงคำพูดและน้ำเสียงของพฤศไม่ได้
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาในหัว
...แกก็ไม่ใช่กระจอกนะกาย มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร ถ้าคุณพฤศเขามีอคติกับแกแบบนี้ก็ไม่เห็นจะต้องแคร์เลย ไปหางานอื่นทำซะ คงสบายใจกว่าอยู่ที่นี่...
...หรือไม่ก็เข้าวงการบันเทิงตามที่คุณธฤตชวนก็สิ้นเรื่อง ทำงานให้วงการบันเทิงให้ดังและรวยไปเลย...

เลิกงานกายรีบออกจากบริษัททันทีเพื่อตรงไปโรงพยาบาลที่วรุจน์นอนพักรักษาตัว วันนี้งานยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะดื่มกาแฟ
กายหวังอยู่ลึกๆ ว่าคเชนทร์จะเดินไปหาที่โต๊ะทำงานและชวนคุย 'เรื่องไม่เป็นเรื่อง' รวมถึง 'เรื่องที่เขาแอบได้ยิน' ในห้องประชุม
...แต่บางทีคเชนทร์อาจจะยังไม่พร้อมมาคุย คเชนทร์ต้อง 'เถียง' กับทุ่านประธานให้เคลียร์เสียก่อน...
...แต่ยังไงก็ตาม เราก็ยังคิดที่จะลาออกจากบริษัท ไม่เกินมะรืนนี้ล่ะ ให้กลับจากเยี่ยมวรุจน์เสียก่อนเราถึงจะพิมพ์ใบลาออก...
...วรุจน์ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับวรุจน์...
...ผมชอบเขามากรู้ไหมกาย ตอนนั้นผมอยากจะบอกเขาอย่างนั้น แต่เรื่องเศร้าก็เกิดขึ้นเสียก่อน...
...เรื่องเศร้าที่ว่า คือเรื่องที่ยายของเขาถูกรถชนตายงั้นหรือ...
กายนึกถึงคำพูดของวรุจน์ขณะที่ตัวเองนั่งอยู่ใต้ซุ้มไม้เลื้อย มองและฟังวรุจน์เล่าเรื่องราวในอดีต...
...ใช่ เรื่องเศร้าเกิดขึ้นเสียก่อน...
...คุณเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับผม...
วรุจน์นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและจำอะไรไม่ได้ ต้องคอยฟื้นความจำทีละน้อย
...คุณเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับผม เราจะตอบได้ยังไงว่า ผมเป็นคนที่คุณตามจีบไม่เลิก และในที่สุด ก็จำได้ว่าเป็นคนที่คุณเคยชอบตั้งแต่เป็นเด็กวัยรุ่นและพรากจากกัน พอมาเจอกันอีกก็รู้สึกมีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษ วรุจน์เป็น CEO ของโรงแรมเครือ The Atlantis เราคือพนักงานตัวเล็กๆ ของบริษัทที่ีบรรยากาศการทำงานแปลกประหลาดที่สุดในโลก...
กายขึ้นนั่งบนรถแท็กซี่ บอกจุดหมายปลายทางคนขับแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจากเป้สะพายหลังเพื่อกดดูข้อความสั้นในโทรศัพท์มือถือ รู้สึกแปลกใจที่มีข้อความส่งเข้าหาเขาถึงห้าข้อความ
จากคเชนทร์ บอกว่า --- อยากคุยด้วย แต่ยุ่งมาก พรุ่งนี้ผมต้องไปอเมริกาด่วน คืนนี้จะโทรหา คิดถึงนะ
จาก นต. เมฆ
จาก ซอว์ เบน
จาก ธฤต
เกือบครบหมดทุกคน แต่สุดท้ายเป็นของนรธร์ --- ไอ้กาย โทรหาฉันเดี๋ยวนี้ ไอ้ชายแย่แล้ว

“มันไม่เคยปริปากพูดอะไรเลย อยากกระทืบมันนัก” นรธีร์หันไปพูดกับกายเมื่อเพื่อนรุนน้องของเขาเร่งเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ
“ชายเขาอาจจะไม่รู้” กายแก้ตัวแทนแล้วถามว่า “อาการเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่รู้” นรธีร์ส่ายหน้า “ถามใคร แม่งมันอมสากขนาดเจ็ดนิ้วเอาไว้ในปากทุกคน”
“เขากำลังตรวจ คงยังบอกไม่ได้จริงๆ”
“บอกว่าต้องรอฟังจากหมอ ต้องรอฟังจากหมอ หมออยู่ที่ไหนแม่งก็บอกไม่ได้ ขอเบอร์โทรหมอก็ไม่ให้ พอถามว่าหมอจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“ใจเย็นๆ น่าเจ๊” กายปลอบ
“อยู่ดีๆ มันก็ทรุดฮวบตอนนำทัวร์ตลาดน้ำ เกือบตกจากเรือ ดีนะลูกทัวร์คว้าไว้ทัน” นรธีร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ถึงมือหมอก็หายห่วงแล้วล่ะ” กายพูด “เจ๊กินอะไรหรือยัง ระหว่างรอฟังอาการชาย ไปหาอะไรกินกันก่อนไหม”
“แดกไม่ลง”
“ผมรู้ว่าเจ๊ห่วงชายมาก ผมก็ห่วงชวายเหมือนกัน แต่ว่า...”
“ไม่กินโว้ย จะยืนรออยู่ยังงี้ล่ะ แกจะกินก็ไปกิน” นรธีร์ส่ายหน้า
“ใครจะไปกินได้ล่ะ” กายเบ้ปาก “ยืนรอด้วยกันนี่ล่ะ”
“กาย ไอ้ชายมันยังหนุ่มยังแน่นอยู่นะ มันจะมาเป็นโรคอะไรหนักๆ ได้ไง”
“อย่างเพิ่งคิดไปในทางลบสิ ชายอาจจะทรุดเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอก็ได้ ไหนเจ๊ว่าชายโหมทำงานหนัก”
“คนขับรถบอกว่าลูกทัวร์คนที่ช่วยไอ้ชายเป็นพยาบาลเก่า ท่าทางเขาซีเรียสมาก ฉันหมายถึงพยาบาล คนขับรถก้คงฟังภาษาอังกฤษได้ไม่เท่าไหร่ แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าอาการของไอ้ชายไม่ใช่เล่นๆ ลูกทัวร์คนนั้นพูดเหมือนย้ำว่าต้องหาหมอดีๆ เก่งๆ”
“ลูกทัวร์เป็นพยาบาลเก่า เขายังไม่ได้ตรวจ เขาจะรู้อะไร แล้วเขาก็คงตกใจเกินเหตุ” กายบีบมือนรธีร์ “ชายต้องไม่เป็นอะไรมาก เราจะต้องหาหมอดีๆ เก่งๆ มารักษาชายให้ได้ จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง แต่เราจะไม่ทิ้งชาย ใช่ไหม”
“อือ” นรธีร์พยักหน้า
“แต่ผมว่าชายคงไม่เป็นอะไรมาก อีกหน่อยก็คงกลับมากวนอารมณ์ได้อีก” กายยังคงพูดปลอบใจให้นรธีร์รู้สึกดีทั้งที่เขาเองก็เริ่มรู้สึกเหมือนนรธีร์บ้างแล้ว

กายส่งนรธีร์ขึ้นรถแท็กซี่เมื่อเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้วเดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาล เขาใช้เวลาอยู่นานเพื่อเกลี้ยกล่อมให้นรธีร์กลับบ้าน โดยให้เหตุผลว่านรธีร์ต้องพักผ่อน จะได้มีแรงผลัดกันมาเยี่ยมเชิงชาย
ชายหนุ่มผู้ร่าเริงแจ่มใน มีรอยยิ้มกว้างอยู่เป็นนิจ ขณะนี้นอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักคนป่วยห้องแคบๆ
...แตกต่างจากห้องพักของวรุจน์โดยสิ้นเชิง...
แทนที่จะได้ไปเยี่ยมวรุจน์ กายกลับต้องมาเยี่ยมเชิงชาย
“กาย...” เสียงเชิงชายครางเบาๆ
“ตื่นขึ้นมาทำไม” กายพูด
“หิวน้ำ”
“เอ่อ...” กายลังเล ไม่แน่ใจว่าเชิงชายถูกงดน้ำและอาหารหรือไม่ แต่เมื่อมองแล้วไม่เห็นมีป้ายห้าม กายจึงตัดสินใจรินน้ำใหเชิงชายดื่มพร้อมกับพูดว่า “พักผ่อนไม่เพียงพอหรือชาย”
“ชายต้องทำงาน” เชิงชายตอบ
“พักซะบ้างสิ ทำงานหนักก็ทรุดแบบนี้ล่ะ”
“ชายจะซื้อบ้าน จะสร้างตัวเองให้...”
“พอ อย่่าเพิ่งพูด” กายห้าม “กินน้ำแล้วนอนซะ”
“กายไม่ต้องเฝ้าชายหรอกนะ กลับไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำงาน”
“พรุ่งนี้วันเสาร์”
“ชายอยู่ได้” เชิงชายยิ้มเหนื่อยๆ
“นอนก่อนเถอะ จะเฝ้าไม่เฝ้าก็อยู่ในใจนี่ล่ะ”
“งั้นชายต้องลุ้นว่า ตื่นขึ้นมากลางดึกจะเห็นกายหรือเปล่า”
“เลิกพูดซะที นอน” กายสั่งเสียงเข้ม
“เจ็บจริงๆ...” เชิงชายพูดเสียงแผ่ว
“เจ็บตรงไหนไ
“เจ็บกระดูก เจ็บมาก เจ็บไปทั้งตัว...” เชิงชายถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า กายทำอะไรไม่ถูกจึงถอนหายใจบ้าง
“พยายามนอนให้หลับนะชาย จะนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้ล่ะ ไม่ไปไหนหรอก”
“ตกลงคืนนี้จะเฝ้าชายใช่ไหม”
“เออๆ” กายตอบและบอกให้เชิงชายหลับตา
“ขอบใจนะกาย” เชิงชายพึมพำแล้วนิ่งเงียบไป ปล่อยให้กายยืนมองอยู่ข้างเตียงด้วยสายตาห่วงใย

หลังจากอ่านรายงานข่าวของตัวเองจบ วรุจน์พับหนังสือพิมพ์อย่างลวกๆ แล้วโยนลงบนโต๊ะข้างเตียง มีเสียงคนเคาะประตู วรุจน์เงยหน้าขึ้นมอง พยาบาลโผล่หน้าเข้ามาและบอกวรุจน์ว่ามีคนมาเยี่ยม วรุจน์พยักหน้าและขยับตัวเล็กน้อย ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมอยู่เหนือเอว
“สวัสดีค่ะคุณวรุจน์ ฉันดีใจที่คุณอาการดีขึ้น” หญิงสาวที่เดินเข้ามายิ้มกว้างให้วรุจน์ “ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างคะ”
“ก็ดีขึ้น ปวดหัวน้อยลง” วรุจน์ตอบ “คุณรู้หรือเปล่าว่าผมจำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น...”
“ทราบค่ะ ฉันถึงได้มาช่วยฟื้นความจำให้คุณไงคะ”
“คุณเป็นพนักงานโรงแรมหรือเปล่า” วรุจน์ถามคำถามเดินเมื่อเห็นคนหน้าใหม่มาเยี่ยม
“เปล่าค่ะ ฉันเป็นผู้ช่วยพิเศาของคุณ ทำงานให้คุณเพียงอย่างเดียว และตอนนี้แันก็มารายงานให้คุณทราบว่างานของเรากำลังไปได้ดี”
“งานอะไรนอกเหนือจากงานที่โรงแรม” วรุจน์เลิกคิ้วถาม
“งานทำลาย Megatrex ไงคะ งานสำคัญที่คุณกำชับว่าไม่ให้พลาด”
“ทำลาย Megatrex” วรุจน์ทวนคำ “ฟังเหมือนหนังสายลับ ถ้าผมให้คุณทำงานนี้จริง ไหนลองเล่าให้ผมฟังแบบสั้นกระชับซิ”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยื่นกระดาษให้และพูดต่อว่า “แต่นี่คือรายละเอียด ถ้าคุณมีเวลา ฉันอยากขอให้คุณอ่าน เพราะฉันรอคำสั่งต่อไปจากคุณอยู่ ฉันรู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ตอนที่คุณไม่สบาย ฉันไม่ควรจะเอาเรื่องน่่าปวดหัวมาบอกให้รู้ แต่ฉันคิดว่า ยิ่งเรารอนานเท่าไหร่ โอกาสพลาดก็จะยิ่งสูง ตอนนี้ที่ Megatrex กำลังมีเรื่อง ถ้าเราได้ส่งคลื่นเข้ากระแทรกครั้งแรกแล้ว เราควรกระหน่ำอีกติดๆ กัน เอาให้ตั้งตัวไม่ได้”
“คุณพูดอะไรของคุณ”
“พอคุณฟังฉันจบ คุณก็จะเข้าใจ แต่คุณต้องยอมรับว่าสิ่งที่คุณจะได้ยินต่อไปนี้เป็นความคิดและแผนการณ์ของคุณทั้งหมด คุณส่งฉันเข้าไปที่ Megatrex เพื่อทำสิ่งนี้ เรารู้เรื่องนี้กันเพียงสองคน”
“เล่ามา” วรุจน์พูดเสียงเบาและรอฟัง

::: End of Chapter 38 :::

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
Guy Chapter 39

กายสูดลมหายใจเบาๆ เคาะประตูห้องทำงานของพฤศและเดินเข้าไป วันนี้เจนจิราไม่มาทำงานและไม่มีใครมาทำหน้าที่เลขานุการแทน ครึ่งวันหลังส่งจดหมายลาออกการุณย์ก็โทรศัพท์ไปบอกเขาว่าพฤศต้องการพบ
“คุณรู้ใช่ไหมว่าจะลาออกจากงานต้องแจ้งล่วงหน้าหนึ่งเดือน” พฤศถามเมื่อกายนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน
“ทราบครับ” กายพยักหน้า
“แต่กรณีของคุณ ผมอนุมัติให้เป็นพิเศษ” พฤศพูดเสียงเย็น หยิบปากกาและลงลายมือชื่อในใบลาออกจากงานของกาย “มีผลภายในสิบห้าวัน ซึ่งก็คือสองวันหลังจบงาน Thunderbold Air Show ของกองทัพอากาศ จากนั้นคุณก็มีอิสระ จะไปทำงานที่ไหนก็ได้”
“ขอบคุณครับ”
“แต่ระหว่างนี้ ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าตัวเองส่งใบลาออกแล้วจะสักแต่ว่าทำงานให้ผ่านๆ ไป ตราบใดที่คุณยังอยู่ที่นี้ ก็ต้องรักษามาตรฐานการทำงาน”
“ผมทราบดีครับ”
“อ้อ อย่าหาว่าผมพูดจาไม่ดีกับคุณเพราะมีอคติ ผมพูดกับพนักงานที่ลาออกทุกคนแบบนี้ และอีกอย่าง...” พฤศนิ่งไปครู่หนึ่ง ตามองจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองซึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำงาน จากนั้นจึงพูดกับกายโดยไม่มองหน้า “พยายามอย่าเป็นข่าว ไม่ว่าจะแบบทางการหรือไม่เป็นทางกร แค่ข่าวกองทัพอากาศซื้อ F-35 ผ่านเรา คุณคเชนทร์ก็ต้องแก้ปัญหาหนักพออยู่แล้ว”
...เห็นใจคเชนทร์บ้าง อยากพูดประชดต่อยังงี้ใช่ไหมล่ะ แล้วไอ้ข่าวที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการนี่มันข่่าวอะไรกันนะ ทำไมไม่พูดออกมาตรงๆ...
กายอยากจะถามพฤศให้ชัดเจนนิ่งนัก แต่เสียงของพฤศดังขึ้น ทำให้เขาต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยอัตโนมัติ
“เชิญ”

“คุณลาออกจากงาน ทำไมไม่ปรึกษาผม” เสียงของคเชนทร์โวยวายผ่านทางโทรศัพท์ “ทำไมไม่รอให้ผมกลับถึงเมืองไทยเสียก่อน กาย มันมีอะไรที่ทำให้คุณอึดอัดจนทนไม่ไหว พฤศหรือเปล่า เรื่องที่พฤศเอาแต่แกล้งคุณใช่ไหม คืนก่อนเดินทางผมโทรไปหาคุณแลว แต่คุณไม่รับโทรศัพท์ผม ผมsms ไปบอกแล้วไงว่าจะโทรหาตอนกลางคืน”
“ผมขอโทษครับ”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“เรื่องที่ไม่ได้รับโทรศัพท์” กายตอบ
“ผมไม่แคร์หรอกเรื่องที่ไม่ได้รับเพราะผมคิดว่าคุณอาจจะไม่สะดวก แต่ผมแคร์ว่าทำไมไม่ได้โทรกลับ”
“ผมโทรกลับแล้ว แต่ไม่มีสัญญาณ”
“ตอนที่ผมอยู่บนเครื่องบินแล้วล่ะสิ” คเชนทร์รีบพูดแทรก “กาย ที่นี่หนาวจัง”
“หรือครับ”
“อยากกอดคนให้อุ่นๆ”
“งานหยุ่งไหมครับ” กายถามเรื่องอื่น
“ยุ่งสุดยอด” คเชนทร์ตอบ “หนาวๆ แบบนี้อยากได้ไออุ่น”
“คุณคเชนทร์ นี่เวลาทำงานผมนะครับ เดี๋ยวโดนดักฟัง”
“ช่าง ผมไม่กลัว” คเชนทร์ตอบ “เฉพาะพนักงานที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยจริงๆ บริษัทถึงจะดักฟัง สำหรับคุณยังไม่ถึงขนาดนั้น”
“จริงหรือครับ” กายอุทาน
“เปล่า ล้อเล่น” คเชนทร์หัวเราะชอบใจ
“คุณคเชนทร์” กายทำเสียงดุ
“คุณอย่าเครียดนักสิกาย ผมรู้ว่ามันมีเรื่องเกิดขึ้นอยู่หลายเรื่อง แต่ทุกอย่างมันก็จะต้องคลี่คลายไปได้ทีละเรื่อง เชื่อผมสิ” คเชนทร์ปลอบ “แต่เรื่องลาออก ผมไม่เห็นด้วย”
“ผมทำงานที่นี่แล้วรู้สึกอึดอัดมาก”
“งั้นลาออกก็ดีแล้ว” คเชนทร์พูดสวน
“อ้าว”
“คิดไปก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ไม่โดนค่อนขอดว่ามีอะไรกับพนักงาน แม้จะรู้สึกแย่หน่อยที่ไม่ได้เห็นคุณทุกวันเวลาไหนก็ได้ แต่ก็คงจะโอเค”
“คุณนี่คิดอะไรเร็วจังเลย”
“มีข้อแม้นะ” คเชนทร์ทำเสียงเข้ม “ห้ามหลบหน้าผม เราคบกันแล้ว คุณต้องทำให้เหมือนว่าเราเป็นคนคบกัน ถึงอยู่คนละบริษัท แต่เราจะต้องได้เจอกับบ่อยๆ บางวันผมอาจจะไปทานอาหารกลางวันกับคุณ บางวันคุณก็มาทานกับผม”
“ผมจะกลับไปทำบริษัททัวร์เหมือนเดิม ต้องออกทัวร์ คุณน่าจะเข้าใจว่าไกด์มีเวลาทำงานขึ้นอยู่กับ...”
“ตารางทัวร์” คเชนทร์พูดแทรก “ทัวร์เขามีตารางเวลา ไม่ใช่อยากจะไปเที่ยวไหนก็ไป ผมรู้หรอก”
“ผมหมายความว่า บางทีเป็นทัวร์หลายวัน เช่น...”
“ผมให้แค่สามวันสองคืนเท่านั้น ผมไม่ให้คุณทำทัวร์ยุโรป อเมริกา บราซิล หรือแอฟริกาใต้” คเชนทร์พูดอย่างรวดเร็ว
“คุณจะมาห้ามได้ยังไงครับ”
“อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้ ให้ผมกลับกรุงเทพฯ ก่อน เราจะต้องนั่งคุยนอนคุยกันให้เคลียร์” คเชนทร์สรุป “ว่าแต่ว่า ตอนที่ผมไม่อยู่ ให้ห่างๆ พฤศเป็นดีที่สุด”
“ผมไม่เคยอยากจะเข้าใกล้เลย”
“ถึงงั้นก็เถอะ คุณต้องพยายามห่่างเขาเข้าไว้ ถ้าเขามาหาเรื่องก็สิ่งหนีไปเลย”
“ทำยังงั้นได้ด้วยหรือครับ”
“หลบหน้าเขาให้ได้ นี่คือคำสั่งของรองประธานบริษัท” คเชนทร์พูด
“รองประธานสั่งให้พนักงานหลบหน้าประธาน ตลกพิลึก”
“เพื่อความสงบสุขของคุณ ที่พูดนี่เพราะผมหวังดี เชื่อผมนะกายนะ” คเชนทร์เตือน
“ครับๆ”
“ครับคำเดียว ไมใช่ครับๆ คนที่ตอบว่าครับๆ มักจะไม่ได้หมายความว่าครับ”
“ครับผม” กายเน้นเสียง
“น่าน ยังงั้นล่ะ” คเชนทร์หัวเราะแล้วชวนคุยเรื่องอื่น จนกายต้องเตือนอีกครั้งว่าเป็นเวลาทำงนและยังมีงานที่ต้องแปลอีกหลายชิ้น
“งั้นก็ไปทำงานซะ” คเชนทร์ยอมหยุดคุย และก่อนจะวางสายได้พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “คิดถึงนะกาย คิดถึงผมด้วย และคิดถึงผมคนเดียว”

นรธีร์เดินเข้าไปในโรงพยาบาลกับกาย มือหิ้วถุงอาหารหลายถุง และขณะที่ใกล้จะถึงลิฟท์ก็พูดขึ้นว่า
“แกคิดถูกแล้วล่ะที่ลาออกจากงาน จะได้มีเวลามาดูแลไอ้ชาย”
“ผมเปลี่ยนงานนะเจ๊ ไม่ได้ลาออกมาอยู่เฉยๆ” กายตอบ
“อย่าเพิ่งไปทำงาน ให้ไอ้ชายมันดีขึ้นซะก่อน แกไม่มีเวลาหรอก ต้องวิ่งรอกดูคนป่วยสองโรงพยาบาล”
“บ้าน่าเจ๊” กายทำหน้าไม่พอใจ “ผมไม่ได้ดูแลคุณวรุจน์ซะหน่อย”
“งั้นก็มาดูแลไอ้ชาย”
“อะไรกันนักหนาเนี่ย” กายถอนหายใจ
“คุณวรุจน์เขารวยขนาดนั้น แค่กระดิกนิ้ว ใครต่อใครก็วิ่งไปดูแล”
“เจ๊จะประชดอะไรนักหนา ไม่ใช่ทุกคนที่ก้มหัวให้เงินหรอกนะ” กายกระแทกเสียง
“เช่นแกเป็นต้น” นรธีร์ชี้หน้ากายแล้วกดเรียกลิฟท์ “แกไม่แคร์เงิน ไม่แคร์ความรวย ไม่แคร์คนรวย”
“ผมแคร์คนที่ดีกับผม”
“เช่นไอ้ชายเป็นต้น” นรธีร์พูด
“คุณวรุจน์ก็ดีกับผมนะเจ๊ ถ้าจะพูดให้แฟร์ เขาไม่ได้ร้ายกับผม ผมก็ต้องแคร์เขาใช่ไหม”
“งั้นแกแคร์ใครมากกว่ากัน” นรธีร์ถาม
“แล้วจะต้องมาถามอะไรตอนนี้” กายทำหน้ามุ่ย
“แกมันโลเล ไม่เลือกซักที ตกลงแกจะเอาใคร เอ๊ย ไม่ใช่ จะให้ใครเอา”
“แล้วมันต้องเลือกหรือเจ๊” กายขมวดคิ้ว ทำหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิม
“ต้องสิวะ หรือแกจะเอาหมด ไม่ใช่คนสองคนนะโว้ย เลิกเป็นคนหลายใจได้แล้ว” นรธีร์กระแทกนิ้วเข้ากับปุ่มเรียกลิฟท์ “เฮ้ย ไอ้ลิฟท์บ้านี่ เมื่อไหร่จะมาซักทีวะ นี่ถ้าเป็นโรงพยาบาลแพงๆ ลิฟท์มันก็คงเปิดให้เราแล้ว”
“เป็นเอามาก” กายส่ายหน้า
“ไอ้ชายเป็นขนาดนี้ ให้มันรู้ไปว่าแกไม่สงสารมัน ฉันว่าที่มันป่วยอยู่อย่างนี้เพราะโหมทำงานหนัก อยากมีเงินเยอะๆ ไปขอแก”
“เรื่องนี้ขอเวลานอกได้ไหมเนี่ย” กายยกมือขึ้นทำท่าทางประกอบคำพูด
“ถ้าไอ้ชายได้ข่าวดี อาการมันอาจจะดีวันดีคืนก็ได้นะกายนะ”
“เรายังไม่รู้เลยว่าชายเป็นอะไร”
“ถ้าเผื่อมันเป็นโรคร้ายแรงล่ะกาย” นรธีร์หันมาพูดกับกายด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล “ฉันสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ เมื่อหนังตากระตุกทั้งคืน”
“คงไม่เป็นอะไรมากหรอก เจ๊ก็ช่างคิดอะไรแต่ละอย่างดีๆ ทั้งน้าน”
“เวลาและวารีไม่เคยคอยใคร” นรธีร์พูดเสียงจริงจัง “แกก็รู้ อายุก็ไม่น้อยแล้ว จะรอไปทำไม จบเอกอังกฤษมา จำได้ไหม Gather ye rosebuds while ye may, old time is still...”
“ไม่ต้อง พอๆ” กายโบกมือ ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดกับนรธีร์ ตามองอยู่ที่ปุ่มกดลิฟท์ “ทำไมผมจะไม่พยายามเลือก ผมคิดมาตลอดนั่นล่ะว่าจะเลือกใคร”
“คุณวรุจน์ใช่ไหม แกเลือกคุณวรุจน์” นรธีร์รีบพูด
“เจ๊” กายอุทาน หันไปเบิกตากว้างใส่นรธีร์
“แกมาเยี่ยมไอ้ชาย แต่ฉันสังเกตเห็นแกใจลอย เพราะใจแกอยู่ที่อีกโรงพยาบาล” นรธีร์ชี้หน้ากาย
“ผมมีเรื่องต้องคิดเยอะ” กายพูดเสียงดังขึ้น
“แกสรุปมาให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้ก่อนจะขึ้นไปเยี่ยมไอ้ชาย ว่าตกลงมีผู้ชายเข้ามาจีบแกกี่คน เอาที่จริงจัง รักจริงหวังแต่ง เอาคนที่ทุ่มเทกับแกมากๆ เอาคนที่ทำทุกอย่างเพื่อแก เอาคนที่แคร์แก เอาคนที่...”
“หก” กายตอบ
“อ้า อะไรนะ” นรธีร์อุทานเสียงดัง
“ห้า...เอ่อ...คิดว่านะ” กายแก้ไขคำตอบ
“ตกลงหกหรือห้า” นรธีร์ถาม
“น่าจะห้านะ แต่ถ้าต้องให้ครบตามเกณฑ์ที่เจ๊พูด งั้นอีกคนผมก็ยังไม่แน่ใจ” กายขมวดคิ้ว “เอ...หรือว่าสี่วะ”
“จะเท่าไหร่ก็ช่าง ตัดออกให้หมดแล้วเหลือแค่คนเดียว”
“ใครจะไม่อยากทำ”
“โว๊ย อีลิฟท์บ้านี่จะมาชาติหน้าหรือไงวะ” นรธีร์กระชากเสีียงจนคนที่เดินเข้ามายืนรอลิฟท์อยู่ด้วยกันด้านหลังสะดุ้งโหยง”
“ใจเย็นๆ ซิเจ๊” กายเตือน
“ใจเย็นต้องยืนรออย่างนี้ล่ะ แกน่ะระวังตัวเอาไว้เถอะ ฉันเคยเห็นพวกหน้าตาดีๆ ระดับดาวมหา'ลัยขึ้นคานกันมาหลายคนแล้วนะโว้ย พวกนี้แมงไม่ยอมเลือกซะที เผลอแป๊บเดียวไม่มีใครดีๆ เหลืออยู่ให้เลือกแล้ว พวกที่เข้ามาหาก็กะจะฟันอดีตดาวตอนแก่เพื่อหาประสบการณ์สนุกๆ ท้ายที่สุด พอไม่มีใครเข้ามาก็ต้องเก็บเอาดอกไม้เหี่ยวๆ ริมทางต้นดอกไหนก็ได้”
“พูดค่อยๆ หน่อยเจ๊” กายหันซ้ายหันขวา
“ได๊” นรธีร์พยักหน้า หันมามองกาย แล้วพูดเสียงหนักแน่น “แกสัญญากับฉันได้ไหม ว่าแกจะซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง และมองความรักที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง”
“มันก็ต้องทำแบบนั้น”
“บางทีมนุษย์ก็ลุ่มหลงอยู่กับภาพมายา”
“เจ๊คิดว่าผมจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า”
“บางทีคนเราก็อ่อนแอและพลาดไปได้”
“นั่นสิ ถ้าผมตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็ไม่แน่ ผมก็แค่คนธรรมดา” กายยักไหล่ “อาจจะทำอะไรผิดพลาด”
“แกถึงต้องรีบตัดตัวเลือกทิ้งให้เร็วๆ เสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนจะถลำลึกมีใจให้กับทุกๆ คน ตัดฉับไปเลย ถ้าตอนนี้แกรู้สึกกับใครมากเป็นพิเศษก็เลือกเขาซะ ปล่อยคนที่เหลือให้เป็นอิสระ อีกหน่อย ทั้งเราทั้งเขาก็จะทำใจได้ ทำเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะได้เจ็บกันน้อยๆ”

...วรุจน์น่าจะเป็นคนแรกที่เขาควรตัดทิ้งไป ตอนนี้เขากับวรุจน์เหมือนเป็นคนแปลกหน้ากัน วันแรกที่เข้าเยี่ยมและวรุจน์จำเขาไม่ได้ คำถามว่าคุณเป็นใคร เกี่ยวข้องยังไงกับผมเป็นคำถามที่ทำให้เขาเจ็บปวดไม่น้อย ทั้งที่ต่อมาเขารู้ดีว่าเพราะวรุจน์สูญเสียความทรงจำจึงได้พูดเช่นนั้น...
...แต่หากวรุจน์ไม่ได้สูญเสียความจำล่ะ จะพูดว่าอะไรเมื่อเข้าไปเยี่ยม อาจจะพูดว่า กาย ผมดีในที่สุดในโลกที่คุณมาเยี่ยมผม หากตัดวรุจน์ทิ้งตอนนี้ก็ไม่แฟร์สิ...
กายหลับตาลง ถอนหายใจลึก คิดถึง 'คนต่อไป' ที่อาจจะต้องตัดทิ้งไปจาก 'รายการ'
ซอว์ เบน
...ไม่น่าจะมีทางที่เขากับซอว์ เบนจะรักกันได้ ซอว์ เบนทำงานและอาศัยอยู่พม่่า แถมเป็นฝายสังคมนิยม...
...จากนั้นก็คุณทหารอากาศเมฆ...พ่อของเมฆคงไม่ยอมให้ลูกชายคนสุดท้องสุดที่รักมามีแฟนเป็นผู้ชาย เมฆเป็นทหารหนุ่มอนาคนไกล พ่อกำลังจะเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ...
...แล้วก็ธฤต...
...เอ่อ เหตุผลอะไรดีวะ...อืม...เพราะเขาไม่ชอบวงการบันเทิง ถ้ายังงั้น ยังไงเขาก็เข้ากับธฤตไม่ได้...
...งั้นก็เหลือแค่คเชนทร์กับเชิงชาย...
“คุณกาย กรุณาแปลด้วย” เสียงหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงห้วน ไม่พอใจ กายสะดุ้ง ลืมตาขึ้นมาจึงเห็นว่าพฤศจ้องหน้าเขานิ่ง ส่วนคนอื่นๆ ในห้องประชุมต่างก็หันมามองเขาเช่นกัน
…เฮ่ย เราเอาแต่เหม่อหรือนี่...
“เอ่อ...” กายอึกอัก หันไปมองที่จอสไลด์และผู้เชียวชาญด้านขีปนาวุธชื่อ George Roberts ซึ่งยืนอยู่ข้างจอ เมื่อสบตากัน George Roberts จึงพูดประโยคเดิมออกมาอีกช้าๆ ชัด
กายแปลเป็นภาษาไทยและรอฟัง George Roberts พูดอย่างตั้งใจ พยายามรวบรวมสมาธิ แต่บางครั้งก็ลอบมองพฤศเพื่อดูว่าฝ่ายนั้นกำลังจ้องเขาอยู่หรือไม่
พฤศมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจหลายครั้ง จนกระทั่ง George Roberts นำเสนอเรื่องขีปนาวุธจบ Lisa Armitage ผู้เชี่ยวชาญด้านเรดาร์จึงลุกขึ้นและเดินไปยืนอยู่หน้ากระดาน SmartBoard เพื่อเตรียมนำเสนอรายงานของตัวเอง
กายรู้สึกเหนื่อย อยากจะทรุดนั่งลงบนพื้นให้สิ้นเรื่อง เขายืนแปลการประชุมมาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว และไม่มีทีท่าว่าพฤศจะสั่งพักการประชุม
Lisa Artmitage พูดภาษาอังกฤษสำเนียงนิวซีแลนด์เร็วมาก และมักจะพูดประโยคยาวๆ จนกายอยากจะขอให้เธอปรับเปลี่ยนการพูด แต่พฤศแสดงท่าทางสนใจฟังLisa มากจนกายไม่กล้าที่จะแทรกการนำเสนอของเธอ
หลังจาก Lisaนำเสนอจบ มีคำถาาสำคัญจากผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน คราวนี้มีการพูดภาษาไทยแทรกขึ้นมาเพื่อถกปัญหากัน กายจึงต้องแปลสบับสองภาษา
...ไม่เขัาใจจริงๆ บริษัทใหญ่ขนาดนี้ พนักงานแต่ละคนก็น่าจะมีความรู้ภาษาอังกฤษถึงขั้นสื่อสารในการประชุมกันได้ดี ทำไมจะต้องให้มาแปลด้วยนะ...
...ถ้าเพียงแต่ท่านประธานไม่จ้างฝรั่งจากประเทสออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส อินเดีย ฟิลิปปินส์ หรือแอฟริกาใต้ การกระชุมก็คงจะง่ายขึ้น เฮอะ บรรยากาศการทำงานแปลกประหลาดยังไม่พอ การจ้างงานยังแปลกประหลาดอีกด้วย นี่มันโรงเรียนนานาชาติหรือไงเนี่ย...
“คุณกาย” เสียงของพฤศดังขึ้น
“yes” กายเผลอตอบเป็นภาษาอังกฤษ
“กรุณาแปลด้วย translation, please” พฤศพูดทั้งสองภาษา
...นี่ถ้าคเชนทร์อยู่ในการประชุมคงเสนอให้พักการประชุมแล้วล่ะ”
“ครับ...เอ่อ...” กายอึกอักอีกครั้ง
“คุณกายคงจะล้า ให้ผมแปลแทนซักครึ่งชั่วโมงก็ได้ครับ” เสียงของการุณย์ดังขึ้น
...โอย หัวหน้าเราช่างใจดีเหมือนชื่อจังเลย...
กายหันไปมองการุณย์ ส่งสายตาแสดงความขอบคุณ แต่คำพูดต่อมาของพฤศทำให้เขาแทบตะโกนออกมาด้วยความฉุนเฉียว
“ผมว่ายังไม่ต้อง เราเพิ่งประชุมกันได้แค่หนึ่งชั่วโมงสาบสิบห้านาที ปกติล่ามจะแปลต่อเนื่อได้กันสองชั่วโมงโดยไม่พักไม่ใช่หรือ”
...ถ้าเป็นคเชนทร์ก็คงเถียงพฤศไปแล้ว มีแต่คเชนทร์เท่านั้นที่กล้าเถียงพฤศ...
การุณย์ไม่พูดอะไรต่อ แต่กายก็รู้สึกเป็นบุญคุญมากโขที่อย่างน้อยมีคนพูดแทรก ทำให้เขาตั้งสติได้ภายในไม่กี่วินาที
...ตอนที่เรียนมาอาจารย์สอนว่า หากสะดุด ให้ตั้งสติให้ได้ภายในห้าวินาที Focus อย่าสบตาคนที่จ้องเรา ให้มองอากาศ ใช้หูฟัง และแปลต่อ จะพลาดอีกไม่ได้...
Lisa Armitage รออยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ กายตั้งสติได้จึงรีบแปลทันที ผู้เข้าร่วมการประชุมถามคำถามเป็นภาษาไทย กายแปลเป็นภาษาอังกฤษ Lisa ตอบเป็นภาษาอังกฤษ กายแปลสิ่งที่เธอพูดเป็นภาษาไทยสลับไปมา คราวนี้ไม่มีพลาด

 ::: End of Chapter 39 :::

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






katawoot

  • บุคคลทั่วไป
Guy Chapter 40

กายกับนรธีร์แทบช้อคเมื่อได้ยินแพทย์บอกอาการของโรคที่เกิดขึ้นกับเชิงชาย นรธีร์เอื้อมมือมาจับต้นแขนขวาของเขาและบีบเบาๆ
“แต่ถ้าคนไข้ดูแลตัวเองดีก็หมดห่วงไปได้พอสมควรครับ” นายแพทย์หนุ่มสรุป
“เขาจะหายไหมครับหมอ” นรธีร์พึมพำเบาๆ
“คำถามนี้ตอบยากครับ ผมการันตีไม่ได้ว่าจะหายหรือไม่หาย ผมต้องรักษาและดูอาการไปก่อนซักระยะ”
“ทำไมจะตอบไม่ได้ล่ะครับ เห็นอาการแล้วจะบอกไม่ได้เลยหรือครับ”
“คุณเป็นอะไรกับคนไข้ครับ” นายแพทย์หนุ่มถาม
“เป็นเพื่อน” นรธีร์ตอบ น้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย กายรู้ดีว่านรธีร์ไม่ชอบคนที่ไม่ตอบคำถามตัวเองตรงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ถามคำถามกลับ “หมอบอกเรามาตรงๆ เลยดีกว่า”
“งั้นก็ได้ ผมจะพูดตรงๆ เพราะความจริงผมก็เป็นคนพูดตรง และคิดว่าคุณสองคนก็คงอยากได้ยินอะไรตรงๆ เหมือนกัน แต่เมื่อทราบแล้วจะตัดสินใจบอกคนไข้อย่างไรนั้น ผมขอให้คุณไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน”
“ใช่ ผมเป็นคนตรง” นรธีร์พูดเสียงค่อนข้างห้วน
“โอกาสหากยาก เพราะไม่ได้เป็นขั้นแรกของโรค ผมจะรักษาให้ดีที่สุด แต่ผมก็ไม่ใช่หมอวิเศษ และเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนไข้ด้วย อีกอย่าง ผมอยากเตือนด้วยว่าค่าใช้จ่ายสูง”
“เท่าไร่เราก็จ่ายได้” นรธีร์รีบพูด
“คนไข้มีกำลังใจดีหรือเปล่าครับ ถึงจุดหนึ่งเขาต้องรู้อย่างละเอียดว่าเขาเป็นอะไร คุณต้องการให้ผมบอกเขาเอง หรือคุณต้องการบอกเอง” นายแพทย์พูดเร็ว
“ผมจะบอกเองครับ” กายรีบต่อนก่อนนรธีร์เพราะกลัวว่าเพื่อนรุ่นพี่จะเปิดการ 'โต้วาที' กับหมอ ท่าทางนรธีร์ไม่ค่อยชอบนายแพทย์หนุ่มคนนี้
“ผมออกตรวจที่นี่พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ ถ้าต้องการพบผมวันอื่นให้ไปที่ BNH แต่ที่นั่นแพง พวกคุณมาพบผมที่นี่ดีกว่า” นายแพทย์หนุ่มตอบ กายรู้สึกได้ทันทีว่ามือของนรธีร์บีบแขนเขาแรงขึ้น
เขารู้ดีว่านรธีร์กำลังโกรธและพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้
“นี่ครับนามบัตรผม ถ้าคนไข้มีอาการไม่ดี โทรหาผมได้ตลอดเวลา ถ้าดึกต้องโทรนานหน่อย ผมหลับแล้วตื่นยาก ขอตัวนะครับ” นายแพทย์หนุ่มยื่นนามบัตรให้กายแล้วเดินจากไป
“เจ๊” กายเรียกนรธีร์เมื่อเห็นว่านายแพทย์หนุ่มหน้าเข้มคนนั้นเดินไปห่างมากแล้ว “เลิกบีบแขนผมซะที”
“นี่ถ้าไม่ให้นามบัตร ฉันตามไปตบหมอคนนี้แน่ๆ เลยไอ้กาย”
“ผมว่าเขาเป็นหมอปากร้ายใจดี” กายแสดงความเห็น
“โอ้โห ไม่อยากจะเชื่อ” นรธีร์หายใจแรงด้วยความหงุดหงิด
“ก็เจ๊ไปบอกว่าตัวเองเป็นคนตรง”
“หมออะไรวะ”
“แต่ท่าทางเขาเก่งนะ มั่นใจในตัวเองสูงมาก”
“โอกาสหายยาก โห พูดออกมาได้ไม่กลัวเราเสียใจ” นรธีร์ยังไม่หยุดบ่น
“ก็เราไม่ใช่คนไข้นี่นา เราเป็นญาติ หมอก็ต้องบอกตรงๆ ก่อนพูดเขาก็ถามแล้วไงว่าเราอยากได้ยินตรงๆ หรือเปล่า” กายแก้ตัวแทนหมอ
“ก็น่าจะถนอมน้ำใจกันบ้าง”
“ช่างเถอะน่าเจ๊ ตอนนี้เราต้องมาคิดกันก่อนว่าจะบอกชายยังไง แล้วถ้ามันต้องมีค่่าใช้จ่ายเยอะ เราจะหาเงินมาจากไหน”
“ฉันมีเงินเก็บ” นรธีร์ตอบ “แต่เท่าที่มีก็คงช่วยนานมากไม่ได้ แกต้องหาเงิน”
“พูดง่่ายๆ ยังงี้เลยหรือ”
“วิธีเดียวที่จะได้เงินเร็วและเยอะ คือแกต้องเข้าวงการบันเทิง ไปถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา อะไรก็ได้ ให้คุณธฤตช่่วย” นรธีร์แนะนำ
“ไม่เอานะ” กายส่ายหน้า
“ไม่งั้นแกก็ไปยืมเงินพวกหนุ่มๆ ที่มาจีบแก รวยกันทุกคนไม่ใช่หรือ”
“บ้า จะทำยังงั้นได้ยังไง”
“ถ้าเขารักแก เขาก็ต้องช่วยแก เหมือนที่เรารักไอ้ชาย เราก็ช่วยไอ้ชาย นี่กาย ฉันไม่ต้องหยุดคิดแม้แต่นิดเดียวเลยนะโว้ยว่าจะช่วยไอ้ชายหรือไม่ช่วย พอรู้ว่ามันเป็นอะไรฉันก็ตอบได้เลยว่าเงินเก็บจะเอามารักษามัน แกคิดแบบฉันหรือเปล่า”
กายนิ่ง ไม่ตอบคำถามนรธีร์ ส่วนนรธีร์เองก็ไม่ถามต่อ ทั้งสองเดินกลับไปยังห้องพักของเชิงชายเงียบๆ

คเชนทร์ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงพิงผนังมองกายอยู่ชั่วครู่แล้วเดินเข้าไปหา กายนั่งเหม่อเช่นเคย เขาคุ้นตากับภาพที่ชายหนุ่มนั่งนิ่งเวลาคิดไตร่ตรองอะไรบางอย่าง แต่ครั้งนี้เขารู้สึกแปลบๆ ในอกเพราะอดคิดไม่ได้ว่ากายคงนั่งคิดถึงอาการของวรุจน์
...กายรักใคร...
คเชนทร์ถามคำถามขึ้นมาในใจ
“คุณคิดอะไรอยู่” คเชนทร์ถามกายเมื่อเดินมาถึงโต๊ะ
“อะไรครับ” กายสะดุ้ง
“กำลังคิดถึงใคร” คเชนทร์ถามอีก
“เปล่าครับ กำลังนึกคำศัพท์”
“โกหกอีกแล้ว” คเชนทร์ทำเสียงดุ “กาย คุณก็รู้ว่าตัวเองโกหกไม่เป็น สายตาคุณฟ้องทันทีเวลาที่คุณพูดอะไรไม่ตรงกับใจ รู้เอาไว้ซะด้วย”
“ผมนึกถึงเพื่อนที่กำลังนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล” กายตอบ ไม่หลบตาคเชนทร์ซึ่งกำลังก้มหน้าลงจ้องตาเขา
“อือ...คำตอบนี้จริง” คเชนทร์พยักหน้า นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “วรุจน์ใช่หรือเปล่า”
“คุณคเชนทร์” กายทำหน้ามุ่ย
“ผมทำให้คุณลำบากใจใช่ไหมที่ทำให้ต้องพูดตรงๆ”
“เปล่าครับ”
“ถ้างั้นผมก็จะพูดตรงๆ” คเชนทร์ทำเสียงราบเรียบ “พอกลับมาถึงเมืองไทย ผมก็รีบมาทำงานเลย ไม่ใช่เพราะผมอยากทำงานมาก โอเค ผมยอมรับว่าต้องมาทำงานเพราะมันต้องทำ ตอนนี้บริษัทเรามีปัญหา ซึ่งผมก็รับมือได้ แก้ปัญหาใกล้จะเสร็จแล้ว แต่ที่ผมรีบกลับมาเพราะผมอยากเจอคุณ เพราะผมคิดถึงคุณมาก คุณรู้ไหมว่าทำไม”
“แก้ปัญหาเรื่องข่าวกองทัพซื้อเครื่องบินหรือครับ” กายถาม
“เลิกเฉไฉซะที ผมจะไม่ให้คุณดิ้นไปไหนอีกแล้ว ถึงคุณจะลาออกจากงานก็เถอะ”
“ผม...” กายอึกอัก คเชนทร์ดูจริงจังมาก
“ผมต้องการให้ความสัมพันธ์ของเราก้าวหน้าไปอีกขั้น”
“หมายความว่ายังไงครับ” กายเลิกคิ้ว
“คืนนี้ไปค้างบ้านผมนะ” คเชนทร์พูดเสียงนุ่ม
“คุณคเชนทร์”
“เลิกงาน ตรงเวลาเป๊ะ เจอกันที่ลานจอดรถ P6 ผมจอดรถตรงสุดแถว มุมฝั่งที่ติดกับตึกศัลยากร ทะเบียนรถตองเก้า ฟอร์ดมัสแตงสีแดงเพลิง”
“คุณยังไม่ได้ถามผมเลยว่าเย็นนี้ผมว่างหรือมีธุระอะไรหรือเปล่า”
“งั้นคุณมีธุระอะไรทั้งคืนถึงจะไปค้างกับผมไม่ได้”
“ก็...”
“ผมขอสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรคุณ แค่ค้างด้วยกัน ผมนอนห้องผม คุณนอนห้องคุณ”
“เอ่อ...”
“ถ้ามีธุระอะไรผมจะพาไป จะรอจนกว่าคุณจะเสร็จธุระ” คเชนทร์พูดเสียงจริงจัง “นอกเสียจากว่า คุณไม่อยากไปกับผม”

ธุระของกายคือมาเยี่ยมเชิงชาย คเชนทร์เม้มริมฝีปากเมื่อเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักคนป่วยซึ่งมีป้ายชื่อเขียนไว้ว่า 'เชิงชาย ธำรงค์รักษ์' และเมื่อมองเข้าไปผ่านช่องกระจกก็เห็นชายหนุ่มคนที่เขาจำหน้าได้นอนตะแคงอยู่บนเตียง กายขอให้วรุจน์รอเพราะจะเข้าไปเยี่ยมเชิงชาย
“ไม่นานหรอกครับ” กายก้มหน้าพูด
“ไม่เป็นไรครับ ผมบอกแล้วไงว่าจะรอจนกว่าคุณจะเสร็จธุระ” คเชนทร์ยิ้มมุมปากบางๆ
“ขอบคุณครับคุณคเชนทร์” กายพูดแล้วเปิดประตูเดินเข้าไป คเชนทร์แอบดูผ่านช่องกระจก และขบกรามจนขึ้นเป็นสันด้วยความไม่ชอบใจเมื่อเห็นคนป่วยรีบลุกขึ้นมาทันทีเมื่อกายเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างเตียง
“เชิงชาย...ชื่อเชยซะไม่มี อะไร นั่งมองกายเหมือนหมาน้อยมองเจ้าของ หน้าตาก็จืดชืด ยังไงก็สู้เราไม่ได้” คเชนทร์พึมพำ
คเชนทร์ยืนมองคนทั้งสองอยู่กว่าสิบนาที เมื่อเห็นว่ากายและเชิงชายได้แต่คุยกันจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกและเดินไปหาที่นั่งคอย แต่ไม่นานก็เดินย้อนกลับมาแอบดูทั้งสองอีก คราวนี้คเชนทร์รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นกายรินน้ำให้เชิงชายดื่มก่อนที่คนป่วยจะเอนตัวลงนอน กายดึงผ้าห่มคลุมจนถึงหน้าอก เชิงชายยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ทั้งสองท่าทางสนิทกันมากจนลึกๆ แล้วเขารู้สึกหวั่นใจ แต่ก็ได้แต่ปลอบตัวเองว่าเชิงชายไม่มีทางสู้เขาได้
...ใครก็ไม่มีทางสู้เขาได้ แม้กระทั่งคนที่เขารู้จักดีกว่าใครก็สู้เขาไม่ได้...
...ส่วนวรุจน์นั้นเล่า กว่าจะฟื้นตัวก็อีกนาน เขาก็คงทำคะแนนนำหน้าไปได้โข ซอว์เบนอยู่ที่พม่า ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง...

เชิงชายดื่มน้ำเข้าไปครึ่งแก้วแล้วเอนตัวลงนอน มองกายตาไม่กะพริบ
“คืนนี้กายไม่ได้เฝ้าชายใช่ไหม” เชิงชายทำเสียงอ้อน ถามคำตอบนี้ทั้งที่ใจอยากจะถามอีกแบบ
“เจ๊นออยากจะเฝ้า ห้ามก็ไม่ฟัง” กายตอบ
“เดี๋ยวชายห้ามเอง พอเจ๊นอมา ชายจะบอกว่า...”
“ชาย ให้เจ๊นอเฝ้าซะบ้าง” กายแทรก
“กายเหนื่อยดูแลชายใช่หรือเปล่า”
“ก็ไม่เห็นจะต้องดูแลอะไร นั่งๆ นอนๆ อยู่บนเตียง” กายยักไหล่ “ความจริง ไม่ต้องมีใครเฝ้าก็ยังได้นะ”
“ได้ไง ชายไม่สบายมากรู้ไหม เผื่ออาการทรุดกระทันหัน ใครจะคอยช่วย” เชิงชายทำเสียงออดอ้อน
“พยาบาลกับหมออยู่กันเต็ม”
“เขาอยู่ข้างนอกโน่น ไม่ได้อยู่ในห้อง” เชิงชายเบ้ปาก
“มีปากก็ตะโกนเรียกไปสิ” กายแนะนำ
“ตะโกนไม่ไหวหรอกกาย นี่คนป่วยนะ”
“ชาย” กายทำเสียงเข้ม “อย่ามาทำตัวเป็นเด็กไปหน่อยเลย”
“เปล่าทำ”
“ถ้ามาต่อล้อต่อเถียงแบบนี้ได้แล้วก็แสดงว่าอาการไม่มีอะไรมาก อีกหน่อยก็ออกจากโรงพยาบาลได้”
“ยังหรอก” เชิงชายแย้ง “ชายป่วยเป็นลูคีเมีย จะออกจากโรงพยาบาลง่ายๆ ได้ยังไง”
“ชาย” กายอุทาน รู้สึกตกใจมาก
“ชายรู้แล้วล่ะ หมอบอก”
“ตายล่ะ” กายทำหน้ามุ่ย ไม่อยากจะนึกถึงหน้านรธีร์เมื่อฝ่ายนั้นได้ยินเรื่องนี้
“หมอถามว่าเพื่อนบอกหรือยังว่าเป็นอะไร พอชายส่ายหน้าหมอก็เลยบอก แต่ไม่เป็นไรนะ ชายรับได้ ชายรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ เราป่วยก็ต้องยอมรับว่าป่วยและรับมือกับมัน อย่างน้อยชายก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ชายมีกาย มีเจ๊นอ มีพี่ตั้ม มีใครต่อใครที่บริษัททัวร์”
“เจ๊นอรู้คงโวยวายแย่ว่าหมอชิงบอกซะก่อน”
“หมอเขาเก่ง พยาบาลบอกว่าหมอคนนี้เก่ง ชายต้องหาย”
“ดีที่ชายมีกำลังใจดี”
“เป็นกำลังใจให้ชายด้วยนะกาย” เชิงชายยื่นมือมาจับมือกาย
“อือ” กายพยักหน้า
“ตอบอย่างนี้นี่นะ พยักหน้าแล้วทำเสียงว่าอือ พูดอะไรซึ้งๆ หน่อยได้ไหมล่ะ” เชิงชายทำหน้ามุ่ย
“รอให้เจ๊นอมาพูดนะ” กายดึงมือกลับ รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกที่เชิงชายเข้มแข็งมากกว่าที่คิดและยอมรับอาการป่วยของตัวเอง
“แต่ชายรู้ว่ามันมีค่าใช้จ่ายเยอะ ชายจะขายรถ กายกับเจ๊นอไม่ต้องลำบากเพื่อชายนะ”
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้” กายห้าม
“ถึงชายจะไม่รวย แต่ถ้าชายพยายามดูแลตัวเอง โรคก็คงไม่กำเริบ ชายทำงานเก็บเงินไปเรื่อยๆ อีกหน่อยก็ตั้งตัวได้ กายจะได้ไม่ต้องลำบากที่อยู่กับชาย”
“นี่ชาย อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ได้ไหม”
“ทำไมจะไม่ได้ ชายพูดเรื่องอนาคต คนเรามันต้องมองไปข้างหน้าไม่ใช่หรือ” เชิงชายแย้ง “หรือว่ากายไม่อยากมีอนาคตกับชาย”
“นอนพักซะ ออกจากโรงพยาบาลแล้วค่อยคุยกัน”
“สัญญานะ”
“เออ” กายตอบ
“พูดไม่เพราะเลย”
“เดี๋ยวเจ๊นอคงมา นอนไปก่อนนะ ขอไปซื้ออะไรกินก่อน”
“กายจะกลับมาอีกใช่ไหม”
“ก็บอกว่าขอไปซื้ออะไรกินก่อน ก็ต้องกลับมาสิ ร่ำไรจริง” กายขมวดคิ้ว แกล้งทำเสียหงุดหงิด
“คร้าบ” เชิงชายยิ้มแล้วหลับตา กายลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องช้าๆ

คเชนทร์นั่งหลับพิงกับเสา กายยืนมองชายหนุ่มอยู่ครู่ใหญ่ รู้สึกลังเลว่าจะปลุกคเชนทร์ดีหรือไม่ เขารู้ว่าคเชนทร์ทำงานหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพิ่งเดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกาทั้งที่เดินทางไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
กายนั่งลงบนเก้าอี้ข้างคเชนทร์โดยพยายามไม่ให้มีเสียง แต่คเชนทร์รู้สึกตัวทันทีและหันมามองกายตาปรือ
“คุณดูเหนื่อย” กายพูด
“ใครบอก ผมยังคึกเหมือนม้าศึกอาระเบียอยู่นะจะบอกให้” คเชนทร์ยิ้มเนือยๆ
“ผมยังกลับไม่ได้ครับ ต้องรอเพื่อนรุ่นพี่อีกคน ตอนนี้เขาใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้วครับ แต่ว่า...”
“ไม่ต้องห่วงผม นานเท่าไหร่ก็ได้ ผมบอกแล้วไงว่าจะรอจนกว่าคุณจะเสร็จธุระ ผมพูดคำไหนคำนั้น” คเชนทร์ยิ้ม “และที่ผมบอกว่าคืนนี้ไปค้างบ้านผมก็คำไหนคำนั้นเหมือนกัน”
“ได้ครับ” กายพยักหน้า ในใจคิดอะไรได้บางอย่าง

คเชนทร์คงเหนื่อยมาก กลับถึงคอนโดมิเนียม อาบน้ำเสร็จ นั่งดูโทรทัศน์ไม่ถึงห้านาทีก็หลับอยู่ที่โซฟา กายเดินกลับมาจากห้องครัวเพราะไปดื่มน้ำ เขาเองก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกันจึงคิดจะเข้านอนแต่ต้องปลุกคเชนทร์เสียก่อน
คเชนทร์หลับสนิท กายเขย่าตัวเรียกแต่คเชนทร์ไม่รู้สึกตัวเลย
กายยืนมองคเชนทร์ด้วยสายตาครุ่นคิด ความจริงคืนนี้เขาตั้งใจจะ 'คุย' กับคเชนทร์เรื่องที่เข้าใจผิดว่าเคยมีอะไรกันแต่คเชนทร์ยืนยันว่าไม่เคยล่วงเกินเขาตอนเมา แต่คเชนทร์กลับมาหลับไปเสียก่อน
...แต่ถ้าจะคุยกับคเชนทร์ จะเริ่มต้นยังไงดี เราคงรู้สึกกระดากใจพิลึกที่จะไปถามเรื่องแบบนั้น ครั้นจะใช้วิธีการสอบสวนแบบที่ตำรวจใช้กับผู้ต้องสงสัยทำความผิด คเชนทร์ก็คงจับได้เพราะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าสายตาเราอ่านง่าย...
...ตอนนี้คเชนทร์กำลังหลับสนิท ถ้ายังงั้น 'ลักหลับ' คเชนทร์เลยดีกว่า แบะเสื้อคเชนทร์ออกเพื่อดูว่ามีรอยแผลเป็นที่อกกับรอยสักบนหน้าท้องหรือไม่ ชุดนอนของคเชนทร์หลวม ถอดง่าย เวลานี้เหมาะที่สุด...
ร่างกายของคเชนทร์อุ่นมาก กายรู้สึกได้ขณะที่กำลังปลดกระดุมเสื้อแพรสีฟ้าอ่อนที่คเชนทร์สวมอยู่อย่างระมัดระวัง ความร้อนจากตัวคเชนทร์เหมือนดั่งกองไฟที่เปลวพุ่งขึ้นมาประหนึ่งจะเผาไหม้มือของเขา ผิวสีแทนเข้มของคเชนทร์เนียนสะอาด กล้ามแกร่งสมชายชาตรี
...อะไรกัน ไม่มีแผลเป็น!...
กายอุทานอยู่ในใจ
...แล้วรอยสักอยู่ตรงไหน...
...อยู่ตรงหน้าท้อง จำได้ว่ารอยสักอยู่บนหน้าท้อง...
คเชนทร์ขยับตัว กายสะดุ้งถอยออกห่างแต่สะดุดส้นเท้าตัวเองล้มหงายลัง
“ทำอะไรกาย” คเชนทร์พูดขึ้นมาเบาๆ “มาถอดเสื้อผมทำไม อยากดูผมเปลือยทำไมไม่บอกดีๆ”
“เอ่อ เปล่าๆ ครับ ผมคิดว่าคุณไม่สบายเพราะตัวร้อน ก็เลย...”
“มาถอดเสื้อให้ จะได้เย็น” คเชนทร์กลั้นยิ้ม “เคยบอกกี่ครั้งแล้วว่าตัวเองโกหกไม่เป็น พูดแบบนี้คิดว่าผมจะเชื่อหรือไง”
“ไม่เชื่อก็ช่าง” กายลุกขึ้น คิดจะเดินเข้าห้องนอนแค่คเชนทร์รีบลุกเดินเข้ามาขวาง
“ตอนแรกว่าจะไม่ทำอะไร ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วล่ะ คุณแสดงท่าทางหื่นอยากถอดเสื้อผ้าผมเองนะ”
“คุณคเชนทร์ ถอยไป”
“กาย...” คเชนทร์เรียกกายเสียงพร่า มองหน้ากายด้วยสายตาหวาบหวาม ใจเต้นแรง
“คุณคเชนทร์ ผมจะไปนอน” กายพูดเสียงเบา แต่ทันใดต้องหลุบตาลงมองต่ำกว่าเอวของคเชนทร์โดยอัตโนมัติเพราะฝ่ายนั้นดึงกางเกงลง เผยให้เห็นชั้นในสีขาวปกปิดความอวบอูมกลางลำตัวเอาไว้แทบไม่มิด
...ไม่มีรอยสักหน้าบนหน้าท้อง...
“ผมพร้อมแล้วครับ” คเชนทร์พูดเสียงกระเส่า ปลายนิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างเกี่ยวขอบกางเกงชั้นในสีขาวเอาไว้ ส่งสายตาให้กาย ราวกับจะบอกว่า 'ผมจะดึงลงแล้วนะ'
“ไหนบอกว่าต่างคนต่างนอน ห้องใครห้องมัน คุณเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น” กายพูดเบาๆ
“ก็คุณจะล่วงเกินผม” คเชนทร์แย้ง
“เปล่า” กายปฏิเสธ
“กาย...ผมจะทนไม่ไหวแล้ว ผมต้องการคุณมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมอดทนจนไม่รู้จะเรียกว่าอดทนยังไง ยิ่งตอนคุณเมาแล้วผมพาคุณมานอนที่นี่ ผมต้องเอาเชือกมัดมือตัวเองไว้ ขังตัวเองไว้ในห้องเพราะกลัวจะเป็นม้าป่าวิ่งตะลุยออกจากห้องไปขี่คุณ คุณมองไม่ออกหรือครับว่าผมรู้สึกทรมานยังไง”
“แสดงว่าคุณชอบผมเพราะกามารมณ์”
“ผมเป็นคนตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นคำตอบนั้นก็ใช่ รูปร่างหน้าตาคุณยั่วสวาทแบบนี้ ใครไม่ต้องการคุณก็บ้าแล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องนั้นเรื่องเดียว และไม่ใช่ประเด็นหลักด้วย ที่ผมปรารถนาคุณมีอีกเหตุผลหนึ่ง”
“อะไรครับ”
“ผมบอกตอนนี้ไม่ได้ มันไม่งาม”
“ทำไมจะไม่ได้”
“ผมกลัวคุณจะหาว่าผมพูดออกไปเพื่อให้ได้ตัวคุณ”
กายนิ่งอึ้ง กลั้นหายใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าคเชนทร์จะพูดอะไรแบบนี้ เขารู้สึกสองจิตสองใจ อยากให้คเชนทร์พูดออกมา อยากได้ยินว่าคเชนทร์จะพูดว่าอะไรกันแน่ แต่อีกใจหนึ่งก็หวาดหวั่นว่าคำพูดนั้นจะไม่จริงและเกิดขึ้นเพียงเพราะความปรารถนาทางกาย
“กาย...” คเชนทร์ขยับเข้ามาใกล้จนตัวชิดกัน กายรู้สึกถึงความเข้มแข็งร้อนผ่าวของคเชนทร์กำลังดุนหน้าท้องของเขา คเชนทร์หายใจแรง แต่เขากลับกลั้นหายใจและกำลังจะขาดใจ
“นะครับ...” เสียงของคเชนทร์แหบพร่า

::: End of Chapter 40 :::

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
Guy Chapter 41

บทรักของคเชนทร์เนิบนาบ ต่างไปจากที่กายคาดคิด เป็นบทรักที่อ้อยอิ่งและยาวนาน และกายเองก็ยอมรับว่าตัวเองก็สุขสมกับความสุขที่คเชนทร์มอบให้ คืนที่ค้างกับคเชนทร์เขาแทบจะไม่ได้นอน คืนที่สองกายต้องใจแข็ง ไม่ยอมให้คเชนทร์ทำอะไรตามใจทุกอย่าง ไม่เช่นนั้น เขาก็คงจะไม่มีเรี่ยวแรงทำงานในวันถัดมา
คราวนี้กายรู้อย่างแน่ชัดแล้วว่าคเชนทร์ไม่ใช่ผู้ชายปริศนาคืนวันศุกรที่ยี่สิบซึ่งคืนนั้นเขาเมาจนไม่มีสติ กายบอกตัวเองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอีกแล้ว แต่ลึกๆ เขาก็ยังอยากจะทราบอยู่ดีว่าผู้ชายผิวเข้มคนที่นอนอยู่บนเตียงนอนของคเชนทร์คืนนั้นเป็นใคร จะถามคเชนทร์ไปตรงๆ ก็ไม่กล้า ดังนั้น กายจึงบอกตัวเองอีกครั้งว่าคงเป็นเพื่อนของคเชนทร์มาใช้บ้านเพื่อนนอนพักเพราะเมาและไม่สามารถกลับบ้านได้
...แต่หากรู้ว่าเป็นใครล่ะ เราก็ไม่เห็นว่ามันจะสำคัญยังไง เพียงแต่เฉลยปริศนาค้างคาใจเท่านั้น อีกอย่าง ถ้าถามคเชนทร์ เวลาก็ผ่านไปค่อนข้างนานแล้ว คเชนทร์อาจจะจำไม่ได้ และจะกลายเป็นประเด็นใหม่เฉยๆ...
...ไม่เข้าใจ แล้วเราจะอยากรู้ไปทำไมวะ เป็นเอดส์ก็ไม่ได้เป็น เห็นไหมล่ะ อยากจะรู้ดีนัก เลยต้องเสียตัวให้คุณทหารอากาศเมฆกับคเชนทร์...
...เรายอมมีอะไรกับสองคนนั้นเพียงเพื่อต้องการพิสูจน์ว่าใครเป็นผู้ชายปริศนาคนนั้นแค่นั้นหรือเปล่า แต่เราว่าไม่ใช่หรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น เราเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองเหมือนกัน...
“กาย ประชุมด่วน”
กายสะดุ้งเพราะเสียงของการุณย์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะโต๊ะ จากนั้นหัวหน้าของเขาก็เดินลิ่วออกไปจากแผนก กายจึงรีบคว้าสมุดบันทึกและปากกาวิ่งตามไป ปากก็บ่นไปด้วยว่า
“ประชุมอะไรกันนักหนา นี่จะต้องไปเป็นล่ามการประชุมหรือไปนั่งประชุมเฉยๆ เฮ้อ...”
เมื่อใกล้จะถึงห้องประชุม กายพบกับเจนจิรา คำพูดของหญิงสาวทำให้เขาแทบจะตะโกนออกมาดังๆ ด้วยความอึดอัดใจ
“ท่านประธานให้คุณไปพบค่ะ”
“แต่ว่าการประชุมกำลังจะเริ่มนะครับ” กายแย้ง
“อีกห้านาที มีเวลาพอค่ะ ท่านประธานพูดเอง” เจนจิราชูโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตัวเองให้กายดู สื่อสารให้กายรู้ว่าท่านประธานโทรศัพท์มาสั่ง
กายรีบเดินแกมวิ่งไปที่ห้องทำงานของพฤศ แต่เมื่อเดินเข้าไปก็ต้องชะงักเพราะพฤศยืดกอดอกคอยอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเจนจิรา
“คุณไปเป็นพยานให้วรุจน์” พฤศเปิดฉาก
“ครับ” กายเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ผมนึกว่าคุณจะเข้าใจว่า บริษัทของเราเพิ่งเป็นข่าวเรื่องกองทัพอากาศซื้อเครื่องบินผ่านบริษัทเราซึ่งเป็นนายหน้า และผมก็ไม่ต้องการให้มีข่าวอะไรอีก นั่นหมายความว่า ผมไม่ต้องการให้พนักงานของเราเป็นข่าวด้วย ไม่ว่าจะเป็นข่าวอะไร”
“ผมอยู่ในเหตุการณ์ ตำรวจต้องการพยาน”
“คุณไปทำอะไรกับนายวรุจน์กลางดึกขนาดนั้น”
...จะไปทำอะไรมันก็เรื่องของผม คุณมาเกี่ยวอะไรด้วย...กายตอบอยู่ในใจ
“ไปเที่ยวครับ”
“ดื่มเหล้า” พฤศเลิกคิ้ว
“ก็มีบ้างครับ” กายตอบเสียงราบเรียบ
“ข่าวนี้ไม่จบง่ายๆ คุณรู้หรือเปล่า และท่าทางจะเป็นข่าวใหญ่ด้วย วรุจน์เป็น CEO ของ The Atlantis อ้อ คุณก็คงรู้สินะเพราะคุณคบกับเขาอยู่นี่นา แต่ที่ผมจะบอกก็คือว่า พนักงานบริษัทของเราไม่ควรจะเป็นข่าว”
“ผมแค่เป็นพยานอุบัติเหตุ”
“คุณไปดูใน Breaking Newsข่าวลงในอินเทอร์เน็ตแล้ว อีกหน่อยก็ลงหนังสือพิมพ์กรอบเช้าแทบทุกฉบับ ข่าวคุณไม่ได้เล็กอย่างที่คิดหรอก ที่ผมเชิญคุณมาก็เพราะคุณเป็นพนักงานบริษัท ผมไม่ชอบใจที่พนักงานของเราเป็นข่าวในเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสม”
...ย้ำอยู่นั่นล่ะ พูดแค่ครั้งเดียวก็เข้าใจแล้ว ไม่เห็นจะต้องพูดมาก แล้วใครอยากเป็นข่าว ช่วยไม่ได้ ก็มันเป็นไปแล้วนี่นา...
“ผมยังไม่ได้อ่านข่าว เพราะฉะนั้นคงชี้แจงอะไรคุณพฤศยังไม่ได้” กายพูดเสียงเบา
“เชิญไปประชุมได้แล้ว” พฤศพูดแล้วเดินออกจากออฟฟิสไป ทิ้งให้กายยิ่งนิ่ง กำมือแนนด้วยความโกรธ
...ถ้าต้องเป็นล่ามการประชุม ใครจะไปมีสมาธิแปลวะ รอให้ประชุมเสร็จแล้วค่อยเรียกมาว่าก็ได้ ไม่เห็นจะต้องพูดอะไรตอนนี้...
กายบ่นให้พฤศอยู่ในใจแล้วเดินหน้าง้ำไปที่ประตู แต่ทันใดก็หยุดเดิน เปลี่ยนใจเดินย้อนกลับไปที่โต๊ะเลขานุการของพฤศ ยอมเสียมารยาทใช้คอมพิวเตอร์ของเจนจิราเพื่อค้นหาข่าว Breaking News ของวรุจน์ ไม่กี่วินาทีก็พบ แต่สิ่งที่ปรากฎบนหน้าจอทำให้เขาเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง

วรุจน์ขมวดคิ้ว จำได้ว่าคนที่ปรากฎอยู่ในภาพข่าวคือคนเดียวกันกับที่เคยมาเยี่ยมเขา
...กาย ชื่อสั้นๆ เขาจำได้ กายบอกว่าเป็นเพื่อนกับเขา เพิ่งรู้จักกัน เคยไปเที่ยวด้วยกันไม่กี่ครั้ง...
...ไม่นึกว่ากายจะทำงานอยู่ที่บริษัท Megatrexบริษัทที่เขาจ้องทำลาย...
...Megratrex เป็นบริษัทของพฤศ คนที่ฆ่าอรัญน้องชายของเขา เขาแค้นพฤศมาก รวมทั้งธฤต พี่ชายต่างมารดาและเป็นผู้ช่วยของพฤศในขณะนั้น คเชนทร์ซึ่งเป็นเพื่อนและญาติของพฤศก็ไม่เว้น...
...แม้คเชนทร์จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ใครที่เกี่ยวข้องกับพฤศและมีส่วนในการตายของอรัญ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เขาเกลียดหมด...
...กายมาบอกว่าเป็นเพื่อนของเขา แต่...เอ...หรือว่ากายเป็นสายให้พฤศ เหมือนกับที่เขามีสายในบริษัทของพฤศเช่นกัน...
...แต่ตอนนี้ คำว่า 'เพื่อน' ที่กายบอกเขาไม่ได้เป็นแค่ 'เพื่อน' ตามที่คนทั่วไปควรเข้าใจหรืออย่างที่กายบอก กายเป็น 'เพื่อนชายคนพิเศษ' ไปเสียแล้ว ข่าวรายงานว่ามีคนเห็นกายนั่งกุมมือเขาอยู่ข้างถนน ท่าทางตกใจมากถึงขึ้นเกือบช๊อค คนที่วิ่งเข้าไปช่วยต้องแกะมือออก และกายก็นั่งมาด้วยในรถพยาบาล แสดงความห่วงใยเขาจนเห็นได้ชัด...
...ถ้ากายเป็นคนของพฤศ ควรจะสะใจที่เห็นเขาถูกรถชนสิ ไม่ใช่ตกใจมากเกือบช๊อค และที่สำคัญ ทำไมกายไม่พูดเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียวเมื่อมาเยี่ยมเขา...
...แต่ตำรวจบอกว่า รถที่ชนเขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ถึงตาย หากกายเป็นสายให้พฤศจริงก็น่าจะรู้ว่ายังไงเขาก็รอด ดังนั้นก็ต้องเล่นให้สมบทบาท เหมือนกับคนของเขาซึ่งฝังตัวอยู่ในบริษัทของพฤศมานานแล้ว...
วรุจน์พยายามคิดหาเหตุผล แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดศีรษะ จึงวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วยกมือขึ้นใช้นิ้วทั้งสิบนวดขมับของตัวเองและพักการคิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

กายเดินก้มหน้าเข้าไปในโรงพยาบาลที่เชิงชายพักรักษาตัว นรธีร์รออยู่แล้วที่ห้องพัก กำลังเก็บของใช้ส่วนตัวให้เชิงชาย วันนี้เชิงชายได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน กายจึงลางานครึ่งวันเพื่อมาช่วยนรธีร์
กายรู้สึกเหมือนเป็นวัวสันหลังหวะ ทุกครั้งที่มีคนหันมามอง เขาเผลอคิดว่าเป็นเพราะคนเหล่านั้นจำหน้าเขาได้จากหนังสือพิมพ์
'ภาพหลุด' ที่เคยปรากฎอยู่ในเฉพาะ Facebook ต่อมามีการส่งต่อกันทางอีเมล์และกระจายไปในโลกอินเตอร์เน็ต ขณะนี้ปรากฎอยู่ในหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับในฐานะที่เขาเป็น 'เพื่อนชายคนพิเศษ' หรือไม่ก็ 'พยายานคนใกล้ชิด' ของวรุจน์ CEO ของเครือโรงแรม The Atlantis หนังสือพิมพ์บางฉบับบรรยายภาพว่า 'เมาได้ที่ก่อนท่องราตรี'
...พวกงี่เง่า ใครจะไปเมาก่อนท่องราตรีวะ คนเขาก็ต้องเมาหลังท่องราตรีสิ เขียนออกมาได้...
...ภาพเขาเมาเหล้า เอนตัวพิงหน้าอกของชายหนุ่มปริศนาซึ่งเห็นถึงแค่คาง ตอนนี้มีคนสันนิษฐานว่าคือวรุจน์...
...โอ๊ย จะบ้าตาย...
กายหยุดนิ่งชั่วครู่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปิดประตูห้องพักคนป่วยและเดินเข้าไป เชิงชายนั่งห้องขาอยู่บนเตียง นรธีร์ยืนอยู่ปลาเตียง กำลังเก็บเอกสารเข้าซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่
“งานเข้าแล้วแกไอ้กาย” นรธีร์ทักทาย
“กาย...” เชิงชายเรียกกายเสียงเขา ใบหน้าแสดงออกอย่างอ่อนโยน
“นี่เห็นข่าวกันแล้วหรือ” กายถาม
“ใครจะไม่เห็น ลงแทบทุกฉบับขนาดนั้น” นรธีร์ตอบ “อุตส่าห์ซ่อนไอ้ชาย มันก็เห็นจนได้ โดยเฉพาะฉบับที่เขาตัดต่อรูป เอาเฉพาะหน้าของแกแปะติดเทียบกับหน้าคุณวรุจน์แล้วบรรยายภาพว่า สุดหล่อเจอเรื่องเศร้าสลด”
“ซ่อนยังไงผมก็ต้องเห็นอยู่ดีล่ะเจ๊” เชิงชายหันไปพูดกับนรธีร์แล้วหันกลับมามองกาย “แต่ผมทำใจได้ ผมเข้มแข็งพอ กายลืมมันไปซะนะ”
“ขอบใจ ชาย”
“ตกลงใช่คุณวรุจน์หรือเปล่า” เชิงชายอ้อมแอ้มถาม
“ไม่” กายตอบเสียงหนักแน่น
“โล่งอก” เชิงชายถอนหายใจ
“ไม่รู้ว่าใคร ตอนนั้นมันเมา เข้าใจหรือเปล่า” กายพูดเสียงหงุดหงิด “แล้วไอ้พวกนักข่าวก็ช่างโยงรูปเก่าๆ เข้ากับคุณวรุจน์ คิดได้ยังไง”
“แล้ว...” นรธัร์อ้าปากจะถาม แต่กายรีบยกมือขึ้นห้ามและพูดว่า
“พอก่อนนะเจ๊ อย่าถามอะไรทั้งนั้น ขอผมตั้งหลักซะก่อนซักสองสามวัน”
“ใครไปว่าอะไรแก” นรธีร์ตอบเสียงสะบัดแล้วยื่นซองสีน้ำตาลให้” เอ้า นี่ เอกสารของไอ้ชาย แกเก็บเอาไว้ให้มันด้วย มันยังมือไม้อ่อน ถืออะไรไม่ได้ แกถือแทน ฉันจะประคองไอ้ชายเอง เดี๋ยวได้เป็นข่าวอีกข่าว”
“เจ๊อย่าพูดให้กายหนักใจแบบนี้สิ” เชิงชายห้ามนรธีร์ “ความจริง เราเช็คเอาท์ออกโรงพยาบาลสองคนก็ได้ ให้กายเดินออกไปก่อน หรือไม่ก็ออกไปทีหลัง”
“ที่โรงพยาบาลแบบนี้คงไม่มีนักข่่าวหรอก โน่น คงไปรวมตัวกันอยู่ที่โรงพยาบาลคุณวรุจน์โน่น เวลาไปเยี่ยมเขาแกระวังตัวให้ดีๆ นะกาย”
“ขอบคุณนะเจ๊สำหรับคำเตือน” กายเบ้ปาก พูดประชดนรธีร์

กายก้มหน้ารับประทานอาหารกลางวัน ไม่สนใจใครทั้งสิ้น เขารู้ว่ามีคนมองเขาและซุบซิบกัน พนักงานบริษัทต่างๆ ที่ทำงานกันอยู่ในตึกแห่งนี้คงจำเขาได้ กายบอกตัวเองว่าต้องทำเสมือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกไม่นานก็ถึงวันทำงานวันสุดท้ายแล้ว ชีวิตเขาก็จะเปลี่ยนกลับไปเป็นผู้นำทัวร์ท่องเที่ยวเหมือนแต่ก่อน
...เราจะนำทัวร์เฉพาะทัวร์ฝรั่ง จะได้ไม่มีใครรู้จัก...
“จะหลบหน้าผมไปถึงไหน” เสีียงห้าวเข้มของคเชนทร์ดังขึ้น มือใหญ่แข็งแรงวางจานอาหารลงตรงหน้ากายแล้วร่างสูงใหญ่ก็นั่งลงตรงกันข้าม
“ผมเปล่าหลบหน้า” กายส่ายหน้า
“คุณไม่ค่อยอยู่ที่โต๊ะทำงาน”
“ผมต้องซีรอกซ์ ต้องทำอะไรหลายอย่าง ต้องไป...”
“ในบริษัทนี้มันที่ไหนให้ไปบ้างล่ะกาย” คเชนทร์พูดแทรก “คุณไปแอบอยู่ตามห้องดื่มกาแฟของแผนกต่างๆ หรือไง”
“เปล่าครับ” กายยังคงก้มหน้ารับประทานอาหารของตัวเอง
“พฤศโกรธมาก” คเชนทร์พูดเสียงเบาแล้วตักอาหารเข้าปาก
“ผมทราบ”
“ผมก็โกรธ”
“ขอโทษครับ” กายพึมพำ
“ผมไม่ได้โกรธคุณ ผมโกรธพวกนักข่าว” คเชนทร์รีบพูด “ทำไมเล่นกันแรงขนาดนี้ก็ไม่รู้”
“คงเพราะคุณวรุจน์เป็น...เอ่อ...”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง” คเชนทร์ถอนหายใจ “นี่วรุจน์ก็คงโกรธเหมือนกัน”
“ผมว่าคุณหา่างผมไว้ดีกว่าครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นข่าว”
“ผมไม่แคร์หรอกกาย” คเชนทร์ตอบเสียงหนักแน่น “รูปนั้นก็ไม่เกี่ยว ไม่รู้ไปขุดออกมาใส่ในข่างทำไมก็ไม่รู้ คุุณอย่าใส่ใจนะ อีกหน่อยข่าวก็จะซาลง”
“ครับ ผมทราบ มันเป็นธรรมชาติของข่าว” กายพยักหน้า
“แต่ว่าตอนนี้ คุณอย่าเพิ่งไปเยี่ยมวรุจน์ ต้องห่างเขาไว้ก่อน” คเชนทร์แนะนำ
“ผมทราบ” กายเงยหน้ามองคเชนทร์เพราะน้ำเสียงของฝ่ายนั้นฟังดูแปลกไป
“ผมรู้ว่าคุณห่่วงเขา แต่คุณต้องทำใจ สถานการณ์มันไม่เอื้ออำนวย”
“ผมทราบครับ”
“เลิกพูดผมทราบครับซะที” คเชนทร์แกล้งทำเสียงดุ
“ทำไมล่ะครับ” กายทำหน้าไม่เข้าใจ
“อย่ามาพูดกับผมเป็นทางการแบบที่พูดกับพฤศ ผมกับคุณเป็นอะไรกันแล้ว” คเชนทร์พูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าจริงจัง
“คุณคเชนทร์” กายเรียกคเชนทร์เสียงเข้ม
“ถ้าคุณไม่สบายใจ ไปค้างบ้านผมก็ได้ สุดสัปดาห์นี้ล่ะ หยุดสามวัน ไปพักผ่อน หนีเรื่องพวกนี้ซักพัก”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ วันศุกร์คุณเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยเลย เลิกงานเจอกันที่เก่าเวลาเดิม แต่รถผมเปลี่ยนคันใหม่ ไม่ใช่มัสแตงสีแดงแล้ว ผมกลับมาขับเบนซ์ทะเบียน 777 สีขาว”
“แล้วคันนั้นหายไปไหนครับ”
“ผมขับไปชนกับแท็กซี่ เข้าอู่ยาว” คเชนทร์ยักไหล่่
“แล้วเป็นอะไรไหมครับ” กายอุทาน
“รถหรือคน” คเชนทร์เลิกคิ้ว อมยิ้มเล็กน้อย
“ไม่น่าถามเลย” กายเบ้ปาก
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก มือระดับนี้ ไม่เคยนั่งรถที่ผมขับหรือไง”
“เคยสิครับ จำประสบการณ์ระทึกขวัญได้ด้วย คุณขับรถได้รำห่ำเหมือนคุณวรุจน์เลย” กายตอบ
“งั้นเหรือ”
“เอ่อ...ครับ”
“ฝีมือใครเยี่ยมกว่ากัน” คเชนทร์ถาม
“ไม่ทราบ เอ่อ...ไม่รู้ครับ” กายตอบแล้วก้มหน้าลงทานอาหารต่อเพราะไม่ต้องต้องการสบตากับคเชนทร์ซึ่งดูไม่พอใจขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงวรุจน์
...คเชนทร์หึงงั้นหรือ...
“เอาไว้ผมจะเล่าเรื่องที่วรุจน์ไม่ชอบหน้าผมให้ฟัง” คเชนทร์พูดขึ้นมาเบาๆ แล้วทานอาหารของตัวเองเงียบๆ กายไม่พูดอะไรต่อ แต่ในใจนึกเอาไปล่วงหน้าแล้ว
...หรือสองคนนี้เคยแข่งรถกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ เลยไม่ชอบหน้ากัน...
...ไม่หรอก ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญกว่านี้...
...หรือเพราะเคยรักคนคนเดียวกัน เป็นคู่แข่งกัน เหมือนกับที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ ถ้าเป็นยังงั้น คเชนทร์ก็กำลังได้เปรียบ นี่ยังบอกอยู่เลยว่าไม่ให้ไปเยี่ยมวรุจน์ ต้องห่างจากวรุจน์ไว้ก่อน...
...ก็จริงนี่นา เกิดข่าวขึ้นมาแบบนี้ ยังไงก็ต้องห่างวรุจน์เอาไว้...
...แต่วรุจน์จะคิดยังไงกับเรา จะไม่พอใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนที่ไปเยี่ยมครั้งนั้น เราไม่ได้เล่าทุกเรื่องให้วรุจน์ฟัง ถ้าเขามารู้ทีหลังล่ะ จะทำยังไง...
“เหม่ออีกแล้วนะกาย” คเชนทร์พูดขึ้นมาเบาๆ ทั้งที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่
“เปล่าครับ”
“เปล่่าอีกแล้ว”
“ก็เปล่าจริงๆ นี่ครับ”
“โอเค เปล่าก็เปล่า” คเชนทร์ยักไหล่ “รีบกินให้เสร็จ จะได้รีบกลับไปทำงาน ผมไม่อยากให้คุณถูกเพ่งเล็งว่าไม่ตรงต่อเวลา”
“ครับๆ” กายตอบแล้วตั้งใจทานอาหารแต่กลับบ่นให้พฤศในใจว่า
...ถึงตรงต่อเวลา คนคนนั้นก็จะหาเรื่องมาว่าเราจนได้นั่นล่ะ และคงมีอคติกับเราจนถึงวันทำงานวันสุดท้ายล่ะมั๊ง...

สายตาของกายจับอยู่ที่ร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบสีกรมท่าของ นต. เมฆ ตั้งแต่นายทหารหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินไปที่รถเพื่อหยิบโทรศัพท์ซึ่งลืมไว้ วันนี้ นต. เมฆไปรอรับกายจากที่ทำงานและชวนมารับประทานอาหารด้วยกัน
“แค่เราจอด เดินเข้ามานั่งในร้าน แล้วผมลืมโทรศัพท์เอาไว้ในรถ พ่อโทรมาตั้งห้าครั้งเลยครับผม” นต. เมฆพูดกับกายเมื่อกลับมานั่งที่โต๊ะ
“โทรกลับสิครับ ท่านคงมีธุระ”
“ไม่มีธุระอะไรหรอกครับ พ่อมักจะโทรหาผมเวลานี้ประจำ” นต. เมฆถอนหายใจ “จะมีอะไร ถ้าไม่ถามเรื่องจะกลับบ้านตอนไหนก็เป็นเรื่องให้ไปเยี่ยมผู้ใหญ่ใน ทอ. แทนตัวเอง คุณพ่อกำลังตื่นเต้นเรื่องจะได้เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ”
“ท่าทางคุณไม่ดีใจเท่าไหร่เลย” กายสังเกตเห็นดวงตาของ นต. เมฆฉายแวหม่น
“ผมก็ดีใจกับพ่อนะครับ แต่ว่า...” นต. เมฆนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “พอพ่อผมได้เป็น ผบ. ทอ. ก็จะย้ายผมไปประจำที่หน่วยสงครามพิเศษ นั่นหมายความว่าผมจะจะต้องไปประจำอยู่ที่ภาคใต้ เพราะเป็นภารกิจใหม่ชื่อว่า TSPF 91”
“คุณไม่อยากไปหรือครับ” กายถามเสียงเบา
“ผมไม่อยากห่างคุณ” นต. เมฆพูดเสียงเศร้า “ทั้งที่ตอนนี้ผมก็เริ่มจะรู้สึกแล้วว่าเรากำลังห่างกัน”
“เปล่านี่ครับ”
“คุณหลบหน้าผมหรือเปล่าครับกาย ตั้งแต่กลับจากอเมริกา คุณก็ไม่ค่อยว่างจะเจอผม”
“พอดีเพื่อนผมป่วย” กายตอบ
“งั้นหรือครับ” นต. เมฆเลิกคิ้ว “เพื่อนคนที่ชื่อวรุจน์หรือเปล่า”
“คุณเมฆ”
“คุณวรุจน์อาการดีขึ้นเร็วมา แม้ว่า...”
“แม้ว่าอะไรครับ”
“แม้ว่าอาการที่สงผลกระทบต่อเขามากที่สุดคือการสูญเสียความจำ แต่เขารวย มีทีมแพทย์เก่งๆ ดูแลอยู่ คุณไม่ห่วงหรอกครับผม อีกไม่นาน ความจำเขาก็คงกลับมา ผมเคยเห็นมาหลายราย แม้หัวใจจะหยุดเต้นแล้ว แพทย์ยังเอากลับคืนมาและรักษาให้ดีขึ้นได้จนเกือบเป็นปกติ”
“มีแบบนี้ด้วยหรือครับ”
“ถ้าได้แพทย์เก่งๆ และเงินถึง” นต. เมฆตอบ “เพราะฉะน้น คุณไม่ต้องเขานะครับผม”
...เงินของเขากับนรธีร์รวมกันจะ 'ถึง' ระดับที่จะช่วยเชิงชายได้หรือเปล่านะ...กายถามตัวเองในใจ
“ทั้งที่ผมไม่อยากให้เขาได้ความจำกลับคืนมาเลย” เสียงของ นต. เมฆพูดเบาๆ
“คุณเมฆ” กายอุทาน
“ผมขอโทษนะครับที่พูดอะไรแบบนี้ ผมรู้ว่ามันเป็นการเห็นแก่ตัว และเป็นการคิดที่ไม่ดี แต่ผมขอยอมรับว่านี่คือสิ่งที่ผมคิด ผมกลัวว่าเขาจะมาแย่งคุณไปจากผม”
“ทำไมต้องมาแย่ง”
“ถ้าจะเปรียบกัน ผมเป็นรองเขาอยู่” นต. เมฆถอนหายใจเบาๆ “ยิ่งถ้าเขารู้ว่าผมจีบคุณด้วย เขาก็คงทำทุกอย่างที่จะขัดขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาไม่ชอบหน้าผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็ขัดขวางผมกับอรัญทุกวิถีทาง”
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ได้ไหมครับ” กายขอร้อง
“จะรอไปทำไมครับกาย” นต. เมฆถาม “ผมไม่อยากรอต่อไปอีกแล้ว ผมรู้ว่ามีคนมาติดพันคุณหลายคน แต่เรามีอะไรกันไปหลายครั้งแล้วนะครับ ผมไม่ได้คิดจะคบคุณเล่นๆ ผมรู้ว่าหัวใจผมรู้สึกยังไง แล้วคุณล่ะครบั กาย รู้ใจตัวเองหรือยัง”
...ปัญหาก็คือ 'ยัง' นี่สิ...กายตอบในใจ
...โอ๊ย ทำไมรู้สึกยุ่งยากใจแบบนี้นะ เพราะเป็นคนโลเลอย่างที่เจ๊นรธีร์พูดจริงหรือนี่...
“สุดสัปดาห์นี้ไปต่างจังหวัดกับผมนะครับ ผมอยากจะใช้เวลาพิเศษกับคุณ หยุดสามวัน ผมจะพาคุณไปอยู่เกาะ มีแต่เราสองคน”
“จะพาผมไปติดเกาะเลยหรือครับ” กายพูดติดตลกเพราะอยากให้สถานการณ์รู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
“ครับผม” นต. เมฆพยักหน้า แววตาจริงจัง “เราจะได้ค้นหากัน”
“ค้นหากัน...” กายทวนคำ
“พูดตรงๆ” นต. เมฆโน้มตัวเข้ามาใกล้ “ให้คุณค้นหาตัวเอง ส่วนผม รู้จักตัวเองแล้วครับผม”
...สุดสัปดาห์นี้คเชนทร์ก็ชวนเขาไปค้างที่บ้าน ส่วนเชิงชายก็คงอ้อนให้เขาไปดูแล...
...นี่ถ้าแบ่งร่างได้เป็นสามร่างก็คงจะดี...
“ถ้าจะให้ค้นหาตัวเอง ก็ต้องให้ผมอยู่คนเดียวสิครับ จะได้มีสมาธิในการคิด”
“อยู่กับผมดีแล้ว คุณจะได้คิดถึงแต่ผม นะครับกาย ไปเที่ยวกับผมนะครับ ผมจะช่วยให้คุณค้นหาตัวเองเจอ”
เหมือนมีระฆังช่วยนักมวยซึ่งกำลังจะถูกต่อยคว่ำล้มไม่เป็นท่า เสียงโทรศัพท์ของกายดังขึ้น เมฆถอนหายใจเบาๆ  กายยังไม่ได้รับโทรศัพท์ทันที เมฆพยักหน้าเล็กน้อย สื่อสารให้กายทราบว่าตัวเองจะรอ กายจึงรับโทรศัพท์โดยลืมมองที่หน้าจอของเครื่องก่อนว่าเป็นโทรศัพท์จากใคร
กายหารู้ไม่ว่า เสียงระฆังที่เป็นเหมือนระฆังช่่วยนั้น ความจริงไม่ใช่
เมื่อรับสาย เสียงห้าวของชายหนุ่มคนหนึ่งเรียกชื่อเขาและถามว่าสบายดีหรือไม่ น้ำเสียงร่างเริงฟังคุ้นหู กายรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร
“เบนนี่” กายเผลออุทาน
“เฮ้ กาย คิดถึงคุณจังเลย” ซอว์ เบนพูด “แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะสุดสัปดาห์นี้ผมจะไปกรุงเทพฯ อยากเจอคุณใจจะขาด”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่” ซอว์ เบนหัวเราะ “ผมจะไปบอกข่าวดีให้คุณได้ยินกับหู”
“แต่่ว่า...” กายยังคงอึกอัก
“ว่างเพื่อผมหน่อยนะครับกาย อย่าใจร้ายตอบว่าคุณมีธุระทั้งสามวันจนหาเวลาเจอผมซักครึ่งชั่วโมงไม่ได้นะครับ” ซอว์ เบนรีบพูดแทรก
กายไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ได้แต่คิดในใจว่า
...เฮ้อ อยากแยกร่างเป็นสี่ร่าง...

::: End of Chapter 41 :::

m_pop91

  • บุคคลทั่วไป
จะแยกร่างยังไงล่ะคราวนี้

TO.EYEz

  • บุคคลทั่วไป
เอ๊ะ.. อรัญนี่ใครอ่า?
เป็นชาติก่อนของกายหรือเปล่า? รู้สึกว่าจะเสน่ห์แรงพอกัน   :เฮ้อ:

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
สรุป ทุกคนเกี่ยวข้องกับอรัญทั้งหมด
เหอๆ อยากรู้จริงๆว่าตอนจบมันจะออกมายังไง :a5:

ออฟไลน์ broncho

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-1
จริงๆ แล้วก็อยากจะถามว่า ตอนนี้พล็อตเรื่องที่วางไว้มันคลาดเคลื่อนจากเดิมไปมากไหม (ดูจากตัวอย่างที่คุณคฑาวุิฒิเคยให้อ่านอ่ะนะ

และเดาถูกว่าธฤตกับพฤศเป็นพี่น้องกัน แต่ไม่คิดว่าตาประธานจะเป็นน้องอ่ะนะ ดูจากสถานะตำแหน่งแล้วน่าจะเป็นพี่
แต่ที่แน่ๆ พ่อตาประธานนี่เมียเยอะมาก แฟนเก่าเคนนี่ก็ยังเป็นน้องเลย

ส่วนตาเคนนี่ ช่างเป็นสุภาพบุรุษเสียจริง รักเพื่อนเหลือเกิน ของส่วนตัวเผื่อแผ่ได้ตลอด มีคนเอาความมาใส่ให้กี่รอบแล้วละนี่ ที่จริงตานี่ก็ดูฉลาดดีนะ แต่จะตายเพราะคนใกล้ตัว

ส่วนอีตาประธาน ก็ยังเป็นผู้ชายที่นิสัยไม่ดีต่อไป (คราวนี้ด่าได้เต็มปากซะที เพราะคุณคนเขียนเฉลยแล้ว) ที่จริงแล้วในมุมผู้บริหารนี่ถือว่าสอบตกนะ เอาเรื่องส่วนตัวมาโวยกับลูกน้อง ทั้งที่ตัวเองเป็นบอสใหญ่ 

และสุดท้ายกายของหลายๆ คน เป็นนายเอกที่มีความอดทนต่อความกดดันเป็นเลิศ ถ้าเป็นอิชั้นเจอเรื่องกดดันแบบนี้ซักแค่หนึ่งในสี่ สงสัยจะกระอักเลือดตาย (หมายถึงความกดดันเกี่ยวกับงานอะนะ

อย่างไรก็ดี ถ้ากายนั่งรถของเคนนี่บ่อยๆ น่าจะคุ้นตาบ้างนะ เพราะรถระดับนี้ไม่มีให้เห็นตามท้องถนนบ่อยๆ หลอก

สนุกอ่ะ เนี่ยกะว่าถ้ายังไม่เอามาลงวันนี้ คงได้ลงแดงตายแหงมๆ
จริงซินะที่เค้าว่าเงียบๆ แต่โคตรแรง (คนนั้น)  แต่ที่ดูแรงๆ ที่จริงก็ไม่มีอะไร (เคนนี่)  :bye2:

ออฟไลน์ lucifel

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ยังมีอีกหลายคนท่าทางได้แยกอีกหลายร่าง   :laugh:

ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
จะสงสารกายดีหรือเปล่านี้  มีแต่หนุ่ม ๆ รุมแย่ง

MokGaLaKom

  • บุคคลทั่วไป
อาจจะต้องแยกถึงหกร่าง
โอ๊ย อิจฉากายอ่ะ วันหยุดมีแต่คนอยากใช้เวลาด้วย
แบ่งมาให้ทางนี้สักสองคนก้ได้นะกาย เขาก็เหงา

WhatLoveIs

  • บุคคลทั่วไป
โคตรจะวุ่นวาย ปวดหัวแทนกายเจ้าค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ THiiCHA

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-4
เนิบนาบ อ้อยอิ่ง และยาวนาน โฮก ซับเลือด >>กาย เสร็จเคนนี่แล้วว โว้ว
NC บรรทัดเดียว บรรลุไปถึงไส้ติ่งเลย  :z1: :z1:
ชนวนเรื่องทั้งหมด อยู่ที่อรัญสินะ
ขอเดาว่า หนุ่มร้อนแรง ผิวคล้ำวันนั้นประธานแน่ๆ
คุ้นๆว่าประธานโดนแดดแล้วดำง่ายซึ่งวันนั้นปธ.มันอาจจะไปนั่งเล็มหญ้าหน้าบริษัทมาก็เลยดำ
ไอปธ.ซาดิสต์ฟันแล้วไม่รับทำเงียบนะทำเงียบ (ด่าถูกคนมั๊ยไม่รู้ แต่ขอพาลหน่อย )
...แต่ยังไงก็....ตัดไม่ลง... :z3: :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ →Yakuza★

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-0
วุ่นวายจริง แต่ก็อยากให้กายเลือกๆมาสักคนนะ ลุ้นจนเหนื่อย

ไมอ่านๆไปละอยากกลับไปเชียร์ คเชน แหะ

คงต้องตัดท่านประธานออกแล้วใช่ไหม ลองดาบกับกายขนาดนี้  :z3:

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
คราวนี้รุกกันใหญ่เลย

มาทีเดียวกันหลายคน กายแย่แน่ๆ

ส่วนอรัญนี่เกี่ยวข้องกับหลายคนจังเนอะ

ออฟไลน์ pp4

  • คนที่ 'ชอบ' ไม่ได้แปลว่าคือคนที่ 'ใช่'
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-6
ฮู้ววว เหนื่อยแทนกายจริงๆ
ถูกนินทา ประโคมข่าว ผู้ชายหลายคน
เนื้อหอม...อื้มมม ใช่
เจ้าเสนห์...อื้มมมม นั่นแหละ
ตัวซวย...โคตรใช่เลย
ถึงจะบอกว่าเนื้อหอมมีคนมาชอบเยอะ
แต่เจอแบบนี้ก็เรียก...ซวยไปล่ะนะ เหอะๆ = ='
เลือกๆซะทีเถอะกาย จะได้สบายนะ  :z3:
เคนนี่ไปเลย จบๆ ง่ายๆ


ปล.ท่านประธานนะโดดเตะมาก = =*

ออฟไลน์ taroni

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-27
เหมือนกายจะเป็นตัวแทนของอรัญ :เฮ้อ:

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
จะแบ่งคนละวันก็ยังยากเลยนะนี่ ว่าง 3 วัน แต่ 4 คน
ว่าแต่จะเคลีร์ยคิวยังไงเนี้ยะ
:sad4:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
เยอะอ่ะ  :z3:

 แยกร่างก็ไม่ช่วยแล้วมั้งกาย

ออฟไลน์ THiiCHA

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-4
วุ่นวายจริง แต่ก็อยากให้กายเลือกๆมาสักคนนะ ลุ้นจนเหนื่อย

ไมอ่านๆไปละอยากกลับไปเชียร์ คเชน แหะ

เห็นด้วยเป็นที่สุด

sakuracity

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ยยย มันนี่หยดติ๋งๆเลยอะ มันมากกก  รถไฟจะชนกัน 4 ขบวน...แต่รถไฟหรือจะสู้"เครื่องบิน"ของคุณ น.ต. เมฆครับผม อิอิอิอิอิ  :-[ แม่ยกทหารอากาศขอเชียร์ขาดใจ

mixmix

  • บุคคลทั่วไป
โอ้ มาแบบจัดเต็มเลย ชอบค่า อิอิ  o13
ตอนนี้เริ่มเครียดจริงอะไรจริง กลัวว่าสุดท้ายกายจะไม่ได้คู่ใครเลยอ่า  :เฮ้อ:
แล้วอีกเริ่องคือ อยากเป็นโคนันค่า เรื่องช่างเข้มข้นและซับซ้อนได้ใจดีจริงๆ  :z3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด