Guy Chapter 35
กายยังไม่มีโอกาสได้เข้าเยี่ยมอาการวรุจน์ ฝ่ายบริหารของโรงพยาบาลติดป้ายห้ามเยี่ยมและมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรม The Atlantis ยืนเฝ้าหน้าห้องของวรุจน์อีกชั้นหนึ่ง
วรุจน์รักษาตัวในห้อง ICU สองวันแล้วย้ายออกมายังห้องพักคนไข้พิเศษ กายพยายามสอบถามอาการของวรุจน์จากพยาบาลประจำวอร์ดแต่ก็ไม่ได้รับข้อมูลมากนั้น เขาจึงคิดว่าเมื่อวรุจน์ย้ายเข้าพักรักษาตัวในห้องพักคนไข้พิเศษก็หมายความว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว
อีกสองวันเขาต้องเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นล่ามให้กับนาวาอากาศตรีเมฆในการทดลองขับเครื่องบินรบรุ่นใหม่ งานยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาพัก กายต้องหอบเอกสารจากที่ทำงานไปแปลต่อที่บ้าน ในใจก็บ่นว่าให้พฤศไปด้วยที่มอบงานให้ทำหลายชิ้นพร้อมกันทั้งที่รู้ว่าเขากำลังจะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ
แต่ที่สำคัญ กายแทบไม่มีสมาธิเลย ในใจนึกเป็นห่วงวรุจน์อยู่แทบตลอดเวลา ยิ่งรู้เรื่องราวในอดีตก็ยิ่งทำให้เขามีความรู้สึกสนิทกับวรุจน์มากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
...เย็นวันนั้นวรุจน์สั่งให้คนขับรถตัวเองพาร่างโชกเลือดของยายของเขาไปส่งที่โรงพยาบาลก่อนจะขอตัวไปรับน้องชายซึ่งรออยู่ที่โรงเรียนและต้องรีบกลับบ้านเพื่อรอพบกับพ่อและแม่ซึ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศในวันนั้น...
...จากนั้นเขาก็ไม่เคยเจอวรุจน์อีกเลย...
...เขานั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องฉุกเฉินเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร โชคดีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและตำรวจประสานกับวัดซึ่งอยู่ใกล้ๆ จัดงานศพง่ายๆ ให้กับยายของเขา...
...งานศพซึ่งไม่มีแขกแม้แต่คนเดียว พระสวดศพคืนเดียวก็เผา เขาเดินร้องไห้ออกมาจากวัดและกลับไปที่บ้าน นอนร้องไห้ต่อทั้งคืน เขาไม่มีญาติพี่น้องเพราะตั้งแต่จำความได้ ยายเป็นคนเดียวที่เลี้ยงเขามาจนโต...
...หนึ่งอาทิตย์ให้หลัง เขากลับไปขายพวงมาลัยที่เดิม แต่เขาไม่เคยเห็นรถคันใหญ่สีดำของวรุจน์จอดอยู่ริมถนนใกล้ซุ้มไม้เลื้อยอีกเลย นานเข้าเขาก็เลิกขายพวงมาลัย หันไปทำอย่างอื่นเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ ชีวิตที่ปราศจากคุณยายลำบากมาก แต่เขาก็ไม่ท้อ ต่อสู้ชีวิตจนเรียนจบมหาวิทยาลัย...
เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้น กายสะดุ้ง คนที่โทรศัพท์มาคือคเชนทร์ ประโยครแรกคือคำพูดแปลกๆ เช่นเคย
“นั่งทางในเก็งหวยหรือกาย”
“คุณคเชนทร์” กายอุทานเบาๆ “นี่คุณแอบดูผมหรือครับ”
“เงยหน้าขึ้นมองเพดานสิ มีกล้องจิ๋วติดอยู่ เห็นหรือเปล่า”
กายเงยหน้าขึ้นตามคำบอกของคเชนทร์แต่กลับมองไม่เห็นอะไรนอกจากเพดานราบเรียบสีขาวนวล คนที่โทรศัพท์มาจึงหัวเราะชอบใจและพูดว่า
“ซื่อจริงแฮะ บอกอะไรก็เชื่อ บริษัทที่ไหนจะติดตั้งกล้องส่องดูพนักงานทุกโต๊ะ ผมกำลังยืนมองคุณจากหน้าห้องคุณการุณย์”
กายหันขวับไปมอง เห็นคเชนทร์ยืนพิงผนังใกล้ประตูห้องทำงานของการุณย์จึงวางสาย คเชนทร์เดินเข้ามาหาช้าๆ ยิ้มกว้างเห็นฟันขาวสะอาด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังเมื่อหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงานของกาย
“เลิกเหม่อและทำงานต่อได้แล้ว” คเชนทร์พูด “ในออฟฟิสนี้มีสายของท่านประธานอยู่สองสามคน ระวังตัวให้ดี”
“ขนาดนั้นเลยหรือครับ” กายพูดอย่างไม่เชื่อหู
“มีทุกออฟฟิสนั่นล่ะ” คเชนทร์ยักไหล่ “ไม่เว้นแม้กระทั่งออฟฟิสผม”
“คุณชนกเป็นคนของท่านประธาน”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น”
“แต่ว่า...”
“เลิกมีแต่คำถามได้แล้ว คุณรีบทำงานให้เสร็จ จะได้รีบกลับกัน ผมหิวข้าว”
“เกี่ยวอะไรกับคุณ” กายแกล้งทำหน้างง
“ก็เราจะไปทานข้าวด้วยกัน”
“ผม...”
“ตามประสาคนที่คบๆ กัน” คเชนทร์ยักคิ้ว ส่งสายตาพราวระยับให้กาย
“งานผมคงยังไม่เสร็จง่าย ผมต้องเอาไปทำต่อที่บ้าน” กายหน้ามุ่ย
“ไปนอนบ้านผมสิ จะได้ช่วยกันทำ”
“อย่าเลยครับ” กายก้มหน้า พยายามทำงานต่อ คเชนทร์ยืนนิ่งชั่วครู่แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“คุณอยากไปเยี่ยมเขาหรือกาย”
“คุณคเชนทร์” กายเงยหน้าขึ้นมองคเชนทร์ “คุณรู้”
“ข่าวออกดัง ใครจะไม่รู้” คเชนร์ยักไหล่ “ผมยังรู้ลึกด้วยนะว่าตำรวจไม่ได้คิดว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ”
“พูดเป็นเล่น”
“คุณดูเงียบเหงามากตั้งแต่วันเกิดเหตุ” คเชนทร์มองหน้ากายด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “คุณห่วงเขามากถึงขนาดนั้นหรือครับ”
“ก็...” กายอึกอัก ในใจอยากจะถามคเชนทร์ว่า รู้ด่วยหรือไม่ว่าเขานั่งอยู่ตรงหน้าวรุจน์ตอนที่วรุจน์ถูกรถชน เขาเห็นภาพนั้นกับตา เห็นร่างของวรุจน์ลอยขึ้นในอากาศแล้วตกลงมากระแทกกับกระโปรงท้ายรถของตัวเองก่อนจะหล่นลงมานอนกองอยู่กับพื้นถนน เห็นว่าวรุจน์แน่นิ่ง เลือดไหลออกจากปาก จากนั้นเขาก็ตาพร่า ทำอะไรไม่ถูก
...เขานั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ รู้สึกช๊อค แต่เมื่อมีคนหลายคนวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์ก็ตั้งสติได้จึงพยายามกันคนไม่ให้เข้ามามุงดูใกล้เกินไป มีคนโทรศัพท์แจ้งตำรวจ กายนั่งอยู่ข้างวรุจน์ จับมือของวรุจน์บีบเบาๆ รอรถพยาบาล...
“วรุจน์มีศัตรูไม่น้อย” คเชนทร์พูดขึ้นมาเบาๆ “ข้อนี้คุณอาจจะไม่รู้”
“มีศัตรู” เสียงของกายเบาโหวง
“แต่ถ้าจะเรียกให้ดีหน่อยก็เรียกว่าคู่แข่ง”
“แต่เขาก็จะทำกันขนาดนี้เลยหรือครับ”
“พฤศกับผมก็มีคู่แข่งเหมือนกัน” คเชนทร์ยักไหล่ “ทั้งที่รู้และไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่คุณไม่ต้องห่วงไปหรอก วรุจน์เขารวย เป็นถึง CEO ของ The Atlantis ตำรวจไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ หรอก”
“ครับ” กายพยักหน้า
“ทีนี้ ตั้งใจทำงานได้หรือยัง” คเชนทร์เลิกคิ้ว แล้วยิ้มบางๆ “ผมหิวข้าว”
“เฮ้อ คุณคเชนทร์นะคุณคเชนทร์” กายพึมพำแล้วก้มหน้าลงทำงานต่อ เลิกสนใจคเชนทร์ซึ่งเดินจากไปช้าๆ พร้อมกับผิวปากเบาๆ
กายยืนฟังรายงานข่าวของวรุจน์จนจบแล้วละสายตาจากจอโทรทัศน์ซึ่งแขวนอยู่ในระดับเหนือศีรษะในสนามบินสุวรรรณภูมิ ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวว่าอาการของวรุจน์ดีขึ้น ห้องพักของวรุจน์มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด จริงอย่างที่คเชนทร์พูด ผู้บริหารของ The Atlatis และตำรวจไม่คิดว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุธรรมดาและขณะนี้กำลังสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง นอกจากนั้นยังมีรายงานว่าชายหนุ่มหน้าตาดีซึ่งนั่งอยู่กับวรุจน์น่าจะเป็นคนเห็นเหตุการณ์ดีที่สุด ได้มีการเรียกร้องให้ชายหนุ่มคนนั้นเปิดเผยตัวออกมาเพื่อเป็นพยานให้กับตำรวจ
...ในตอนนั้นเขาตกใจและสับสนมาก ในขณะเดียวกันก็แปลกใจที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุเร็วมากอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่กี่นาทีรถพยาบาลก็มาถึงและพาตัววรุจน์ไป เมื่อถึงโรงพยาบาลมีผู้บริหารของโรงแรม The Atlantis รออยู่ที่ห้องฉุกเฉินแล้ว...
...พลเมืองดีที่แจ้งข่าวให้ตำรวจทราบคงบอกหมายเลขทะเบียนรถของวรุจน์ไปด้วย ตำรวจคงตรวจสอบและรู้ได้ทันทีว่าวรุจน์เป็นใคร จากนั้นจึงรีบติดต่อไปยังโรงแรม...
...คืนนั้นตำรวจสอบปากคำเขากับผู้ชายอีกสองคนเบื้องต้นแล้วอนุญาติให้กลับบ้าน แต่เขาไม่กลับ ยืนรอวรุจน์อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ไม่ถึงชั่วโมง วรุจน์ก็ถูกย้ายเข้าห้อง ICU และห้ามเยี่ยม ผู้บริหารของโรงแรมยืนเฝ้าหน้าห้อง ICU ราวกับต้องการทำหน้าที่ยามรักษาความปลอดภัยยังไงยังงั้น...
กายหันไปมองนาวาอากาศตรีเมฆซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหา วันนี้คือวันเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นล่ามให้กับนักบินที่จะไปทดลองขับเครื่องบิน F-35 เมื่อถึงสนามบินกายรู้สึกโล่งอกเมื่อทราบว่าไม่ต้องเดินทางไปกับเมฆสองต่อสอง
“คุณไม่ค่อยสนใจลูกทัวร์เลยนะครับกาย” นต. เมฆพูดยิ้มๆ เดินนำกายไปยังด่านตรวจ
“ผมไม่ใช่ไกด์นี่ครับ” กายแก้ตัว
“ผมล้อเล่น” นต. เมฆหันมายิ้ม “เอาเป็นว่า ดูแลผมคนเดียวก็พอ ที่เหลืออีกสี่คน ปล่อยให้ท่านไปของท่านเอง”
“ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับว่าทาง ทอ. จะไปกันถึงห้าคนไ
“คุณอยากไปกับผมสองต่อสองใช่ไหม่ะ” นต. เมฆหัวเราะเบาๆ และพูดต่อเมื่อเห็นกายเงียบ “ผมก็เพิ่งรู้ไม่กี่วันมานี้เองว่าพ่อกับคนอื่นไปด้วย ไม่รู้จะไปกันทำไม เกะกะเฉยๆ นี่คงอยากเห็น F-35 ใกล้ๆ ก่อนใคร”
...ดีแล้วล่ะที่ ผบ. ทอ. กับรองและนายพลอีกสองท่านไปด้วย ไม่งั้นก็ไม่รู้จะวางตัวยังไง คุณทหารอากาศเมฆเองก็ไม่ใช่ช่อย ขนาดมีพ่อมาด้วยยังหาโอกาสกุ๊กกิ๊กกับเราเลย...
“ถึงอเมริกาเราต้องหาโอกาสหลบไปจู๋จี๋กันบ้างนะครับกาย” นต. เมฆกระซิบกายแล้วรีบหันไปยิ้มให้กับผู้เป็นบิดาซึ่งเดินเข้ามาใกล้
“เมฆ แกไปอยู่หางแถว เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้ช่วยลุงๆ”
“พ่อครับ ลุงเป็น ผบ. ทอ. นะครับ เคยเดินทางบ่อยๆ” เมฆแย้ง
“นี่เป็นคำสั่ง แกไปรั้งท้าย” รอง ผบ. ทอ. พูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ครับผม” นต. เมฆยกมือขึ้นทำความเคารพบิดาแล้วเดินจากไป
“โตแล้วชอบทำตัวเป็นเด็ก เถียงพ่ออยู่นั่น” บิดาของ นต. เมฆหันมาพูดกับกาย “คุณกายใจเย็นๆ นะครับ”
“ครับ” กายยิ้มและค้อมศีรษะ ในใจมีคำถามขึ้นมาว่า
...ทำไมต้องใจเย็นๆ ผมไม่ได้เป็นผู้ปกครองคุณทหารอากาศเมฆนะครับท่านรองฯ...
“เวลาแปลอะไรให้ฟังมันไม่ค่อยฟังหรอก ชอบคิดว่าตัวเองรู้แล้ว จะทำอย่างที่ตัวเองคิด ยิ่งเวลาบินขึ้นไปบนฟ้ายิ่งหัวดื้อ เช่นหอควบคุมบอกให้ลดระดับที่ 5,000 ฟุต มันก็ลดลง 5,100 บอกลดความเร็วมันก็ลดให้นิดหน่อย ดีนะมันเก่ง ไม่งั้นผมไม่ให้มาทดลองขับ F-35 หรอกคุณ” รองผู้บัญชาการกองทัพอากาศขยายความ
“แล้วมาเกี่ยวอะไรกับที่ผมต้องใจเย็นครับ” ในที่กายก็ถามสิ่งที่สงสัย
“รู้สึกว่าคุณจะต้องไปนั่งที่ห้องควบคุมการบินเพื่อแปลให้นักบินที่กำลังเครื่องอยู่บนฟ้า”
“ผ่านระบบวิทยุสื่อสารแบบนั้นหรือครับ”
“ใช่” รอง ผบ. ทอ. พยักหน้า
“ถ้ายังงั้นเสียงก็ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่สิครับ” กายพูดกับรอง ผบ. ทอ. แต่ทว่าความจริงแล้วบ่นกับตัวเอง
“คงเหมือนในหนังล่ะคุณ เพียงแต่ว่าพอหอควบคุมพูดหรือนักบินพี่เลี้ยงพูด คุณก็ต้องแปล บางทีเขาก็คงเข้าใจได้เอง แต่ถ้าเมฆเขาติดขัด คุณก็คงต้องแปล แล้วก็คงมีแปลการประชุมอีกหน่อย อ้อ เห็นว่าตอนเช้าทุกวันก่อนเริ่มบินจะมีคลีนิกประมาณครั้งละ 30 นาทีด้วยนะ แต่ถึงอเมริกา ทางโน้นคงอธิบายหให้ฟังอีกที” รอง ผบ. ทอ. ตอบ “ยังไงผมฝากลูกชายผมด้วย”
“ครับ ผมจะทำหน้าที่ล่ามให้ดีที่สุดเลยครับ” กายพยักหน้ารับปาก
“ผมมองว่าท่าทางคุณเป็นคนใจเย็น เป็นผู้ใหญ่ ยังไงนอกจากเรื่่องการแปล คุณช่วยสอนมันเรื่องอื่นด้วยเถอะ เมฆเป็นลูกคนสุดท้อง ยังทำตัวเป็นเด็กกว่าอายุ”
“ผมคงไม่กล้าขนาดนั้นหรอกครับท่าน”
“แล้วช่วยเป็นหูเป็นตาแทนผมด้วยนะคุณ อเมริกามันมีสิ่งยั่วยวนเยอะ ผับบาร์มีกันเกร่อ อย่าให้มันแอบหนีออกไปกินเหล้า เมาเสียงานเสียการ”
“ครับผม” กายพยักหน้าเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“ไอ้ลูกคนนี้ เวลาเมาแล้วดูไม่ได้ ไร้สติ” รอง ผบ. ทอ. ส่ายหน้า
“ผมก็เห็นคุณเมฆมีระเบียบวินัยสมกับเป็นทหารอยู่นี่ครับ คงไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทาง”
“คุณกายไม่รู้อะไร เจ้าเมฆนี่ตัวออกนอกลู่นอกทางเลยล่ะ ผมถึงได้ขอให้คุณช่วยดู คนอื่นๆ ที่มาด้วยกันนี่ก็จะช่วยดู” รอง ผบ. ทอ. หันไปมองด้านหางแถวซึ่งนายทหารที่เหลือกำลังรอตรวจพาสปอร์ต “มันดื้อเงียบ พยศเป็นที่หนึ่ง ใจถึงประเภทถึงไหนถึงกัน อยากได้อะไรเป็นต้องได้ ตั้งใจแล้วไม่เคยถอย ชอบดับเครื่องชน”
“ครับ” กายไม่รู้จะตอบอะไรจึงเอาแต่พยักหน้า บิดาของเมฆเดินเข้าไปที่เคาท์เตอร์ตรวจพาสปอร์ต เขายืนรอที่หัวแถว พอหันไปมองด้านหลังจึงสบตากับเมฆ นายทหารอากาศหนุ่มจึงขยิบตาให้ ก่อนจะทำปากส่งจูบหนึ่งครั้ง
ขณะที่กายกำลังเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียงเพื่อเข้านอน เขาได้ยินเสียงเคาะประตูถี่ๆ ไม่ยอมหยุด กายขมวดคิ้วสงสัย ลงจากเตียง และเดินไปที่ประตูอย่างเนือยๆ
“กาย เปิดหน่อยสิครับ” เสียงคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเรียก
“คุณเมฆ” กายอุทาน
“เปิดหน่อยสิครับ เร็วๆ เข้า” เมฆเร่ง
“นี่เวลานอนแล้วนะครับ”
“ผมรู้ ถึงได้มาเคาะประตูห้องคุณไงครับผม” เมฆตอบเสียงเบา
“ทำไมคุณยังไม่นอน แล้วนี่มายืนเคาะประตูห้องผม เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“งั้นก็รีบเปิดสิครับผม ยิ่งนานก็ยิ่งจะมีคนมาเห็น เร็วๆ สิครับกาย ผมอุตส่าห์มาหาคุณ เปิดประตูเร็วสิครับ เดี๋ยวพ่อกับลุงๆ มาเห็น” เมฆเร่ง
กายสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนออกมาเบาๆ ตัดสินใจเปิดประตูเพราะคิดว่าเมฆคงไม่ยอมหยุด
“คิดถึงคุณจังเลย” นต. เมฆรีบแทรกตัวเข้ามาเมื่อกายเปิดประตูห้องนอน
“จะดีหรือครับ คุณน่าจะอยู่ที่ห้องนอนคุณ เผื่อใครไปหาเดี๋ยวก็จะ...”
“ใครจะไปหาผมเวลานอนครับผม” เมฆยิ้มแล้วโอบกอดกาย “แต่ความจริงพ่อกับลุงไปนั่งคุยกับผมตั้งนาาน ผมต้องแกล้งหาวอยู่หลายครั้งกว่าจะยอมพากันกลับ ผมรอจนแน่ใจว่าคนแก่หลับหมดถึงได้เปิดประตูย่องออกมาหาคุณ”
“คุณเมฆ”
“ผมทนไม่ไหวแล้วนะครับผม กระดิกตัวไม่ได้เลย คุณก็เห็น ตั้งแต่สุวรรณภูมิเราแทบจะไม่ได้ใกล้กันเลย ผมไม่อยากจะนึกเลยว่าพรุ่งนี้พอไปที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ แล้วเริ่มฝึกบิน เราจะได้ใกล้ชิดกันหรือเปล่า”
“เรามาทำงานนะครับ” กายตอบพลางเอียงหน้าหนีจมูกโด่งคมของทหารอากาศหนุ่มซึ่งเอาแต่ระดมหอมแก้มเขาไม่ยอมหยุด “อีกอย่าง ผมเป็นล่าม ก็ต้องยืนแปลอยู่ข้างๆ คุณนั่นล่ะ”
“ใครบอก เขาจะเอาคุณไปขังไว้ในห้องแปลแล้วแปลผ่านระบบวิทยุสื่อสาร”
“จริงหรือ”
“หลายวันที่อยู่ที่นี่ เราคงแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากัน เพราะฉะนั้น เรามาทำตัวแนบสนิทกันดีกว่านะครับผม”
“หมายความว่ายังไง” กายตอบเสียงอู้อี้
“ขอผมนะครับ ผมคิดถึงคุณใจแทบขาด ขอผมเชยชมให้สมใจอยากนะครับผม” เมฆออดอ้อนเสียงหวาน
“ไม่นะครับ”
“อย่าปฏิเสธผมนะครับกาย ถ้าอยู่ใกล้ๆ กันแล้วไม่ได้กอด ไม่ได้จูบ ผมต้องขาดใจตายแน่ครับผม”
“ไหนบอกว่าเราจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากัน”
“กาย คุณก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ เวลานี้เราอยู่ด้วยกันแล้ว อย่าผลักใสไล่ส่งผมเลยนะครับผม เรามามีความสุขกันเถอะ”
“คุณเมฆ คุณไปหัดพูดอะไรแบบนี้มาจากไหน” กายพยายามโก่งตัวเพราะเมฆรัดแขนแข็งแรงเพื่อตรึงร่างเขาให้แนบชิดกับร่างของตัวเอง
“ของแบบนี้ไม่ต้องหัดหรอกครับผม มันเป็นเอง คนเราเวลาหัวใจมีความรักมันก็พูดอะไรหวานๆ ออกมาได้เองโดยไม่มีใครบอกใครสอน”
“คุณเมฆ” กายได้แต่พึมพำ เลิกคิดที่ปัดป้องเพราะมือของนายทหารหนุ่มนั้นซุกซนมาก เมฆถอดกางเกงของกายออกได้โดยง่ายเพราะเป็นกางเกงผ้ายืดบางๆ
นต. เมฆสอดมือเข้าใต้เสื้อกล้ามของกายแล้วบีบเค้นหน้าอกสลับกับการลูบไล้เบาๆ ร่างสูงใหญ่เบียดเข้าหาประหนึ่งว่าอยากจะหลอดร่างทั้งสองเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีอะไรจะมาหยุดอารมณ์ปรารถนาของเมฆได้ต่อไปอีกแล้ว
เมฆกอดกายแน่น พยายามพาชายหนุ่มไปที่เตียง กายยังคงขืนตัวเอาไว้แต่ก็ไม่อาจทัดทานได้ เสียงหอบกระเส่าของชายหนุ่มทั้งสองดังประสานกัน เสียงครางด้วยความเสียวซ่านดังขึ้นประดุจท่วงทำนองดนตรีจากแดนฉิมพลี
“กายจ๋า” เมฆเรียกชื่อกายด้วยเสียงสั่นพร่า
“อือ” กายเอาแต่ครางอืออา เมฆรุกหนักมากจนเขาแทบจะหายใจไม่ทัน
“เป็นของผมนะครับ”
...เป็นตั้งหลายครั้งแล้ว ยังจะมาขออะไรอีก...
กายตอบโต้อยู่ในใจ แหงนหน้า กัดริมฝีปากเมื่อนายทหารหนุ่มเริ่มซุกไซร้แผ่นอกของเขาและใช้ลิ้นเปียกอุ่นตวัดเลียยอดอกที่กำลังแข็งเป็นไต
...ว่าจะไม่ยอมเมฆอีกแล้วเชีว แต่ก็พ่ายแพ้ต่อสัมผัสอันเร่าร้อนของเมฆจนได้ แบบนี้หรือเปล่าที่เขาบอกว่าเพราะมีรักหนุนอยู่ กายเลยโอนอ่อนผ่อนตาม...
...เรารักเมฆหรือเปล่า ถึงได้ยอมมีอะไรด้วยทั้งที่ไม่เมา...
พฤศลอบมองคเชนทร์ซึ่งแสดงอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดหลังจากพยายามโทรศัพท์หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ
...โทรหากายล่ะสิ นี่คงทั้งหวงทั้งห่วง ยิ่งกายไปกับ นต. เมฆรูปหล่อ คเชนทร์คงร้อนรุ่มใจมาก...
...คเชนทร์มีใจกับกายมากแค่ไหนเขาไม่รู้ แต่น่าจะมากพอที่คเชนทร์จะทิ้งบรรดาคนที่เคยคบๆ อยู่ทุกคน แต่ไม่รู้ว่ามากพอที่จะยอมรับได้หรือไม่ว่า กายเข้ามาทำงานที่บริษัทนี้ด้วยเหตุผลอะไรและอย่างไร...
เมื่อได้ยินคเชนทร์ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง พฤศจึงอดพูดกับเพื่อนไม่ได้
“โทรหาลูกค้าหรือคเชนทร์”
“นายก็รู้ว่าโทรหาใคร ไม่ต้องมาประชดหรอก” คเชนทร์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“นายก็รู้ว่าเขาไปทำงาน”
“แล้วจะไม่มีเวลาว่างเลยหรือไง ฝากข้อความเอาไว้ก็ไม่โทรกลับ” คเชนทร์บ่น
...ข้อความคงต้องรอคิวอ่านรู้หรือเปล่าคุณคเชนทร์ ตอนไปพม่า แค่คืนเดียวมีตั้งห้าข้อความ...
...แต่ทำไมไม่มีข้อความที่น่าสงสัย ทำไมเรายังจับพิรุธกายไม่ได้เสียที...
“ลองโทรหารอง ผบ. ทอ. สิ เขาอาจจะบอกได้ว่าทำไมกายติดต่อกลับนายไม่ได้ หรือตอนนี้อาจกำลังมีงานเลี้ยงกัน พวกทหารเขาดื่มหนัก”
“ตอนนี้ที่อเมริกามันใกล้เวลานอนแล้ว” คเชนทร์เน้นเสียง “ส่วนนายก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของเราหรอก”
“ไม่อยากจะยุ่ง แต่มันขวางหูขวางตา ขนาดในการประชุมบอร์ด นายยังจะเอาแต่โทรศัพท์เรื่องส่วนตัว”
“ตอนนี้ยังไม่เริ่มประชุมซักหน่อย” คเชนทร์พ่นลมหายใจ “แล้วนี่เมื่อไหร่จะมาคบกันซะที จะได้ประชุมให้เสร็จๆ”
“ช่วยรวบรวมสมาธิหน่อยนะเคนนนี่” พฤศพูดเสียงเย็น “วันนี้ประชุมเรื่องสำคัญ เรื่องของกายกับนักบินรบที่ไปทดลองขับ F-35 เก็บเอาไว้ก่อน”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมายุ่ง” คเชนทร์เน้นเสียงอีกแล้วหันไปมองคณะกรรมการบริหารบริษัทสองคนซึ่งกำลังเดินเข้าประตูมาช้าๆ
...เข้าใจประชดนะพฤศ รู้ดีไปหมดทุกอย่าง กายนะกาย ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์เขาเลย ยังไม่ถึงเวลานอนซักหน่อย...
...หรือว่ามัวแต่ไปดื่มเหล้าอยู่ในผับที่ไหนกับพ่อนักบินคนนั้น เกิดเมาขึ้นมาจะว่างยังไง ไอ้เจ้าทหารคนนั้นคงไม่เป็นสุภาพบุรุษเหมือนเรา...
...ที่ทำไมเราจะต้องมาตกหลุมรักคนเจ้าเสน่ห์ที่มีคนมารุมล้อมจีบตั้งหลายคน ทำไมเป็นแบบนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น กรรมตามสนองเราหรือไง แต่ก่อนเคยคบกับหลายๆ คนพร้อมกัน ตอนนี้พอจะจริงจังกลับต้องมาเจออุปสรรคแบบนี้...
::: End of Chapter 35 :::