สี่โมงสิบห้า วันนี้วิชาที่เรียนเลิกเลทไปสิบห้านาที สิตางศุ์ค่อนข้างร้อนใจเพราะเกรงว่าคนที่เสนอว่าจะแนะนำวิธีจีบนิตาจะไม่อยู่รอ เขารีบก้าวเท้าไวๆไปที่โต๊ะม้าหินที่นั่งเมื่อตอนกลางวัน ตอนแรกพฤกษาจะมาด้วย แต่ติดธุระด่วน ส่วนอลงกตถูกเรียกตัวไปชมรมฟุตบอล สิตางศุ์เลยต้องมาคนเดียว
…ทว่า ตอนที่ก้าวเท้าเลี้ยวมายังลานที่ตั้งโต๊ะม้าหิน ร่างผอมบางของหญิงสาวที่อยู่ในชุดนิสิตก็ทำเอาเขาชะงัก…
… ‘นิตา’ …
…ใช่ นิตาอยู่กับไอ้โจ๊กที่โต๊ะม้าหิน…
“มาพอดี”
คนที่หันมาเห็นสิตางศุ์คือเจียระไน และนั่นทำเอานิตาหันมองตาม ก่อนจะส่งรอยยิ้มสดใสแล้วเอ่ยเสียงหวาน
“โซ่ หวัดดี”
จะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว สิตางศุ์เลยต้องเดินเข้าไปทักทายตามมารยาท
“อือ หวัดดี วันนี้มีเรียนเหรอนิตา”
“จ้ะ” หญิงสาวตอบสั้นๆ เจียระไนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และมันสูงกว่าสิตางศุ์ที่สูง 170 กว่าๆ ไปอีกราว 10 เซ็นต์
“ไอ้โซ่มาแล้ว ไปก่อนนะ” แล้วร่างสูงก็บอกลาหญิงสาวก่อนจะหันไปส่งสายตาให้สิตางศุ์เดินตาม อันที่จริงเขาไม่ได้อยากเดินตาม แต่เพราะดวงตาคมกริบของคนที่เดินนำออกไปทำให้ร่างโปร่งจำต้องก้าวเท้าตามอย่างไม่อาจคัดค้าน
เจียระไนเดินมาหยุดอยู่ที่ป้ายรถรับส่งของมหาวิทยาลัย สิตางศุ์ถึงได้มีโอกาสเดินไปดักหน้า
“มีอะไร” ร่างสูงกว่าตั้งคำถามแล้วเลิกคิ้ว
“ไหนมึงว่า...จะคุยกัน” คำว่า ‘คุยกัน’ นั้นเบาหวิว เพราะคนพูดไม่อยากให้ใครได้ยิน
“ก็คุย แต่ตอนนี้กูหิว อยากหาอะไรกิน”
“งั้นก็ไปกินที่โรงอาหาร”
ถึงแม้จะมีร้านที่ยังเปิดอีกไม่มาก แต่มันก็พอจะประทังความหิวได้ ทว่าเจียระไนกลับหัวเราะหึ
“ไม่ล่ะ กูไม่อยากกินที่นี่ มึงจะกลับบ้านไปเลยก็ได้นะ ถ้าไม่อยากคุยแล้ว” สิตางศุ์พูดไม่ออก แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นแง่ แต่เพราะประโยคที่เพื่อนสนิทย้ำว่านี่คือโอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้ทำให้ความรู้สึกในใจเป็นจริง ก็ได้แต่พูดไม่ออก
ดวงตาคมกริบจับจ้องใบหน้าขาวที่เต็มไปด้วยความอึดอัด ก่อนจะเหลือบตาไปเห็นรถรับส่งของมหาวิทยาลัยวิ่งเข้ามาจอดที่ป้าย นิสิตที่ยืนรออยู่แถวนั้นเดินขึ้นรถไปทีละคนสองคน ชายหนุ่มก็เลยหันมาที่คนตรงหน้า
“กูไปก่อนนะ”
ตัวช่วยสำหรับโอกาสสุดท้ายในชีวิตรักของนิสิตปีสี่อย่างสิตางศุ์เบี่ยงปลายเท้าเดินขึ้นรถไปแล้ว ในขณะที่ร่างโปร่งยังยืนนิ่งอยู่กับที่ ริมฝีปากสีจัดขบเม้มเข้าด้วยกันราวกับกำลังตัดสินใจ ก่อนที่...ร่างขาวในชุดนิสิตถูกระเบียบจะก้าวเท้าขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย
เจียระไนยกยิ้มกับตัวเอง เมื่อเพื่อนร่วมคณะเดินมาหยุดยืนข้างกายด้วยใบหน้าไม่เต็มใจนัก ดวงตาคู่สวยจับจ้องมาที่เขา
“กินข้าวเสร็จ เราต้องคุยกัน” ไม่มีคำตอบจากคนตัวสูงกว่า นอกเสียจากไหล่กว้างที่ยกขึ้นหนึ่งที
รถรับส่งเคลื่อนตัวออกจากป้ายรถในมหาวิทยาลัยแล้ว คนที่เอาแต่ครุ่นคิดกับความรู้สึกและโอกาสสุดท้ายของชีวิตนิสิตไม่ทันตั้งตัวเลยเซไปชนไหล่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ สิตางศุ์เหลือบตาไปมอง แต่ดูเหมือนเจียระไนจะไม่ได้ใส่ใจที่เขาชนนักเพราะเอาแต่กดโทรศัพท์มือถือยุกยิก
“โทษที” เขาเอ่ยเบาๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่แต่ก็ไม่คิดจะพูดซ้ำให้ดังกว่านี้ ก่อนจะขยับถอยออกมาแล้วเบี่ยงสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถแทน
และเมื่อนั้น ดวงตาคมที่จดจ้องอยู่แต่กับโทรศัพท์มือถือในมือก็เหลือบมามองร่างขาวข้างกาย รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ปลายนิ้วกดส่งข้อความให้เพื่อนแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกับกระเป๋ากางเกงทันที
..................................
ร้านที่เจียระไนถึงกับต้องออกมากินนอกมหาวิทยาลัยเป็นร้านข้าวราดแกงในซอกของแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของกรุงเทพฯ ทั้งอับ ร้อน คับแคบ และเต็มไปด้วยผู้คน สิตางศุ์เหลือบมองไปรอบตัว เขาเคยมากับพฤกษาและอลงกต ในวันที่หิวจัด ต้องการความเร็ว และความง่าย จริงอยู่ว่าตอนนี้ เขาก็อยากรีบคุยให้เสร็จไป แต่รอบตัวเสียงดังเซ็งแซ่แบบนี้ จะคุยกันรู้เรื่องได้ไง
“ไม่กินอะไรเหรอ” เจียระไนเดินกลับมาที่โต๊ะซึ่งเป็นโต๊ะยาวนั่งรวมๆกัน เขาตั้งคำถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ลุกไปสั่งอะไรเลย แต่คนถามก็ดูไม่ได้สนใจจะเอาคำตอบเท่าไร เพราะหันไปตะโกนสั่งน้ำกระเจี๊ยบแก้วใหญ่จากร้านขายน้ำแล้ว
สิตางศุ์พยายามระงับอารมณ์ขุ่นๆในใจ เขารู้ดีว่ากำลังถูกเพื่อนร่วมคณะกวนโมโห หมอนี่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เข้าปี 1 ไม่แปลกใจเลยที่เคยมีเรื่องกับรุ่นพี่ในคณะจนกลายเป็นเรื่องเล่าปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่นแบบนี้
ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งเมื่อลูกจ้างของร้านถือน้ำกระเจี๊ยบมาให้สองแก้ว และวินาทีต่อมาข้าวมันไก่ทอดก็ถูกยกมาวางตรงหน้า เขาหันไปจ่ายเงิน ยกน้ำกระเจี๊ยบแก้วนึงไปวางลงตรงหน้าสิตางศุ์ ก่อนจะตักเข้าปากอย่างไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ถ้ามึงไม่แดกอะไร เดี๋ยวได้โดนไล่ที่” อยู่ดีๆ คนที่สั่งน้ำกระเจี๊ยบมาเผื่อก็เอ่ยปากขึ้นมา สิตางศุ์มองไปรอบตัวก็ถึงได้สังเกตว่ามีลูกค้ายืนรอที่นั่งอีกหลายคน เขายอมหยิบแก้วน้ำที่อีกฝ่ายวางให้ขึ้นมาดูดอึกเดียวก็วางลง ทำเอาดวงตาคมเหลือบขึ้นมอง สีหน้าเหยเกของร่างโปร่งบอกให้รู้ว่าคงไม่ชอบรสชาติของน้ำกระเจี๊ยบนัก
“ไม่ชอบเหรอ”
“อือ กูไม่ชอบกินของเปรี้ยวน่ะ”
“ก็หัดแดกสิ เดี๋ยวก็ชอบเอง” เขาพูดแล้วก็ไม่ได้สนใจว่าสิตางศุ์จะหยิบน้ำกระเจี๊ยบขึ้นมาดูดอีกหรือไม่ ก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวมันไก่ทอดในเวลาเพียง 5 นาทีก็เกลี้ยง คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นแบบนั้นเลยรีบพูด
“เรื่องนิตา...” ทว่าไม่ทันได้พูดอะไร ร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน
“เดินไปคุยไป” เขาสั่งแล้วก้าวเท้าออกจากตรอกเล็กๆนั่น สิตางศุ์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก็ทำได้เพียงลุกขึ้นเดินตาม
..............................
“โจ๊ก...” เสียงของคนที่เดินตามหลังไม่ได้ทำให้ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าช้าลง ขายาวก้าวไปเรื่อยๆในแหล่งช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยผู้คนและร้านค้า สิตางศุ์ต้องก้าวเท้าให้ไวขึ้นจนทันเดินข้างกัน
“ไหนมึงว่าจะคุยไง”
“ก็คุยสิ มึงมีอะไรก็ถามมา”
“ถาม?” ดวงตาคมกริบเหลือบมามองคนข้างกายที่ย้อนเขาเสียงสูง
“ใช่ มึงอยากรู้อะไรก็ถามมา จะให้อยู่ดีๆกูเล่าทุกอย่าง กูก็ไม่บ้าขนาดนั้น” ว่าแล้วร่างสูงก็ก้าวเท้าเดินต่อ
“ที่มึงบอกว่ามึงกับนิตาเข้ากันไม่ได้ เข้ากันไม่ได้เรื่องไหน” คำถามของคนที่เดินตามหลัง ทำเอาเจียระไนหยุดเดินทันทีก่อนจะหันกลับไปมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เท่าที่กูจำได้ เราตกลงกันว่ากูจะบอกวิธีจีบ ไม่ใช่บอกสาเหตุที่เลิก”
“ก็กูอยากรู้ว่าทำไมถึงเลิกกัน” และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น สิตางศุ์อยากรู้ว่านิตารู้สึกอย่างไร เสียใจมากแค่ไหน และอยากจะกลับมาคบกับมันอีกรึเปล่า
“นิตาไม่ยอมนอนกับกู” คำตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความทำเอาคนถามนิ่งอึ้ง ดวงตาคู่สวยเหลือกโตด้วยความตกตะลึง
“แล้วมึงก็เลิกเพราะเรื่องแบบนี้เนี่ยนะ?!” เจียระไนเลิ่กคิ้วเหมือนเป็นเชิงถามว่าแล้วจะทำไม สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่มีสำนึกใดๆยิ่งทำให้ร่างโปร่งอยากชกหน้าสักที
“กูไม่ได้เป็นคนขอเลิก นิตาต่างหากที่ขอ”
“มึงนี่มัน...”
“มาแลกเปลี่ยนกันดีกว่า มึงถามไปแล้ว งั้นตากูถามมึงบ้าง” เจียระไนพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมจ้องคนตรงหน้าด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
“มึงชอบมาตั้งแต่เมื่อไร” ร่างโปร่งเหลือบมองคนถาม เขากับหมอนี่ไม่ได้สนิทกัน จะให้เล่าเรื่องส่วนตัวก็รู้สึกแปลกๆ แต่...ถ้าไม่เล่า เกิดมันโมเมสร้างเงื่อนไขอย่างอื่นขึ้นมาอีก คราวนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่องพอดี
“ปี 1...เทอม 2...”
“งั้นตอนปี 2 ที่กูกับนิตาคบกัน มึงก็มองตามตาละห้อยเลยสิ”
“กูไม่ได้ตาละห้อย!” คนตัวขาวจัดข่มเสียงพูดลอดไรฟัน แต่ไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิดในสายตาคนสูงกว่าหนำซ้ำยังตัวใหญ่กว่าอย่างเจียระไน เขาก้มลงมองด้วยสายตากวนประสาท
“แล้วตั้งแต่ปี 1 เทอม 2 จนถึงตอนนี้มึงเคยมีแฟนรึเปล่า”
“มีหรือไม่มีก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมึง”
“มึงแน่ใจเหรอว่ากูไม่เกี่ยว?” เจียระไนย้อนถาม ดวงตาคมดุสีดำสนิทนั้นมีแววดุดันและทรงพลังจนสิตางศุ์รู้สึกเหมือนมือตัวเองเย็นเฉียบท่ามกลางอากาศร้อนระอุของกรุงเทพฯ
“แน่ใจใช่มั้ยว่ามึงจีบเองแล้วจะจีบติด? ตอนนี้มันเดือนอะไรเข้าไปแล้ว อีกไม่นานก็จะหมดเทอม 1 แล้วอีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบ มึงคิดว่ามึงตัวคนเดียว ไม่มีกูช่วย มึงจะได้นิตามาเป็นแฟนเหรอ? เหอะ! กูไม่ได้ดูถูกมึงนะโซ่ แต่ตัวเลือกที่ดีกว่ามึงน่ะมีอีกมาก นิตาไม่จำเป็นต้องหันมาเลือกมึง”
เหมือนเอามีดมากรีดหัวใจคนฟังให้เห็นว่าไร้ความสามารถแค่ไหนในการจีบผู้หญิงสักคน หนำซ้ำแม้แต่เจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากจะจีบผู้หญิงสักคน เขาควรเริ่มต้นจากตรงไหน
สิตางศุ์ได้แต่เบือนสายตาหนีไปทางอื่นแล้วเม้มริมฝีปากแน่น เขารู้...รู้แก่ใจว่าตัวเองไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะจีบผู้หญิงดีๆอย่างนิตามาเป็นแฟน แต่...เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง
“ว่าไง? อยากจีบติดรึเปล่า” เสียงทุ้มถามย้ำ ราวกับขอนไม้ที่ลอยมากลางลำน้ำที่สิตางศุ์ได้แต่ลอยคอ หากไม่คว้าเอาไว้...เขาก็คงไม่มีโอกาสอีก
“อยาก...” คำตอบสั้นๆนั้นเปลี่ยนสายตาร่างสูงให้กลายเป็นแข็งกร้าวเหมือนโกรธขึงในชั่ววูบหนึ่ง แต่วินาทีต่อมามันก็จางหายไปจนสิตางศุ์ไม่ทันเห็น
เจียระไนข่มกรามตัวเองแน่น ยามมองร่างขาวตรงหน้า สิตางศุ์ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าอยากจีบแฟนเก่าของเขา ในฐานะเพื่อนร่วมคณะ เขาควรให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
...แต่...คนอย่างเขา ถ้าจะช่วยแบบไม่เต็มที่ ก็ไม่เห็นจะผิดห่าอะไรเลย!...
“มึงนอนกับกูสิ แล้วกูจะบอกเรื่องอื่นอีก”
เสียงทุ้มยื่นข้อเสนอใหม่ล่าสุดและสัปดนที่สุด ทำเอาสิตางศุ์ชะงักกึกเงยหน้ามองคนพูดแทบไม่ทัน สายตากวนประสาทและสีหน้ายียวนของเจียระไนทำเอาเขาได้แต่อ้าปากค้าง และก่อนที่จะมีเงื่อนไขอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก คนเงียบๆที่ไม่เคยมีเรื่องอะไรกับใครก็ผลักอกคนตัวใหญ่กว่าด้วยความโมโห
“มึงนี่มัน!!!...” เพราะไม่เคยมีเรื่องกับใคร สิตางศุ์เลยไม่รู้ว่าเวลาที่โมโหที่สุดควรจะสบถด่าว่าอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็โกรธจนปากสั่นตัวสั่นไปหมด ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าขาวที่ขึ้นสีก่ำเพราะแรงอารมณ์ แต่ก็ยังยกยิ้มเหมือนไม่มีสำนึก
“ยื่นหมูยื่นแมวหน่า...”
“มึงไปยื่นกับคนอื่นก็แล้วกัน!!!” แล้วร่างโปร่งก็หมุนตัวผลุนผันจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย สายตากวนประสาทของเจียระไนที่มองตามเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่ออีกฝ่ายเดินจากเขาไปแล้ว
แผ่นหลังบางๆใต้เสื้อนิสิตพอดีตัวนั่นสะท้อนอยู่บนนัยน์ตาสีดำสนิทจนหายลับไปทางมุมตึกที่อยู่ไกลที่สุด
...แกล้งไปแล้ว...เขาแกล้ง ‘ไอ้โซ่’ ไปแล้ว...
มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นมาปิดปากตัวเองเพื่อซ่อนรอยยิ้มจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เขายังไม่อยากถูกหาว่าบ้าที่ยืนยิ้มอยู่คนเดียวกลางย่านช้อปปิ้งที่อากาศร้อนระอุแบบนี้ แต่...ทำไงได้...มันหยุดยิ้มไม่ได้นี่หว่า...
เขาตัดสินใจหยิบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่งข้อความหาเพื่อน ในขณะที่ก้าวเท้าเดินไปยังสถานีรถไฟเพื่อกลับคอนโดตัวเอง
‘กูแกล้งมันไปแล้วว่ะ’
‘ไอ้สัด!’ ข้อความจากคู่สนทนาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ดูก็รู้ว่ามันรอเขารายงานอยู่
‘อ้อ แต่กูเลี้ยงน้ำกระเจี๊ยบมันนะ’
‘สันขวาน! น้ำกระเจี๊ยบชดใช้ได้รึไง’
‘ไม่รู้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่’
‘ยังจะคิดถึงวันพรุ่งนี้อีกนะไอ้หอก’
‘พรุ่งนี้มันมีเรียนมั้ย’
‘มึงแกล้งมันวันนี้ แล้วยังจะมีหน้ามาเจอมันพรุ่งนี้อีกรึไง’
‘ก็มันน่าแกล้ง เอาหน่า กูทำไปแล้ว อย่าด่าเยอะ พรุ่งนี้มันมีเรียนมั้ย’
ถามซ้ำครั้งที่สอง เจียระไนหงุดหงิดนิดหน่อยที่เขาต้องพึ่งพาไอ้ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์รายนี้ แต่ก็อย่างที่เขาพูดกับสิตางศุ์...ปี 4 แล้ว เทอมหนึ่งก็จะหมดแล้ว ถ้าไม่อยากเรียนจบไปพร้อมกับความรู้สึกค้างคาในใจ ก็ต้องลงมือ...ซึ่งคนอย่างเขา ไม่มีทางที่จะลงมือเพียงเพื่อที่จะได้ไม่ติดค้าง แต่คนอย่างเขา...ทุกอย่างที่ลงมือ ต้องประสบความสำเร็จ
‘กูไม่ช่วย ไอ้สัด’
นั่นไง ไอ้ที่ปรึกษากิตติศักดิ์ลอยแพเขาซะแล้ว แต่คนอย่างเจียระไนไม่ใช่คนง้อใคร ในเมื่อไอ้หมอนี่ไม่ช่วย เขาก็มีทางเลือกอื่น
‘กูสืบเองก็ได้ แล้วอย่าหวังว่าเพื่อนมึงจะรอด’
‘เชี่ย ขอให้แม่งอด’
‘โทษว่ะ คนระดับกู สะกดเป็นแต่คำว่าสำเร็จ’
เจียระไนเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกง ในขณะที่มุมปากยังประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ คนอย่างเขาไม่เคยมีคำว่าไม่สมหวัง คนอย่างเขาถ้าอยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน ไม่ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเท่าไร
...ขอเพียงแค่ได้มา...
…ขอเพียงแค่ใครคนนั้นคือสิตางศุ์…
…ผู้ชายคนนี้พร้อมจะทำทุกอย่าง…
…เพื่อครอบครองทั้งตัว...และหัวใจ!...
ติดตามตอนต่อไป (วันพุธหน้าค่ะ)
กลับมาแล้วววววว กลับมาพร้อมกับนิยายมหาลัยและจุฬาเอ็กโป
(อันหลังนี่ไม่เกี่ยว แต่ในฐานะศิษย์เก่าก็โฆษณาซะหน่อย 15-19 มีนานี้นะคะ แวะไปเที่ยวมหา’ลัยเล็กๆแถวสยาม สามย่าน พญาไท อังรี กันค่ะ...คอนเฟิร์มว่าเป็นมหา’ลัยเล็กๆค่ะ เดินวันเดียวทั่ว )
หลังจากหายไปสามเดือนครึ่ง ก็กลับมาพร้อมนิยายมหา’ลัย เรื่องนี้ตามที่สัญญาว่านายเอกดี(และซื่อมากกกกก เรื่องก่อนปวดหัวเพราะความเหวี่ยงของวิน เรื่องนี้จะปวดหัวเพราะความซื่อของโซ่นี่แหละค่ะ)
และรอบนี้เป็นนิยายมหา’ลัยแบบที่ไม่ได้เขียนมานานมากกกก แถมยังเป็นแบบที่ไม่ได้เล่าจากตัวเอกอย่างที่เคยเขียนบ่อยๆด้วย (ทั้งถ้วยฟู และฟิคอาคาเมะที่เคยเขียน บัวก็มักจะเขียนแนวมหาลัยเป็นแบบเล่าจากตัวเอกเนอะ) เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
ขอบคุณคนอ่าน คนคิดถึง คนเม้นท์และพื้นที่บอร์ดเช่นเคยค่ะ
เจอกันวันพุธหน้า