เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่34การสอบจอหงวน(P.7วันที่ 27/6/59)
ผ่านไปหนึ่งวันภายนอกในเขตราชฐานซึ่งจัดงานรับสมัครผู้เข้าร่วมสอบจอหงวนในปีนี้จะคึกคักกว่าทุกปีเพราะขุนนางน้อยใหญ่ตายตกเนื่องจากก่อกบฏมากมายทำให้ช่วงนี้ขาดขุนนางที่ซื่อสัตย์เหล่าบัณทิตจากทั่วทุกสารทิศต่างเข้ามาทดสอบความสามารถของตนเองเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีถังต้าหลี่บุตรหลานของตระกูลถังซึ่งเป็นสายรองทำให้คนในตระกูลใหญ่ไม่สนใจมากนัก หลังจากอ่านตำรับตำรามานานหลายเดือนวันนี้ก็ได้มาถึง
สูงโปร่งในอาภรณ์สีเขียวอ่อนดูสะอาดสะอ้านกำลังยืนรอเพื่อรับการสอบร่วมกับคนอื่นๆ อีกในครึ่งชั่วยามหลังจากมาสมัครสอบไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ดวงตาเรียวคมมองคู่แข่งตัวเองด้วยความเฉยเมยไม่ใช่มั่นใจในฝีมือตัวเองเพียงแต่คิดว่าทำให้ดีที่สุดสำหรับวันนี้เท่านั้น
“ฮ่าๆ นั่นมันต้าหลี่จากเมืองหยางเซานี่ไม่คิดว่าขยะอย่างเจ้าจะมาสอบขุนนาง” น้ำเสียงรื่นเริงปนดูถูกดูแคลนมาจากชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนเนื้อผ้าดีบ่งบอกว่ามีฐานะดี ถังต้าหลี่หันไปมองครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงนึกออกว่ามันคือถังไป๋หยุนจากตระกูลหลัก เขาเลิกสนใจหยิบหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา
“ฮึ อ่านให้ตายยังไงเจ้าก็เป็นได้แค่ขยะ” น้ำเสียงดูแคลนนั้นส่งเสียงดังไปทั่วห้องเริ่มทำให้ผู้คนหันมาสนใจ ถังต้าหลี่เดินหนีไปนั่งบนเก้าอี้รับรองเหล่านักศึกษาและอ่านต่ออย่างสงบก่อนจะชะงักเมื่อหนังสือในมือถูกกระชากออกจากมือพร้อมดวงตาเย้ยหยันของถังไป๋หยุนที่ตามตอแยไม่เลิกลา
“เอาคืนมา” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทำให้ถังไป๋หยุนฉีกยิ้มกว้างพร้อมฉีกหนังสือในมือตัวเองอย่างยั่วโมโหคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งทำหน้าไร้อารมณ์จนน่าหมั่นไส้ การกระทำนี้ทำให้เหล่านักศึกษาที่มาเข้าสอบหันไปมองอย่างสนอกสนใจ
ถังต้าหลี่มองตามอย่างระอากับการกระทำแบบเด็กๆ แม้อยากจะเอาคืนแต่เขาไม่อยากถูกตัดสิทธิ์จึงไม่ก่อเรื่อง เขาปรายตามองอย่างเย็นชาไม่ได้โต้ตอบแต่กลับเดินหนีอย่างไม่ใส่ใจทว่าถังไป๋หยุนที่ถูกตามใจมาอย่างเคยตัวกลับไม่ยอมปล่อยไป
“เจ้าจะไปไหนไม่ได้ ขยะไร้ค่าเช่นเจ้าคงทำให้เสียชื่อตระกูลทางที่ดีเจ้าสละตัวเองออกจากการแข่งขันนี้ซะ” น้ำเสียงจริงจังและแววตาเอาเรื่องของอีกฝ่ายทำให้ถังต้าหลี่เลิกคิ้วพยายามสะกดอารมณ์โกรธเกรี้ยวตัวเองเอาไว้
“ข้าไม่ไป”
“เจ้า” ถังไป๋หยุนกัดฟันกรอดอย่างโมโห ไม่เคยมีใครขัดใจมันมาก่อนร่างโปร่งกระชากร่างสูงมาใกล้แต่ว่าร่างกายนักศึกษาธรรมดาหรือจะสู้คนที่ฝึกวรยุทธเป็นเป็นประจำได้ ถังต้าหลี่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติงขณะที่คนหาเรื่องล้มก้นกระแทกพื้นพรหมอย่างแรง
“โอ้ย! เจ้า...”
“ช่วยข้าด้วยมีคนรังแกข้า” เสียงร้องตะโกนดังก้องทำให้เหล่าขันทีที่คุมสอบเข้ามาไกล่เกลี่ย คนที่มองเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นได้แต่เอามือปิดปากด้วยความคาดไม่ถึงกับความหน้าด้านไร้ยางอายของถังไป๋หยุน
“อะไรกัน วันแรกพวกเจ้าก็ทะเลาะกันแล้วหรือ” เสียงแหบออกจะแหลมของขันทีที่รับผิดชอบเดินเข้ามามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างโมโหที่มาสร้างความวุ่นวายให้กับตนเองอีก ทว่าเมื่อเห็นใครล้มลงกองกับพื้นก็รีบเข้าไปประคองให้ลุกขึ้นและกวาดตามองถังต้าหลี่อย่างเย็นชา
“เจ้าทำผิดกฎเพราะฉะนั้นเจ้าหมดสิทธิ์สอบในครั้งนี้” น้ำเสียงแหบแหลมของขันทีและดวงตาเรียวเล็กเชิดหน้าขึ้นเหมือนเป็นการตัดสินใจถูกต้องทำให้ถังต้าหลี่หรี่ตามองอย่างไม่พอใจ
“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเหตุใดต้องโดนตัดสิทธิ์ คนในนี้เป็นพยานให้ข้าได้” ทันทีที่ถังต้าหลี่เอ่ยเช่นนั้นผู้คนก็ถอยห่างจากเขาไปเหมือนไม่ออยากยุ่งเกี่ยวด้วย เหลือเพียงบุรุษชุดขาวจากที่อยู่ด้านหลังสุดกลับเป็นว่ายืนอยู่หน้าสุด ใบหน้าแสนธรรมดาร่างกายที่ยังเยาว์วัยกอดอกยืนมองนิ่งๆ ดวงตาเรียวคมเหมือนมีอำนาจปรายตามองขันทีและคนที่ยืนอยู่ข้างกายก่อนจะเงยหน้าไปมองคนที่ถูกหาเรื่องแล้วถอนหายใจยาว
“เจ้าเป็นพยานให้เจ้านี่รึ” น้ำเสียงกดดันของขันทีมองมายังหนุ่มน้อยหน้าตาธรรมดาจนออกขี้เหล่ ดวงตาข่มขู่ไม่ได้ทำให้ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวเนื้อดีสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“ใช่เราเป็นพยานให้นักศึกษาผู้นี้” นิ้วเรียวชี้ไปยังถังต้าหลี่อย่างใจเย็นไม่ได้สนใจสายตาของนักศึกษารอบข้างที่มองมายังตนเหมือนคนโง่งม หาเรื่องไม่ดูคน
“เช่นนั้นเจ้าก็รู้เห็นเป็นใจกับนักศึกษาผู้นี้สินะ ทหารนำตัวสองคนนี่ออกจากห้องตัดสิทธิ์คนทั้งคู่ไม่ให้เข้ามาร่วมสอบอีก” น้ำเสียงแหบแหลมและเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีในอำนาจของตนเอง ทหารกรู่เข้ามาหาทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
“จะไล่ข้าก็ไล่ข้าเพียงคนเดียว คนผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้า” ถังต้าหลี่เอ่ยออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว และรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงที่ในวังหลวงลั่วหยางไร้ความยุติธรรมสิ้นดี
คำพูดของถังต้าหลี่ทำให้บุรุษชุดขาวยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยอย่างยินดี แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรร่างสูงโปร่งของพระสนมหวงกุ้ยเฟยก็เดินเข้ามา บรรยากาศภายในห้องเหมือนเย็นลงจนผู้คนเริ่มเกร็งยืนนิ่งมองคนใหม่อย่างพิจารณา เหล่าขันทีที่จำได้ก็คำนับถวายพระพรก้มหน้าต่ำอย่างนอบน้อมซึ่งทำให้คนอื่นทำตามเช่นกันไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง
ดวงตาเรียวคมกวาดตามองอย่างเฉยเมยแต่กลับทำให้ผู้ถูกมองเย็นวาบทั่วแผ่นหลังได้ สายตาคู่นั้นมาหยุดอยู่ที่ร่างสีขาวที่ค้อมศีรษะลงต่ำ แต่ไม่ได้ต่ำมากเหมือนผู้อื่นใบหน้างดงามขมวดคิ้วลึกพร้อมเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้า
“ท่านมาทำอะไรที่นี่องค์ชายเพ่ยอวี้” น้ำเสียงแผ่วเบาของคนตรงหน้าทำให้ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวสะดุ้งสุดตัว เขาว่าปลอมตัวมาดีแล้วเหตุใดถึงไม่พ้นสายตาของพระสนมอีก ใบหน้าแสนธรรมดาก้มลงต่ำยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้ตอบคำถามแต่เหมือนพระสนมหวงกุ้ยเฟยไม่ได้ใส่ใจเอาคำตอบนักก่อนจะเดินไปมองเหล่าขันทีพร้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายร่างสูงในอาภรณ์สีเขียวอ่อนซึ่งถูกหาเรื่องในวันนี้
“แยกย้ายเตรียมตัวสอบกันได้แล้ว ไม่มีใครในนี้ถูกตัดสิทธิ์หรือว่ามีคนคัดค้านข้า” ดวงตาเรียวมาหยุดที่ขันทีที่ถูกยัดเงินมาไม่น้อยถึงได้เห็นผิดเป็นถูกเช่นนี้
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้นั้นตอบกลับเสียงสั่นก้มต่ำมากกว่าเดิม ทำให้ผู้คนแอบเหลือบขึ้นมามองอย่างแปลกใจ
“ดี” กล่าวจบแค่นั้นก่อนจะผละจากไป ทำให้ผู้คนกลับมาหายใจได้โล่งกว่าปกติ แม้กระทั่งเพ่ยอวี้ซึ่งเป็นองค์ชายเองยังรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อถูกมอง
“นั่นผู้ใดหรือท่านขันที” ถังไป๋หยุนเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองจึงได้เห็นแต่แผ่นหลังงามสง่าที่เดินจากไปเท่านั้น
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ เรื่องนี้ถือว่าพวกเจ้าโชคดีไป แยกย้ายกันไปได้แล้ว” ทันทีกล่าวจบทุกคนก็เริ่มไปตรียมสอบให้ห้องโถงใหญ่ ถังต้าหลี่มองตามเงาร่างสีขาวที่คุ้นตาอย่างครุ่นคิด ทำไมรู้สึกคล้ายสหายเขาจังหรือว่าคิดไปเอง?
“ขอบคุณท่านมาก” ถังต้าหลี่เลิกสนใจคนที่ยื่นมือมาช่วยเหลือตนเองก่อนจะหันไปบอกร่างโปร่งที่ยืนอยู่ไม่ห่าง แม้ไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือใครแต่กิริยาและการวางตัวคงมิใช่สามัญชนทั่วไป
“ไม่เป็นไร ข้าแค่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไปสอบเถอะขอให้ท่านโชคดี” ถังต้าหลี่ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วตอบกลับด้วยความจริงใจ
“ท่านก็เช่นกัน หากจบงานนี้ข้าขอเลี้ยงอาหารท่านสักมื้อเป็นการตอบแทนได้หรือไม่” เพ่ยอวี้นิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนยกยิ้มบาง
“อืม ร้านวิหคดำนอกวังหลวงตกลงหรือไม่” ถังต้าหลี่ครุ่นคิดถึงร้านชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วเดินตรงไปยังห้องสอบพร้อมกับคนอื่นๆ
“ฝ่าบาทไม่ควรรับปากพ่ะย่ะค่ะ” ร่างสูงในอาภรณ์สีน้ำตาลอ่อนและใบหน้าแสนธรรมดาดูกลมกลืนกับทุกสิ่งมายืนอยู่เบื้องหลังแล้วเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ท่านพี่กล่าวไว้ว่าอย่าตัดรอนน้ำใจผู้อื่น เดี๋ยวเขาจะเสียใจ” บอกเสียงรื่นเริงก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเนียนๆ โดยไม่มีใครสังเกตได้ องครักษ์ที่พ่วงด้วยตำแหน่งอาจารย์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ความเจ้าเล่ห์ถอดแบบผู้เป็นพี่ชายมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ภายในห้องโถงใหญ่ซึ่งมีโต๊ะเล็กๆ วางเรียงพอเพียงสำหรับนักศึกษาที่สอบผ่านมาถึงรอบสามจากจำนวนที่เข้ามาสมัครมากกว่าพันคนตอนนี้เหลือเพียงห้าสิบคนเท่านั้น บ่งบอกว่าผู้ที่นั่งประจำที่ของตนเวลานี้มีความสามารถพอสมควรแต่หากต้องการตำแหน่งที่สูงกว่านี้จึงต้องผ่านการทดสอบจนไปถึงด่านสุดท้าย พรรคพวกที่ใช้เงินยัดใต้โต๊ะกับเหล่าผู้คุมสอบต่างถูกคัดออกอย่างไร้ความปราณี ทว่ายังมีคนหนึ่งที่หลงเหลืออยู่คือถังไป๋หยุนซึ่งบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวมีดีอยู่ไม่น้อย แม้จะดื้อรั้นเอาแต่ใจทว่าคำตอบและลายมือกลับอ้อนช้อยงดงามและตรงตามคำถามเกือบทุกข้อ สร้างความแปลกใจให้กับถังต้าหลี่ซึ่งผ่านเข้ารอบมาได้เช่นกัน
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามการสอบจึงเสร็จสิ้น ถังต้าหลี่ผ่านเข้ารอบสองง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก อาจเพราะศึกษาตำรามามากจึงทำให้ตอบคำถามได้ง่ายยิ่งขึ้น ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในครั้งเหลือเพียงสิบคน ทว่าตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์นั้นรับเพียงแค่สองคนเท่านั้น การแข่งขันครั้งนี้จึงเพิ่มความกดดันมากยิ่งขึ้นเมื่อฮ่องเต้เสด็จมาด้วยพระองค์เองติดตามมาด้วยพระสนมหวงกุ้ยเฟยซึ่งเขายังไม่ทราบว่าพระนามว่าอะไรเพียงแต่ข่าวที่ได้ยินมาในช่วงสองวันนี้คือพระสนมเป็นบุรุษที่งดงามมาก บางครั้งถังต้าหลี่ยังอดคิดไม่ได้ว่าในโลกหล้านี้ยังจะมีชายใดงดงามกว่าสหายตนอีกหรือ แม้จะอยากรู้แต่เขาก็ยังไม่อยากหัวหลุดจากบ่าจึงได้แต่ก้มหน้าน้อมตัวต่ำไม่กล้าสบพระพักต์
ลั่วเหยียนเจิ้งกวาดสายตามองนักศึกษาเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นเอกลักษณ์เหมือนที่ผ่านมาทว่าดวงตาคู่คมกลับสร้างแรงกดดันให้กับผู้อยู่เบื้องหน้าจนแผ่นหลังเย็นเบือกเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อของตัวเอง ร่างสูงงดงามในอาภรณ์สีเหลืองทองลายมังกรน่าเกรงขาม สวมมาลาห้อยด้วยมุกสีเงินบดบังใบหน้าทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัดเจนนักพระองค์ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองงดงามข้างกายมีพระสนมคนโปรดซึ่งใบหน้านิ่งเฉยดั่งรูปปั้นน้ำแข็งกับบรรยากาศเย็นเยือกในรอบกาย
“ลุกขึ้น” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยออกคำสั่งคำแรกเมื่อพิจารณาผู้เข้าสอบเพียงพอแล้ว ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างสูงในอาภรณ์สีเขียวอ่อนเป็นพิเศษ ไม่คิดว่าถังต้าหลี่มาไกลได้ถึงเพียงนี้และคนที่ทำให้ประหลาดใจคือถังไป๋หยุนซึ่งฝ่าฝันมาไกลถึงเพียงนี้ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นคนยัดเงินเหล่าผู้คุมสอบตั้งแต่วันแรก ทว่ากลับใช้ความสามารถตัวเองเข้ามาได้ ช่างน่าสนใจ นิสัยที่แสดงออกคล้ายเด็กเรียกร้องความสนใจทว่าความตั้งใจอันแน่วแน่และว่าความรู้ของอีกฝ่ายบอกได้ว่าอ่านตำรับตำรามามากนัก แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่เป็นวรยุทธเลยสักนิด
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสิบกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกันแม้จะลุกขึ้นแต่ไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองพระพักต์พระองค์เพราะมันเป็นกฏของราชสำนักหากไม่ได้รับอนุญาติไม่อาจสบพระพักต์เจ้าเหนือหัวได้
“การทดสอบรอบสุดท้ายมีไม่มากนักพวกเจ้าผ่านมาถึงด่านนี้ได้นับว่าเป็นขุนนางของแคว้นลั่วหยางแล้ว เพียงแต่ข้าต้องการที่ปรึกษาสองคน” น้ำเสียงอ่อนโยนชวนให้ผ่อนคลายทว่ารูปแบบประโยคทำให้ขุนนางหน้าใหม่ต่างรู้สึกกดดัน ตอนนี้เทียบขั้นได้เพียงขุนนางชั้นผู้น้อยเท่านั้น หากประสบความสำเร็จนั่นหมายถึงเขาจะเลื่อนเป็นขุนนางขันที่หนึ่งทันที
“ข้าต้องการคำปรัชญาจากใจคนละหนึ่งบทความภายในหนึ่งก้านธูป บทความผู้ใดทำให้ข้าชื่นชอบได้ข้าจะแต่งตั้งผู้นั้นเป็นขุนนางที่ปรึกษาส่วนตัวข้า” ทันทีที่ฮ่องเต้กล่าวจบเหล่าขันทีก็เตรียมอุปกรณ์และโต๊ะนั่งให้ผู้เข้าสอบสิบคนอย่างรวดเร็ว ที่นั่งห่างกันไกลไม่อาจมองเห็นได้ว่าเขียนสิ่งใดอยู่ แม้โจทย์ที่ได้มานั้นดูแสนง่ายทว่าใครเล่าจะรู้ว่าฮ่องเต้ผู้มากความสามารถผู้นี้จะชื่นชอบบทความแบบไหนกัน ทว่าพวกเขาไม่มีเวลามาคิดถึงข้อนี้เพราะก้านธูปเดียวนับว่าน้อยนิด
หลิ่วเหวินอี้ที่นั่งเงียบเป็นรูปปั้นน้ำแข็งมานานมองดูสหายนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนโต๊ะเตี้ยของตัวเอง ผู้อื่นเริ่มลงมือเขียนแล้วทว่าเจ้าตัวเพียงแค่หยิบพู่กันขึ้นมาเท่านั้น
“อี้เอ๋อร์เจ้าว่าสหายเจ้าจะเขียนบทดความแบบใดกัน” คำถามของคนที่นั่งสูงกว่าตนนิดหน่อยทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบตาขึ้นไปมอง ก่อนจะหันศีรษะกลับไปมองสหายอีกครั้งซึ่งกำลังลงมือเขียนลายมือของเจ้าตัวเขายอมรับว่างดงามอ่อนช้อยแต่ก็หนักแน่นน้ำหนักของตัวอักษร
“ข้าเป็นสหายไม่ใช่ผู้รู้ใจ” คำตอบเรียบนิ่งแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งก้มหน้ามามองพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
“นั่นสินะ เจ้ารู้ใจข้าผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนตอบกลับมาอย่างระอามีโอกาสไม่ได้เลยหยอดได้หยอดดี วันไหนไม่ได้เกี้ยวพาราสีเขานี่คงนอนไม่หลับ
“หมดเวลา” เมื่อธูปไหม้หมดดอกหัวหน้าขันทีก็ตะโกนก้องพร้อมผู้เข้าสอบวางมือและส่งกระดาษให้เหล่าขันทีซึ่งเดินไปรับพร้อมเดินกลับมาถวายฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์ ขณะนั้นถังต้าหลี่เผลอเงยหน้าไปทางฮ่องเต้กลับต้องตะลึงงันเมื่อเห็นสหายของตนนั่งอยู่บนนั้นด้วย เวลานี้พวกเขาลุกจากโต๊ะเตี้ยที่เตรียมสอบก่อนหน้านี้มารวมตัวกันตรงหน้าฮ่องเต้อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ถังต้าหลี่กลับมองสหายไม่วางตาจนลืมแม้กระทั่งมารยาทก่อนจะสะดุ้งเมื่อถังไป๋หยุนบิดที่เอวจนสะดุ้ง
“อยากตายหรือไงเจ้าโง่” เสียงกระซิบพร้อมดวงตาเรียวเล็กถลึงมองมาทำให้ถังต้าหลี่มองตามอย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายห่วงใยตน ไม่คิดว่าจะเป็นคนใจดีเหมือนกัน
“อย่าคิดว่าข้าห่วงใยเจ้า ข้าแค่กลัวว่าจะเสียชื่อเสียงวงค์ตระกูล” ถังไป๋หยุนกระซิบตอบพร้อมหันหน้าหนีด้วยใบหูแดงก่ำ ทำให้ถังต้าหลี่ชะงักงันอย่างมึนงง ทว่าในใจกลับคิดว่าคนข้างกายเขาเวลานี้ทำไมดูน่ารักไปได้ เขาเลิกสนใจคนข้างตัวก่อนจะแอบเหลือบมองดวงตาเย็นชาของสหายที่มองมาเช่นกันมุมปากยกยิ้มขึ้นมาเพียงนิดเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวทำให้แน่ใจว่าผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือ หลิ่วเหวินอี้คุณชายสี่นิกายมารฟ้าไม่ผิดตัวแน่ ไม่ได้เจอกันสองเดือนไยเจ้าตัวมาเป็นพระสนมของฮ่องเต้ได้ ความคิดมากมายต้องหยุดลงเมื่อเสียงนุ่มอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจของฮ่องเต้ดังขึ้น
“บทความของแต่ละคนน่าสนใจ เพียงแต่ข้าชื่นชอบมีเพียงสอง ข้าอ่านบทความของผู้ใดจงก้าวออกมา” คำกล่าวนั้นทำให้หัวใจของผู้ที่รับฟังใจสั่นเต้นระรัวเพราะการสอบครั้งนี้เหมือนการตัดสินอนาคตตัวเองเลยก็ว่าได้ ทว่าคนที่สงบนิ่งที่สุดกลับเป็นบุรุษในอาภรณ์สีขาวเรียบง่ายคนเดียวกับที่เคยยื่นมือมาช่วยเหลือถังต้าหลี่ในวันนั้น
“แต่ก่อนอื่นข้าขอตัดสิทธิ์ผู้เข้าสอบออกหนึ่งคน” ทันทีที่ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวจบทำให้เหล่าขุนนางหน้าใหม่เงยหน้าขึ้นมามองอย่างลืมตัว น้ำเสียงแม้จะอ่อนโยนแต่รูปแบบประโยคที่กล่าวออกมาสร้างความกดดันให้ผู้เข้าสอบจนหายใจไม่ทั่วท้อง แม้จะกระทำอย่างไร้มารยาททว่าพระองค์มิได้กล่าวติเตือนอันใดพวกเขาจึงก้มหน้าลงตามมารยาทที่พึงมีของตน
“เพ่ยอวี้มิใช่เจิ้นให้เจ้าศึกษาวรยุทธและหมั่นศึกษาตำราในตำหนักหรอกหรือ” น้ำเสียงอ่อนโยนแต่กดดันทำให้เจ้าของชื่อก้าวขึ้นมาข้างหน้ายกมือคารวะอย่างนอบน้อมเมื่อมิอาจหลบสายตาได้พ้น
“ทูลฝ่าบาทกระหม่อมเพียงแค่อยากทดสอบความสามารถของตนเอง มิได้เจตนาก่อความวุ่นวายให้พระองค์ ฝ่าบาทโปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่นอบน้อมด้วยใจทำให้ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์นั่งนิ่งครุ่นคิดแล้วกล่าวตอบอย่างเชื่องช้า
“เวลานี้เจ้าผ่านการทดสอบของนักศึกษาแล้วเพ่ยอวี้ หากวรยุทธเจ้ายังต่ำต้อยเห็นทีเจิ้นต้องฝึกเจ้าด้วยตัวเอง”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมให้ฉีเห้อหลันฝึกให้เหมือนเดิมดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงหวาดหวั่นที่แสดงออกมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม ทว่าคนที่คุ้นเคยกันดีกลับรู้สึกหนาวเยือกจนรู้สึกยืนไม่ติด ส่งสายตาอ้อนวอนไปยังหลิ่วเหวินอี้อย่างขอความช่วยเหลือ
“หากฝ่าบาทต้องการผู้ฝึกซ้อมกระหม่อมจะช่วยให้ฝ่าบาทฝึกเองพ่ะย่ะค่ะ มิต้องเดือนร้อนไปถึงองค์ชายเพ่ยอวี้” น้ำเสียงเย็นนิ่งฟังแล้วรู้สึกสบายใจ ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งกลับหันศีรษะมามองคนรักที่ออกตัวช่วยเหลือองค์ชายสิบห้าอย่างไม่อยากเชื่อ และเกิดความสงสัยว่าสองคนนี่ไปสร้างความสัมพันธ์อันดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“อะแฮ่ม! เรื่องนั้นช่างเถอะ เพ่ยอวี้เจ้ากลับตำหนักได้แล้ว” เพ่ยอวี้มองตามอย่างลังเลก่อนจะถอยกลับตำหนักอย่างไม่มีทางเลือก
แต่คนที่ตกใจมากที่สุดคือถังต้าหลี่วันนี้เขารู้สึกว่าตัวเองโง่เขลานัก จึงได้ก้มหน้าต่ำลงยิ่งกว่าเดิมยามนี้เขาไม่กล้าสบตากับใครทั้งสิ้น ยิ่งรู้สึกว่าตำแหน่งสูงเท่าไหร่ความมากเล่ห์ภายในวังหลวงยิ่งเห็นได้ชัดเจน แต่หากทำให้บิดามารดามีฐานะที่ดีขึ้นเขาก็ยินดีที่จะก้าวเข้าไป แม้ต้องพบเจอกับอะไรเขาก็ยังจะเป็นถังต้าหลี่ที่สัตย์ซื่อคนเดิมตลอดไป...
ขอบคุณมากค่าา แล้วพบกันใหม่นะคะ