ตอนที่ 39
นายท่าน
Naaytan Aroonkittiniwat
กูจะหมั้น (210 Likes)
Tim Gy : มึงถามพี่กล้าแล้วเหรอ (15 Likes)
รุ่นพี่คนที่หนึ่ง : @Tim Gy กูถามหน่อย...มึงรู้ได้ไงว่าสเตตัสอันไหนไอ้ท่านตั้ง อันไหนไอ้กล้าตั้ง (32 Likes)
Tim Gy : ง่ายจะตายพี่...อันไหนเพ้อๆ อันนั้นแหละของไอ้ท่าน
Naaytan Aroonkittiniwat : ไอ้เหี้ยทิมหัวกล้วย กว่ากล้าจะตื่น...เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงเวลาเกือบรุ่งสางแล้วครับ
“เหี้ย!” มันร้องลั่นทันทีว่าเมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ที่ไหน...มันคือบนรถตู้ของที่บ้านผม เรากำลังจะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อที่จะไปงานอีเวนต์กัน...ตามเคย “ท่าน มึงก็อยู่เหรอ”
มันไม่รู้ว่าผมหายโกรธมันแล้วครับ...ผมจะตีเนียนไปก่อนเพราะเราทั้งคู่ยังต้องทำอะไรบางอย่างกัน
“กูนึกว่ากูโดนลักพาตัว!”
กล้าโวยวายโดยที่ไม่เกรงใจใครเลยสักนิด...ผมชอบที่มันเป็นแบบนี้นะ
“มึงพาตัวกูมา...แต่มึงจะไม่พูดอะไรกับกูเลยเนี่ยนะ”
เวลาตีสามมันคือเวลานอนปกติของผมนี่ครับ...
“นอนเถอะ พูดเยอะมันเหม็นเหล้าเหม็นเบียร์นะ” ผมเอาผ้าห่มมาปิดหน้า
“มึงจะพากูไปไหน”
“...”
“พากูไปฆ่าเหรอ”
“...”
“แค่กูบอกเลิกมึงเนี่ยนะ”
“...”
“ท่าน...ทะ...ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้วะ!”
มันไม่ได้แอคติ้งเลยสักนิดครับ...มันคิดว่าผมจะทำงั้นจริงๆ ผมที่ง่วงจัดดึงตัวมันมาจากเก้าอี้อีกตัวแล้วให้มันนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างหว่างขาของผม พร้อมกับห่มผ้าห่มให้กับเราทั้งคู่
“เงียบ” ผมบอกมัน... “ไม่เงียบกูจูบมึงโชว์คนรถนะ”
ไอ้เตี้ยที่เหมือนตกถังเหล้าเริ่มไม่กล้าส่งเสียง...เหมือนคนรถบ้านผมจะได้ยินมั้ง พี่เขากดให้ฉากมันขยับขึ้นมาปิดกั้นเอาไว้
แสดงว่าผมอยากทำอะไรไอ้กล้าบนรถ...ผมก็ทำได้งั้นสิ
แต่เอาเข้าจริงๆ นะ...ตัวมันเหม็นเหล้ามาก อีกทั้งผมยังง่วงมากอีกต่างหาก นอกจากจูบนิดๆ หน่อยๆ แล้ว ผมคงไม่ทำอะไรมากกว่านี้หรอก
เอ๊ะ...แต่ถ้าได้ทำบนรถที่กำลังแล่น...บางทีมันก็อาจจะตื่นเต้นไปอีกแบบนะ
“มึง...ไม่โกรธกูแล้วเหรอ” มันกระซิบถาม
“อืม” เสียงของผมฟังดูเดายากมาก เพราะเหมือนผมพึมพำเนื่องจากความง่วงมากกว่าตอบรับ
“ท่าน”
“นอนเถอะ” ผมจุ๊บไปที่ขมับของกล้า “เดี๋ยวต้องไปออกงานกันอีกตั้งสองสามงาน”
“แต่กู...”
“กูรู้มึงต้องการอะไร” ที่ผมพาตัวมันออกมาเนี่ย...ผมก็มีแผนของผมอยู่นะ “มึงอย่าเพิ่งคิดมากตอนนี้...แค่นอนหลับพักผ่อนก็พอ”
“อืม”
“...”
“กูยอมหมดแหละ”
คำพูดของกล้าทำเอาผมลืมตาขึ้นมาในความมืดบนรถ
“ให้กูทำอะไรก็ได้ ขอแค่มึงยังกอดกูเหมือนเดิมแบบนี้...กูโอเคหมดทุกอย่างจริงๆ”
ผมยิ้ม...ตอบมันด้วยการจุ๊บไปที่ขมับซึ่งเป็นคนละข้างกับเมื่อตะกี้
“นอนกันเหอะ”
เชื่อว่าผมไม่ต้องอธิบายให้ยากว่าผมหายโกรธมันแล้ว...เพราะผมรู้ว่ากล้ามันรู้จักผมดี
เพราะถ้ามันคิดว่าผมยังโกรธมันอยู่ มันคงไม่พลิกใบหน้ากลับมาแล้วขยับริมฝีปากมาจูบดูมดื่มกับผมซ้ำๆ ไปมาแบบนี้หรอก...
ตลอดสองสามชั่วโมงที่เหลือหลังจากนั้น...เราทั้งคู่ไม่มีใครนอนหลับได้ลงเลย
ใช่ครับ...เพราะเราง่วนอยู่กับการจูบกันอยู่
ทันทีที่มาถึงบ้านผม...เราทั้งสองก็เดินไปหาคุณแม่ของผมที่ห้องนั่งเล่นทันที ผมตกใจเล็กน้อยกับช่างแต่งหน้าและก็ช่างทำผมที่รออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว คุณแม่ของผมบอกให้ช่างแต่งหน้าซึ่งแต่งให้ท่านอยู่ถอยไปก่อน เพื่อที่ท่านจะได้มาคุยกับผมสองคน
และแล้วสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็พลันเกิดขึ้น...คุณแม่ผมพุ่งตัวเข้าไปกอดกล้าหาญที่ยังไม่ได้อาบน้ำ!
ผมเห็นหน้ามันช็อกเหนือช็อก...ช็อกเกินกว่าที่จะช็อกเรื่องคุณแม่กอดเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์บนตัวของมันในตอนนี้แย่มากจริงๆ
“อืม...” คุณแม่ผมขยับถอยห่างเมื่อได้กลิ่น “แสดงว่าเคลียร์กันมาอย่างหนักหน่วง”
“ขอโทษนะครับ” กล้าหลับตาปี๋อย่างรู้สึกผิด
“ขอบใจมาก...ขอบใจที่กลับมาหาลูกแม่”
“...”
“วันนั้นแม่กับน้องๆ ช็อกมาก...นายท่านเหมือนไม่ใช่คนเลย เอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้องแบบนั้น ถามอะไรไปก็ไม่ตอบ อย่างกับคนตายเดินได้”
ผมจำได้ว่าหลังจากที่กล้าบอกเลิกผมปุ๊บ ผมก็ทำใจอยู่หน้าบ้านของกล้าอยู่นานสองนาน เมื่อผมกลับมา...ผมก็นิ่งต่อหน้าครอบครัว ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และก็พี่น้องของผม ทุกคนไม่เคยเห็นผมในสภาพที่นั่งนิ่งๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแบบนั้นมาก่อน
นายน้อยตกใจจนร้องไห้...น้องบอกว่าผมเหมือนหุ่นอะไรสักอย่างที่น่ากลัวมากๆ จนนายพลกับนายกองนั้นมันก็ตกใจเหมือนกัน เพียงแต่มันไม่ได้ร้องไห้เหมือนน้องชายคนเล็ก
“เอ่อ...”
“แม่ขอโทษ” คุณแม่พูดโดยที่ไม่แคร์ว่าในห้องนี้จะมีใครอยู่บ้าง “ที่ผ่านมาทั้งหมด...แม่ขอโทษจริงๆ”
“ผมทราบครับแม่...ไม่เป็นไร” กล้ายิ้ม
“เข้าใจแม่ใช่มั้ย”
“ผมเข้าใจแม่ทุกอย่างครับ”
“ดี” คุณแม่ลูบหัวแฟนผม “แม่คิดทางออกเรื่องของเรากับท่านได้แล้ว”
กล้าหันมามองหน้าผม ผมส่งยิ้มให้มันพร้อมกับพยักหน้าให้...
“ทางออกนั้นคืออะไรเหรอครับ”
“ขอยืมคำพูดหน่อยนะ” คุณแม่หันไปหาช่างแต่งหน้าที่เป็นสาวประเภทสองซึ่งพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ย “ทางออกเรื่องนี้ก็คือ...ไม่ต้องสนหินสนแดดอะไรกันทั้งนั้นจ้า!”
ผมชอบคำนี้แฮะ...
“หยะ ยังไงนะครับ”
“กล้าอยากทำอะไร...กล้าทำไปเลยลูก เนื้อแท้กล้าเป็นคนดีมากๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมาสร้างพงสร้างภาพหรือออกซงออกสื่ออะไรทั้งสิ้น”
“...”
“แค่ดูแลลูกชายแม่ดีๆ ก็พอ”
“เอ่อ...” กล้ามีสีหน้าสับสนเล็กน้อย “ได้เหรอครับแม่”
“ได้สิ” คุณแม่ยิ้มให้ผม
“มันจะส่งผลกระทบกับนายท่านมั้ย”
“ไม่เลย” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคำพูดของคุณแม่ผมมีอิทธิพลกับกล้ามาก เพราะสีหน้าของกล้ามีแววยินดีหลังจากที่ได้ยิน “ท่านจะดูดีขึ้นมากกว่าเดิม...ถ้ามีกล้าอยู่ข้างๆ”
ผมเชื่อว่ามันยังไม่เข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก...เพราะแค่พูดเฉยๆ มันคงไม่เห็นภาพเท่ากับการได้รับประสบการณ์จริงๆ
“วันนี้สามงานนะท่าน รายละเอียดอยู่บนโต๊ะแล้ว” คุณแม่กลับไปนั่งให้ช่างมาแต่งหน้าให้เหมือนเดิม “กล้าลูกไปลองชุดก่อน แม่ติดต่อแบรนด์ไม่ทันเพราะมันค่อนข้างด่วน แต่ก็ถือว่าเหมาะกับกล้าดีนะ”
“...”
“ไม่สิ...กล้าไปอาบน้ำก่อนจะดีกว่า”
แฟนผมดูงงมาก...แต่ก็ยินดีอย่างมากที่จะอาบน้ำก่อนจะทำอะไร...ผมที่อาบน้ำมาก่อนหน้านี้แล้วตัดสินใจเดินไปล้างหน้าแปรงฟันเล็กน้อย จากนั้นก็ปล่อยให้ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมทำงานของเขาบนตัวของผม
แดดเริ่มสาดส่องเข้ามาในห้อง...เชื่อหรือเปล่าว่ามันเป็นแดดที่สดใสที่สุดที่ผมเคยเห็นในเวลาสองปีที่ผ่านมา
วันนี้ผมตั้งใจทำงานมาก...
ผมยิ้มอย่างสดใสรวมไปถึงเต็มใจตอบคำถามสื่อต่างๆ อย่างจริงใจ งานแรกที่คุณแม่สั่งให้ผมไปก็คืองานบวงสรวงละครของค่ายเอสเอ็นเรื่องใหม่ ผมไปในนามกำลังใจของคุณแม่ ส่วนกล้านั้น...มันไปงานนี้ในนามกำลังใจของผม
มันแต่งตัวดูดีจัด...แต่ก็ไม่ได้ออกมาสัมภาษณ์กับสื่ออย่างที่แม่บอก พี่ตัวจี๊ด เลขาฯ ที่เป็นตุ๊ดร่างท้วมของคุณแม่คือคนที่อยู่เป็นเพื่อนกล้า คอยเล่าให้กล้าฟังว่าคนในงานนี้คือใครบ้าง มีฝ่ายไหนบ้าง คนไหนคือผู้จัดการดารา คนไหนคือแฟนลับๆ ของดารา
กล้าดูสนุกมากกว่าที่ผมคิด...
แม้สื่อจะให้ความสนใจกล้า แต่พี่ตัวจี๊ดนั้นก็ดูแลกล้าได้ดีมาก คอยปัดรังควาน (อันนี้ผมเติมเอง) ไม่ให้สื่อคนไหนได้เข้าใกล้ มองเผินๆ นึกว่ากล้าเป็นดาราแล้วพี่ตัวจี๊ดเป็นผู้จัดการของกล้าเลยครับ
แฟนผมทำได้ดีมาก แม้จะไม่ออกสื่อแต่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสซะจนสื่อคงไม่กล้าเขียนข่าวด่า รูปที่ออกมาคงจะเต็มไปด้วยรูปรอยยิ้ม ความน่ารัก และก็ความสดใสของแฟนผมนั่นแหละ
“เหนื่อยป่ะ” กล้าเดินเข้ามาหาผมตอนที่ผมให้สัมภาษณ์กับสื่อเสร็จ “เอาน้ำมาให้ด้วย”
“ขอบใจนะ” ผมตอบ...ยิ้มให้มันเป็นเชิงขอบคุณ “ร้อนเปล่า”
“นิดหน่อย พอทนไหว พี่ตัวจี๊ดน่ารักมากเลย เล่านั่นเล่านี่ให้กูฟังด้วย นี่มึงรู้เปล่าว่าคนนั้นน่ะคือแฟนลับๆ ของพระเอกละครเรื่องนี้นะ...”
“คนไหน” ผมทำเป็นสนใจ ทั้งๆ ที่สายตาของผมเอาแต่มองกล้า
“คนนั้นไง”
“ดูดีนะ” ผมชมมันยิ้มๆ
กล้าหรี่ตามองผม “มึงไม่มองตามที่กูชี้อ่ะ”
“ไม่ชอบเหรอที่กูชมมึง”
“มึงไม่สนใจสิ่งที่กูพูด”
“กูสนมึงคนเดียวเนี่ย ไม่ต้องชี้ให้กูมองคนอื่นเลย”
“นายท่านคะ” พี่ตัวจี๊ดเรียกผมให้ผมไปชักภาพกับคุณแม่
“เดี๋ยวมานะ” ผมบอกมัน
“โอเค” กล้าตอบรับอย่างกระตือรือร้น
ผมฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้... “ไปถ่ายด้วยกันเปล่า”
“ไม่เอา” คนตรงหน้าส่ายหน้าแรงมากจนดูตลก
“เข้าใจแล้ว”
“มึงให้ความสำคัญกูอยู่แล้ว มึงไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้หรอก” กล้ากระซิบ “เอาจริงๆ นะ...กูไม่ชอบวงการอะไรนี่เลย เพราะงั้นถึงกูไม่ได้ออกสื่อ ไม่ได้ถ่ายรูปกับมึงและก็แม่ กูก็ไม่เป็นไร”
“ขอบใจนะ”
“เรื่องอะไรวะ”
“เรื่องที่มึงปรับตัวเข้าหากู”
กล้ากระพริบตาปริบๆ “กูกำลังทำแบบนั้นเหรอวะ”
“เออดิ”
“...”
“มึงกำลังทำตัวเป็นเมียลูกค่ายละครอยู่เนี่ย ไม่รู้ตัวเลยเหรอ”
“นายท่าน” พี่ตัวจี๊ดเรียกอีกรอบ
“โธ่เอ๊ย” ผมอดส่งเสียงเซ็งออกมาไม่ได้
“เอาไว้ค่อยมาเต๊าะกูตอนงานเสร็จก็ได้” กล้าพูดกับผมยิ้มๆ “กูไม่ไปไหน”
“แค่ห่างมึงสิบวิกูก็คิดถึงมึงแล้ว”
มันเขินแฮะ “พอได้แล้ว”
“...”
“ไม่ต้องลงทุนเต๊าะหนักๆ ก็ได้ ไอ้บ้า...มึงจีบกูติดตั้งนานแล้ว”
“กูเต๊าะมึงได้ตลอดชีวิตอ่ะกล้า”
“นาย...”
“ไปเดี๋ยวนี้ครับพี่!”
ผมจับแก้มกล้าเบาๆ ก่อนจะส่งน้ำคืนให้มันแล้วเดินไปถ่ายรูปกับคุณแม่ ระหว่างนั้นผมเหลือบมองดูกล้าเป็นระยะๆ มันดูกลมกลืนไปกับทีมงานเบื้องหลังของคุณแม่ซะจนผมรู้สึกใจชื้นไปหมด...
“มันน่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งนานแล้ว” คุณแม่กระซิบกับผมแล้วสลับเปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่งต่อหน้ากล้อง ผมเคยเห็นสิ่งนี้มาทั้งชีวิตครับ...โคตรชินเสียยิ่งกว่าชิน “แม่ทำอะไรลงไป...แม่เสียเวลาไปกับอะไร”
“ผมโอเค” ผมขยับปาก...มองกล้องนั้นกล้องนี้ไปทั่ว “คุณแม่ทำให้เราสองคนรักกันและเข้าใจกันมากขึ้น”
“แม่ขอโทษนะลูก”
“ผมเองก็ต้องขอบคุณคุณแม่ด้วย”
“...”
“ผมมีกำลังใจทำทุกอย่างถ้ามีกล้าอยู่ข้างๆ”
นัยน์ตาของคุณแม่เหลือบมามองผมอย่างมีความหมาย
“อนาคตค่ายเรากำไรอื้อซ่าแน่ๆ...ผมขอเอาชีวิตของผมเป็นเดิมพัน”
“...”
“ขอบคุณคุณแม่ที่ปล่อยให้ผมได้มีคนรักอย่างที่ผมต้องการนะครับ”
วันนี้เป็นวันที่มีความสุขมากอีกวันหนึ่งของผม
ผมวิ่งไปงานทั้งหมดสามงาน กล้าไปกับผมทุกงานโดยไปในฐานะคนติดตามของผม สตาฟฟ์ของผม หรือไม่ก็คนดูแลของผม...มันไม่ได้ออกสื่อหรือให้สัมภาษณ์กับใครทั้งสิ้น แต่อยู่ข้างๆ ผมในฐานะคนที่เป็นแฟนของผม
มันเป็นวันที่กล้าได้สัมผัสชีวิตของผมจริงๆ ที่ผ่านมามันเห็นแค่ผมในมุมของนักศึกษาคณะนิเทศฯ ธรรมดาโดยที่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตชีวิตของผมเป็นแบบนี้ ต้องอยู่ต่อหน้ากล้องโดยมีแสงไฟสาดส่อง เดินสายออกงานอีเวนต์ตามคุณแม่ไปบ้าง ตามเพื่อนไปบ้าง (แน่นอนว่าผมพูดถึงไอ้ทิมและไอ้นุก) หรือไม่ก็ฉายเดี่ยวบ้าง มันคือชีวิตที่ผมเกิดมาแล้วก็เจอแทบจะในทันทีโดยที่ผมเลือกมันไม่ได้
กล้าเพิ่งได้มาเห็นการทำงานในส่วนนี้ของผม...ทีแรกที่ผมคุยกับคุณแม่เมื่อคืน ผมเองก็นึกหวั่นใจกลัวกล้าจะมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้ มาพบเจอผู้คนในวงการบันเทิงที่ไม่รู้จริงใจกับเราร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า แถมยังต้องมาอยู่เฉยๆ รอจนกว่าผมจะเสร็จงานอีก...ผมกลัวว่ากล้าจะทำแบบนั้น
แต่กล้าทำได้...แถมยังทำได้ดีด้วย
ตลอดทั้งวันที่ผมทำงาน...มันขลุกอยู่แต่กับพี่ตัวจี๊ดครับ ถ้าไม่มีพี่คนนี้มันคงนั่งหาวไปแล้วมั้ง ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่ากล้าต้องมีเพื่อนคุยระหว่างที่รอผม...ใครสักคนที่ทำให้มันยิ้มได้และไม่เบื่อ
ทำไมผมนึกถึงพี่อมรก็ไม่รู้...
พี่เขาจะอยากมาทำงานกับผมหลังจากที่เรียนจบมั้ยนะ
ครับ...ผมจะจ้างเขามาเป็นเพื่อนคุยกับแฟนของผม ถึงแม้ว่าหน้าฉากนั้นคือการมาเป็นพนักงานค่ายละครเอสเอ็นก็เถอะ แต่หลังฉากจริงๆ นั้นก็คือมาอยู่ในทีมของผม...อยู่เป็นเพื่อนกับกล้า ซึ่งน่าจะตัวติดกับผมไปอีกนานแสนนาน
มันไม่เหนื่อยแถมยังดูสนุกอีกต่างหาก มันค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ถึงสิ่งที่มันได้เห็นเกี่ยวกับวงการ...มันมีความสุขที่จะอยู่เบื้องหลัง คอยซัพพอร์ตและสนับสนุนผมมากกว่าที่จะต้องไปยืนอยู่ในแสง...ให้ใครในสังคมก็ไม่รู้มาพูดจากล่าวถึง
กล้าผ่านบททดสอบของผม...และผมก็ผ่านบททดสอบของตัวเองเหมือนกัน
ผมทำได้ทุกอย่าง...ถ้าผมมีมันอยู่ข้างๆ จริงๆ
และผมก็จะทำมันได้ดีด้วยนะ...ทุกคนคอยดูละครจากค่ายผมซึ่งเป็นฝีมือของผมก็แล้วกัน
แต่ขอบอกอีกอย่างหนึ่งว่า...วันนั้นมันไม่ได้จบแค่นั้นครับ
ไม่มีวันไหนที่ดีเลิศไปหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ มันจะต้องมีหนึ่งเปอร์เซ็นต์เล็กๆ ที่เข้ามาก่อกวนให้วันดีๆ ของคุณนั้นกลายเป็นวันที่ดีแบบไม่ถึงที่สุด...ผม กล้า และพี่ตัวจี๊ด (ไม่รู้พี่เขาเป็นเลขาฯ คุณแม่หรือเลขาฯ ผมก็ไม่รู้...วันนี้พี่เขาดูแลแต่ผมจริงๆ นะ) กำลังนั่งรถเพื่อที่จะกลับบ้าน...จู่ๆ กล้าก็อยากกินบะหมี่ขึ้นมา พี่ตัวจี๊ดก็เลยบอกให้คนรถจอด แล้วเราทั้งหมดก็ลงไปหาบะหมี่กินกัน
ไม่รู้ว่าเราคิดผิดหรือคิดถูก...คนรถมาจอดที่ตลาดหน้ามอแห่งหนึ่งซึ่งคนกำลังพลุกพล่านเป็นอย่างมาก ผมกับกล้าถูกถ่ายรูปทันทีที่ก้าวเท้าลงไป
“เอาไงคะน้องท่าน” พี่ตัวจี๊ดมองผู้คนที่หยิบกล้องขึ้นมาแล้วถามผมอย่างหวาดๆ
“กินมั้ย” ผมถามกล้าแทนที่จะตอบ
กล้าทำสีหน้ากังวล...ท้องมันเริ่มส่งเสียงร้อง แม้กระทั่งพี่ตัวจี๊ดที่ยืนอยู่ห่างๆ ยังได้ยิน
“ยังไงก็ต้องกินครับพี่” ผมตอบ “มึงจะโอเคแน่นะ”
“กูโอเคหมดแหละ ถ้ามึงโอเค”
ตอนที่ผมโกรธกล้า...ผมเชื่อว่ากล้านั้นได้เปลี่ยนมุมมองอะไรสักอย่างไปแน่ และมันก็ต้องเกี่ยวกับชีวิตของผมด้วย ไม่อย่างนั้นวันนี้มันคงไม่ราบรื่นแบบนี้หรอก
“งั้นก็...ลุยเลย”
สิ้นเสียงของผม...มือของผมก็คว้ามือกล้าแล้วเดินหาร้านนั่งทันที เสียงชัตเตอร์และเสียงฝีเท้าตามพวกเรามาตั้งแต่เราก้าวเท้าได้ไม่เท่าไหร่
“พี่กล้ามองกล้องหน่อยค่ะ”
“นายท่านมองกล้องได้มั้ย”
กล้าดูเขินมาก...มันไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี คงจะลังเลว่าจะตอบคนเหล่านั้นหรือทำเป็นไม่ได้ยินดี ถ้าถามคนที่มีประสบการณ์โชกโชนอย่างผมน่ะเหรอ...ผมตอบได้คำเดียวว่า...อย่าไปตอบเขาเลยน่าจะดีที่สุด
ครับ...ผมเป็นเด็กที่หยิ่งอยู่พอตัว
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยสนใจชาวบ้านชาวช่อง แต่ผมเคยสนแล้วแถมยังสนทุกคนด้วย เชื่อป่ะ ผมทำอย่างนั้นผมก็ยังโดนด่า...ตอนนั้นผมถูกหาว่าเข้าถึงง่ายเกินไป ดูไม่มีมูลค่า และก็มีอีกกระแสหนึ่งว่า...ผมเข้าไม่ถึงทุกคนและก็โคตรที่จะหยิ่ง
สรุปก็คือ...ทำเชี่ยไรก็โดนด่าหมด
เพราะงั้นผมจึงยึดถือการประพฤติปฏิบัติตามอารมณ์ของตัวเอง ถ้าอารมณ์ดีผมก็แจกยิ้มหนักๆ พร้อมให้เซลฟี่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ถ้าผมอารมณ์ไม่ดี...ผมก็ไม่สนใครเลย
“ตัวจริงเตี้ยจัง”
“ไม่ค่อยหล่อนะ”
“ในรูปดูดีกว่าอ่ะ”
ผมได้ยินเสียงแว่วๆ มือที่ผมจับมือของกล้าอยู่เริ่มกำทันที...ผมกลัวฉิบหายว่ากล้าจะคิดมาก แต่ทว่ามันกลับกระตุกมือผมเป็นเชิงเตือน
“อุ้ย ระวังครับ!” กล้าร้องบอกคนที่เดินตามเรามา...เธอกำลังจะเดินลงไปในบริเวณน้ำขัง มันพุ่งเข้าไปจับแขนเธอไว้ ทำให้รองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดของเธอนั้นยังอยู่รอดปลอดภัย
การกระทำของมันทำเอาคนที่เดินตามถ่ายรูปเราถึงกับอึ้งกิมกี่...
ไงล่ะ...กล้าหาญบอยกู
ผมดึงแฟนตัวเองกลับมา พี่ตัวจี๊ดเองก็รู้งาน รีบเดินมากั้นไม่ให้กล้าได้อยู่ใกล้ชิดคนที่เดินตามมาถ่ายรูปแทบจะในทันที
ตัวของกล้าดูเริ่มมีมูลค่าแล้วมั้ยล่ะ...
“นายท่าน หล่อจังเลย”
“พี่กล้าขา ยิ้มหน่อย”
“พี่กล้าน่ารักจัง”
กล้าเผลอมองกล้องใครไม่รู้จากนั้นก็ยิ้ม...คนพวกนั้นดูพออกพอใจมาก ผมเองก็เหมือนกัน
“เซเลบแจกยิ้มว่ะ” ผมเอ่ยแซว
“ก็เขาบอกให้ยิ้มอ่ะ” มันเถียงอู้อี้
“มึงโอเคมั้ย...มันจะยังมีคนที่ด่ามึงอยู่” เสียงของผมนั้นฟังดูเป็นห่วงอีกฝ่ายบ้าง
กล้าบีบมือของผมแน่นขึ้น “แค่มึงกลับมารักกู...ใครจะด่ากูเหี้ยแค่ไหนกูยอมทั้งนั้นอ่ะ กูสนแค่มึงคนเดียว”
มันได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับตัวผมอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ
สุดท้ายแล้ว...ความฉิบหายหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่หวังจะมาทำลายวันดีๆ ของผมนั้น...มันก็ทำได้ไม่สำเร็จ
ไม่กี่วันต่อมา...แฮชแท็กประจำตัวผมอย่าง ‘นายท่านอรุณกิตตินิวัฒน์’ ก็ร้างเพราะแทบไม่มีคนพูดถึง สิ่งที่คนเริ่มให้ความสนใจแถมยังปั่นจนติดเทรนด์นั่นก็คือแฮชแท็กประจำตัวผมอันใหม่ ไม่สิ...
มันคือแฮชแท็กประจำตัวผมกับแฟนอันใหม่ แฮชแท็กนี้เกิดจากคนที่เรียกตัวเองว่าแฟนคลับของนายท่านกล้าหาญมาซูมแล้วส่องดูแหวนของกล้า
ผมชอบมากเลย...ชอบจนต้องเอาไปตั้งสเตตัสในเฟซบุ๊กลับ (หรือไม่ลับแล้ววะ) และก็เอาไปติดแท็กในแคปชั่นเวลาที่ผมลงรูปในไอจี
อยากรู้ล่ะสิว่ามันคือแฮชแท็กอะไร
มันคือแฮชแท็กนี้ครับ
‘NTKHforever’
Klahanboy
NTKHforever (2178 Likes) [ มีต่อนะคะ ]