30.ได้แต่รับรู้ความเป็นไปกูไปไม่ได้แล้ว โทษทีนะผมกดปิดข้อความของภาคที่เพิ่งอ่านจบไป ก่อนจะกดโทรหาเพื่อนคนหนึ่งที่มักจะเป็นจุดศูนย์กลางของเพื่อนทุกคน สอบถามที่นัดหมายแล้วก็หยิบชุดครุยขึ้นมาพาดไว้ที่แขนก่อนจะกดล็อกรถแล้วเดินออกจากลานจอดของห้องเช่ารายวันที่ผมพักเพื่อเข้าไปในมหาวิทยาลัย
ผมเดินเข้าไปนั่งรอที่โต๊ะในโรงอาหารกับเพื่อนคนอื่น ๆ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความนัดหมายเวลากับพี่ปูนเอาไว้ บอกเวลาออกจากหอประชุมที่แน่นอนแล้วก็กดปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้ก่อนจะยัดมันลงไปในกระเป๋ากางเกง
“ช้า !”
ได้ยินเสียงบ่นของคนที่ทำหน้าที่รวบรวมเพื่อน ๆ ให้มารวมตัวกันก่อนเข้าหอประชุม ผมเลยเงยหน้าขึ้นไปมองกลุ่มคนที่เพิ่งเดินเข้ามา พอเห็นว่าเป็นกลุ่มเพื่อนสนิทของเมธก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
“มาถึงก่อนเวลานัดตั้งยี่สิบนาที”
ได้ยินเสียงถกเถียงกันนิดหน่อย ก่อนที่จะมีใครบางคนถามถึงเมธขึ้นมา ผมนั่งตัวตรงเงี่ยหูฟังคำตอบอย่างตั้งใจ แต่คนหนึ่งในกลุ่มของเขาก็ทำเพียงแค่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกขณะบ่นงึมงำ ๆ ว่าติดต่อเขาไม่ได้เลยตั้งแต่เมื่อวาน
“อย่าบอกว่าแม่งจะเบี้ยวนะ กูกะจะถ่ายรูปให้ครบแก๊ง” บ่นไปก็ยกเท้าเตะเก้าอี้ไป จนเพื่อนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นมาโวยวาย “ไม่ยอมรับสายกูเลย”
“มันคงไม่อยากมาจริง ๆ นั่นแหละ” จากที่แอบชำเลืองมอง ผมก็เปลี่ยนเป็นจ้องพวกเขาอย่างเปิดเผยทันทีที่ได้ยิน “ก็ไม่รู้จะมาเพื่อใครนี่หว่า”
“มันก็ยังมีพวกเราไหมวะ” คนหงุดหงิดก็ยังบ่นไม่หยุด “ทำเหมือนตัดขาดจากโลก”
“ไม่ต้องโทรแล้ว” ผมหันไปมองคนพูดทันที “มันมานู้นแล้ว”
ใจผมเต้นแรงมากตอนที่เห็นเขาวิ่งมาทั้งที่ชายเสื้อหลุดลุ่ย กลุ่มเพื่อนที่โวยวายก่อนหน้านี้กรูเข้าไปกอดเขา ก่อนจะช่วยกันจัดเสื้อผ้า ทรงผมให้เขากันวุ่นวาย
ผมยกมือขึ้นกุมหน้าอก พยายามที่สุดที่จะบังคับให้หัวใจมันเต้นช้าลง
“นึกว่ามึงจะไม่มาแล้ว”
เขาอมยิ้มไปกับคำพูดของเพื่อน ก่อนจะเอ่ยปากขอโทษที่มาช้า “จองตั๋วรถได้รอบดึกน่ะ”
ผมหลบสายตาเขาที่เผอิญเหลือบมองมาเจอผม แสร้งทำเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดูอะไรไปเรื่อย ทั้งที่หูยังตั้งใจฟังบทสนทนาระหว่างเขากับเพื่อน ๆ อย่างตั้งใจอยู่เหมือนเดิม
“ครุยยับเลยไอ้เมธ ซ้อมเสร็จเอาทิ้งไว้กับกูเลย เดี๋ยวจัดการให้”
“ไม่เป็นไร”
“ไม่ต้องมาทำเกรงใจ แล้ววันจริงมึงมาค้างกับกูเลยนะ จะได้ไม่ต้องมานั่งลุ้นกันแบบนี้อีก”
“ขอบใจนะ”
ผมยิ้ม ก่อนจะแอบเงยหน้าไปมองเขาอีกครั้ง แล้วก็พบว่าเขาเองก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน “ไงปั่น”
“ไงเมธ” ผมยิ้มค้าง ตอนที่พวกเพื่อนเขาหันมามองจ้องผม “เอ่อ..สบายดีนะทุกคน”
“รบกวนถ่ายรูปให้หน่อยสิปั่น” เพื่อนคนหนึ่งของเขาพูดขึ้น “รูปรวมแก๊ง”
ผมพยักหน้า ขณะลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์มือถือมาไว้ในมือ “มุมไหนดี”
“ตรงนี้แหละ มึงไปนั่งยอง ๆ แล้วยกมือขึ้นบังหัวไว้ไอ้เมธ” ผมยิ้มขำไปกับท่าทางที่ทุกคนจัดแจงให้เขาทำ “ชี้หน้ามันพร้อมกันเร็ว”
“เอาล่ะนะ” ผมส่งสัญญาณ “สาม..สอง..หนึ่ง”
ผมเดินแบบหมดแรงออกมาจากหอประชุม ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบเดินไปหาพี่ปูนตามที่นัดไว้ พอไปถึงก็เจอพี่ปูนยืนรออยู่เงียบ ๆ คนเดียว เลยแกล้งเดินเซเข้าไปชนหลัง ปากก็บ่นให้ฟังว่าหิวน้ำมากแค่ไหน
“ซื้อไว้รอแล้ว” ว่าแล้วก็ยื่นมาให้ “ไปถ่ายรูปกันเลยไหม เดี๋ยวแสงหมด”
“อืม..” ผมกรอกน้ำเข้าปากก่อนจะปิดฝาแล้วยัดคืนใส่กระเป๋าพี่ชายตัวเอง “พวกเพื่อนนัดไปถ่ายรวมกันก่อนตรงหน้าป้ายคณะ”
“งั้นก็ไปกันเลย”
เราขยับเปลี่ยนตำแหน่งกันหลายคนกว่าจะมาลงตัวที่ผมได้มายืนอยู่ข้างเมธแบบงง ๆ เขาส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ก่อนจะหันไปมองกล้องนู้นกล้องนี้ของช่างภาพหลายคนที่ยืนรอเก็บภาพ มีคำสั่งให้บางคนต้องขยับตัวเพื่อความสวยงามของภาพบ้าง และหนึ่งในนั้นก็คือผมที่ต้องขยับเข้าไปใกล้เขาอีกหน่อย
“โทษทีนะ” เขาว่าแล้วแตะเข้าที่เอวเพื่อให้ผมขยับเข้าไปใกล้ ๆ “เสร็จจากนี่แล้วเราไปถ่ายรูปด้วยกันหน่อยนะ”
“อืม..”
เขาหันมาส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง ก่อนหันกลับไปมองกล้องตามเดิม “ดีจังที่เราตัดสินใจมาวันนี้”
“ว่าไงนะ” ผมกระซิบถาม แต่เขาแค่ส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่มีอะไร “สงสัยตั้งแต่เช้าแล้ว ที่ทุกคนพูดเหมือนเมธจะไม่มา”
“เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาแล้วน่ะตอนแรก” เขาหันมามอง “แต่ตอนนี้คิดว่าดีแล้วที่มา”
“เราไม่เข้าใจ”
“มองกล้องสิปั่น” เขาบอกแล้วก็หันไปมองเช่นกัน “ดีใจที่เจอนะ”
ผมต้องเดินตามกลุ่มเพื่อนของเขาอยู่พักหนึ่ง มีบ้างที่ถูกลากไปถ่ายรวมกับพวกเขาด้วย กระทั่งทุกคนคิดว่าได้รูปรวมแก๊งอย่างที่ต้องการมากพอแล้วจึงปล่อยให้เมธแยกตัวออกมาถ่ายรูปกับผมได้ตามคำขอ เราเดินหามุมถ่ายรูปดี ๆ ก่อนที่พี่ปูนจะออกคำสั่งให้เราทำอย่างนู้นอย่างนี้แล้วกดถ่าย
“สบายดีนะเมธ” พี่ปูนถามขณะเดินเปลี่ยนมุม “ได้งานทำหรือยัง”
“ก็มีสอบงานราชการบ้างครับ แต่ตอนนี้ก็ดูสวนที่บ้านเป็นหลัก”
“ช่วยพ่อแม่เหรอ” น่าแปลกที่เพื่อนอย่างผมเอาแต่เงียบ แล้วปล่อยให้พี่ชายตัวเองเป็นฝ่ายชวนเขาคุย “เป็นเด็กดีจริง ๆ เลย”
“ไม่หรอกครับ” เขายิ้มเศร้า “จริง ๆ ผมคิดว่าจะขายหลังจากได้งานแล้ว”
“ทำไมล่ะ” ผมให้ความสนใจกับคำถามนี้ของพี่ปูนเช่นกัน “พ่อกับแม่ทำไม่ไหวแล้วเหรอ”
เขายิ้มอีกครั้งก่อนจะตอบ “ท่านเสียหมดแล้วครับ”
ผมเผลอปล่อยขวดน้ำในมือจนหล่นลงไปกระแทกพื้นซีเมนต์เสียงดัง “พูด..พูดจริงเหรอ”
เขาพยักหน้า แล้วก้มลงไปเก็บขวดน้ำขึ้นมาให้ “อืม..”
“เรา..ไม่รู้เรื่องเลย”
“ก็ไม่ได้บอกใครหรอก มีแค่พวกนั้นแหละที่รู้” เขาชี้ไปที่กลุ่มเพื่อนสนิทตัวเอง “พอดีมันยกโขยงกันไปเที่ยวที่บ้านพอดี”
“เอ่อ..แล้วพวกท่าน..” ผมไม่รู้จะตั้งคำถามยังไงไม่ให้กระทบจิตใจเขา
“อุบัติเหตุน่ะ” เขาพูดเหมือนรู้ดีว่าผมอยากจะถามอะไร “ตอนนั้นเราพาพวกมันไปลุยในสวน เลยไม่ได้ออกไปซื้อของกับพ่อแม่”
“เสียใจด้วยนะ” ผมพูดเบา ๆ ขณะที่พี่ปูนยกมือขึ้นไปตบบ่าเขาสองสามครั้ง “เราไม่รู้เรื่องเลย”
“จริง ๆ เราก็คิดว่าจะบอกปั่นนะ” เขายิ้ม “ที่ทักผ่านข้อความไปวันนั้น”
ผมนึกถึงข้อความที่เขาส่งมาให้..
ข้อความที่มีเพียงการเรียกชื่อผมเฉย ๆ..
“แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าบอก ปั่นก็ต้องลำบากมางานอีก เลยคิดว่าไม่บอกดีกว่า”
“น่าจะบอก..” ผมพูดอย่างน้อยใจ “เราอยากช่วย..อยากไปไหว้พ่อกับแม่ครั้งสุดท้าย..”
“เดี๋ยวพี่ไปซื้ออะไรมาให้พวกเรากินรองท้องก่อนดีกว่า” พี่ปูนพูดแทรกขึ้น ก่อนจะเดินแยกออกไป
“เมธน่าจะบอก..”
“ขอโทษนะ” เขาดึงมือผมขึ้นไปจับ “เราคิดน้อยไปเอง”
ยอมรับว่าผมโกรธเขามากในเรื่องนี้ “แล้วเสร็จจากนี่ จะกลับบ้านเลยหรือเปล่า”
สีหน้าเขาดูมึนงง แต่ก็พยักหน้าตอบกลับมา “งั้นเราไปด้วย”
“ว่าไงนะ”
“เรามีเสื้อผ้าติดมา เพราะมาค้างนี้ตั้งแต่เมื่อวาน กะว่าคืนนี้ก็จะค้างอีกวันแต่..” ผมดึงมือตัวเองออก “เดี๋ยวเรากลับไปพร้อมเมธด้วย ขอโทรบอกพี่ปูนก่อน”
“เอ่อ..เรายังไม่ได้จองตั๋วเลย ไม่รู้ว่าจะได้เที่ยวกี่โมง ถ้าไงพรุ่งนี้..”
“เราขับรถมานะ” ผมตัดบท “พี่ปูนเพิ่งบินตามมาเมื่อเช้า ถ้าไงเอารถไปก็ได้ เพราะพี่ปูนนั่งเครื่องกลับอยู่แล้ว”
เห็นเขาทำหน้าสงสัย ผมเลยพูดต่อ “พี่ปูนตั้งใจจะไปค้างกับพี่ปรายก่อนกลับน่ะ”
“...”
“พี่สาวคนกลาง” ขยายความแล้วก็ตัดสินใจ “เอาตามนี้แหละ เราอยากไปไหว้พ่อกับแม่สักครั้ง”
Ma-NuD_LaW
เมตตาลิงที่หายหัวไปนานด้วยนะครับ