Chapter 2
จุดเริ่มจากความหิว
“ไปกินข้าวกัน หิว” คือสิ่งที่แรกที่เขาพูดออกมาเมื่อเหยียบพื้นสถานีปลายทาง
ทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมดจนผมตั้งตัวไม่ติด เหมือนกำลังยืนอยู่ตรงจุดสตาร์ทแล้วรถคันอื่นวิ่งออกไปหมดแล้ว แต่ผมดันวิ่งไม่ออกได้แต่นิ่งค้างอยู่แบบนั้น
ทั้งดีใจ อบอุ่นใจ ปะปนกันจนเก็บไว้ข้างในไม่ได้
อยากจะวิ่งกลับขึ้นไปบนรถไฟอีกครั้ง แล้วตะโกนเสียงดังว่า
พี่เขาชวนกูกินข้าวโว้ยยยยย
“กินไรอ่ะ”
คือสิ่งที่ผมตอบกลับไป ในหัวเวลานั้นคิดไม่ออกหรอกว่าอยากจะกินอะไร
เพราะมันอิ่มไปหมดแล้ว
“ไม่เคยมาฝั่งนี้ พาไปดิ”
ประโยคคำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้ สุดท้ายผมก็เลือกร้านที่ง่ายที่สุดคือร้านอาหารตามสั่งริมถนนชื่อดังที่เป็นที่รู้จักของคนฝั่งธนแถมยังไม่ไกลจากตัวสถานีรถไฟฟ้า วันนี้คนค่อนข้างเยอะเพราะเป็นวันหยุด แต่เหมือนการมีเขามาด้วยจะทำให้ความซวยในชีวิตผมแปรเปลี่ยนเป็นความโชคดี
เราได้ที่นั่งด้านในร้านสองที่ทันทีที่มาถึง
“รับอะไรดีคะ” พี่ผู้หญิงเจ้าของร้านเดินมาถาม เธอยิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้ง อาจจะเพราะจำหน้าผมได้ ร้านนี้ผมมากินกับแม่ค่อนข้างบ่อยเวลาไม่อยากทำอาหารเย็น คนตรงหน้าผมมองเมนูอยู่เพียงแค่พักเดียว เหมือนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะกินอะไร เลยหันมาสบตาผมเพื่อขอความช่วยเหลือ
“เอ่อ เอาเป็นต้มยำกุ้งน้ำข้น กุ้งชุบแป้งทอด แล้วก็ไข่เจียวกุ้งสับครับ”
“ข้าวสองจานเนอะ”
“ครับ”
“แล้วน้ำล่ะ”
“น้ำเปล่าครับ”
เมนูถูกเก็บไปจากโต๊ะ เหลือทิ้งเพียงความอึดอัดบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้น มันไม่ใช่ความอึดอัดที่ไม่ดีอ่ะ แต่มันเป็นความอึดอัดเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว
ใครจะไปนึกไปฝันว่าจะได้มานั่งกินข้าวกับคนที่แอบมองแอบชอบมาตลอด
นี่มันบ้าไปแล้วว
“สั่งแต่เมนูกุ้ง ไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูแพ้กุ้งมั้ย”
ผ่าง
ความประทับใจแรกต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
“ไม่ได้แพ้ใช่ป่ะ”
หวังว่าเขาจะไม่แพ้ เพราะผมชอบกินกุ้งมากเป็นอันดับต้นๆในรายชื่ออาหารทะเล
“ไม่”
ค่อยยังชั่ว
“แล้วรู้ได้ไงว่ากูเป็นพี่”
“ผมไปถามที่ร้านชานมมาอ่ะ” เขานิ่งไป
“ยังกล้าไปถามเขาอีกเนอะ”
“ก็อยากรู้อ่ะ”
เงียบ
ไม่มีบทสนทนาต่อจากนั้น ผมนั่งลูบฝ่ามือของตัวเองไปมาอยู่ใต้โต๊ะ คนตัวสูงไม่ได้ละสายตาไปไหน นัยน์ตาสวยๆใต้กรอบตาเรียวรีนั่นจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผมจนผมเกร็งไปหมด
มองไร
มองไม
อย่ามองสิ
เขินนะ
ความร้อนกลุ่มก้อนขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาที่ใบหน้าของผม
ต้องซ่อนมันไว้ ผมคิดแบบนั้น
ถ้าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นตอนนี้ มันก็จะดูเสียมารยาท เพราะฝั่งนู้นก็ไม่แม้แต่จะแตะโทรศัพท์ของตัวเอง ดังนั้นวิธีการซ่อนที่ดีที่สุดก็คือการก้มหน้าเอาหน้าผากแนบลงไปกับโต๊ะเหล็กสีแดงดังปัง
ได้เข้าใกล้เขาตัวเป็นๆแบบนี้ มันยิ่งกว่าความฝันอ่ะ
แล้วกินข้าวด้วยกัน มานั่งจ้องหน้ากันอีก
บ้า บ้า บ้า
ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้กับข้าวมาเร็วๆ จะได้ลงมือกินให้มันจบๆ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้กับข้าวมาช้าๆ จะได้อยู่กับเขานานๆ
‘กริ๊ง กริ๊ง’
เสียงโทรศัพท์บ้านรุ่นโบราณดังมาจากทางด้านหน้า พร้อมด้วยเสียงทุ้มๆของเขา
“ว่า”
“อืม กูอยู่ฝั่งธน”
“เจอ”
“เออพรุ่งนี้เจอกัน ฝากเอาเสื้อทีมให้ด้วย”
เสื้อทีม? เตะบอลเหรอ
ถ้าเขาเตะบอลล่ะก็ คงจะโคตรเท่แน่ๆ
เสียงทุ้มเงียบไป ไม่รู้ว่าเพราะวางสายไปแล้ว หรือเพราะกำลังตั้งใจฟังคนในโทรศัพท์ ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นไป หลังจากพยายามสงบสติอารมณ์อยู่สักพัก
เงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขาปุ๊บ ประโยคหนึ่งก็หลุดออกมาจากปากพอดี
“เออ ฝากบอกหน่อย
ว่าเลิกทำตัวน่ารักซักที กูจะเป็นบ้า”
จบกัน พอเจอสายตาเพชรฆาตของเขา
สิ่งที่พยายามมาทั้งหมดก็พังทลาย
ชื่อกันนี่ไม่ได้มาด้วยความบังเอิญแน่ๆ พี่จะยิงผมให้ตายหรือไง
เขาไม่ได้พูดกับผมหรอก เขาฝากเพื่อนบอกใครสักคน แต่มันก็อดคิดไม่ได้ เพราะสายตาที่เขามองมา มันหยุดอยู่ที่ใบหน้าผม
ผมจะมโนไปเองว่าเขาพูดกับผมแล้วกัน
“เรียนปีไร” วางสายเสร็จก็หันมาถามด้วยน้ำเสียงโมโนโทน เรียบๆง่ายๆสั้นๆกระชับได้ใจความ
“ปีหนึ่ง”
“มหาลัยอ่ะ”
“มอA”
“แล้วทำไมไปขึ้นรถไฟฟ้าสายนั้น”
เจอคำถามนี้เหมือนเจอหมาดักที่หน้าปากซอย อยากจะวิ่งหนีแต่ก็กลัวมันวิ่งไล่ จะเดินตรงไปก็ตายห่าแน่นอน
“ไปหาพ่อ”
“แน่เหรอ”
“แน่ดิ”
ไม่แน่
เพราะไปหาพี่นั่นแหละ
“แล้วพี่อ่ะ อยู่ปีไหน”
“กูต้องบอกป่ะ”
ผมมองค้อนเขา ใบหน้าของเขาถึงแม้จะคล้องกับบุคลิก แต่นิสัยกวนประสาทของเขาที่เริ่มโผล่ให้เห็นทีละนิด บ่งบอกว่าเขาเป็นคนกวนตีนใช้ได้เลยทีเดียว
“ต้องบอก”
“แล้วถ้าไม่อยากบอกอ่ะ”
“ผมก็ต้องเสียเงินอีก” เสียเงินไปขึ้นรถไฟฟ้าสายนั้น เพื่อที่จะเจอเขาไง
“เสียเงินไร”
“ไม่บอก”
“กวนตีน”
แล้วเขาก็ไม่บอกจริงๆครับ ไม่บอกจนกระทั่งกับข้าวมาวางตรงหน้า เราเริ่มลงมือกินกันโดยไม่ได้พูดคุยอะไร ถึงจะไม่ได้พูดคุยอะไร แต่เราสองคนก็ไม่มีใครหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจับหรือดู ทั้งๆที่ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ ผมอาจจะก้มลงไปกดโทรศัพท์เพื่อหลีกหนีจากความเงียบ แต่กับเขา แค่เสียงช้อนกระทบจานข้าว มันก็เหมือนเป็นบทสนทนาที่ดีแล้ว
อีกอย่างหนึ่ง
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า ว่าตัวเขาเองก็ชอบกินกุ้ง
สังเกตจากการที่เราแย่งตักกุ้งกัน และเปลือกกุ้งที่กองอยู่ข้างจานของเขา
นอกจากชานมแล้ว
ผมก็รู้เพิ่มอีกอย่างว่า
เขาชอบกินกุ้งสินะ
นั่นทำให้การกินข้าวครั้งแรกของเราสองคนผ่านไปด้วยดี ผมนี่ก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย
พอกินข้าวเสร็จ ก็ถึงเวลาแยกย้าย
“กลับละนะ”
สำหรับผม มันเหมือนความฝันที่ไม่อยากจะตื่น
คนตัวสูงยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า ทางที่เมื่อเขาเดินเข้าไป เราก็จะแยกจากกันในวันนี้ และในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า มันไม่มีอีกแล้วครับ ความบังเอิญครั้งที่สี่ หลังจากนี้จะเหลือเพียงแค่ ความตั้งใจกับความไม่ตั้งใจ
ไม่มีทั้งเบอร์ ไม่รู้ว่าเขาเรียนมหาลัยอะไร รู้แค่ชื่อ กับความชอบเล็กๆน้อยๆของเขา ยังไม่ได้ถามด้วยซ้ำมาทำอะไรที่นี่ เพราะหลังจากลงรถไฟฟ้าสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียวคือการมากินข้าวกับผม
เงยหน้ามองเจ้าตัว ใบหน้าที่สร้างสรรค์มาได้อย่างลงตัวจนอยากจะเห็นหน้าตาพ่อกับแม่ของเขา ผมสบตากับเขาเงียบๆ ไม่มีคำพูดอะไรออกไป
ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่อยากให้เขากลับไป อยากให้อยู่ต่อนานกว่านี้
แต่ทำไงได้ คนเราก็มีธุระส่วนตัวของตัวเอง มีบ้านต้องกลับ จริงไหมครับ
“อือ กลับดีๆนะ”
ไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่เหมือนเขาจะจับสังเกตได้ว่า
ผมกำลังเศร้าที่ต้องจากกับเขาทั้งๆที่ไม่รู้อะไรแบบนี้
“กอด”
น้ำเสียงที่ระบบสมองจดจำมันได้แม่น หัวใจเต้นรัวขึ้นมาแบบบ้าคลั่ง อาจจะเป็นเพราะว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อผม
“อะไร”
รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“พรุ่งนี้กูเตะบอลที่มอB”
“แล้วไงอ่ะ”
“เลิกสี่ทุ่ม”
เดี๋ยวนะ
อย่าบอกนะว่า
“มาไม่มาก็เรื่องของมึง”
พูดจบก็เดินดุ่มๆเข้าไปยังตัวสถานีรถไฟฟ้าทันที ผมยืนมองแผ่นหลังกว้างๆจนลับสายตาไป กระพริบตาปริบๆเรียบเรียงคำพูดของเขาก่อนหน้านี้
เตะบอลที่มอB
เลิกสี่ทุ่ม
มาไม่มาก็แล้วแต่ผม
สรุปได้ว่า เขาชวนผมไปดูเขาเตะบอลใช่มั้ย?
แล้วเตะที่มอB
เรียนที่มอBใช่หรือเปล่า
คลี่ยิ้มออกมาไม่รู้ตัวจนต้องเกาหัวแก้เก้อ จากที่เมื่อกี้เศร้าๆตอนนี้กลับกลายเป็นมีความสุขจนล้นอก อยากจะวิ่งตีลังกากลิ้งไปตามพื้นคอนกรีตแต่ก็กลัวจะโดนด่าว่าเป็นบ้า
ก็บ้าจริงๆ ผมกำลังเป็นบ้า
การเจอกันครั้งต่อไปของผมกับเขา มันไม่ใช่ความบังเอิญอีกแล้ว
เพราะมันคือความตั้งใจ
เพื่อที่จะได้เจอกันอีกครั้ง
การชอบใครสักคน
ทำให้เราเป็นบ้า
ไม่มีใครพูดหรอก แต่ผมพูดเอง
ทำไมผมถึงเป็นบ้า
ก็เพราะว่าพอเรียนเสร็จ คนที่ปกติแล้วจะรีบตรงกลับหอไปอ่านหนังสืออย่างผม ผมกลับรีบตรงดิ่งมาที่มหาวิทยาลัยของเขา หาที่นั่งรอในร้านกาแฟจนถึงเวลาสามทุ่มถึงจะได้ฤกษ์เดินไปที่สนามบอล
ในมือของตัวเองถือถุงพลาสติคที่บรรจุน้ำมะพร้าวเย็นๆเอาไว้สองขวด ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ข้างสนามบอลของมหาวิทยาลัยB มหาลัยอันดับต้นๆของประเทศที่ตีคู่กันมากับมหาลัยของผม
ตัวสนามบอลกว้าง แต่สามารถเห็นเขาได้จากไกลๆเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเขาโดดเด่นท่ามกลางเพื่อนฝูง สูงเด่นอยู่คนเดียว เขาสวมชุดนักบอลสีน้ำเงินขนาดพอดีตัว ด้านหลังถูกสกรีนเบอร์ 3 พร้อมกับชื่อสั้นๆเป็นอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่
GUN
ทุกย่างก้าวของเขา ตอบคำถามที่ผมเคยถามเอาไว้ในใจได้เป็นอย่างดี ทำไมเขาถึงยืนยันว่าจะใช้ตีนตุ๊กแกของตัวเองแทนการยื่นมือไปจับราวบนรถไฟฟ้า ก็ดูกล้ามเนื้อที่ขาของเขาสิ เตะก้านคอผมหักได้ง่ายๆเลยอ่ะ
ทุกท่าทางของเขา ผมบันทึกไว้ในส่วนลึกของสมอง ฝังมันไว้ให้มั่น
เป็นคนที่ร่างกายเหมาะสมกับการเล่นกีฬา เพราะว่าเขาตัวสูง แขนขายาว นอกจากฟุตบอลแล้ว ผมว่าเขาเหมาะกับการเล่นบาสเกตบอล
ยืนอยู่เกือบยี่สิบนาที ก็ตัดสินใจเดินไปนั่งในศาลาโล่งๆข้างตัวสนามเพื่อรับลมเย็นๆแบบคนอื่นเขาบ้าง เจ้าตัวบอกว่าจะเตะบอลเสร็จสี่ทุ่ม ดังนั้นมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ผมเลยฆ่าเวลาด้วยการหยิบชีทที่เรียนวันนี้ออกมาอ่าน
ขอบคุณประเทศไทย ที่ยังเอื้อเฟื้อลมเย็นๆในยามค่ำคืน แม้ว่าตอนเที่ยงแดดจะร้อนเผาขนหัวจนแทบไหม้
‘ปรี๊ด’
เสียงนกหวีดดังขึ้น การเตะบอลสิ้นสุดลงในเวลาไม่นาน ทุกคนต่างแยกย้ายกลับฝั่งของตัวเอง ผมสอดสายตาหาเขา ไม่นานก็เจอ พี่กันนั่งอยู่บนม้านั่งยาวข้างสนามอีกฟากหนึ่ง เอาผ้าขนหนูพาดคอตัวเองเอาไว้ เพื่อนๆชวนเขาคุยเรื่องอะไรบางอย่าง แอบเห็นว่าเขายิ้มออกมานิดๆ
เป็นคนที่เวลายิ้มธรรมดา แล้วดูอบอุ่น
แต่เมื่อไรที่ยิ้มมุมปาก เขาก็ไม่ต่างอะไรจากปลายกระบอกปืนที่ยิงลูกกระสุนออกมาเจาะกลางหัวใจของคนที่ได้เห็น
เพราะแบบนี้เขาถึงชื่อปืนไง
สายตาคมๆของพี่กันมองไปรอบๆตัวเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ผมมองทุกอากัปกิริยาของเขาอย่างตั้งใจ เหมือนกับการทำข้อสอบ ที่ต้องหาคำตอบว่าผู้ชายคนนี้ ทำไมถึงได้มีอิทธิพลต่อตัวผมมากขนาดนั้น
เมื่อหาไม่เจอ เขาจึงเริ่มต้นใหม่ จากที่มองผ่านๆเป็นเริ่มตั้งใจหา สายตาเลื่อนไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ผม มองตรงมานิ่งๆเงียบๆและไม่เปลี่ยนทิศทางการมองอีก
สิ่งที่เขากำลังหาอยู่
คือผมสินะ
พอเขาอยู่ไกลๆ ผมดันมีความกล้าที่จะสบตาเขาได้นานมากกว่าหนึ่งวินาที อาจจะเป็นเพราะว่าเขาคงไม่มีทางทำอะไรผมได้ ถ้าอยู่ในรัศมีที่ไกลขนาดนั้น
เหมือนพี่แกจะรู้ตัว ยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างชอบใจ
เท่านั้นแหละ
ตายดีกว่า
รอบๆกายเขาเต็มไปด้วยพวกเพื่อนๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเองจ้องมองอะไรจากที่ไกลๆอยู่นานสองนาน พวกเขาเลยหันมามองบ้าง พอมองเสร็จก็หันไปกระทุ้งสีข้างแล้วก็หยอกล้อเล่นตามประสากลุ่มเพื่อน
เมื่อการเตะบอลสิ้นสุดลง ผู้คนทยอยออกจากสนาม ไฟเริ่มดับลงทีละดวงสองดวงเหลือไว้เพียงแค่ไฟถนน เขาเดินดุ่มๆมาหาผม ทิ้งตัวลงนั่งด้านข้าง เสยผมเปียกๆไปด้านหลังเผยให้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนมากกว่าเดิม
หัวใจผมเต้นตึกตักๆ
“อ่ะ” ผมยื่นน้ำให้กับพี่กัน น้ำมะพร้าวที่ซื้อมาจากเซเว่น
ขอบคุณที่มันยังเย็นอยู่
เขารับไป เปิดฝาแล้วกระดกดื่มโดยไม่พูดอะไร ดูท่าทางจะเหนื่อยมาก เพราะเหงื่อนี่เต็มตัวไปหมด ดื่มเสร็จก็นั่งพักรับลมเพื่อให้ตัวแห้งอยู่สักพักถึงได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาขัดความเงียบ
“มาถึงกี่โมง”
“สามทุ่ม”
“รีบเหรอวะ”
ไม่ค่อยรีบเท่าไร
เพราะจริงๆแล้วมาถึงตั้งแต่หกโมง
“เหนื่อยป่ะ” ถามออกไปแบบไม่ได้คิด เลยโดนตอกกลับมา
“เหงื่อขนาดนี้ มึงคิดว่ากูเหนื่อยมั้ยล่ะ”
“เหนื่อย”
“แล้วถามทำไม”
“ก็ถ้าเหนื่อยจะได้ทำให้หายเหนื่อย”
คำตอบของผมคงจะทำให้เขาตกใจจนสำลักน้ำมะพร้าว ความหมายของผมคือพาเขาไปกินอะไรเย็นๆอร่อยๆอย่างเช่นขนมหวาน แม้จะไม่ได้มาแถวมหาลัยเขาบ่อยๆ แต่ก็พอได้ยินว่ามีร้านหวานเย็นน่ากินแถวหน้ามหาลัย แต่นี่สี่ทุ่มแล้ว ปิดหมดแล้วมั้ง
“พูดจาอะไรวันหลังคิดก่อน หัวใจกูจะวาย”
ผมพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ
ก็คนเขาหวังดีนี่หว่า
โดนดุเลย
คนข้างๆทำอะไรยุกยิกกับกระเป๋าของตัวเอง เขาหยิบเสื้อยืดสีดำออกจากกระเป๋า มือสองข้างจับชายเสื้อของตัวเองแล้วเลิกมันขึ้น ผมนั่งตัวแข็งเป็นก้อนหิน
บทจะเปลี่ยนเสื้อก็เปลี่ยนง่ายๆงี้เลยเหรอ
บอกก่อนได้มั้ย จะได้ยกกล้องมาถ่ายทัน … อ่ะไม่ใช่ …
สายตาของผมเบือนมองออกไปอีกทางจนกระทั่งเขาเปลี่ยนเสื้อเสร็จ เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งดังขึ้นข้างหู พอหันไปก็เห็นพี่กันสะพายกระเป๋าสีดำพาดบ่า มีพวงกุญแจหัวหมีห้อยอยู่
“กินไรป่ะ หิวอีกละ”
เจอหน้ากันทีไร บ่นหิวตลอด ถ้าสนิทกันมากกว่านี้ ไม่ชวนกันกินตลอดทั้งวันเลยเหรอ
แต่จะว่าไป ออกจากมหาลัยหกโมงก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากกาแฟหนึ่งแก้ว
“อยากกินหมูกระทะอ่ะ”
“กูเพิ่งเตะบอลชวนแดกหมูกระทะ มึงเป็นคนยังไงวะเนี่ย”
“เป็นคนที่ดูจะอ้วนๆหน่อย”
“เหอะ”
เสียงหัวเราะแบบไม่เต็มใจถูกส่งมา
“อย่าอ้วนมาก”
คนตัวสูงเดินนำหน้าออกไป ถึงจะบ่นแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่กินหมูกระทะ
“เดี๋ยวน่ากอด” ประโยคหลังดังขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ความร้อนจำนวนมากพุ่งขึ้นมาที่หน้าผมจนเข้าใจลึกซึ้งถึงคำว่าร้อนจนลมออกหู แต่ไม่ใช่ร้อนเพราะโมโห ร้อนเพราะเขินบ้าเขินบออะไรไม่รู้
คำพูดลอยๆไร้ทิศทางทำให้คนอย่างผมถึงกับสะดุดขอบฟุตบาทไถลลงไปนอนกองกับพื้น พี่กันตกใจรีบถอยกลับมา ฝ่ามือของเขาจับลงที่ไหล่ของผม เลื่อนมาที่แขนแล้วพยายามจะดึงผมให้ยืนขึ้น
“เดินยังไงวะเนี่ย”
ผมขืนตัวไม่ยอมลุกตามแรงดึง นอนก้มหน้าอยู่กับพื้นโดยมีแขนของตัวเองคั่นอยู่ตรงกลาง ก้มหัวอยู่แบบนั้นแทบจะจูบกับพื้นคอนกรีต พลางขอร้องในใจเสียงดังว่า ปล่อยผมไปเถอะ ถ้าเขาดึงผมขึ้นตอนนี้ ผมต้องร้องไห้ออกมาแล้วตะโกนเสียงดังมากแน่ๆว่า
ผมชอบพี่กัน
ชอบมากๆ
ดังนั้นถ้าพี่ไม่ชอบผม เห็นว่าผมเป็นน้อง หรือถ้าพี่เห็นผมเป็นแค่คนคั่นเวลาแก้เหงาล่ะก็
หยุดให้ความหวังผมตั้งแต่ตอนนี้เลย
/// หิวก็ไปหาอะไรกิน ไม่ใช่หิวแล้วมาจีบกัน
ด้วยรัก จากคนเขียนที่หิวเหมือนกัน
สามารถติดแท็ก #Likeกัน ได้ทางทวิตเตอร์
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_