My Love
Part 2 จุดเปลี่ยนเกิดตอนผมอยู่.4 บอลลูนเข้ามาเรียนม.1 อายุแค่ 13 แต่สูงเลยหัวผมแล้ว แถมหล่อร้ายกาจจนรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียนตั้งเป็นแฟนคลับ..ไม่ใช่เรื่องแปลกน้องผมหล่อจริง..หล่อม๊ากกกก!!..หน้าลูกครึ่งโดดเด่นสะดุดตาปล่อยออร่ามาแต่ไกล..!!
ใช้เวลาเพียงอาทิตย์เดียว..บอลลูนกลายเป็นหนุ่มฮอทของโรงเรียนไปโดยปริยาย แต่ผมกลายเป็นหัวหน้าแก็งค์ จนดีกรีนักเรียนดีเด่นหายไปในพริบตาเช่นกัน เหลือแต่สถิติเข้าห้องปกครองเป็นอันดับต้นๆ
น้องโดนเขม่นตั้งแต่วันแรก สาเหตุเกิดจากสาวๆ ทำให้มีอริโดยที่ไม่ตั้งใจ หากเป็นรุ่นเดียวกันผมคงไม่เท่าไหร่ ดันเป็นรุ่นพี่ที่หมั่นไส้เพราะบอลลูนเกิดไปต้องตาต้องใจคนของเขาเข้า ปัญหาตามมาจนได้
“พลั๊ก..ตุ๊บ!..จำใส่กะโหลกมึงไว้ อย่าคิดแตะต้องน้องกูเด็ดขาด” ผมตวาดใส่คู่กรณี โดยไม่แคร์สายตานับร้อยที่ตีวงอยู่รายรอบ
“ถุย!อีบูตัส น้องมึงแย่งแฟนกู”
“มึงไปห้ามเด็กมึงโน้น ไม่มีสิทธิ์มาลงกับน้องกู..ไอ้สัด”
“ถ้ามันไม่อ่อยแฟนกูก่อน กูคงไม่คิดรุมตีนมันหรอก อีตุ๊ดอย่างมึงหลงน้องจนหน้ามืดตามัวเอามันทำผัวเสียเลยสิ จะได้ไม่ต้องมาอ่อยแฟนเค้าไปทั่วอย่างที่มันทำ” มันเยาะเย้ยเสียงดังทั้งที่เลือดกบปาก
"กูเป็นตุ๊ดมันหนักหัวโคตรมึงหรือไง อิจฉาหน้าตาน้องกูหล่อกว่ามึงสิท่าถึงได้วางแผนหาทางรุมมัน ปากแบบนี้มึงจะเอาอีกใช่ไหม” พูดจบผมก็ประเคนทั้งมือทั้งเท้าเข้าใส่อีกฝ่าย ท่ามกลางสายตานับร้อยที่สนใจชมมวยคู่เอกก่อนกลับบ้าน แม้มันจะตัวโตกว่าและสู้เป็นกลับเพลี่ยงพล้ำแพ้ให้ความคล่องแคล่วว่องไวเกินตัวของคนที่เพิ่งถูกเรียกว่าตุ๊ด จนตกเป็นกระสอบทรายรับมือเท้า..นอนหมอบหมดสภาพไปในที่สุด
สุดท้ายผมก็ถูกเรียกเข้าห้องปกครอง ชื่อกระฉ่อนเพียงข้ามวัน แต่ก็ไม่ได้ลำบากใจเท่าไหร่ ผมคิดว่าเลือกทำในสิ่งที่ดีแล้ว ขืนปล่อยให้มันยกพวกไปรุมน้องผมสิ กลับเป็นผมที่ต้องมานั่งเสียใจมากกว่า หากต้องทำตัวเป็นคนดีเก็บมือเท้าซุกกระเป๋าแล้วปล่อยให้คนอื่นรังแกน้องอย่างในอดีต ผมขอเลือกไม่ทำแบบนั้น แต่ความเสียใจของผมก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อความผูกพันที่เคยมีให้กันดันพลิกผันอย่างกะทันหัน
“บู..ไม่ต้องรอไปพร้อมกันแล้วนะ” น้องบอกขณะกำลังเตรียมตัวไปโรงเรียน บอลลูนไม่เคยเรียกผมพี่ เขาติดเรียกชื่อตั้งแต่เริ่มพูดคำแรก
“ทำไม” ความจริงเป็นบอลลูนที่เคยสั่งให้ผมรอเค้า
“บอลจะไปกับเพื่อน” ผมพอเข้าใจ ช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงปรับตัวต้องทำความรู้จักเพื่อนใหม่
“อืม..” ผมรับคำ แต่น้องกลับไม่ยอมสบตาด้วย จังหวะที่ยื่นมือไปลูบผมนิ่มบนหัว .
“ผลั๊ว!..อย่าจับ” อึ้งครับ..ผมเคยลูบผมสีน้ำตาลเข้มของบอลลูนตั้งแต่เด็ก น้องไม่เคยปฏิเสธการสัมผัสของผมมาก่อน นี่ถึงขั้นปัดมือทิ้งอย่างไม่ออมแรงกันเลย
“ต่อไปนี้..ไม่ต้องลูบแล้ว” เสียงขุ่น..แสดงความไม่พอใจชัดเจน
“(.>”<.)??” ผมงงอยู่..ไม่มีคำพูดหลุดออกมา
“บอลโตแล้ว..เลิกทำเหมือนเป็นเด็กสักที” ทิ้งท้ายก่อนจะเดินไม่เหลียวหลัง เพียงแค่อาทิตย์เดียวบอลลูนของผมไม่ยอมให้ลูบหัว ไม่รอไปโรงเรียนพร้อมกัน กลายเป็นผมวิ่งตามน้องที่เดินหน้าตั้งเสียอย่างนั้น
เหตุผลที่แท้จริงเปิดเผยหลังจากนั้นเพียงแค่สามวัน
“บู..บอลมีเรื่องจะเคลียร์หน่อย” บอลลูนพูดกับผมหลังเลิกเรียนก่อนจะเดินขึ้นห้องของตัวเอง
“มีอะไรจะคุยกับพี่ครับ...”
“ถามจริง..บูเป็นตุ๊ดใช่เปล่า” คำถามสั้นๆ ที่ผมฟังแล้วสะอึก
“ทำไมถามแบบนี้” ไปไม่เป็นไม่รู้ต้องตอบยังไง
“เพื่อนมันล้อ..ว่าบอลมีพี่เป็นตุ๊ด..พี่ชายมันก็พูด ในโรงเรียนเค้ารู้กันหมด..ว่าบูเป็นตุ๊ด” สายตาขยะแขยงที่น้องมอง พูดไม่ออกไม่คิดว่าจะถูกมองด้วยสายตาอย่างนี้จากน้องที่ผมรัก แต่ก็ยังใจกล้าถามออกไปตรงๆ
“บูเป็น..แล้วมันทำไม”
“บูไม่ต้องเข้าใกล้บอลเลย..” คำพูดสั้นๆ แต่เป็นประโยคน้ำกรดที่รดหัวใจผมเหวอหวะ ผมเป็นตุ๊ดพ่อไม่เคยว่าแม่ไม่เคยบ่น แต่น้องรังเกียจ
“บอลลูน..รังเกียจพี่หรือ” เสียงสั่นๆ แผ่วเบาที่กลั้นใจถามออกไป ทั้งที่กลัวคำตอบจากปากน้องเช่นกัน
“ใช่เกลียด ที่โรงเรียนเก่าพี่ของเพื่อนเป็นตุ๊ดมันหลอกจับจู๋บอล..โคตรหยะแหยงเลยรู้ไหม ดีที่บอลหนีออกมาได้ สิ่งที่อีตุ๊ดนั่นทำยังจำติดตาอยู่เลย..น้ำลายของมันทั้งเหม็นทั้งสกปรกพยายามเลียคอของบอล..นึกแล้วอยากจะอ้วก พวกตุ๊ดนิสัยเสีย..บอลโคตรสะอิดสะเอียน” เข่าแทบทรุดลงไปกอง นี่ผมโดนน้องรังเกียจเพียงเพราะผมเป็นตุ๊ดอย่างนั้นหรือ อึ้งจนไม่มีคำพูด น้ำตาคลอเบ้าแน่ๆ รู้สึกได้
“เราห่างกันบ้างเถอะ...” น้องยังคงพูดขึ้นอีก
“อ้าว!..ทำไมล่ะบอลลูน” ถามทั้งที่รู้คำตอบ
“เลิกเรียกแบบนั้นได้แล้ว ฟังตุ๊ดชะมัด”
“พี่ก็เรียกแบบนี้..ตั้งแต่เรายังเด็ก”
“บอลไม่ชอบ ต่อไปถ้าจะเรียกไม่ต้องบอลลูน แค่บอลก็พอ”
“เปิดเทอมอาทิตย์เดียว น้องชายพี่เปลี่ยนไปมากเลยนะ”
“บอลไม่ได้เปลี่ยน บูต่างหากที่เปลี่ยน”
“เปลี่ยนงั้นหรือ พี่เปลี่ยนเมื่อไหร่ เปลี่ยนตรงไหน”
“บูแหละเปลี่ยน บูเป็นตุ๊ด..บอลไม่อยากมีพี่เป็นตุ๊ด!!!!”
คนอื่นล้อยังไม่รู้สึกสะทกสะท้านเท่ากับคนๆ เดียวที่แสดงสีหน้าเหยียดหยามใส่ผมตอนนี้ แม้แต่ชื่อที่เคยเรียกมาตั้งแต่เด็ก ก็ไม่ได้สิทธิ์เรียกอีกเลย
ตั้งแต่นั้นน้องก็ทำตัวห่างเหินเย็นชาใส่ผม นับครั้งที่จะคุยด้วยซ้ำ ความรู้สึกของผมยังเหมือนเดิม..รักและห่วงบอลลูนไม่เปลี่ยน
“ดูเหมือนบูกับน้อง..จะมีปัญหากันอยู่หรือเปล่า” แม่ถาม ตอนที่ผมช่วยล้างจานอยู่ในครัว
“เปล่าครับ..” ผมกำลังโกหก ไม่อยากให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจ พอผมยืนยันหนักแน่นแม่ก็ไม่เซ้าซี้อีก หันไปสนใจทำกับข้าวที่ค้างอยู่ต่อ
รู้สึกโชคร้ายจะขยันวิ่งเข้าหาครอบครัวผมเหลือเกิน หลังจากที่ผมคุยกับแม่ได้เพียงสองวัน
“ติ้งต่องzz..ขออภัยอาจารย์ผู้สอน..นายภาณุวัฒน์ บริรักษ์ ให้มาติดต่อฝ่ายธุรการด่วนๆ” เสียงตามสายของโรงเรียนประกาศออกไมค์ถึงสองครั้ง..ชื่อผมดังไปทั่วโรงเรียน
“เห้ย!..บูตัส เค้าประกาศเรียกมึงได้ยินไหม” แบมตุ๊ดหน้าสวยจนหญิงอายนั่งติดกับผมสะกิดให้ฟัง
“อืม..ได้ยินแล้ว..กูขออาจารย์ก่อน ฝากดูงานให้ด้วย” ผมบอกมันซึ่งพยักหน้าตอบงึกงัก แล้วค่อยลุกไปขออนุญาตอาจารย์ท่ามกลางสายตาเพื่อนที่มองอย่างสอดรู้ ซึ่งผมเองก็แปลกใจไม่น้อย ที่ถูกประกาศเรียกระหว่างคาบเรียนกะทันหันแบบนี้
ฟ้าผ่ากบาลถึงกับช็อค คนที่ประกาศเรียกผมไปพบคือตำรวจในเครื่องแบบ ประโยคสั้นๆ พอฟังแล้วจำไม่ได้ว่ามาผมอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“พ่อกับแม่น้องประสพอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ห้องฉุกเฉิน” จำไม่ได้ว่าผมมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็จมอยู่กับการรอคอยด้วยหวังว่าพ่อกับแม่ที่อยู่ภายในห้องจะปลอดภัย อธิฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์วนไปวนมา
เป็นการรอคอยที่ทรมานใจสุดๆ น้ำตาผมไหลโดยไม่มีเสียง ที่จริงผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้ เล็บจิกฝ่ามือจนเลือดซิบแต่ไม่ยักเจ็บ ลุ้นแต่ให้ประตูที่ขึ้นไฟสีแดงเปิดออกสักที สุดท้ายการรอคอยที่ยาวนานของผมก็สิ้นสุดลง
“หมอครับ..พ่อกับแม่ผมปลอดภัยใช่ไหมครับ” ผมพุ่งเข้าไปถามผู้ชายหน้าตาภูมิฐานสวมชุดกาวน์ทันทีที่ประตูเปิดออก
“หมอเสียใจด้วยเราพยายามสุดความสามารถแล้ว คุณแม่เหลือเวลาอีกไม่มาก รีบเข้าไปสิ” ผมร้องไห้โฮขึ้นมาทันที ก่อนจะพุ่งพรวดเข้าไปข้างในอย่างไม่รอช้า มีพี่พยาบาลที่อยู่ในนั้นจับผมไว้แน่น ผมพยายามดิ้นสะบัดร่างไปมาก่อนจะชะงักเพราะเสียงกระซิบเบาๆ พูดอยู่ข้างหูผมว่า
“รีบคุยกับแม่อย่าเพิ่งร้อง ตั้งสติให้ดีใจเย็นๆ แม่ของน้องเหลือเวลาไม่มากแล้วนะค่ะ” ถึงค่อยคุมสติกลั้นเสียงสะอื้นเดินเข้าไปหาแม่ที่มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด แม่นอนน้ำตาไหลลงข้างแก้ม เห็นแล้วผมแทบหมดแรงเข่าทรุด หน้าตาแม่ฟกช้ำศีรษะมีผ้าพันอยู่รอบ พอท่านเห็นหน้าผมเท่านั้นสายตาที่มองมาอาบไปด้วยม่านน้ำตา
“บู..ตัส” แม่เรียกผมเสียงแผ่ว จนต้องขยับเข้าไปใกล้ๆ ไม่ลืมจับมือแม่มากุมเอาไว้แน่น ผมไม่สามารถห้ามน้ำตาได้อีกต่อไป
“ฮึก..ฮือออ..แม่ครับ..แม่ต้องอยู่กับบู อย่าทิ้งบูกับน้องไปนะครับแม่อยู่กับบูนะแม่นะ” ผมอ้อนวอนเสียงสั่น น้ำตาหยดลงบนอกแม่จนชุ่ม
“แม่อยู่กับบูเสมอ..ลิ้นชักบนหัวเตียงในห้องแม่ จำไว้นะลูก..ฝากน้องด้วยนะบู..แม่ฝากบอล..ลูน..” แม่พูดประโยคสุดท้ายก่อนหนังตาจะปิดลงไม่ตื่นมามองผมอีกเลย
“แม่มมมมมม!!!!!” ได้ยินเสียงตัวเองตะโกนดังลั่น พร้อมกับเขย่าร่างแม่ที่แน่นิ่งไม่ไหวติง ผมเขย่าเท่าไหร่แม่ก็ไม่ฟื้น ไม่ขานตอบผมเลย
“แม่ครับ..ฮืออๆๆ..แม่ตื่นมาหาบูก่อน ตื่นมาก่อนนะแม่นะ.อย่าทิ้งบูไปเลยนะครับแม่..ฮืออๆๆ” ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้องไห้เสียงดังแค่ไหน หอบจนตัวโยนดึงอากาศเข้าปอดแทบไม่ทัน กระทั่งพี่พยาบาลกับพี่ตำรวจคนที่ไปพาผมมาจากโรงเรียนเข้ามากอดผมไว้ ดึงตัวผมผละออกจากร่างของแม่ พร้อมกับช่วยกันพูดปลอบผมไปด้วย
“ใจดีดีนะครับน้อง..พ่อกับแม่น้องไปสบายแล้ว อย่าทำให้พวกท่านต้องห่วง..เรายังมีน้องที่ต้องดูแลอยู่นะ” ประโยคที่ทำให้ผมได้สติ บอลลูนยังไม่รู้น้องยังไม่รู้เรื่อง ผมจะอ่อนแอไม่ได้ต้องเป็นที่พึ่งให้น้อง
เพิ่งสังเกตเตียงข้างๆ มีร่างของพ่อที่นอนสงบอยู่ใกล้กัน พวกท่านจากผมไปแล้วจริงๆ ถ้าเรื่องนี้เป็นความฝันคงจะดี...เป็นการล้อเล่นของพ่อกับแม่ที่มักแกล้งผมประจำคงดีไม่น้อย แต่มันไม่ใช่การล้อเล่น..พวกท่านไม่ยอมอยู่แกล้งผมแล้ว..ต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าพ่อกับแม่ผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนให้ผมเสมอ..ตอนนี้ผมไม่มีโอกาสเจอหน้าพวกท่านแล้ว
พิธีศพของพ่อกับแม่ผ่านไปด้วยความอนุเคราะห์จากคณะครูอาจารย์ที่โรงเรียน คอยเป็นธุระจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ด้านค่าใช้จ่ายไม่เป็นปัญหา เพราะพ่อกับแม่ทิ้งเงินประกันไว้ให้ผมก่อนโตจนสามารถดูแลตัวเองกับน้องให้เรียนจบมีงานทำได้อย่างสบาย
บอลลูนกอดผมร้องไห้กันสองคน ความสัมพันธ์ที่หมางเมินเฉยชาเหมือนจะกลับมาดีตลอดช่วงงานศพของพ่อกับแม่ แต่พอเอกสารในซองสีน้ำตาลที่แม่บอกเอาไว้ก่อนตายในลิ้นชักหัวเตียงถูกนำออกมาเปิดอ่านร่วมกันหลังจากงานศพเสร็จสิ้น ทุกอย่างก็กลับมาเลวร้ายลงทันที
บอลลูนรู้ความจริงว่าไม่ได้เป็นลูกของพ่อกับแม่ แต่เป็นลูกของเพื่อนแม่ที่เกิดกับชาวต่างชาติ ก่อนที่สองสามีภรรยาจะถูกฆ่าชิงทรัพย์ตอนน้องอายุได้เพียง 1 ขวบ แล้วทิ้งสมบัติก้อนโตไว้ให้ลูกชายคนเดียว
พ่อกับแม่ของผมท่านรับมาอุปการะโดยรับเป็นบุตรบุญธรรม ตามเจตนารมณ์ของพ่อแม่ดั้งเดิมบอลลูนที่เคยฝากฝังกันเอาไว้ พวกท่านไม่คิดแตะต้องสมบัติซึ่งเป็นเงินสดในธนาคารของบอลลูนเลยสักบาทเดียว
บอลลูนจะได้สิทธิ์ในพินัยกรรมโดยชอบธรรมก็ต่อเมื่ออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ซึ่งอีกสองปีข้างหน้าที่จะถึงนี้..ตอนนั้นบอลลูนคงอยู่ม.3 แล้ว
ผมรู้แต่แรกแล้วว่าน้องไม่ได้คลานตามกันมา แต่ผมก็รักและให้สัญญากับพ่อและแม่ไว้ว่า..จะดูแลไม่ทอดทิ้งน้อง ผมยังยึดมั่นคำสัญญานั้นไม่เปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้บอลลูนยังคงอยู่กับผม เพียงแต่เราสองคนพี่น้องต่างคนต่างอยู่ เหมือนคนแปลกหน้ากันไปทุกวัน
น้องอายที่มีพี่เป็นตุ๊ด และยิ่งมารู้ทีหลังอีกว่าไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ บอลลูนก็กลับมาทำตัวเย็นชาอีกครั้ง เพราะไม่ต้องการโดนเพื่อนล้อ ผมแอบรู้มาว่าบอลลูนถูกเพื่อนล้อจนมีเรื่อง..
“ไอ้บอลกับพี่บูเป็นผัวเมียกัน...พี่มึงเป็นตุ๊ด..ไม่พ้นเอาน้องทำผัว” ประโยคร้ายกาจนี้เป็นตัวผลักดันให้เราสองพี่น้องกลายเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งผมไม่สามารถข้ามเข้าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของน้องได้นับตั้งแต่นั้น ทำได้แค่คอยดูแลเอาใจใส่อยู่ห่างๆ เท่าที่พี่คนหนึ่งจะทำเพื่อน้องที่รักและห่วงสุดหัวใจจะสามารถทำได้....???
มาต่อตอนที่สองแล้วค่ะ ซดมาม่าไปก่อน
แล้วค่อยซดเกาเหลาตามที่หลัง
รักคนอ่านทุกคนที่เป็นกำลังใจให้มาโดยตลอด
หวังว่านิยายเรื่องนี้จะสู่อ้อมกอดของนักอ่านอีกเรื่องหนึ่งนะคะ
Luk.