บทที่ 34.1 สวรรค์ลิขิต (จบ)
ณ ตำหนักเสวียนเจิ้ง
“เจ้าจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปถึงไหน” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญใจ ให้สหายในชุดมังกรต้องหัวเราะเสียงดัง
“อะไรกันเจ้าอิจฉา” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มแก้มปริ ไม่มีครั้งใดที่เขานึกขอบคุณนิสัยตะกละตะกรามของไป๋เซ่อได้มากเท่าครั้งนี้
“เฮอะ” เซียวถิงฟงแค่นเสียง นึกถึงตอนที่งูเผือกน้อยรู้ตัวก็สติแตกโอ๊กอ๊ากไปหลายชั่วยาม ต้าเซียนต้องหัวหมุนปลอบจ้าละหวั่น เขาก็กอดอกถามขึ้น “ว่าแต่ตอนนี้ไป๋เซ่อเขารับกับเรื่องนี้ได้แล้ว?”
“หากยังรับมิได้ ข้าจะถูกถีบมานั่งอยู่ที่นี่รึ แค่นอนไปตื่นหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นมาสวาปามของกินเข้าท้องไปจนเกลี้ยงครัวได้แล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่พูดไปน้ำตาก็แทบจะไหลพราก ต้องขอบคุณที่ไป๋เซ่อยอมรับความจริงได้รวดเร็วอีกเช่นกัน แม้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคำกล่าวโน้มน้าวของต้าเซียน
แรกเริ่มเดิมทีผลท้อกำเนิดปลูกขึ้นเพื่อสตรีผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ทำการอ้อนวอนขอบุตรธิดากับเทพเซียนทั้งหลาย หากมิใช่ไป๋เซ่อลักลอบกินมัน ประจวบเหมาะกับเมื่อลงมาโลกมนุษย์ พวกเขาก็...กัน เจ้าตัวน้อยก็คงจะไม่ถือกำเนิด ฮึ ฮึ ยังดีที่เจ้าตัวมีอิทธิฤทธิ์ทำให้ย่นเวลาตั้งครรภ์จากเก้าเดือนให้เหลือเพียงสามเดือนได้ มิเช่นนั้นคงสติแตกยิ่งกว่านี้
“จริงสิเมื่อเช้าตอนเขาตื่นมาหน้าท้องเขานูนขึ้นมาบ้างแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มระรื่น
“เจ้าคนเห่อลูกเอ้ย” แม่ทัพหนุ่มสบถใส่คนทำหน้าบาน อ้าปากเป็นพูดพล่ามถึงเมียถึงลูก แล้วจึงเปลี่ยนมาเข้าเรื่องอื่น “เรื่องพระชายาหลี่ ข้าจะจัดการตามที่เจ้าบอก”
“อืม” ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี มิใส่ใจท่าทีกระแนะกระแหนของสหาย ก่อนจะนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “จริงสิ องครักษ์เงา”
“ฝ่าบาท”
สิ้นเสียงเรียกก็พลันมีเสียงตอบรับกลับมา หากแต่ไร้ซึ่งเงาผู้กล่าว กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ยังคงรับสั่ง “ทางตะวันตกของฉางอันมีร้านอาหารแห่งหนึ่งชื่อว่าหอปี้หลัว เจ้าไปซื้อปีกไก่น้ำแดงมา จากนั้นนำส่งไปยังตำหนักฮองเฮา”
“น้อมรับพระบัญชา”
“เดี๋ยวๆ” ประโยคสนทนาดังกล่าวถึงกับทำให้เซียวถิงฟงถลนตาอ้าปากค้าง ไฉนองครักษ์เงาที่ขึ้นชื่อดั่งยมบาล ไปมาว่องไวกลับกลายเป็นเด็กส่งอาหารไปแล้วเล่า “เจ้าจะใช้งานพวกเขาพร่ำเพรื่อไปรึไม่ จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นถึงองครักษ์เงา”
“ก็มีแต่พวกเขาที่ทันใจไป๋เซ่อนี่นา อ้ะ” เสมือนหลุดคำพูดที่เก็บซ่อนไว้ ซวนหยวนหมิงไท่รีบกระแอมกระไอ “ความจริงพวกเขาอยู่แต่ในเงามืด สมควรมีชีวิตอิสรเสรีเฉกเช่นคนปกติบ้าง”
พับผ่าสิ เจ้าคนหัวไว ยังอุตส่าห์คิดเหตุผลนี้ออกมาได้...
ริมฝีปากของแม่ทัพหนุ่มพลันกระตุก ก่อนตัดสินใจเอ่ยลาเพื่อไปจัดการเรื่องสำคัญที่ได้รับ ร่างในชุดมังกรเองก็ส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงอนุญาต ต่อเมื่อเช้าวันใหม่เริ่มขึ้นข่าวคราวหนึ่งก็ค่อยๆ กระจายไปทั่วราชสำนักและตัวเมืองฉางอัน สร้างความปีติยินดีให้กับขุนนางและเหล่าข้าราชบริพาร เว้นเพียงคนกลุ่มหนึ่งที่รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง
...พระชายาหลี่ซิ่วหลันตั้งครรภ์มังกรได้สามเดือนแล้ว
ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ กิตติศัพท์เลื่องชื่อห่วงลูกเมียเกินเหตุของซวนหยวนหมิงไท่ฮ่องเต้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่คนรอบข้าง โดยเฉพาะแม่ทัพหนุ่มเซียวถิงฟงที่ต้องเข้าเฝ้าทุกวัน แลต้าเซียนที่แวะเวียนไปตรวจชีพจรให้งูเผือกน้อยอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่เสี่ยวลู่และหัวหน้าองครักษ์จิ้งก็ไม่พ้นหัวหมุน
ผิดกับขันทีนางกำนัลแลขุนนางทั่วไปที่กลับเห็นต่างออกไป เพียงรู้สึกว่าจักรพรรดิหนุ่มพระองค์นี้มีรสนิยมแปลกประหลาด คอยดูแลเอาใจใส่งูเผือกตัวอ้วนดียิ่งกว่าสตรีคนใด บางคราถึงขนาดยกโต๊ะในห้องทรงพระอักษรให้มันได้นอนแผ่หลา ทั้งปล่อยให้มันสวาปามอาหารบนโต๊ะ โดยที่ตนเองนั่งฉีกยิ้มกว้างมองมันจัดการของกินไม่เหลือ แม้แต่ในท้องพระโรงยังสั่งให้ลดเสียง มิให้รบกวนการนอนหลับของมัน ส่งผลให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต้องกราบทูลรายงานด้วยสุ้มเสียงเบาเช่นสตรี ทั้งกวาดไม้กวาดมืออธิบายไปมายกใหญ่ดูเหน็ดเหนื่อยยิ่ง
ท่ามกลางนิสัยแปลกประหลาดของเจ้าชีวิตยังคงอีกกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบ อย่างเช่นในเพลานี้ ณ อุทยานหลวง กลุ่มกององครักษ์หลวงกลุ่มใหญ่ต่างวุ่นวายค้นหาบางสิ่งอย่างเคร่งเครียด แทบจะถอนรากถอนโคนต้นไม้ในสวน ทำเอาเหล่าขันทีกองพฤกษาแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด
“ทางนี้ไม่มี”
“ทางนี้ก็ไม่มี”
องครักษ์ทั้งหลายตะโกนบอก ส่งผลให้หัวหน้าองครักษ์จิ้งต้องขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นตำหนักนั้นเล่า ไปดูที่ตำหนักนั้นโดยเร็ว อีกอย่างจำไว้ให้ดี หากพบเห็นให้ระวังให้มาก อย่าได้ทำให้มันตกใจ มิเช่นนั้นต่อให้พวกเจ้ามีสักสิบหัวก็ไม่พอ”
“ขอรับ”
จู่ๆ วันนี้ก็มีเรื่องให้เขาปวดขมับ เซียวฮองเฮาหายไปจากตำหนักร่วมชั่วยาม เจ้าชีวิตจึงสั่งระดมองครักษ์ทั้งหลายออกตามหา แลเมื่อหาคนไม่พบเขาก็ได้แต่สั่งหางูเผือก ทำเอาลูกน้องใต้สังกัดเขางงกันไปทั้งแถบ
“เจอแล้ว มันนอนหลับอยู่บนต้นไม้”
ราวกับสวรรค์มาโปรด สีหน้าของหัวหน้าองครักษ์จิ้งพลันดูดีขึ้นในพริบตา เขารีบออกคำสั่ง “รีบส่งคนไปแจ้งข่าวให้ฝ่าบาทโดยเร็ว”
“ขอรับ”
คล้อยหลังองครักษ์นายหนึ่งไปส่งข่าว ไม่นานบุรุษในชุดมังกรสีเหลืองอร่ามก็ทะยานตัวลงมาใกล้กลุ่มคนที่ล้อมรอบต้นไม้ใหญ่ไวราวโกหก ใบหน้างดงามที่มักสุขุมบัดนี้ดูร้อนรนเล็กน้อย ฝีเท้าหนักแน่นนั้นก้าวยาวฉับๆ ตรงเข้ามา
“เขาอยู่ที่ไหน”
“อยู่ตรงนั้นพะย่ะค่ะ กระหม่อมให้ลูกน้องปีนขึ้นไปแล้ว” หัวหน้าองครักษ์จิ้งชี้ไม้ชี้มือบอก ด้านฮ่องเต้หนุ่มเงยมองร่างน้อยแล้วกลับแลไม่เห็นคนที่ปีนป่ายไปถึงครึ่งทางอยู่ในสายตา
“ไม่ต้อง”
พระสุรเสียงตัดจบก็ถีบปลายเท้าคราหนึ่ง นำพาตัวเองขึ้นไปยังกิ่งไม้สูง ก่อนกระโดดไปตามกิ่งต่างๆ อย่างแผ่วเบา จนกระทั่งไปถึงกิ่งไม้เล็กๆ ที่ยื่นรับแดดให้ความร่มรื่นก็เห็นงูตัวน้อยสีขาวปลอดขดตัวหลับอยู่
“เด็กดี ไยมานอนตรงนี้” เขาใช้นิ้วเกาคางให้งูเผือก เมื่อถูกกวนดวงตาเรียวสีฟ้าอมเขียวลืมขึ้น ก่อนเชิดศีรษะถูไถมือเขาอย่างรักใคร่ ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มบาง นับแต่ไป๋เซ่อมีเด็กก็มักออดอ้อนเขาเช่นนี้ “กลับกันเถอะ” เขาเอ่ยขึ้น ด้านงูน้อยขู่ฟ่อตอบรับสองทีก็เลื้อยรัดแขนเขาไว้แล้วหลับตาพริ้ม
เมื่อถึงตำหนักถั่วแดง ไป๋เซ่อกลับกลายร่างเป็นมนุษย์ทอดแผ่นหลังพิงพนักนุ่ม สองมือลูบท้องที่นูนป่อง นึกถึงเดือนแรกที่โก่งคออาเจียนแพ้ท้อง ตอนนี้ก็นับว่าดีกว่ากันเยอะ เพียงรู้สึกหิวแลเหนื่อยง่ายกว่าแต่ก่อน
“เป็นอย่างไรบ้าง” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยถาม ใกล้ครบกำหนดสามเดือนแล้วเขาจึงคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ
“ก็ดี” ร่างเล็กตอบกลับสั้นๆ มือคว้าผลองุ่นบนจานใกล้ตัวขึ้นเคี้ยวตุ้ยๆ ****************************************************
ตกดึก ไป๋เซ่อนอนกระสับส่ายไปมาไม่หยุด เหงื่อกาฬหลั่งไหลท่วมตัว ตัวที่เย็นเฉียบอยู่แล้วกลับยิ่งเย็นเยียบเข้าไปใหญ่ ซวนหยวนหมิงไท่ที่กอดเจ้าตัวเอาไว้รู้สึกถึงความผิดปกติก็เอ่ยทัก
“ไม่สบายตัวหรือ”
“ขะ ข้าปวดท้อง” ไป๋เซ่อเค้นเสียงพูดอย่างทรมาน ส่งผลให้ชายหนุ่มต้องเบิกตากว้างก่อนจะผุดลุกขึ้นด้วยสีหน้าแตกตื่นปนตะลึง แล้วจึงหันรีหันขวางทำตัวไม่ถูก จนสุดท้ายก็หันกลับมาคว้ากุมมือเขาไว้
“จะ เจ้าทำใจดีๆ ไว้ สูดหายใจเช้าลึก ฟื้ด อา”
“เจ้าบ้า คิดจะฆ่าข้าใช่ไหม ไปตามหมอสิ คนซื่อบื้อ อ๊ากกก” ไป๋เซ่อตะโกนลั่นด้วยความเจ็บปวด มือดึงทึ้งผมคนตรงหน้าโดยแรง
“โอ๊ยย ไป๋เซ่อ เจ้าเบามือหน่อย หนังศีรษะข้า... หนังศีรษะข้าจะแยกออกจากกันแล้ววว”
ต่อเมื่อโดนทำร้ายไปยกหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงก็พลันได้สติวิ่งไปยังประตูหมายเรียกคนให้ตามหมอหลวง กระนั้นเมื่อประตูเปิดออกกายกลับต้องชะงักหยุดกึก เนื่องเพราะเบื้องหน้าปรากฏร่างสีขาวในสภาพพึ่งตื่นยืนอยู่หน้าประตูพอดิบพอดี เสมือนอีกฝ่ายล่วงรู้เหตุการณ์เร่งด่วนล่วงหน้า
“ไม่ต้องตามหมอหลวงแล้ว เจ้ารออยู่ด้านนอกเถอะ” ต้าเซียนก้าวผ่านฮ่องเต้หนุ่มไป ที่ด้านหลังยังมีเซียวถิงฟงในชุดนอนอ้าปากหาวหวอดๆ รออยู่ที่หน้าห้องเช่นกัน
“ฝากไป๋เซ่อด้วย” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวอย่างเป็นกังวล ต่อเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าให้ตนจึงได้วางใจ
ประตูถูกปิดลง ด้านในห้องมีเพียงคนทั้งสอง ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่ยืนเกาะอยู่หน้าห้องเงี่ยหูฟังเสียงโอดโอยที่ยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง กระทั่งเสียงเงียบสนิทกะทันหัน เขาเริ่มใจไม่ดี กระทั่งต้าเซียนเปิดประตูออกมา ท่าทางของเขาดูเหน็ดเหนื่อยยิ่ง
“ไป๋เซ่อ เขา...”
“ไป๋เซ่อ” ไม่รอฟังอีกฝ่ายพูดจบ เขาก็วิ่งเข้าไปหาคนในห้องแล้ว ครั้นได้สบเข้ากับร่างเล็กที่กรนคร่อกหลับลึก เสมือนมิเคยผ่านการคลอดลูกมาก่อนก็ถอนหายใจโล่งอก
อ้ะ... จริงสิเด็กเล่า
“ลูกข้า” เห็นว่าคนรักปลอดภัยดี ตนจึงพึ่งตระหนักได้ ดูว่าตั้งแต่ครู่ก่อนหาได้มีเสียงเด็กร้องดังออกมาสักนิด “เกิดอะไรขึ้นกับลูกข้า”
“เขาอยู่นี่” เซียวถิงฟงเดินเข้ามาพร้อมพยักพเยิดไปทางร่างสีขาว
บัดนี้ในมือเรียวของต้าเซียนกำลังกอบกุมบางสิ่งอย่างอ่อนโยน ผู้เป็นมหาเทพยิ้มบางแล้วยื่นบางสิ่งในมือไปให้ ด้านจักรพรรดิหนุ่มแม้งุนงงได้ที่แต่ก็ยังคงยื่นมือออกไปรับ
ตุบ ทันใดนั้นพลันมีไข่ก้อนกลมรีใบเล็กสีขาวมุกนอนแน่นิ่งในมือ จากความเย็นเยียบส่งผ่านผิวกาย หากแต่ภายในเปลือกบางคล้ายมีสิ่งที่มีชีวิตหายใจอยู่ ดวงตาสีดำขลับก็เลิกกว้าง
...สวรรค์ นี่เขาลืมไปได้อย่างไรว่างูออกลูกเป็นไข่
“จากนี้เจ้าต้องระวังมิให้เขาถูกความเย็น ยิ่งอบอุ่นมากเท่าใดเขาก็จะยิ่งแข็งแรงขึ้นมากเท่านั้น”
ต้าเซียนกำชับเป็นมั่นเป็นเหมาะ ซวนหยวนหมิงไท่รีบพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งคู่สามีภรรยาจากไป จากนั้นกลับไปกระวีกระวาดให้เสี่ยวลู่หาตะกร้าใบเล็ก เบาะนุ่ม และผ้านวมผืนเล็กมา
“ลูกพ่อนอนตรงนี้ แล้วรีบโตไวๆ นะ” จัดแจงวางไข่น้อยลงไปในตะกร้าเล็กอย่างแผ่วเบา ก่อนนำไปวางไว้ที่บริเวณอกของไป๋เซ่อ แล้วจึงทำกอดสองแม่ลูกด้วยรอยยิ้มหลับไป
นับตั้งแต่ไข่ใบน้อยสัมผัสโลกภายนอก ระดับความพร่ำเพ้อถึงลูกของซวนหยวนหมิงไท่ก็มีมากขึ้นในระดับก้าวกระโดด ถึงขนาดประคองไข่ใบน้อยซุกอกไปด้วยทุกที่ และแน่นอนต้องหนีบงูเผือกน้อยไปมาด้วยกัน บ้างก็โต้ตอบกับไข่ใบน้อยเพียงฝ่ายเดียว บางคราก็เหม่อลอยจินตนาการถึงหน้าลูก อีกทั้งยังจดจ่อฟูมฟักลูกน้อยเฉกเช่นแม่ไก่ แลหากทำได้เขาคงกกไข่แทนไป๋เซ่อไปแล้ว
ผ่านไปหนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน ฮ่องเต้หนุ่มยังคงทำหน้าที่ได้อย่างมิขาดตกบกพร่อง ถึงขนาดที่ไป๋เซ่อยังตบมือเปาะแปะเอ่ยชมเชยไม่หยุดปาก ก่อนจะได้ทีวิ่งไปเล่นพนันกับกลุ่มขันทีท้ายตำหนักอย่างคึกคัก ทิ้งให้ชายหนุ่มลูบไล้ไข่ใบน้อยยิ้มเป็นคนบ้าไปกว่าครึ่งชั่วยาม
มาตรว่าเรื่องราวดำเนินไปได้ด้วยดี ทว่าเมื่อย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไป ซวนหยวนหมิงไท่ที่ยิ้มแย้มมาตลอดกลับกลายเป็นคนวิตกจริต ทั้งไม่เป็นอันหลับอันนอน เอาแต่เฝ้ามองไข่ใบน้อยจนขอบตาสองข้างดำคล้ำลงไปทุกทีๆ พาลให้ผู้คนต่างคิดว่าถูกไป๋เซ่อทุบตีอย่างไม่ยุติธรรม ยังผลให้ร่างเล็กโวยวายตำหนักแทบแตกเมื่อโดนปรักปรำ แม้จะเป็นความจริงอยู่ส่วนหนึ่งก็ตามที
“ทำไมไป๋อวี้ของข้าถึงยังมิออกมา หรือเขาปัญหาที่ตรงไหน” เมื่อได้โอกาสฮ่องเต้หนุ่มก็ทำการปรึกษาต้าเซียนอย่างจริงจัง
“เอ้ะ เจ้าตั้งชื่อลูกข้าว่าไป๋อวี้?” ไป๋เซ่อหันขวับไปถลึงตา ก่อนจะดิ้นพล่านตะเบ็งเสียง “เพ้ย นี่ลูกข้า ต้องเป็นข้าตั้งให้สิจึงจะถูก”
“.......” มองดูคนโวยวายซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบเบือนหน้าหนี ทั้งแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ต่อให้น้ำลายของงูเผือกน้อยจะกระเด็นใส่หน้าสักแค่ไหน ขอเพียงเรื่องนี้ที่เขาอ่อนข้อให้มิได้ มิเช่นนั้นลูกเขาคงได้ชื่อ ถั่วเหลือง แป้งกรอบ งาดำ เซาปิ่งเป็นแน่ “ต้าเซียน ท่านพอจะรู้บ้างรึไม่”
“เอ่อ เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ข้ารับประกันได้ว่าเขามิได้ผิดปกติอันใด อีกทั้งไป๋เซ่อเองก็ยังสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของเจ้าตัวน้อย” ต้าเซียนยิ้มเกาศีรษะพลางตอบตามที่ตนทราบ โดยปกติแล้วลูกงูจะกะเทาะเปลือกออกมาภายในระยะเวลาหกสิบวัน แต่ทว่านี่ก็ผ่านมานานแล้ว... “อ้ะ ข้าคิดออกแล้ว บางทีเรื่องนี้อาจมีคนตอบพวกเจ้าได้”
“ใครกัน?” จักรพรรดิหนุ่มถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
****************************************************
แสงแดดอบอุ่นทาบทอหุบเขาเขียวขจีที่สูงตระหง่าน ขับดันเรือนไม้ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแห่งนี้มีกลิ่นอายเงียบสงบ ไร้ซึ่งความสับสนวุ่นวาย จนกระทั่งประตูเรือนเปิดออก สองนัยน์ตาคู่ดำขลับแลสีม่วงอมดำต่างสบกันด้วยความบังเอิญ ทันใดนั้นจึงบังเกิดเป็นลมกรรโชกหอบใหญ่ แลวูบหนึ่งจึงเกิดไฟปะทุในดวงตาให้คนรอบข้างรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เว้นเพียงไป๋เซ่อยิ้มแย้มเอ่ยเรียกอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“หงเว่ย หงลิ่ว หงอู่”
“พี่ชายไป๋” หงลิ่วร้องลั่นดีใจพลางโถมตัวเข้ากอดบุรุษในอาภรณ์สีเขียว “ในที่สุดท่านก็มาเยี่ยมข้า อ้ะ จริงสิลูกท่านเล่าอยู่ที่ใด” ภายหลังจากที่ได้อ่านจดหมาย ตนก็ตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดเขาก็จะมีน้องกับเขาเสียที
“เป็นเพราะหุบเขาสั่วซีอยู่ไกลเกินไป ข้ากลัวเขาจะปรับอุณหภูมิในกายมิทันจึงได้ฝากเขาไว้กับท่านมหาเทพ ไว้คราหน้าเจ้าก็ไปเยี่ยมเขาที่วังหลวงแทนแล้วกัน” ไป๋เซ่อบอกก่อนจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง “ว่าแต่เจ้าสูงขึ้นนี่นา”
“แน่นอน อยู่ที่นี่ข้าถูกหงอู่ใช้แรงงานเกือบทุกวัน ดูสิกล้ามเนื้อข้าปวดไปหมด โอ่ะ โอ๊ย”
เด็กน้อยร้องลั่น เป็นหงอู่กำหมัดน้อยๆ เขกศีรษะน้องชาย “เจ้าเด็กนี่ต้องขอบคุณข้าสิถึงจะถูก ไป่ไป๋ เจ้าเองอย่าไปฟังเขาพล่ามไร้สาระ ไปกินขนมกับข้าในเรือนดีกว่า หยางเฉิงเตรียมของชอบไว้ให้เจ้าด้วย”
“ดี ดี ข้าเองก็มีของจะให้พวกเจ้า แต่ว่าไว้กินก่อนล่ะกัน”
ร่างเล็กกระโดดโลดเต้น ติดตามหงอู่ หงลิ่วเข้าไปด้านในห้องรับรองอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้บุรุษสองคนยืนส่งประสายตากันอยู่นานสองนาน กว่าจะรู้สึกตัวประตูก็ปิดสนิท สายลมส่งเสียงหวีดหวิว บันดาลให้รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างไรบอกไม่ถูก
หลังจากไม่ได้รับการใส่ใจ ซวนหยวนหมิงไท่กับหงเว่ยต่างก็นั่งจิบชาคอตกซึมเซากันไปคนละฟากฝั่ง ฝ่ายหยางเฉินก็เงอะงะไม่รู้จะปลอบพวกเขาอย่างไรดี ผิดกับด้านหนึ่งที่มีแต่รอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะคิกคัก ไป๋เซ่อ หงลิ่ว หงอู่ต่างสนทนาพาที ไม่มีช่องว่างให้บุรุษทั้งสามได้เข้าแทรกแม้แต่น้อย
“ฟังจากที่ไป่ไป๋เล่ามา สรุปว่าผ่านมาสี่เดือนกว่าเขาก็ยังมิกะเทาะเปลือกออกมา” หงอู่กล่าวเข้าเรื่องที่สำคัญ
“ใช่ ท่านมหาเทพเห็นว่าพวกเจ้าน่าจะรู้สาเหตุ ข้ากับเจ้าลูกเต่าก็เลยมาที่นี่”
“อา เรื่องนี้พี่ใหญ่น่าจะรู้ดีที่สุด” หงลิ่วออกความเห็น จะอย่างไรพี่ใหญ่ของเขามีโอกาสคลุกคลีกับอสรพิษรุ่นก่อนๆ มากกว่าพวกเขา
คลับคล้ายคลับคลาว่ากำลังกล่าวถึงตน หงเว่ยหูผึ่งผุดรอยยิ้มแสยะให้ซวนหยวนหมิงไท่ราวเด็กที่ได้รับชัยชนะ ดวงตาเปล่งประกาย ริมฝีปากโพล่งตอบ “เรื่องนี้อาจเป็นเพราะอสรพิษเกร็ดอัคคีและอสรพิษเกร็ดหิมะต่างให้กำเนิดทายาทได้ไม่ง่ายนัก ยิ่งวงศ์วานเกร็ดหิมะยิ่งแล้วใหญ่ แต่ละรุ่นมักให้กำเนิดทายาทเพียงรุ่นละตัว อีกอย่างเวลาในการกะเทาะเปลือกของพวกเราก็มิได้แน่นอน บางตัวเพียงหกสิบวัน บางตัวถึงห้าหกร้อยปี อย่างพวกเราพี่น้องตระกูลหงล้วนเกิดในคืนเดียวกัน หากแต่กลับใช้เพลากะเทาะเปลือกลืมตาดูโลกภายนอกแตกต่างกัน ดูอย่างหงลิ่ว เขาลืมตาดูโลกห่างจากข้าถึงแปดร้อยปี”
“........” ไป๋เซ่อถึงกับนิ่งอึ้ง ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็ต้องอ้าปากค้าง เขารีบหันหน้าไปหาชายหนุ่ม แล้วจึงพบว่าซวนหยวนหมิงไท่มีสีหน้าเจื่อน แววตาโศกเศร้าปนตื่นตะลึงไปเรียบร้อยแล้ว
“แล้วมีวิธีกระตุ้นให้เขาออกมาก่อนเวลากำหนดได้บ้างรึไม่” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวถามด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
“น่ะ นั่นสิมีหนทางอื่นบ้างรึไม่” แม้แต่หยางเฉินก็พลอยถาม ด้วยเห็นใจเจ้าครองแคว้นผู้นี้ มาตรว่าต่อให้มีบุตรธิดา แต่กลับไม่มีวาสนาได้เห็นหน้าลูกตนเอง จะต้องขมขื่นเท่าใดกัน
“......” ถึงตรงนี้หงเว่ยก็เงียบไป คิ้วขมวดครุ่นคิดครู่ใหญ่แล้วจึงกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก “ข้าเคยได้ยินจากบิดาอยู่บ้าง ว่ามีอสรพิษเกร็ดอัคคีบางตัวที่กะเทาะเปลือกออกมาก่อนเวลา สาเหตุเพราะได้พบเจอสิ่งที่ถูกตาต้องใจเป็นอย่างมาก แต่ก็นับว่าหายากที่จะเป็นเช่นนี้”
ถ้อยคำดังกล่าวถึงกับทำให้ซวนหยวนหมิงไท่สลดใจ ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา นึกถึงไข่ใบน้อยที่ตนมักโอบกอดไว้อยู่เสมอในอกก็เจ็บแปลบรุนแรง
เย็นวันนี้พวกเขาต่างรับปากหงอู่กับหงลิ่วว่าจะอยู่ค้างที่เรือนไม้หนึ่งคืน แลหลังจากผ่านมื้อเย็นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ไป๋เซ่อที่พึ่งได้แช่น้ำมาหมาดๆ เข้าห้องมาก็กลับเห็นซวนหยวนหมิงไท่นั่งเหม่อลอย ดูก็รู้ว่าชายหนุ่มยังคงหดหู่กับเรื่องเมื่อสักครู่
“ซวนหยวนหมิงไท่ เรื่องเจ้าตัวน้อย...”
“ไป๋เซ่อ ไฉนจึงไม่เช็ดผมให้แห้ง หากไม่สบายขึ้นมาเล่า” เสียงของร่างเล็กปลุกสติเขาให้หลุดจากภวังค์ ครั้นเห็นร่างที่เปียกปอนก็เอ่ยดุ มือพลางคว้าผ้านุ่มขึ้นมาซับเรือนผมสีเทาชุ่มน้ำให้อย่างเบามือ จนกระทั่งผ่านไปราวหนึ่งเค่อบรรยากาศก็พลันตกอยู่ในความเงียบ เปลวเทียนในห้องส่องแสงนวลพลอยทำให้จิตใจผ่อนคลายลง “ไป๋เซ่อ หากวันหนึ่งข้าไม่อยู่แล้ว ไป๋อวี้คงต้องฝากเจ้าดูแล”
“ไม่อยู่!” ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็เลิกตาขึ้นเสียง “เจ้าจะไปไหน?”
“เรื่องนี้...” ซวนหยวนหมิงไท่หลุบตา “ข้าเป็นเพียงมนุษย์ อายุขัยมิได้ยาวนานสักเท่าใด”
ฟังท้ายประโยคที่น้ำเสียงยังแผ่วเบาลงไป หัวใจของเขาก็เจ็บหนึบ ไป๋เซ่อโต้กลับ “ข้ออ้าง นี่คิดจะทิ้งข้าไว้คนเดียวใช่ไหม”
“ไป๋เซ่อ แต่สักวันข้าก็ต้องตาย”
สีหน้าของฮ่องเต้หนุ่มเคร่งเครียด หากแต่ตนเบือนหน้าหนี “ไม่รู้ ไม่สน ข้ารู้เพียงเมื่อถึงวันนั้น ข้าจะตามตอแยเจ้าไปถึงยมโลก”
“ไป๋เซ่อ!” ซวนหยวนหมิงไท่ตะลึงวูบ คนตรงหน้ายังคงเป็นไป๋เซ่อที่ดื้อรั้น เป็นไป๋เซ่อที่เขารักสุดหัวใจ “แต่ไป๋อวี้จะไม่มีที่พึ่ง ข้าไม่ต้องให้เขาเป็นเช่นข้าในอดีต”
“ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าอย่าพึ่งถอดใจจะได้รึไม่ ข้าไม่เชื่อว่าลูกของเราจะมิยอมออกมาพบหน้าเจ้า เจ้าดูแลเขาดีเพียงนี้ เขาย่อมต้องออกมาในเร็ววัน อ่ะ ใช่แล้ว ข้าสัมผัสได้ ข้ามีลางสังหรณ์ พวกเราจะได้อยู่พร้อมหน้าในไม่ช้าแน่นอน”
มองดูรอยยิ้มมั่นใจระบายบนใบหน้าเย้ายวนแล้ว ความกังวลใจทั้งหมดทั้งมวลก็พลันมลายหายในพริบตา ร่างสูงค่อยๆ ยิ้มบาง พลางโอบกอดงูเผือกน้อยเอาไว้ในอ้อมอก จากนั้นอุทานในใจ
อา... ที่แท้เจ้าเองก็พูดจาจริงจังเป็นกับเขาเหมือนกันนี่ ไป๋เซ่อ
รุ่งเช้าของวันต่อมา สภาพอากาศนับว่าแช่มชื่นสดใส เหล่าคนตระกูลหงต่างออกมาส่งแขกคนสำคัญที่หน้าเรือน ด้านหงเว่ยได้แต่ตาละห้อยมองร่างเล็กจนคนลับตาไป
“พี่ใหญ่ ท่านยังไม่ตัดใจไม่ได้อีกหรือ” หงอู่ถามคนที่ยังคงยืนอยู่หน้าเรือนมาครึ่งค่อนวัน ส่งผลให้หงเว่ยขยับเขยื้อนกายบ้างแล้ว
“กว่าจะได้พบเสี่ยวอวิ๋นไม่ง่ายนัก แม้เขาจะไร้ความทรงจำ กลับกลายเป็นคนใหม่ ทั้งมอบใจให้บุรุษอื่น สำหรับข้าเขาก็ยังเป็นคนที่ข้ารัก มิมีวันเปลี่ยน”
ฟังคำกล่าวอันดื้อดึงหงอู่ก็ส่ายศีรษะ “พี่ใหญ่ ไฉนท่านมิลองเปิดใจให้คนผู้อื่นบ้าง บางทีท่านอาจได้พบกับคนที่สวรรค์ลิขิตมาก็เป็นได้”
“.......” หงเว่ยได้ฟังก็พลันนิ่งเงียบไป อันเป็นเวลาเดียวกับที่หงลิ่วส่งเสียงตื่นเต้น
“พี่ห้า ดูสิข้าเก็บอะไรได้จากในห้องพี่ชายไป๋” เด็กน้อยวิ่งออกมาพร้อมทั้งชูบางสิ่ง “ดูผลท้อลูกนี้สิคล้ายสีแสงเรืองรองออกมาด้วย ต้องอร่อยแน่ๆ”
“เจ้าเด็กบ้า นี่มิใช่ของเล่น เอามานี่” เห็นของในมือน้องชาย นัยน์ตาของหงอู่พลันเป็นประกาย อีกทั้งยังมือเอื้อมไปตะครุบผลท้อกำเนิด ...อย่าบอกนะว่านี้คือของที่ไป่ไป๋บอกว่านำมาฝากเขา เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น ริมฝีปากก็หยักยิ้มรีบร้องเรียก “หยางเฉิน หยางเฉินเรามาอบอุ่นร่างกายกันดีกว่า”
“อ้ะ อะไรกัน ข้าเจอมันก่อนนะ ท่านจะฮุบไปเช่นนี้มิได้” หงลิ่วโวยวาย หากแต่พี่ชายกลับเดินหนีไปอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้เขาต้องเดินไล่ตาม
หงเว่ยมองดูน้องชายทั้งสองวิวาทกันอย่างชินตา สักพักจึงหันไปกวาดสายตามองท้องฟ้าสีครามอันสดใส จากนั้นทวนคำของหงอู่ออกมา “คนที่สวรรค์ลิขิตอย่างนั้นหรือ” ****************************************************