พิมพ์หน้านี้ - อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 Obsessed (07/05/24)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Shonennihon ที่ 07-08-2023 09:58:32

หัวข้อ: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 Obsessed (07/05/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-08-2023 09:58:32
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ



ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - Prelude
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-08-2023 10:03:19
กลับมาเขียนอะไร เรื่อยเปื่อยอีกแล้ว หวังว่าคราวนี้จะทำได้ดีกว่าเก่ามั้ง?!?
เอาเป็นว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในหัวมาสักพักแล้ว นำมาขยายค่อจนยาวเหยียด เพราะความชอบส่วนตัว
เรื่องแนวๆ เกลียดๆ รักๆ ก็คงมีอยู่เกลื่อนก็เลยพยายามนำเสนอไม่ให้ซ้ำ (คิดว่านะ)
ที่ผ่านมาชอบเขียนดราม่าหนักๆ เพราะอิงชีวิตจริงไปหน่อย (ดัดแปลงมาเนอะ) คราวนี้เลยกะจะเขียนหวานๆ หน่อย (ไม่ถนัดเลยอ่ะ)  หวังว่าคนอ่านจะชอบนะครับ นีกเขียนมือใหม่คนนี้จะพยายามต่อไป ขอบคุณสำหรับคำติชมที่ผ่าน
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - Prelude
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-08-2023 10:07:26
Prelude

ความทรงจำของใครหลายๆ คนในสมัยมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย  อาจจะแตกต่างกันไปตามการใช้ชีวิตของแต่ละคน  แต่สำหรับผมนั้นมันเป็นความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไหร่ ด้วยความที่รูปร่างบอบบางและตัวเล็กกว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน เป็นเด็กเนิร์ดที่ไม่ค่อยมีความโดดเด่นทางด้านกีฬา

ทำให้ถูกเพ่งเล็งโดย เด็กป๊อปปูล่าขี้แกล้งของโรงเรียน ทุกวันในการไปโรงเรียนเหมือนกับเป็นของเล่นชิ้นโปรดในสนามเด็กเล่น ที่ทั้งโดนแซว และกลั่นแกล้งให้อายสารพัด ถึงผมจะโดนน้อยกว่าคนอื่นมากเพราะเป็นเด็กเรียนตัวท้อปของโรงเรียน จึงอยู่ในสายตาของอาจารย์เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีวันที่ผมน้ำตาตกในอยู่หลายครั้ง

และคนที่ผมไม่มีวันลืมเลยคือ เด็กชายตัวสูง ผิวดี ดวงตายาวรีสวย แต่กลับมีสีหน้าเรียบบึ้งและตาขวางตลอดเวลา เหมือนคนทั้งโลกคือศัตรูของมัน เด็กบ้านรวยที่ทุกคนต่างกริ่งเกรง หัวโจกประจำชั้นปี ที่มีพฤติกรรมที่ต้องเข้าห้องปกครองไม่เว้นแต่ละวัน

ผมถูกมันหมายหัวมาตลอดสองปีตั้งแต่ ม.2 ในชีวิตมัธยมต้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมันถึงได้มาเพ่งเล็งมากลั่นแกล้งผมมาตั้งแต่ ม.2  ทั้งๆ ผมไม่เคยเจอมันเลยด้วยซ้ำ (หรือว่าเคย?)

จนกระทั้งก้าวสู่มัธยมปลาย ผมกับเพื่อนที่โดนมันรังแกอยู่เป็นประจำ ต่างตั้งใจปฎิวัติตนอง เพื่อชีวิตมัธยมปลายที่สดใส โดยการหันมาเล่นกีฬา ใส่ใจอาหารการกินมากขึ้นเพราะอยากตัวสูงใหญ่ แต่ก็ยังไม่วายโดนตามมากลั่นแกล้งไม่หยุด

จนกระทั่งเกิดเรื่องที่มันจับผมขังไว้ในห้องน้ำของอาคารกีฬาเกือบทั้งคืน

จนเป็นเรื่องใหญ่โต ในที่สุดแม่ของผมก็ให้ผมย้ายโรงเรียนอย่างเร่งด่วนในช่วง ม.5 เทอมต้น

ถึงแม้ชีวิตผมจะดีขึ้น แต่ผมก็ยังจำได้ถึงฝันร้ายเหล่านั้นได้ไม่มีวันลืม สงสารแต่เพื่อนผมนี่สิที่มันยังอยู่ที่เดิม แม้จะติดต่อกันบ้างแต่มันก็ได้แต่บอกว่า ที่โรงเรียนไม่เหมือนเดิมแล้วนับตั้งแต่ผมย้ายออกมา

แต่อย่างที่ซีรี่ย์กำลังภายในมักบอกไว้ ศัตรูมักเจอในทางคับแคบ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้า ผมอาจจะได้เจอมันอีกก็ได้ ผมยังคิดไม่ออกเลยนะว่า หากเจอกันอีก ผมจะปฏิบัติกับไอ้คนที่แกล้งผมยังไง?

………….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-08-2023 11:45:22

บทที่หนึ่ง Onboard


ผมยังคงฝันถึงเรื่องหนึ่ง เดิมๆ ซ้ำๆ และตื่นขึ้นมาพร้อมคราบน้ำตาทุกครั้งที่ฝันเห็นเหตุการณ์ที่ยังจำฝังใจ เกือบ 10 ปีแล้วที่ผมผ่านเหตุการณ์นั้นมา เหตุการณ์ที่ผมโดนรังแกเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ จากคนกลุ่มเดิมๆ ทั้งเอารองเท้าไปซ่อน แอบเอากุญแจล็อกเกอร์ไปโยนสระน้ำ โดนแกล้งให้มาโรงเรียนสายเกือบทุกวันเพราะโดนโยนกระเป๋าเป้ไปแขวนตามต้นไม้ใหญ่หน้าโรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมายที่ผมยังคงกำหมัดที่ชุ่มเหงื่อแน่นทุกครั้งที่นึกถึง

ภาพเหล่านั้นคือภาพของผมช่วงสมัยมัธยมอันแสนขมขื่น ผมบอกตัวเองเสมอว่าผมผ่านมาได้แล้ว ผมเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัยโดยทิ้งตัวตนเดิมของตนแล้ว ผมเป็นคนใหม่แล้ว ผมเป็นถึงเดือนคณะการจัดการ และขึ้นแท่นนักกีฬาแบดมินตันของมหาวิทยาลัย และรอรับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งหลังเรียนจบ ผมกำลังจะมีอนาคตที่สดใสแล้ว

แต่ภาพเหล่านั้นมันก็ยังเป็นเหมือนแผลเป็นในใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งช่วงไหนผมเครียด ผมจะฝันถึงเหตุการณ์เหล่านั้นกลับเข้ามาในหัวเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

วันนี้ก็เช่นกัน วันแรกของการฝึกงาน ยอมรับว่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ แต่หลับแล้วมาเจอฝันแบบนี้คือ มันยิ่งเหมือนไม่ได้พักผ่อนเลย นี่มันลางร้ายชัดๆ

ผมเดินทางถึงออฟฟิศขององค์กรระดับประเทศแห่งหนึ่งก่อนเวลาตั้งเกือบชั่วโมง อาจเพราะซักซ้อมเดินทางมาหลายรอบแล้วจึงกะเวลาได้ถูกต้องตามที่วางแผนไว้ การมาสายในครั้งแรกนี่มันสร้างความประทับใจที่ไม่ดีต่อผู้ดูแลแน่นอน

ผมเงยหน้ามองตึกระฟ้าขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจแห่งใหม่ในกรุงเทพมหานคร (อีกนิดจะเรียกว่าชายขอบเมืองได้แล้ว) องค์กรที่ผมเล็งแล้วว่าจะเข้ามาฝึกงานตั้งแต่ทราบจากรุ่นพี่ว่า คนที่มาฝึกงานที่นี่มีโอกาสได้ทำงานที่นี่ต่อเลย องค์กรที่ใครๆ ต่างเฝ้าฝันอยากมาทำงานด้วย การเข้ามาฝึกงานที่นี่ได้ก็ถือว่ายาก เพราะแต่ละแผนกนั้นรับนักศึกษาฝึกงานจำนวนจำกัดมากๆ เพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อย่างฮึกเหิม จนลืมไปว่าฝุ่นแถวนี้มันไม่น้อยเลย ทำให้สำลักไอออกมาจนน้ำตาเล็ด

ผมหยิบกำหนดการที่ทางฝ่ายทรัพยากรบุคคลส่งอีเมล์มาให้และอ่านทบทวนไปมา พร้อมหยิบเอกสารยืนยันตัวตนเพื่อผ่านหน่วยรักษาความปลอดภัยด้านหน้ามาเตรียมไว้อย่างดี

ทุกอย่างพร้อม! ผมคิดในใจแบบนั้น ก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไปในอาคารสูงตรงหน้า

สุดท้ายก็คงต้องโทษตัวเองที่ตื่นเต้นเกินไป ผมถูกแม่บ้านที่ทำความสะอาดแถวหน้าออฟฟิศฝ่ายทรัพยากรบุคคล พามานั่งรอบริเวณด้านหน้าของออฟฟิศมี่ยังร้างผู้คน ผมมองนาฬิกาหลายรอบแทบจะทุกนาทีเพื่อฆ่าเวลาระหว่างนั่งรอ จนกระทั่งครึ่งชั่วโมงผ่านไปถึงจะเจอพนักงานคนแรกที่มาถึงออฟฟิศแห่งนี้

“น้องมานั่งรออะไรคะ?” หญิงสาววัยทำงานในชุดสูทเข้ารูปสีสวยสดเอ่ยทักก่อนจะเปิดประตูเข้าออฟฟิศ รองเท้าส้นเข็มที่กระแทกหยุดเสียงดังลั่นทำให้ผมเผลอสะดุ้งตกใจ

“เอ่อออ เอ่อ ผม มาฝึกงานครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ฝึกงาน?” หญิงสาวพูดทวนด้วยริมฝีปากสีแดงเหมือนเพิ่งดื่มเลือดมาแล้วแห้งติดปากเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย สีหน้าแสดงออกว่า ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

“เอ่อ… นี่ครับ เอกสารตอบรับจากทางบริษัท” ผมเงอะงะยื่นเอกสารให้พี่สาวคนสวยตรงหน้า

“อ้อ! เออ จริงสิ เหมือนคนในทีมบอกไว้ พี่ลืมไปเลย  งั้นตามพี่มาเลย ไปนั่งรอด้านในดีกว่า พี่จำได้ว่าสัปดาห์ที่แล้วก็เพิ่งรับไปคนหนึ่ง ไม่คิดว่าจะรับอีกคนนะเนี่ย หายากนะที่จะรับทีละสองคน เราเป็นเด็กเส้นหรือเปล่า?” พี่สาวปากแดงในชุดสูททางการเอ่ยขึ้นเหมือนพูดกับตัวเอง และก็ทำท่าเชื้อเชิญผมเข้าไปในออฟฟิศที่ร้างผู้คนและแสงไฟ

ผมเดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย และยิ้มตอบไปเป็นมารยาท ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะตอบไปว่าอย่างไรดี บวกกับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นจึงได้แต่ทำตัวไม่ถูก

“แหม….. เรียบร้อยจัง ระวังเจอพวกพี่ๆ แกล้งนะ” พี่สาวปากแดงยิ้มหวานกลับมา

ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าอะไรออกไปแต่พี่สาวคนนั้นรีบแก้ตัวว่าพูดเล่นทันที

“พี่ชื่อ ‘เชอรี่’ นะ อารีรัตน์ ประชาสัมพันธ์ควบตำแหน่งเลขานุการแผนก ยินดีที่ได้รู้จักนะ!” พี่สาวรีบแนะนำตัวให้บรรยากาศเป็นกันเองขึ้น

“ผมชื่อ อชิรวินทร์ เรียกผม วิน ก็ได้ครับ” ผมยิ้มรับและตอบกลับ

“โอเคจ๊ะ น้องวิน เดี๋ยวพี่ขอตัวเตรียมงานก่อนนะ แล้วเดี๋ยวสายๆ พี่พาไปแนะนำตัวกับคนที่ดูแลเรานะ” พี่เชอรี่พูดจบ เธอก็ชี้ไปที่โซฟาสไตล์โมเดิร์นสีเทาอีกด้านหนึ่งของห้องโถงด้านหน้า

ผมพยักหน้าและเดินไปนั่งอย่างว่าง่าย

ผมนั่งตัวลีบด้วยอาการตื่นเต้นอยู่หลายนาที มองผู้คนเดินเข้าออกออฟฟิศด้วยความคาดเดาต่างๆ นานาว่า จะได้พี่ๆ คนไหนเป็นพี่เลี้ยงของตัวเอง

จนกระทั้งผมหมดความสนใจภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า และหันไปหาโทรศัพท์สมาร์ตโฟนของตนเอง เพื่อดูโน๊ตการแนะนำตัวที่เขียนเตรียมเอาไว้

“น้องวินๆ น้องวินคะ” เสียงหวานของพี่เชอรี่เรียกในระยะประชิด

ผมตอบรับเสียงดังด้วยความตกใจ

“แหม.. ตกใจหมด ตามพี่มาคะ เดี๋ยวพี่ไปแนะนำให้พี่ๆ ในฝ่ายรู้จัก และก็จะพาไปหาพี่ที่เป็นคนดูแลด้วยคะ”

ผมตอบรับและขอโทษขอโพยด้วยการก้มศรีษะขึ้นลงหลายครั้งจนเหมือนนกกำลังจิกกินน้ำ ทำให้สร้างเสียงหัวเราะให้พี่เชอรี่ในลำคอไม่น้อย

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปเครียด พี่ๆ ที่นี่เป็นกันเอง ทำตัวตามสบายนะ เห็นหน้าตาน่ารักนึกว่าจะขี้แก๊ก แต่เป็นคนตลกนะเราน่ะ” พี่เชอรี่พูดทิ้งท้ายก็จะพาผมเดินเข้าไปด้านในแผนก

ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย เมื่อเจอคนที่เป็นมิตรขนาดนี้ และเมื่อเดินเข้ามาด้านในก็ต้องตระหนกอีกครั้ง เพราออฟฟิศที่นี่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ภูมิฐานมันยังดูน้อยไป แต่ก็ไม่ได้จริงจังจนเกิดความเครียด ภาพรวมทั้งหมดที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมเกิดความประหม่าอีกครั้ง

“น้องวินคะ ทางนี้คะ พี่เขานั่งรออยู่พอดีเลย” พี่เชอรี่กวักมือเรียกจากจุดที่ผมยืนอยู่ถัดไปประมาณ 3 บล็อกที่นั่ง

“โห….ตัวจริงดูดีกว่าในรูปอีกนะ เชื่อแล้วว่าเป็นเดือนมหาวิทยาลัย” คำพูดแรกที่หลุดออกจากพี่เลี้ยงของผม ทันทีที่เจอหน้า

พี่เขาเป็นผู้ชายรูปร่างอวบนิดหน่อย ผิวขาวใสสุขภาพดี และมีใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา

“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายอย่างสุภาพ

“สวัสดี พี่ชื่อท้อปนะ พี่อยู่ส่วนงานสวัสดิการแล้วก็แฟ้มประวัติพนักงานนะครับ เราจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดสี่เดือนนี้นะ แต่วันนี้พี่ยุ่งนิดหน่อย ไปรอในห้องสำหรับน้องฝึกงานทางนั้นแล้วเดี๋ยวพี่ไปปฐมนิเทศให้ฟังนะ แล้วก็นี่ รหัสสำหรับ log-in เข้าระบบคอมพิวเตอร์” พี่ท้อปพูดจบก็ยื่นซองมาให้ผม

ผมรับไว้และขอบคุณอย่างสุภาพ

“พี่เชอร์ครับผมฝากสอนน้องเข้าระบบหน่อยครับ แล้วก็ให้นั่งดู VTR ปฐมนิเทศรอผมได้ไหมครับ วันนี้ผมเจอเจ้านายตามงานด่วนเลย” พี่ทอปยกมือไหว้ขอร้องพี่สาวปากแดงที่กำลังจะกรอกตาใส่คนขอร้อง

“ได้ๆ ยังไง เช้านี้ก็ไม่ทีประชุมอะไร ไหนก็ต้องพาน้องวินเดินทัวร์ออฟฟิศอยู่แล้ว นี่ถ้าน้องไม่น่ารักอย่างนี้ ฉันไม่ทำให้เธอหรอกนะ ไปน้องวินไปกับพี่จ๊ะ”  พี่เชอรี่เบะปากใส่คนขอร้องแต่หันกลับมายิ้มหวานให้ผม

“โหหหห สองมาตราฐานมากเจ้” พี่ทอปโอด

หลังจากนั้นก็เป็นการเดินทัวร์ทั่วออฟฟิศของฝ่ายทรัพยากรบุคคล ทำให้รู้ว่าที่นี่ใส่ใจในการดูแลบุคลากรขนาดไหน ทำให้ผมประทับขึ้นไปอีก ที่นี่มีโต๊ะทำงานเป็นสัดส่วนที่ดีไม่อึดอัด มีอุปกรณ์สำนักงานครบครัน ห้องประชุมย่อยๆ เยอะมาก รวมถึงห้องเบรกที่เรียกได้ว่าอาจทำให้น้ำหนักตัวขึ้นได้ ทั้งหมดทั้งมวลพี่เชอรี่พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนพาผมไปนั่งที่โต๊ะว่า

“เพราะการสร้างบรรยากาศที่ดี มันก็ส่งผลกับความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานเช่นกัน ดังนั้นผู้บริหารของที่นี่จึงให้ความสำคัญกับมันเป็นพิเศษ”

ผมยิ้มแก้มปริ รู้สึกชื่นชมแบบแบบไม่ปิดปัง คิดภูมิใจในตัวเองที่ฟันฝ่าคนนับร้อยเพื่อเข้ามาฝึกงานที่นี่ได้

“โอเค ถึงแล้ว ห้องของน้องฝึกงาน” พี่เชอรี่ผายมือไปที่ห้องกระจกขนาดประมาณ 4คูณ4เมตร

“ห้อง??” ผมแปลกใจว่ากับเด็กฝึกงานถึงกับทำห้องให้ทำงานเลยหรือ

“ใช่คะ พี่มีโต๊ะทำงานให้น้องฝึกงานด้วยคะ  เนื่องจากด้านนอกมีข้อมูลส่วนบุคคลหลายอย่าง ที่อาจจะมีการพูดคุยกันข้ามโต๊ะทำงาน เลยทำห้องให้น้องอยู่ดีกว่า แต่มันก็เป็นห้องเก็บเอกสารด้วยล่ะจ๊ะ อาจจะไม่ได้ดีเท่าโต๊ะพนักงานนะ” พี่เชอรี่พูดไปก็เปิดประตูเข้าไปแนะนำสิ่งต่างๆ ภายในให้ฟัง

ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่นี่มันก็ดีกว่าที่ผมคิดไว้มากโขเลย นึกว่าต้องไปนั่งในห้องเบรกเสียด้วยซ้ำไป

ผมสังเกตว่าในห้องจะมีอยู่หลายโต๊ะแต่จะมีอยู่โต๊ะหนึ่ง ที่เหมือนมีของว่างอยู่แบบไร้ระเบียบ

“อ้อ! นั่นเด็กฝึกงานอีกคนน่ะ สายประจำ ดูสิป่านนี้ยังไม่มา เฮ้อ….แบบลูกคนใหญ่คนโตน่ะ….. อ่ะ พี่ไม่ควรพูดสินะ งั้นหากเจอกันก็ไม่ต้องแปลกใจนะ เป็นเพื่อนกันไว้ก็แล้วกันนะคะ” พูดจบพี่เชอรี่ก็ยิ้มเฝือนและสอนการ log-in เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทต่อ ต่อจากนั้นก็เปิด VTR ปฐมนิเทศให้ดู ซึ่งกินเวลามากกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนที่ขอลากลับไปทำงานที่โต๊ะของตนเอง

ระหว่างที่ผมกำลังว้าวตาวาวไปกับ VTR แนะนำบริษัทอย่างอลังการงานสร้างอยู่นั้น ประตูห้องก็เปิดกว้างออกอย่างรวดเร็ว ด้วยความตกใจผมจึงหันไปหาคนที่เดินเข้ามาอย่างไม่ตั้งใจ

ภาพที่เห็นคือ ชายหนุ่มผิวขาวตัวสูงเกือบเท่าความสูงของบานประตู ในชุดนิสิตประยุกต์ด้วยแบรนด์เนมทั้งตัว ผมรองทรงสูงแต่ยุ่งเหยิงเป็นทรงที่ดูตั้งใจมากกว่าจะเป็นเพราะลมจากการนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน ผิวหน้าที่ดูดีเป็นธรรมชาติอย่างน่าอิจฉา

วงหน้าที่เห็นตรงหน้านี้ แม้จะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันก็ยังคงแวะเวียนเข้ามาในใันผมตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้มันจะเปลี่ยนไปมาก (ในทางที่ดีขึ้นจนหน้าหมั่นไส้) ผมแต่ไม่เคยลืมไอ้ความเลวร้ายที่มันทำกับผมสมัยมัธยมต้นยาวไปถึงมัธยมปลาย

‘ไอ้คอปเตอร์’ ในใจผมร่ำร้องขื่อนี้ซ้ำไป ใจเต้น มือสั่นไปหมด ทั้งโกรธและกลัวไปในเวลาเดียวกัน

ไอ้คอปเตอร์มันจ้องหน้าผม ด้วยสายตาที่ดูว่างเปล่าเหมือนที่มันทำกับทุกคนสมัยมัธยม มันเป็นคนที่แทบไม่แสดงความรู้สึกอะไรนอกจากการยิ้มเยาะคนที่ถูกมันรังแก เหมือนมันมีชีวิตอยู่ด้วยการทำสิ่งนี้

มันจ้องผมอยู่พักใหญ่แล้วมันก็เดินไปที่โต๊ะของมันที่อยู่ข้างๆ ผมเลย

ผมรู้ว่าสวรรค์ช่างกลั้นแกล้ง ทำไมผมถึงได้มาเจอมันอีก ทั้งๆ ที่ชีวิตทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้ว ผมพยายามทำตัวเป็นปกติที่สุด ทำเป็นไม่สนใจตั้งใจกับการดู VTR ปฐมนิเทศของตนเอง ทั้งๆ ที่มือนั้นกำแน่นและเปียกแฉะ

เอาจริงๆ ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆ เพราะภาพความทรงจำเก่าๆ มันเฟรชแบ็คกลับมาจนผมแทนจะไม่มีสมาธิดูสิ่งที่น่าสนใจด้านหน้า
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (10-08-23)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 13-08-2023 21:21:51
สักพักพอ.หลงหัวปักหัวปล่ำแน่นอน :hao7:  :hao7:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (10-08-23)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawatta ที่ 14-08-2023 20:36:01
แกล้งดีนัก รักซะเลย
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (16-08-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 16-08-2023 10:30:42

“นายมาใหม่เหรอ?” ไอ้คนหน้านิ่งถามผมตามสไตล์ของมัน

“อืม” ผมพยักหน้า แสร้งทำเป็นไม่สนใจ พยายามให้ดวงตาจ้องไปที่มอนิเตอร์ด้านหน้า

“เราเคยเจอกันมาก่อนไหม?” คนนั่งข้างขยับเข้ามาใกล้ เหมือนพยายามพินิจวงหน้าผม

“ไม่นะ ไม่เคย เรามาจาก มหาวิทยาลัย xxxx นะ นายมาจากมหาวิทยาลัยอะไรล่ะ” ผมทำตัวเนียนต่อไป

“มหาวิทยาลัย RRR น่ะ ก็คงจะไม่เคยจริง ถึงจะคุ้นหน้าก็เถอะ เราชื่อ คอปเตอร์ นะ” อีกฝ่ายสะกิดไหล่ผมให้หันไปหา

“เราชื่อ…..วิน นะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ กานต์นวี”

“เราไม่เคยบอกนะว่าชื่อจริงชื่ออะไรทำไมนายรู้”

“เอ่อ…. พี่เชอรี่เอ่ยถึงน่ะ”

“คุณป้าขาเม้าส์นี่อีกแล้ว เขาเล่าเรื่องเราว่าอะไรบ้างล่ะ!!” เสียงเข้มขึ้นมาทันที

“ไม่.. ไม่นะ พี่เขาแค่แนะนำให้รู้จัก แต่นายไม่อยู่ไง” ในที่สุดมันก็ดึงความสนใจของผมให้หันไปหามันจนได้

“แค่แนะนำจริง?” มันกลับไปหน้านิ่งอีกครั้ง ลูกตาสองข้างของมันนี่มันเป็นตาตำรวจสายตรวจฯ ชัดๆ แต่ผมก็ไม่คิดจะหลบตาเพราะจะยิ่งมีพิรุธ

“เออ ก็แล้วไป เกลียดไอ้พวกปากมากนี่ฉิบหาย นี่หากไม่ติดว่าแม่บังคับนะ ก็คงไม่มานั่งทรมานอยู่นี่ในช่วงปิดเทอมหรอก!!” พูดจบก็เหวี่ยงตัวหมุนเก้าอี้เข้าที่พร้อมกับมือตบโต๊ะดังปึง

ผมแอบสะดุ้งเล็กน้อย แม้จะทำใจดีสู้เสือ แต่บรรยากาศรอบๆ ตัวไอ้คุณคอปเตอร์ก็ยังคงเย็นเยียบเหมือนเคย

“งั้นเราขอตัวดู VTR ให้จบนะ” ผมพยายามหนีจากความจริงตรงหน้าโดยการหันไปหาจุดสนใจอื่น

“ไอ้ของกากๆ แบบนั้นดูไปทำไมวะ มีเรื่องจริงสักครึ่งไหมก็ไม่รู้!!” ไอ้คนขวางโลกมันพูดขึ้นโจ่งแจ้งเสียงดัง เหมือนตั้งใจให้ทุกคนได้ยิน แต่โชคดีที่พวกเราอยู่ในห้องปิด

ผมทำเป็นไม่สนใจ และมีสมาธิกับการดูหน้าจอต่อไป

แต่ไอ้คนข้างๆ ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจความต้องการของผม มันขยับเข้ามาใกล้ และเท้าแขนลงบนโต๊ะของผม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“นายไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเราเป็นใคร?” ไอ้คนขวางโลกจ้องมาที่ตาผม ซึ่งผมพยายามไม่สนใจ และส่ายหน้าอย่างเดียวเท่านั้น

“ก็ดี!!” ไอ้คอปเตอร์ตบโต๊ะตรงหน้าผม

“จะได้มีเพื่อนคุยบ้าง ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ บ้างก็ไม่เลว โอเค ต่อจากนี้เป็นต้นไป เราเป็นเพื่อนกัน!!” ไอ้คอปเตอร์ ยื่นมือมาทำท่าทักทายสไตล์ตะวันตก

ช่วงผมก็มองมันกลับไปด้วยความงุนงง  เพราะไม่คิดว่าจะเจอท่าทางแบบนี้ของมัน ช่างต่างกับสมัยมัธยมที่ไม่เคยสนโลกหรือผู้คนใดๆ ผมยื่นมือไปจับกับมือของมันอย่างลังเล แต่สุดท้ายมันก็ยื่นมือมาจับมือผมกระชับมั่นก่อนที่จะปล่อยออกทันที

“เฮ้ย!! มึง!! เออ จริงสิกูพูด กูมึง กับมึงได้ไหม?” สไตล์การทำก่อนขอของมัน ยังเหมือนเดิม

ผมนิ่งไปพักใหญ่จนมันเริ่มคิ้วขมวด  ผมจึงต้องลากมือที่ชุ่มเหงื่อไปจับมือของมันที่รอค้างอยู่กลางอากาศมาสักพัก

“เออ ได้สิ” ผมตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงยังผมก็ยังไม่กล้าปฏิเสธมัน สงสัยว่าในใจยังคงมีแผลเป็นที่ยังเจ็บจี๊ดอยู่

“มึงร้อน? ทำไมเหงื่อชุ่มขนาดนี้?”

“เออ ใช่ ก็ร้อนนิดหน่อย”

“ใช่ไหม? กูเคยบอกหลายทีแล้วว่าช่วยเร่งเครื่องปรับอากาศหน่อย อากาศร้อนขนาดนี้อยู่กันได้ยังไงวะ!!” คอปเตอร์ผู้ฉุนเฉียวกลับมาแล้ว

แต่ความเป็นจริงคือผมเป็นคนขี้หนาวมาก แล้วคือผมพกเสื้อกันหนาวมาด้วย พอตอบไปแบบนั้นเลยไม่กล้าหยิบขึ้นมาสวมเลย

และที่ผมเหงื่อออกจนท่วมเนี่ยก็เพราะมันมาอยู่ใกล้ๆ กับผมเนี่ยแหละ!!


“เฮ้ย! โทษที กูเป็นคนอารมณ์ร้อนนิดหน่อย อย่าถือสาเลยนะ มึงก็ดูอะไรของมึงต่อไปก็แล้วกัน” พูดจบมันก็เอนหลังเบี่ยงไปทางโต๊ะตนเองก่อนที่จะก้มตัวและก็ฟุบนอนไปกับโต๊ะ

ผมแปลกใจกับการกระทำของมันเล็กน้อยแต่ก็หันหน้ามามีสมาธิกับการปฐมนิเทศตรงหน้าให้จบ

ในที่สุดการดู VTR ปฐมนิเทศของบริษัทก็จบลงด้วยเวลา 2 ขั่วโมงเศษ ผมยอมรับว่าดูเพลินดี แต่เนื้อหามันออกจะอัดแน่นไปหน่อย บางเรื่องผมก็คิดว่า นักศึกษาฝึกงานเนี่ยควรจะต้องรู้ละเอียดขนาดนั้นเลย สมาธิผมจดจ่อกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าจนลืมไปเลยว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย

ผมนึกได้ดังนั้นผมจึงหันไปหาไอ้คนที่คิดว่าน่าจะหลับยาวอยู่ข้างๆ แต่หลังจากที่ผมเบนหน้าไปทางซ้าย ผมก็ต้องตกใจดวงตาเบิกกว้าง

เพราะไอ้คนที่ควรจะหลับมันหลับนั่งจ้องผมไม่วางตาและอมยิ้มอย่างมีเลศนัย

“มึงนี่ก็น่ารักนะ” ประโยคแรกที่มันพูดหลังจากสบตากับผม

“ห่ะ…หา!?!” ผมไม่รู้จะตอบสนองกับประโยคนั้นยังไง

“ก็…… เป็นกูคงหลับไปตั้งแต่ สิบนาทีแรก แต่นี่มึงตั้งใจดูจนจบกูล่ะเชื่อเลย นี่ไม่เรียกว่าน่ารัก หรือจะเรียกว่าเชื่องดี”

“เชื่องพ่อง!! มาฝึกงานมันควรจะตั้งใจไหมสาดดดด” ด้วยบรรยากาศที่ส่งมาไปผมเลยเผลอตอบสไตล์เพื่อนสนิทออกไป

หลังจบประโยคผมถึงกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากตั้งเอง

“เฮ้ยยยย!!” ไอ้คอปเตอร์  ร้องลั่น

“อะ..อะไร!!” ผมเริ่มเหงื่อออกอีกครั้ง

“มึงนี่ก็มีมุมนี้นี่หว่า! เพิ่งเคยเห็น กูนึกว่าจะเรียบร้อยน่าเบื่อเสียแล้ว!! เออๆ ชอบๆ” พูดพลางโผเข้ามาโอบไหล่แล้วใช้มือตบอ้อมไหล่เบาๆ

‘ชอบเชี้ยอะไร กูไม่ได้อยากให้มึงชอบกู!’ ผมคิดในใจนะครับเพราะความเป็นจริงผมเกร็งไหล่แข็ง ฝืนยิ้มเฝือนใส่มันไปเรียบร้อยแล้ว

เผลอคิดว่าตัวเองจะโดนน๊อควูบลงไปนอนชิมพื้นพรมไปเรียบร้อยเสียแล้ว


ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ผมสะดุ้งตัวโยน เลยทำให้มือที่โอบไหล่อยู่กระเด้งกลับไปอยู่ข้างลำตัวของไอ้คอปเตอร์แทบจะทันที

“น้องวิน… พี่เสร็จงานแล้วนะ เดี๋ยวพี่มาอธิบายเรื่องงานที่พี่จะให้น้องช่วยทำหน่อยครับ” พี่ท้อปยื่นหน้าแป้นๆ เข้ามาทางช่องประตูที่เปิดแง้มอยู่ไม่ถึงครึ่งทาง

“ครับ ได้ครับ ผมดู VTR จบพอดี ข้อมูลเยอะเลยครับ แต่ผมก็ตั้งใจดูจนจบ”

“เฮ้ย!! ดูจบด้วย พี่เชอรี่ไม่ได้บอกเหรอดูแค่ สองบทแรกก็พอ!” สีหน้าพี่ท้อปดูตกใจไม่น้อย

“กูบอกมึงแล้ว” ตามด้วยไอ้คอปเตอร์ที่ดูเหมือนรอซ้ำเติม

“บอกตอนไหน?” ผมหันไปพูดกับมันด้วยระดับเสียงครึ่งหนึ่งของปกติ

“ตอนมึงตั้งใจดูจนเหมือนสติหลุดเข้าไปในจอน่ะสิ” มันตอบกลับมาด้วยระดับเสียงเต็มสูบ

ผมแอบยอมรับว่าผมทำเป็นไม่สนใจมันแบบ 100% แทบจะตัดเสียงมันออกจากโสตประสาท

“นี่….รู้จักกันมาก่อนเหรอ?” พี่ทอปทำหน้าประหลาดใจ

“เปล่าครับ เพิ่งเคยเจอกัน!” ผมหันไปตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“อ๋อ….เหรอ… โอเค น้องวินตามพี่มาครับ”

ผมเดินตามพี่ท้อปอย่างว่าง่าย

…….………..
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (16-08-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-08-2023 21:34:15
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (16-08-23)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 17-08-2023 10:50:46
มาต่อไวๆน๊าาาาาา
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (26-08-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-08-2023 11:52:19
ผมยอมรับกับตัวเองเลยว่า ประสบการณ์การทำงานจริงกับการเรียนนี่ต่างกันไม่น้อยเลย เข้าใจคำพูดของรุ่นพี่รุ่นก่อนที่จบไปแล้วกลับมาเล่าให้ฟังก็วันนี้

ทฤษฎีที่เรียนรู้แทบไม่ได้ใช้เลย ต้องมาเรียนรู้ใหม่เกือบหมด ขนาดงานง่ายๆ อย่างการจัดเรียงเอกสารตามระบบมาตรฐานของบริษัท และการ key-in data เข้าระบบ HRIS มันยังสร้างความงวยงงให้ผมไม่น้อยเลย

โชคดีที่เกิดมาพร้อมความจำดี เลยจดทันทุกคำพูด ขนาดว่าผมใช้เทคนิคการจดโน้ตย่อสมัยเรียนกับอาจารย์ที่สปีชเร็วที่สุด ยังทำได้แค่คาบเส้นคาบดอก เฮ้อ….ผมจะจบกับที่นี่สวยไหมเนี่ย?

“ไม่เข้าใจตรงไหน หรือตามไม่ทันตรงไหน บอกพี่นะ” พี่ท้อปพูดทิ้งท้ายด้วยการยิ้มแก้มอมชมพูมาที่ผม

“ครับ” ผมตอบสั้นๆ พลางยิ้มแห้งตอบกลับไป

“ไม่ต้องเกรงใจนะ พี่รู้ว่าพี่อธิบายเร็ว แต่มาถามพี่บ่อยๆ พี่โอเค นะ มันยากพี่รู้ ตอนพี่มาใหม่ๆ กว่าจะคุ้นกับไอ้ระบบนี้ ก็ตอนจะผ่านช่วงทดลองเลยล่ะ” พี่ท้อปยื่นมือมาตบไหลผมเบาๆ ในลักษณะให้กำลังใจ

“ไม่ได้จะทดสอบอะไรผมใช่ไหมเนี่ย?” ผมมองไปที่ตาเล็กๆ สองข้างของพี่ท้อป

“ไม่นะ” สายตาที่ส่งมาพร้อมกับคำตอบที่บอกได้เลยว่า ไม่โกหกแน่นอน

ผมถอนหายใจพร้อมตอบรับความคาดหวัง

“แต่หากเป็นเรื่องที่จริงจังน่าจะเป็นเรื่องโปรเจ็คช่วงฝึกงานของน้องนะ พวก Business process improvement อันนั้นน่ะสำคัญจริง  เรื่องนี้ก็ปรึกษาพี่ได้นะ พี่ทำให้น้องๆ ผ่านไปได้หลายคนแล้ว!” พี่ท้อปพูดจบก็ยืดอกภูมิใจ จนพุงที่ยื่นมายุบไปหน่อย ผมเผลอปรายตาไปมองภาพงานแต่งงานของพี่ท้อปบนโต๊ะ เห็นสภาพร่างที่เคยทรงดีมาก่อนมาก จนอยากจะแนะนำให้พี่เขาไปลดความอ้วนเลย

ความเครียดถาโถมจนเสียงพยาธิในท้องร่ำร้องคร่ำครวญ ดังจนผมหน้าแดงเพราะความอาย

“เฮ้ย! พี่ขอโทษ นี่มันเลยเวลาพักของน้องมาแล้วนี่ ไปพักเหนื่อยเถอะ สักชั่วโมงค่อยมาหาพี่นะ” พี่ท้อปรู้สึกผิดออกทางสีหน้า

“เฮ้ย!! มึง เที่ยงกว่าแล้ว ไปกินข้าวเที่ยงกัน” เสียงทุ้มต่ำข้ามคอกกั้นโต๊ะทำงาน ทำให้ทั้งผมและพี่ท้อปหันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน

พี่ท้อปถึงกับยืนขึ้นเพื่อเขย่งมองไปทางเดียวกับผม เพื่อหาเจ้าของเสียงที่ตอนนี้ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ไม่ไกล

ผมหันไปขอความช่วยเหลือทางสายตาจากพี่ท้อปทันที พลางถามชวนพี่ท้อปไปกินมื้อเที่ยงด้วยกัน

พี่ท้อปปฏิเสธพลางชี้ให้ดูกล่องข้าวที่กองรวมกันอยู่ที่มุมโต๊ะทำงานพลางบอกว่า “เมียพี่เตรียมมาให้แล้ว”

จบกัน !!

“เดี๋ยวเราไปเองก็ได้” ผมปฏิเสธอย่างสุภาพ อยู่กับมันในห้องทั้งวันก็น่าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว มื้อเที่ยงช่วยผมเป็นอิสระบ้างนะ

“มึงนี่นะ มาครั้งแรกแล้วรู้เหรอว่ากินข้าวที่ไหน ป่านนี้ร้านอาหารคนคงเต็มไปหมด เดี๋ยวพาไปที่ดีๆ แล้วดูนะอุตส่าห์รอมึงเกือบครึ่งชั่วโมงนี่ ไม่คิดจะมากับกูสักหน่อยเหรอวะ” ไอ้คนเอาแต่ใจร่ายยาวจนผมรู้สึกท้อ พลางหันไปหาตัวช่วยอย่างพี่พนักงานประจำ

“น้องไปกับเพื่อนเถอะ โทษทีนะ พี่ไม่ได้แนะนำ อะไร ว่าแต่แน่ใจว่าเพิ่งเคยเจอกัน?” พี่ท้อปตอบกลับเสียงเบา

นอกจากไม่ได้ช่วยแล้วยังขับไล่ไสส่ง ผมปฏิเสธคำถามโดยการสั่นหน้าแหย๋ๆ และหันไปตอบตกลงกับไอ้เพื่อนใหม่ที่ไม่ใหม่ในความทรงจำผม

………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (26-08-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-08-2023 12:05:10

ผู้คนในตึกต่างวุ่นวายกับการเดินออกหามื้อเที่ยงกันอย่างเร่งรีบ แม้จะเลยเที่ยงครึ่งมาแล้วแต่ในชั้นโรงอาหารพนักงานของตึกก็คราคร่ำไปด้วยผู้คนจำนวนไม่น้อย

ชั้นโรงอาหารของที่นี่ลงทุนใช้ทั้งชั้นทำเป็นศูนย์อาหารที่รวมร้านอาหารนานาชนิดมากกว่า 30 ร้าน การจัดการพื้นที่ที่ชั้นนี้ทำได้ดี มีโต๊ะและเก้าอี้จำนวนมากที่จัดอย่างเป็นระเบียบ มีบรรยากาศเย็นสบายและสวยงาม

และที่สำคัญที่สุด มีน้ำดื่มที่ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของบริษัทตั้งวางไว้ในตู้แช่เย็นให้หยิบดื่มอย่างไม่อั้น แต่ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า เพราะแทบไม่มีใครเดินไปหยิบเลย คงเพราะส่วนใหญ่เป็นน้ำหวานและเครื่องดื่มชูกำลัง

ในขณะที่ที่ผมกำลังชื่นชมกับภาพตรงหน้า ที่เป็นหนึ่งสิ่งที่แสดงให้เห็นใน VTR orientation ไอ้คนที่ชวนผมมาด้วยกลับเดินไปอีกทางหนึ่งพร้อมกับกวักมือเรียกผมให้ตามมันไปด้วย

ผมทำหน้าตาสงสัยแต่ก็เดินตามมันไปอย่างว่าง่าย

“จะไปไหนน่ะ ศูนย์อาหารมันอยู่ทางนั้น” ผมพูดพลางใช้นิ้วชี้ไปที่ประตูกระจกบานใหญ่ของศูนย์อาหาร

“กูไม่เคยกินที่นั่น!!” มันพูดห้วนๆ สั้นๆ แบบไม่หันหน้ามามองผมด้วยซ้ำ

“แต่…..” ผมยังอาลัยกับกลิ่นอาหารที่โชยออกมาจากศูนย์อาหารที่เพิ่งเดินจากมา

“มึงจะบอกว่ามึงรู้ดีกว่ากู มึงที่เพิ่งมาวันแรกเนี่ยนะ” ไอ้คอปเตอร์หยุดที่ประตูใหญ่บานหนึ่งและหันมามองด้วยสายตาหาเรื่อง

“เอ่อ……” เชี้ยเอ้ย! ผมบอกตามตรงว่าตอนนี้ผมขาสั่นไปหมด ถึงผมกับมันจะสูงพอกันก็เถอะ (มันสูงกว่าผมสัก5เซ็นได้มั้ง) แต่ไอ้ความรู้เหมือนไอ้เตี้ยตัวเล็กโดนรังแกมันกลับมายังไงไม่รู้

“ตามมาเถอะ อย่าพูดมาก กูหิวจะแย่แล้ว!!” ไอ้คอปเตอร์เปิดประตูและกวักมือเรียกผมให้ตามมันไป

“กูก็ไม่ได้ให้มึงมารอเสียหน่อย” ผมบ่นอุบอิบกับตัวเอง

“อะไรนะ?” มันหันหน้ากลับมาถามผม

“เปล่าๆ ครับ เราบอกว่าหิวเหมือนกันน่ะ” ผมตอบเสียงสั่น พยายามทำหน้านิ่งไว้ แต่เสียงผมมันบังคับไม่ได้เอาเสียเลย

“หิวแล้วก็รีบตามมา! แล้วไอ้คำพูดสุภาพเนี่ย กูไม่ชินเลยว่ะ เหมือนมันห่างเหินยังไงไม่รู้” ไอ้คอปเตอร์คิ้วขมวดใส่ผม

“ก็มันเคยชินน่ะ”

“มึงนี่สุภาพแบบสุดยอดไปเลยนะ เออ น่ารักดี”

“อะไรนะ?” คำสุดท้ายมันเบาจนผมแทบไม่ได้ยิน แต่หากเดาไม่ผิด น่าจะ ‘น่ารัก’  สงสัยหูจะฝาด

ไอ้คอปเตอร์พาผมเข้าประตูไปก็เจอกับบันไดหนีไฟที่กว้างขวาง และมี wallpaper ลายสวยงามพร้อมโลโก้และมัสคอต ประจำบริษัท พาดไว้ตลอดทาง มันก็ดูสวยไปอีกแบบ แต่หากสังเกตดีๆ เหมือนมันจะมีแค่ชั้นที่พวกผมกำลังลงไป

“จะพาเราไปไหนเนี่ย?” เนื่องจากความเงียบเชียบทำให้ผมรู้สึกสงสัย

“พามึงไปซ่อมกับกูสักรอบก่อนงานรอบบ่ายมั้ง” เสียงไอ้คอปเตอร์เรียบและรู้สึกน่ากลัว

ผมหยุดเท้าแทบจะทันที จนได้ยินเสียงยางรองเท้าเบียดกับพื้นบันไดดังเอี๊ยด

“กูล้อเล่นไหม ทำสีหน้าจริงจังไปได้” ไอ้คอปเตอร์หันมาแกมหัวเราะชอบใจ

แต่สีหน้าผมยังคงยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ เพราะจากปฎิกิริยาของไอ้คอปเตอร์ มันหุบยิ้มและเดินเข้ามาใกล้ แผลเป็นในใจของผมมันคงเริ่มปริแตกเสียแล้ว

“เฮ้ยๆ กูล้อเล่น นี่กูจะพามึงไปกินมื้อเที่ยงจริงๆ มึงก็เห็นว่าทางนี้ มันเป็นเส้นทางสำหรับให้พนักงานเดินลงไปศูนย์อาหารอีกชั้นหนึ่ง”

“ที่นี่มีศูนย์อาหาร สองชั้นเลย” หน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นประหลาดปนประทับใจ

“ตามมา เดี๋ยวมึงก็จะรู้เอง” พูดจบมันก็เดินนำไปอีกครั้ง

หลังจากที่ผมเดินตามมันไปจนถึงชั้นถัดไป ผมก็พบว่าประตูทางเข้าของชั้นนี้มันไม่เหมือนชั้นที่พวกเราลงมามันดูหรูหราและมีที่สแกนใบหน้าติดอยู่ที่ข้างประตู

ผมมองไปที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตรงหน้าที่หน้าจอกำลังเปิดทำงานเมื่อมีคนเดินเข้ามาใกล้ กล้องของอุปกรณ์ก็ทำงานทันที ภาพที่อยู่ตรงหน้าจอมันแสดงใบหน้าผมชัดเจน

ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าซีดกว่าเมื่อเข้ามาก สงสัยมีเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจหลายครั้ง

เพียงครู่เดียวเครื่องก็ร้องส่งสัญญาณว่า ใบหน้าที่แสดงอยู่ไม่ผ่าน พร้อมทั้งแสดงรูปกากบาทสีแดงขนาดใหญ่

“เขาน่าจะให้เข้าได้เฉพาะพนักงานประจำหรือ…”

ปี๊บ เสียงสัญญาณดังสดใสและขึ้นรูปเครื่องหมายถูกที่หน้าจอพร้อมเสียงปลดล็อกประตูดังขึ้น

ผมที่กำลังจะแสดงความคิดเห็นจึงได้แต่สะดุดลงตรงนี้

“ทำไม?” ผมมองใบหน้าที่เรียบนิ่งของอีกฝ่ายซึ่งตอนนี้เดินนำหน้าไปหยิบที่จับประตูเพื่อเปิดออกกว้าง

“จะเข้าไปไหม?” คำพูดสั้นๆ และใช้สายตาชี้นำทางเข้าไปด้านในทำให้รีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและเดินผ่านประตูกระจกสีเข้มเข้าไป

ข้างในเป็นเหมือนกับร้านอาหารบุฟเฟต์นานาชาติ ที่มีการจัดวางและประดับตกแต่งตามโต๊ะยาวที่วางอาหารเรียงรายจนแทบจะนับไม่ถูกว่าถูกวางอาหารไว้กี่อย่าง

ผมยืนอึ้งตาค้างอยู่ที่ทางเข้า จนกระทั้งพนักงานต้อนรับทางด้านหน้าเอ่ยทักทาย

“สวัสดีคะ ขอบัตรพนักงานหรือบัตรรับประทานอาหารด้วยคะ”

“เอ่อ…เอ่อ……” ผมอ้ำอึ้งเพราะผมไม่มีสิ่งที่ว่ามาทั้งคู่

“นี่ครับ” คนที่ตัวสูงกว่าผมเล็กน้อยเดินล้ำหน้ามายื่นการ์ดสีทองและมีลวดลายไม่คุ้นตา ยื่นไปให้พนักงานสองใบ

“อ้าวคุณคอปเตอร์ วันนี้มากับเพื่อนเหรอคะ” พนักงานยิ้มสวยกล่าวต้อนรับ

“มั้ง” คำพูดสั้นๆ ห้วนๆ ออกจากปากที่แทบจะไม่ขยับนั้น

พนักงานสาวยิ้มรับและรีบรับการ์ดสองใบไปสแกนที่อุปกรณ์ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เคาน์เตอร์ไม่ไกล

สักพักเธอก็เดินออกมาพร้อมการ์ดใบเดิมทั้งสองใบ ไอ้คอปเตอร์รับไว้และขยับหน้าให้ผมเป็นคำชวนก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้านอาหารที่ตกแต่งเสียหรูหรา

ไอ้คอปเตอร์เดินตรงรี่ไปที่มุมห้องใกล้กับกระจกหน้าต่างของอาคาร เขากระแทกนั่งอย่างเคยชินโดยไม่สนใจทุกสายตาในร้านอาหารซึ่งต่างมองมาเป็นตาเดียว

ผมว่าไม่แปลก เพราะการแต่งตัวของเราสองคนที่ใส่เครื่องแบบของมหาวิทยาลัย มองแว่บเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่พนักงาน มันอาจจะไม่ถูกต้องหรือเปล่าที่พวกเรามาอยู่ตรงนี้

“นี่ๆ แน่ใจเหรอว่าจะกินที่นี่?” ผมถามอย่างเกรงใจและยังคงไม่กล้าลงไปนั่ง

“เราไม่ได้ลักลอบเข้ามาเสียหน่อย จะไปกลัวอะไร มึงไปตักอาหารมากินไปเดี๋ยวกูเฝ้าโต๊ะให้”  อีกฝ่ายคิ้วขมวดใส่ผมแล้วโบกมือไล่ผมไป

ตัวผมเองก็ทำตามอย่างว่าง่าย


อาหารของชั้นนี้ต่างจากชั้นอื่นมาก ทั้งการจัดวาง รูปร่างหน้าตาของอาหาร จำนวนประเภทของอาหารที่มีตั้งแต่สลัดบาร์จนไปถึงอาหารไทยรสจัดจ้าน

บรรยากาศที่เป็นส่วนตัวและเงียบสงบ ไม่วุ่นวายจอแจเหมือนกับชั้นบนที่เพิ่งเดินลงมา โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่นั่งอยู่ล้วนแต่งตัวภูมิฐานจนผมตื่นตระหนกไปหมด โชคดีที่บริกรที่นี่น่ารักเป็นกันเอง ดูแลและแนะนำอย่างดีเหมือนโรงแรมห้าดาว จนกระทั้งผมมองไปที่ป้ายชื่อที่มีโลโก้โรงแรมดังย่านนี้อยู่บนป้ายชื่อ ผมจึงเข้าใจในทันที

บริษัทนี้ลงทุนจ้างโรงแรมชื่อดังมาบริการให้กับพนักงายเลยหรือนี่

กว่าผมจะเดินเลือกมื้อเที่ยงจนล้นสองจาน ก็ใช้เวลาไปหลายนาที  ผมเดินไปถึงโต๊ะก็พบว่าคนที่นั่งรออยู่ มองผมตาไม่กระพริบ

“เอ่อ…โทษทีนะ มันเพลินไปหน่อย” ผมผงกหัวขอโทษเพื่อนไม่ใหม่ที่พาเข้ามา

“กินเยอะนะเนี่ย ดีนะที่มันออกทางแนวตั้ง ไม่ได้ออกทางแนวนอน สูงใหญ่ขึ้นเยอะเลย” ไอ้คอปเตอร์พูดพลางมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“อะไรนะ?” ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดเพราะมัวแต่กลัวสายตาที่จ้องผมเสียเบิกกว้าง ยังไงผมก็ยังขจัดความกลัวไปไม่หมดอยู่ดี

“ไม่มีอะไร มึงนั่งกินไปเถอะ เดี๋ยวกูไปหาอะไรกินแล้ว” ไอ้คอปเตอร์พูดจบมันลุกไปทันที

อาหารที่ไอ้คอปเตอร์ตักมามันมีแต่เนื้อสัตว์นานาชนิด และซุปข้นๆ หนึ่งถ้วย ผมมองด้วยสายตาที่อดใจจะถามไม่ได้ แต่ก็ห้ามปากตัวเองไว้ทัน

“อ้ำอึ้งอะไรของมึง?” เหมือนมีคนสังเกตเห็น

“กินแต่เนื้อสัตว์แบบนี้มันไม่ดีนะ มันไม่ครบห้าหมู่” จากประสบการณ์ฟิตหุ่นตัวเองจนสูงใหญ่ขนาดนี้ เวลาเห็นอะไรแบบนี้มันขัดใจ

“แล้วจะให้กูกินเยอะแบบมึงก็ไม่ไหวนะ  ครบห้าหมู่แต่สองจานพูนแบบนี้ กูก็สงสัยนะว่ามึงกินหมดได้ยังไง ร่างมึงก็ผอมบางแบบนี้ ไปเก็บไว้ตรงไหนหมดวะ?” คอปเตอร์มองผมสลับกับอาหารในจานผมทั้งสองจานที่ต่างพร่องไปเกือบหมด

ผมรู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่ไปเริ่มต้นบทสนทนากับมัน เพราะไม่ได้ทำให้สถานการณ์ระหว่างผมกับมันดีขึ้นเลย พอเจอเสียงที่ฟังแล้วเหมือนดุดันใส่ ทำเอาผมสะกดน้ำตาไว้แทบไม่อยู่

“เฮ้ยๆๆ กูไม่ได้ดุด่ามึงเสียหน่อย อย่าทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นสิวะ” เสียงของมันดูจะอ่อนลงนิดหน่อยแต่แบบนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ลงไปอีก

ขณะที่ผมกำลังจะสูดลมหายใจลึกเพื่อกั้นใจตอบมันกลับไปว่าไม่เป็นไร เสียงฮือฮาในห้องอาหารก็ดังขึ้นจากประตูทางเข้า

ผมหันไปหาต้นเสียงก็พบชายหนุ่มวัยทำงาน บุคลิกภาพดีและการแต่งกายหรูหราเดินเข้ามาพร้อมกับคนบริเวณนั้นก็เริ่มลุกขึ้นมาทักทาย

หากจำไม่ผิด คนนี้มันผู้บริหารของที่นี่! เลือดใหม่ไฟแรงที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการตั้งอายุ 30 ปี โปรไฟล์ดี จบจากต่างประเทศและเป็นทายาทขององค์กรดังที่เป็นบริษัทแม่ของที่นี่ สุภาพบุรุษที่ได้ชื่อว่า สาวๆ ต่างหมายปองอันดับหนึ่ง แต่ยังโสดไร้คู่ครอง

มาเห็นตัวจริงคือ เหมือนกับเทพเจ้าย่างกรายมายังโลก โคตรประทับใจ ผมมองตาค้างไปประมาณ 1 นาที

ในขณะที่เพื่อนร่วมโต๊ะของผมกลับทำสิ่งตรงกันข้าม มันถอนหายใจและวางช้อนส้อมลงบนโต๊ะแล้วก็มองออกไปนอกกระจกบานใหญ่อย่างไม่สนใจเหตุการณ์ภายในพื้นที่แห่งนั้น

“โหย…โคตรเท่…. โตขึ้นไปจะมีโอกาสเก่งและเท่แบบนี้ไหมเนี่ย” สายตาชื่นชมของผมที่ส่องประกายคงไปขวางหูขวางตาเพื่อนร่วมโต๊ะ ถึงกับดึงความสนใจจากวิวตึกสูงสวยๆ ภายนอกแล้วหันมาค้อนมาผม แม้แต่ผมยังรู้สึกถึงบรรยากาศร้อนระอุจากด้านข้างได้

“มันก็แค่ไอ้เตี้ยที่โชคดีกว่าคนอื่น!” ไอ้คอปเตอร์ไม่พูดปล่าว มันลุกขึ้นยืนและยื่นสองมือหยาบใหญ่ของมันประคองศรีษะของผมให้กลับด้วยความเร็วประมาณหนึ่ง

ผมร้องเสียงหลงเพราะคิดว่าตัวเองอาจจะถึงฆาตเสียแล้ว

“เฮ้ยๆ กูขอโทษ” คอปเตอร์หน้าซีดลงเห็นได้ชัด มีความรู้สึกวูบหนึ่งว่า มันมีสีหน้าเป็นห่วงผมจริงๆ ก่อนที่มันจะพูดว่า

“รีบแดก ต้องกลับไปทำงานต่อไม่ใช่รึไง!!”

ผมสับสนอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะพยักหน้าให้มันและหยิบช้อนซ้อมมากินต่อ

“คิดว่าคอจะหักเสียแล้ว” ผมบ่นอุบอิบกับตัวเอง

“อย่ามาโอเวอร์สิ ออกแรงนิดเดียวเอง” ไอ้คอปเตอร์สวนกลับด้วยการทำหน้ามึนใส่

ผมไม่คิดว่ามันจะได้ยินเลย ไอ้นี่มันหูดีขนาดไหนกัน

“แรงควายชัดๆ” ผมบ่นงึมงำต่อ พลางลูบต้นคอที่รู้สึกเคล็ดเล็กน้อย

“ขอโทษนะ” เสียงเบาจากคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินคำขอโทษจากมัน

“อะไรนะ” ผมตาโตมองไปทางเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างไม่เขื่อหูตัวเอง

“นึกว่าใคร” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

“เสือก!!” ไอ้คอปเตอร์สวนกลับเจ้าของเสียงนั่นแทบจะทันที

ผมหันไปมองต้นเสียงที่ว่าทันที เพราะไม่คิดว่าไอ้หยาบคายอย่างไอ้คอปเตอร์จะมีคนรู้จักในที่ๆ มีอารยะแบบนี้ (คนหยาบคายแบบมัน)

“ช่วยพูดกับพี่ชายดีๆ หน่อยสิ อย่างน้อยกูก็พี่ชายมึงนะ” ชายใส่สูทภูมิฐาน ยิ่งด้วยท่าทางสุภาพที่สวนกับคำพูดสมัยพ่อขุนฯ แบบนี้อย่างมาก

“คุณรอคเก็ต” ผมยืนขึ้นเรียกชื่อผู้บริหารหนุ่มของที่นี่ด้วยอาการตกใจ ทำให้พอเข้าใจว่าทำไมไอ้คอปเตอร์ถึงเรียกว่า ‘ไอ้เตี้ย’ เพราะจากการเหยียดยืดสุดความสูงของผม รู้สึกส่วนสูงของเขาคนนี้จะแค่ปลายจมูกผมเท่านั่นเอง (หรือว่าผมมันสูงไป)

“กูเป็นลูกคนเดียว” ไอ้คนหยาบคายมันกล้าพูดกับผู้บริหารระดับด้วยการพูดจา ‘กูมึง’

“เดี๋ยวนะ พี่ชาย ???….” เหมือนผมเพิ่งนึกอะไรออกจากบทสนทนาของทั้งคู่

“ใช่ครับ ผมเป็นพี่ชายของคอปเตอร์เอง”

“แต่นามสกุล….” ผมถามกลับโดยอัตโนมัติ

“เขาไม่ยอมใช้นามสกุลพ่อน่ะ” อีกฝ่ายก็ตอบด้วยสีหน้าอมยิ้มอ่อนๆ

ผมคิ้วขมวด ทำสีหน้างุนงงกลับไป

“เรื่องนั้นไปถามเพื่อนน้องดูนะ แปลกนะ ที่นายยอมคบหาคนอื่นด้วยนอกจากไอ้วศินน่ะ”

ตัวละครเพิ่มอีกตัว เริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วนะ ผมคิดอย่างสับสนในใจ แต่มาคิดดูดีๆ ก็ไม่เกี่ยวกับเรานี่หว่า

“ก็อย่างที่กูบอกไง!! เสือก!!”

“เฮ้อ….ไปดีกว่า น่าจะไม่จบง่ายๆ เอาเป็นว่า ก็คบกันดีๆ นะ อย่าทะเลาะกันก็แล้วกัน…นะ”

คำพูดที่ชวนให้สงสัยก่อนที่จะเดินจากไปอย่างกับลอยเหนือพื้นนั้น ผมเองก็ไม่ได้คิดมากหรอกครับ เพราะไม่ได้คิดจะคบมันเป็นเพื่อนแบบลึกซึ้ง แค่จะให้ผ่านฝึกงานนี้ไปให้ได้

ผมพบว่าไอ้คอปเตอร์มันทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ฝั่งตรงข้ามผม เสียงลมหายใจที่ดังทุกครั้งที่สูดเข้าและออกอย่างจงใจ ผมไม่ทราบว่าพวกเขามีปัญหาอะไรกัน แต่ก็อดที่จะสงสารปนสงสัยไม่ได้

“โทษทีนะ กูรู้ว่าไม่เกี่ยวกับมึง แต่ก็อดอารมณ์เสียไม่ได้” เป็นอีกครั้งที่ผมได้ยินเสียงมันขอโทษผม แต่คราวนี้ดูมีความตั้งใจแฝงอยู่

ผมรับคำขอโทษโดยการพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้คิดจะถามไถ่ใดๆ ต่อเพราะคิดว่า ไม่ได้สำคัญพอที่อยากจะรู้ เลยตั้งใจกินอาหารที่ตักมาให้หมด

แต่พอมาทบทวนแล้วก็พอจะทราบแล้วว่าทำไมพนักงานคนอื่นถึงได้มีท่าทางเกรงใจมัน และมีความพิเศษขนาดที่เข้าออกพื้นที่ วีไอพีของบริษัทได้

“แล้วนี่ไม่กินแล้วหรือ?” ผมชี้ไปที่อาหารที่วางกองไว้บนโต๊ะซึ่งมีพนักงานเดินมาบริการวางถึงที่

“หมดความอยากอาหารตั้งแต่เห็นหน้าไอ้เตี้ยนั้นแล้ว!” มันเหวี่ยงขาข้างหนึ่งขึ้นมาไขว้กับขาอีกข้างอย่างฉุนเฉียว

“กินน้อยแบบนี้เดี๋ยวก็หิวตอนบ่าย” ผมเผลอพูดออกไปเหมือนพูดกับเพื่อนตามปกติ หลังจากจบประโยคในใจกลับคิดว่า ทำไปเพื่ออะไร

“เป็นห่วง?” มุมปากของไอ้คอปเตอร์ยกขึ้นมาวูบหนึ่งเหมือนภาพลวงตา แล้วก็หายไป

“กูก็ทักตามปกติ ใครๆ เขาก็ต้องพูดกัน”

“อ๋อเหรอ” พูดจบไอ้คอปเตอร์มันก็นั่งพิงพนักเก้าอี้นวมลงไปจนเหมือนจะเอนนอน

ผมเหลือบมองนาฬิกาก็ต้องตกใจเพราะมันเกินบ่ายหนึ่งมาเกือบ 5 นาทีแล้ว

“ฉิบหายแล้ว!!”

ผมรีบยัดทุกอย่างเข้าปากและดื่มน้ำตามทันที

“เฮ้ยๆ ไม่ต้องรีบเดี๋ยวติดคอตาย มึงมากับกูไม่มีใครกล้าว่ามึงหรอก”

“ไม่เอา มาวันแรกก็เหลวไหลเสียแล้ว ไม่เอาหรอก” พูดจบผมก็ลุกขึ้นทันที

ไอ้คอปเตอร์ส่ายหน้าถอนหายใจแต่ก็เดินตามมาอยู่โดยดี

………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (26-08-23)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 26-08-2023 21:45:18
ค็อปเตอร์จำวินได้ตั้งแต่แรกหรอ?
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (26-08-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 27-08-2023 00:09:04
 :a5: :serius2:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (26-08-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-08-2023 12:35:24
รักแรกมันลืมยาก
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (3-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 03-09-2023 16:53:49
………

วิ่งมาถึงออฟฟิศก็เป็นอย่างที่ไอ้คอปเตอร์มันว่าจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าเพราะผมมากับมันหรอกนะ แต่พี่ๆ เขาใจดีต่างหาก นอกจากจะไม่ต่อว่าแล้วยังให้ไปนั่งพักที่ห้องอีก 15 นาที

ช่วงบ่ายก็เป็นไปตามที่พี่ท้อปได้บอกไว้ งานเอกสารเป็นตั้งๆ มากองไว้ให้ผมที่มีหน้าที่นำเข้าระบบและจัดเรียงลงแฟ้ม ตรวจสอบความสมบูรณ์และสรุปความคืบหน้าเพื่อนำเสนอพี่ท้อปตอนเย็น

ช่วงแรกผมก็รู้สึกยังติดๆ ขัดๆ อยู่นิดหน่อย เพราะความไม่คุ้นชินกับหน้าตาเอกสารและระบบงานของที่นี่

จริงอย่างพี่ท้อปกล่าวไว้ สิ่งที่เรียนมาแทบไม่ได้ใช้เลย แค่เอามาประยุกต์ได้ ผมนั่งผ่อนลมหายกับความยากลำบากและตั้งใจมาทั้งเกือบ 4 ปี

ในขณะที่ผมกำลังนั่งง่วนอยู่กับกองเอกสารและระบบสารสนเทศที่ไม่คุ้นเคย ไอ้เพื่อนร่วมห้องผมกลับได้รับมอบหมายให้นำข้อมูลที่พี่เขาส่งให้มาทำสถิติแบบง่ายๆ ที่ผมเห็นมันทำอยู่ไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ

ตอนนี้ไอ้คอปเตอร์นั่งเล่นเกมส์ตีป้อมอยู่ข้างๆ ผมตลอดช่วงบ่ายที่เหลือ โดยที่ไม่มีใครเอางานมาให้มันทำเลยนอกจากผู้จัดการฝ่ายของที่นี่

“ช่วยเงียบๆ หน่อยได้ไหม?” เสียงของไอ้คนเล่นตีป้อมอย่างเมามันทำให้ผมเสียสมาธิมาก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะมันทำหูทวนลม ไม่มีแม้แต่จะเหลือบมองผมด้วยซ้ำ

จนในที่สุดฝึกงานวันแรกก็จบลง แต่สิ่งที่ผมไม่จบด้วยก็คือไอ้กองเอกสารตอนบ่ายนี่แหละ

“กลับบ้านได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ แค่นี้ก็ทำได้เยอะแล้ว เก่งมาก ๆ เลย” พี่ท้อปปลอบใจ พร้อมเดินหิ้วกระเป๋าเตรียมพร้อมเลิกงานมาดูการทำงานของผม ณ เวลาเลิกงาน

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวก็เสร็จ ผมขออยู่ทำต่ออีกนิด” ผมปฏิเสธและหันไปมองกองเอกสารที่ยังค้างอยู่หนึ่งในสี่ของทั้งหมด

“อย่าเลย น้องมาฝึกงานนะ ไม่ได้ให้มาทำงานจริงจังแบบนี้ เอาเป็นว่า พี่ขอให้กลับเลยนะ เก็บๆ พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ” พี่ที่มองนาฬิกาเป็นระยะ ระหว่างพูด ได้พูดแกมบังคับให้ผมกลับให้ได้

“จริงมึง!! กูว่ามึงทำเร็วกว่าพนักงานประจำอีกนะ กลับเถอะ เงินที่ได้ก็ไม่เยอะ จะอะไรเยอะแยะว่ะ” เสียงของคนที่ผมลืมไปแล้วว่ามันยังอยู่ในห้องดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ตามนั้นแหละ” พี่ท้อปหันมาพยักหน้ากับผมด้วยสีหน้ากร่อยๆ

“งั้น….ผมทำเอกสารที่ติดมือผมอยู่ให้เสร็จ ผมก็กลับแล้วครับ” ผมยกปึกเอกสารที่ติดมืออยู่แสดงให้พี่ท้อปเห็น

พี่ท้อปผ่อนลมหายใจอย่างหน่ายๆ แต่ก็ขอตัวกลับบ้านไปก่อน

ผมเองก็รู้สึกล้าสายตาแล้วด้วยผมจึงรีบเคลียร์งานในมือให้เสร็จและทำการเก็บของทันที ในระหว่างนั้น สายตาผมก็ไปกระทบกับร่างหนึ่งที่เอนหลังเล่นเกมส์มือถืออย่างสบายใจ ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล

ผมผ่อนลมหายและรู้สึกอิจฉาไอ้คนไม่รู้ร้อนตรงหน้า ทำไมงานเขากับงานผมมันต่างกันแบบนี้นะ  ถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็เถอะ

“งานก็ไม่ได้ทำ แล้วทำไมยังไม่กลับ” ผมพูดขึ้นลอย ๆ ในขณะที่กำลังเก็บของส่วนตัวลงกระเป๋าเป้ประจำตัว

ไอ้คอปเตอร์เหลือบตามองผมอยู่วูบหนึ่งก่อนที่เลื่อนสายตาลงไปจ้องแสงสีวูบวาบที่หน้าจอโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเครื่องใหญ่ของมัน พลางพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ราบเรียบ

“ช่วงเลิกงาน ลิฟท์มันจอแจ เบียดเสียดกูไม่ชอบ”

“งั้นกูกลับละนะ” ผมโยนเป้ตัวเองคล้องไหล่ข้างหนึ่งและหมุนตัวไปทางประตู

ภาพที่ผมเห็นในตอนที่เปิดประตูออกมาคือ สภาพใกล้เคียงกับช่วงเช้าคือ ผู้คนเหลืออยู่เพียงน้อยนิด และแสงไฟจากหลอดนีออนบนเพดานที่เปิดอยู่ตามจุดต่างๆ ที่คนยังนั่งอยู่

“Work life balance สินะ” ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ

“Work life balance กับผีน่ะสิ วันนี้เจ้านายใหญ่ไม่อยู่ต่างหาก ไม่มีใครค่อยสั่งงานเสริมช่วงบ่าย ทุกคนก็เลยถือโอกาสกลับกันตรงเวลาหน่อย ไม่อย่างนั้นอยู่กันยาวเลย” เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง

“อ้อ ที่เห็นรีบร้อนกลับกันเพราะแบบนี้สินะ เฮ้ย!! เดี๋ยว มึงจะกลับแล้วเหรอ?” ผมตกใจเมื่อหันไปเห็นอีกคนหิ้วกระเป๋าเบรนด์ชื่อดัง ใบจิ๋วคาดลำตัวพร้อมที่จะกลับบ้าน

“เงินก็ไม่ได้กูจะอยู่ทำไม?” กวนประสาทกันไม่หยุด นี่มันจะพูดดีๆ กับเราไม่ได้เลยเรอะ

ผมพยักหน้าแล้วเดินออกไปทางประตูหลัก พบว่าพี่เชอรี่เองก็ไม่อยู่เสียแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเลยเดินก้าวเท้าไปอีกหน่อยก็พบคนรออยู่หน้าลิฟต์หลายคน แต่ละคนต่างเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ หรือเวลาในโทรศัพท์เป็นระยะๆ

“ดูจากจำนวนคนแล้ว ท่าทางนานแน่เลย” ผมบ่นกับตัวเอง

“ปกตินะ ที่นี่รอลิฟต์ไม่ต่ำกว่า 15 นาทีอยู่แล้ว” ไอ้เพื่อนไม่พึงประสงค์เอ่ยขึ้นมาเหมือนผมคุยกับมัน

แต่ผมก็ไม่ต่อความอะไรยืนนิ่งรออย่างตั้งใจ

20 นาทีผ่านไป ขาผมเริ่มล้าและเริ่มท้อแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ขึ้นลิฟต์เสียที หากไม่คิดที่ผมอยู่ชั้นที่ 22 ผมคงเดินลงไปแล้ว

ผมเดาะลิ้นด้วยความหงุดหงิด และเริ่มยืนแกว่งแขนไปมาแก้เบื่อ

“วิน! ตามกูมา!!” คอปเตอร์สะกิดไหล่ผม แต่ให้ความรู้สึกเหมือนจิ้มมากกว่า

ผมหันไปทางต้นเสียงและเห็นไอ้คอปเตอร์ที่เดินไปอีกทางหันมากวักมือเรียกผมอย่างเอาแต่ใจ

ผมหันไปทำหน้านิ่วใส่มันและทำปากถามกลับไปประมาณว่า ‘อะไร?’

มันขยับปากกลับมาทำนองว่า ‘ไม่ต้องถาม ตามกูมา’

ผมที่อยู่ท้ายแถวและรอจนเริ่มเหนื่อยหน่ายแล้ว ก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจและเดินตามมันไปในที่สุด

ไอ้คอปเตอร์พยักหน้าให้ผมตามเข้าไปในประตูอีกบานซึ่งเชื่อมต่อกลับเข้าไปในออฟฟิศ เช่นเดิมประตูนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการสแกนนิ้วมือถึงจะสามารถเข้าไปได้

ผมประหลาดอีกครั้งที่นิ้วของไอ้เพื่อนไม่สนิทคนนี้สามารถเข้าออกประตูได้ทุกที่เลยหรืออย่างไร?

“ไปไหนเนี่ย?” ผมถามทันทีเมื่อถูกพาไปทางอีกด้านของทางเข้าออฟฟิศปกติ และเข้าไปลึกกว่าผมที่มองเห็น

“ก็จะพาลงไปด้านล่างไง”  เวลาที่ไอ้คอปเตอร์มันพูดโดยไม่มองหน้าคนสนทนาอย่างผมเนี่ย รู้สึกใจไม่ค่อยดีขึ้นมาเลย

คือแทนที่มันจะพาลงบันได หรืออะไร แต่นี่มันพาไปคนละทางชนิดที่เดาไม่ออกเลยว่าข้างในจะเจอกับอะไร

มันคงไม่พาผมไปขังไว้ทั้งคืนเพื่อแกล้งหรอกใช่ไหมเนี่ย?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฝีเท้าผมก็สั่นและช้าลงไปในทันที

“ทำตัวเป็นสาวน้อยไปได้ กูไม่พามึงไปข่มขืนหรอก!!” ไอ้คอปเตอร์มันหันกลับมา คล้ายว่ามันรู้สึกได้ถึงการทิ้งห่างของผมกับมัน

“แล้วทางนี้มันจะลงไปได้ยังไงวะ เห็นแต่ห้องทำงานเต็มไปหมด” ผมเถียงแบบสู้ชีวิต จะให้มันรู้ว่าเรากลัวไม่ได้

“มึงเพิ่งมาวันแรกอย่ามาทำรู้ดี” ไอ้คอปเตอร์เดินสวนกลับมาจับมือผมลากไปในทิศทางที่มันต้องการ

มือที่จับแน่นจนผมดิ้นไม่หลุด ผมได้แต่ทำใจเดินตามมันไป แม้จะพยายามขืนตัวบ้าง แต่แรงช้างสารอย่างมัน ผมสู้ไม่ได้จริง ยิ่งรู้สึกได้ถึงความร้อนจากมือของมัน และเหงื่อในกำมือของมัน ผมยิ่งรู้สึกอยากอาบน้ำ

จากการถูกลากมาได้พักใหญ่ ผมก็ถูกลากจนเดินมาถึงประตูอีกฝากหนึ่งที่จงใจสร้างอย่างไม่เปิดเผยเท่าไหร่ และอีกเช่นกัน อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยด้วยระบบลายนิ้วมือ

ปี๊บ

เสียงอุปกรณ์นั้นดังมาพร้อมกับเสียงปลดล็อก ถึงตรงนี้ผมก็ยังประหลาดใจอยู่นะ มันเป็นแฮกเกอร์หรือ เจ้าของบริษัทวะ

ประตูเปิดอ้าออกเผยให้เห็นลิฟท์อีกสองตัวขนาดย่อม

มันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? เป็นคำถามที่เกิดขี้นในใจ


“รีบไม่ใช่เหรอ? เข้าไปสิ” ไอ้คนที่มีหน้ากวนบาทาตั้งแต่เกิด พยักหน้าไปทางประตูลิฟต์ที่กำลังจะเปิด

ผมได้ได้อึ้งจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ถูกมือหยาบใหญ่ของไอ้คอปเตอร์คว้าจับที่แขนและจูงลากเข้าไปโดยกำลัง

เท้าของผมเซตามแรงดึงเข้ามาอยู่ในลิฟต์ที่มีขนาดจุได้เต็มที่ก็ 5 คน ด้วยความตกใจรู้ตัวอีกทีประตูลิฟต์ก็เลื่อนปิดพร้อมกับเสียงฮัมเบาๆของเครื่องยนต์ ลิฟท์ที่เหมือนนิ่งสนิทได้แสดงภาพที่จอมอนิเตอร์ขนาดเล็กที่มุมของบานประตูลิฟต์ ทำให้เห็นว่าลิฟท์ตัวนี้เคลื่อนที่ลงสู่ชั้นล่างได้เร็วผิดกับเสียงที่เกือบจะเรียกได้ว่าเงียบสนิท

“โห!!” ผมร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นพลางก้าวไปขนาบข้างไอ้คนขี้เก็กที่ยืนล้วงกระเป๋ามองมอนิเตอร์นิ่งเงียบ

พั่บ!!

เท้าที่ก้าวออกมาทรงตัวได้ลำบากกว่าที่คิด เข่าของผมอ่อนแรงจนเซพับไปทางคนที่ยืนเป็นรูปปั้นอยู่ข้างๆ

“ยืนนิ่งๆ ดีกว่านะ เห็นมันนิ่งๆ เงียบๆ น่ะ แต่มันเคลื่อนด้วยความเร็วสูงอยู่นะ ร่างกายน่าจะปรับตัวได้ลำบาก แนะนำให้ยืนหายใจอยู่นิ่ง ๆ จนกว่าเครื่องจะชะลอความเร็วดีกว่านะ”

ไอ้คอปเตอร์คว้าแขนผมไว้อย่างพอเหมาะ ทำให้ผมทรงตัวได้ทันท่วงที หน้านิ่งแบบนั้นมันคิดจะแกล้งผมจริงๆ สินะ ผมคิด

“เออ! รู้แล้ว ปล่อยกูได้แล้ว” ผมรู้สึกหัวเสียเล็กน้อย ไม่สิ มึนๆ หัวมากกว่า

ไอ้คอปเตอร์มันกลับนิ่งไม่ตอบและยังคงยึดแขนผมไว้แน่นเหมือนเดิม

“ปล่อยกูไง!!” ผมพยายามขัดขืน

“มึงแน่ใจนะ!” มันพูดเสียงแข็งแต่ไม่แม้แต่จะหันหน้ามามองผมด้วยซ้ำ

แต่คำพูดของมันทำให้ผมได้กลับมาสำรวจตัวเอง ผมรู้สึกได้เลยว่า แข้งขาผมมันอ่อนแรงจริงๆ ผมมองไปที่เงาสะท้อนตามผนังลิฟท์ พบว่าตัวเองหน้าซีดลงไปมาก

ผมจึงเลิกขัดขืนยืนนิ่ง ๆ ให้มันช่วยประคองผมจนกระทั้งลิฟท์แจ้งเตือนเป็นเสียงหญิงสาวอันไพเราะว่าได้ลดความเร็วลงแล้ว และกำลังจะถึงจุดหมายในไม่ช้า

จริงดังนั้น 5 วินาทีเท่านั้นบานประตูลิฟต์ก็เปิดกว้างออก แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมคือ มือของคอปเตอร์ที่ยังคงเกาะกุมแขนของผมแน่น

“เอ่อ…ปล่อยได้แล้วมั้ง” ผมเอ่ยทักขึ้น

“มึงโอเคแล้ว?”

“เออ กูโอเค”

จบประโยคมันก็ปล่อยผมทันทีและก้าวเดินออกจากลิฟต์แบบไม่รอกัน ส่วนผมที่หายหน้ามืดแล้วก็ตามออกมาทันที

ลิฟท์ตัวนี้มาส่งถึงลานจอดรถชั้นใต้ดิน แล้วที่ทำให้ผมรู้สึกมึนงงไปหมด เพราะไม่เคยมาแถวนี้เลย มองซ้ายและขวาก็ไม่คุ้นเคย ส่วนไอ้คนที่พามาคือ หายสาบสูญไปแล้ว

นี่คือผมโดนผีหลอกหรือเปล่าเนี่ย?

บรรยากาศในลานจอดเวลานี้มันช่าง….. วังเวงจนผมรู้สึกเย็นวูบไปทั่วสันหลัง ผมทำได้แค่เดินออกจากช่องรอลิฟต์พลางมองหาทางออกนอกอาคาร ด้วยความที่แสงสลัวผมจึงทำได้แค่เพ่งมองอย่างหมดหวัง

ผมตัดสินใจหันหน้าไปทางขวาเพื่อสุ่มเส้นทางที่จะออกจากที่นี่ ทันใดนั้นเอง แสงไฟจากหน้ารถคันหนึ่งก็ส่องวาบเข้ามาทางด้านหลัง และเสียงรถเบรกจอดอย่างกระทันหันที่ด้านข้างของผม

ผมตกใจหันไปเจอรถตู้โดยสารขนาดกลาง รูปร่างสวยหรูหรากว่าทั่วไป แล้วบานประตูรถขนาดใหญ่ก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออกมา เผยให้เห็นผู้บริหารหนุ่มสุดหล่อ ในชุดสูทแบบเต็มยศก้าวลงมาพร้อมสีหน้าประหลาดใจที่เจอผมในสถานที่นี้

“เห็นใส่ชุดนักศึกษาก็นึกว่าเป็นคอปเตอร์” คำพูดที่ชวนขนลุกแบบนั้นเอ่ยออกมาจากปากรูปกระจับสวยสีชมพูเรื่อ

ผมไม่ได้อยากเหมือนไอ้บ้านั่นเสียหน่อย ผมคิด แต่หน้ากลับทำได้แค่ยิ้มตอบ

“ขอโทษนะครับ ทางออกไปทางไหนครับ?” ผมเอ่ยถามอย่างสุภาพ

“เดี๋ยวนะ! มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงน่ะ?” อีกฝ่ายตอบโดยใช้คำถาม

“คือ…คอปเตอร์…” เจอสถานการณ์แบบนี้ก็คงต้องพูดตามตรง

“โอเค เข้าใจแล้ว  แปลกนะ แปลกนะเนี่ย” คุณร็อคเก็ต เอ่ยขึ้นเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับผม

“ทำไมเหรอครับ?” ผมถามกลับแบบไม่คิดตามประสา

“ก็ที่นี่น่ะ…”

ปี๊ปๆๆๆ

เสียงบีบแตรจากรถสปอร์ตคันหรู ที่มาจอดเทียบรถตู้ทำให้คุณร็อคเก็ตเบี่ยงความสนใจไปทางต้นเสียงนั้น

“ขึ้นรถ!!” ไอ้คอปเตอร์มันเปิดกระจกรถลงแล้วตะโกนเรียกผมเสียงดังลั่น

“หา!!”

“มึงจะกลับบ้านไหม?”

“กลับสิ!”

“กลับก็ขึ้นรถ เดี๋ยวกูพาออกจากนี่!!”

“โอเคๆ ไปด้วย”

จบประโยคผมยกมือไหว้ลาผู้บริหารตรงหน้าแล้ววิ่งผ่านหน้าเขาไปขึ้นรถสปอร์ตคันหรูที่จอดเทียบอยู่

เพียงแค่ก้นสัมผัสเบาะและประตูรถปิดลง รถก็ทะยานออกจากจุดเดิมด้วยความรวดเร็ว ผมที่ตั้งตัวไม่ทันถึงกับทรงตัวไม่อยู่

“คาดเข็มขัดด้วย!!” เจ้าของรถออกคำสั่ง

“มีเวลาให้กูไหมล่ะ!!” ผมสวนมันไปด้วยความโมโห


ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมเห็นมันหัวเราะชอบใจในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

ไม่นานรถก็ถูกขับเคลื่อนออกมาสู่ถนนใหญ่หน้าอาคารสูงที่เป็นสำนักงานใหญ่ โดนผ่านประตูกั้นที่มีระบบรักษาความปลอดภัยไม่ต่างจากภายในอาคารเมื่อครู่

เอาเข้าจริงผมก็สงสัยนะ แต่คิดว่าไม่รู้จะถามมันทำไมเพราะไม่ต้องการจะสนิทสนมกับมันเท่าไหร่ มีพี่ชายเป็นผู้บริหารระดับนั้นก็คงไม่แปลกมั้ง

“บ้านมึงอยู่ไหน?” ไอ้คอปเตอร์มันจอดรถที่หน้าอาคารตามที่มันเคยบอกไว้ว่าจะมาส่งตรงนี้

“พักอยู่หอแถวมหาวิทยาลัยน่ะ ใกล้ที่นี่มากกว่าที่บ้าน” พูดจบผมก็คิดอยากตบปากตัวเอง เผลอพูดเรื่องตัวเองมากไปแล้ว

“อืม…. แถวถนนxxx ใช่ไหม?”  มันทำท่าคิดตรึกตรองแล้วเอ่ยขึ้นมาลอยๆ

ผมพยักหน้าแล้วถามขี้นอย่างสงสัย “ทำไมหรือ?”

“ทางผ่านบ้านกู” คอปเตอร์พูดจบก็เข้าเกียร์ D แล้วส่งรถพุ่งทะยานออกจากจุดจอดรถทันที

“เฮ้ยๆ ขับไปไหน? ตรงนี้มันใกล้ป้ายรถเมล์มากกว่า” ผมพูดลนลานอย่างตกใจ

ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหน จะหาเรื่องแกล้งผมอีกไหม?

“ก็บอกว่าทางผ่าน กูจะไปส่ง!!”

……………..
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (3-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 03-09-2023 17:13:33
 :z6:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 1 Onboard (3-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 03-09-2023 21:42:43
มาต่อไวๆน๊าาาาา :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 2 Not a friend (9-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 09-09-2023 10:56:15
บทที่ 2 ใครเพื่อนแก!!


เข้าวันนี้ผมเตรียมตัวมาดี ทำให้มาถึงที่ฝึกงานก่อนเวลาทำงานไม่นาน ต่างจากเมื่อวาน รู้สึกตัวเองมีเวลานอนมากขึ้น คุ้นเคยกับเส้นทางมาทำงานมากขึ้น

แต่เรื่องที่ไม่คุ้นเลยคือ เรื่องที่ไอ้คอปเตอร์มันไปส่งผมถึงหน้าหอพัก ด้วยความเร็วที่ผมไม่มีทางเหยียบคันเร่งถึงแน่นอน ผมถึงกับออกปากกับมันไปว่า

“ถนนทางหลวงนะ ไม่ใช่สนามแข่งรถ”

นอกจากมันจะไม่ตอบแล้ว มันยังขับเร็วเหมือนสิ่งที่เตือนไปไม่ได้เข้าหูมันเลยสักนิด  ผมทำได้แค่นั่งกอดเข็มขัดนิรภัยแน่น และลุ้นว่ามันจะขับรถเสยก้นรถคันด้านหน้าหรือเปล่า

แค่คิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อวานก็ทำให้ผะอึดผะอมจนอยากจะอาเจียนเสียแล้ว

“อ้าว!! น้องวิน สีหน้าไม่ดีเลย ไม่สบายเหรอ?” พี่ท้อป ที่เดินเข้ามาทักผมในห้องพร้อมกับลากกล่องเอกสารหนึ่งกล่องใหญ่มาด้วย

“เปล่าครับ สบายดีครับ” ผมตอบพร้อมยิ้มอ่อนๆ กลับไป

“พี่ฝากทำงานต่อนะ ทำเหมือนเมื่อวานนี่แหละ ขอบใจนะ” พี่ท้อป ลากกล่องเอกสารมาวางด้านหน้าผม พร้อมยิ้มหวานให้

ผมทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ เพื่อแลกกับประสบการณ์การทำงานที่นี่ มันก็จะมาพร้อมงานหนักแบบนี้ ผมไม่ได้เกี่ยงงานนะ แต่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันน่าเบื่อไปหน่อย ผิดกับที่คาดการณ์ไว้โขเลย

“เมื่อวานกลับดึกหรือเปล่า มาฝึกงานน่ะ ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกนะ งานไม่เสร็จก็มาทำวันนี้ต่อ พี่ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” พี่ท้อปมีสีหน้ากังวลเล็กน้อยแฝงอยู่

“ผมเสร็จปึกนั้นตามที่บอกพี่ ผมก็กลับเลยครับ แต่ที่กลับช้ากว่าที่คิดเพราะรอลิฟต์นานนี่แหละครับ”

“เฮ้ย!  ปกติแหละ ช่วงเลิกงานนี่อย่างพีค บางวันมันก็เสียด้วยนะ  พวกพี่ก็เลยรีบกลับไง”

“โห…จริงง่ะพี่ แต่โชคดีนะที่ไอ้….เอ่อ… คอปเตอร์เขาช่วยพาลงลิฟต์ด้านหลังที่ไปลานจอดรถได้เลย”

“ลิฟท์ด้านหลัง?”

“ก็ที่อยู่ตรงห้องด้านในน่ะครับ” ผมพูดพร้อมชี้ไปยังจุดที่ลิฟต์ตั้งอยู่

“ตรงนั้นมัน…. เออ!  ช่างเถอะ แล้วกลับบ้านยังไงล่ะ  ดึกๆ แถวนี้หารถยากนะ”

“คอปเตอร์บอกว่าทางผ่านกลับบ้านเขาน่ะครับ ก็เลยอาสาไปส่ง” ผมไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอาสาหรือบังคับดี

“ทางผ่าน!?!”

“ทำไมเหรอครับ?” ผมถามกลับทันทีเพราะสีหน้าพี่ท้อปดูประหลาดใจอย่างแสดงออกจนผมรู้สึกตกใจ

อะแฮ่ม!!

เสียงกระแอมของใครสักคนดังขึ้นมาจากทางหลังพี่ท้อป

“อ้าว!! น้องคอปเตอร์” พี่ท้อปหันไปทักคนด้านหลังด้วยท่าทางขัดเขิน

อีกฝ่ายนอกจากจะไม่ตอบแล้วยังผายมือขอทางผ่านจากอีกฝ่าย พี่ท้อปเองก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวไปทางซ้ายเพื่อเปิดทางให้อีกคนเดินเข้ามาในห้อง

“เมื่อกี้ พี่เรียกชื่อผม มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ?” ไอ้คอปเตอร์ที่วางท่าใหญ่โตเหวี่ยงกระเป๋าเป้หนังแคนวาสสีดำ ยี่ห้อหรูลงบนเก้าอี้ตนเองอย่างไม่ทะนุถนอม (สงสารน้อง)

“ไม่นะ พี่ไม่ได้เอ่ยถึงนะ พี่คุยกับน้องวินเรื่องเมื่อวานเท่านั้นเอง” พี่ท้อปมีท่าทีลนลานแปลกๆ

“กูเองที่เอ่ยชื่อมึงน่ะ” ผมยกมือยอมรับ

ไอ้คอปเตอร์ที่เริ่มตาขวางหันมามองทางผมเล็กน้อย แล้วก็เลิกสนใจพี่ท้อปที่ยืนยิ้มเฝื่อนอยู่ตรงประตู

จะว่าไป ผมเองก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่จะให้พี่ท้อปที่ไม่ได้พูดเป็นแพะก็เกินไป (แล้วทำไมพี่ท้อปต้องกลัวมันขนาดนี้)

“พี่ท้อปให้ผมช่วยยกเอกสารเข้ามาไหมครับ?” ไอ้คอปเตอร์เสนอตัวเองช่วยเหลืออีกฝ่าย พี่ท้อปที่ได้ยินมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่มีครับ พี่ยกมาให้น้องวินทำงานต่อจากเมื่อวานน่ะ แค่นี้เอง” พูดจบก็ใช้กำลังลากอีกกล่องมาวางข้างโต๊ะทำงานผม

“เมื่อวานไอ้วินมันยังทำไม่เสร็จเลย ให้ผมช่วยด้วยไหมครับ?” ครั้งที่สองที่มันเอ่ยให้ความช่วยเหลือ


รู้สึกไม่คุ้นเลย ไม่เจอมันหลายปี นี่มันเปลี่ยนไปขนาดนี้เลย?


“เฮ้ย ได้ยังไง พี่เอก ผู้จัดการพี่เขาต้องเป็นคนมอบหมายเอง พี่ไม่ขอยุ่งกับเราดีกว่านะ แต่ก็ขอบคุณนะ” พี่ท้อปมีท่าทางเกรงใจ

“ก็ไม่เคยเห็นได้งานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง!” ไอ้คอปเตอร์ที่บ่นอุบอิบก่อนจะทิ้งตัวลงไปพิงพนักเก้าอี้เต็มแรง

“พี่เขียนโน้ตไว้หมดแล้วนะ หากไม่เข้าใจอะไรมาถามพี่นะ” พูดจบพี่ท้อปก็เดินจากไปทันที ผมยังไม่ทันได้อ่านโน้ตน้อยๆ ที่ติดอยู่เลย

“ว่าไง ให้กูช่วยไหม?” ไอ้คอปเตอร์ที่เหมือนกินอะไรผิดสำแดง ถามผมด้วยตนเอง

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวลองทำเองก่อน หากไม่ไหว แล้วจะบอก” ผมยิ้มตอบกลับไป

อีกฝ่ายได้แต่ทำหน้านิ่งตอบกลับมา และหันไปสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ตนเองทันที

แน่นอนว่าผมอยากให้ช่วยนะ แต่ผมคงอึดอัดที่ต้องทำงานกับมัน บอกตามตรงหน้ามันผมยังไม่อยากจะมองเลย แล้วต้องมานั่งทำงานกับมันนี่ผมไม่เอาหรอก

ช่วงเช้าเป็นช่วงที่ผมตั้งใจเคลียร์งานของเมื่อวานให้หมดจะได้เริ่มของใหม่เสียที แต่จนแล้วจนรอด เกือบเที่ยงแล้วผมถึงได้จัดการกองเอกสารเมื่อวานเสร็จ ทำไมที่นี่ฝึกงานโหดขนาดนี้นะ

พี่ท้อปเดินเข้ามาทักทายและชวนผมไปกินข้าวด้วยกันเพราะวันนี้ภรรยาไม่ได้เตรียมมื้อเที่ยงมาให้

แน่นอนว่าผมดีใจจนออกนอกหน้า

“เดี๋ยวผมพาไปเองครับ” ไอ้คอปเตอร์ มันพูดแทรกขึ้น ทำให้พี่ท้อปยอมให้กับมันแบบไม่มีข้อกังขาใดๆ

“งั้นพี่ฝากน้องวินด้วยนะ” พี่ท้อปเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินหายไป

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปกินกับพี่ดีกว่า เกรงใจน่ะ” ผมแทรกขึ้นมาตามหลัง

“แต่กูจองที่ไว้แล้ว!!” ไอ้คอปเตอร์สวนกลับมาเสียงแข็ง

ผมที่มองหาตัวช่วยอย่างพี่ท้อป ก็คือ หายสาปสูญจาดจุดเดิมไปแล้ว ผมรู้นะว่าไอ้คอปเตอร์มันมีพี่ชายเป็นผู้บริหาร แต่ทำไมต้องกลัวมันขนาดนี้ด้วยนะ



สุดท้ายวันนี้ผมก็โดนมันลากมากินชั้น VIP เหมือนเดิม คราวนี้ที่แปลกไปคือ คนที่มากินมื้อเที่ยงที่นี่ก็มีแต่คนแปลกหน้าและคนต่างชาติทั้งนั้น

ผมรู้สึกประหลาดใจมากจึงได้เอ่ยปากถามคนที่ผมเกลียดขี้หน้าออกไป (อยากตีปากตัวเองที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด)

“ทำไมวันนี้คนต่างชาติเยอะจัง”

“บางที่ไอ้ร็อคมันก็พาลูกค้ามา Lunch meeting ที่นี่น่ะ”

“มึงเรียกพี่ชายว่า ‘ไอ้’ กลางบริษัทเลยเนี่ยนะ” ผมเริ่มรู้สึกไม่ชอบนิสัยแบบนี้ของมันขึ้นทุกที

“กูบอกแล้วไงว่ากูเป็นลูกคนเดียว”

“เออ! กูไม่เถียงกับมึงแล้ว” พอกันที ยิ่นเสวนาด้วยยิ่งหงุดหงิด ทำใจทำตัวเป็นเพื่อนกับมันไม่ลงจริงๆ

บรรยากาศที่นั่งอีกฝั่งทำให้ผมได้แต่รู้สึกทึ่งกับความเทพของผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ขนาดมื้อเที่ยงก็ยังทำงานได้ด้วย การพูดภาษาอังกฤษแบบเจ้าของภาษา ความมีเสน่ห์ในการสื่อสาร และสุดท้ายก็ปิดงานได้อย่างสมบูรณ์ ทุกคนมีรอยยิ้มมีความสุขผ่อนคลายในการกินมื้อเที่ยง

สายตาที่ผมมองพี่ร็อคเก็ต คงไปโดนใจไอ้เพื่อนร่วมโต๊ะเข้า มันเลยได้แต่ทำเสียงเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจแบบเนืองๆ จนผมอดที่จะรำคาญและแอบมองค้อนใส่มันไม่ได้ ถึงแม้สีหน้ามันจะน่ากลัวก็เถอะ แต่ในสถานที่เปิดแบบนี้ มันคงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงแน่นอน


“อ้าว! เจอกันอีกแล้ว” พี่ร็อคเก็ตเดิมเข้ามาทักหลังจากที่ปรายตามาเจอผมที่กำลังมองอย่างชื่นชมและสบตากันพอดี

“ครับ พี่…..เอ่อ….คุณร็อคเก็ต…” ผมที่เผลอเรียกอย่างสนิทสนมด้วยความติดเป็นนิสัย เพื่อนเคยเตือนอยู่ว่า อย่าเอานิสัยแบบนี้มาทำในที่ทำงาน

“เรียกพี่เถอะ ก็เป็นเพื่อนคอปเตอร์นี่นะ”

ผมที่ทำหน้ายิ้มเฝื่อนตอบไป ยินดีที่พี่ร็อคเก็ตไม่ถือสา และไม่ยินดีที่กลายเป็นเพื่อนกับไอ้ตนหน้าบอกบุญไม่รับที่ร่วมโต๊ะด้วย

“อาหารที่นี่อร่อยนะ ชอบไหม?” พี่ร็อคเก็ตถามด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์

“อร่อยครับ อร่อยมาก แต่เกรงใจจัง ทราบว่าเป็นพื้นที่ VIP”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่ให้ HR ใส่ชื่อเราลงไปในรายชื่อคนที่มีสิทธิ์แล้ว ก็คอปเตอร์น่าจะพามาเป็นประจำ รู้ไหม น้องเป็นคนแรกเลยนะที่เจ้าคอปเตอร์พามาหากไม่รวมเพื่อนซี้อย่างเจ้าวศิน…..”

“เสือกไม่เข้าเรื่อง มากับกู กูก็พามันเข้ามาได้!” ไอ้นักเลงที่ผมมาด้วยเค้นเสียงออกมาเชิงบ่นให้พี่ชายตนเองได้ยินแทรกประโยคที่เหมือนจะพูดไม่จบ

“ก็ตามนั้นแต่แบบนี้สะดวกกว่านะ งั้นพี่ไปก่อนนะมีประชุมตอนบ่ายโมงน่ะ” พี่ร็อคเก็ตยิ้มหวานแล้วเดินจากไปในชุดสูทสีเทาของอาร์มานี่

ผมหันมามองหน้าไอ้คนตาขวางที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยความเวทนา ทำไมไม่เอาสิ่งดีๆ เข้ามาในดีเอ็นเอตัวเองบ้างเลยวะ

ในที่สุดช่วงบ่ายผมก็สามารถทำงานที่ค้างอยู่ได้เสร็จสมบูรณ์ เอกสารที่ต้องบันทึกข้อมูลลงระบบถูกจัดเก็บเข้าแฟ้มเอกสารและชั้นวางเรียบร้อย

ผมมองดูชั้นเอกสารที่เป็นระเบียบอย่างภูมิใจจนเผลอยิ้มออกมา

“มันควรจะมีระบบการทำงานที่ดีกว่านี่หรือเปล่าวะ เอกสารที่เป็นกระดาษมันเยอะเกินไปไหม?” เสียงจากเพื่อนร่วมห้องที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานสถิติกิ๊กๆ ก๊อกๆ ไปวันได้กล่าวขึ้นมาทำลายบรรยากาศแห่งความภูมิใจของผม

“กูรู้!! แต่ระบบงานที่มีอยู่มันก็ไม่ได้แย่ เท่าที่กูทราบ ที่รับกูเข้ามาเพราะจะเข้ามา Transformation นี่แหละ” ผมตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด

แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นรอยยิ้มแปลกๆ ของมันอีกครั้ง ด้วยความทำตัวไม่ถูก ผมจึงรีบหันไปจัดการกับกองเอกสารอีกกล่องมี่เพิ่งมาใหม่

ผมสังเกตเห็นว่ามีกระดาษขนาดเอสี่ ที่เขียนกระบวนการทำงานหยุกหยักเต็มหน้า และทิ้งท้ายเอกสารไว้ว่า ‘หากไม่เข้าใจให้เดินมาถามพี่ที่โต๊ะ’

แน่นอนว่าหลังจากอ่านลายมือไก่เขี่ยบนกระดาษแผ่นนั้นจบ ผมไม่รอช้าที่จะเดินไปหาพี่ท้อปพร้อมกระดาษแผ่นนั่น

“พี่ครับ ผมไม่เข้าใจที่พี่เขียนเลย” ผมชูกระดาษขึ้นสูงให้ท้อปเห็นชัดเจน

“พี่ก็รออยู่!! ไม่รู้ก็ไม่แปลกก็พี่ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น” พี่ท้อปกวักมือเรียกให้ผมขยับไปใกล้

“หา!!” ผมได้แต่อุทานกับท่าทีของผู้ใหญ่คนหนึ่ง

“พี่ถามหน่อยนะ ช่วยเล่าเรื่องเมื่อวานให้ละเอียดหน่อยได้ไหม?” พี่ท้อปที่ทำหน้าอยากรู้อยากเห็นจนเกินเบอร์ ทำให้ผมรู้สึกว่าน่าจะไม่เกี่ยวกับเรื่องงานแล้ว

“เรื่องไหนครับ?” ผมทำหน้าเบลอใส่

“เรื่องตอนกลับบ้านเมื่อวานไง” พูดไปก็ชี้เข้าไปด้านในออฟฟิศไปด้วย หลังจากที่ผมมองตามไปทางนิ้วที่ชี้ไปก็เข้าใจ

ระหว่างที่พี่ท้อปรอผมเริ่มพูด พี่แกก็ก็เคาะผนังกั้นโต๊ะข้างๆ เพื่อเรียกเพื่อนให้มาฟังด้วย ทำเอาผมถึงกับเบิกตาประหลาดใจกับอากัปกิริยาแบบนี้ของพี่ๆ

นี่ผมกำลังโดนสอบสวนเหรอเนี่ย แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรก็เลยพยายามเล่าเรื่องเท่าที่คิดออก และยกเว้นเรื่องความรู้สึกที่ผมมีต่อไอ้คอปเตอร์ จะให้บอกว่าเกลียดมันเพราะเรื่องในอดีตก็ดูจะไม่ดีใช่ไหมล่ะครับ

“แปลกเหรอครับ?” ผมถามทิ้งท้ายประโยค

“แปลก!! แปลกมาก!!” พี่ท้อปและผองเพื่อนที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพูดพร้อมกัน

“น้องรู้ไหม พี่ทำงานมาเป็นปียังไม่รู้เลยว่าอีกฝากหนึ่งของประตูนั่นคืออะไร?” พี่สาวตัวเล็กตาโตผมยาวได้พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น

“เหรอ..ครับ” ผมแสดงออกด้วยท่าทางค่อนข้างไม่เข้าใจ ถึงจะรู้ว่าไอ้คอปเตอร์มันพิเศษแต่ไม่คิดว่าจะพิเศษระดับนี้

“ก็มีแต่ผู้บริหารระดับสูงกับเจ้าของบริษัทเท่านั้นแหละถึงจะเข้าไปได้” พี่ท้อปเสริม

“มันก็แต่ลิฟท์เองนะครับ ถึงจะแน่นหนามากก็เถอะ” ผมทบทวนเรื่องเมื่อวานไปด้วยระหว่างพูด

“พี่ไปสืบมาแล้วว่า ลิฟท์นั้นเป็นลิฟท์เฉพาะที่สามารถเข้าถึงได้เฉพาะบางคน และ จะกดไปแต่ละชั้นได้ต้องใช้คีย์การ์ดเท่านั้น! และรู้ไหมว่าทำไม ลิฟท์นั้นถึงพิเศษ!!” พี่ท้อปพูดด้วยอาการตื่นเต้น

ผมได้แต่ตั้งใจและเพลินไปกับอากัปกิริยาของพี่ท้อปและผองเพื่อนที่เล่นใหญ่ไม่น้อยเลย แต่เชื่อไหมครับว่า เสียงเงียบมากเหมือนเล่นละครใบ้กันเลย

“มันไปถึงชั้นจอดรถวีไอพี่ได้มั้งครับ” ผมตอบหน้านิ่ง พยายามข่มใจไม่ให้ขำกับภาพตรงหน้า

“เอ่อ….มันก็ใช่ แต่นั่นมันธรรมดาไป!! ลิฟท์นั้นสามารถไปถึงชั้น เพนต์เฮ้าส์ได้น่ะสิ” พี่ท้อปพูดเสร็จก็หันไปหาเพื่อนๆ ที่มีอาการหวีดว้ายในใจ

“ข่าวลือนั่นก็จริงสิ!!” พี่ผู้ชายอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมยกมือทาบอก ในขณะที่คนอื่น ๆ ในกลุ่มต่างพยักเห็นด้วยพร้อมกับเสียงฮึมฮัมเบาๆ

“อธิบายหน่อยได้ไหมครับ?” ผมยกมือขึ้นเสมอหน้าอกเพื่อเรียกความสนใจ

“อันนี้ก็จะเข้าสู่คำถามถัดไป… คุณคอปเตอร์อาสาไปส่งน้องวินที่หอพักใช่ไหม?” พี่ท้อปใช้คำถามเป็นคำตอบ

“ใช่… ก็มันบอกว่าทางผ่าน” ผมกลืนความสงสัยเรื่องสรรพนามนำหน้าที่ไอ้คอปเตอร์ว่า ‘คุณ’ ไว้ในใจก่อน

“โอเค” พี่ท้อปไม่ตอบ แต่หันไปหาเพื่อนที่ล้อมวงกันอยู่

ผมได้แต่หันไปมองรอบๆ อย่างตื่นๆ และสงสัย เผือกร้อนในอกมันร้อนรนจนแทบจะยืนนิ่งๆ ไม่ได้

“เพนต์เฮ้าส์ที่พี่พูดถึงน่ะ ก็คือบ้านที่อยู่อาศัยของตระกูล ‘เตชาพิทักษ์’ ไงล่ะ” พี่ท้อปขยับร่างท้วมๆ เข้ามาใกล้ขึ้นและกระซิบ

ผมพยายามนึกว่าหมายถึงอะไร

พี่ท้อปส่ายพร้อมเฉลย

“ก็บ้านของคุณร็อคเก็ตกับคุณคอปเตอร์นี่แหละ พวกเขาอาศัยกันที่ สองชั้นบนสุดของตึกนี้!!”

ผมได้แต่ร้องตกใจกับความจริง

……….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 2 Not a friend (9-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 09-09-2023 22:15:18
 :a5: o22
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 2 Not a friend (9-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 12-09-2023 22:02:35
น้องวินช็อคเลย :a5: o22 :laugh:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 2 Not a friend (19-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 18-09-2023 12:08:50

เพราะไอ้พี่ท้อปนี่แหละทำให้ผมคิดมาก แทบจะไม่มีสมาธิทำงานช่วงบ่ายเลย โดยเฉพาะเมื่อมีไอ้คุณคอปเตอร์นั่งอยู่ข้างๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่พี่เอก ผู้จัดการสุดหล่อ เดินมามอบหมายงานเบาๆ ให้กับไอ้คุณคอปเตอร์มัน

ที่ผมคิดว่ามันเป็นงานที่ง่ายเพราะเห็นมันทำกุกๆ กักๆ เพียงไม่กี่นาทีมันก็มานั่งถอนหายใจอย่างหน่ายๆอยู่ข้างผมนี่

“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้กูช่วย?” คำถามที่ออกจากฝีปากยียวนของไอ้คอปเตอร์

ผมยังคงปฏิเสธต่อไป เพราะคิดไม่ตกว่ามันจะมาไม่ไหน ไอ้คนนิสัยไม่ดีอย่างมัน คงไม่ได้หวังดีอย่างกับคนทั่วไปแน่นอน

เพราะไอ้ความคิดเหล่านี้แหละ ทำให้งานช่วงบ่ายไม่คืบหน้าเท่าไหร่ เพราะในหัวก็พลางคิดถึงวิธีรับมือกับมันร้อยแปดอย่าง

ประสบการณ์ของผมมันสอนไว้ว่าอย่าไว้ใจมัน!!

และแล้วเรื่องหนึ่งสมัยมัธยมต้นก็ผุดขึ้นมา ช่วงกีฬาสีของโรงเรียน คนตัวเล็กๆ อย่างผมในสมัยนั้น ไม่เป็นกองเชียร์ขึ้นสแตนด์ก็ต้องอยู่ฝ่ายสวัสดิการเบ็ดเตล็ดนั่นแหละ

ในขณะที่ผมกำลังวิ่งวุ่นกับการเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำนักกีฬาอยู่นั้น อยู่นักกีฬาคนหนึ่งในทีมฟุตบอลหายไป ผมและทีมงานจึงถูกมอบหมายมีหน้าที่ต้องไปตามหาก่อนที่การแข่งครึ่งหลังจะเริ่ม ผมซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปหาในห้องน้ำ ก็ไปพบนักกีฬาคนหนึ่งในห้องน้ำด้วยอาการเป็นตะคริวที่ขา สีหน้าบิดเบี้ยวนั้นบ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังบดบังความหล่อของคนๆ นั้นไม่ได้

ไอ้คอปเตอร์!! ผมเอ่ยกับตัวเองเบาๆ แต่ใจนั่นสั่นไหว ถึงแม้ในสมัยนั้นมันจะเรียกได้ว่าฮอตของฮอตที่สุดในโรงเรียน ที่ผมใจสั่นเพราะ มันคือคนจ้องพยายามแกล้งผมทุกครั้งที่มีโอกาส

บอกตรงๆ ว่าโคตรเกลียดมันเลย!!

แต่ผมกลับต้องมาเป็นคนช่วยมัน!! แต่เป็นโชคของมันที่ผมมียาฉีดพ่นบรรเทาอาการปวดมาด้วย ผมที่ห่วงเรื่องชัยชนะของสีตนเองจึงไปพุ่งไปจัดการเอายาฉีดพ่นบรรดทาอาการปวดให้ และก้มลงไปพยายามยืดเส้นให้กับมันอย่างกระตือรือร้น

แม้จะแปลกใจว่าทำไมมันถึงได้ยอมให้ผมทำง่ายๆ และไม่ได้มีทีท่าว่าจะรังแกอะไรผม แปลว่ามันน่าจะเจ็บจริงๆ

ผมนวดคลึงอยู่นาน แม้ว่ามันจะร้องโอดโอยอยู่บ้าง แต่ผมก็พยายามเบามือที่สุดแล้ว  ในขณะที่ผมก้มหน้าก้มหน้าตั้งใจช่วยเหลืออยู่นั้น ผมก็รู้สึกว่ามีสายตาของมันคอยจ้องอยู่อย่างกับงูจ้องจะกินเหยื่อ

“ยืนไหวไหม?” ผมถาม

“อืม” มันพยักหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อตอบกลับมา

ผมพยายามช่วยพยุงให้มันลุกขึ้นด้วยอาการขาสั่นเทา ไม่คิดว่าเด็กผู้ชายรุ่นเดียวกันคนหนึ่งมีนำ้หนักมากขนาดนี่ หรือผมเอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียวหรือเปล่านะ ระหว่างที่ความคิดเรื่องสมรรถนะร่างกายตนเองไปด้วยออกแรงไปด้วย ขาของไอ้คนที่ผมพยายามช่วยกลับอ่อนแรงจนเซมาทับผม ผมซึ่งตั้งหลักยืนพิงอ่างล้างมืออย่างทุลักทุเลก็รีบคว้ามือไปกอดให้คนที่ขาเป็นตะคริวไม่ให้ล้มไปเสียก่อน

“เฮ้ย!!” ผมร้องเสียงหลง มือก็เกาะกุมอีกฝ่ายไว้แน่น แต่ก็แปลกที่คนที่ทรงตัวลำบากกลับไม่พยายามเกาะกุมผมไว้เลย

“กูรู้นะว่ามึงรังเกียจคนแบบกู แต่ตอนนี้มันใช่เวลาไหม?” ผมที่ขาสั่นเพราะแบกรับน้ำหนักเหล่านั้นขึ้นเสียงเพราะหากอีกฝ่ายไม่ช่วยเหลือตนเองบ้าง พวกเราจะล้มกันทั้งคู่

“ใครบอก?” ไอ้คนเจ็บพูดเหมือนเสียงกระซิบ พร้อมกับเกาะกุมผมไว้แน่น จะเรียกว่ากอดแน่นๆ ก็ได้เพราะผมเริ่มอึดอัดแล้ว

“เอ่อ…พอได้ยัง?” ผมพูดเพราะสภาพผมตอนนี้เหมือนห่มเสื้อบอลตัวใหญ่คลุมร่าง เสื้อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของนักกีฬา

แปลกนะ ผมไม่ได้รังเกียจอะไร กลับรู้ว่า ไอ้คนๆ มันตัวหอมจังวะ คงใช้นำ้หอมแพงตามประสาคนรวย

เพียงพริบตาเดียว ผมถูกเหวี่ยงเข้าไปในห้องน้ำอย่างแรง ผมเสียหลักลงไปนั่งตรงฝาชักโครกที่ปิดไว้ ผมร้องเสียงหลงเพราะไม่คิดว่าจะเจอคนที่เราช่วยเหลือทำร้ายตนเองขนาดนี้

ตามด้วยประตูที่เหวี่ยงปิดตามแรงควายของไอ้บัดซบนั่นเสียงดังลั่น

ผมสบถหยาบคายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุบประตูเพื่อให้ไอ้คนเนรคุณเปิดประตูและปลดกลอนที่ลงไว้ด้านหน้า

“อ้าว!! ไอ้คอปเตอร์ ทั้งสนามเขาตามหามึงให้ควัก มึงมาเล่นเชี้ยอะไรตรงนี้!! จะเสี่ยนบุหรี่ก็ให้มันถูกเวลาหน่อย มึงเป็นนักบอลนะ เดี๋ยววิ่งเป็นหมาหอบแดด!!” เสียงมี่ผมจำได้ขึ้นใจ อันธพาลอีกคนประจำโรงเรียน รุ่นพี่ขาใหญ่เจ้าถิ่นที่ไอ้บัดซบนี่สนิทด้วย

“ผมแวะมาเอาน้ำเย็นลูบขาหน่อยน่ะครับ รู้สึกหน่วงๆ เวลาวิ่ง พอดีมาเจอไอ้นุ่มนิ่มคนหนึ่ง มันมาเข้าห้องน้ำก็เลยแกล้งมันนิดหน่อยก่อนไปแข่งต่อ!” มันพูดจาห้าวหาญผิดกับเมื่อครู่

“ไอ้เชี้ย มึงนี่เลวได้โล่เลย จะว่าไปก็ไม่ต่างจากพวกกูเลย กูเพิ่งไปโยนงูปลอมใส่ไอ้พวกลีดฯ แม่งวิ่งกันป่าราบเลย นิ่งๆ มันก็แมนอยู่นะ แต่พอตกใจนี่ สาวแตกกันหมดเลย ฮ่าฮ่าฮ่า”

ไอ้คนเลวมันก็หัวเราะกับเขาด้วย ในขณะที่ผมพยายามเงียบที่สุด

“มึงรีบไปได้แล้ว เดี๋ยวที่นี่กูจัดการต่อ”

“ไม่เป็นไรพี่ ผมจะขังมันไว้แบบนี้!! พวกเราไปดูผมแข่งดีกว่า!”

โชคดีที่ไอ้พวกอันธพาลพวกนี้มันเห็นด้วย เสียงจอแจด้านนอกจึงเงียบหายไป ทิ้งผมซึ่งถูกขังอยู่ในห้องน้ำคนเดียว กว่าจะมีคนมาเจอผมก็พลบค่ำเสียแล้ว ต้องขอบคุณคุณภารโรงใจดีที่มาข่วยผมออกไป

ผมดึงสติกลับมาจากภาพจำในอดีตที่ผลาญเวลาทำงานของผมไปหลายนาที

“ก็เพราะมึงเหม่อไปทำไปแบบนี้ไง แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จ!!” เสียงไอ้เพื่อนไม่สนิทดังขึ้นข้างหู ผมที่เผลอไปนึกถึงเรื่องในอดีตทำให้เผลอแสดงอาการตกใจกลัวออกมาวูบหนึ่ง

“มึงนี่ขวัญอ่อนนะ” มันขมวดคิ้วสงสัยกับอากัปกิริยาที่ผมแสดงออกมา หากเป็นคนที่เพิ่งรู้จักกันจริงก็คงสงสัยไม่ต่างจากที่มันทำอยู่ ก็ผมเล่นสะดุ้งและขยับถอยห่างจากมันไปเป็นวา บวกกับอาการสีหน้าที่ถึงผมไม่มองตัวเองในกระจกก็รู้ว่าหน้าซีดลงมาก

“ก็กูกำลังคิดอะไรเพลินๆ” ผมแก้ตัว

“งานง่ายๆ แบบนี้ถึงไม่คืบหน้านี่ไง!!”

ก็เพราะมึงนั่นแหละ!! ผมสบถใส่ไอ้คอปเตอร์ในใจ

“ให้กูช่วยไหม?”  ผมเจอคำถามนี่รอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบ แต่แน่นอนว่าก็จะปฏิเสธอีก

“ไม่เป็นไร กูกำลังเข้ามือเลย”

“ช้าไป!!” มันสวนกลับมา

“มึงไม่เคยทำ มึงไม่รู้หรอก!!”

“แต่กูเห็นมึงทำมาวันที่สองแล้ว กูว่ามันไม่ยาก”

“งั้น…มึงลองทำดูเลย!!” ผมยื่นเอกสารในมือให้มันไปปึกใหญ่

ไอ้คอปเตอร์มองหน้าผมด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้เห็นเสี้ยววินาที ก่อนที่จะรับเอกสารในมือของผมไป

“พี่เขาบอกแล้วใช่ไหมว่าที่นี่มีพนักงานทั้งหมด สี่พันห้าร้อยสิบสี่คน”

“เออ…แล้ว….”

“สวัสดิการของคนที่นี่น่ะมีแผนแบบ flex Ben……….”
และอื่นๆ อีกมากมายที่ผมไม่สามารถไล่ตามความอันเป็นระบบระเบียบและความรอบรู้บางอย่าง แม้แต่เกร็ดเล็กน้อยภายในบริษัท มันก็สามารถอธิบายได้อย่างละเอียด แน่นอนว่าผมทำเป็นพยักหน้าและเข้าใจ กับการอธิบายไปใช้นิ้วกรีดขอบปึกเอกสารไปด้วย อีกทั้งยังชี้แจงเรื่องต่างๆ ที่เจอในเอกสารได้ด้วยสีหน้าจริงจังชวนอึ้ง

บางข้อมูล พี่ท้อปเองยังไม่เคยบอกผมเลย บางข้อมูลน่ะอธิบายได้ละเอียดเสียจนผมรู้สึกสิ่งที่ผมรู้มามันน้อยเหมือนเม็ดทรายกับน้ำในมหาสมุทร นี่ผมยังเตรียมตัวไม่พอหรือนี่?

ในตอนท้ายสุดไอ้คนตรงหน้าผมเนี่ยยังสามารถขมวดสรุปประเด็นต่างๆ และแนะนำวิธีใช้งานซอฟท์แวร์ที่ผมใช้อยู่ได้อย่างเข้าใจและทำงานได้เร็วขึ้นมาก

หลังจากพูดจบผมแทบจะมองไอ้คนที่เคยเหลวแหลกตรงหน้าอย่างกับคนละคน

“เข้าใจมากขึ้นไหม งั้นมาลองทำพร้อมกัน!!”

ผมเออ ออ ด้วยอาการอ้ำอึ้ง แต่ก็ขยับเก้าอี้เข้าที่และเริ่มทำตามคำแนะนำของไอ้เพื่อนไม่สนิทคนนี้

ไอ้คอปเตอร์ก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเพื่อที่จะได้ช่วยแนะนำกระบวนการทำงานและอธิบายเพิ่มเติมได้ง่ายขึ้น

แปลกตรงที่ว่า ไอ้ความรู้สึกอึดอัดเมื่อครั้งแรกที่เจอมันหายไปหมด อาจเพราะไอ้คอปเตอร์มันพูดเยอะขึ้น แต่กลับใช้น้ำเสียงที่ต่างออกไป มันก็เลยลดระยะห่างระหว่างผมกับมัน

รู้ตัวอีกทีกองเอกสารที่ต้องจัดการบันทึกลงระบบก็เหลือเพียง สองชุดเท่านั้น และที่สำคัญยังไม่ถึงเวลาเลิกงานด้วย

ผมเผลอยิ้มกับผลงานของเราสองคนกับมัน แต่ไอ้คนยิ้มยากอย่างมันกลับทำตาโตและเม้มปากอย่างกับพยายามจะต่อว่สอะไรผมอีก

เออนะ!! ก็กูไม่ใช่สาวสวยนี่ นี่มึงคงช่วยกูเพราะเห็นแล้งสังเวชใช่ไหม? ผมคิดในใจ

ผมหันกลับทำหน้านิ่งและกัมหน้าก้มตาทำเอกสารที่เหลือให้เสร็จ

“ว่าไง!! พี่รู่ว่ามันเยอะ แต่พี่มีมาเพิ่มอีกได้ไหม? ช่วย….พี่….เอ๊ะ!”

พี่ท้อปผลักบานประตูเข้ามาพร้อมกล่องเอกสารขนาดเอสี่อีกสองกล่อง และทำสีหน้าแปลกใจที่ท้ายประโยค

“โหหหห นี่จะเสร็จแล้วนี่!! สุดยอดเลย เก่งอะไรขนาดนี้!” พี่ท้อปอุทานตาเบิกกว้างกับกองเอกสารที่ถูกลำเรียงจัดเข้าแฟ้มอย่างเป็นระเบียบ

“อ๋อ ก็ คุณคอปเตอร์เขาช่วยน่ะ” ผมผายมือไปทางคนที่ทำตาขวางใส่ผู้มาใหม่

พี่ท้อปที่ยืนทำหน้าตาประหลาดใจตัวแข็งทื่อ ไร้คำพูดใดๆ  นอกจากมองสลับไปมาระหว่างผมกับนักเลงตาขวางข้างๆ ผม

“งั้นขอบคุณนะครับ เอ่อ พี่… ว่าจะเอางานใหม่มาให้นะครับ” พี่ท้อปพูดจบก็เดินเข้ามายื่นกล่องเอกสารที่ถืออยู่ให้ผมด้วยความเร่งรีบ

ผมรีบไปคว้ารวบไว้ด้วยความตกใจ

“เหมือนเดิมนะครับ?” ผมถาม

“ใช่ๆ เหมือนเดิม งั้นพี่ไปก่อนนะครับ” ท่าทางรีบร้อนของพี่ท้อปทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ให้ไอ้เด็กเส้นอย่างมันมาช่วย

“เดี๋ยวครับพี่!” ไอ้คุณคอปเตอร์เสียงแข็งขึ้นมา

“ครับ” พี่ท้อปเผลอหลุดพูดออกมาเสียสุภาพ

“ผมว่าเรื่องงานพวกนี้ผมเคยแนะนำไปแล้วตั้งแต่ปีที่แล้วนี่ ทำไมยังทำงานกันเหมือนเดิมอยู่?” คำพูดคำจาของไอ้เด็กที่มีสถานะฝึกงานเหมือนผม กลับเหมือนเป็นเจ้านายของพี่ท้อปอีกคน

“ก็…. มันอยู่ในระหว่างพัฒนาระบบเพื่อซัพพอร์กระบบงานที่คุณคอปเตอร์แนะนำน่ะครับ การบันทึกข้อมูลให้ครบถ้วนก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อนำไปต่อยอดทำงานต่อ….” พี่ท้อปร่ายยาวเหมือนกำลังพรีเซนต์หน้าห้องประชุม

“เรื่องนั้นผมเข้าใจ แต่การทำงานแบบนี้มันหยาบไป  ช่างเถอะ! เดี๋ยวผมจะคุยเรื่องนี้กับพี่เอกเอง”

“เอ่อ….” พี่ท้อปหน้าซีดลงเห็นได้ชัด

ผมมองหน้าไอ้คนไม่มีมารยาทแบบรังเกียจจนเห็นได้ชัดแน่ๆ เพราะไอ้คนที่กำลังดุใส่พนักงานประจำที่อายุและประสบการณ์ทำงานมากกว่าเราหลายรอบปี ไอ้คอปเตอร์เหมือนอึกอักพูดต่อไม่ถูก

“โอเคๆ พี่ไปเถอะ ผมจะถือว่าไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน แต่ผมก็คาดหวังว่างานแบบนี้มันจะน้อยลงนะ” ไอ้คอปเตอร์ผ่อนลมหายออกแบบยกตัวและบ่ายหน้าหนีไปมองจอ

พี่ท้อปเมื่อได้โอกาสก็รีบเผ่นออกจากจุดนั้นทันที แต่ก่อนออกไปพี่ท้อปก็พูดกับผมทิ้งท้ายว่าก่อนเลิกงานให้ไปหาพี่เขาที่โต๊ะหน่อย ไอ้คอปเตอร์ที่ควรจะเลิกสนใจพี่ท้อปและผมแล้วดันหันกลับมาบอกว่าวันนี้ผมทำงานเยอะแล้วก็ควรจะให้พักได้แล้ว

พี่ท้อปจึงเปลี่ยนเวลาเป็นพรุ่งนี้เช้าแทน
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 2 Not a friend (19-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 18-09-2023 18:41:49
คอปเตอร์น่าจะเป็นลูกเจ้าของบนิษัทไหม
ที่คอยแกล้งวินตอนเด็กเพราะสนใจวินใช่ไหม
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 2 Not a friend (19-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 18-09-2023 19:45:53
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 2 Not a friend (19-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 18-09-2023 21:04:58

“ถามจริงนะ นี่มึงเป็นเจ้าของบริษัทรึไง!!” ผมที่เก็บกดมานานจึงระเบิดถามอย่างไม่เกรงกลัว ถึงแม้ว่าหลังพูดจบจะเสียใจมากๆ ก็ตาม

“ก็…ไม่เชิง แต่แม่กูบริหารทั้งบริษัท” มันตอบแบบยียวนตามประสามัน ซึ่งผมก็รู้สึกปลอดโปร่งที่มันรู้สึกอารมณ์ดีแบบแปลก ๆ

ผมคิดว่ามันได้แกล้งคนแล้วคงอารมณ์ดี แต่คำตอบของมันก็พอเข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงเกรงใจ

“ไป!!” อยู่ๆ มันก็ลุกขึ้นยืนและมองมาทางผม

“หา!?!” ผมหันไปมองมันอย่างสงสัยหลังจากที่กำลังเปิดกล่องเอกสารกล่องใหม่ที่เพิ่งได้มา

“ลุกสิ!”  มันย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไปไหน?” ผมมองหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

มันเซ้าซี้ผมอยู่พักใหญ่ สุดท้ายผมก็ถูกมันกระชากให้ลูกขึ้นและถูกลากไปจนถึงห้องอาหารวีไอพี

หลังที่เท้าเหยียบเข้าไปในห้องนั้นก้าวแรกผมก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น เพราะห้องอาหารนี้ได้ถูกเปลี่ยนจากห้องอาหารมื้อเที่ยงไปเป็นสแน็กบาร์ที่หรูหรา ยังไม่ทันที่ผมจะถามไอ้คนเอาแต่ใจว่าพาผมมาที่นี่ทำไม ในเมื่อมันเลยมื้อเที่ยงมาแล้ว คำตอบก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเลย

ไอ้คอปเตอร์เดินนำหน้าผมไปนั่งตรงบาร์ที่ใกล้ที่สุด ผมเดินตามคำชวนที่แสดงออกทางสีหน้าของมันอย่างช้าๆ

“ทำไมถึงมีอะไรแบบนี้? มึงจะถามกูแบบนี้ใช่ไหม?” ไอ้คอปเตอร์มันเอ่ยขึ้นดักคำถามก่อนที่มันจะหลุดออกจากปากของผม

“ง่ายๆ ก็บริการของคนที่ต้องติดต่อลูกค้าต่างประเทศ ที่อยู่คนล่ะไทม์โซนไง บางคนเขาก็เพิ่งเริ่มงาน มันก็เลยมีของขบเขี้ยวไว้ให้ แต่ก็เข้ามาห้องนี้ได้หลังจาก สี่โมงเย็นนะ” ไอ้คนพามามันอธิบายอย่างภูมิใจ

“ใครคิดเนี่ย โคตรดี ดูแลพนักงานดีเวอร์!!” ผมประทับใจจนออกนอกหน้า แต่แทนที่มันจะตอบ ไอ้คอปเตอร์กลับแสดงสีหน้าหงุดหงิดตอบกลับมา

“พี่ชายนายสินะ” ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ เพราะกลัวไปกระตุกต่อมเด็กมีปัญหาของมันอีก

“แล้วพวกเราเข้ามาได้ไงล่ะ ในเมื่อให้บริการเฉพาะทีมที่ดูแลลูกค้าต่างประเทศ?”

“กูเข้าได้ทั้งวัน ส่วนของมึงก็น่าจะเหมือนกัน” มันตอบแบบขอไปที ไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ

มันมัวแต่มองไปที่พื้นผิวของโต๊ะบาร์ยกสูงและใช้นิ้วชี้เขี่ยๆ จิ้มๆ ไปมา ก่อนจะหันมาหาผมด้วยหน้าตาที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นหน้าตาอารมณ์ดีของมัน

พักเดียวบริกรก็เดินมาเสิร์ฟ บิงซูเมลอน พร้อมเนื้อเมลอนสีเขียวสดใสพูนภาชนะคล้ายผลเมลอนมาวางตรงหน้า

ผมไม่รู้เลยว่าหน้าตาตัวเองมันแสดงออกแบบไหน แต่คิดว่าแววตาผมเป็นประกายวูบวาบ ที่แม้แต่ไอ้หน้านิ่งขี้แก็กอย่างคอปเตอร์ยังอดที่จะกลั้นขำไม่อยู่

‘นี่มันจะแกล้งอะไรผมอีกวะ?’ ผมคิดในใจ

ขนมหวานสัญชาติเกาหลีถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าประกับด้วยผลไม้หลากสีและนมข้นรสหวานปกคลุมบางเบาทั่วพื้นหน้า ผมแอบกลืนน้ำลายอยู่หลายหน ที่ผมยังไม่ลงมือก็เพราะไอ้บ้าคนหนึ่งนั่งกลั้นยิ้มอยู่ข้างๆ

“สั่งมาให้ทำไมไม่กิน?” มันถามผมด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ

ไม่น่าจะดี ผมคิด

“เดี๋ยวละลายหมด!!” ไอ้คอปเตอร์พูดพลางใช้นิ้วชี้ปาดนมหวานข้นที่กำลังไหลเยิ้มจากปากถ้วยย้อยลงพื้นเข้าปากตัวเองอย่างรวดเร็ว

ผมมองกิริยาแบบนั้นด้วยความทึ่ง ไม่เคยเห็นมันในมุมนี้มาก่อน และที่มันกินให้ดูแปลว่าน่าจะไม่มีอะไรแปลกๆ ใส่ลงไป

ผมมองหน้ามันอีกครั้งเพื่อยืนยันความคิดตนเอง

มันมองหน้าผมกลับและส่งสายตาไปทางขนมหวานถ้วยใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้าผม

ผมจึงค่อยๆ หยิบช้อนที่วางบนกระดาษเช็ดปากผืนหนาข้างถ้วยอย่างเป็นระเบียบขึ้นมาและจ้วงเกร็ดหิมะอันอ่อนนุ่มตรงหน้าอย่างลังเล ผมนำเข้าปากแบบกลั้นใจ

รสหวานมันและหอมกลิ่นผลไม้ทะลุเข้ากลางใจผม นี่มันเป็นบิงซูที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา ผมทำตาโตใส่ไอ้คนข้างๆ อย่างไม่ตั้งใจ

ไอ้คอปเตอร์มันฉีกยิ้มกว้าง ภาพตรงหน้าทำให้ผมตกใจ และชวนอึ้ง ผมไม่เคยเห็นความสดใสแบบนี้ของมันเลย พูดง่ายตั้งแต่รู้จักมันมา ผมไม่เคยเห็นมันยิ้มแบบนี้มาก่อน

แต่ที่แปลกกว่าก็คือ ภายในอกของผมมันกลับร้อนวูบวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง ผมถึงกับเผลอจับหน้าอกตัวเองเพราะกลัวว่ามันจะใส่อะไรแปลกๆ ลงไปหรือเปล่า

แต่ความสงสัยข้อนี้ของผมก็ตกไปเมื่อไอ้คอปเตอร์มันยื่นมือมาแย่งช้อนด้ามยาวในมือผม และใช้มันตักบิงซูตรงหน้าเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

“เฮ้ย!! ทำไมมึงไม่ขอช้อนมาเพิ่มวะ!!” ผมโวยเมื่อเห็นมันยังตักจ้วงเป็นครั้งที่สอง

“พี่เขาไม่ว่างแล้ว ทำไมแค่นี้รังเกียจกันหรือไง?” มันยื่นช้อนในมือมันมาให้ผม

จะบอกว่ารังเกียจจะดูใจร้ายไปไหมนะ? ผมคิดและมองช้อนอันนั้น

“ก็เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ขนาดที่จะกินช้อนเดียวกัน!” ผมตอบทั้งที่ยังมองช้อนที่มันยื่นให้

“คิดมากวะ เพื่อนกัน แค่นี้เอง” มันพูดพลางใช้ช้อนอันนั้นไปตักของหวานที่ยังคงตั้งอยู่และกำลังจะเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวอย่างช้าๆ

ใครเพื่อนมึง!! ผมตะโกนโวยวายอยู่ในใจ

“งั้น…กู… ไม่….” ช้อนที่พูนไปด้วยเกร็ดน้ำแข็งที่ทำจากนมและน้ำตาลกลิ่นผลไม้ถูกยัดเข้ามาผมอย่างรวดเร็ว

“เอ้ยอึงอำอะไอ!!” (เฮ้ย!! มึงทำดชี้ยอะไร!!) ผมโวยวายทั้งที่ของยังเต็มปาก จะกลืนก็ไม่อยากจะคายก็ไม่ได้

“กลืนเข้าไป!! เสียดายของ!!” มันชี้นิ้วมาที่ผม

ผมกล้ำกลืนฝืนกลืนลงไป มันอร่อยนะแต่ ช่อนด้ามนี้มันเคยอยู่ในปากไอ้คอปเตอร์ อยากเข้าห้องน้ำไปล้วงออก

“รสชาติเป็นไงบ้างครับ?” บริกรเดินเข้ามาสอบถามแบบไม่ถูกจังหวะ

ไอ้คอปเตอร์ยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย

“อร่อยมาเลยครับ” ผมฝืนยิ้ม และฝืนรั้งน้ำตาน้อยๆ ไว้ในดวงตา

“จริงๆ แล้ว ถ้วยนี้สั่งทำพิเศษเลยนะครับ คือปกติแล้ว…”

ระหว่างที่บริการชายยิ้มสวยคนนี้พยายามอธิบายถึงความพิเศษของของหวานตรงหน้า ไอ้คอปเตอร์ก็จ้องพร้อมกระแอมเสียงดัง บริการจึงหยุดกลางประโยคด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ

“มีช้อนเพิ่มไหมครับ” ผมไม่สนอะไรนอกจากนี้ ผมรู้สึกเกรงใจกับคำว่าพิเศษมากๆ ก็เลยต้องกินให้หมด แต่อย่างน้อยของช้อนคันใหม่ก็ยังดี

“ขออภัยด้วยครับ คือ ตอนนี้กำลังรอช้อนจากห้องจัดเตรียมมน่ะครับ เลยเหลืออันเดียว ทำตกหรือครับ งั้นผมไปล้างให้ไหมครับ?”

การพูดของบริกรดูไม่ค่อยธรรมชาติเท่าไหร่ ทำให้ผมเข้าใจได้ เลยตอบกลับไปว่า ‘ไม่เป็นไร’

ทำใจคิดว่าคิดว่าให้หมาเลียปากก็แล้วกัน!!

กว่าที่ผมจะจัดการบิงซูชามใหญ่นั่นหมดก็ใช้เวลานานกว่าที่คิด ไม่รู้ว่าชามที่ใส่อยู่นั่นทำจากอะไรทำไมถึงทำให้เกร็ดน้ำแข็งที่อยู่ในนั่นละลายช้ามาก แล้วไอ้คนที่ชวนมาก็แทบไม่แตะอีกเลย ซึ่งก็ดีจะได้ใช้ช้อนร่วมกับมันน้อยลง!

ผมมาถึงโต๊ะของตัวเองก็เกือบจะเวลาเลิกงานเสียแล้ว หลังจากถึงโต๊ะแล้ว ข้อความแชทของไลน์ในเครื่องสมาร์ตโฟนของผมก็ดังระรัว แต่ข้อความที่ได้รับก็จะประมาณให้ไปหาหน่อย จากพี่ท้อปที่น่าสงสาร

ผมเดินออกจากห้องโดยที่ไม่ได้มองคนร่วมห้องที่มองผมอย่างสงสัย

“ไปไหนกันมาน่ะ หายไปตั้งนาน!!” พี่ทัอปลากผมเข้าไปใกล้และถามด้วยเสียงกระซิบ

“เอ่อ….มันพาผมไปกินขนมที่ชั้น วีไอพีแค่นั้น” ผมก็นึกว่าผมทำงานอะไรผิดพลาดเสียที ที่แท้ก็เรื่องเผือกร้อน

“แปลกๆ นะ นี่เขาจีบเราหรือเปล่าเนี่ย แปลกๆ หลายเรื่องแล้วนะ” พี่ท้อปขมวดคิ้ว

“จะบ้าเหรอพี่ ผู้ชายด้วยกัน….ไม่มั้ง อึยยยย ขนลุก ไม่เอาล่ะ!!”

“น้องพูดไม่สมกับคนรุ่นใหม่เลยนะ ที่นี่น่ะเราไม่สนเรื่องเพศกันมานานแล้วนะ!”

“เรื่องนั้นผมเข้าใจ ผมไม่ได้มีอคติอะไร เพื่อนผมก็เป็นแบบนี้กันเยอะ แต่กับไอ้คอปเตอร์น่ะ …ไม่เอาอ่ะ” ผมตัวสั่นทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องที่มีไอ้คอปเตอร์มาทำหวานใส่แบบฟีลแฟน

ผมเป็นประเภทรักไม่สน มุ่งแต่เรียนและกิจกรรมเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีความรู้สึกรักใคร่อะไรกับใครเลย ตนเพื่อนมักจะด่าผมว่า ‘หล่อนะแต่มันตายด้าน’ ไปแล้ว

แต่ผมก็ไม่ได้ถึงขั้นเรียบร้อยขนาดนั้นเสียหน่อย ไอ้เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มันก็พอมีเข้ามาบ้าง แค่ไม่สำคัญเท่าการเรียน


“เป็นไปได้นะพี่ว่า สนิทกันไว้ดีกว่ายังไงก็อนาคตประธานบริษัท!”

“โอ้ย!! ต่อให้เป็นประธานาธิบดีก็ไม่เอา อีกอย่าง ท่าทางอย่างมันจะชอบผู้ชายอย่างผมเนี่ยนะ ไม่น่าจะใช่นะ!”

“น้องก็น่ารักดีออกพี่ว่าน่าจะได้” พี่ท้อปตอบพร้อมพินิจผมตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า

“อย่ามาแกล้งผมสิ” ขนลุกอีกรอบ

“เอางี้นะ คุณร็อคเก็ตนะ เคยมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยนะ แต่รู้ว่าจะเลิกกันแล้วล่ะ เรื่องนี้คนในบริษัทรู้หมด ดังนั้นน้องชายอย่างคุณคอปเตอร์ก็….มีโอกาสป่าววะ”

ช้อคอีกครั้ง วันนี้มีแต่เรื่องประหลาดใจ

“จริงง่ะ ไม่เห็นเคยเป็นข่าว!!”

“ก็อย่างว่า รู้ๆ กันดี เขาก็ไม่ได้ปิดบังอะไร มันก็เลยเล่นข่าวไม่สนุกมั้ง หรือทางนี้ปิดข่าวก็ไม่รู้ แต่ใครๆ เขาก็รู้กันนะ”

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ เดี๋ยวนี้ดูยากจัง”  ผมบ่นลอยๆ

“งั้นเอาไงดีล่ะเรา?” พี่ท้อปถามตัดบท

“ไม่เอาไงล่ะ ไม่สนใจ ผมแค่จะตั้งใจฝึกงานครับ เดี๋ยวสี่เดือนผมก็ไปแล้ว ไม่คิดมาก!” ผมส่ายหน้ารัวๆ

“โอเคๆ พี่จะได้บอกพวกสาวๆ ในแผนกให้จิ้นแต่พองาม เพราะไม่ใช่คู่จริง!!”

ผมถอนหายใจกับความมีสาระของพนักงานประจำที่นี่และขอตัวกลับไปทำงานต่อ

หลังจากกลับมาถึงโต๊ะทำงานของตนเองก็พบว่าโต๊ะถูกจัดการจัดเก็บเสียเรียบร้อย กระเป๋าเป้ของผมถูกยื่นให้จากคนหน้าตึงที่อยู่ในห้อง

“หายไปนานเลยนะ เรียกกันไปทำงานหรือไปชิทแชทเล่นหัวกันล่ะ ทำไมถึงนานจัง สงสัยงานที่นี่มันจะน้อยไปนะ ถึงได้มีเวลาทำอะไรแบบนี้ อีกไม่กี่นาทีก็เลิกงานแล้ว กลับกันเถอะ!!”

“พี่ท้อปเรียกไปสอนงาน ก็พวกเราเล่นหายกันไปนานนี่นา อีกอย่างกูจะทำงานต่อยังไม่กลับ!!”

“ขยันไปก็เท่านั้น พี่ๆ ของมึงเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านกันหมดแล้ว”

สิ้นประโยคไอ้คอปเตอร์ ผมก็หันออกไปนอกห้องกระจกของตน ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่ไอ้คอปเตอร์พูดจริง

แต่ผมมันดื้อ ผมไม่สนใจ ผมกระชากกระเป๋าตัวเองวางไว้ในที่ของมันและนั่งลงทำงานต่อ

“อยากกลับก็กลับกูจะทำงานต่อ” ผมไล่

แต่แทนที่มันจะเดินกลับ มันกลับกระแทกนั่งลงข้างๆ ผม  เปิดคอมพิวเตอร์และนั่งทำงานเป็นเพื่อนผมจนเวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง

หลังจากคิดว่าท่าทางจะสลัดมันไม่หลุกแน่ๆวันนี้ ผมจึงตัดสินใจกลับบ้าน เพราะมันไม่มีทีท่าจะกลับเลย มันเป็นพวกขาดความอบอุ่น ไม่มีใครคบหรือว่าต้องการจะแกล้งอะไรผมอีกหรือเปล่าวะ!
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 2 Not a friend (19-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 18-09-2023 22:46:26
 :katai1: :katai3:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 2 Not a friend (25-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 25-09-2023 09:33:18
ช่วงเวลานี้คนรอลงลิฟท์เริ่มที่เบาบางลงแล้ว ผมจึงตัดสินใจไม่ไปลิฟท์ทางด่วนของมัน เพราะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่ต้องทำตัวพิเศษเมื่อทราบว่า ไอ้ลิฟต์ตัว มันทำขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร

แต่แทนที่ไอ้คอปเตอร์จะไปขึ้นลิฟต์พิเศษของมัน มันกลับเดินตามผมมาก้าวต่อก้าว เหมือนลูกเป็ดตามแม่เป็ด หากไม่เกรงใจท่าทางน่ากลัวของมันนะ ผมคงจะไล่มันไปแล้ว ยังไงก็อยู่ในถิ่นของมัน ทำตัวเฉยตามน้ำไปน่าจะดี

ในที่สุดลิฟท์ก็มา และส่งผมมาถึงชั้นล่างสุด ช่วงเวลาอันแสนอิสระก็มาถึง ทันทีที่ประตูเปิดผมรีบก้าวเท้าออกจากลิฟต์ทันที

 แต่อนิจจา เท้าที่ก้าวออกมายังไม่ทันแตะถึงพื้น แขนข้างหนึ่งก็โดนรั้งไว้เสียแน่น

“เดี๋ยวกลับกับกู ทางผ่านไงจำได้ไหม?”

ผ่านพ่อง!! ผมคิดในใจ แต่อมยิ้มตอบไป

“รอหน้าอาคารนะเดี๋ยวไปเอารถมารับ!” พูดจบมันจ้ำอ้าวหายไปในลิฟต์อีกตัวหนึ่งไม่ไกล

ผมไม่รอช้ารีบตัดสินใจเดินออกไปที่ป้ายรถเมล์ที่ถนนใหญ่และภาวนาให้รถประจำทางที่รอมาถึงโดยไว

แต่เวรกรรมของผมมันยังไม่จบ เจ้ากรรมนายเวรก็ขับรถยนต์ยุโรปมาจอดตรงหน้าพร้อมลดกระจกลง

“ตรงนี้คือหน้าอาคารบ้านมึงเหรอ?” มันตะโกนออกจากรถ แต่ป้ายรถเมล์มันไม่ได้มีผมคนเดียวไง ทั้งหมดต่างมองหน้ากันและกันและสงสัยว่าไอ้คนดุดันในรถพูดกับใคร

“ไอ้วิน!” มันเรียกชื่อเลยทีนี้

ผมรีบรวบกระเป๋าด้วยความอายและวิ่งขึ้นไปนั่งบนรถอย่างรวดเร็ว

“กูบอกให้รอที่หน้าตึก นี่มันหน้าตึกบ้านมึงเหรอ!!” ไอ้เจ้าของรถขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด ขณะที่กระจกเลื่อนปิดลงอย่างอัตโนมัติ

เสียงดุดันดังลั่นห้องเครื่อง รถถูกแรงเท้าที่เหยียบคันเร่งพุ่งทยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว คอปเตอร์ที่ควงพวงมาลัยอย่างดุดันพาตัวรถฉวัดเฉวียนอย่างกับงูเลื่อยแทรกตัวผ่านช่องว่างบนพื้นถนน ผ่านรถยนต์ที่แล่นด้วยความเร็วปกติบนท้องถนน

เสียงแข็งดุดันที่ก้องกังวาลเหล่านั้น กลับยังดังสะท้อนไปมาในหัว อาการเก่าที่เคยประสบและผ่านพ้นไปนานกลับเริ่มแสดงอาการ ความกลัวเมื่อครั้งอดีตกลับมาหลอกหลอนผมอีกครั้ง

มือแข็งทื่อและสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง น้ำตาที่พยายามรั้งไว้ก็ไหล่เอ่อออกอย่างฝืนไม่ได้ ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ทำให้ผมไม่สามารถบังคับตัวเองได้เลย

เสียงฉวัดเฉวียนและเสียงยางเสียดสีพื้นถนนไปมาจนมาหยุดลงในพื้นที่สว่างไสว กว่าท้องถนนทั่วไป

ผมเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ เพราะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ผมกำหมัดแน่นเตรียมป้องกันตัวเองจากอะไรก็ตามที่ข้ามอาณาเขตปลอดภัยของผม

มือหนึ่งล้ำเข้ามาหาผม ผมเหวี่ยงหมัดที่อ่อนเปลี๊ยะออกตีมือนั่นดังลั่น ผมตกใจเมื่อรู้สึกตัวว่ามือนั่นมันคือมือของไอ้สารเลวอย่างไอ้คอปเตอร์

หลังจากนึกได้ ผมก็ยิ่งสั่นเทิ้มขึ้นไปอีก สติตอนนี้ผมเตลิดไปไกลจนแทบจะควบคุมไม่ได้เสียแล้ว

‘หนี’ ความคิดเดียวที่เล่นเข้ามาในหัว แต่อนิจจา ประตูรถมันล็อก ทั้งที่พยายามจนแทบบ้า

“กูขอโทษ”

ถ้อยคำสุภาพและอ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึงพูดออกจากไอ้คนที่ผมกลัวสุดขีดตอนนี้

อาการสั่นและลนลานดีขึ้น ผมค่อยๆ หันศรีษะไปทางคนขับ ก็พบกับใบหน้าแสดงอาการเป็นห่วงปนสำนึกผิด

“กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ เวลาหงุดหงิด มันก็เลยเสียงดังไม่รู้ตัว ควบคุมตัวเองไม่ได้นิดหน่อย” ไอ้คอปเตอร์ยื่นมือมันมาคว้ามือผมไปจับพลางบีบนวดเล็กน้อย

ผมไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนี้ของมันมาก่อนจึงประหลาดใจจนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ชั่วคราว มือของมันส่งผ่านความอบอุ่นมาสู่มือของผมทำให้พอที่จะคลายความกังวลลงไปบ้าง สัมผัสต่างๆ เริ่มกลับมาคงเส้นคงวา

“นิดหน่อย?” ผมพูดทบทวนท้ายประโยคของไอ้คอปเตอร์ในลำคอ

“กูขอโทษ ก็กูเป็นห่วงไหม? บอกให้รอหน้าตึกแล้วมึงก็หายไปไหนไม่รู้ ช่วงนี้ยิ่งมีข่าวลักพาตัวบ่อยๆ ด้วย!!”

บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจเรื่องที่มันพูดเลย ผมก็ติดตามข่าวอยู่ประมาณหนึ่งนะ ไม่เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้

ผมนิ่งเฉยใส่ประโยคเหล่านั้นและพยายามมองออกไปด้านนอกตัวรถ ผมพบว่าตัวเองอยู่ในลานจอดรถหน้าร้านคาเฟ่ชื่อดังในปั้มน้ำมันขนาดใหญ่

“ไปสูดอากาศด้านนอกก่อนไหม? มึงดูเหมือนคนขาดอากาศหายใจเลย”

เพราะใครล่ะ?! ในใจคิดเคืองแบบนั้น แต่แสดงออกโดยการยกมุมปากเล็กน้อยและพยักหน้า

ช่วงหัวค่ำต้นไม้ภายในปั้มน้ำมันถูกตกแต่งด้วยไฟกระพริบสีเหลืองอ่อนดวงน้อยๆ เต็มไปหมด สายลมอ่อนช่วงปลายฤดูฝนพัดเอาความชื้นมาสัมผัสผิวให้สดชื่น ผมนั่งชื่นชมการตกแต่งไม้ประดับไปเรื่อยเปื่อยขณะที่ไอ้ตัวต้นเหตุหายตัวไปเพราะอาสาไปซื้อน้ำเย็นๆ ให้ดื่ม

“ชาเขียวน้ำผึ้งได้ไหม?” เสียงพูดดังขึ้นพร้อมแก้วพลาสติกใสใส่ของเหลวสีเขียวขุ่นผสมน้ำแข็งยื่นมาตรงหน้า

ผมพยักหน้าและรับไว้

หลังจากที่ของเหลวรสฝาดปนหวานอ่อนไหลลงคนไปหลายอึก ทำให้ใจมันผ่อนคลายลงไปพอสมควร นั่งมองคนข้างๆ ตัวต้นเหตุของอาการ ที่กำลังมองบรรยากาศโดยรอบเหมือนชื่นชมทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็น พลางบ่นออกมาเบาๆ ว่า

‘บรรยากาศดีเหมือนกันนะ’

ในที่สุดผมก็รวบรวมความกล้า ตัดสินใจเด็ดขาดกับเรื่องนี้ทันที

“คอปเตอร์ กูขอได้ไหม? อย่าทำแบบนี้ได้ไหม?”

“กูไม่เข้าใจ?” มันหันหน้ามาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา ที่ไม่เหมาะกับมันเอาเสียเลย

“ก็เรื่องที่… เอ่อ….. อะไรพวกเนี่ย!!” ผมใช้นิ้วชี้วนไปมาด้วยความความประหม่า

“เรื่องที่กู…ไปส่งมึงเนี่ยนะ!! ไม่ดีเหรอวะ ดีกว่านั่งเบียดกับคนเยอะในรถประจำทาง!” คิ้วของไอ้คอปเตอร์เริ่มขมวดเข้าหากัน แต่ก็พยายามรักษาน้ำเสียงอย่างเต็มที่ แต่แค่นี้ผมก็รู้กลัวขึ้นมาแล้ว

“กู……. เอ่อ…..” คำบางคำมันก็จุกอยู่ที่คอ เหมือนจะเปล่งเสียงคำว่า ‘อึดอัด’ ไม่ออก

“ไม่ต้องเกรงใจ ก็บอกแล้วใจว่า ทางผ่าน!” ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยิ้ม ท่าทางมันจะเป็นไบโพล่า

“ขอความจริงได้ไหม กูรู้เรื่องบ้านมึงหมดแล้ว” ผมก้มหน้าลงต่ำ เหมือนว่าการมองพื้นมันสบายใจกว่ามองหน้าคู่สนทนาอย่างมัน

“ที่บ้านกู?” เสียงประหลาดใจปนสงสัย

“ก็ที่บ้านมึงอยู่บนเพนเฮ้าส์ ของตึกสำนักงานไง”

“ใครบอกมึง!”

“ไม่ต้องถามได้ไหมว่าใครบอก แค่กูรู้แล้วก็พอ!!” ผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อนเลย ให้ทุกอย่างมาลงที่ผมนั่นแหละ (เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา)

อีกฝ่ายหนึ่งนิ่งไม่ตอบอะไร ผมไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไงตอนนี้ เจ็บใจหรืออะไร เพราะผมไม่กล้ามองหน้ามันเลย

“ถามจริง มึงทำแบบนี้ไปทำไมวะ หากคิดอะไรแปลกๆ ก็ขอให้หยุดเลยนะ ไม่สนุกด้วย” ผมใช้คำว่าแปลกแทนคำว่าแกล้งเพราะคิดว่ามันน่าจะดีกว่า ผมกลัวว่ามันจะจำผมได้เพราะคำพูดคำนี้

“เออ ก็ได้ๆ กูยอมรับก็ได้ว่า กู….กูจีบมึง!!”

ผมหันไปมองหน้ายิ้มอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง!!

“หา!!!??” เหวอไปเลยผม


………………….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 2 Not a friend (25-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 25-09-2023 19:04:46
 :z3: :z2:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 3 Chance (26-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-09-2023 15:58:52

บทที่ 3 Chance




นับตั้งแต่ค่ำวันนั้น ทุกวันที่ผมมาทำงานก็ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ สัปดาห์หนึ่งผ่านไปแล้ว ผมกับไอ้คอปเตอร์ก็ยังทำตัวเหมือนก่อนหน้านี้ทุกประการ

ผมรับงานจากพี่ท้อปพร้อมกับคิดโปรเจ็คเรียนจบไปพลางๆ งานไหนเยอะมากก็มีไอ้คอปเตอร์คอยช่วยเหลือและอธิบายสิ่งต่างๆให้เช่นเคย ถึงมื้อเที่ยงก็ถูกพาไปกินมื้อเที่ยงที่เดิม ไอ้คอปเตอร์ยังคงอาสาไปส่งผมเช่นเดิม (ซึ่งผมก็เริ่มจะชินเสียแล้ว สบายดี)

เราต่างคนต่างไม่พูดถึงวันที่มันโพล่งพูดเปิดเผยความนัยในวันนั้น ‘กูจีบมึง’ เสียงนี้ยังคงหลอกหลอนผมอยู่ในหัวก้องไปมาอยู่บ่อยครั้ง

ผมได้แต่คิดว่า เคยเจอคนมาจีบก็บ่อย แต่คนที่หลุดพูดว่าจะจีบเราตั้งแต่สองวันแรกนี่ก็เพิ่งจะเคยเจอ ถึงมันจะไม่ใช่สองวันแรกที่รู้จักกันจริงๆ แต่ก็มันจำผมไม่ได้นี่ ถือว่าก่อนหน้านี้ไม่นับก็แล้วกัน

ในความทรงจำของผม ไม่เคยเห็นความดีงามหลงเหลืออยู่ในตัวของมันเลย พูดได้เต็มปากว่า ‘เกลียด’ จะให้มีความรู้สึกดีหลังจากที่มันทำดีด้วยไม่กี่วันแบบนี้มันก็ยาก ยิ่งคิดยิ่งขนลุก ทำให้ไม่กล้าที่จะเอ่ยถึง ไม่กล้าที่จะมองหน้ามันเลยด้วยซ้ำ

ไอ้คอปเตอร์เองมันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะปรับเปลี่ยนอะไรมาก สองวันแรกเคยทำอย่างไรก็ทำแบบนั้นสม่ำเสมอ ไม่ลดลงและก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น

คำพูดที่จะพูดคุยกันยังไม่อ่อนโยนลงเลยสักนิด ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวว่า สรุปมันจะจีบผมจริงหรือแค่คิดจะแกล้งกัน

วันศุกร์รอบที่ 3 ของการมาฝึกงาน ผมรับรู้จากสองรอบที่ผ่านมาแล้วว่าจะเป็นวันที่ทุกคนมีความกระชับกระเฉงเป็นพิเศษ  อาจเพราะมันใล้กับวันหยุดสุดสัปดาห์ทุกคนในสำนักงานมีท่าทีผ่อนคลายมากกว่าปกติ ทำงานโดยที่แทบจะไม่มีใครบ่นเหนื่อยหน่าย

ที่สำคัญเหมือนผมจะได้รับมอบหมายงานน้อยกว่าปกตินิดหน่อยด้วย วันนี้ผมจึงได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้างทำให้อารมณ์อยู่ในเกณฑ์ดี ถึงขั้นฮัมเพลงระหว่างทำงาน

“ชอบเพลงสไตล์ไหน?” อยู่ๆ คนที่นั่งทำงานข้างอย่างเงียบๆ ก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่มีความกระตือรือร้นมากกว่าปกติเล็กน้อย

ผมหันไปมองหน้าที่ราบเรียบนั้นด้วยแววตาฉงน

“เห็นฮัมเพลงเสียเพราะ ชอบฟังเพลงแบบไหน?”

คำถามที่ถูกถามอย่างไม่มีที่มาที่ไป ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดที่จะตอบพอควร ถึงแม้จะคุยกันบ้างตลอดการทำงานมาสามสัปดาห์ แต่ไม่เคยคุยกันเรื่องส่วนตัวเลย ถือเป็นครั้งแรกด้วยที่มันเริ่มบทสนทนาแบบนี้

“ก็ฟังได้ทุกแนวนะ แต่ที่ฟังบ่อยๆก็เพลงแนวฟังง่ายๆ สบายๆ น่ะ”

“อืม… เหมือนกันเลย…” ไอ้คนยิ้มยาก กลับยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาก็ดูสดใสขึ้นมาวาบหนึ่ง ผมเข้าใจในทันทีว่าทำไมสาวๆ สมัยมัธยมถึงต้องการให้มันยิ้มให้ มันเป็นคนยิ้มมีเสน่ห์มากคนหนึ่ง แต่สำหรับผมมันก็แค่ ‘เป็นคนเชี้ยๆ’  เท่านั้นเอง

ผมส่ายศีรษะและกลับไปมีสมาธิกับงานตรงหน้าไปพลางทำโปรเจ็คเพื่อนำเสนอเรียนจบไปพลาง

“เย็นนี้ว่างไหม?” ไอ้คนที่นั่งทำตัวว่างถามขึ้นมาอย่างไม่มีการเกริ่นนำ หลังจากหันไปสนใจกับโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเครื่องใหญ่ของตัวเองอยู่พักใหญ่

“เออ…อืม.. ก็ไม่ได้มีธุระอะไรนะ” ผมตอบกลับไปแบบไม่คิด

“ดีเลยไปฟังเพลงกันไหม?” เสียงชวนที่ดูไม่เชิญชวนให้ไปด้วยเท่าไหร่ดังขึ้น

ผมหันไปมองหน้าคนชวนอย่างฉงน อย่างนี้เรียกว่าชวนไปเดทหรือบังคับให้ไปด้วย

“ก็ว่างนี่ ไปด้วยกันสิ!” พูดไปด้วยเกร็งหน้าไปด้วย ผมอธิบายไม่ถูกว่ามันกำลังยิ้มหรือกำลังแยกเขี้ยวใส่ผม

สมองของผมกำลังประมวลอยู่ว่าจะตอบปฏิเสธอย่างไรดี เพราะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อยากไป

“ไปทั้งชุดนักศึกษาแบบนี้ ไม่ดีมั้ง!!” ผมพูดออกไปเมื่อคิดแผนหนีได้แล้ว

“อ้าวเหรอ!! ไม่เคยคิดอะไรแบบนี้เลย”

ก็แน่ล่ะครับ ถึงไอ้คอปเตอร์มันจะใส่เชิ้ตสีขาวกางเกงสแลคสีดำ แค่มองไกลๆ ยังรู้เลยว่า แบรนด์เนมทั้งนั้น ใส่แบบนี้ไปมันก็ต้องไม่แปลกเปล่าวะ ต่างกับผมที่ใส่เสื้อผ้าธรรมดามาก

“งั้นกูกับมึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนไปก็ได้ หลังจากกูไปส่งมึงแล้วค่อยไปรับมึงอีกรอบนะ ตกลงตามนี้”

ในเมื่อตอบปฏิเสธลำบาก งั้นก็หาทางหนีมันเลยดีกว่า ยังไงมันก็ไม่รู้เบอร์ห้องเรา หลังจากขึ้นห้องเราก็เนียนไม่ออกมาเลยดีกว่า คิดได้ดังนั้นก็ทำตามแผนการหลังจากเลิกงานทันที

……….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 3 Chance (26-09-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 26-09-2023 17:33:29
 :serius2:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 3 Chance (2-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 02-10-2023 18:05:43

เสียงโทรศัพท์สั่นเตือนถึงสายเข้าอย่างต่อเนื่อง ผมที่มาถึงห้องได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมนอนโต้รุ่งยาวๆ หลังจากที่ตรากตรำทำงานมาตลอดห้าวัน การเป็นหนุ่มออฟฟิศนี่มันไม่ง่ายเลย ทุกอย่างเตรียมพร้อมเข้าสู่โหมดพักผ่อนก็ถูกรบกวนโดยเสียงโทรศัพท์สั่นเพราะสายเข้านี่ล่ะ

ผมพยายามไม่สนใจเพราะรู้ว่าใครโทรศัพท์เข้ามา แต่ที่แปลกใจคือ ทำไมไอ้คนที่มีเพนต์เฮ้าส์อยู่บนอาคารสำนักงานแบบนั้นถึงได้กลับมาหาเขาเร็วแบบนี้ในสภาพการจราจรวันศุกร์แบบนี้

แผนของผมก็คือหลอกให้ดีใจแล้วหนีหายพอสักค่ำๆ ค่อยโทรศัพท์ไปบอกมันว่ามีธุระด่วนก็แล้วกัน

ผมแอบหัวเราะในใจอย่างร่าเริง การได้แกล้งกลับคืนนี่มันก็ให้ความรู้สึกดีเหมือนกันนะ

หลายนาทีผ่านไปในที่สุดโทรศัพท์ก็เงียบลง มันคงยอมแพ้แล้วสินะ ผมสบายใจขนาดที่ว่าเดินไปที่นอกชานเพื่อส่องหารถคันหรูของมันที่มักจะจอดมาส่งผมตรงหน้าอพาร์ตเมนต์

ปึงๆๆ

เสียงเคาะประตูดังลั่น ด้วยจังหวะดนตรีร็อคแอนโรล ผมสะดุ้งตัวโยนจนเกือบจะหงายตกจากระเบียงที่สูงกว่า 10 ชั้น

ผมสงสัยว่าจะเป็นคนข้างห้องที่มักจะเคาะเพื่อขอยืมอาหารแห้งของผมเพราะความขี้เกียจลงไปซื้อเป็นประจำ

ผมเดินไปเปิดประตูห้องพลางคิดหาคำด่าเจ็บๆ ให้เพื่อนข้างห้องที่ทำผมเกือบร่วงตกจากชั้น 10 แบบนี้


ทันทีที่เปิดกว้างออกดวงตาผมก็ไปประสานกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนแสนสวยคู่หนึ่ง วงหน้าที่ไม่คิดฝันจะได้เจอในอพาร์ตเมนต์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีระดับหนึ่งของย่านนี้

ไอ้คอปเตอร์มันไม่น่าจะมีคีย์การ์ดเข้ามานี่ ผมคิดอย่างแตกตื่น


“ทำไมไม่รับสาย!!” คนที่ยืนอยู่หน้าห้องคิ้วขมวดถาม


มึงไม่ควรรู้จักห้องกูด้วย!! ผมคิดในใจสวนกับคำถามของไอ้คนตรงหน้า


“ตอบมาทำไมไม่รับสาย!!” เสียงของไอ้คอปเตอร์ดังลั่นทางเดิน


ผมไม่รอช้าดึงมันเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูทันที

ผมคงดึงมันแรงไปหน่อย เพราะหันมาอีกที ไอ้คนไร้มารยาทนั่นก็มานั่งบนเตียงของผมเรียบร้อย

“กลิ่นหอมจัง” ไอ้คอปเตอร์ ไอ้คนโรคจิต หยิบหมอนข้างของผมขึ้นมาใกล้ใบหน้าและสูดอากาศบริเวณนั่นเต็มปอด

“เฮ้ย!! ทำอะไร!!” ผมรู้สึกขนลุกกับภาพที่เห็น มันจะมาแกล้งอะไรเราอีก ผมรีบเดินไปแย่งหมอนข้างชิ้นนั้นมากอดไว้ทันที

แต่แทนที่มันจะโกรธกลับจ้องมองผมด้วยสายตาอิจฉาสิ่งที่ผมกอดอยู่

“มึงขึ้นมาได้ยังไง?!?”

“ความลับ”

“มึงรู้จักห้องกูได้ยังไง?!?”

“ความลับ”  มันยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์


ทุกครั้งที่มันตอบคำถาม มันก็จะมองไปรอบห้องผมอย่างสำรวจ เหมือนจะพยายามนับเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นและหนังสือทุกเล่มที่วางอยู่

“ตอบมา!!” ผมตวาดอย่างไม่ตั้งใจ

“ทีมึงยังไม่ตอบกูเลยว่าทำไมไม่รับสาย!! กูมารอรับอยู่นานแล้วนะ!!” มันหันมาตาขวางใส่ ทำเอาตัวผมเย็นวาบไปทั้งสันหลัง

“กู… ท้องเสีย เข้าส้วมอยู่ รับโทรศัพท์ไม่ได้!!” รู้สึกได้เลยว่าตัวเองโกหกได้ห่วยแตก

“อ้าวเหรอ! แล้วมึงไปกินอะไรมา มียากินหรือยัง ไปหาหมอไหม? ถ่ายไปกี่ครั้งแล้ว แล้วนี่ยังปวดท้องหรือเปล่า?”

ผมยอมรับว่าอึ้งกับปฏิกิริยา ตอนแรกคิดว่าจะโดนด่าว่าโกหกไม่เนียนเสียอีก แต่กลับโดนถามกลับเป็นชุดด้วยสีหน้าเป็นห่วง ยอมรับเลยว่าทำให้ผมนิ่งไปพักใหญ่


“นี่มึงถามละเอียดกว่าหมออีกนะ” ผมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่มันเชื่อและพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาตรงๆ แม้จะรู้สึกเสียใจนิดหน่อยตอนท้ายประโยคแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว


“กูถาม มึงก็ตอบสิ!!” อยู่ ๆ มันก็คาดคั้น

“ไม่เป็นไรแล้ว กูเป็นแบบนี้บ่อยๆ ถ่ายออกหมดก็จบ” สิ่งที่ผมตอบมันเป็นเรื่องจริง แต่แค่ไม่ใช่อาการวันนี้ วันนี้ผมแข็งแรงดี

“ไหวไหม จะนอนพักหน่อยไหม?” อยู่ๆ ก็แสดงความเป็นห่วงแบบนี้ผมไม่ชินเลย

“ก็ดีนะ งั้น…”

“โอเค งั้นนอนเลยเดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อน เผื่อเป็นอะไรหนักขึ้นจะได้หามส่งโรงพยาบาลทัน”

“เฮ้ยๆ ไม่ต้องๆ กูไม่เป็นไรมาก มึงกลับไปเถอะ!!”

“ไม่ต้องเกรงใจ กูว่าง อยู่ห้องมึงน่าจะเพลินดี”

“โอเค ไม่ต้องแล้วกูไม่พักผ่อนแล้ว จะพากูไปไหนก็พาไปเลย”

“แน่ใจนะ?”

“แน่ใจ กูหายแล้ว”

กรรมเวรอะไรของผมวะเนี่ย!?! ผมคิดในใจอย่างหน่าย ๆ

………….



พรุ่งนี้มาต่อนะ
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 3 Chance (2-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-10-2023 18:18:26
 :jul3: :laugh:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 3 Chance (2-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 02-10-2023 18:19:27

ในที่สุดผมก็ต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมากับมันจนได้ ที่น่าขนลุกไปกว่านั้นคือไอ้สายตาที่มันมองผมเปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงผมจะเคยชินเวลาเพื่อนๆ มองเวลาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในสนามกีฬาก็เถอะ (ยอมรับว่าตัวเองหุ่นดี เพราะพยายามออกกำลังกายมาตลอดหลายปี) 

แต่การโดนสายตาเยือกเย็นแบบนั้นจ้องมองตอนถอดเสื้อนี่มันก็เป็นความรู้สึกว่าแย่เกินไป



“จะพาไปไหนเนี่ย ขับรถมาเสียใกล้เลย ที่มาเพราะบอกว่าจะพาไปฟังดนตรีสดสบายๆ นะ ไม่ใช่ที่หรูหราหมาเห่า นี่ไม่เอานะ!”
ผมบ่นกระปอดกระแปดตอนนั่งเท้าคางมองออกไปนอกตัวรถผ่านกระจกประตูผู้โดยสาร

“ไม่หรอก” พูดจบมันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดซุบซิบกับใครก็ไม่รู้ แต่ผมแทบจะไม่สนใจ เพราะความจริงก็ไม่ได้อยากมากับมัน

ไม่นานรถยนต์คันหรูก็เคลื่อนตัวไปถึงร้านริมบึงน้ำขนาดย่อม ประดับด้วยไฟแสงเทียนระยิบระยับ โต็ะเก้าอี้ต่างถูกวางอยู่ล้อมบึงน้ำนั่น มีเวทีตรงกลางน้ำซึ่งนักดนตรีขันกล่อมเพลงสากลที่ฟังสบายไหลผ่านมาตามสายลมที่โชยเอื่อยเย็นสบาย

คนยังบางตาอาจเพราะยังหัวค่ำ พวกผมถูกเขิญให้ไปนั่งตรงมุมบึงที่สงบและห่างไกลจากคนอื่นพอควร รู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้

ภาพเก่าๆ มันตัดเข้ามาผ่านสมองเข้ามาเป็นฉากๆ เป็นพวกฉากในหมวดหมู่การบูลลี่โดยอาหาร

“กินเผ็ดได้ไหม? แต่ท้องเสียอยู่งั้นอย่าเลย”

“เฮ้ยๆ กินได้ๆ ขาดไม่ได้เลย” เมื่อก่อนก็กินไม่เป็นหรอก แต่พอโดนแกล้งให้กินเผ็ดจัดบ่อยๆ ก็เลยกลายเป็นเสพติดเสียอย่างนั้น กลายเป็นอร่อยเฉยเลย

แต่สุดท้ายก็ไอ้คอปเตอร์ก็สั่งแค่อาหารจืดชืดมาวางเต็มโต๊ะ นอกจากอาหารแล้วก็ตามมาด้วยไวน์แดงใส่ถังน้ำแข็งมาวางไว้ที่โต๊ะเครื่องดื่มเล็กๆ ข้างโต๊ะ

ผมมองอาหารน่าเบื่อบนโต๊ะแล้วก็รู้สึกท้อแท้ไม่อยากอาหารขึ้นมา นี่มันการทรมานชัดๆ มันอยู่กับผมมาสองสามสัปดาห์แล้ว มันคงรู้ว่าผมเป็นโรคขี้เสียดายของ ดังนั้นมันเหมือนสั่งให้ผมกินมันให้หมดนี้ ให้ผมกินของไม่น่าอร่อยเหล่านี้ให้หมด โคตรเลวเลยไอ้ฟาย!!

รู้ตัวอีกทีผมก็เบือนหน้าหนีอาหารบนโต๊ะแล้วมองบรรยากาศรอบๆ เสียแล้ว ผมเองก็เพิ่งมาสังเกตว่าบริเวณที่ผมนั่งถูกปลูกเป็นศาลาขนาดกลาง ที่ยื่นส่วนหนึ่งลงไปในน้ำที่บรรจงขุดและฉาบก้นบ่ออย่างสวยงาม ดวงไฟใต้น้ำทำให้เห็นปลาคราฟท์ตัวใหญ่แหวกว่ายไปมา สีสันเหล่านั้นมันสวยสดจนน่าอัศจรรย์ น้ำใสสะอาดมากจนผมคิดว่าน่าจะกินได้เลยทีเดียว ลมโชยอ่อนปะทะกับอากาศเย็นๆ หลังฝนตกใหม่ๆ ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลย

ดนตรีสดที่ฟังสบายๆ ไหลผ่านมาตามสายลมและแหวกอากาศมาถึงผมนั่น เข้ากับบรรยากาศโดยรอบมาก ผมครึ้มใจจนเผลอยิ้มออกกว้าง

จนกระทั้งสายตาส่ายไปกระทบกับไอ้คอปเตอร์ที่นั่งจ้องผมและอมยิ้มให้ ภาพที่เห็นทำให้ขนลุกอย่างประหลาด เพราะทุกครั้งที่ผมเจอรอยยิ้มแบบนั้น มักจะจบไม่สวยเลยสักครั้ง

ผมหุบยิ้มทันที

“อ้าว! ไม่ชอบเหรอ?” ไอ้คอปเตอร์ถามแทบจะทันที

“เออ!” กูหมายถึงมึงน่ะที่กูไม่ชอบผมตะโกนในใจดังมาก

“มึงยิ้มน่ารัก กูชอบเวลามึงยิ้ม” ผมสังเกตเห็นมันมองริมฝีปากผมไม่วางตา

ผมไม่สนใจคำพูดของมัน พร้อมแสดงสีหน้าตรงกันข้ามทันที

ผมหงุดหงิดอย่างประหลาดเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงขบขันในลำคอและยกมุมปากอย่างได้ใจ

“กินอาหารสิ มัวแต่เหม่อจนจะเย็นหมดแล้ว!!” ไอ้คอปเตอร์ใช้การกวาดตามองอาหารบนโต๊ะแทนการใช้นิ้วชี้

ผมมองมันกับอาหารสลับไปมา เพราะมันไม่แตะอาหารบนโต๊ะเลยสักชิ้น ทั้งที่ทุกจานจัดวางอย่างสวยงามน่ากินมากก็เถอะ

“ทำไมกลัวกูวางยาเหรอไง??”

ผมไม่ตอบแค่มองหน้ามันกลับไปเป็นคำตอบ

ไอ้คอปเตอร์ส่ายศีรษะและขยับตัวมาใกล้โต๊ะอาหารมากขึ้น

“อ่ะ! มึงชี้เลย ว่าจะให้กูกินอะไรชิ้นไหน มึงจะได้เลิกสงสัยกูเสียที”

ผมเบะปากและชี้อาหารแบบสุ่มๆ ให้มันจิ้มกินทุกจาน ชิมซุปทุกชาม จนครบ แต่แปลกมันกล้ากินจนชิ้นสุดท้าย

ผมจึงตัดสินใจค่อยๆ ใช้ช้อนกับส้อมบรรเลงอาหารบนโต๊ะเข้าปากตัวเองเรื่อยๆ แน่ละก็ผมหิวนี่นา ที่สำคัญ ไอ้อาหารที่เห็นจืดชืดตรงหน้ามันก็รสชาติไม่เลวนะ

“สั่งมาเยอะขนาดนี้ใครจะหมด!!” คงคิดจะให้เราจุกตายแน่เลยผมคิดในใจ

“ไม่หมดก็เหลือไว้นั่นแหละ!!”

“เฮ้ย!! เสียดาย!!”

“งั้นก็ห่อกลับ ตู้เย็นห้องมึงโล่งจะตาย เก็บไว้กินมื้ออื่นก็ได้!!”

“มึงรู้ได้ไง?”

“กูก็เปิดดูตอนมึงเข้าห้องน้ำก่อนออกมานี่ไง”

“ไร้มารยาท!!”

“มึงสิไร้มารยาท แขกมาถึงห้องไม่เตรียมน้ำให้แขกเลย!!”

“กูไม่ได้เชิญมึงเข้าห้องเสียหน่อย”

“แขกก็คือแขกป่ะวะ”

โอ้ย!!! เสียเวลาคุยกับมันโว้ยยยยย

บรรยากาศดี ร้านดี อาหารอร่อย ดนตรีสดเลิศ แต่คนไปด้วยนี้ไม่ไหว ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปหมด ผมขอจบการรีวิวอาหารมื้อนี้แต่เพียงเท่านี้

ไอ้คอปเตอร์ขับรถมาส่งผมที่อพาร์ตเมนต์เหมือนเคยแต่คราวนี้มันเข้ามาจอดถึงลานจอดใต้อาคาร แม้ผมจะรู้สึกแปลกใจเพราะต้องเสียเงินเช่าที่จอดรถเท่านั้นถึงจะเข้ามาจอดในนี้ได้ แต่สำหรับไอ้คอปเตอร์ คงไม่มีอะไรทำให้ผมแปลกใจได้อีกแล้ว

“ส่งแค่นี่ก็ได้มั้ง! ไม่ต้องตามไปถึงที่ห้องก็ได้!!” ผมพูดกับมันทันทีที่เห็นมันล็อกรถด้วยรีโมทและเดินตามผมที่เร่งฝีเท้าหนีมัน

“ไม่เป็นไรทางผ่าน”

“เดี๋ยวนะ มุกนี่มันใช้ตรงนี้ไม่ได้ป่ะวะ” ผมยกนิ้วชี้จี้ที่ไปที่หน้ามันอย่างลืมตัว

“ได้ดิ!!” พูดจบมันก็จับมือผมและลากจูงเดินเข้าอาคารไปทันที ผมรีบสะบัดมือทันทีที่เดินถึงห้องผู้ดูแลอาคาร ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแต่ รปภ. หนึ่งคนยืนมองอยู่

“พี่ รปภ. ครับ คือ…” ผมเตรียมจัดการขั้นเด็ดขาด

“สวัสดีครับ เชิญครับ!!” รปภ. คนหนุ่มยืนขึ้นทำความเคารพสไตล์ทหาร รวมนิ้วทั้งสี่จรดที่ปลายคิ้ว และทักทายเสียงดังฟังชัด

ผมทำได้แค่เลิกคิ้วสงสัย

ไม่เพียงเท่านั้น ไอ้คนที่ไม่ใช่คนพักอาศัยดันยกมือขึ้นทักกลับและใช้บัตรในมือสแกนเข้าประตูอัตโนมัติได้เฉยเลย

“เดี๋ยวนะ” ผมทักทันที

“ใช่!! กูย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว ยินดีที่มึงรู้แล้วนะเพื่อนบ้าน!!” มันหันหน้ามาทำหน้านิ่งใส่

“หมายความว่าไง?” ผมคิดว่าหน้าตาผมตอนนี้คงตลกมากเพราะทั้งพี่ รปภ. และไอ้คนที่อ้างตัวเป็นเพื่อนเผลอยิ้มออกมาชัดเจน

“ห้องกูอยู่ฝั่งตรงข้ามมึงไง” มันยกยิ้มมุมปาก ดูน่ากลัวไปอีกแบบ

“ไม่ใช่ กูหมายถึง เออ… มันก็ใช่ แต่กูกำลังจะถามว่า เพื่ออะไร?” ผมสับสนไปหมด จันต้นชนปลายไม่ถูก มือไม้เหวี่ยงไปมาในอากาศเหมือนกำลังจัดของในจินตนาการ

“กูก็บอกแล้วว่า กูจะจีบมึง! กูอยากรู้จักมึงนอกจากช่วงเวลาทำงานบ้าง อยู่ใกล้กันแบบนี้มันสะดวกกว่า” ไอ้คอปเตอร์พูดอธิบายเหมือนกำลังเล่าเรื่องของคนอื่น

ช่วยทำให้กูรู้สึกว่ามึงจีบกูจริงๆ หน่อยได้ไหม? ผมรู้สึกเวียนหัว จนต้องยกมือกุมขมับ

“ไป!! ขึ้นห้อง!!”

“อย่าพูดจาชวนขนลุกแบบนี้สิ!!”

ผมพูดจบรีบเดินแซงนำหน้าโดยที่ไม่มองหน้าไอ้คอปเตอร์เลย ไม่ใช่เพราะอายนะ แต่กูรำคาญ!!!


……………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 3 Chance (2-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 03-10-2023 07:12:16
 :hao6: :hao7:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 4 Sweet Revenge (9-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 09-10-2023 11:53:22
บทที่ 4 สิบปีแก้แค้นไม่สาย




ผมนอนก่ายหน้าผากคิดมากมาสองสามคืนแล้ว จะไม่ได้คิดมากได้อย่างไร ก็ไอ้คนที่ผมเกลียดที่สุด ดันมาย้ายมาอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามนี่สิ แถมไม่รู้ว่าเป็นโชคหรือความบังเอิญ ไม่ว่าจะเดินออกจากห้องไปทำอะไรก็จะเจอมันแทบจะทุกครั้ง

นี่มันเข้าขั้น stalker แล้วนะ!!

คืนนี้ก็เช่นกันผมมานอนคิดทบทวนว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้ดี หนีก็ไม่พ้น จะทำรุนแรงหักดิบเหมือนกับที่ผ่านๆ มาก็ไม่กล้า

แล้วจะต้องมายอมรับโชคชะตาที่มีคนที่ไม่รู้จุดประสงค์ใจจริงแบบนี้มาตามจีบแบบนี้หรือ?

พูดตามตรงว่า ไอ้คอปเตอร์มันคงจำผมไม่ได้จริง ๆ เพราะผมเองก็ไม่เคยปิดบังความเป็นตัวเองเลย แต่มันก็ทำเหมือนเพิ่งเคยรู้จักผมจริงๆ

‘รักแรกพบ’ มันเคยพูดขึ้นมาลอย ๆ ครั้งหนึ่ง

โอเคผมไม่เชื่อหรอกครับ แต่การที่มันตามจีบผมแบบไม่ลดละเลยเนี่ยก็เริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว

ภาพในความทรงจำเก่าๆ ของผมมันย้อนวนเวียนไปมา ภาพจำฝังใจจากการกระทำของมันที่ทำให้ผมขยาดกับไอ้พวกลูกคนรวยลูกคุณหนูเอาแต่ใจ

ภาพเหล่านั้นปลุกร่างชั่วร้ายในจิตใจของผมให้ตื่นขึ้น ให้ล้างแค้นมันทุกวิถีทาง

ด้วยความคิดอันอ่อนล้าจากการโดนจู่โจมด้วยความคับแค้นใจนานวันเข้า ในที่สุดวันนี้ผมก็ยอมแพ้ด้านมืดของตัวเอง

ก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้ ผมคว้าโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่หัวเตียงและโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันที

“มึงๆ ปรึกษาหน่อยสิ!!”

“ไอ้สัด!! ห้าทุ่ม!! กูจะนอนแล้ว!! หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรกูแช่งนะ!!”

“ไตเติ้ลเพื่อนรัก ฟังกูก่อนนะ!! กูอึดอั้นจนจะอกแตกตายแล้ว”

“โอเค น่าสนใจ เหลามา!!”

ผมบอกหมดเปลือก ไตเติ้ลเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมต้น จนถึงมัธยมปลาย เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเองมาด้วยกัน โดนแกล้งก็โดนมาด้วยกัน ดังนั้น คนที่เข้าใจหัวอกผมดีที่สุดก็ไม่ใช่ใคร ก็มันนั่นแหละ หวังว่าเดือนมหาวิทยาลัยอย่างมันคงมีความคิดแก้ปัญหาได้ดีกว่าด้านมืดของผม

“จัดมันเลยครับ เอาให้หนัก หลอกให้รักแล้วแม่งหักอกแม่ง!!”

“นั่นไง!! กูว่าแล้วมึงต้องมีความคิดที่ดีกว่ากู เอ๊ะ!! เดี๋ยวนะ!!”

“มึงฟังไม่ผิดหรอก ก็ไม่เมื่อหนีไม่พ้น มันจำมึงไม่ได้ นี่มันโอกาสแก้แค้นสัดๆ มึงเคยดูไหมเหมือนในซีรี่ย์น่ะ”

เสียงจริงจังของไตเติ้ลทำให้ผมนึกหน้าคนที่เคยเรียบร้อยและเดินทางสายกลางแบบนั้นไม่ออก อะไรในมหาวิทยาลัยที่ทำให้มันเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้

ผมเงียบไปพักใหญ่ ไตเติ้ลได้ทีมันก็เลยพยายามโน้มน้าวจนผมใจอ่อน และยอมทำตามแผนมัน ผมนั่งมองกระดาษโน้ตบนที่นอน มีข้อความที่ไตเติ้ลเพื่อนรักกรอกใส่หูผมผ่านโทรศัพท์


ทำตัวให้น่ารัก ให้มันรักจนโงหัวไม่ขึ้น
พอมันหลงแล้วก็เอาแต่ใจให้สุด
ย้ำว่า อย่าให้ความสัมพันธ์ถึงขึ้นจบกันที่เตียง (อ่านกี่ครั้งก็ขนลุก)
ห้ามสงสารหรือใจอ่อนกับมันเด็ดขาด
พอถึงจุดสูงสุดของความสัมพันธ์ให้เลิกทันที


แต่ละข้อล้วนไม่ใช่ตัวผมเลยสักนิด แทนที่จะทำให้ผ่อนคลายหาวิธีจบสวยๆ กลายเป็นว่า นี่มันยิ่งวุ่นวายมากกว่าเดิมเสียอีก

ผมกลิ้งตัวไปมาบนที่นอนใช้ศรีษะทุบหมอนซ้ำๆ จนภาพตัดไป

เช้าตรู่วันถัดมา ผมตื่นมาด้วยอาการปวดศรีษะอย่างหนัก สงสัยเพราะนอนไม่ค่อยหลับมาหลายวันติดต่อกัน วันนี้น่าจะต้องน็อคแน่นอน จำได้ลางๆ ว่าวันนี้พี่ท้อปจะพาผมไปร่วมกิจกรรมของบริษัท งานรื่นเริงประจำเดือนที่ผมอยากจะไปมาก คืองานเลี้ยงฉลองครบหนึ่งปีทำงานของพนักงานในบริษัท

ผมเฝ้ารอวันนี้มาโดยตลอดเพราะเดือนที่แล้ว ผมเพิ่งเข้ามาไม่นานก็เลยไม่ได้ให้ไปช่วยทำงาน

แต่วันนี้น่าจะฟาลว์ แล้วล่ะ

ผมจำไม่ได้ว่า ตอนนี้กี่โมงแล้ว รู้แต่ว่านาฬิกาปลุกของโทรศัพท์ของผมนั่น ดังและเงียบไปสองรอบแล้ว

ปึงๆๆๆๆ

เสียงคล้ายเสียงเคาะประตูดังขึ้นในความง่วงสลึมสลือของผม แต่ผมบอกกับตัวเองไปในทันทีว่า ‘ช่างมัน’ และหลับต่อทันที

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่นับจากเสียงโครมครามของการเคาะประตู
ผมก็พบว่ามีมือหนึ่งมาพยุงผมให้ลุกขึ้นและโหวกแหวกโวยวายด้วยอาการวิตกกังวล แต่ผมนั่นไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะสนใจและมองตามเสียงเหล่านั้น

รู้แต่ความร้อนในดวงตามันระอุมาก ร่างกายเองก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน รูสึกเหมือนตัวเองอยู่ในตู้อบซาวน่าขนาดเล็กที่มีผมคนเดียว

รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่บนเตียงที่ไม่คุ้นเคยเสียแล้ว เตียงแข็งๆ สีขาว ขนาดพอดีตัว ดวงไฟบนเพดานสว่างจ้าบนฝ้าเพดานสีขาวขุ่น ผมตกใจแต่ก็ขยับตัวไม่สะดวกเท่าไหร่ ได้แต่หันหน้ามองซ้ายขวาไปมา

แต่คนที่ผมหันมาเจอคนแรก คือ ไอ้คอปเตอร์!!

เหมือนมันนั่งจ้องผมตลอดเวลา ทันทีสายตาของผมกับมันสบกัน ไอ้คอปเตอร์ก็พุ่งตัวตรงรี่เข้ามาหาผมทันที

“มึงไม่สบาย” ประโยคแรงจากปากที่เรียบราบไร้อารมณ์ของมัน 

กูรู้แล้วไหม? อยากจะพูดสวนกลับไปแต่ขี้เกียจเก็บแรงไว้ก่อน

ผมจับข้อมือที่มีนาฬิกาสมาร์ตวอชท์ของมัน พยายามเพ่งว่าตัวเลขที่แสดงอยู่มีค่าเท่าไหร่ แต่ยังไม่ทันได้ดูรู้เรื่อง เจ้าของนาฬิกาก็สะบัดข้อมือให้หลุดออกและนำมือผมไปกอดไว้ที่อก

อะไรของมันวะ ผมคิดในใจอย่างหงุดหงิด

“กูจัดการโทรศัพท์ไปลาพวกพี่ๆ ให้มึงแล้ว” มันพูดออกมาอย่างภูมิใจ

ดีกับผีอะไรล่ะ!! มันควรเป็นมึงไหมที่ต้องโทรไปลาป่วยให้กู!! แล้วมึงทำไมไม่ทำงาน ผมกร่นด่ามันในใจซ้ำๆ แต่สิ่งที่มันแสดงออกกลับมาหลังพูดจบเหมือนกำลังจะบอกว่า

‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบใจก็ได้’

“มึงจะแกล้งกูไปถึงไหน!?!” ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายโวยวาย

“แกล้ง??” ไอ้คอปเตอร์หน้าถอดสีทวนคำพูดของผมอย่างแผ่วเบา

ยังไม่ทันที่ไอ้คอปเตอร์จะได้โต้ตอบอะไรต่อไป คณะหมอและพยาบาลก็เดินเข้ามาพอดี ทำให้ไอ้คนที่เหมือนอยากจะโยนคำพูดนับร้อยคำใส่ผม ถอยออกไปด้านหลังสามสี่ก้าว

ผมเองก็ไม่ทันมองว่ามันมีสีหน้าอะไร มันคงจะโกรธผมมากแน่นอน จากประสบการณ์  ใครไปทำแบบนี้กับมันมักจะจบไม่สวย เพียงแค่ผมคิดก็อยากจะกลับไปหมดสติต่อเลย

อารมณ์ชั่ววูบแท้ๆ

หลังจากให้คุณหมอตรวจโน่นนี่ด้วยอุปกรณ์อยู่พักใหญ่ คุณหมอก็ถามหาญาติของคนไข้อย่างผมทันที

และแน่นอน ไอ้คนที่เดินถอยร่นกลับไปเมื่อครู่ ได้หวนกลับมายืนที่เดิมแล้ว

คุณหมอนิ่งไปพักใหญ่จึงเอ่ยถามคนที่เดินเข้ามาในวงอย่างคอปเตอร์ว่า เป็นอะไรกับคนไข้

คำตอบที่ทำให้ผมอยากจะหายไปจากตรงนั้นก็คือ….

“แฟนครับ”

เชี้ยแล้วไง กะแล้วว่ามันไม่ได้ประสงค์ดี!!

“เอ่อ….เหรอครับ” หมอหนุ่มประจำห้องฉุกเฉินถึงกับพูดติดขัด

“คนไข้น่าจะพักผ่อนน้อยนะ คงจะกินน้อยด้วยนะ เนื้อตัวซีดไปหมด ไม่เป็นอะไรมากครับ พักผ่อนเยอะๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบห้าหมู่เดี๋ยวก็ดีขึ้น” หมอให้คำแนะนำกับไอ้ศัตรูของผมอย่างไอ้คอปเตอร์ ผมขบฟันเบาๆ กับรูปประโยคของหมอ

“เราเพิ่งคบกันน่ะครับ สงสัย….หนักมาหลายคืน…”

“เอ่อ.. ไม่ต้องบอกหมอก็ได้นะ… แต่ป้องกันใช่ไหม? ถึงไม่เป็นโรคภัยอะไรก็ต้องป้องกันอยู่เสมอนะครับ”

“แน่นอนครับ ผมมีติดห้องอีกเป็นโหล”

เฮ้ยๆๆๆๆ ไม่ใช่แล้ว!! ผมโคตรอายอยากหาทางหล่นจากเตียงแล้วคอหักตายตรงนี้เลย!!

แต่ด้วยอาการไข้ของผม ผมคงต้องเก็บการชำระแค้นนี้ไปก่อน!!

ในเมื่อมันวอนอยากให้ผมแก้แค้นนัก ก็ได้ กูจัดให้!! ผมคิดในใจก่อนที่ จะขอหลับตาและปล่อยให้ตัวเองพักผ่อนไปก่อน
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 4 Sweet Revenge (9-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 09-10-2023 19:58:06
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 4 Sweet Revenge (10-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-10-2023 14:12:20
..


ในที่สุดกำลังวังชาของผมก็ค่อยๆ ฟื้นคืน ผมรู้สึกดีขึ้นมาก ในขณะที่ที่ยังหลับตาอยู่ ผมก็พบว่าอุณหภูมิในร่างกายเย็นขึ้นมาบ้าง ร่างกายเบาขึ้น แม้ว่าอยากจะหลับต่อแต่ในใจกลับคิดกังวลเรื่องหนึ่งขึ้นมา คือ ตอนนี้ตัวผมอยู่ที่ไหนกันวะ?

ผมยกหนังตาขึ้นอย่างช้าๆ แสงจากภายนอกพยายามแทรกตัวผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาปะทะจนสายตาพร่าและปรับตัวแทบไม่ทัน ผมต้องหลับตาและพยายามค่อยๆ ยกกลีบตาขึ้นอย่างช้าๆ

ไม่นานสายตาผมก็สามารถปรับเข้ากับความสว่างของโลกภายนอกได้ ผมพบตัวเองกลับมานอนที่เตียงที่คุ้นเคย ห้องที่คุ้นตา แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือ ไอ้คนแปลกถิ่นที่มานอนงีบหลับอยู่ข้างๆ อย่างสบายใจ

แม้จะหงุดหงิดทันทีที่เห็นแต่สายตาดันไปสบกับถังน้ำแข็งและผ้าหมาดที่พาดอยู่ที่ปากถังขนาดเท่ากับที่เจอในผับ (จำได้ว่าในห้องตัวเองไม่มีอะไรแบบนี้?) เลยทำให้ความขุ่นข้องในใจทุเลาลง

ผมยกมือขึ้นทาบหน้าผากตัวเองให้สัมผัสถึงอุณหภูมิ มันไม่ได้ร้อนผ่าวเหมือนครั้งล่าสุดที่ผมรู้สึกได้

“อ้าว! ตื่นแล้วเหรอ หิวไหม? เดี๋ยวไปหาอะไรให้กิน กินรังนกไหม หรือกินพวก……อะไรที่บำรุงกำลังไหม?” คนที่นอนข้างตัวสะดุ้งตัวโยนลุกขึ้นนั่งและหันมาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง

ได้เจออะไรแปลกตาแบบนี้ก็ทำเอาโกรธไม่ลงเลย

ผมผ่อนลมหายใจและตอบอย่างกวนๆ ว่า

“เพิ่งหายไข้ กินพวกโจ๊กหรือข้าวต้มก็พอ จะบ้าเหรอไปกินของพวกนั้น” ผมแอบยิ้มกับความไม่ประสาของไอ้ลูกคุณหนูคนนี้

“โอเค เดี๋ยวไปซื้อให้!!” จบประโยค ไอ้คอปเตอร์ก็ผันตัวเองลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีอาการเซไปด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะทรงตัวอยู่

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวสั่งจากแอปฯ ก็ได้”

“ไม่เอาดีกว่า ร้านอะไรก็ไม่รู้ จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้!!” ไอ้คอปเตอร์ปฏิเสธเสียงขุ่น

“มันไม่เหมือนกับที่มึงไปซื้อตรงไหนวะ ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน!!” ผมกับมันต่างกันจะเหมือนน้ำกับน้ำมัน คงจะเข้ากันได้ยาก เรื่องแค่นั้นก็ทำผมหงุดหงิดจนได้

“แต่….” ไอ้คนเอาแต่ใจพยายามจะเถียง แต่พอเห็นผมหอบหายใจ มันก็แต่ได้ทำหน้าที่ยากจะบอกว่า มันโกรธหรือสลด

ผมผ่อนลมหายใจออกยาว ก่อนที่จะไล่ให้มันไปไหนก็รีบไปผมหิวจะแย่แล้ว เพียงจบประโยคมันก็หายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

ไอ้ตอปเตอร์มันหายไปนานพอควรจนผมรู้สึกจะหน้ามึดอีกรอบเพราะความต้องการพลังงานเข้าสู่กระแสเลือด

ขณะที่คิดที่จะกร่นด่ามันออกมา ประตูห้องผมก็เปิดออกกว้าง ประตูไม้แผ่นหนากระแทกกับตัวรองกันกระแทกดังปึง ประตูไม้สุดแกร่งสั่นสะท้านอยู่นาน

ความคิดแว่บแรกที่คิดขึ้นได้คือ ‘ประตูห้องเรามันเปิดได้ง่ายขนาดนี้เลยหรือ? มันเป็นตัวล็อกอัตโนมัติไม่ใช่หรือ? หากไม่มีกุญแจมันไม่ควรจะเปิดได้?’

แต่ความคิดเหล่าก็หายไปเพราะกลิ่นหอมแตะจมูกที่โชยมาจากชามขนาดใหญ่ที่ไอ้คนบ้าพลังถือมา

“หอมจัง ซื้อมาจากร้านไหนอ่ะ?” คำถามแรกที่ผมคิดได้หลังจากที่ไอ้คอปเตอร์วางชามนั้นลงบนโต๊ะข้างเตียง

ถึงกลิ่นจะหอมเตะจมูกแต่หน้าตากลับเป็นคนละเรื่องผมถึงกับหน้าแปรเปลี่ยนเมื่อเห็นสภาพข้าวต้มในชามยักษ์

“กูทำเอง ขนาดถามสูตรแม่กูมาเลยนะ!”  อีกฝ่ายดูภูมิใจไม่น้อย

“กินได้แน่นะ!!” ผมเบือนหน้าออกห่างมาเล็กน้อย

“มึงดูถูกสูตรอาหารแม่กูเหรอ กูไม่สบายทีไรได้กินทุกที กูถึงขนาดยอมป่วยเลยนะเพื่อที่จะได้กิน” ไอ้คอปเตอร์มันยังไม่หยุดภูมิใจแบบแปลกๆ

“เอ่อ….. จริงง่ะ?”

“เออ!! กูรู้ว่าหน้าตามันอาจจะไม่ได้น่ากินเท่าไหร่ ก็กูไม่เหมาะกับเรื่องละเอียดอ่อนแบบการปรุงอาหารนี่หว่า”

“แต่มึงซื้อได้นะ มึงรู้ไหม?”

“กูอยากให้มึงหายไวๆ กูกินทีไรก็หาย”

ผมกุมขมับ รู้สึกปวดหัวเฉียบพลัน ผมคงต้องลดการต่อเถียงกับมันเสียแล้ว ไม้รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าเดี๋ยวนี้ผมกล้าที่จะโต้ตอบมันมากขึ้น

ช่วยไม่ได้ ก็มันชอบแสดงท่าทางแปลกๆ กับผมก่อน หลังๆมานี่เวลาผมไม่พอใจอะไร มันก็กลับเงียบใส่เสียนี่สิ ทำให้ผมได้ใจไปหมด ไม่รู้ว่านี่คือหลุมพลางอะไรเปล่า?

งั้นพิสูจน์จากข้ามต้มหน้าตาพิศดารนี่ก่อนละกัน

ผมเงื้อมือไปหยิบช้อน พยายามช้อนตักให้น้อยที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะมีดีแค่กลิ่นหรือเปล่า?

ผมจ้องช้อนอยู่ครู่ใหญ่ท่ามกลางสายตาเอาใจช่วยอย่างไอ้คอปเตอร์

กรึบ!!

ผมงับช้อนโต๊ะสแตนเลสอย่างเร็วและพยายามกลืนลงไปให้เร็วที่สุด แต่ที่แปลกคือ ลิ้นผมมันบอกว่า ก็ไม่ได้แย่  ไอ้กลิ่นหอมๆ นั่นมาจาก สมุนไพรอะไรสักอย่างที่คุ้นเคยมากๆ และน่าจะมีมากกว่าหนึ่ง มันแฝงอยู่ในหมูบดที่ปั้นเป็นก้อนรูปทรงประหลาด น้ำซุปก็มีความหวานจากซุปกระดูกและผัก ที่หั่นอย่างไร้ความบรรจง ของบางอย่างมันดูแต่รูปร่างภายนอกจริงๆ

ไปๆ มาๆ ผมก็ซัดข้าวต้มพิศดารชามนั้นจนหมด ไอ้คอปเตอร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างภูมิใจ ถึงจะรู้สึกหมั่นไส้ แต่ก็ต้องขอบใจมันล่ะนะ


หลังจากอิ่มจนท้องแทบจะปริ ผมก็เพิ่งมาสังเกตเสื้อผ้าตัวเองอย่างละเอียด ลูบเนื้อผ้าไปมาพลางนึกถึงเรื่องราวล่าสุด ผมจำได้ว่าชุดนอนที่สวมใส่อยู่มัน… ไม่ใช่ชุดเดิม!!

“นี่มึงเพิ่งจะรู้ตัวเหรอไงว่ากูเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ก็ไม่แปลกนะ เสื้อผ้าชุ่มเหงื่อขนาดนั้น มันต้องเปลี่ยนป่าววะ” ไอ้คอปเตอร์อมยิ้มพลางเก็บถ้วยชามภาชนะที่นำมาจากห้องตัวเองลงบนถาดที่มาพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ แม้จะดูแปลกตากับภาพตรงหน้า แต่ไม่ใช่เวลามานึกแปลกใจกับเรื่องนี้

“ไอ้สัด!!” ผมกระโดดออกห่างเท่าที่ทำได้ ปากก็กร่นด่าไปเรื่อยเท่าที่ตัวเองจะนึกออก

“กูไม่แอบทำอะไรหรอก อย่างกูน่ะต้องให้เต็มใจเท่านั้น!!”

“เว้นกูไว้คนหนึ่งล่ะ กูไม่มีทางเต็มใจกับคนอย่างมึงแน่นอน” ผมรู้สึกผิดแผนที่จะหลอกให้มันคบกับผม แต่แบบนี้มันล้ำเส้นเกินไป

“เอาน่า… ยังไม่ใช่ตอนนี้ก็ต้องมีสักวัน” ไอ้คนที่มั่นหน้ามั่นใจอย่างมันพูดอย่างเปิดเผยใส่หน้าผม

หากผมสบายดีก็อยากจะวิ่งไปตอกหน้ามันด้วยหมัดสักที เห็นผมตัวบางๆ แบบนี้ แต่ผมก็เป็นมวยนะครับ

ผมได้แต่ยกนิ้วกลางให้มันเป็นคำตอบ เพราะขืนทำอย่างที่คิดจริงๆ หากมันโต้ตอบขึ้น ผมคงกลายเป็นศพคาห้อง บวกกับโดนอำพรางคดีเหมือนคดีกลั่นแกล้งต่างๆ ของมันสมัยเรียนแน่นอน

ไอ้คอปเตอร์ไม่ได้ตอบอะไรกับสิ่งที่ผมทำกับมันต่อหน้า มันกลับยิ้มเยาะและเดินเข้ามาใกล้

ใกล้ขึ้น

ใกล้ขี้นเรื่อยๆ


“เฮ้ยๆๆ ทำอะไรน่ะ!!?” ผมหยิบผ้าห่มมาคลุมร่าง ล่าถอยไปจนสุดหัวเตียงของผนังห้องอีกฝั่ง

“ไข้ลดแล้วนะ วันนี้จะให้นอนเป็นเพื่อนอีกไหม?” มันยกหลังมือขึ้นทาบกับหน้าผากของผม ใบหน้าใกล้กันจนผมสัมผัสลมหายใจอุ่นๆ ของอีกฝ่ายได้ 

รอยยิ้มมุมปากที่พูดประโยคนั้น ทำให้ผมรู้สึกขนลุกวาบไปตั้งแต่ขายันศรีษะ แต่หัวใจกลับเต้นระรัวเหมือนกับอาการตื่นเต้นที่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ทำให้เผลอไปนึกถึงตอนที่ผมฟื้นสติใหม่ๆ

แล้ว…. มีไอ้คอปเตอร์นอนอยู่ข้างๆ

“ไม่จำเป็น!!” ผมคลุมผ้าห่มปิดทั้งตัวให้พ้นจากสายตาที่ส่งมาอย่างเจ้าเล่ห์ คู่นั้น ร้อนนะ แต่ก็ไม่กล้าเปิดผ้าที่คลุมโปงอยู่

เพียงครู่ใหญ่ เสียงฝีเท้าสัมผัสพื้นค่อยๆ ห่างออกไป

ผมโล่งอกและเปิดผ้าห่มรับอากาศภายนอก นอนหงายผายร่างกางแขนขาออกอย่างโล่งอก เจอกันแค่นี้ยังหัวใจจะวาย หากให้มันมาใกล้ชิดกว่านี้ ผมจะไหวไหมเนี่ย?
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 4 Sweet Revenge (10-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 10-10-2023 23:08:44
 :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (16-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 16-10-2023 13:40:42

บทที่ 5 เขินให้หน่อย


สุขภาพดีขึ้นหลังจากลาไปสองวันติด ผมคิดวางแผนอยู่ข้ามคืน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะเริ่มแผนการตามที่เพื่อนรักแนะนำไว้ในวันรุ่งขึ้นโดยใช้จังหวะที่หายไม่สบายนี่แหละในการเข้าหามัน และพยายามหาจุดอ่อนของมันเพื่อที่จะล้างแค้นอย่างสาสม

เริ่มจากไปทำงานด้วยกัน ผมส่งข้อความไปหามันว่าไหนๆ ก็อยู่ที่เดียวกันแล้ว ขอติดรถไปด้วยได้หรือไม่?

แน่นอน มันตอบตกลง เหตุที่มันมาอยู่ใกล้ๆ ผมก็เพราะว่าแค่เวลาที่ออฟฟิศมันไม่พอนี่แหละ เลยหาเรื่องมาอยู่ใกล้ๆ จะได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน

“มึงก็ซื่อกว่าที่คิดนะ เรื่องแบบนี้มึงจะบอกกูเพื่อ?” ผมเขียนสวนมันไปทันที สักพักช่องแชททางซ้ายมือก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

“เรื่องนี้ปิดคนรักมันไม่ดี”

“ยังไหม? กูยังไม่ได้เป็นรักคนของมึง” ผมเขียนไปพร้อมส่งสติ๊กเกอร์หน้าโกรธกลับไป

อีกฝ่ายก็แค่เขียนเลขห้าหลายตัวติดกันกลับมา

ไอ้ไตเติ้ลเพื่อนรักบอกว่าให้อ่อย แต่ผมอ่อยใครก็ไม่เป็นนี่นา ที่ผ่านมามีแต่คนเข้าหาก่อน แล้วกับไอ้คนที่เกลียดเข้าไส้แบบนี้ผมจะต้องยังไงนี่ยังคิดไม่ออก

หากเมื่อครู่เปลี่ยนจากการแชทเป็นการเจอหน้ากัน ผมคงเลือกที่จะนิ่งเงียบไม่ตอบ เพราะไม่รู้ว่าทำท่าทางฉุนเฉียวใส่มัน ผมจะเป็นอะไรไหม

หวังว่ามันจะมาจีบผมจริงๆ ไม่ใช่มาแกล้งอะไรผมอีก!!

ตลอดการเดินทางมาที่บริษัท สิ่งที่ผมคิดไว้ว่าจะอ่อยมันอย่างนั้นอย่างนี้สารพัดที่จะคิดได้ก่อนจะขึ้นรถสรุปคือผม ไม่ได้ใช้สักอย่าง

ผมนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาจนกระทั้งถึงที่หมาย

“ลงไปก่อนนะ เดี๋ยวกูไปจอดด้านใน เดี๋ยวมึงเดินไกล ไปเจอกันข้างบนนะ” ไอ้คอปเตอร์จอดตรงทางขึ้นลิฟต์เฉพาะวีไอพี

ผมเดินลงมาด้วยอาการลังเล

“ไม่ต้องห่วง กูให้เขาเพิ่มสิทธิ์มึงแล้ว สแกนใบหน้าแล้วเข้าลิฟต์ขึ้นไปได้เลย” มันตะโกนออกมาจากรถแล้วก็ขับตรงไป

ผมเดินที่ประตูทางเข้าพื้นที่รอลิฟต์วีไอพีอย่างว่าง่าย เพียงเดินไปทางเครื่องสแกนเนอร์ ประตูก็ปลดล็อกทันทีพร้อมกับเสียวผู้หญิงพูดว่า “welcome”

โอโห! เพิ่งเคยมาสังเกตนี่แหละว่ามีเสียงแบบนี้ด้วย ก่อนหน้านี้มัวแต่ตื่นตระหนกจนหูดับ

หลังจากเดินเข้าในลิฟต์และกดเลือกชั้น ถึงได้นึกได้ว่า ผมไม่ควรออกจากส่วนนี้ไปที่แผนกได้โดยตรงนี่หว่า!!

แต่กว่าที่จะคิดอะไรออก ห้องโดยสารก็เดินทางมาถึงชั้นที่หมาย เสียงกริ่งดังพร้อมการเลื่อนเปิดของประตูอย่างช้าๆ

ผมเดินออกมาพลางคิดแผนต่างๆ นานารวมถึงดูนาฬิกาข้อมือว่ากี่โมงแล้ว คนมากันเยอะหรือยัง?

เวลาคิดน้อยไป บวกกับคิดว่าอีกหลายนาทีหว่าจะถึงเวลาเข้างาน ผมจึงรีบเดินออกจากประตูวีไอพีทันที

สิ่งแรกที่เห็นคือ แม่บ้านของชั้นนี้ ที่ออกอาการประหลาดใจทางสีหน้าชัดเจน แต่โชคดีที่คนทำงานยังบางตาผมอาศัยจังหวะนี้ก้มตัววิ่งหลบเข้าห้องอย่างรวดเร็ว

ไม่มีเสียงใครทักเหมือนทุกครั้ง ดังนั้นน่าจะรอด!!

ไม่ถึงสิบนาทีไอ้คุณชายของบริษัทก็เดินทางมาถึงโต๊ะ พร้อมกับใช้มือขยี้ศรีษะผมพร้อมคำทักทายแบบเป็นกันเอง

“นี่! มึงสนิทกับกูขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมชักสีหน้าแบบอัตโนมัติ (นี่แปลว่า จิตใจผมมีภูมิกับไอ้คอปเตอร์พอควรเหมือนกันนะ)

“พาไปโรงพยาบาล เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ นอนค้างอยู่บนเตียงเดียวกันทั้งคืน ทำอาหารให้กิน นี่มันสนิทจนเป็นแฟนได้แล้วป่ะ?” ไอ้คอปเตอร์ยกยิ้มมุมปากและมองผมด้วยสายตาชวนอยากจะอ้วกตรงนี้

“ขนลุกว่ะ แล้วอย่าพูดเสียงดังได้ไหม? กูเสียหาย!” ผมลุกขึ้นไปใกล้ ยกมือไปปิดปากมันแน่น

กว่าจะรู้ตัวว่าโดนอีกฝ่ายโอบเอว ยิ้มยกมุมปากสูงอย่างที่ไม่เคยเห็น ผมจึงรีบผละตัวเองออกทันที

และแล้วผมก็ต้องสะดุ้งตัวโยนอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงกระแอมดังจากระยะไม่ไกล

ผมรีบหันไปทางต้นเสียงทันที ผมพบพี่ท้อปยืนแสยะยิ้มแบบเกร็งๆ ส่งมาทางผม

“พี่ขอตัวเราไปช่วยงานหน่อยได้ไหม?” พี่ท้อปกวักมือไหวๆ

“เพื่อนผมมันเพิ่งหายไข้ จะให้มันพักสักหน่อยไม่ได้เหรอ?” ไอ้คุณเจ้าของบริษัทในอนาคตกร่างเสียงดัง

ผมโคตรจะไม่ชอบเลย อะไรแบบนี้ ผมจึงรีบผุดลุกขึ้นและเสนอตัวที่จะไปทำงานกับพี่ท้อปแทรกขึ้นมาทันที


………

“เป็นอะไรมากไหม? พี่ใช้งานเราหนักไปเหรอ?” พี่ท้อปเอ่ยถามไถ่ทันทีเมื่อมาถึงที่โต๊ะตนเอง

“ไม่ๆ ครับ อาจจะเพราะผมเป็นภูมิแพ้นะครับ แล้วก็มีเรื่องที่ทำให้นอนไม่หลับนิดหน่อย” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม

“โอเคๆ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ แล้วก็….” สีหน้าของพี่ท้อปรู้ได้เลยว่าถือเผือกร้อนไว้ในมือ

“ทำไมคุณคอปเตอร์ถึงได้โทรศัพท์มาแจ้งเรื่องที่เราป่วยได้ล่ะ ไปสนิทกันตอนไหน?” พี่ท้อปป้องปากพลางถามด้วยเสียงที่แผ่วลงกว่าเดิม

“ไม่สนิทนะ ก็มัน……” ผมลังเลกับคำตอบ

พี่ท้อปเลิกคิ้วสงสัยกับคำตอบที่หยุดชะงักไป

“ก็….ก็ วันนั้นมันโทรศัพท์มาถามเรื่องอะไรสักอย่างแต่ผมป่วยมันก็เลยบอกว่าจะแจ้งพี่ให้!” โกหกไม่เก่งเลยผม

พี่ท้อปอือ ออ พยักหน้าด้วยอาการเคลือบแคลงสงสัย

“แล้ววันนี้มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?”

“อืมมม เคลียร์งานเดิมที่โต๊ะก่อนก็ได้ เดี๋ยวเสร็จแล้ว ค่อยมาหาพี่นะ แต่สักบ่ายสองก็ได้ พี่ไม่รีบ”

ผมได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ผมควรจะได้ประสบการณ์เยอะๆ จากการทำงานสิ ไม่ใช่ได้ทำงานสบายๆ แบบนี้ แต่ก็จนใจหันตัวหลับห้อง

ก่อนออกจากพื้นที่โต๊ะพี่ท้อป ผมกลับโดนพี่ท้อปรั้งไว้ แล้วก็แอบกระซิบใส่ผมว่า ผมโดนที่นี่เม้าส์มอยอย่างสนุกปากว่าเป็นกิ๊กกับลูกชายเจ้าของบริษัท

ผมไม่เข้าใจกับการอธิบายสั้นๆ แบบนี้ ผมไม่ได้พิเศษไปกว่าใครเลยนะ คัดเลือกเข้าฝึกงานผมก็ได้ด้วยความสามารถและประวัติการเรียนและกิจกรรมของผมเอง

พี่ท้อปพูดสั้นๆ ก่อนที่จะปล่อยผมกลับห้องไปว่า
“พี่ไม่เคยเห็นคุณคอปเตอร์ปฏิบัติกับใครแบบนี้มาก่อน ส่วนใหญ่จะโดนตึงใส่จนแทบจะร้องไห้หนีกลับบ้าน”

ฟังแล้วผมก็เข้าใจนะ ไอ้เรื่องความตึงของไอ้คนเถื่อนคนนี้ แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็รู้สึกว่าเข้าทางแผนการของผมแล้วล่ะ

ผมเดินกลับไปที่ห้องเอกสารที่ๆ ถูกจัดให้นักศึกษาฝึกงานอยู่ ก็ต้องแปลกใจที่ประตูเปิดค้างอยู่ หลังมองผ่านเข้าใจก็เข้าใจ เพราะเห็นไอ้คนหน้าตึงนั่งกางขาจ้องช่องประตูเหมือนจะให้มันปรากฏภาพที่ตัวเองต้องการเหมือนกระจกวิเศษ

หลังจากที่ไอ้คอปเตอร์เห็นหน้า ก็เหมือนกับสุนัขที่นั่งเฝ้าบ้านทั้งวันแล้วเห็นเจ้าของกลับมา

หน้าตึงๆ ของมันผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด พลางลุกขึ้นมาโวยวายว่าทำไมผมถึงหายไปนานจัง

สำหรับผมก็คิดว่ามันไม่นานนะ  ผมเลยตอบสวนไปอย่างไม่ทันคิด ด้วยไหวพริบของผม จึงลองใส่อารมณ์ในคำพูดต่อไปเหมือนกับว่า

“ไปทำงานนะไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แล้วมึงไม่มีอะไรทำหรือไง?”
เป็นการลองใจครั้งสำคัญ ว่ามันจะหลอกผมเล่นแล้วซัดผมสลบ หรือว่า ชอบผมจริงและยอมให้กับผม

ผิดคาด คอปเตอร์มีอาการอึดอัดทางใบหน้าชัดเจน พยายามเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็กลั้นไว้ แล้วก็กระแทกลงนั่งที่เก้าอี้ตนเอง

“กูก็นึกห่วงว่าจะโดนดุ หรือ ให้ทำงานอะไรที่มันหนักเกินไป มึงเพิ่งหายป่วยนะ”  ท่าทางดูฝืนๆ แต่ก็มีท่าทีห่วงใยแบบขัดๆ ไปหมด

คงเป็นประเภท ไม่เคยทำดีกับใครล่ะมั้ง?? ผมคิด ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบมันจะมีมุมแบบนี้ให้เห็น

ผมเค้นเสียงหัวเราะในลำคอออกมาด้วยความไม่ตั้งใจ ไอ้คอปเตอร์หันมามองด้วยอาการงวยงงและรับหันกลับไปจดจ่อกับภาพพักหน้าจอที่ดำมืด

ตลอดวันนี้ทั้งวันเป็นวันที่อึดอัดไปหมดสำหรับไอ้คอปเตอร์ ผมรู้สึกว่ายิ่งมันมีความพยายามที่จะใกล้ขิดกับผมมากขึ้น มันก็ยิ่งแสดงออกด้วยท่าทางที่ขัดตาจนผมอดที่จะขำไม่ได้  จนกระทั่งเลิกงาน ผมจึงสบโอกาสพูดกับมันบนรถซีดานคันหรู

“ลำบากนักก็ไม่ค้องพยายามเลย มึงอึดอัดกูก็อึดอัด เป็นตัวของตัวเองเถอะ!!”

“แต่..กูอยาก….จีบมึง….”

“นี่น่ะเหรอวิธีจีบของมึง ตอนแรกก็บังคับกูทำตามใจมึงทุกอย่าง พอครั้นจะเอาใจกู มึงก็เก้กังๆ ถามจริงมึงไม่เคยจีบใครเหรอไง?”

“ก็เออไง กูไม่เคยจีบใคร เคยแต่มีคนเข้าหากู กูไม่ต้องทำอะไรนี่หว่า”

“อันนี้คือประโยคบอกเล่า หรือ อวด?”

“ไม่ใช่นะมึง ก็กูไม่เคยไง!”

น้ำเสียงและหน้าตาอันแสนจริงจังของมันทำให้ผมเขื่อคำพูดของมันได้ระดับหนึ่ง ผมพยักหน้ากับคำตอบของมันแบบลอยๆ

“กู…เอ่อ…. กูยอมเป็นคนคุยของมึงก็ได้”

“คนคุยนี่คือแฟนใช่ไหม?”

“ไม่ใช่โว้ย ก็คือยอมรับว่า..ประมาณดูๆ กัน ยังก้ำกึ่งน่ะ เอาเป็นว่ายังไม่ใช่แฟนโว้ย!!”

“อย่างน้อยมึงก็เปิดใจ” มันยิ้มกว้างอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ตาผมเบิกกว้างเพราะไม่คิดจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้

นี่มันชอบผมจริงๆ เหรอ?

“เออๆ แล้วก็เลิกทำตัวแปลกๆ ได้แล้ว กูอึกอัดทำตัวเหมือนเพื่อนปกติได้ไหมวะ?”

“แล้วมันจะเหมือนแฟนกันได้ไง กูอยากได้ฟิวแฟน”

“ก็ทำตอนอยู่กันสองคนก็….ด้ายยย” ผมรู้สึกผิดที่เผลอพูดคำนี้ออกไป เพราะประกายตาของไอ้คอปเตอร์และคำพูดตอบรับของมันทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ

“งั้นขอมือหน่อย?”

“อะไรของมึง!”

“อยากจับมือน่ะ”

“ยังๆ เรายังไม่ถึงขั้นนั้น!”

“ก็อยากจะเริ่มต้นอยู่ด้วยกันด้วยอะไรดีๆ แบบนี้”

ผมมองไปในนัยน์ตาของมันแล้วก็คิดว่าไอ้คนนี้มันคิดอะไรของมันกันน่ะ รู้สึกอันตรายขึ้นมาเลย

ในที่สุดผมก็ปฏิเสธซ้ำๆ จนมันเลิกงองแงไปเอง หลังจากมาถึงอพาร์ตเมนต์ผมก็ดิ่งตัวลงจากรถทันที

ไอ้คอปเตอร์เปิดกระจกและตะโกนออกจากรถทันทีที่ผมหันหลังให้กับตัวรถ

“เดี๋ยวไปกินข้าวเย็นห้องมึงนะ!”

ก่อนที่ผมจะตอบปฏิเสธ มันก็วนรถไปจอดในพื้นที่จอดรถยนต์ด้านในสุดเสียแล้ว  ผมไม่เสียงเวลาอึ้ง ผมรีบจ้ำฝีเท้าขี้นห้องพักทันที

……………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 4 Sweet Revenge (16-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-10-2023 15:57:47
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (17-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 17-10-2023 17:31:39


เสียงท้องร้องดังลั่นห้อง ผมนั่งลูบท้องไปมาพร้อมกับดื่มน้ำเย็นๆ ลงไปดับความกระหายที่เหมือนไฟไหม้ป่าแถวออสเตรเลีย บอกเลยว่ามันไม่พอ

ถ้าจะถามผมว่าทำไมต้องมานั่งทนหิวแบบนี้ไม่ๆปหาอะไรกิน ไม่ใช่เพราะผมรอไอ้ห้องฝั่งตรงข้ามมากินมื้อเย็นด้วยนะ แต่เป็นการกลัวว่าเปิดประตูห้องไปแล้วจะเจอมันแล้วขอเข้าห้องมาอยู่ด้วยกันนี่แหละ

รู้สึกว่าช่วงหลังๆ มานี่ชีวิตเหมือนถูกติดจีพีเอส ไม่ว่าจะไปที่ไหนทำอะไรก็จะเจอมันไปทุกที่

การปิดห้องอยู่เงียบๆ มืดๆ น่าจะเป็นการดีที่สุด ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็เข้าแล้ว กลางวันก็ต้องทนอยู่กับมัน หากต้องมาเจอกันกลางคืนแบบยาวๆ ไปแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามันเกินจะรับไหวจริงๆ

คิดว่าไหวก็ต้องไหวต้องทนหิวให้ได้


ไม่ทันที่ความหิวโหยจะเล่นงานผมจนหมดแรง เสียงสะเดาะประตูดังกริ๊ก แล้วประตูก็เปิดกว้างออก เผยให้เห็นชายร่างสูงโปร่งในชุดลำลองและหอบหิ้งถุงกระดาษและถุงผ้ามากมายภายใต้ฉากหลังที่ส่องสว่างจากหลอดไฟแอลอีดีของโถงทางเดิน

“มึงอยู่ทำไมมืดๆ วะ!” เสียงที่คุ้นเคยเพราะฟังมาทั้งวันดังขึ้น

เชี้ย!! ผมลืมไปว่ามันเปิดเข้าประตูผมได้นี่หว่า  สงสัยต้องเคลียร์กับเจ้าของอพาร์ตเมนต์เสียหน่อยแล้ว!!

“เดี๋ยวนะ!! มึง!! เข้า!! ห้อง!! กู!! ได้!! ยังไง!!?” ผมรีบถามเรื่องที่อยากรู้ที่สุดตอนนี้

“ก็ตอนมึงไม่สบาย กูเลยขอคีย์การ์ดสำรองกับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ หรือมึงจะให้กูพามึงไปนอนห้องกู?”

จริงของมัน เออกูยอม!!


“งั้นก็รีบไปคืนสิ กูสบายดีแล้วกูอยู่ตัวคนเดียวได้!!”
ผมแบมือขอคีย์การ์ดที่พูดถึงทันที

“ไม่ได้หรอกกูซื้อแล้ว กูบอกว่ากูห่วงแฟนเดี๋ยวเป็นอะไรอีก!”

“ใครแฟนมึง?!”

“ก็ไม่ใช่วันนี้ แต่อีกหน่อยก็ใช่”

“มึงนี่โคตรมั่น!!”

คราวนี่มันไม่ตอบทำได้แค่ส่งยิ้มตอบกลับมาแล้วก็ชวนกิมมื้อเย็นที่มันหอบหิ้วมา ทุกอย่างล้วนมาจากร้านอาหารที่ไม่คุ้นชื่อ

ด้วยความสงสัยผมจึงชี้ถามทีละจานเพราะแต่ละอย่างล้วนน่ากินและมีกลิ่นหอมที่ชวนให้กระเพราะทำงานอย่างหนัก

ไอ้คอปเตอร์ยืดอกอย่างภูมิใจว่าเป็นร้านอาหารที่มันไปลงทุนกับคนรู้จักไว้ เพราะเป็นคนชอบอาหารเหมือนกัน

ผมเผลอแบะปากกับความขี้อวดของมัน แต่ถึงไม่ชอบหน้าเจ้าของอาหาร แต่ผมก็ยอมรับเอาอาหารเข้าปากอย่างไม่รีรอ

ในขณะที่ที่อีกฝ่ายทำแค่นั่งยิ้มดูผมกินอย่างสวาปามพลางเล็มอาหารไปพลาง

“กูไม่ใช่สัตว์ในสวนสัตว์นะ มานั่งดูกูกินอยู่ได้ มึงเองก็กินด้วย ผมเผลอจิ้มทอดมันกุ้งโดนัทชุบแป้งทอดขิ้นเล็ก ไปจ่อที่ปากที่ยกยิ้มย่นของมัน

มันแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าไม่ควรทำแบบนี้ชักมือออกก็ถูกมือหยาบคว้าข้อมือไว้แน่น และบังคับให้ผมป้อนทอดมันกุ้งชิ้นนั้นเข้าปากอย่างอารมณ์ดี


……..


“วันนี้ขออาบน้ำห้องมึงนะ ห้องกูน้ำไม่ไหล” ไอ้คอปเตอร์พูดขึ้นหลังจากที่ผมกำลังเก็บทำความสะอาดหลังมื้ออาหาร

“มึงก็แจ้งพี่ที่ดูแลหอพักข้างล่างสิ เขาพาช่างมาดูเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ” ผมพูดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา

“กูบอกแล้ว แต่วันนี้ช่างประจำตึกหยุด”

“ง่ายดีเนอะ อีกหน่อยก็มาขอนอนกับกูด้วยมั้ง!”

“เออ….เรื่องนี้กูก็อยากจะขอเลย คือ ห้องกูแอร์ไม่เย็นเลย ขอนอนห้องมึงได้ไหม?”

“ง่ายๆ นะ มึง!! กลับ!! บ้าน!! มึงสิ!!” ผมเน้นคำใส่มันอีกครั้ง รู้สึกที่งตัวเองเหมือนกันที่เหมือนจะบรรเทาอาการหวาดกลัวมันไปเยอะ หลังจากรู้ว่ามันมาจีบจริงๆ (มั้ง)

“กูเหนื่อย พรุ่งนี้เช้ากูต้องขับมารับมึงอีก!!”

“งั้นก็ไม่ต้อง กูไปเองได้!”

“ไหนว่าเราเป็นแฟนกัน!!”

“กูไม่เคยพูดสักคำ!! ว่ามึงเป็นแฟนกู!! คนคุยน่ะ รู้จักคนคุยไหม?”

“ต่างกันตรงไหน คนคุยก็เหมือนแฟนป่าววะ?”

“เฮ้อ…… แล้วแต่มึงเลย แต่มึงกลับบ้านไปเลย”
รู้สึกปวดหัวไมเกรนจะขึ้น ทำไมมันถึงได้น่ารำคาญขนาดนี้วะ แค่อยู่ด้วยกันแค่นี้ก็เกร็งจะแย่ หากต้องมานอนร่วมเตียงแบบนี้ มันเกินไปนะ

“งั้น..กูไปนอน ร้อนๆ ในห้องก็ได้” พูดจบก็ทำหน้าตึงซึมลง ไอ้อาการแบบนี้ ไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกแปลบปลาบที่กลางอกแปลกๆ ผมผู้ไม่เคยทำให้ใครรู้สึกแย่ ก็เลยรับบทคนรู้สึกผิดไปเต็มๆ

บ้านก็มีทำไมไม่กลับ กลับบ้านไปนอนห้องหรูๆ มันง่ายกว่าเห็นๆ มันเลือกเองช่างมัน ผมพูดซ้ำๆ ในใจกับตนเอง

สุดท้าย มันยังไม่ทันก้าวออกพ้นห้อง ผมก็ต้องยอมตกลงให้ให้มัน ร่วมห้องด้วยในคืนนี้

“คืนเดียวเท่านั้นนะ” ผมกำชับ ใส่ไอ้คนหน้าบานเป็นพานถวายสังฆทานชุดใหญ่

ผมส่ายหน้ากับความเจ้าเลห์ของมัน

……………….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (17-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 17-10-2023 20:39:55
 :serius2: :angry2:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (24-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 24-10-2023 12:02:52

……………….

หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันเดียว แบบนี้มันไม่ถูกต้อง มันเหมือนวางแผนดับเครื่องชนแบบนี้ไม่ได้ ผมคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างแก้แค้นกับยอมเลิกราเพียงเท่านี้

ผมพูดซ้ำๆ ย้ำๆ กับตัวเองว่า ที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่ได้ทำเพื่อสงสารมัน แต่เป็นการทำให้มันตายใจจะได้แก้แค้นมัน ทำให้มันเสียใจเจียนตายตอนผมทิ้งมัน

ตอนนี้ไอ้คนดื้อด้านมันมาขออาบน้ำอยู่ที่ห้องผม หลังจากที่มันเดินออกจากห้องผมยังไม่ทันได้นับหนึ่งถึงสิบ มันก็เดินกลับมาพร้อมสัมภาระค้างคืนพร้อมสรรพ ประหนึ่งเตรียมการมาแล้วอย่างดี

ผมกำลังคิดผิดอยู่หรือเปล่านะ

ผมจึงขออาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน ไอ้คอปเตอร์มันไม่ปฏิเสธแต่ขอนั่งรอในห้องผมได้ไหม? แน่นอนว่าผมปฏิเสธ แต่ถ้าจะให้เสียเวลาคุยกับมันไปเรื่อยๆ ผมคงไม่ได้นอน เลยปล่อยมันเข้ามารอในห้อง

ตอนที่ผมแต่งตัวชุดนอนออกจากห้องน้ำ ไอ้คอปเตอร์ก็ส่งสายตาสำรวจมาที่ผม พร้อมกับแสดงสีหน้าผิดหวัง

อย่างมึงอย่าคิดว่าจะได้เห็นผิวใต้ร่มผ้ากูเลย ผมแสยะยิ้มในใจ แล้วก็ไล่มันไปอาบน้ำให้เรียบร้อย

แค่คิดถึงเหตุการณ์นี้ ผมก็แอบขนลุกแล้ว  ดังนั้นตอนนี้ผมจึงทำได้เพียงจัดที่นอนแบบแยกโซนชัดเจน เอาหมอนข้างมาแบ่งกั้นอาณาเขตระหว่างสองฝั่ง ขณะที่ไอ้คอปเตอร์มันเข้าไปอาบน้ำ

ไม่นานไอ้ตัวปัญหาก็ออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกลิ่นที่คุ้นเคย

“นี่มันกลิ่นครีมอาบน้ำ แชมพูของกู มึงก็เอาของตัวเองมาทำไมไม่ใช่ของมึงวะ!!” ผมหันไปหาเรื่องทันที

แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ เรือนร่างกึ่งเปลือยของไอ้คอปเตอร์ มันเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ พาดตรงไหล่ข้างหนึ่งและปล่อยกลุ่มชายผ้าลงมาปิดแค่ส่วนสำคัญของมันเท่านั้น

ผิวขาวละเอียดและมัดกล้ามเนื้อกำลังดีที่ถูกหยดน้ำเกาะอย่างบางเบาไปทั่วร่าง เหมือนหลุดมาจากนิตยสารนายแบบเล่มดัง

“เชี้ย!! มึงจะเปลือยเพื่อ!!?” ผมหันหลังกลับพลางโวยวายให้มันรู้ตัว

“อะ..อ้าว… ลืมตัว นึกว่าอยู่ห้อง”

“ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยเลย กูไม่อยากเห็นของแสลง”

“เฮ้ย!! ของกูมีแต่คนชมว่าสวยดี กูให้มึงดูให้เต็มตาเลย ไม่ต้องขอ!”

“อุบาท ถามจริง ใครวะที่จะทำแบบนั้น” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ในใจกลับคิดอีกแบบ

หุ่นมันดีจริงๆ แต่ส่วนตรงนั้น ไม่เอาๆ ไม่คิด  ความคิดในหัวมันทรยศ

“อุตส่าห์ฟิตหุ่นทุกวันเลยนะ กูหมายถึงหุ่นนะ หรือว่ามึง….หมายถึง…”

“ช่างแม่ม!! รีบแต่งตัวเสียที!!” ผมหันหลังใส่ไม่มอ

“ปกติกูจะปล่อยให้ตัวแห้งก่อน งั้นกูขอเช็ดตัวก่อน”

แล้วมันก็ขยุกขยิกอยู่ด้านหลังผม แน่นอนว่าผมกอดอกรอให้มันแต่งตัวให้เรียบร้อยจะได้หันหลังไปด่ามันต่อ

“กลิ่นครีมอาบน้ำหอมมากเลย แชมพูด้วย แต่แปลกนะ ไม่หอมเท่าที่อยู่บนตัวมึงเลย มัน….หอมแบบเย้ายวนกว่านี้”

ผมนี่ขนลุกไปทั้งตัว หวังว่าคืนนี้คงไม่โดนขืนใจนะ ผมนึกถึงอุปกรณ์ป้องกันตัวเองใต้เตียงที่แม่เตรียมไว้ให้

“มาแอบใช้ของคนอื่นแล้วยังมาพูดจาให้ขนลุกอีกนะ มึงนี่โรคจิตนะ”

“กูก็จิตกับมึงคนเดียวนี่แหละ!”

ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออกเลย ได้แต่หันหน้าไปมองค้อนมัน มันที่เพิ่งใส่เสื้อเสร็จกลับหันมายิ้มได้น่ากลัวมากกลับมา

ผมนึกถึงของใต้เตียงอย่างเดียวเลยตอนนี้

ผมไม่คิดจะสนทนาอะไรต่อให้มากความเพราะมีแต่จะทำให้ขนลุกมากขึ้น แม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้มีอาการหวาดกลัวมันเหมือนช่วงแรกที่เจอกัน อาจเพราะฝืนอยู่ใกล้มันบ่อย แล้วตัวคอปเตอร์เองก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน กลับกันมันกลับพยายามทำดีกับผมมาตลอด แม้ว่ามันจะแปลกๆ ก็ตาม ผมจึงได้ลดระยะห่างระหว่างผมกับมันได้บ้าง

ผมบอกให้มันจีดการตัวเองให้เรียบร้อยเพราะจะปิดไฟนอนแล้ว

“ทำไมนอนเร็วยัง พรุ่งนี้ก็วันหยุด กูยังไม่ง่วงเลย เรามานั่งคุยกันก่อนได้ไหม?” ท่วงทำนองการพูดของมันเปลี่ยนไป มันจะมาไม้ไหนเนี่ย

แต่ผมไม่สนใจ ผมยืนยันที่จะนอน แม้ท้องจะแน่นมากอยู่ก็ตาม ถึงไอ้คอปเตอร์ มันจะอิดออด บ่ายเบี่ยง แต่สุดท้ายมันก็ยอม

เป็นอีกครั้งที่ผมชนะมัน รู้สึกถึงแผนการจะไปได้สวยอย่างชัดเจน

หลังจากที่มันล้มตัวลงนอนในพื้นที่ ๆ ผมจัดให้ ก็บ่นชุดใหญว่าแคบ ทำไมต้องเอาหมอนข้างมาวางกั้นไว้สองชิ้นแบบนี้ ผมเลยสวนไปให้มันเลือกเอาระหว่างพื้นกับบนเตียงจะนอนที่ไหน แล้วก็เป็นชัยชนะของผมอีกครั้ง

“วิน….หลับหรือยัง?” ยังไม่ทันถึงหนึ่งนาทีที่ผมปิดไฟและล้มตัวลงนอนตรงฝั่งแคบๆ อีกฝั่งที่ตัวเองจัดไว้

“อืม…” ผมถอนหายใจก่อนที่จะตอบออกไปสั้นๆ ผมพยายามแฝงความรำคาญเข้าไปในน้ำเสียงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“นอนไม่หลับ”  ท่าทางผมคงไม่ถนัดใส่น้ำเสียงแบบนั้นดูมันไม่สะทกสะท้านเลย ยังกล้าถามต่ออีก

“หลับตา หายใจเข้าออกสบายๆ  เดี๋ยวก็หลับ กูง่วงแล้วเนี่ย” ผมตอบไปแบบนั้นแต่ความเป็นจริง นี่มันยังหัวค่ำจริงๆ ผมมักจะอ่านหนังสือหรือหากิจกรรมทำช่วงก่อนนอนเสมอ ตอนนี้คือ หนังตาไม่รู้สึกล้าเลยสักนิด

“คุยกันก่อนได้ไหม? เผื่อจะทำให้ง่วง” ไอ้คอปเตอร์ก็คือไอ้คอปเตอร์ เรื่องดื้อด้านไม่ฟังใครนี่ ผมยกให้เป็นอันดับหนึ่ง

“ตามใจ หากกูหลับแล้วก็ไม่ต้องมาปลุกกูนะ” ผมผ่อนลมหายใจอย่างหน่ายๆ กับไอ้คนร่วมเตียง

“ข้อแรกเลยนะ…..มึงจะเปิดแอร์แค่ 25 องศาจริงๆ เหรอ กูเป็นคนขี้ร้อนน่ะ”

“นี่มึงมาอาศัยห้องคนอื่นนอนนะ มึงมีสิทธิ์เรื่องมากด้วย?!?” รู้สึกภูมิใจในตัวเองนิดหน่อยที่ทำเสียงแข็งใส่มันได้เรื่อยๆ แบบนี้

“แต่….กูนอนไม่หลับ กูขอไปเปลี่ยนได้ไหม?”

“ไม่!! กูหนาว!!”

“แต่มึงมีผ้าห่ม”

“มึงก็ไม่ต้องห่มสิ!!”

“กูไม่ห่ม กูก็นอนไม่หลับ”

“มึงนี่ย้อนแย้งนะ สรุปมึงจะร้อนหรือมึงจะหนาว?”

“มึงไม่เคยเป็นเหรอ แบบพวก ผ้าเน่า หมอนเน่าอะไรแบบเนี่ย แบบต้องมีอะไรบางอย่างกอด หรือสัมผัสถึงจะหลับได้ กูก็ต้องห่มผ้าห่มนอนน่ะ ยิ่งผ้าห่มนี้มีกลิ่นมึงด้วย กูยิ่งชอบ”

“ขนลุก!! เอาเลยมึงจะไปปรับอุณหภูมิเท่าไหร่ก็ไปปรับเลย นู่น ที่ผนังตรงห้องน้ำนั่นไง”

ประโยคแรกนี่ผมเข้าใจนะ ผมก็เป็นประเภทติดหมอนข้าง แต่ไอ้ท้ายประโยคนี้ผมรู้สึกโดนคุกคามยังไงไม่รู้

หลังจากที่มันผุดลุกไปปรับอุณหภูมิตามต้องการอย่างรวดเร็วแล้ว ไอ้คอปเตอร์มันก็แทบจะกระโดดข้ามตัวผมไปนอนฝั่งของมันอย่างกับบินได้

เพียงครู่เดียวเสียงลมที่กำเนิดจากเครื่องปรับอาการก็เปลี่ยนจากลมพัดเอื่อยริมชายหาดเป็นพายุโหมช่วงมรสุม ผมรู้สึกถึงอากาศโดยรอบเหมือนจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง

ผมไม่ใส่ใจถามว่ามันปรับไปที่อุณหภูมิเท่าไหร่ เดาได้เลยว่ามันคงปรับแบบจัดเต็มเท่าที่เครื่องจะสามารถไปถึง

ผมขยับผ้าห่มมาคลุมตัวมากขึ้น และเริ่มรู้สึกเสียใจที่ไปใจดีกับมัน มันควรจะเกรงใจผมบ้างนะ

“นี่” มันทักขึ้น

ผมสังเกตว่าร่างกายไอ้คอปเตอร์แทบจะทุกส่วนอยู่นอกผ้าห่ม นี่มึงหนังหนาขนาดไหนวะเนี่ย?

“ว่า!”

“กูถามดีๆ นะ ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วยวะ?”

“กูหนาวกูไม่ทีอารมณ์มาตอบคำถามอะไรของมึง!”

“ตัวกูอุ่นนะ”

“บอกเพื่อ?!?”

“ให้กูกอดไหม?”

“อย่าแม้แต่คิด เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“ก็ไหนว่า ยอมรับว่าจะเริ่มคุยกัน?”

“คุย ไม่ได้ยอมรับเรื่องแฟน!!”

“อะไรวะ!”

“นอน กูง่วง”

“อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน”

“มึงไม่ง่วงก็ออกไปวิ่งรอบตึกสักสามรอบสิ จะได้ง่วง!!”

“ใจร้าย ทำไมไม่บอกว่า ‘ให้กอดทีแล้วไปนอนเสียนะ’ ล่ะ?”

“ไอ้คอปเตอร์….” ผมลากเสียงยาวใส่มัน แสดงให้เห็นเลยว่าผมรำคาญ

แล้วนี่มันอะไรกัน พอมาอยู่ในห้องนอนแล้วมันทำไมนิสัยมันเปลี่ยนแบบนี้วะ!

“วิน….”

“อะไร” ผมทำเสียงยานคางจะได้รู้ว่าผมง่วงแล้ว ไม่อยากคุยแล้ว

“อืม….คือ…… ชีวิตมหาวิทยาลัย เป็นไงบ้างบ้างวะ?” ไอ้คอปเตอร์มีความลังเลอยู่ในเสียง

จนกระทั้งผมเริ่มกังวล หากมันถามถึงสมัยมัธยม ผมจะตอบว่าอะไรวะ?

“ก็ดีนะ กูเป็นถึงเดือนคณะฯ นะเว้ย” คุยทับไว้ก่อน ผมไม่อยากให้มันรู้สึกคุ้นเคยกับอดีตของผมมากนัก

“อืม ……แล้ว…..”

“กูง่วงแล้ว” ผมรีบตัดบทเสียก่อน ถามถึงเรื่องอดีต มันไม่โอเคกับผมเท่าไหร่

“งั้นคำถามสุดท้าย พรุ่งนี้เข้ากินอะไร?” ทำไมเสียงมันถึงได้อ่อนโยนลงวะ หลังจากที่ผมกวนตีนใส่มันขนาดนั้น

“อะไรก็ได้”

“เอาจริง อย่ามาตอบแบบนี้ มันไม่มีหรอกอะไรก็ได้น่ะ”

มันเซ้าซี้ผมอยู่นานจนผมตอบแบบอาหารง่ายๆ อย่าง ข้าวเหนียวไก่ทอด มันถึงได้สงบปากลง หลังจากนั้นผมก็แกล้งหลับใส่มันเสียเลย

……………..
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (24-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-10-2023 21:57:21
 :ling3: :katai5:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (24-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 25-10-2023 11:38:08
จริงๆแล้วคอปเตอร์น่าจะจำวินได้ตั้งแต่แรกไหม
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (30-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 30-10-2023 09:14:52
บทที่ 6 สลักจิต



อากาศอบอุ่นภายใต้ความมืดมิดของผ้าม่านกันแสงยูวี ทำให้รู้สึกพักผ่อนอย่างสบาย ปกติผมไม่ใช่คนตื่นสายแม้ในวันหยุดก็ตาม แต่วันนี้ความรู้สึกภายในผ้าห่มผืนหนามันช่างสุขสบาย


แม้จะขยับตัวได้ไม่สะดวก แต่ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังจมดิ่งลงไปในปุยเมฆที่แสนสบาย อบอุ่น อ่อนนุ่ม จนไม่อยากจะลืมตาตื่น

ศรีษะที่เหมือนโดนโอบรัดอย่างทะนุถนอมและนวดเสยอย่างแผ่วเบา มันเพลิดเพลินผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

เดี๋ยวนะ!!  ความคิดในใจที่อยู่ ๆ ก็โพล่งพูดขึ้น ท่ามกลางความอุ่นสบาย

ผมพยายามยกหนังตาขึ้นมองสภาพแวดล้อมอย่างสุดความสามารถ แม้ผมจะโดนเทพแห่งนิทรา พยายามล่อลวงให้เคลิ้มหลับต่อไป


ในที่สุดผมก็ขัดขืนมันได้สำเร็จ ผมพบตัวอยู่ภายใต้อ้อมกอดของใครสักคน ที่โอบรัดร่างผมจนแทบจะกลืนกินผมไปทั้งร่างภายใต้ผ้าห่มผืนพอดีกับที่นอน กลิ่นกายที่แสนหอมหวล ชวนให้รู้สึกปลอดภัยนี่มันอะไรกันผมก็อธิบายไม่ได้

สมองที่เพิ่งตื่นจากการพักผ่อนก็เริ่มประมวลและร่างกายเองก็รีบตอบสนองทันที ผมผละตัวเองออกอย่างสุดแรงเกิด

แต่แรงของผมไม่มีผลอะไรกับไอ้คนที่ทำตัวเหมือนพญางูใหญ่ที่พยายามจะเขมือบเหยื่อจนหมดร่าง


“เฮ้ย! มึง ปล่อยกู ใครให้มึงมาฉวยโอกาสแบบนี้!!”

“เมื่อคืนมึงขยับมาอยู่ในอ้อมอกกูเองนะ โวยวายเชี้ยอะไร”

“ไอ้สัด! ไม่จริงหรอก” แต่ในใจผมคิดอีกอย่าง เพราะตอนที่เปิดผ้าห่มออกมา อากาศภายนอกผ้าห่มนี้ไม่ต่างจากขั้วโลกมากนักการที่ผมจะนอนขยับไปหาความอบอุ่นก็ดูไม่แปลกเลย

“กลับห้องของมึงไปได้แล้ว วันนี้กูมีธุระ จะรีบออกไป” ผมลุกขึ้นไปเปลี่ยนอุณหภูมิที่รีโมทคอนโทรลเครื่องปรับอากาศ เสียงที่กดปุ่มปรับอุณหภูมิรัวเร็วตามอารมณ์ที่พุ่งพล่าน

“ไปไหน?” ไอ้คอปเตอร์ลุกขึ้นมาสะบัดผ้าห่มออกจากตัว เผยให้เห็นเนื้อแผงอกแน่นที่พ้นเสื้อชุดนอนที่ปลดกระดุมลงสามเม็ด

“ถามทำไม?” ผมมองนาฬิกาพลางคิดว่าตัวเองตื่นสายมากแล้ว

“อยากรู้เผื่อจะไปส่ง” ไอ้คอปเตอร์ใช้มือหยิบสาบเสื้อขึ้นมาโบก เหมือนอยู่กลางทะเลทราย


อุณหภูมิ 24 องศาเซลเซียสเนี่ยมันร้อนตรงไหนวะ!

ผมทำเป็นไม่สนใจพลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและมุ่งหน้าไปเข้าห้องน้ำ

“ขออาบน้ำด้วยสิ”

“อะไรนะ!!”

“ขออาบน้ำด้วย!” มันย้ำเสียงและเดินเข้ามาใกล้

“เฮ้ยๆๆๆ ทำอะไรของมึง ขยับออกไปเลยนะ!!!” ผมขยับถอยหลังจนเดินไปติดประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่

“ก็ห้องน้ำกูเสีย มึงจำไม่ได้เหรอวะ กูก็แต่ขออาบน้ำห้องมึงก่อน ไม่ได้เหรอ?” ไอ้คอปเตอร์ยิ้มมุมปากกับท่าทีลนลานของผม

“อย่าพูดขวนให้เข้าใจผิดดิวะ!! จะไปอาบน้ำก็อาบก่อนเลย อาบเสร็จมึงก็ออกไปเลยนะ กูขอเวลาส่วนตัวหน่อย” ผมเดินหลีกทางให้ไอ้คนหน้าด้านหน้าทน ยิ้มเจ้าเล่ห์

“แล้วมึงจะไปไหน?” พูดจบก็ถอดเสื้อออกเผยให้เห็นผิวเนียนและลอนกล้ามเนื้อบาง ๆ สมส่วน

“กูไม่จำเป็นต้องตอบมึง!!”

“ไปกับใคร?” มันเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่ฝากตากไว้แถวห้องน้ำตั้งแต่เมื่อคืนมาพาดบ่าข้างหนึ่งไว้

“ยังไม่หยุดอีก!!”

“ไปกับกิ๊ก!!??” ไอ้คอปเตอร์หน้าเปลี่ยนไปทันที

“อย่าเสือก!!”

“ไหนว่าเราอยู่ในช่วงคุยกัน มันก็ควรจะรู้เรื่องกันเสียบ้าง”


ไอ้คนดื้อตาใส พยายามขยับเข้ามาใกล้ กางเกงบางเบาเน้นสัดส่วนเล็กน้อยแบบนั้นมันเป็นภัยกับความรู้สึกพอควร ผมพยายามจะไม่มอง อย่างที่ทุกคนรู้ผู้ชายยามเช้า อะไรๆ ของพวกเรามันก็จะตื่นก่อนเราอยู่แล้ว ถึงจะไม่ชอบขี้หน้ามัน แต่ก็แอบยอมรับว่า หวั่นไหวกับหุ่นมันเล็กน้อย

“กูไปกับแม่ พอใจไหม? แม่ตามไปกินข้าวด้วย!” หวังว่ามันจะจบนะ

แต่แทนที่มันจะจบและตอบกลับทันที ไอ้คอปเตอร์กลับมีท่าทีคิดอะไรบางอย่างในใจ

ผมสั่งให้มันหยุดคิดและเข้าไปอาบน้ำได้แล้ว แต่มันก็เซ้าซี้จะให้ไปส่งให้ได้ ผมดื้อยืนกรานปฏิเสธ จนกระทั่งมันยอมถอยไป

และมันก็แก้เผ็ดผมโดยการขยับตัวมาใกล้ ชิดจนแทบที่ผมรู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่นจากลมหายใจของมัน ผมอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก กลัวว่ามันทนรำคาญไม่ไหวแล้วจะมาทำร้ายผมแทน

กลับกัน มันกลับขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น แต่ด้วยความที่กางเกงขายาวผ้าย้วยหลวมของไอ้คอปเตอร์ดันไปเกี่ยวกับนิ้วเท้าตัวมันเองจนเสียหลักเซล้มลงมาที่ผม ไอ้คอปเตอร์รวบคว้าผมไว้ทั้งตัว ร่างของผมถูกกลืนเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง ผมขัดขืนสุดกำลัง แต่กำลังของแมว มันไปสู้กับราชสีห์ได้

ผ่านไปพักใหญ่น้ำในตาของผมร่วงลงมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าตกใจหรือตื่นกลัว เพราะมันโอบรัดผมเสียแน่นเหมือนจงใจ


อีกฝ่ายรีบผละออกทันที ขอโทษขอโพยกับการก็กระทำตัวเองที่ขาดความยั้งคิด มันเป็นอุบัติเหตุที่ล้มไปกอด แต่เห็นความน่ารักตรงหน้าก็เลยเผลออยากให้ร่างกายสัมผัสความน่ารักเสียทุกส่วน เขายืนห่างออกไปแค่คืบ ด้วยร่างกายที่ตัวเปล่าเปลือย เพราะตอนนี้กางเกงได้หลุดร่นลงมากองที่หัวเข่าเรียบร้อย


ผมตกใจกับภาพที่เห็น จนลืมความรู้สึกเมื่อครู่

“ขอโทษนะ แค่หยอกเล่นเอง” มันก้มหัวผงกๆ

“เออๆ กูไม่เป็นไรแล้ว ไปอาบน้ำก็ไปเลยไปจะมาแก้ผ้าอยู่ทำไม?”

ผมไล่มันไปแล้วหันหลังให้มันทันที

หยอกแบบนี้ผมไม่ขำด้วยนะ เพราะไอ้ทุกส่วนของมันผมยังสัมผัสได้อยู่เลย ขนลุก!!



ผมให้มันอาบน้ำก่อนด้วยอาการโวยวายจนไอ้คอปเตอร์ยอมแต่โดยดี และเหมือนเคยมันออกจากห้องน้ำด้วยผ้าคลุมร่างกายเพียงน้อยส่วน ผมผ่อนลมหายใจ ทำเป็นไม่มองและไม่สนใจ

“กูหวังว่าออกมาแล้วจะไม่เจอมึงนะ แยกย้ายกันนะวันนี้เข้าใจ” ผมจงใจออกสำสั่งเป็นการดูเชิงอีกครั้ง

ครั้งนี้มันกลับพยักหน้าอย่างว่าง่าย และเดินออกจากห้องผมได้ด้วยนุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียว

หน้าด้านก็ให้มันมีของเขตหน่อย!!

ผมออกจากห้องน้ำและแต่งตัวด้วยความประหลาดใจ เพราะไร้วี่แววคนขี้ตื้ออย่างไอ้คอปเตอร์

ผมออกจากอพาร์ตเมนต์ด้วยความระมัดระวัง พยายามมองไปที่จอดรถแล้วก็ปรากฏว่ารถของมันไม่อยู่แล้ว รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

ผมเรียก Grab มารับให้ไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง เพราะนัดกับแม่ของผมไว้ที่นั้น ระหว่างทางก็กังวลไปหมดว่าจะไปถึงทันเวลาหรือเปล่า เพราะแม่ผมเป็นคนตรงต่อเวลามาก
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (30-10-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-10-2023 13:36:43
 :z2: :z3:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (6-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 06-11-2023 16:31:09
และแล้วผมก็มาถึงทันเวลาแบบตรงเวลาแป๊ะๆ  แม่ของผมได้ไปนั่งรอที่ร้านอาหารที่เรานัดหมายกันเรียบร้อยแล้ว แม้ตอนนี้แม่ผมจะใส่แว่นกันแดดสีเข้ม ผมก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตแผ่ออกมาได้อย่างดี

“ผมมาตรงเวลานะ!” ผมรีบพูดขณะนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“ที่ดีควรจะมาก่อนเวลา…”

“สักสิบถึงสิบห้านาที” ผมเติมประโยคที่ฟังเป็นรอบที่ร้อยล้าน

“ก็รู้นี่ ทำไมสาย” แม่ผมยื่นมือมาตบมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะดังแปะ

“ก็มันมีอุบัติเหตุนิดหน่อยเมื่อเช้า”

“โทรศัพท์ก็มีทำไมไม่โทรบอก!”

“จ้า ผิดไปแล้วจ้า”


ผมรู้สึกว่ายิ่งเถียงยิ่งมากความ และผมไม่เคยเถียงแม่ชนะ ผมเลยไม่สนใจหยิบเมนูมาเปิดดูอาหารที่จะสั่ง


“มีแฟนแล้วเหรอ?” แม่พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมตกใจวางเมนูลงทันที เสียงเล่มเมนูกระทบกับจานตรงหน้าดั่งลั่น แต่แม่ผมกลับไม่ได้สนใจใครรอบข้างที่ทำท่าตกใจกับเสียงดังนั่น

“อะไรแม่ จะไปมีได้ยังไง!! ไปเอามาจากไหน!?!” ผมหลบสายตาที่จ้องมองมาจากโต๊ะอื่น และพยายามมีจดจ่อกับแม่ที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“มีแม่ก็ไม่ได้ว่านะ เด็กสมัยนี้ ก็มีกันทั้งนั้น ดูอย่างเพื่อนแม่สิ ลูกเขามีแฟนตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย รักกันยาวจนเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยกันเลยนะ ที่ชื่อ กวีกับเอกน่ะ”

แม่ผมผู้เป็นสาววายตัวท้อป แม่ผู้มีสายตาว่องไวในการดูคู่รักเพศเดียวกันและชื่นชอบอย่างออกนอกหน้า ไม่วายลามมาถึงผมด้วย พยายามจับคู่ให้ผมกับเพื่อนๆ ตั้งแต่ผมได้เป็นเดือนคณะฯ แล้ว

“นั่นเขาโชคดีแม่ พี่กวีน่ะทั้งหล่อทั้งเก่งตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแล้ว เขาจะเลือกได้ก็ไม่แปลกหรือเปล่าแม่!” ผมกระแทกเสียงกลับไป

“แล้วลูกแม่ไม่ดีตรงไหนล่ะ ลูกแม่ก็น่ารักเป็นถึงเดือนคณะฯ เลยนะ” หญิงวัยกลางคนคุณแม่ยังสาว จ้องมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มอันแสนภาคภูมิใจ เสมือนผมเป็นผลงานชิ้นเอก

ก็ไม่แปลกใจ เพราะคนที่แปลงร่างผมจากลูกเป็ดขี้เหร่มาเป็นเดือนคณะ ก็แม่นี่แหละ แม่ผู้เป็นอินฟลูเอนเซอร์เรื่องการปรับบุคลิกภาพ จนถึงขั้นเปิดโรงเรียนสอนจนโด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง

 ไม่แปลกที่ทั้งร้านตอนนี้โต๊ะของผมจะเป็นจุดสนใจเพราะความดังของแม่ แต่สำหรับผม ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย จึงไม่เคยไปออกงานใดๆ กับแม่สักครั้ง ผมเลยไม่ค่อยสนิทกับแม่จนกระทั่งวันที่ผมเดินไปขอความช่วยเหลือจากแม่ เราสองคนเลยสนิทกันมากขึ้น

“เอาเป็นว่า ยังไม่มีแล้วก็ไม่คิดจะมีด้วย!”  ผมตอบกลับไปพลางใช้นิ้วเคาะไปที่เมนูอาหารให้แม่สั่งอาหารได้แล้ว

“ไม่มีจริงน่ะ?” ผมสงสัยจังทำไม่แม่ถึงเซ้าซี้เรื่องนี้จนผิดปกติ

“ไม่มี” ผมกวักมือเรียนบริกร เพราะตอนนี้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเริ่มทำงานแล้ว

“แน่ใจนะว่าไม่ทีอะไรปิดบังแม่?” แม่พยายามจ้องมาที่นัยน์ตาผมอย่างจริงจัง

“ไม่มีครับ!!” ผมตอบกลับไปแบบเน้นทุกพยางค์

“แล้วคนที่เดินตามลูกมาต้อยๆ เดินมารอยืนอยู่หน้าร้านแล้วหันมามองเราสองคนอย่างกับรู้จักนี่ใคร?” แม่ชี้ไปทางด้านหลังผม

“แฟนคลับแม่มั้ง ใครจะมาเดินตามผมมา?!” ผมหันหลังควับ แล้วก็เจอสายตาที่คุ้นเคยคู่หนึ่งจับจ้องมาทางผม

ไอ้คอปเตอร์ มันมาเจอผมได้ยังไงเนี่ย!?!

“เชี้ยยยยย ถามจริง!!” ผมสบถออกมาด้วยความตกใจ

แม่ผมกระแอมออกมาทันทีที่ผมสบถออกมา ผมหันมาขอโทษทันที พลางบอกว่าไม่รู้จักกับมัน

“แต่เขายิ้มมาทางเรานะ นั่นไง เดินมาแล้ว”

เดี๋ยวนะ!! หมายความว่าไง ทันทีที่ผมหันกลับไปทางเดิม ผมก็เจอกับไอ้คอปเตอร์ที่แต่งตัวไปรเวทที่ดูสุภาพและมีรสนิยม มันทำให้บรรยากาศรอบๆ ตัวมันเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

“สวัสดีครับคุณน้า ผมคอปเตอร์นะครับ ผมมีนัดกับวินต่อจากนี้น่ะครับ  บังเอิญว่าผมเป็นแฟนคลับคุณน้าอยู่แล้วก็เลยอยากจะแวะเข้ามาทักทายแค่นั้นครับ” ไอ้คุณคอปเตอร์ เดินมาหยุดที่โต๊ะพร้อมด้วยอากัปกิริยามารยาททางสังคมที่ดีเลิศ ยกมือไหว้สวยงามและยิ้มทักทายอย่างเจิดจ้า

ผมรู้สึกแสบตากับการส่องประกายแบบนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“อ้าว!! เหรอ ไม่เห็นลูกชายน้าบอกอะไรเลย” แม่ผมพูดจบก็ปรายตามาที่ผมวูบหนึ่ง ก่อนกลับไปยิ้มตามมารยาทกับผู้มาทักทาย

“ลูกชายน้า เขาคงอายที่มีนัดเดทกับคนอย่างผมมั้ง” ไอ้คอปเตอร์ยิ้มกลับและเมียงมองมาทางผมอย่างสมใจ

“เดท??” ผมที่กำลังจะร้องทักก็โดนแม่ตัวเองยกมือขึ้นปรามและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“ครับ เดท….คือ แม่ไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับที่วินจะคบกับผู้ชาย”

“จะหญิงจะชายแม่ไม่คิดมากนะ แม่กลัวเจ้าวินจะแก่ตายทั่งที่ยังบริสุทธิ์มากกว่า”  แม่ผมยิ้มและมองมาทางผมเหมือนชนะที่จับผิดผมได้

แต่ขอโทษนะ แม่เข้าใจผิดหมดแล้ว เลิกมโนก่อน

“แม่!!” ผมพยายามเรียกเพื่อปรามแม่ตนเองแต่เหมือนจะไร้ผล ผมเลยหันไปหาไอ้ตัวต้นเหตุ

“มึงกับกู!! ไม่ได้คบกับ!!”

“วิน!! ภาษาลูก ภาษา!!” แม่ทักขึ้นมาเสียงแข็ง มันใช่เวลามาเตือนอะไรแบบนี้ไหมครับ?

“ใช่สิ เราแค่คน ‘คุยๆ’ กัน” ไอ้ตัวต้นเหตุ ทำเสียงสลดเศร้าน่าสงสาร

“ตายจริง ลูกฉันก็มีโมเม้นต์อะไรแบบนี้ เซอร์ไพรส์จริง!!”  พูดจบก็หยิบปากกากับสมุดโน้ตเล็กๆ ขึ้นมา จดอะไรขยุกขยิกลง

“หยุดเลย ห้ามเอาไปเขียนฟิคนะ!!”

ผมส่ายหน้ากับแม่ ดูจะชื่นชอบเรื่องอะไรแบบนี้

“มันจะดูเป็นการเสียมารยาทนะ หากแม่ไม่ชวนทานข้าวด้วยกัน”

“เสียไปเลยแม่ เว้นไอ้คนนี้ไว้สักคน” ผมบ่นหงุบหงิบ

“ผมขอโทษนะครับที่รบกวน ผมเกรงใจครับ ยินดีที่ได้พบกันนะครับ” ไอ้คอปเตอร์ที่อยู่ๆ ก็มีผีคนดีเข้าสิงสู่ก็กล่าวคำอำลา

“ไม่เอาๆ  อยู่กินมื้อเที่ยงกันก่อน แม่มีเรื่องอยากคุยด้วยเยอะเลย”

“อย่าเลยครับ ผมเกรงใจ เดี๋ยววินเขาอึดอัด”

“แม่เป็นเจ้ามือนะ แม่มีสิทธิ์จะชวนใครมานั่งร่วมโต๊ะได้ ใช่ไหมวิน?”

พูดมาขนาดนี้แล้ว ผมจะพูดอะไรต่อได้ล่ะครับ ผมได้แต่พยักหน้ารับ เออๆ ออๆ ไปก่อน

ไอ้คอปเตอร์แม้จะแสร้งทำเป็นปฏิเสธ แต่คนอย่างแม่ผมเนี่ย หากต้องการอะไรแล้ว ก็คงจะห้ามกันยาก สุดท้าย ไอ้คอปเตอร์ก็มานั่งร่วมโต๊ะกินมื้อเที่ยงด้วยกันจนได้

อาหารถูกสั่งมาวางเต็มโต๊ะเหมือนเช่นปกติที่ร่วมโต๊ะกับแม่ แม่ผมเป็นประเภทอยากกินทุกอย่าง แค่จะกินเพียงอย่างละนิดละหน่อยเท่านั้น ปากก็บอกว่ากลัวอ้วน แต่พฤติกรรมการกินกลับตรงกันข้าม

“โอโห น่าอร่อยทั้งนั้นเลยนะครับ คุณน้านี่เลือกเก่งมากเลยนะครับ”

ตอแหล ผมคิด มึงไม่ได้เข้ากับคนอื่นได้ดีขนาดนี้!!

“แอบแซวน้าหรือเปล่า? จะบอกว่าสั่งเยอะสินะ”

“ไม่เลยครับ ทุกอย่างน่าอร่อยจริงๆ ผมไม่เคยมากินร้านนี้เลยครับ สงสัยต้องแอบมาตามรอยคุณน้าแล้ว”

“เรียกแม่ก็ได้ลูก เป็น….เอ่อ….เพื่อนกับตาวินไม่ใช่เหรอ จะได้เป็นกันเองนะ”

“ครับ” ไอ้คนที่มาใหม่ยิ้มรับแก้มปริตาปิดหยี คิดจะหว่านเสน่ห์แม่ผมรึไงเนี่ย

“แม่นะ กินได้นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นแหละ แก่แล้วก็แบบเนี่ย แต่อยากกินหลายๆ อย่างไง คอปเตอร์มาก็ดีแล้วลูกจะได้ข่วย ‘เพื่อน’ กินไง”

ผมรู้สึกว่าแม่ผมจะเน้นย้ำคำว่าเพื่อนเยอะไปแล้ว

“ความจริงคือกลัวอ้วนก็บอกเขาไปสิ แต่ความจริงก็ไม่ต้องกลัวนะ ก็เพราะอ้วนอยู่แล้ว!!” ผมรู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเฉยๆ เมื่อสถานการณ์มันกลายมาเป็นแบบนี้

“ตาวิน” แม่ยื่นมือมาตบแขนข้างที่ผมวางบนโต๊ะดัง เพี๊ยะ ซึ่งก็เป็นการพูดเล่นหัวกันตามปกติภาษาแม่ลูกอยู่แล้ว

“ผมว่าแม่ดูหุ่นยังดีอยู่เลยนะครับ ผอมกว่านี้มันจะดูสุขภาพไม่ดีนะครับ”

“แก! วิน ดูเพื่อนแกเป็นตัวอย่าง พูดความจริงได้น่ารักเชียว หน้าดียังพูดจาดีอีกด้วย!”

นั่น!! แม่ผม โดนมันตกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมรู้ว่ามันน่าจะต้องรู้จักแม่ผมทางโซเชียลมาบ้าง ไม่งั้น ทำแบบนี้ไม่ได้

ระหว่างกินมื้อเที่ยงกับแม่ผมก็แทบจะสอบประวัติความเป็นมาของไอ้คอปเตอร์เสียละเอียด จนได้รู้ว่าเป็นทายาทตระกูลนักธุรกิจใหญ่ การศึกษาดี เรียนเก่ง แถมมีธุรกิจส่วนตัวตั้งแต่อายุยังน้อย

แม่ผมมีความปลาบปลื้มและมองมาที่ผมเป็นระยะอย่างมีนัยยะ มือก็พยายามจะคว้าปากกามาจดตลอดเวลา แต่ผมใช้สายตาห้ามไว้ตลอด จนรู้สึกว่าเป็นการกินมื้อเที่ยงที่เหนื่อยเหลือเกิน

แม่ผมมีงานบรรยายช่วงบ่ายที่ห้องอีเว้นท์ของห้างสรรพสินค้า จึงรีบขอตัวกลับก่อนอย่างสดใส มีชีวิตชีวา ผมเองก็ไม่รู้ว่าที่อารมณ์ดีขนาดนั้นเพราะได้มากินข้าวกับลูกชายหรืออะไรอย่างอื่น

ผมโบกมือลาแม่ที่หน้าร้านอาหารให้เรียบร้อยแล้วจึงหันไปหาไอ้คนที่เสนอหน้าเข้ามาแทรกกลางอาหารมื้อนี้

“แม่มึงนี่เป็นคนน่าสนใจนะ” ตัวต้นเหตุหันมายิ้มกับผมอย่างไม่ทุกข์ร้อน ไม่สนใจสายตาอันขุ่นข้องของผมแม้สักนิด

“ไม่ใช่ มึงรู้จักอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?” พูดจบผมก็เดินออกห่างเลย

“ก็เคยได้ยินชื่ออยู่บ้างนะ แต่พอเป็นแม่ของคนที่เราจีบอยู่ก็เลยสนใจขึ้นมาเป็นพิเศษ”

ผมทำเป็นไม่ได้ยินและเดินออกห่างเรื่อยๆ แต่ไอ้คนขายาวกว่ามันกลับเกินตามมาทันเพียงไม่กี่ก้าว

“หมดธุระแล้วสิ เรามาเดทกันต่อไหม?”

ผมมองดูนาฬิกาพลางถอนหายใจ หากผมกลับหอเลย มันคงหาเรื่องมาอยู่กับผมที่ห้องให้อึดอัดใจอีกแน่นอน

“งั้น…กูอยากดูหนัง!!” ผมคิดว่าน่าจะเป็นกิจกรรมที่ใช้เวลานานสุดแล้ว

“อืม…ได้สิ ที่นี่มีโรงหนังอย่างดีเลย กูแนะนำ มีแบบฮันนีมูนเบดด้วยนะ” ถ้อยคำที่มันพูดไปยิ้มไปนี่ก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อยนะ ถึงวันนี้มันจะหล่อมากก็เถอะ แต่สันดานมึงนี่เหมือนเดิมเป๊ะ!!

ผมกับไอ้คอปเตอร์ เดินมาถึงโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ชั้นบนสุดที่ตกแต่งหรูหรายังกับโรงแรมห้าดาว ผมซึ่งมากินข้าวกับแม่ที่นี่บ่อยๆ ก็ยังไม่เคยขึ้นมาตรงนี้เลย

ผมมองจอที่แสดงผลรอบหนังให้ขึ้นมาอยู่เนื่องๆ รอบที่ใกล้ที่สุด ก็คือหนังภาคต่อของหนังสยองขวัญที่ผมเคยดูใน Netflix แล้วประทับใจมากเรื่องหนึ่ง ผมไม่รอช้าใช้นิ้วสัมผัสไปที่ช่องนั้นทันที

“เรื่องนี้สนุกกว่านะ” ไอ้คอปเตอร์ใช้นิ้วจิ้มไปที่ช่อง ‘ก่อนหน้า’ เพื่อกลับไปหารายการหนังอีกเรื่อง ซึ่งเป็นหนังรักเบาสมองที่ผมไม่อยากเสียเงินดู

ผมรีบปฏิเสธทันทีพร้อมเหตุผล

“เดททั้งทีกูเลี้ยง เอาเรื่องนี้ก็ได้!” พูดไปก็ชี้ไปที่หนังอนิเมชั่นที่ฉายมาพักใหญ่แล้ว

“กูดูแล้ว ไม่เอา เอาเรื่องนี้สิ ดูสิมีที่นั่งแบบเตียงที่มึงอยากพากูไปสัมผัสไง!” ผมยอมเปลืองตัวเพื่อสิ่งนี้เลยนะ

ไอ้คอปเตอร์มีสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผมรู้ได้ทันทีเลยว่า มันไม่ชอบดูหนังผี!! เสร็จกูล่ะ!!
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (6-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-11-2023 17:10:27
 :mc4: :a5:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (7-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-11-2023 13:18:54

ในที่สุดผมกับไอ้คอปเตอร์คนคูลก็เดินเข้ามาในโรงภาพยนตร์สุดไฮโซ พื้นที่ภายในไม่ได้กว้างขวางกว่าโรงภาพยนตร์ทั่วไป ออกจะเล็กกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่ถูกประดับด้วยเก้าอี้กึ่งเตียงนอนสวยหรูอยู่ประมาณ 12-15 คู่ได้ บรรยากาศการตกแต่งก็เหมือนห้องนอนในโรงแรมหรู ทุกพื้นที่แบ่งแยกออกห่างกันได้พอดีลงตัวทำให้มีความเป็นส่วนตัวประมาณหนึ่ง

ผมเลือกที่นั่งตรงกลางหน้าจอพอดี และอยู่กึ่งกลางระหว่างหน้าจอกับแถวหลังสุดอย่างพอเหมาะพอเจาะ หลังจากสำรวจบรรยากาศโดยรอบเรียบร้อย ผมก็รีบจับจองฝั่งที่นั่งทันที ผมเลือกทางซ้ายมือ เพราะอยู่ใกล้กับตู้แช่เครื่องดื่มด้านข้าง

ไม่นานไฟในโรงภาพยนตร์ก็หรี่ลงจนเกือบดับ ไฟซ่อนตามทางเดินเรืองสว่างขึ้นให้พอมองเห็นทางเดินและทางต่างระดับ ทำให้มองเห็นทางหนีไฟ และทางไปห้องน้ำชัดเจน

โรงภาพยนตร์แพงๆ มันก็ดีแบบนี้ ผมคิดในใจ

ในขณะที่ผมกำลังสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างสนอกสนใจ จนกระทั่งลืมคนที่พามาอย่างไอ้คอปเตอร์ ซึ่งตอนนี้เคลื่อนที่ลงมานั่งข้างผมอย่างเงียบงัน

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่า บุคลิกของไอ้คอปเตอร์มันแปลกไป มันเงียบและเรียบร้อยเกินไป จะว่าไปมันควรจะพูดอะไรออกมาแซวท่าทางของผมตอนนี้สิ

“ไม่เคยเข้าโรงหนังแบบนี้หรือไง ทำตัวตื่นเต้นเป็นเด็กๆ ไปได้”

นั่นไงมาแล้ว มาช้าแต่มานะ

“ไม่เคย กูว่ามันแพงไป ไม่มีเหตุผลอะไรที่กูจะมาดูหนังอะไรแพงขนาดนี้ กูมีเงินจ่าย! แต่ต้องสมเหตุสมผล!”

“มาออกเดทมันก็ต้องแบบนี้ป่าววะ หรือว่า….มึงไม่เคย!!”

เออ!! ครับผมไม่เคย แล้ว มันหนักหัวใครวะ ถึงผมจะมุ่งมั่นเปลี่ยนตัวเองเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย แต่การได้มาซึ่งเกียรตินิยม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ดังนั้นการมีแฟนจึงไม่ได้อยู่ในหัวผมเลยแม้แต่น้อย


สรุปว่าการดูหนังสยองขวัญของผมครานี้ถือเป็นความบันเทิงที่ผมคาดไม่ถึงเลยทีเดียว การที่ผมได้เฝ้าสังเกตอาการคนคูลที่แสร้งว่าไร้ความหวาดกลัว มันช่างขบขันอย่างเหลือเชื่อ

ผมแทบไม่ได้สนใจกับเนื้อเรื่องความน่ากลัวของภาพยนตร์เลยทั้งๆ ที่ถึงคราว jump scare ที่เหล่าบรรดาคนดูต่างตกใจกอดกันกลม แต่ผมกลับพยายามกลั้นขำอย่างสุดกำลัง

การได้มองหน้าบิดเบี้ยวและคืนตัวอย่างรวดเร็วทำให้ผมรู้สึกบันเทิงใจอย่างบอกไม่ถูก แบบนี้มันคือความรู้สึกของการได้แกล้งใครหรือเปล่านะ แต่ผมก็อดเอ็นดูความสู้ชีวิตของไอ้คอปเตอร์ไม่ได้

เวลาเกือบสองชั่วโมงของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สิ้นสุดลง แสงสว่างในโรงภาพยนตร์เรืองขึ้นช้า ๆ เหมือนยามฟ้าสาง แสงสีนวลออกฟ้า ทำให้หน้าตาของคนที่นี่งกึ่งนอนข้างผมดูซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา ผมรู้สึกผิดกับผลลัพธ์ที่ได้ สนุกสนานตอนแกล้งเขา แต่ตอนนี้ก็ต้องทนรับความรู้สึกผิดแบบนี้

ไอ้การได้กลั่นแกล้งคนอื่นนี่มันดีตรงไหนเนี่ย ผมคิดทบทวนในหัว

“สนุกไหม?”  ความจริงจะถามว่าไหวไหม แต่คงจะไม่เหมาะกับคนคูลๆ อย่างมัน

“ก็ดี ไม่เห็นน่ากลัวตรงไหน นี่มันหนังเกรดบีชัดๆ” เสียงของคนที่พยายามสะกดความสั่นไว้ มันทำให้ภาพตรงหน้าดูน่าสงสารยิ่งขึ้นไปอีก

“กลับเลยไหม?”  ผมถามเพราะตอนนี้คนในโรงฯ เริ่มทยอยก้าวเท้าออกจากพื้นที่เกือบหมดแล้ว

แต่สิ่งที่ผมได้จากคำถามนี้คือ ความเงียบ ไอ้คอปเตอร์มันนิ่งไปเหมือนใช้ความคิดกับตัวเอง แต่ผมกลับคิดว่า มันคงแข้งขาสั่นจนลุกเดินไม่ไหว

“ไปหาอะไรกินกันก่อนไหม?” เป็นไปตามคาดหลังจากพูดจบ คนคูลของผมก็ลุกขึ้นยืนด้วยอาการเซเล็กน้อย จนต้องใช้มือค้ำพนักเตียงกึ่งนอนไว้อย่างมั่นเหมาะ

ผมร้องทักด้วยความตกใจพลางบอกว่า “ง่วงแล้วก็ไปนอนเถอะ”

มันทรงตัวพักใหญ่ก่อนที่จะยิ้มกลับมาว่า

“กูหิว ไปหาอะไรกินก่อนกลับเถอะ!”

ผมยอมตกลงเพราะเห็นแก่หน้าซีดๆ ของมัน

เดินวนเวียนอยู่ในห้างสรรพสินค้าอยู่พักใหญ่ ก็ยังหาร้านที่จะลงหลักเพื่อกินมื้อเย็นไม่ได้ เพราะมันมัวแต่ถามความต้องการของผมอยู่นั่นแหละ จนกระทั่งผ่านมาครึ่งชั่วโมง

ผมเองก็ตอบไม่ได้เพราะความที่ยังไม่หิว สุกท้ายผมต้องตัดสินใจเข้าสักร้านที่คิดได้และใกล้ที่สุดตอนนี้เพราะผมสังเกตอาการขาอ่อนแรงของไอ้คอปเตอร์ หน้าและปากที่ซีดลงกว่าปกติมาก

นี่มันจะเป็นลมไหมเนี่ย?

ผมเดินนำเข้าร้านอาหารฟาสฟู้ดสไตล์แม็กซิกัน และอาสาไปสั่งอาหารเอง แม้ว่ามันจะมีอาการลังเลตั้งแต่เดินเข้าร้าน แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น เพราะผมกลัวจะต้องหิ้วปีกมันกลับบ้าน

ได้พักสักหน่อย กับอาหารรสจัดสักนิดน่าจะดี

หลังจากสั่งอาหารจนได้รับอาหารเรียบร้อย ผมเดินมาหาไอ้คนที่หน้าตาเริ่มมีสีสันต์ขึ้นมาเล็กน้อยที่โต๊ะมุมหนึ่งในร้านที่ผมพามันมานั่งพัก

แม้ว่าสีหน้าจะดีขึ้น และมันกลับไม่ได้มีความรู้สึกอยากอาหารที่ผมอุตส่าห์ลงทุนเดินไปซื้อให้เลย

“อย่าบอกนะว่า ไม่ชอบน่ะ ทำไม่รีบบอก”

“ปล่าวนะ! คือ กู ไม่เคยกินน่ะ”

“อะไรวะ อร่อยนะโว้ย กินแล้วรู้สึก สดชื่นสดใสเลยนะ เครื่องเทศก็หอม รสชาติก็จัดจ้าน สรุปคือดี กูขอบ” ผมโฆษณาทำตัวเหมือนแบนด์แอมบาสซาเดอร์ของร้าน

“มึงชอบเหรอ…?” มันถามเสียงอ่อยๆ

“ถึงหน้าตามันจะดูธรรมดา แต่รสชาติดีมากๆ เลยนะ ลองดู”

ไอ้คนหน้านิ่ง คนคูลกลับมาแล้ว มันมองชุดอาหารที่ผมสั่งเผื่อมันมาด้วยตรงหน้า ผมได้ยินเสียงมันผ่อนลมหายใจเบาๆ อ่อนๆ พลางคิดในใจว่าว่ามันคงไม่ชอบอาหารแนวนี้

ผมหยิบเบอริโต้ขึ้นมาแกะกระดาษห่อออกอย่างคล่องแคล้ว และใช้ปากงับเต็มคำ แผ่นแป้ง ผัก และเครื่องเทศผสมรวมกันในช่องปากกันอย่างมีอรรถรส ลิ้นสัมผัสรสชาติที่จัดจ้านร้อนลิ้น กลิ่นเครื่องเทศเฉพาะสูตรหอมตลบขึ้นมาคละกับรสชาติเผ็ดร้อน มันช่างสุดยอดเลย ร้านนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง

ระหว่างที่ผมกำลังนั่งเคี้ยวเบอริโต้ตัวเองอย่างเพลิดเพลิน ดวงตาผมก็ต้องเผชิญกับสีหน้าแปลกๆ ของคนตรงข้าม สีหน้าเหมือนกับคนกรุงดูชาวไร่ผสมปุ๋ยคอก อารมณ์ประมาณนั้นเลย ผมรู้ผมเคยเป็นแบบนี้มาก่อน

หรือมันไม่ชอบอะไรแบบนี่



ความคิดชั่วๆ ที่เป็นดั่งเรือโจรสลัดของผมผมเริ่มแล่นออกจากท่าอีกรอบ

“ไม่สบายหรือเปล่า?”

“เปล่า แต่ไม่หิวแล้ว”

“ไม่ชอบก็บอกกันตรงๆ นะ ซื้อให้แล้วไม่กิน กูเสียใจนะ”

“……..”

“งั้นเดี๋ยวกูห่อกลับ” ผมยื่นมือไปทำท่าจะเก็บ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกู กินเอง” มันยื้อมือผมไว้โดยการจับที่ข้อมืออย่างเร็ว

“ไม่ไหวอย่าฝืนนะ!”

“ไหวๆ” ว่าจบมันก็หยิบโยกส่วนของมันไปไว้ใกล้ตัว

“รีบกินให้หมดสิ จะได้พากลับไปพัก เอ่อ….ไปอยู่ห้องกูก่อนก็ได้นะ กูว่ามึงน่าจะป่วยนะ หน้าซีดเชียว”

นอกจากที่มันจะไม่พูดอะไรแล้ว มันยังพยายามกินอาหารตรงหน้าให้หมดด้วย แม้จะดูฝืนๆ แต่มันกินจนหมดจริง

…………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (7-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 08-11-2023 22:59:32
 :z1: :a5: o22
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (13-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 13-11-2023 09:16:14
การเดินทางขากลับจากห้างสรรพสินค้า ไอ้คอปเตอร์เหยียบคันเร่งจนเกือบสุดความเร็วรถสปอร์ต ผมนั่งไปพร้อมกับเกาะยึดคอนโซลรถไปด้วยท่าทีหวาดกลัว

แค่ผมชวนไปนอนด้วยนี่มันทำให้ไอ้คนคูลคนนี้ถึงกับสติแตกขนาดนี้เหรอ หรือว่าความกลัวตอนดูหนังผีจะทำให้มันเป็นบ้า

รถถูกขับมาจอดที่ลานจอดใต้อพาร์ตเมนต์ของผมเพียงชั่วอึดใจ ผมจำได้นะครับว่าตอนผมเดินทางไปที่ห้างฯ ผมใช้เวลาเกือบชั่วโมง แต่ขากลับ ใช้เวลาเพียง 15 นาที

ผมลงจากรถด้วยอาการเซเล็กน้อยด้วยอาการเมาความเร็วของรถ ส่วนไอ้คอปเตอร์ นั่น หลังจากลงจากรถได้ก็รีบวิ่งขึ้นห้องไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรกับผมสักคำ ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่ในลานจอดรถด้วยความคิดแปลก ๆ เต็มหัวไปหมด

ผมเดินกลับมาถึงห้องอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับการนอนเรียบร้อย แต่ก็ยังไร้วี่แววของไอ้เพื่อนไม่สนิทและคิดไม่ซื่อที่พักฝั่งตรงข้าม

ในใจตอนนี้มีแต่ความคิดแปลกๆ เต็มไปหมด คิดพลางเสียวสันหลังวูบวาบ หรือมันจะเตรียมการเผด็จศึกเราวะ?

ความคิดไม่ดีที่กำลังแล่นออกทะเลไปเรื่อย ขนาดที่ผมกลัวแต่ก็ยังคิดไปถึงร้อยแปดสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และหาวิธีรับมือ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งออกจากภวังค์

ผมกล้าๆ กลัวๆ เดินไปเปิดประตูเพื่อใจดีสู้เสื้อต้อนรับไอ้คอปเตอร์

สิ่งที่ผมเจอคือคนที่ยืนหน้าซีดไร้เรี่ยวแรงอยู่หน้าห้อง

“เฮ้ย!! เป็นอะไร!!??”

“ไม่เป็นอะไร ขอเข้าไปนะ” พูดจบมันก็เดินไปล้มตัวนอนคว่ำลงบนเตียงดังตึง เหมือนตุ๊กตาเป่าลมตามปั้มน้ำมันที่ไฟฟ้าดับ

ผมเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงครางโอยเบาๆ

“ถามจริงๆ ไม่เป็นอะไรแน่นะ?” ผมเดินไปนั่งข้างๆ

“ก็ปกติล่ะ” พูดจบก็พลิกตัวมาคว้ารวบเอวผมไปกอดในท่านอนแบบนั่น

ผมร้องโวยวายแต่ก็ดิ้นไม่หลุดจากมือปลาหมึกนั่น

“ขออยู่แบบนี้สักพักนะ” คำพูดอู้อี้หลุดออกจากขอบกางเกงผม

ผมทำได้แค่นั่งเกร็งและถอนหายใจออกมาเป็นระยะ แล้วไอ้ที่สักพักนี่นานเท่าไหร่ ใจอยากจะปฏิเสธแต่เห็นหน้าซีดๆ ของมันแล้วก็อดที่จะฝืนยิ้มและทนต่อไป

เวลาผ่านไปห้านาทีแต่สำหรับผมเหมือนมันเกือบจะเท่าช่วงชีวิตวัยรุ่นของผม การนั่งเกร็งประหม่ากับสถานการณ์แบบนี้มันโคตรทรมาน

เสียงโครกครากดังมาจากท้องของผู้ที่นอนกอดเอวผมอย่างสงบ ไม่เกินสามวินาที ไอ้คอปเตอร์ก็ขอตัวแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำในห้องของผมไปอย่างรวดเร็ว แรงลมที่เกิดจากการวิ่งข้ามเตียงไปทำให้เส้นผมของผมสั่นไหวไปมาเลยทีเดียว

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ไอ้คอปเตอร์ก็เดินออกมาทั้งร่างกายที่อ่อนแรง

“เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่า มึงกินอาหารแม็กซิโก ไม่ได้น่ะ?” เรื่องนี้ผมเข้าใจเพราะเพื่อนสนิทผมก็อาการเดียวกัน

“เปล่าหรอก คือ…..” ตอบถึงตรงนี้ มันก็หันหลังเข้าห้องน้ำอีกครั้ง

ใจหนึ่งก็สะใจ ใจก็รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจถึงไอ้คนที่ชอบแกล้งคนอื่นเนี่ย มันมีความสุขตรงไหน?

กว่าที่ไอ้คอปเตอร์จะออกมาจากห้องน้ำครั้งนี้ก็อีกหลายนาทีให้หลัง คราวนี้มันทำเหมือนเดิมเลย คือ เดินออกมาล้มลงบนพื้นที่นอนนุ่มๆ ของผมอย่างกับตุ๊กตาเป่าลมไร้พลังไฟฟ้า

รู้สึกสงสารจับใจ

ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษนะ ไม่อยากให้มึงมาตายในห้องกูหรอก ผมจัดเตรียมเกลือแร่และยาแก้อาการท้องเสีย ท้องร่วงไว้พร้อมสรรพ และรีบไปจัดการดูแลไอ้คนป่วยทันที

ผมจัดให้มันนอน ในท่าสบาย สั่งให้ดื่มเกลือแร่ กำชับให้ดื่มเป็นระยะ จิบๆ อย่าซดหมด กินยาที่เตรียมไว้ให้ และให้นอนพักเสียให้เรียบร้อย

ทุกการกระทำของผม สร้างรอยยิ้มให้คนป่วยจนผมรู้สึกหมั่นไส้ อยากเอาหมอนยัดใส่หน้า ให้รอยยิ้มนั่นหายไป แต่ก็ต้องอดใจไว้ กลัวมันมาตายในห้องจริงๆ

วุ่นวายกับการที่ต้องดูแลคนป่วยที่มีสีหน้าเปี่ยมสุขจนน่าขนลุกทั้งคืน รู้ตัวอีกทีผมก็หลับฟุบอยู่บนเตียงไม่รู้เรื่องจนถึงเช้า

แสงยามสายมันเสียดแทงเข้าตาจนกระทั่งผมทนต่อไปไม่ไหว อุณหภูมิในห้องสูงขึ้นเล็กน้อยจากแสงแดดที่สาดเข้ามาอย่างไม่ได้รับเชิญ


ผมลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนด้วยอาการมึนงงสับสนในเวลาและความทรงจำ ผมไม่เคยเปิดม่านทิ้งไว้ก่อนนอนนี่นา ผมทบทวนกับตัวเองด้วยท่าทางไม่เข้าใจ


และแล้วผมก็นึกออกแทบจะในทันทีที่ขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอนว่า เมื่อคืนผมไม่ได้นอนคนเดียวนี่นา!!


แต่อีกคนที่ว่าหายไปไหนแล้ว ผมวิ่งไปดูที่ห้องน้ำเพราะกลัวว่าระหว่างที่หลับ ไอ้คอปเตอร์มันจะไปสลบในห้องส้วม แต่หลังจากผลักประตูให้เปิดออกก็ไม่พบกับใครเลย


ผมวิ่งออกจากห้องไปเคาะห้องฝั่งตรงข้ามก็ไม่มีใครออกมาตอบรับเสียงเรียกของผม ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกังวลใจแปลกๆ


ผมเดินกลับมาที่ห้องด้วยความรู้สึกหน่วงที่หน้าอก ไม่ชอบความรู้สึกที่ตัวเองไม่เข้าใจแบบนี้เลย ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์และค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของไอ้คนป่วยที่หายสาปสูญไปเพื่อติดต่อหามัน


แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือ ไอ้บ้านั่นมันดันทิ้งโทรศัพท์สมาร์ตโฟนของมันไว้ที่ห้องผม เสียงเรียกเข้าเรียกเข้าแบบโมโนโทนดังไปทั้งห้อง ผมวางสายและเดินไปหยิบโทรศัพท์ของมันขึ้นมา


ไม่มีใครโทรศัพท์หามันเลยนอกจากผม ที่ประหลาดใจไม่ต่างกันคือ มันบันทึกชื่อผมว่า “Winnie the ❤️”


นี่มันคลั่งรักผมจริงๆ เหรอวะเนี่ย!?!?


“อยู่นี่เอง นึกว่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่ไหน?” เสียงยียวนดังขึ้นทางด้านหลังในระยะประชิด


ผมตกใจหันหลังไปหาต้นเสียงอย่างไม่ระวัง หันไปเจอหน้าไอ้คนป่วยที่หายตัวไปอย่างจัง ผมเผลอถอยหลังไปไม่ทันตั้งตัว ขาตัวเองดันไปเบียดกับขอบเตียงจนล้มลงไปนอนแผ่ที่ที่นอน โทรศัพท์ที่ถืออยู่หลุดมือหล่นใส่หน้าตัวเองอย่างจัง


ผมเอามือปิดหน้าร้องโอย


ไอ้คอปเตอร์ตรงรี่เข้ามาหาผมเพื่อตรวจใบหน้าผมอย่างละเอียด ใกล้จนผมได้กลิ่นสบู่ที่คุ้นเคย (นี่มันสบู่ผมนี่หว่า!!)

“เจ็บตรงไหนไหม?” มันถาม


“ไม่เท่าไหร่” ผมตอบพร้อมสำรวจความเจ็บของตนเอง


“ไหนดูหน่อย” ไอ้คอปเตอร์พยายามยึดยื้อมือของผมออกจากใบหน้าและสำรวจอย่างละเอียด


“ใกล้ไปแล้ว” ผมงึมงำในลำคอพลางสำรวจท่าทางของผมและมัน


นี่มันนั่งคล่อมตัวผมอยู่นี่นา ร่างกายท่อนล่างของมันในชุดลำลองแนบชิดกับร่างท่อนบนของผมในชุดนอนจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน


ผมดีดตัวแล้วไล่มันให้ลุกออกไปให้ห่าง หลังจากนั้นก็โวยวายใส่มันตั้งแต่ หายไปไหน? แล้วเข้าห้องมาเงียบๆ ขนาดนี้ได้อย่างไร? แล้วคำถามอีกเป็นกระบุง


ไอ้คอปเตอร์ตอบด้วยท่าทางสบายๆ ว่า อาการท้องเสียมันเป็นเรื่องปกติเวลากินของอะไรพวกนี้ ถ่ายหมดก็สบายตัว ได้นอนเสียหน่อยก็มีแรง เห็นว่าผมยังไม่ตื่นก็เลยอาสาไปหาซื้ออาหารเช้าให้ พลางชี้กล่องอาหารที่ตอนนี้วางอยู่ที่พื้น


ผมฟังแล้วก็ไม่รู้จะโกรธมันเรื่องอะไร นอกจากที่ผมโง่เองที่เป็นห่วงมัน!! ผมคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที

……….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (13-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 13-11-2023 20:47:42
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (20-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-11-2023 09:51:58

บทที่ 7 Reveals



หลายวันแล้วนับจากวันที่ผมตกลงเป็น “คนคุย” อย่างลับ ๆ กับไอ้คอปเตอร์ แต่อย่างที่ใครๆ เขาก็พูดกัน ‘ความลับไม่มีในโลกของที่ทำงาน’

ก็เพราะไอ้พฤติกรรม ‘แสดงออก’ อย่างไม่ปกปิดของไอ้คอปเตอร์ทำให้ผมถูกทุกคนในที่ทำงานพูดถึงโดยทั่วทุกแห่งที่ข่าวซุบซิบจะสามารถไปได้

นับวันก็ยิ่งจะชัดเจนขึ้น จนผมรู้สึกคิดผิด สรุปใครกันแน่นะที่กำลังโดนกลั่นแกล้งอยู่

จะเดินไปที่แห่งไหนก็มีแต่คนทำหน้าตาประมาณว่า

‘อ้อ…. คนนี้นี่เอง’

สายตามันพูดเสียงดังได้ขนาดนั้น


“วันนี้ขอกลับบ้านเองนะ” ผมเอ่ยกับไอ้คนที่นั่งเอนหลังกึ่งนอนฮัมเพลงอารมณ์ดีอยู่ที่ห้องเก็บเอกสาร

“ทำไมล่ะ ก็กลับทางเดียวกันนี่นา” ไอ้คอปเตอร์ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ของมันทันทีที่ผมเอ่ยจบ

“เออ!! ไม่ต้องถามเหตุผล!” ผมสวนกลับทันที

“อ๋อ…. เรื่องที่พวกพี่ๆ พนักงานคุยกันล่ะสิ ไม่เห็นเป็นไร อย่างมากก็เปิดตัวไปเลยสิ จะได้เลิกนินทาเสียที”

ผมได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตอบกลับไป

เป้าหมายแรกเริ่มผมไม่ได้อยากเป็นข่าวแบบนี้ ตั้งใจแค่จะให้มันจีบแบบลับๆ และหักอกมันอย่างเงียบๆ  ไม่ใช่แบบนี้

พฤติกรรมของมันหลายๆ อย่าง ทำให้คิดได้อย่างเดียวเลยว่ามันไม่ได้รักษาสัญญาที่ให้กันเลย

“ก็บอกว่าฝึกงานอยู่ จะให้มีข่าวว่ากุ๊กกิ๊กกับอนาคตเจ้าของบริษัทแบบนี้มันจะเหรอ?”

“ผลงานของมึงก็ดี ทำงานก็เก่ง มึงจะกลัวอะไรวะ?”

“คนอื่นเขาคิดแบบมึงไหม?”

“สนใจคนอื่นทำไม มึงไม่ได้ทำอะไรเสียหายเสียหน่อย ทำงานก็ดี พี่ๆ ในทีมเขาก็ชม มึงอ่ะคิดมาก”

“มึงน่ะคิดน้อยไป หัดคิดถึงใจคนอื่นบ้างนะว่ารู้สึกยังกับสถานการณ์แบบนี้!! ใจคอมึงจะไม่แคร์โลกก็ควรแคร์คนอื่นบ้างนะ!!”

ผมเหมือนไปจี้ใจดำมันละมัง คนบ้าที่หุบปากเงียบจนผมรู้สึกประหลาดใจ บรรยากาศมันแปลกไปทำให้ผมเริ่มกังวลถึงความเปลี่ยนแปลงแบบนี้

“นั่นสิ” อยู่มันก็ทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงเย็นๆ เบาๆ

“รู้สำนึกก็ดี… งั้น…เย็นนี้….”

สีหน้าเหมือนหมาถูกเจ้าของทิ้งปรากฏขึ้นตรงหน้าผม

“เออๆ…. ช่างมัน เดี๋ยวกลับด้วยกันเหมือนเดิมก็ได้!!”

ช่างหัวมันแล้ว อยู่ๆ ผมรู้สึกทนไอ้หน้าตาแบบนั้นของมันไม่ได้เสียอย่างนั้น

“งั้น…วันนี้ไปกินข้าวนอกบ้านกัน!!”
อยู่ๆ สีหน้ามันก็เบิกบานเป็นดอกทานตะวันขึ้นมาทันตา หรือว่าผมโดนหลอกหรือนี่!!

“น้องวิน!!” พี่ท้อปที่เปิดประตูเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยร้องเรียกชื่อผมลั่นห้อง

ไอ้หน้าดอกทานตะวันเมื่อครู่กลายเป็นดอกหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่แยกเขี้ยวใส่ผู้ใหญ่ที่เดินเข้ามาอย่างกระทันหันแทบจะทันที

ผมแอบย้ายมือตัวเองไปบีบขามันแน่น

ไอ้คอปเตอร์วางมือลงบนมือผมแทบจะทันที ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันแต่หลังจากเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่เป็นมิตรกับผู้มาใหม่มากขึ้น ผมจึงปล่อยผ่านไปก่อน

“พี่ขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า” พี่ท้อปเอ่ยถามด้วยสายตาซ่อกแซ่ก

“เสื…..” ผมบีบขามันแน่นขึ้น จนมันหยุดพูดแทบจะทันที

“ไม่มีครับ” ผมพูดแทรก

“งั้นเหรอ” พี่ท้อปทำหน้าลังเลก่อนจะพูดต่อในวินาทีถัดไป
“คือพี่จะพาน้องวินไปเลี้ยงข้าวเสียหน่อย โปรเจ็คที่น้องช่วยทำ มันสำเร็จไปได้ด้วยดีแถมเสร็จก่อนเวลาด้วย สุดยอดไปเลย เดี๋ยวว่าจะไปทั้งแผนกเลยนะ ไปด้วยกันนะ!!” ประกายตาและความเบิกบานถูกปูไปทั่วใบหน้าอวบๆ ของพี่ท้อป

ผมรู้สึกดีใจมากที่ทุกอย่างที่ทำมามันเป็นไปด้วยดี ผมยืนขึ้นและเดินไปแสดงความยินดีกับพี่ท้อปแบบกระโดดโลดเต้น พี่ท้อปก็เล่นด้วยเหมือนกลับไปเป็นเด็กกันอีกครั้ง

ผมตอบตกลงทันทีด้วยความดีใจ

แต่ไม่ทันถึง 3 วินาทีที่ผมดีใจ ไอร้อนจากเบื้องหลังของผมก็ปะทุขึ้นแทบจะทันทีที่ผมตอบตกลง

“มึงมีนัดกับกูแล้วนี่!!” มันพูดเสียงเข้มและจ้องผู้ใหญ่ในแผนกเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“จะไปไม่ไปบอกพี่อีกทีนะ” พี่ท้อปหนีเอาตัวรอดครับ

ไอความน่ากลัวแผ่ออกมาจากตัวมันจนผมสั่นไปหมด ภาพเก่าๆ ในหัวมันย้อนกลับมาทำร้ายผมจนมือสั่นไม่รู้ตัว ผมกำหมัดแน่นและพยายามฝืนตอบกลับ แต่มือของผมมันชุ่มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบ

“เอ่ออออ….. ช่างมันเถอะ ไปวันหลังก็ได้ แต่วันนี้ขอนอนด้วยเหมือนเดิมนะ”

แล้วมันจะเช่าห้องไว้ทำไมวะ เสียเงินแล้วไม่ไปนอนเนี่ย ผมคิดในใจ แล้วก็รู้สึกตัวว่ามือของผมหายสั่นแล้ว บรรยายกาศรอบๆ ตัวของไอ้คอปเตอร์ก็ผ่อนคลายขึ้น ถึงมันจะไม่ยิ้มและคิ้วยังผูกติดกันอยู่ก็ตาม

“ก็ไปด้วยกันสิ!” ผมชวน

ไอ้คอปเตอร์พยักหน้ารับคำแบบไม่เต็มใจนัก แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะคิดว่าผมควรจะทรมานมันด้วยการตามใจตัวเองมากกว่านี้สิ!! ไม่ใช่ไปตามใจมัน!!

เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เสียงฮือฮาจากภายนอกห้องก็เริ่มดังขึ้นจนผิดปกติ ผมจึงมองผ่านกระจกใสบางส่วนที่เว้นไว้จากการติดสติ๊กเกอร์ขุ่นโปร่งแสงออกไป ก็พบกับบรรยากาศที่ต่างจากเดิม

ทุกคนต่างลุกขึ้นมาพูดคุยอย่างสนุกสนาน ต่างคนต่างเก็บข้าวของลงกระเป๋า พนักงานชายก็เริ่มเดินมารวมตัวกัน ส่วนพนักงานหญิงก็กำลังแต่งหน้าและพูดคุยกันอย่างออกรส

ผมที่เห็นบรรยากาศแบบนี้ทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้ คนที่นี่แม้งานจะหนักแต่ทุกคนก็ดูมีความสุขกันไม่น้อย ผมหันกลับมาโฟกัสที่หน้าจอตัวเอง เพื่อเร่งทำงานโปรเจ็คถัดไปที่พี่เขามอบหมายมาให้หลังจากจบโปรเจ็คแรกแบบแทบจะทันที

“เลิกทำงานได้แล้ว  เตรียมตัวให้พร้อม พี่รอที่ด้านหน้าแผนกนะน้อง” พี่ท้อปที่เปิดประตูกว้างเข้ามาตาม กลิ่นน้ำหอมแรงลอยมาตามอากาศเย็นที่หมุนวนเข้ามาจากภายนอก

“โหยย หอมเชียว” ผมแซวพี่ท้อป ที่วันนี้ตัวหอมผิดกับทุกวันที่ช่วงเย็นๆ จะมีแต่กลิ่นเหงื่อ จากความเครียดทั้งวัน

“จะไปทั้งแบบปกติได้ไง เกรงใจเพื่อนๆ พี่ๆ”

“ฮ่าๆๆ ครับ เดี๋ยวผมตามออกไปครับ ขอเก็บของสักครู่”

“เดี๋ยวพวกผมไปกันเอง” ไอ้คอปเตอร์พูดแทรกขึ้นมา ทำให้ผมและพี่ท้อปหันไปมองหน้ามันพร้อมกัน

“รู้ที่จะไปใช่ไหม?” พี่ท้อปถามทันทีด้วยใบหน้าที่จืดลงเล็กน้อย

ผมจ้องตาไอ้คนที่ชอบช๊อตฟีลอย่างเหนื่อยใจ

“ถามพี่เอกแล้ว” (พี่เอกคือผู้จัดการแผนก)

“โอเคๆ อย่างช้านะวิน” พี่ท้อปคงคิดว่าหันมาคุยกับผมน่าจะสบายใจกว่า

“ครับพี่” ผมยิ้มตอบอย่างขัดๆ เขินๆ กับสถานการณ์แบบนี้

พี่ท้อปรับคำก็เดินฮัมเพลงออกไปจากช่องประตู แต่ก็ทิ้งบานประตูให้เปิดไว้

“มึงนี่ก็แปลกคนนะ” ผมหันไปต่อว่ามัน แต่มันกลับไม่ได้สนใจอะไรนอกจากยืนขึ้นเก็บข้าวของที่อยู่บนโต๊ะของผมลงกระเป๋าด้วยการกวาดทุกสิ่งลงในกระเป๋าเป้ที่เปิดกว้างอยู่

ผมโวยวายกับความไร้ระเบียบของมัน สุดท้ายผมต้องเอาทุกอย่างออกมาจัดให้เรียบร้อยลงกระเป๋าอีกรอบ

ขณะที่ผมและไอ้คนหน้านิ่งกำลังจะเดินไปทางลิฟท์วีไอพี หญิงวัยกลางคนได้เดินเข้ามาทางพวกผมอย่างกึ่งเดินกึ่งวิ่งแต่ท่าเดินก็ยังสวยสง่าอย่างกับนางแบบวิคตอเรียซีเคร็ท

“คุณคอปเตอร์คะ คุณแม่ของคุณให้ไปรับประทานมื้อค่ำด้วยกันวันนี้นะคะ จะได้คุยเรื่องที่คุยค้างกันไว้”

“วันนี้ไม่ว่าง” ไอ้คอปเตอร์ตอบคนหน้าดุด้วยถ้อยคำห้วนๆ เสียจนผมรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมกับการตอบคนที่อาวุโสกว่า


“ไม่ได้คะ ใกล้ถึงวันนั้นแล้วนี่คะ หลังจากนี้จะไม่ว่างอีกแล้วนะคะ!” หญิงวัยกลางคนทำเสียงเข้มย้ำ

“……….” ไอ้คอปเตอร์คิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะตอบว่า

“ไม่เป็นไร ปีนี้อยากทำงานตรงนี้ ที่นี่ มีเหตุผลที่ต้องอยู่แล้ว บอกแม่ไปแบบนั้นก็แล้วกัน”

“ถ้าอย่างนั้นจะรายงานไปแบบนั้นนะคะ แต่….” หญิงวัยกลางคนหยุดไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไปด้วยโทนเสียงที่สงบขึ้น

“ไม่เจอกับคุณแม่นานแล้วนะ ไม่อยากมารับประทานอาหารด้วยกันก่อนหรือ สักครึ่งชั่วโมงก็ได้”

“ก็โทรศัพท์หากันทุกวันอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก” พูดจบไอ้คอปเตอร์ก็คว้ามือผมลากเข้าไปในประตูเข้าลิฟต์วีไอพีทันที

………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (20-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 20-11-2023 22:57:21
 :ling1: :z6:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (27-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 27-11-2023 14:25:43


ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวลงอย่างรวดเร็วปานปล่อยตัวตามแรงโน้มถ่วง  ไอ้คนหน้าตึงอย่างไอ้คอปเตอร์กลับยืนจ้องตัวเลขบอกชั้นที่กำลังลดลงจำนวนลงเรื่อยๆ เหมือนกำลังสื่อสารอะไรบางอย่างกับมัน

ผมเองก็เลยพาลตึงเครียดไปด้วย บอกได้เลยว่าหลังจากที่อยู่ด้วยกันกับมันบ่อยๆ ทำให้ผมรู้ว่าเวลาไหนผมสามารถแผงฤทธิ์ได้ เวลาไหนไม่ควร แม้ว่ามันจะอยู่ในช่วงจีบผมอยู่ก็เถอะ แต่ผมก็ไม่อยากไปแหย่รังแตนแห่งความไม่แน่นอนของมัน บอกตามตรงผมยังไม่ได้รู้จักมันดีขนาดนั้น

แต่พอเป็นเรื่องความสัมพันธ์แม่ลูกแบบนี้ บอกได้เลยว่าผมไม่ค่อยสบายใจกับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ ผมผู้ไม่เคยทะเลาะกับแม่แบบจริงจังสักครั้งก็เลยรู้สึกที่จะเป็นตัวการที่ทำให้ความสัมพันธ์แม่ลูกของไอ้คอปเตอร์ไม่ดีไปด้วย

“มึงจะไปกินข้าวกับแม่ก็ได้นะ” ผมตัดสินใจพูดเมื่อมาถึงชั้นจอดรถใต้ดินเรียบร้อย

อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร หันมามองผมวูบหนึ่งด้วยสีหน้าลังเลและก็หันหลังกลับไปเดินต่อ

“นานๆ เจอกันทีไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปหาแม่เสียหน่อย”

“แต่….” สีหน้าของมันลังเลจนผมอดใจอ่อนกลับความอ่อนแอตรงหน้าไม่ได้

“หากเป็นเรื่องแม่ มึงไม่ต้องเลือก มึงไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกู แค่ไปกินเลี้ยงกับพี่ๆ ที่ทำงานเอง”

“พูดแบบนี้ แสดงว่ามึงยังไม่รู้อะไรอีกเยอะเลย”

“ปาร์ตี้หนักเลยเหรอ? แต่เห็นแบบนี้ สมัยเรียนกูก็เอาตัวรอดได้ตลอดนะ ที่สำคัญ คือ กูคอแข็งมาก!!” ผมเอามือตีไปที่คอดังเพี๊ยะ

“……” ไอ้คอปเตอร์มันมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง

“แม่….กู… ชอบบังคับให้กูไปกินข้าวด้วยแบบไม่ได้สนใจกูเลยว่าจะทำอะไรอยู่แบบนี้ตลอด ไอ้เวลาที่นัดกันก็ไม่เคยมาตามนัด!!” ไอ้คอปเตอร์เหมือนระบายออกมาแบบไม่ตั้งใจ

“เออ! กูรู้ แม่กูก็เป็น เชื่อกูนะไปเถอะ ไม่อยากให้มึงเสียใจนะ ไปตอนที่แม่ยังอยู่กับเราเหอะ!”

ผมพูดไปตามความในใจของผม แต่ไอ้คอปเตอร์กลับน้ำตาซึม นี่มันอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ขนาดนี้เลยหรือวะ??!!

ไอ้คนที่ผมคิดว่าเป็นพญามารไร้หัวใจมาตลอดกลับดูอ่อนไหวและกำลังจะหลั่งน้ำตาต่อหน้าผม มันทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนมองคนตรงหน้าด้วยความเงียบ สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าต้องทำหน้าแบบไหนแสดงออกไป อยากมีกระจกอยู่ตรงนี้เลย

“ขอโทษที กลายเป็นคนน่าเบื่อไปเสียได้” ไอ้คอปเตอร์ใช้นิ้วมือปาดน้ำตาไม่ให้หลั่งรดแก้มตนเอง ถึงมันจะน้อยแต่ก็คือน้ำตาของไอ้คนแข็งกระด้างคนนี้

“ไม่… ไม่เป็นไร เอ่อ….มึงไปกินข้าวกับแม่มึงเถอะ เดี๋ยวกู…. ไปกับพี่ท้อปก็ได้ น่าจะยังไม่ถึงลานจอดรถกัน” ผมแตะไหล่มันเบาๆ

“ให้ไปส่งไหม?” สีหน้าขึงขังของมันกลับมาแล้ว

“ไม่ๆๆๆๆ เดี๋ยวกูโทรหาพี่เขา แล้วไปเจอหน้าตึกก็ได้”

“……” สีหน้าของไอ้คอปเตอร์ลังเลอีกแล้ว

“ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกู กูโตแล้ว” ผมยึดอกตึงให้ผายใหญ่ขึ้น

ไอ้คอปเตอร์ส่ายหน้าแล้วยิ้มมุมปากเหมือนเยาะกับท่าทางที่ผมทำ ไอ้ท่าทางที่ผมทำเพื่อน่าเกรงขามแบบนี้มันน่าหัวเราะตรงไหนวะ?!

ผมผลักมันไปทางประตูทางเข้าลิฟท์วีไอพีทันที ถึงมันจะฝืนๆ ที่จะเดินกลับขึ้นไป แต่ในที่สุดมันก็ยอมแต่โดยดี

หลังจากบานประตูลิฟต์ปิดสนิทลง ผมผ่อนลมหายใจออกยาว พลางคิดว่า แผนนี้มันจะใช้ได้เหรอวะเนี่ย?

…………

ในที่สุด ผมก็มาถึงสถานที่จัดปาร์ตี้เลี้ยงฉลองจบโปรเจ็คงานของแผนก พร้อมกับพี่ๆ คนอื่นๆ

เป็นร้านที่ถูกจัดเป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดย่อม จุได้สัก 20 คนได้ มีโต๊ะเรียงกับเป็นกลุ่มๆ ละ 5-6 คน มีเวทีตรงกลางห้อง และมีจอทีวีขนาด 32 นิ้ววางเรียงกันรอบเวที ไมร์โครโฟนถูกวางไว้ที่ขาไมค์ฯ ซึ่งจัดวางอยู่กลางเวทีทรงกลม อาหารและเครื่องดื่มถูกจัดวางไว้แต่ละโต๊ะเรียบร้อย

สังเกตจากขวดแอลกอฮอล์แต่ละโต๊ะแล้ว ผมก็เดาออกว่า ที่นี่จัดเลี้ยงได้สุดเหวี่ยงเพียงใด คิดในใจว่านี่กินหรือว่าจะเอามาอาบกัน?

ผ่านสมรภูมิสุราเมรัยไปร่วม 2 ชั่วโมง งานเลี้ยงของแผนกก็เริ่มเละเทะเสียแล้ว จากนักดื่มที่ครื้นเครงกลายเป็น นักดื่มที่ง่วงซึม จากนักร้องเสียงเพราะก็กลายเป็นนักร้องเสียงเพี้ยน จากคนที่เรียบร้อยก็กลายมาเป็นนักเลงขี้โวยวาย น้ำเปลี่ยนนิสัยมันก็เป็นแบบนี้แหละ

ผมเข้าใจคำพูดของไอ้คอปเตอร์แล้วว่า การเลี้ยงฉลองของแผนกนี้มันเป็นแบบนี้นี่เอง

หากจะถามว่าผมนั้นเป็นเช่นไร ผมยังสบายดีครับ ผมใช้ความเป็นเยาวชนของตนเองป้องกันการโดนชวนหมดแก้วมาได้หลายครั้ง จนกระทั่งสถานะปัจจุบันของผมคือ คนที่คอยดูแลพี่ท้อป ที่นั่งร้องไห้ น้อยอกน้อยใจภรรยาตนเองอยู่ข้างๆ

“น้องวิน พี่เชอร์ฝากดูมันด้วยนะ ไอ้พี่ท้อปเนี่ย เมาแล้วมันชอบร้องไห้ บ้าบอ ล่าสุดนะ มันปีนไปบนระเบียงร้านชั้นสอง น้อยใจเมียจนกระโดดลงมา พวกนี้นะลำบากแทบแย่กว่าจะเอาอีอ้วนนี่ลงมาได้!!”

คำฝากฝังจากพี่เชอรี่ สาวสวยที่ดื่มเยอะสุดในงานแต่เซน้อยสุดในงาน ผมอยากหาโล่รางวัลคอทองแดงให้กับพี่สาวสุดสวยคนนี้

“ดื่มเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ” พี่ท้อปที่ตอนนี้เหมือนเส้นเอ็นและกระดูกสันหลังได้หายไปจากร่างเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ นั่งพิงร่างที่บางกว่ามากของผมอย่างเต็มตัว พลางพยายามยกแก้วมาชนกับผมให้ได้

“ครับๆ” ผมชนแก้วกับพี่ท้อปและจิบเป็นพิธี

“เฮ้ย!! เอ็งไม่ให้เกียรติพี่เลย! หมดแก้วดิวะ!!” ผมโดนแบบนี้มาสี่แก้วแล้วนะ แล้วพี่เชอรี่ที่ชงเหล้าก็มือหนักเสียเหลือเกิน พยายามเลี่ยงแทบตาย ต้องมาเมาเพราะไอ้คนดูแลตัวเองไม่ได้นี่นะ

ในที่สุดผมก็ยอมยกดื่มอีกแก้วจนหมดเพราะความงอแงของพี่ท้อป

“น่ารักมากๆ ไอ้น้องรัก” ไม่พูดอย่างเดียวยกมือขึ้นมาหยิกแก้มผมเสียแรง จินตนาการเลยว่าศรีษะผมตอนนี้น่าจะกลายเป็นผลมะเขือเทศไปแล้ว

“จะว่าไปเอ็งเนี่ยมันหน้าสวยมากเลยนะ ไว้ผมยาวเสียหน่อยเนี่ย สวยกว่าเมียพี่อีกนะ” ไอ้คนเมาอย่างพี่ท้อปน่าจะตาพล่าเบลอไปแล้วล่ะ แล้วพี่ท้อปมันก็ใช้มือลูบเส้นผมของผมเหมือนทำท่าคล้ายจะสางเส้นผมให้ผมอย่างช้าๆ

“พี่ท้อป มึงจะทำอะไรแฟนผม หา!!” เสียงโกรธเกรี้ยวลอยมาจากทางด้านหลังของผม แม้จะมีเสียงเพลงของนักร้องเสียงเพี้ยนโวยวายอยู่เป็นพื้นหลัง แต่เสียงแบบนี้ผมจำได้เลยว่าใคร

คนตัวหนาอย่างพี่ท้อปกลับถูกมือหนึ่งหยิบยกจากคอเสื้อเอนย้ายไปอยู่อีกฝั่งของโซฟาตัวยาวได้อย่างกับการหยิบจับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่

เพียงเสี้ยววินาทีต่อจากนั้น เสียงทุกเสียงในงานเลี้ยงก็ดับเงียบลงเหมือนไฟฟ้าไม่ทำงานไปเสียดื้อๆ

ทุกสายตาจดจ้องมาที่ผมและไอ้นักเลงตัวโตที่กำลังล้มตัวลงนั่งข้างผมกั้นกลางระหว่างพี่ท้อปที่ตอนนี้เมากลิ้งนอนกอดเบาะโซฟาไม่รู้เรื่อง

“ไม่ใช่ๆ นะครับ ไม่ใช่นะ” ผมลุกขึ้นหันไปหาทุกคน และวาดมือในอากาศไปมาด้วยความประหม่า รู้สึกว่าสุดท้ายตัวเองนี่แหละที่น่าจะโดนแกล้งเสียเอง

“ใครแฟนมึง กูยังไม่เคยบอกเลย!!” ผมหันไปโวยวายใส่ไอ้คนมาใหม่

“แต่เราก็นอนด้วยกันมาแล้วนะ” ไอ้คอปเตอร์พูดจบ ก็ต่อด้วยเสียงฮือฮาของคนทั้งห้อง

“มึง! มา! นอน! ค้าง!! ที่ห้อง!! กูแค่นั้น!! เพราะแอร์ห้องมึงเสีย!!” ผมเน้นทุกคำพูดที่ชัดเจน

แต่เหมือนจะไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะสาวๆ บางคนถึงขั้นซุบซิบ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จิ้นฟินกันจนผมเริ่มเขิน

“สรุปว่า เราไม่มีอะไรครับ!!” ผมตะโกนแก้เขิน

“ไหนว่าเราจะเริ่มคุยกัน!!” ไอ้คอปเตอร์ยิ้มเยาะชอบใจ เกาะแกะไหล่ผมจนน่ารำคาญ ผมอยากเอาแก้วฟาดมุมปากที่ยกขึ้นสูงสองมุมนั่นมาก

“มึงน่ะ!! หุบปากไปเลย!!” ผมชี้หน้ามันให้หยุด มือสั่นไปหมดด้วยความโกรธ

จนในที่สุดพี่เอกผู้จัดการก็เข้ามาห้ามปรามก่อนที่จะเกินเลยและบอกให้ทุกคนหยุดพูดถึงเรื่องนี้ และห้ามล้อเลียนผมเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว

ถึงแม้ว่าทุกคนจะกลับไปเลี้ยงฉลองเช่นเดิม แต่ทำไมผมไม่รู้สึกดีขึ้นมาเลยนะ อาจจะประโยคสุดท้ายของพี่เอก

ผมทิ้งตัวลงนั่งที่ตนเองที่ตอนนี้ถูกไอ้นักเลงไฮโซนั่งเบียดกินพื้นที่ไปกว่า 1/4

“ไอ้เชี้ยเอ้ย!” ผมพูดใส่หน้ายิ้มของมันตรงๆ

ไอ้คอปเตอร์ไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกจากยกเครื่องดื่มตรงหน้ากระดกซดเข้าช่องปากแบบหมดแก้วทีเดียวรวด

ผมเพิ่งมาสังเกตว่าไอ้คอปเตอร์มันก็มีกลิ่นแอลกอฮอล์ลอยวนอยู่ในอากาศรอบตัว แปลว่ามันดื่มก่อนเข้ามาแล้วหรือวะ!!

“เมาก็ควรกลับบ้านไปนอนนะ ไม่ควรฝืนขับรถมา!!” ที่ผมพูดแบบนี้เพราะรำคาญนะไม่ใช่เป็นห่วง

คำถามที่วนไปมาในหัวตอนนี้คือ ‘มึงมาทำไม?’

“เป็นห่วงเหรอ?” มันเอียงคอมาถามผม นั่นไง! ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องคิดแบบนี่

“กูกลับล่ะ ไม่สนุกแล้ว” ผมลุกขึ้นพรวด แต่ด้วยมีแอลกอฮอล์ในเลือดพอควร ทำให้ผมเซเล็กน้อย

แต่ไอ้คนที่ผมว่ามันเมากว่าผมกลับลุกขึ้นมาพยุงผมไว้ ด้วยแรงขาที่ผสมสุราลงไปในกล้ามเนื้อพอควรของทั้งคู่ทำให้เราสองคนล้มลงบนโซฟานุ่มที่นั่งกันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ผมล้มลงไปทับบนร่างของไอ้คอปเตอร์อย่างทิ้งตัว

ผมรู้สึกตัวทันทีว่าแรงที่ส่งผมลงมาที่ตัวมันน่าจะหนักไม่น้อย อีกทั้งตอนตกกระทบผมเหมือนได้ยินเสียงดังเหมือน ของแข็งปะทะกัน แต่ครั่นจะหันไปหามันเพื่อดูสภาพคนที่โดนผมทับอยู่ แต่ก็พบว่ามันกลับกอดร่างผมไว้แน่น

จะหื่นก็ให้มันพอดีโว้ย!! ผมคิดขณะดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของปลาหมึกยักษ์

เสียงโอดโอยจากคนเบื้องล่างทำให้ผมหยุดดิ้นและหันไปถามต้นเสียงทันที

“เป็นอะไร?”

“เจ็บหัว” ปากบ่นเจ็บแต่มันก็ไม่ยอมปล่อยมือที่โอบรัดผมไว้

“ปล่อยก่อนไหม? เดี๋ยวกูดูให้” ผมเริ่มหงุดหงิดกับมันแล้ว

สักพักมันก็ทำเสียง อือ ออ แล้วก็คลายมือออก ผมบิดร่างกายตัวเองเพื่อคลายกล้ามเนื้อก่อนที่จะหันไปไปสนใจมัน ผมก็ไม่ลืมที่จะสำรวจคนโดยรอบว่ามีใครเห็นเหตุการณ์นี้หรือเปล่า

โชคดีที่ทุกคนยังสนุกอยู่กับปาร์ตี้อย่างสุดเหวี่ยง

ผมโน้มตัวลงไปดูที่ศรีษะของไอ้คนเมาแอ๋นอนแผ่ที่โซฟา ด้วยความมืดเลยใช้ไฟฉายจากมือถือส่องไปโดยทั่ว

“ฉิบหายแล้ว!” ผมสบถออกมาอย่างระวัง เพราะกลัวเป็นจุดสนใจ

“ทำไม?” ไอ้คอปเตอร์ถามด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา

“มึงหัวโน เลือดออกด้วย”

สิ่งที่มันตอบกลับมาคือ “ไม่เป็นไร”

“มึงนี่ท่าจะบ้า มาพยุงกูทำไม ตัวเองก็ยังทรงตัวแทบไม่ได้เหมือนกัน เลยมาเจ็บตัวเลย!!” ผมไม่รู้ว่าจะต่อว่ามันอย่างไรดี ผมไม่ได้อยากขึ้นชื่อว่าทำลูกชายเจ้าของธุรกิจเจ็บตัวนะ

“แต่นี้เอง กูไม่อยากเห็นมึงเจ็บอีกแล้ว” มันจับมือผมอย่างนุ่มนวลแล้วก็พูดกับผมด้วยแววตาที่ผมว่าคิดว่ามันต้องเมามากแน่ๆ

แต่มันหมายความว่ายังไงนะ?


……………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (27-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 28-11-2023 04:13:07
 :z3: :z6:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (28-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 28-11-2023 16:47:47

สุดท้ายนะครับ ไอ้คนที่ผมคิดว่ามันดั้นดนนั่งรถรับจ้างจากแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์ เพื่อมาดูแลผม แต่กลับกลายเป็นว่าผมต้องมาดูแลมันนี่สิ

ขณะที่ผมกำลังนั่งอย่างเบื่อหน่ายบนรถแท็กซี่ที่พี่เอก ผู้จัดการแผนกเรียกให้ (เพราะเป็นคนที่ดื่มน้อยที่สุด เป็นหัวหน้าที่สุดยอดมาก ดูแลลูกน้องทั้งในและนอกเวลางาน) ทีแรกพี่เอกก็อาสาจะพาไอ้ขี้เมาที่อยู่กับผมกลับบ้านให้

แต่ด้วยที่ว่าคนในแผนกนั้นมีสภาพไม่ต่างจากผ่านสงครามเวียดนามมา ผมจึงอาสาพาไอ้คอปเตอร์ไปส่งเอง เพราะที่พักอยู่ใกล้กัน แม้พี่เอกจะมีทีท่าแปลกใจแต่ก็ต้องจำใจปล่อยผมกับมันกลับด้วยกัน

ไอ้คนขี้เมาที่นั่งอยู่ข้างผมอย่างกับคนที่เรียกได้ว่าเกือบหมดสติ เส้นเอ็นและกระดูกภายในร่างกายของมันน่าจะละลายไปกับปริมาณแอลกอฮอล์ที่มันดื่มไปเรียบร้อยแล้ว เพราะมันแทบจะทรงตัวตรงๆ ไม่ได้ เอียงตัวมาซบผมจนรู้สึกหนักและรำคาญไปหมด

ครั้นจะให้มันเอนตัวไปอีกทางก็กลัวว่าจะได้บาดเจ็บที่หัวเพิ่มจากการเอาศรีษะไปฟาดกับประตูรถยนต์เล่นๆ

สุดท้ายผมก็ยอมให้มันซบไหล่ผมดีๆ โดยใช้มือพยายามประคองศรีษะมันเอาไว้

นี่มันตัวภาระชัดๆ

หลังจากถึงหอพัก ผมยังต้องแบกไอ้ตัวภาระขึ้นไปถึงห้องอีก ตอนแรกตั้งใจว่าจะเอามันไปเหวี่ยงใส่เตียงในห้องของมัน ก็ดันหากุญแจห้องไม่เจอ มันก็หมดสติไปแล้วอีก

สุดท้ายผมต้องพามันเข้ามาห้องผมอีกหนึ่งคืน

มันจะมานอนห้องผมบ่อยไปแล้วนะ!!

กลิ่นสุราจากตัวของไอ้คอปเตอร์ระเหยออกจากตัวจนคลุ้งไปทั้งห้อง นี่มันดื่มหรือมันลงไปแช่ในบ่อเหล้ามาวะเนี่ย?

ผมเหวี่ยงมันลงบนที่นอน พลางคิดว่าพรุ่งนี้คงต้องซักผ้าปูที่นอนเสียแล้ว ก่อนจะพาตัวเองไปอาบน้ำ ผมตัดสินใจกำจัดกลิ่นแอลกอฮอล์เจ้าปัญหาที่คละคลุ้งไปทั้งห้องเสียก่อน

ผมใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดร่างกายของมันรวมถึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างยากลำบาก ไอ้คอปเตอร์ก็ตัวหนากว่าที่ผมคิดมาก ทำให้เสื้อผ้าของผมสวมใส่ได้ลำบากพอควร กว่าผลัดเปลี่ยนทั้งเสื้อและกางเกงหมด ก็แทบทำผมหมดแรง (ยกเว้นกางเกงในขอบหนาเควินไคน์ของมันนะครับที่ผมไม่กล้ายุ่ง)

ผมลากมันไปพาดบนเตียงอย่างลวกๆ แล้วก็พาร่างกายชุ่มเหงื่อของผมไปอาบน้ำให้สบายตัวแล้วจะออกมานอนอย่างสบายใจ

ไม่รู้เพราะความเหนื่อยล้าหรือความง่วงในช่วงตีสองแบบนี้ที่ทำให้ผมอาบน้ำได้รวดเร็วกว่าปกติมาก แต่สิ่งที่ผมประหลาดใจที่สุดก็คือเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วไม่เจอไอ้ขี้เมาก่อนหน้านี้

ด้วยความตกใจผมหันศรีษะไปซ้ายขวาโดยรอบ และก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อไอ้คอปเตอร์พุ่งตัวจากมุมห้องทางขวามาโอบกอดผมและอุ้มลอยจากพื้น

ผมร้องเสียงหลง รู้สึกว่าเพดานอยู่ใกล้ศรีษะตัวเองมาก

“ไม่ให้หนีไปไหนแล้วนะ!!” เสียงยานคางของคนที่เรียกได้ว่าสติจมไปกับสุราที่ดื่มไป

“หนีเชี้ยอะไร กูไปอาบน้ำแค่นี้เอง!!”

“กูไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น!!”

อยู่ๆ ก็งี่เง่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมพยายามร้องบอกให้มันวางผมลง บวกกับการแกะอ้อมกอดที่รัดแน่นของมันให้ออก แต่ก็ไร้ผล คนเมามันแรงเยอะขนาดนี้เลยหรือ?

สุดท้ายผมจึงลองใช้ไม้อ่อนดูบ้าง

“คอปเตอร์ เราขอร้องปล่อยเราลงเถอะนะ เราหนาว เรายังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลย ง่วงแล้วด้วย”

“อือ….ก็ได้” อยู่ๆ ด็ใจง่ายขึ้นมาเฉยๆ

“แต่เรียกเราว่า ที่รัก ก่อนสิ!!”

ไม่มีอะไรง่ายกับมันจริงๆ ด้วย! ผมกัดฟันกรอด ด้วยความโกรธ หรือผมควรจะรอให้มันหมดแรงดี แต่สุดท้ายอากาศเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้องก็ทำให้ผมยอมแพ้ เพราะขนที่ลุกชูชันด้วยความหนาวเย็นมันเริ่มแทรกเข้ากระดูกเสียแล้ว

“ที่….ที่รัก”  เสียงห้วนๆ ห้าวๆ ของผมเปล่งออกจากปากด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้น

“น่ารัก” คำสั้นๆ ที่มันตอบกลับมา

ขณะที่ไอ้คอปเตอร์กำลังลดแรงกอดรัดลง เท้าของมันกลับก้าวเดินไปด้านหน้าและเอนตัวเองลงบนเตียงทำให้ผมเหมือนถูกเหวี่ยงลงไปนอนแผ่บนเตียง ด้วยเพียงนุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียว

แน่นอนว่าการที่ถูกเหวี่ยงลงมาผ้าที่รัดไว้รอบเอวคงถูกจัดวางด้วยความไม่เรียบร้อย ผมรีบจับผ้าให้ปิดส่วนสำคัญตามสัญชาติญาณทันที

ในขณะที่ผมจะตั้งตัวตั้งรับอะไรได้ ไอ้คนเมาขี้หื่นก็ตามมากดตัวผมลงนอนราบติดพื้นเตียง ผมทำได้แค่จับผ้าเช็ดตัวที่นุ่งอยู่ให้แน่นขึ้น

“ถ้านี่เป็นความฝันก็ฝันดีเหลือเกิน” ไอ้คอปเตอร์กดหน้าตัวเองลงมาใกล้กับหน้าผมจนแทบจะไม่เหลือช่องไฟ

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องลงมาที่วงหน้าของผมอย่างพินิจ รอยยิ้มที่เผยให้เห็นฟันหน้าเล็กน้อย และลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอตกกระทบลงบนหน้าผม กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคลุ้งเข้าจมูกจนผมแทบจะเมาไปด้วย

“ลุกออกไป” ผมเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง

มันยิ้ม ยิ้มแบบยิ้มหวานส่องสว่างจนผมแทบจะหรี่ตากับไอ้ความมีเสน่ห์อันมหาศาลของมัน ผมไม่เคยเห็นมันยิ้มแบบนี้กับใครมาก่อน มันช่างดูอ่อนโยนมากว่าปกติ

ผมเริ่มเข้าใจสาวๆ สมัยมัธยมแล้วว่าทำไมถึงได้คลั่งไคล้ไอ้คนตรงหน้าผมขนาดนี้ มันไม่ได้มีดีแค่บ้านรวยจริงๆ

ยอมรับว่ามันหน้าตาดีนะครับ ถึงจะไม่ได้ที่สุดในรุ่นก็เถอะ แต่อะไรสักอย่างในตัวของมันที่ทำให้ทุกคนอยากเข้าหา แม้มันจะแสดงใบหน้าบอกบุญไม่รับตลอดเวลาก็เถอะ

ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ กลิ่นวิสกี้ผสมไวน์ที่ระเหยออกจากตัวมันนี่ทำให้ผมฉุนจมูกจนแทบจะหายใจไม่ออก มันจะเอาลมหายใจมารดหน้าผมอีกนานเท่าไหร่เนี่ย

ผมพยายามดิ้นรนอยู่นาน ทั้งสบถทั้งดิ้น แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำแค่จ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน

ผมใช้วิธีใช้สายตาพิฆาตส่องไปที่ดวงตากลมโตของคนด้านบนอย่างเคร่งเครียด พลางคิดในใจว่า หากมันละเมออยู่ก็ช่วยตื่นด้วย

ในขณะที่ผมกำลังจะตะโกนเรียกชื่อของไอ้คอปเตอร์เพื่อเรียกสติ ไอ้คนด้านบนมันก็กดหัวตัวเองลงมา ใช้ปากทาบลงบนริมฝีปากผมอย่างเร่งรีบ

เสียงของผมหายวับเข้าไปในช่องปากของมัน  ลิ้นของมันพยายามชอนไชไปทั่วริมฝีปากของผมเหมือนกำลังใช้มันคนลำหาทางเข้าในที่มืดมิด

ผมดึงดันที่จะปิดปากสนิท แต่ไอ้คนด้านบนกลับขยับร่างกายตนเองบดกับร่างกายของผมไปมาจนผ้าเช็ดตัวผมเริ่มคลายจากการผูกรัดที่เอว

รู้สึกได้เลยว่าลมเย็นกำลังคืบคลานคลุมร่างกายท่อนล่างของผมเรื่อยๆ จนในที่สุด ไอ้คอปเตอร์มันก็ทำสำเร็จ ตอนนี้ร่างกายเปลื่อยเปล่าของผมกำลังสัมผัสกับร่างของไอ้คนที่คล่อมผมอยู่อย่างสนิมแนบแน่น

ทั้งอายทั้งโกรธ แฃฃต่ก็ไร้แรงต่อต้าน ยิ่งตอนตกใจที่ชายผ้าทั้งสองฝั่งเคลื่อนหลุดไปกองอยู่ข้างตัว ผมก็เผลอให้ปราการของผมพังทลายให้อีกฝ่ายชอนลิ้นเข้ามาสัมผัสกับฟันหน้าทุกซี่ของผม ถึงมันจะไม่ใช่จูบแรก แต่มันก็รู้สึกดีจนผมประหลาดใจ

แต่ผมไม่เต็มใจนี่หว่า คิดถึงตรงนี้น้ำในตาก็รินล้นออกมาเปียกที่ปลายตาทั้งสองข้าง

ไอ้คอปเตอร์หยุดและถอนตัวออกจากผมทันที ผมไม่รอช้า คว้าผ้ามารวมคลุมตัวไว้ละขยับห่างจากมันทันที

ไอ้คอปเตอร์ที่ถอยกรูไปจนตกเตียงทำได้เพียงพึมพำขอโทษไปมา สายตาสำนึกผิดส่งมาที่ผมที่กำลังทำสีหน้าตกใจกับการกระทำของมัน

ไอ้คอปเตอร์ที่ดูเหมือนจะได้สติก่อนผม ลุกขึ้นมาจากพื้นก้าวเท้าตรงรี่มาที่ผมพลางพูดขอโทษวนไปมาด้วยสีหน้ากังวลใจ

ผมรู้นะว่ามันทำไปด้วยสติที่มึนเมา แต่ใจผมที่เกลียดมันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่ช่องว่างสำหรับการให้อภัยมันได้

ในหัวของผมมันเต็มไปด้วยความโกรธ กลัว และเกลียดผสมปนกันไปหมด ผมคงผิดเองที่เอาตัวไปใกล้มันขนาดนั้นเอง นี่คือบทเรียนของผม

สายตาของผมที่เห็นมันเดินเข้ามาขอโทษไม่ต่างกับโจรร้ายที่พุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิตและพากความบริสุทธิ์ของผมไป ผมร้องโวยวายไล่มันไม่หยุด ผมกลัวจนพูดออกมาไม่เป็นภาษาอยู่หลายประโยค

ความพยายามที่จะเข้ามาปลอบผมหลายต่อหลายครั้งของมันไร้ผล ปากของผมพร่ำบอกให้มันไปให้พ้นหน้า ผมรู้สึกว่าผมจะพยายามขว้างหมอนและอะไรหลายๆ อย่างใส่มันด้วย

เท่าที่ผมรับรู้ได้ตอนนี้ ท่าทางของมันใจเย็นกว่าผมมาก ผมไม่รู้มันคิดอะไรกับความนิ่งของมันในตอนท้าย

“งั้นกู…ให้มึงสงบสติอารมณ์ก่อนก็แล้วกันนะ แล้วกูค่อยมาหาใหม่” มันพูดประโยคนี้ก่อนจะหันหลังจากไป

หลังจากที่มันเดินออกจากห้องแล้ว ผมใช้กำลังทั้งหมดรีบวิ่งไปที่ประตูและลงกลอนทุกกลอนที่มี จบลงด้วยการฟุบนั่งลงหลังพิงประตู


พลางคิดไปว่า นี่เราทำเกินไปหรือเปล่า?  เพราะเอาเข้าจริง หากมันคิดจะ ‘ทำ’ ผมคงสู้งแรงควายของมันไม่ไหว แต่นี่มันยอมเดินออกไปจากห้องเอง


ผมใช้มือขยี้ศรีษะตนเองจนยุ่ง ผมที่หมาดอยู่ตอนนี้พันกันยุ่งไปหมด ใบหน้าที่ผมเหม่อมองไปกระทบกับตู้เสื้อผ้าที่เป็นกระจกไม่ไกลทำให้รู้ว่า หน้าตัวเองสภาพแย่แค่ไหน


ผมหลับตานั่งทำสมาธิและพยายามลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น และสติผมก็ค่อยเลือนลางลงเรื่อย ๆ


……..…………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (28-11-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 28-11-2023 20:21:31
 :m15: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (06-12-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 06-12-2023 11:56:42

……..


“มึงจะให้กูไปทำดีกับมันเหมือนเดิม เหมือนกับไปตกหลุมรักมันที่มันทำแบบนั้นกับกูเนี่ยนะ!!”

ผมพ่นคำพูดใส่เพื่อนสนิทอย่างฉุนเฉียว ข้าวในปากเกือบควบคุมไปอยู่ มีพุ่งออกมาเล็กน้อย

“เหมือนจำเลยรัก สวรรค์เบี่ยง อะไรพวกเนี่ย” ไตเติ้ลเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผมมันตอบกลับมาแบบหน้าทะเล้น

“กูซีเรียส!!” ผมโกรธ แต่ก็โกรธไม่สุดเพราะไม่คิดว่ามันจะพูดถึงละครน้ำเน่าที่เคยดูสมัยเด็กๆ ที่โดนแม่ยัดเยียดให้ดูการรีรันละครเก่าอย่างไม่เต็มใจ

“กูพูดจริง มึงอย่าเยอะ!! มึงจะแก้แค้นมันไม่ใช่เหรอ จากที่มึงเล่าให้กูฟัง กูว่ามึงทำได้!!”  ไอ้ไตเติ้ลนักศึกษาแพทย์รูปหล่ออดีตดาวคณะฯ ยิ้มหวานใส่ผมเหมือนผมเป็นกรรมการการประกวดดาวเดือน

“ไม่ต้องมายิ้ม กูไม่ใช่สาวๆ หนุ่มๆ ที่ มหาวิทยาลัยมึง กูไม่หลงกลหรอก มึงคิดว่ากูทำได้ไหมล่ะ พอกูได้สติก็หนีมานอนห้องมึงเนี่ย” ผมชี้ไปที่พื้นคอนโดฯ หรูของมันอย่างจงใจ

“มึงแม่งใจหมา!! อุตส่าห์ลงทุนเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้ มึงยังกลัวมันอีก!!”

“มึงไม่เคยเจอจนต้องพบจิตแพทย์อย่างกูมึงไม่เข้าใจ!”

“เข้าใจสิ!! กูมีแฟนเป็นจิตแพทย์!!”

“สัด! มึงบอกกูแบบนี้หลายรอบแล้ว มึงยังบอกกูสักทีว่าใครวะ เมียมึงเนี่ย!”

“กูบอกมึงแล้ว!!”

“มึงแค่บอกว่ากูเคยเห็น กูรู้จัก!!  กูนึกไม่ออกสักคน!!”

“เดี๋ยวกูพามาเจอไม่ต้องห่วง!!”

“แล้วทำไมมึงไม่อยู่กับแฟนมึงวะ?” ผมกรอกตารอบหนึ่งก่อนถาม

“อืมมมมม มันมีเงื่อนไขนิดหน่อยน่ะ”

“ความลับอีกแล้ว มึงไม่คิดจะบอกอะไรกูบ้างเลย นี่เมียมึงเป็นดารา เซเล็บหรือไงวะ ลับจัง”

“ก็ประมาณนั้น”

ผมกรอกตาใส่มันและเลิกพูดกับมันดีกว่า ตั้งใจกินมื้อเช้าที่มันอุตส่าห์ซื้อมาฝากให้หมด

…………

วันนี้เป็นวันที่สองแล้วที่ผมเก็บตัวอยู่ที่ห้องไตเติ้ลเพื่อนรัก ด้วยความที่อพาร์ตเมนต์ผมกับคอนโดฯ ของมันนั่นอยู่ไม่ไกลกันมากผมเลยไม่กล้าออกไปไหนเท่าไหร่

ห้องของมันมีอุปกรณ์ยังชีพครบครันตั้งแต่ทีวี ตู้เย็นที่มีของกินเต็มตู้ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมเพลย์สเตชั่น 5 ช่วยให้ผมอยู่อย่างลืมเรื่องกังวลใจไปได้พักใหญ่ แต่สุดท้ายวันอาทิตย์ก็มาถึง พรุ่งนี้ต้องกลับไปฝึกงานต่อ

ผมกำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะทำยังไงดี หากไปก็ต้องเจอไอ้คอปเตอร์ บอกเลยว่า ผมคงวางตัวไม่ถูก รู้สึกแย่จนไม่อยากจะเจอหน้า ส่วนที่คิดว่าจะลาป่วยก็ไม่รู้ว่าดีไหม ฝึกงานเนี่ย รู้สึกไม่ดีกับการลาป่วยอีกรอบหนึ่งเลย คิดไปคิดมาก็คิดไม่ตก

วันนี้ก็ดันต้องมาอยู่คนเดียว มีเพื่อนเรียนแพทย์เนี่ยโอกาสได้เจอกันแต่ละทีแทบจะเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ เมื่อวานก็เจอกับมันได้คุยปรึกษากันก็แค่ช่วงเช้า หลังจากนั้นมันก็สวมชุดเครื่องแบบสีขาวหายเข้ากลีบเมฆไปเลย


เวลาจำเป็บแบบนี้ไม่เคยจะได้ปรึกษาอะไรกับมันได้เลย!!


ข้อความล่าสุดที่มันส่งมาเมื่อเข้าคือ “ไปจัดการมันให้เรียบร้อย!!”

เชี้ย! มันคืออะไรวะ!! ผมสบถในใจซ้ำไปมา ผมไม่เข้าใจมันเลย ทำไมมันถึงอยากให้ผมจัดการไอ้คอปเตอร์ขนาดนี้

ผมได้แต่นึกถึงคำพูดของมัน “มึงจะได้คลายปมในใจมึงไง”

มันคลายกันง่ายๆ แบบนี้ ผมคงไม่ต้องไปพบจิตแพทย์มั้ง!!

ผมนั่งๆ นอนๆ ตีลังกาคิดทบทวนหลายตลบ สรุปว่าผมควรกลับไปวันนี้หรือไม่? สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า อย่างไรก็หนีไม่พ้น ยังไงก็ต้องฝึกงานอยู่ที่นี่ตั้งอีกเดือนเศษ แต่กว่าจะตกผลึกแบบนี้ได้ เวลาก็ผ่านไปจนพลบค่ำ

ผมเดินเข้าอพาร์ตเมนต์อย่างกล้าๆ กลัวๆ หวาดระแวงไปกับทุกฝีก้าวที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ห้องพักของตนเอง แต่จากสายตาที่มองไปทั่วโถงทางเดินแคบๆ ตรงหน้า ก็พบว่าไร้วี่แววของคน

ผมเดินอย่างเร่งรีบจนไปถึงหน้าห้อง พลางส่องเข้าไปในห้องผ่านตาแมวแอบมมอง ไม่พบแสงไฟจากในห้อง เลยเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่ อีกทั้งยังเหลียวหันไปส่องที่ห้องฝั่งตรงข้ามที่ไร้แสงไฟใดๆ เช่นกัน

ผมเห็นว่าทางสะดวกเลยเปิดเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วพลางคิดว่าโชคดีเหลือเกินว่าครั้งนี้ไอ้คอปเตอร์มันไม่ได้เหลี่ยมจัดใส่ผม เพราะผมแอบไปส่องที่จอดรถมาแล้วก็พบว่า รถไม่ได้จอดในสถานที่ที่เช่าไว้

ผมเหวี่ยงกระเป้าเป้ข้าวของส่วนตัวที่หนีออกจากห้องไปบนเตียง เปิดไฟสว่างและปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว

“โอ้ย!!” เสียงร้องดังมาจากที่เตียง

เดี๋ยวนะ!! ผมตาเบิกโพลงเมื่อเห็นใต้ผ้าห่มขยับไปมา

ผมถอยหลังไปชนประตูพร้อมร้องเสียงหลง นึกว่าจะได้เจอเรื่องลี้ลับอะไรเสียแล้ว ผ้าห่มที่คลุมอยู่ลุกโป่งพองขี้นระดับหนึ่ง และเลื่อนไหลลงมากองบนพื้นเตียง เผยให้เห็นเป็นบุคคลภายใต้ผ้าพันแผลรอบศรีษะ วงหน้าอันบวมช้ำซีดเผือกหันมามองผมด้วยสายตาล่องลอย

แต่ก็ต้องคลายอาการหวาดกลัวลงเมื่อพบว่าคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มคือ ไอ้คอปเตอร์!!

“ไปทำอะไรมา?” ผมตะโกนใส่หน้ามันด้วยอาการตกใจ

ไอ้คอปเตอร์อิดออดลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะขยับปากพูดออกมา

มันก็เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ผมหายไปจากห้องมันก็พยายามขับรถตามหาไปทั่ว ด้วยความอ่อนเพลียงจึงหลับในระหว่างขับรถจนเกิดอุบัติเหตุ

ที่ไม่เห็นรถจอดอยู่เพราะถูกลากไปซ่อมที่ศูนย์ ส่วนตัวมันที่ดื้อไม่ยอมนอนพักอยู่โรงพยาบาลและที่บ้าน เลยขอมานอนรอผมที่ห้องนี้ เพื่อรอขอโทษและปรับความเข้าใจกับผม

มันเล่าด้วยร่างกายบอบช้ำและใบหน้าที่เหมือนภาพวาดลืมลงสีที่ใบหน้า ด้วยสภาพแบบนั้นผมโกรธมันไม่ลงเลย สุดท้ายก็เลยใช้มือผลักมันลงไปนอน

“ไม่ต้องอธิบายแล้ว พักผ่อน แล้วเราค่อยมาสะสางกันหลังจากที่มึงหายแล้ว” ผมทำหน้าขึงขังเพื่อกลบเกลื่อนแววตาสงสารที่แฝงอยู่ในดวงตา

ทำไมผมเป็นคนดีแบบนี้วะ ผมพึมพำกับตัวเองในใจ ผมควรจะไล่มันไปนอนโรงพยาบาลไม่ใช่ให้นอนในห้องแบบนี้!!

……………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (06-12-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-12-2023 22:50:33
 :ling1: :ling2:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (11-12-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-12-2023 16:12:05

……………


เช้าวันรุ่งขึ้นผมลุกจากที่นอนด้วยความอ่อนเพลีย รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้นอนเลย ความวิตกกังวลวนเวียนอยู่กับไอ้คนที่นอนข้างๆ ผมว่ามันยังหายใจอยู่หรือไม่?

ผมมองไปด้านข้างด้วยสายตาที่ยังปรับกับความสว่างยามเช้ามืดได้ไม่ดีนัก เห็นไอ้คอปเตอร์ที่นอนนิ่งเป็นท่อนไม่ซึ่งถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลนานาชนิดอย่างมืออาชีพ และเป็นอีกครั้งที่ผมต้องพิสูจน์โดยการใช้ฝ่ามือสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจที่หน้าอก

เสียงตึกตักที่ดังอย่างสม่ำเสมอและรูปหน้าอกที่ขยายขี้นและหดลงตามกระแสลมหายใจของไอ้คอปเตอร์ทำให้ผมใจชื่นขึ้น

ก็ผมไม่อยากนอนกับศพนี่นา!!

ในระหว่างที่ผมผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก มือหนี่งของไอ้คนบาดเจ็บเจียนตาย พันผ้าพันแผลไปทั่วมือก็มาคว้าจับมือผมหมับด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

ผมร้องเหวอในใจ เพราะกลัวคนป่วยตื่น และพยายามแกะมือออกจากการจับกุมของอีกฝ่าย

“อุตส่าห์ได้เจอกันแล้ว อุตส่าห์กล้าบอกความในใจ เลิกหนีกันเสียทีสิวะ!!” เสียงบ่นพึมพำภายใต้วงหน้าที่หลับตาพริ้ม และการบ่นพึมพำอะไรบางอย่างอีกหลายประโยคที่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเสียแล้ว

“ไอ้บ้านี่” ผมรำพันต่อว่ามันต่อหน้าอย่าแผ่วเบา ภายในอกมันวูบวาบตึกตักไปหมด รู้สึกหน้าร้อนผ่าวอย่างกับคนมีไข้สูง

ระหว่างที่ผมคิดว่าผมอยู่ตรงนี้นานไปแล้ว ผมใช้แรงเท่าที่มีแกะมือมันออกจากข้อมือของผม แล้วเข้าไปอาบน้ำคลายอาการร้อนวูบวาบไปหมด

หลังจากทำธุระในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อยผมเดินออกจากห้องน้ำก็เจอคนบาดเจ็บนั่งห้อยขาที่มีการเข้าเฝือกอ่อนบนเตียงและหันมาทางผมอย่างจดจ่อ

“ทำไมไม่ปลุก” คำพูดเสียงแข็งกร้าวดังขึ้น

“ป่วยอยู่ก็นอนพักผ่อนไปสิ” ผมตอบพลางเตรียมทาครีมบำรุงที่ใบหน้าไปด้วย

“ก็ตื่นมาแล้วไม่เห็น ก็เลยนึกว่าเมื่อคืนฝันไป ฝันว่าได้กอดกันนอนทั้งคืน” ประโยคนี่กลับทำหน้าเศร้า บางทีก็งงกับมันนะว่านาทีหนึ่งมันจะแสดงสักกี่อารมณ์

“มึงเป็นหมาที่โดนเจ้าของมาปล่อยวัดเหรอไงวะ!! แล้วกูก็ไม่ใช้เจ้าของหมาด้วย อย่ามาทำให้กูรู้สึกผิด”

เหมือนไอ้คอปเตอร์โดนผมดักทาง ถึงกับเงียบนั่งมองผมแต่งตัวตาละห้อย

“เช็ดตัวให้หน่อย” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงสองออดอ้อน

“ต้องการคนดูแลทำไมไม่นอนโรงพยาบาลดีๆ วะ เงินก็มี!!” ผมสวนกลับไปพลางมองนาฬิกาที่เข็มวินาทีเดินทางว่องไวผลักดันให้เข็มอื่นๆ ขยับเข้าหาเวลาเริ่มงานเข้าไปทุกที

“กูอยากให้……..” คราวนี้พูดเสียเบาจนผมหงุดหงิด

“มึงนี่เปลี่ยนไปเยอะนะ พูดให้มันชัดๆหน่อยได้ไหมวะว่าจะเอาอะไร??” ผมว่าผมจะสายแล้วล่ะ

“กูอยากให้มึงดูแลไง!!”

“แล้วถ้ากูไม่กลับมามึงไม่เน่าตายคาห้องกูเรอะไง?”  ผมคิดในใจว่าตัวเองกำลังจะสายแล้ว ต้องเดินทางไปรถประจำทางด้วย สายแน่ๆ

“กูก็จะรอ” มันตอบตาใสใส่ผม ทำเอาผมผ่อนลมหายใจเสียงดัง กรอกตาไปจนจะเห็นสมองตัวเอง

“แล้วต้องการอะไร เร็วๆ กูจะสายแล้ว!! รถประจำทางมันไม่ได้จอดรอกูที่ป้ายนะ!!”

“เช็ดตัวให้หน่อย” ไอ้คอปเตอร์ยกมือขึ้นสองข้างที่มีแต่ผ้าพันแผลเต็มไปหมด

ผมใช้มือตบหน้าผากตัวเองที่ใจอ่อน ความจริงจะไม่สนใจก็ได้ แต่สงสัยผมมันคนดีเกินไป

“ถ้ากูไปฝึกงานสายกูจะโทษมึงที่ทำให้กูไม่ผ่านฝึกงาน!!” ผมพูดใส่มันขณะเดินไปห้องน้ำเพื่อเตรียมอุปกรณ์เช็ดตัว

“ไม่ต้องห่วง กูสั่งให้รถที่บ้านมารับแล้ว ไม่สายหรอก ถึงสายก็ไม่เป็นไร มีกูไปด้วย เดี๋ยวกูจัดการเอง”

“สภาพอย่างมึงเนี่ยนะจะไปทำงาน!! เพื่อ!!??” ผมตะโกนออกจากห้องน้ำขณะรองน้ำใส่อ่างขนาดเล็ก

“กูอยากไปกับมึง” มันยังจะรั้นอีก สภาพที่ยืนตรงนานๆ ยังไม่ได้แบบนั้นมันจะไปทำงานได้ยังไงวะ

“ขอบใจเรื่องรถนะ แต่กูว่ามึงอยู่…..เชี้ย!!”

ผมเดินออกจากห้องกะว่าจะกล่อมให้มันอยู่ที่ห้องพักผ่อน แต่ต้องมาเจอไอ้คอปเตอร์ในสภาพเปลือเปล่าบนเตียง

“ทำเชี้ยอะไร ใส่เสื้อผ้าเลยมึง” ผมโยนผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไปทางมันเพื่อไปปิดตรงส่วนกลางลำตัวพอดีพอดิบ ถึงมันจะสวยมากก็เถอะ โอ้ย!! นี่ผมคิดอะไรอยู่!!

“เช็ดตัวให้สะอาดไง ผู้ชายด้วยกันมีอะไรต้องอาย!”

“กูไม่ได้สนิทกับมึงขนาดนั้น!!” และไม่ได้อยากเห็นด้วย!! ผมคิดต่อในใจ

“ไหนก็ถอดแล้วเช็ดๆ ไปเถอะกูเหนียวตัวจะแย่แล้ว”

“นี่คือคำขอร้อง?”

“คุณวินครับ ขอร้องนะครับ เช็ดตัวให้ผมหน่อย”

“จะทำตัวน่ารักก็ทำได้นี่นา”

“ว่ากูน่ารัก หลงรักกูแล้วสิ”

“หลงตัวเอง!!”

ผมนั่งลงข้างกายมัน เอาผ้าเช็ดตัวที่โยนก่อนหน้านี้มาชุบหน้าพอหมาดแล้วเริ่มลงมือเช็ดโดยพยายามไม่มองความโป๊เปลือยตรงหน้า

ส่วนไอ้หน้าด้านนั่นนอนยิ้มสบายใจ จนน่าหมั่นไส้ ผมจึงรีบเร่งมือเช็ดถูให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว

โอ้ย!!

ไอ้คอปเตอร์ร้องลั่นห้อง ไม่รู้ว่าผมไปเช็ดโดนแผลหรือผมเช็ดแรงเกินไป

“สมน้ำหน้า ที่เป็นแบบนี้ คงเพราะบาปกรรมของมึงนั่นแหละ” ผมพูดประชดมัน

“คงงั้นมั้ง กูคงทำบาปมาเยอะ กูทำร้ายคนมามาก จนอยากจะกลับไปขอโทษทุกคนแต่คงทำไม่ได้ แต่ที่กูทำไปก็เพราะมีเหตุผลของกู!!”

“มันก็ข้อแก้ตัวของคนพาลนั่นแหละ มีข้ออ้างเสมอ” ไหนๆก็พูดแล้ว อารมณ์ผมมันขึ้นเสียจนเริ่มหงุดหงิด

“อืม…ก็คงงั้น…..คงต้องโทษที่กูอ่อนแอเอง”

อ้าว! อยู่ๆ ก็ดึงเข้าดราม่าเฉย ผมแปลกใจปนสับสนกับอากัปกิริยาตอบสนองของมัน

“เคยคิดอยากไปแก้ไขอดีตไหม? กูเนี่ยอยากกลับแก้ไขใจจะขาด คิดว่าหากทำอะไรที่ต่างไป ทุกอย่างตอนนี้น่าจะดีกว่านี้”

ไอ้คอปเตอร์เหมือนรำพันกับตัวเองมากกว่าที่คุยกับผม แต่ผมทำเป็นไม่สนใจเพราะไม่ได้อยากไปเกี่ยวข้องกับดราม่าของมัน แค่นี้ผมก็สายมากแล้ว

ในที่สุดผมก็จัดการทำความสะอาดร่างเปลือยเปล่าของมันเรียบร้อย สิางนี้ทำให้ผมหายใจแทบไม่ทั่วท้องเลย พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่มอง แต่ไอ้นั่นตรงนั้นมันก็เด่นเกินกว่าจะมองข้าม ยิ่งคนหน้าไม่อายอย่างไอ้คอปเตอร์มันไม่คิดจะปกปิดด้วยแล้ว ผมยิ่งว้าวุ่นยิ่งขึ้นไปอีก หรือนี่ก็คือการกลั่นแกล้งของมันอีกแบบ

ผมเลิกคิดและบอกลาไอ้คนเปลือยบนที่นอน พร้อมโยนผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ใส่มันก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง กลัวคนเดินผ่านห้องช่วงเวลานั้นเป็นตากุ้งยิง

“เปลี่ยนเสื้อให้กูด้วยสิ!!” มันตะโกนด้วยถ้อยคำขอร้องกึ่งบังคับ

“กูวางไว้ให้ตรงหัวเตียงนั่นไง ใส่เองสิ!!” ผมชี้ไปทางชุดนอนที่ผมบรรจงวางไว้ให้ ชุดนอนของผมเอง (นอนบนเตียงคนอื่นยังจะมาใส่ชุดนอนเจ้าของห้องด้วยเนี่ย มันจะเกินไปนะ)

“กูจะใส่ชุดนักศึกษา”

“สภาพแบบนี้ยังคิดจะไปทำงาน!?! นอนไปเลย ไม่อย่างนั้นกูจะให้คนขับรถของมึงพาไปนอนโรงพยาบาล!!” มันเป็นคนที่ทดสอบความอดทนของผมได้ดีมาก จากที่เคยกลัวมันฉิบหาย ตอนนี้เหมือนผมสามารถใส่อารมณ์กับมันได้เต็มที่ ด้วยความที่มันสุดท้ายก็ยอมผมตลอด

ยอมรับครับว่าเริ่มเคยชินไปเสียแล้ว

มันคว่ำปากแต่ก็ยอมรับโดยดี ผมยอมเดินไปใส่เสื้อผ้าให้มันอย่างลวกๆ

ไอ้คอปเตอร์ที่เริ่มคล้ายคนโรคจิตไปทุกที ทุกครั้งที่ผมสัมผัสตัวมัน มันก็จะอมยิ้มมีความสุข  บอกตามตรงว่าตรงนี้ผมไม่เคยชิน ยิ่งช่วงที่จะต้องใส่กางเกงให้มัน ผมรู้สึกเหมือนมันจงใจยั่วยวนผมด้วยสิ่งนิ่มๆ ที่ยาวกว่าฝ่ามือของมัน ขนาดที่มันยังไม่ตื่นดียังรู้สึกน่ากลัวขนาดนี้ ผมตัดสินใจรีบเร่งมือดึงกางเกงปิดมันให้มิดชิด พลางสาปแช่งมันให้เป็นไส้เลื่อนเพราะมันปฏิเสธที่จะสวมกางเกงชั้นใน

ผมลงมาถึงชั้นล่างสุดหน้าอพาร์ตเมนต์ด้วยใจที่ยังสั่นระรัว ไม่รู้ว่ารีบเร่งลงเพราะใกล้จะสายหรือเพราะอะไร ผมไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่จะไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้ เห็นผมเรียบร้อยแต่ผมก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นนะครับ

“คุณวินใช่ไหมครับ?” ชายร่างสูงใหญ่วัยกลางใส่ชุดสุภาพเรียบร้อยเดินเข้ามาทักผม

ผมตอบรับและทำหน้าสงสัยกับบุคคลตรงหน้า

“ผมมารับไปทำงานครับ แล้วคุณคอปเตอร์ล่ะครับ?” พูดจบก็มองซ้ายขวาเพื่อหาคนที่พูดถึง

“สภาพนั้น น่าจะไม่ไหว ไปกันเลยครับ ไม่ต้องรอ” ผมแจ้งชายวัยกลางคนที่ทำสีหน้าสงสัยกลับมา

“คุณคอปเตอร์ไม่สบายหรือครับ?”

“โอโห เจ็บหนักเลย” ขณะที่ผมตอบ ยังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะตั้งคำถามต่อ เสียงเรียกสายของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“ครับ?” ชายวัยกลางคนรีบยกโทรศัพท์ขึ้นพูด

แล้วก็ตามคำว่า ‘ครับ’ อีกหลายครับ จนกระทั้งวางสาย

“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวรถจะเยอะกว่านี้” ชายวัยกลางคนพูดกับผมทันทีที่วางสายและผายมือไปทางรถตู้หรูหราคันใหญ่ที่จอดอยู่ไม่ไกล

“อ่า…..ครับ” ผมตอบพลางปฏิบัติตาม

ผมมาถึงออฟฟิศได้เร็วกว่าที่คาดไว้มากด้วยความเร็วเสมือนขับรถแข่งฟอร์มูล่าวันผมรู้สึกพลังชีวิตหดหายไปบางส่วนจากอาการหวดเสียวบนท้องถนน แต่ก็ขอบคุณพี่คนขับก่อนที่จะเดินจากมาด้วยอาการขาสั่น

วันนี้ผมทำงานอยู่ในห้องนั้นด้วยความเงียบเหงา แปลกดีที่ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าการมีไอ้คนหน้าตึงนั่งอยู่ด้วยมันช่างน่าหงุดหงิดรำคาญใจ แต่พอมันไม่อยู่ ห้องก็ดูเงียบเหงาลงไปถนัดตา

ผมตบหน้าตัวเองเบาๆ ที่เผลอไปคิดถึงไอ้คนเลวๆ แบบนั้น ผมพยายามคิดไปถึงช่วงเวลาที่ผมเกลียดมันที่สุด ช่วงที่โดนมันแกล้งเล็กแกล้งน้อยตลอดทั้งวันในวัยมัธยม

แต่นึกไปได้สักพักก็ต้องเผลอไปคิดถึงช่วงเวลาที่มันกอดผมแน่นและจรดริมฝีปากลงผมริมฝีปากของผมทุกที มันคงเป็นข่วงเวลาที่เกลียดมันเหมือนกัน!!

เวลาเหมือนใส่ร้องเท้าวิ่งเพิ่มประสิทธิภาพความเร็ว ระหว่างที่ผมนั่งคิดโปรเจ็คเรียนจบพลางทบทวนงานที่ทำที่นี่ เข็มนาฬิกาก็เกือบจะชี้ชนกันที่เลขสิบสองเสียแล้ว

“ไปกินข้าวกับพี่ไหม?” พี่ท้อปเดินเข้ามาชวน คงเห็นว่าวันนี้ผมมาคนเดียว

“พี่ไม่ได้ห่อมื้อเที่ยงมากินเหรอครับ?” ผมถามกลับเพราะปกติพี่ท้อปไม่เคยชวนผมไปกินมื้อเที่ยงด้วยเลย

“เมียพี่ป่วยน่ะ” คำตอบสั้นจากใบหน้าอวบอิ่มที่โผล่พ้นประตูมา

ผมตอบรับคำชวนและปิดหน้าจอเตรียมตัวเดินทาง วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่จะได้ไปกินข้าวมื้อเที่ยงที่ชั้นพนักงานทั่วไป ผมแอบตื่นเต้นไม่น้อย

แค่ยังไม่ทันที่จะเดินพ้นแผนก ผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นไอ้คนหน้าตึงเดินกระโผกกระเผก มาทางผม

“เฮ้ย!! มาได้ไง??” ผมเผลอทักเสียดัง

แต่คนที่มีสีหน้าตกใจกว่าผมคือพี่ท้อปที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างผม คงไม่คิดว่าจะมีใครถามคำถามนี้กับไอ้คนเส้นใหญ่ตรงหน้า

“เบื่อ อยากมากินข้าวด้วย” ไอ้คอปเตอร์ตอบพลางกวาดสายตาไปทางพี่ท้อป

ผมรู้สึกว่าพี่ท้อปยิ้มแห้งถึงแห้งมาก หันมามองผมทำนองว่า ‘พี่ไปก่อนนะ’

ผมพยักหน้าพลางคิดว่า ทำไมต้องไปกลัวมันด้วย มันก็เด็กฝึกงาน ผมว่าพี่ชายมันก็เป็นผู้บริหารที่น่ารัก แม่ของพวกเขาก็น่าจะเหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปกลัวมันเลย

แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมลืมไปว่า สมัยเรียนมัธยม ก็มีแต่คนทำท่าทางแบบนี้กับมัน

ผมผ่อนลมหายใจแล้วก็คิดทบทวนว่าผมคิดดีแล้วใช่ไหมเนี่ยที่เล่นกับไฟแบบนี้ ไม่น่าไปเชื่อไอ้ไตเติ้ลเลย


“ไปกินข้าวกัน” ไอ้คอปเตอร์ขยับเข้าใกล้มากขึ้น ทำให้ผมสังเกตเห็นว่าชุดที่มันใส่ไม่ใช่ชุดที่ผมใส่ให้

“มึงเปลี่ยนชุดเองได้ไง?” ผมถามอย่างข้องใจ

“……ก็ พี่คนขับรถไง ช่วยเปลี่ยน”

“แอบสงสารนะที่ต้องเห็นมึงเปลือยขนาดนั้น ตาคงเป็นกุ้งยิงไปแล้ว!!”

“จะบ้าเหรอ กูก็อายเป็นนะ กูใส่กางเกงในกับเอาผ้าเช็ดตัวปิดไว้โว้ย”

“อ้าว!! แล้วทีกับกู!!”

“ก็มึงไม่ใช่คนอื่นไง!!”

“หา!?!?” ทำไมผมต้องร้อนรนกับคำพูดมันด้วยวะ


“ยังไงสักวันก็ต้องเห็น ไม่เห็นเป็นไร ใช่ไหม? เหลือแต่มึงแล้ว เมื่อไหร่จะให้กูเห็นบ้าง?” สายตาไม่เป็นมิตรส่งมาที่เรือนร่างของผมด้วยใจไม่บริสุทธิ์ ผมขนลุกไปทั้งตัว


“ไอ้สัด ไอ้ทะลึ่ง!!” ผมไม่น่าไปเขินกับไอ้หื่นนี่เลย!! มันจะคิดเรื่องอื่นบ้างได้ไหม?


…………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (11-12-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 11-12-2023 23:21:39
 :z1: :pighaun:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (13-12-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 13-12-2023 17:21:49


“เฮ้ย!! ไปทำอะไรมา?!?” พี่ร๊อคเก็ตร้องเสียงหลง เดินตรงรี่เข้ามาดูอาการคนเจ็บที่เดินได้คล่องกว่าที่ผมคิดมาก

เพราะทันทีที่พี่ชายของไอ้คอปเตอร์ทัก มันก็พร้อมที่จะเดินหลบฉากไปที่นั่งประจำของมันทันที

“พี่ไม่ทราบเหรอครับว่า น้องชายพี่มันขับรถประสบอุบัติเหตุ?”  ผมผ่อนลมหายใจเอ่ยทักพี่ชายที่น่าสงสาร

สีหน้าคนคูลๆ อย่างพี่ร็อคเก็ตซีดลงเล็กน้อย พร้อมสั่นหน้าเป็นคำตอบ

“แม่รู้ไหมเนี่ย??”  คนเป็นพี่อุทานพลางยกมือลูบคางด้วยความเครียด

“ไม่รู้ และไม่ต้องเสือกไปบอกล่ะ?” ไอ้คนหน้านิ่วพูดสวนขึ้นมาดังลั่น

“แน่ล่ะ ไอ้คอป!! เตรียมโดนยึดรถเลย!!”

“อย่าแม้แต่คิด!!” ไอ้นักเลงจ้องมองไปทางพี่ชายตาเขียว

“เออๆ พี่ไม่พูดก็ได้ แต่แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไรมาก?”

“มึงก็เห็นว่ากูมาทำงานได้ ไม่เป็นอะไรมากหรอก พักสองสามวันก็หาย!!”

“ไอเค ๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พี่ฝากน้องพี่ด้วยนะ! น้องวิน” พี่ร๊อคเก็ตยกมือขึ้นจับไหล่ผม และส่งสายตาฝากฝัง

“อย่ามายุ่งกับคนของกู!!” ไอ้คอปเตอร์ตอนนี้เหมือนพองขนเป็นเสือหวงถิ่นเลย ขู่ฟอดๆ จนผมอดที่จะขำกับสภาพเสือป่วยแบบมันไม่ได้ สภาพร่างพันผ้าไปทั้งตัวยังจะฤทธิ์เยอะขนาดนี้

“มึง หยุดสิ!! พี่เขาก็แค่ห่วงไหม? พี่น้องห่วงกันธรรมดาจะตาย!!” ผมล่ะรู้สึกอิจฉาคนมีพี่น้องดี ๆ แบบนี้เสียจริง

แต่ดูเหมือนเสือป่วยจะไม่หมดฤทธิ์ ยังคงพองขน ขู่ฟอดๆ เสียงอยู่ ผมจึงส่งสายตาพิฆาตไปปรามมันด้วยเพราะ ผมไม่ต้องการตกเป็นเป้าสายตามากกว่านี้

ช่วยให้ผมฝึกงานอย่างสงบเสียที!!

คนเป็นพี่ยกยิ้มมุมปากกับการกำราบเสือป่วยของผม พร้อมทั้งขอตัวไปร่วมรับประทานอาหารกับทีมงานของตนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง

“กินอะไร บอกมา!! จะได้ไปเอาให้!?!” ผมพูดขึ้นมาเพื่อตัดเสียงบ่นกร่นด่าพี่ชายลับหลังของไอ้คอปเตอร์

ซึ่งก็ได้ผลดี เพราะมันหยุดปากแทบจะทันทีและยิ้มฉีกกว้างอย่างมีความสุข

“ป้อนด้วยสิ” มันทำเสียงอ่อน

“ไม่ล่ะ เดินมาเองได้ก็ใช้มือแดกเอง!! ไม่เป็นอะไรมากนี่ได้ข่าว!!” ผมสกัดความเอาแต่ใจของมันอีกครั้ง และสุดท้ายมันก็ยอมกินด้วยตนเองแต่โดยดี


………………

ช่วงบ่ายงานของผมไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเท่าไหร่ เหมือนย่ำอยู่กับที่เพราะมีเสือป่วยนอนกวนใจอยู่ข้างๆ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลับไปพักที่บ้าน ปากบอกจะกลับพร้อมกันท่าเดียว

โอ้ยยยยย ผมร้องโวยวายในใจ จนกระทั่งเสียงแชทในระบบสื่อสารภายในองค์กรดังขึ้น ผมอ่านข้อความแล้วก็รู้สึกงงนิดหน่อย แต่ก็ปฏิบัติตามทันที

‘มาหาพี่โต๊ะหน่อย พี่อยากให้ช่วยงานสำคัญงานหนึ่ง’  ข้อความจากพี่ท้อป

ผมลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะทันทีที่อ่านจบ รู้สึกโล่งใจอย่างไรไม่รู้ที่ออกห่างจากเพื่อนร่วมห้องเสียบ้าง เพราะแม้แต่ผมเดินไปห้องน้ำมันยังจะเดินตามผมได้ด้วย

มันอ้างว่า ‘จะได้มีคนช่วยมันทำธุระ’

ผมสวนกลับไปว่า ‘มึงจ้างคนดูแลเหอะ’

มันยกมุมปากขึ้นย้อนกลับทันที ‘จ้างมึงได้ไหม อยากได้มึงอ่ะ’

ผมว่าประโยคนี้มันสองแง่สามง่ามแปลกๆ นะ ผมจึงคิดเลิกที่จะพูดแบบนี้กับมันอย่างเด็ดขาด

ครั้งนี้ก็เช่นกันมันทำท่าทางจะตามมาด้วย ผมยกมือขึ้นปรามห้ามพร้อมพูดเสียงแข็งใส่

“กูไปทำงาน อย่าตามมาเป็นภาระ!!”

มันทำได้แค่หายใจฟึดฟัด และล้มตัวลงนั่งกึ่งนอนก่ายหน้าผากอย่างไม่สบอารมณ์

ผมดีใจกับอิสรภาพเล็กๆ ที่ได้มาเดินออกจากห้องรุดไปที่หมายอย่างรวดเร็ว

แต่สิ่งที่ผมประหลาดใจคือ บุคคลที่นั่งโต๊ะทำงานของพี่ท้อป กลับเป็นพี่ชายของคนที่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องนักศึกษาฝึกงาน

“คุณร๊อคเก็ต!!” ผมอุทาน แต่ก็โดนปรามให้เบาเสียงลงด้วยการยกนิ้วชี้ขึ้นทาบริมฝีปากตนเองของผู้บริหารหนุ่มตรงหน้า

“แล้ว….” ผมทำท่ามองหาเจ้าของโต๊ะ พี่ท้อปที่แอบไปนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ยืนขึ้นพ้นผนังกั้นให้เห็นรอยยิ้มเฝื่อนๆ ของใบหน้าอวบๆ ของพี่ท้อป

“ผมขอเวลาส่วนตัวสักครู่นะครับ” คุณร๊อคเก็ตยิ้มขณะขอร้องอย่างสุภาพ

พี่ท้อปก้มศรีษะตอบผงกๆ หลายครั้ง ก่อนจะเดินหายไปจากคลองสายตาของผม

“นั่งก่อนสิ” ผู้บริหารหนุ่ม เชิญให้นั่งโดยผายมือไปที่เก้าอี้สำรองที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อน เหมือนถูกเนรมิตให้ปรากฏขึ้นจากพื้นพรมตรงนั้นทันทีทันใด

“ครับ คุณร๊อคเก็ต” ผมก้มศรีษะขอบคุณและเดินไปนั่งอย่างเกร็ง ๆ

“เรียก ‘คุณ’ แล้วมันดูห่างเหินกันจังเลยนะ เรียกพี่ก็ได้”

ผมพยายามปฏิเสธด้วยความเกรงใจแต่สุดท้ายก็โดนคนที่มีจิตวิทยาดีอย่างผู้บริหารหนุ่มในชุดสูทหรูหราโน้มน้าวสำเร็จ

“ครับ….เอ่อ….. พี่…ร๊อคเก็ต” อีกฝ่ายยิ้มแก้มปริเมื่อหว่านล้อมผมสำเร็จ

“เข้าใจแล้วว่าทำไม เจ้าคอปเตอร์ถึงได้หลงขนาดนี้ ก็น้องน่ารักขนาดนี้ไง” อีกฝ่ายกล่าวชมจนเหมือนเรื่องปกติ จนผมหน้าร้อนผ่าวไปหมด ยิ่งได้อยู่ใกล้ชิดขนาดนี้ ใกล้ขนาดที่ว่ากลิ่นนำ้หอมของพี่ร๊อคเก็ตรายล้อมรอบตัวผมไปหมด ผมอยากได้กลิ่นแบบนี้บ้างมันมีเสน่ห์มากจริงๆ

“ว่าแต่พี่เป็นคนเรียกผมมาเหรอครับ? มีอะไรเหรอเปล่าครับ?” ผมรีบยิงคำถามตัดบทก่อนจะตายเพราะความหอมอันเย้ายวนนี้ คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งหอม ทั้งสุภาพ

“เรื่องเจ้าคอปเตอร์…… คือพี่อยากรู้ว่า….”

“เกิดอะไรขึ้นใช่ไหมครับ?” ผมรีบเติมช่องว่างทันทีที่รู้ว่าพี่ร๊อคเก็ตมีความเกรงใจที่จะถาม

“อืมนั่นแหละ! สภาพแบบนั้นเกิดอะไรขึ้น พี่ไปถามแม่พี่มาก็ดูเหมือนจะไม่เจอกับเจ้าคอปเตอร์มาสักพักแล้วนะ แปลว่าน่าจะไม่ทราบเรื่องนี้!!”

“นี่มันก็เก่งนะ เจ็บหนักขนาดนี้ มันยังปิดทุกคนได้ขนาดนี้ มันเป็นคนประเภทไหนวะ!!” ผมบ่นพึมพำ

“น้องวินทราบใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“ครับ!! ผมทราบ” แล้วผมก็เล่าเหตุการณ์เท่าที่ผมรู้ให้ฟังโดยสังเขป

“อืม…..” พี่ร๊อคเก็ตมีทีท่าประหลาดใจกับสิ่งที่ผมเล่า

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“คือ…นะ… ก็….ไม่มีรถคันไหนเสียหายหรือเข้าศูนย์ฯ เลยน่ะสิช่วงนี้ เป็นได้ว่าอาจะยืมรถเจ้าวศินแต่ ก็ควรจะมีเรื่องบิลค่ารักษาพยาบาลหรือการเคลมประกันอะไรบ้าง พี่แค่สงสัยว่าเจ้าคอปเตอร์ปิดบังอะไรอยู่ จะบอกว่าไม่อยากให้แม่เป็นห่วง แต่ที่ผ่านมาก็ทำตัวมีปัญหาออกจะบ่อย” พี่ร๊อคเก็ตเหมือนจะบ่นพึมพำกับตัวเองสไตล์นักสืบมากกว่าจะสนทนากับผม

“โอเคๆ พี่คงคิดมากไปเพราะ วศินก็มีแฟนเป็นนักศึกษาแพทย์นี่นา ก็น่าจะไปขอให้ทางนั้นช่วย”

“ก็เป็นไปได้นะครับเพราะไม่เห็นมียาหรืออะไรให้เห็นเลยว่าไปหาหมอที่โรงพยาบาลมา”  ผมกล่าวสนับสนุน แม้ในใจจะมีความรู้สึกติดขัดอะไร
อย่างบอกไม่ถูก

แต่ผมเลือกที่จะไม่ยุ่งเรื่องของครอบครัวของไอ้คอปเตอร์จึงได้แต่เงียบไว้

หลังจากนั้นพี่ร๊อคเก็ตก็ถามไถ่เรื่องงาน เรื่องสุขภาพทั่วไป ก่อนที่จะขอตัวไปทำงานต่อ

พี่ท้อปที่เห็นว่าผู้บริหารหนุ่มจากไปพ้นจากคลองสายตาแล้วก็รี่เข้ามาสอบถามผมร้อยแปด ผมที่ไม่ใช่คนช่างเม้าส์ เลยได้แต่ตอบว่าไม่มีอะไร พี่ร๊อคเก็ตน่าจะแค่เป็นห่วงอาการคุณคอปเตอร์แต่ไม่กล้าถามคุณมันตรงๆ

ก่อนที่จะโดนเซ้าซี้จากพี่ท้อปจนไม่ได้กลับไปทำงาน ผมจึงรีบตัดบทถามเรื่องงาน ก่อนจะกลับไปที่ห้องเพื่อที่จะได้เนียนๆ หน่อย ขืนกลับไปตัวเปล่าโดยซักไซ้จนไม่ได้ทำงานให้เสร็จแน่นอน

แต่มีหรือที่คนอย่างพี่ท้อปจะพลาด เขาหยิบเอกสารขึ้นมาปึกใหญ่และมอบหมายงานทันที

หลังจากที่ฟังและทบทวนจนเข้าใจผมจึงรีบขอตัวกลับทันที โดยอ้างว่า เดี๋ยวคนในห้องจะออกมาตามเพราะนี่ก็ออกมานานแล้ว

……….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (13-12-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-12-2023 19:02:33
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (20-12-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-12-2023 13:26:11

……….



ทันทีที่ผมเดินไปถึงห้อง สิ่งแรกที่ผมเห็นในห้องคือ พี่เอกผู้จัดการฝ่าย ยืนลูบศรีษะคอปเตอร์ที่หลับเอนหลังไปพาดพิงพนักเก้าอี้ สายตาที่สอดส่องไปทั่วร่างผู้ที่หลับอยู่อย่างผ่อนคลาย สายตาแสดงความเป็นห่วงบาดแผลภายใต้ผ้าพัน เขาจ้องมองเหมือนอยากจะมองทะลุผืนผ้าและเยียวยารักษาด้วยการจ้องมอง

ทันทีที่พี่เอกรู้ถึงการมาถึงของผม เขาก็รีบเปลี่ยนอริยาบททันที

“เจ็บหนักขนาดนี้เลยเหรอ?” พี่เอกเอ่ยขึ้นเหมือนรำพันกับตัวเองมากกว่าจะเป็นคำถามถึงผม


“จากสภาพที่เห็นนะครับ ผมว่าหนักหนาสาหัสอยู่นะครับ” ผมตอบตามมารยาท

“ทำไมถึงยังมาทำงานล่ะเนี่ย?” พี่เอกเหมือนจะเผลอตัว ยกมือขึ้นลูบศรีษะคนที่นอนหลับไม่ได้สติอย่างไม่ตั้งใจ

ทันทีที่พี่เขาเหมือนจะรู้ตัว พี่เขาก็ขอตัวแล้วรีบออกไปจากห้องทันที

“ฝากดูแลน้องคอปเตอร์ด้วยนะ” พี่เอกเอ่ยขึ้นก่อนออกจากห้อง

ผมสังเกตว่าน่าจะมีเพียงพี่เอกคนเดียวในแผนกที่ไม่เรียกชื่อของไอ้คอปเตอร์นำหน้าว่า ‘คุณ’

ผมกระแทกนั่งลงตรงที่นั่งตนเองพลางขบคิดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนในสถานที่ทำงานแห่งนี้

‘ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ที่นี้ด้วย ที่อื่นๆ มันจะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ?’ ผมคิดทบทวนไปมาระหว่างนั่งทำงานของตนต่อไป

“ไปเสียนานเลยนะ กลับบ้านกันเถอะ!” คนที่หลับหมดสติไปเสียนาน กลับตื่นขึ้นในช่วงเวลาเลิกงานแบบตรงเวลาเป๊ะ

ผมหน้านิ่วสงสัยว่านาฬิกาชีวิตมันเป็นยังไงกันแน่

“งานยังไม่เสร็จ” ผมตอบสั้นๆ ออกไป เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่เห็นภาพพี่เอกกับท่าทีแปลกต่อไอ้คอปเตอร์ มันทำให้ผมคิดย้อนไปมาในใจ สงสัยถึงความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองฝ่าย

“มึงจะขยันอะไรหนักหนา แค่ฝึกงานเอง!” อีกฝ่ายบิดขี้เกียจขณะพูดไปด้วย

“กูไม่ได้คายช้อนเงินช้อนทองมาเกิดแบบมึงนะ แล้วกูก็ต้องทำโปรเจ็คเรียนจบด้วย รีบทำงานที่มอบหมายให้เสร็จจะได้มีเวลาเผื่อไว้คิดโปรเจ็คจบด้วย!!” ผมหงุดหงิดใส่ท่าทีสบายๆ ของมัน

“แค่นี้ก็ต้องหงุดหงิดด้วย” ไอ้คอปเตอร์บ่นอุบอิบ

เป็นอีกครั้งผมรู้สึกผิดคาด ผมคิดว่ามันจะสวนผมกลับมาสักสองสามประโยคด้วยนิสัยกักขฬะอย่างมัน แต่กลับทำทีสลด จนทำให้ผมรู้สึกผิดไม่ได้

“อ้าว!! ตื่นแล้วเหรอ รีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว เป็นหนักขนาดนี้ไม่ต้องมาก็ได้นะ” พี่เอกที่เข้ามาพร้อมกับกระเป๋าสะพายข้างลายตารางสีดำ เตรียมพร้อมเดินทางกลับ เปิดประตูเข้ามาทักอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ผมก็ไม่ได้มาทำงานนี่ครับ” ไอ้คนขวานผ่าซากตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ

พี่เอกที่ได้ยินกลับขำในลำคอชอบใจ ส่วนผมนั้นตอบเห็นด้วยในใจ

“นั่นแหละ พี่รู้ เพราะพี่ไม่ได้มอบหมายอะไรให้เสียหน่อย แล้วจะมาทำไมเนี่ย?”

“มาอยู่กับแฟน” คำตอบของมันทำให้พี่เอกมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ออกไปทางประหลาดใจ

“ไม่ใช่นะครับ” ผมรีบปฏิเสธ

แต่เหมือนพี่เอกได้เชื่อไปเรียบร้อยแล้ว ดูจากสีหน้าตกใจขนาดนั้น

“เพิ่งเจอกันไม่เท่าไหร่ คบกันแล้วเหรอ?” พี่เอกยิงคำถามไปที่คนที่ยื่นมือมาจับไหล่ผมแน่น และบีบคลึงเบาๆ เสมือนว่าคำพูดของผมนั่นพูดออกไปเพราะเขิน

“กูบอกว่า….เป็นแฟนมึงตอนไหน?” อันนี้ผมโมโหจริงแล้ว

“เราว่าจะปิดเป็นความลับน่ะครับ แต่ไหนๆ พี่รู้แล้วก็เลยตามเลยเนอะ วินเนอะ”

ผมสบถกร่นด่ามันในใจนับร้อยรอบ ผมพยายามปฏิเสธแต่ดูพี่เอกจะหลงเชื่อไอ้คอปเตอร์ไปเรียบร้อยแล้ว แทบจะไม่ฟังที่ผมพยายามปฏิเสธเลย

สุดท้ายพี่เอกก็ขอตัวลากลับบ้านไปด้วยอาการช้อคปนประหลาดใจ

แผนของผมที่จะแกล้งมันตอนช่วงจีบผมเนี่ย สุดท้ายเป็นผมหรือเนี่ยที่ลำบากใจขนาดนี้


………….จบตอน…………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (20-12-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 20-12-2023 14:51:19
 :angry2: :serius2:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (25-12-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 25-12-2023 08:49:03
บทที่ 8  (Not) Forgive or forget




สิ่งที่ผมนึกไม่ถึงมาก่อน คือ การที่ต้องมานั่งคิดมาก ทวนซ้ำไปมาถึงความสัมพันธ์เชิงซับซ้อนระหว่างคนรอบๆ ตัวของไอ้คอปเตอร์ ผมนั่งคิดมากจนแปลกใจตนเองที่เป็นแบบนั่น

“ทำไมเงียบจัง ระหว่างนั่งรถกลับบ้านทำไมไม่พูดอะไรเลย หัวคิ้วขมวดชนกันจนกูกลัวไม่กล้าทักเลย” ไอ้ลูกคุณหนูในสภาพมัมมี่ทักผมทันทีที่ถึงห้องพักของผม

ผมควรจะดีใจไหมที่มันกลัวผม แต่มันจะตามผมมาทำไมในห้องนอนวะ!!??

ผมไม่ตอบอะไรนอกจากใช้นิ้วชี้ไปยังห้องของมันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างหน่ายๆ

“เฮ้ย!! กูป่วยอยู่นะ” มันทำท่าโอดโอยพลางมีทีท่าอ่อนแรงเป็นตุ๊กตาล้มลุก

“เมื่อกี้มึงเดินเร็วกว่ากูอีก!!” ใช่ครับมันมายืนรอผมที่หน้าห้องก่อนที่ผมจะมาถึงประตูห้องเสียอีก

“แต่กูไม่มีคนดูแล…”

“ห้องกูไม่ใช่โรงพยาบาล”

“ทำไมยังใจร้ายกับกูขนาดนี้ กูยอมมึงขนาดนี้เลยนะ”

“กูไม่เคยรู้สึกว่ามึงยอมกูขนาดนั้น”

“ยอมให้มึงเป็นเจ้าของกูขนาดนี้ไง”

“กูไม่ได้ขอ!!”

แล้วมันก็งอแงอยู่หน้าห้องผมอยู่พักใหญ่ ต้องโทษความหน้าบางของผม มันจึงได้เข้ามาอยู่ในห้องผมอีกครั้ง


“เช็ดตัวให้หน่อย” เสียงเล็กเสียงน้อยพูดขึ้นทันทีที่พวกเราอยู่ในห้องกันสองคน

ผมปฏิเสธแทบจะทันที ผมก็ทำหน้าเป็นลูกหมาป่วยอยู่อย่างนั้นจนผมใจอ่อนอีก ผมรู้ว่าหลังๆ มานี้ผมใจอ่อนกับมันบ่อยมากไปแล้ว

“กูว่านะ หากมึงไปให้พี่เอกช่วยเนี่ย เขาน่าจะเต็มใจนะ กูว่ามึงแค่มองเขาก็ขอเช็ดตัวให้มคงแล้ว!” ผมพูดไปใช้ผ้าหมาดเย็นๆ เช็ดตัวให้มันไป

“หึงเหรอ?” มันพูดพลางทำท่าสะดุ้งขนลุกเพราะความเย็นของผ้า ผมยิ้มมุมปากพลางใช้ผ้าไปชุบน้ำเย็นในกะลามังเล็กๆ ที่ข้างตัวเพิ่มเพื่อความสะใจ

“หึงพ่อง!!” ผมสวนกลับทันที

ไอ้คอปเตอร์ยิ้มและหัวเราะชอบใจในลำคอ

“มึงจะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลก ก็ท่าทีพี่เขาแสดงออกจนคนทั้งแผนกก็รู้ แค่ไม่พูดออกมา แต่กูกับพี่เขาคงเป็นไปไม่ได้หรอก”

“ทำไม? พี่เขามีเมียแล้วเรอะ?” ผมยียวนใส่มันพร้อมทั้ง ชุบน้ำเย็นเพิ่มอีกซักรอบ

“ไม่ใช่ พี่เอกน่ะ โสด แต่…พี่เอกเป็นลูกพี่ลูกน้องกู คือญาติห่างๆ น่ะ กูนับถือพี่เอกแบบพี่ชายมากกว่านะ แต่พี่เขาคงไม่คิดแบบนั้น“

“เป็นญาติกันเนี่ยนะ?“ ผมเหวอไปเลย

“ก็ญาติแบบห่างๆๆๆๆ น่ะ ห่างจนนับญาติไม่ถูกเลย“ 

“สำหรับกู กูว่าญาติก็คือญาติ คิดกันแบบนี้มันน่าขนลุกนะ” ผมทำท่าตัวสั่นให้เห็น

สายตาที่ไอ้คอปเตอร์ส่งมาตอนนี้ มันให้ความรู้สึกยิ้มเยาะถูกใจกับอากัปกิริยาของผมแปลกๆ

“กูไม่ได้หึง!!” ผมเน้นคำใส่หน้าไอ้คนมั่นหน้าอย่างมัน

“กูไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย”

“มึงทำเองได้แล้ว กูไม่ทำแล้ว!!” ผมโยนผ้าหมาดใส่ไหล่ของมัน และพร้อมที่จะหันหลังเดินก้าวเท้าออกจากมัน

เพียงพริบตามือของผมก็ถูกดึงรั้งไว้ด้วยแรงอันมหาศาลจากชายที่บอกว่าตนเองบาดเจ็บ ผมเสียหลักทันที ผมถูกดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมอกอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

ไอ้คอปเตอร์ที่เหมือนรอโอกาสแบบนี้อยู่ มันเอนตัวลงเล็กน้อยให้ร่างของผมปะทะกับร่างของมัน เสียงโอดโอยดังขึ้น พร้อมกับที่มันทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ตอนนี้ผมนอนทับร่างที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลของมันอยู่

ด้วยนิสัยมือไวของไอ้คอปเตอร์ทันทีผมประทับอยู่บนร่างของมัน มือทั้งสองของมันก็พันโอบรอบร่างของผมจนแทบขยับไม่ได้

ผมคงรู้สึกไปเองที่ร่างทางด้านล่างนอกจากจะไม่ร้องเจ็บแผลสักนิด แถมยังพยายามโอบรัดให้แน่นขี้นเหมือนปลาหมึกที่จับเหยื่อได้แล้ว และจะไม่ปล่อยจนกว่าจะกินอิ่ม!

ความที่ผมสงสัยอยู่หลายเรื่อง ก็เลยปล่อยเลยตามเลย พร้อมกับคิดบททดสอบขึ้นมาทันที

“เจ็บหรือเปล่า?” ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ไม่…ไม่เป็นไร….ทนได้” ไอ้นี่มันฉลาดน่าจะไหวตัวทัน

“ขอโทษนะ“ ปากผมก็พูดว่าขอโทษ แต่ผมที่หันหน้าประกบกับมันในท่านอนแบบนี้ มันง่ายต่อการล่อลวงเสียเหลือเกิน ผมจึงนึกถึงภาพยนต์ที่เคยดูและลองทำตามทันที

มือของผมค่อยๆ ลูบไปตามรอยขอบผ้าพันแผลช้าๆ บริเวณหน้าอกไล่เรื่อยจนไปถึงต้นคอ และพยายามอย่างช้าๆ ไล่ลงมาอีกครั้งแต่ต่างจุดกับตอนไล่ขึ้น ผ่านจุดติ่งเนื้อสีชมพูกลางหน้าอก แล้วไฟลงสู่ลอนท้องที่มีผ้าพันแผลพันอยู่เพียงส่วนน้อย

และแล้วสิ่งที่ผมทำก็สำฤทธิ์ผล ส่วนกลางร่างกายของผู้ชายของมันลุกขยายตัวขึ้นชัดเจนนูนขึ้นจากเป้ากางเกง สำตัวส่วนท้องของผมรู้สึกได้ทันที

เมื่อรู้ว่าได้ผล ผมรีบดำเนินการขั้นถัดไปคือการใช้ลมหายใจอุ่นๆ ของผม ราดรดไปที่ช่วงอกและไล่ลงตำ่จนถึงช่วงกล้ามท้องที่เป็นลอนได้รูป

มือที่กอดผมแน่นคลายออกชั่วครู่ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการพยุงตัวผมให้ขึ้นมาเผชิญใบหน้าที่แดงก่ำ หายใจหอบถี่

ผมรู้สึกเสียใจทันทีที่คิดทดสอบกับคนหื่นแบบมัน แต่เพื่อที่จะจับพิรุธมันให้ได้ ผมเลยยอมนิ่ง ผมยอมไปต่อกับมันไปก่อน

“นายบาดเจ็บอยู่นะ ผ้าพันเต็มตัวแบบนี้….” ผมมองลงไปที่ผ้าพันแผล

และแล้วก็ได้ผล ไอ้คอปเตอร์ ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบปลดผ้าพันแผลออก เผยให้เห็นผิวเนียนใสไร้รอยแผลภายใต้ผ้าพันแผลที่สะอาดสะอ้าน!!

“ไอ้คนตอแหล!!“ ผมดีดตัวจากร่างของมันและสลัดลุกจากอ้อมกอดและหนีจากเตียงทันที ทิ้งให้ไอ้คอปเตอร์ ทำหน้าตาเหมือนเสียรู้ผมเสียแล้ว!

ผมจัดการยื่นคำขาดส่งมันออกไปนอกห้องตัวเองทั้งที่ไอ้คอปเตอร์เปลือยอกอารมณ์ค้างตึงอยู่แบบนั้น

ไอ้คอปเตอร์พยายามอ้อนวอนขอโทษผมอยู่ด้านนอก หาเหตุผลร้อยแปดที่จะให้ผมยกโทษให้ แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ อดทนต่อความหน้าบางของตัวเอง  อาบน้ำใส่หูฟังเข้านอนทันที

……..
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (25-12-23)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 25-12-2023 14:59:48
 :m31: :fire:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (02/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 02-01-2024 10:06:56


เสียงลมเสียดสีกิ่งไม้และใบนับร้อยต่างพริ้วไหวตามแรงลม บ้างลู่ บ้างเอน บ้างบิดปลิวร่วมหล่นตามแรงโน้มถ่วงของโลกผมชอบนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมรั้วหน้าโรงเรียนตรงนี้เสมอๆ  เพราะไม่อยากรีบไปที่ห้องเรียนตนเองเร็วนัก สาเหตุก็มาจากไอ้พวกขี้แกล้งหลังห้องนี่แหละ มันมักจะหาโอกาสช่วงที่อาจารย์ยุ่งๆ มาแกล้งเด็กเรียนหน้าห้องอย่างพวกผมอยู่เสมอ

แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ผมไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว ที่อีกฝากหนึ่งของโคนต้นไม้ มีคนวัยเดียวกันมานั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะผมเองก็จะให้เพื่อนสนิทของผมมารับและเดินไปที่แถวเคารพธงชาติตอนเช้าด้วยกัน ซึ่งมันจะมาแบบเฉียดเส้นตายทุกวัน

ขณะที่ผมนั่งทบทวนบทเรียนอย่างเคยด้วยความสงบยามเช้า เสียงสะอึกสะอื้นก็ดังมาจากอีกฝากของต้นไม้เป็นระยะ ๆ มันรบกวนสมาธิผมพอสมควร และเสียงนั่นก็ดึงดูดความสนใจผมไปเสียหมดสิ้น

ผมตัดสินใจล้วงผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นมืออ้อมไปให้คนอีกฝั่งอย่างเต็มใจผมไม่รู้ว่าเขากำลังเสียใจเรื่องอะไร แต่ผมเองก็เคยมีเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน ก็คงจะเหมือนกับผม ผมเดา

มันไม่พ้นเรื่องครอบครัว สงสัยพ่อแม่คงเลิกกันมั้ง ผมคิด เพราะผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อนเมื่อปีที่แล้ว

“ขอบใจ“ เสียงสั่นๆ ดังมาแล้วหยิบผ้าเช้ดหน้าผมไป ซึ่งผมยื่นไปพักใหญ่เลย กว่าจะรับผ้าเช็ดหน้าจากมือผม

“เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ผมพูดออกไป มันเป็นคำปลอบใจที่ครูอาจารย์หลายๆ คนใช้ปลอบผมในช่วงบอบบางตอนนั้น

“นายไม่เข้าใจหรอก!!” เสียงสั่น ๆ นั่น ดังขึ้นอีกครา

“เข้าใจสิ พ่อแยกทางกับแม่ ครอบครัวหย่าร้าง ศึกแย่งกันดูแลลูก ทำไมเราจะไม่เข้าใจ” อยู่ๆ ผมก็แบ่งปันประสบการณ์ตนเองไปโดยไม่รู้ตัว คงเพราะอยากจะช่วย เหมือนที่เคยโดนช่วยมาก่อนมั้ง

“แต่พ่อแม่เรา….ตายแล้ว” แล้วเสียงสั่นๆ นั้นก็ปล่อยออกมาอีกโฮใหญ่

ผมที่สะเทือนใจกับคำพูดที่ทรงพลังนั้น ทำเอาผมสั่นสะท้านไปทั้งร่าง อย่างเรายังแค่แยกเป็น ยังไงก็ต้องได้เจอกันสักวัน แต่การแยกจ้างเพราะการสูญเสียแบบนี้ มันหนักเกินที่จะรับไหวจริง ๆ

ผมที่กำลังคิดที่จะเดินไปปลอบ ก็พบว่าไอ้เพื่อนสนิทที่ว่ามันวิ่งตาตื่นมาลากผมไปที่แถวเคารพธงชาติเสียแล้ว

…………

ผมลืมตาตื่นมาทั้งที่หูฟังสองข้างยังคงประโคมดนตรีหลับลึกดังคลอไปเรื่อยๆ เศษน้ำตาที่ค้างอยู่มุมหางตายังอยู่

ทำไมผมยังฝันถึงคน ๆ นั้นอยู่นะ แม้ว่าหลังจากนั้นผมจะเจอเขาอีกหลายครั้ง แม้เราจะไม่เคยหันหน้ามาเจอกันสักครั้ง ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นที่ต้นไม้กั้นกลางอยู่ แม้จะได้คุยกันเพียงบางเบา แต่ผมกลับฝันถึงเหตุการณ์เหล่านั้นอีกครั้งทำไมก็ไม่รู้

ผมดึงร่างตนเองที่ยังฝังอยู่ในความนุ่มนิ่มของเตียงนอนอย่างอ่อนล้า หยิบหูฟังออกจากหูเพื่อสะดับเสียงภายนอกห้องว่าสงบเรียบร้อยหรือยัง

เสียงหวีดหวีแห่งความเงียบเท่านั้นที่ผมได้ยิน ผมดีใจที่ในที่สุดผมก็จะสามารถสลัดมันออกไปจากชีวิตเสียที

หวังว่าเรื่องในครั้งนี้มันจะยอมเลิกวุ่นวายกับผมเสียที

ผมจัดการตนเองช่วงเช้าอย่างเป็นกิจวัตรปกติ แม้จะเงียบเหงาไปบ้างที่ไม่มีใครมาวอแวยามเช้าแบบนี้ แต่ผมก็ทำทุกอย่างเสร็จก่อนเวลาที่ผ่านมาหลายนาที

แปลกดีที่ผมกลับรู้สึกไม่ชินกับการอยู่คนเดียวเสียแล้ว

ผมสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากศรีษะโดยสั่นแรงๆ และเตรียมตัวออกเดินทางไปฝึกงาน

ทันทีที่เปิดประตูออกไป วัตถุร่างคนก็หงายเอนลงมาทับช่วงขาของผม ด้วยความตกใจผมร้องเสียงหลง

“วิน….” คนที่ล้มลงนอนแนบเท้าผมเอ่ยเรียกชื่อผมด้วยอาการงัวเงีย

“เฮ้ย!! อะไรเนี่ย!! อย่าบอกนะว่านั่งอยู่แบบนี้ทั้งคืน!!“

“ก็วินไม่ยอมใจอ่อนเสียที ไม่ยอมมาเปิดประตูให้เสียที กูก็รออยู่ตรงนี่ จนเผลอหลับไป“

ผมสังเกตเห็นรอยยุงกัดตามแขนและแผงคอที่เปิดกว้างอยู่

ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากกร่นด่าความงี่เง่าของมัน ดังลั่น

ไอ้คอปเตอร์เอื้อมมือมาจับมือรั้งผมไว้ไม่ให้ไปไหน จนกว่าจะเคลียร์กันรู้สึก ผมซึ่งมองนาฬิกาของตนเองแล้วคิดว่าต้องสายแน่นอนเลยพยายามปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

ผมพยายามดึงให้ไอ้คอปเตอร์ทรงตัวลุกขึ้นและผมก็ต้องประหลาดใจกับอุณหภูมิร่างกายของมัน

ไม่รอช้าผมใช้หลังมือทาบไปที่หน้าผากทันที

ร้อน… มันร้อนมาก สงสัยเมื่อคืนอากาศเย็นแล้วก็โดนยุงกัดทั้งคืน สงสัยคราวนี่น่าจะป่วยจริง

“คุยกันก่อนได้ไหมครับ?“ เสียงสุภาพดังจากปากแห้งกรังของคนที่พยายามดึงรั้งผมไว้อย่างดื้อรั้น

“ไม่!!” ผมผลักมันไปชิดผนังทางเดินอีกฝากที่เป็นห้องของมัน

“มึงอยู่ตรงนี้!!“ ผมสั่งมันด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

ทำไมภาพที่มันเป็นแบบนี้ถึงได้รบกวนจิตใจเราขนาดนี้วะ!!

ผมพูดจบผมก็รีบเดินจากมาทันที

ผมลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างโดยไร้เงาคนติดตาม ทำให้ผมสบายใจได้ระดับหนึ่ง ขาของผมก้าวออกจากลิฟต์อย่างรวดเร็ว และเดินออกไปจนถึงพื้นที่หน้าอพาร์ทเม้นต์ ที่ซึ่งมีรถตู้คันหรูจอดรออยู่

“พี่!! ช่วยไปจัดการเจ้านายตัวเองด้วยที่หน้าห้อง ไม่สบายหนักมากพามันไปโรงพยาบาลด้วย!!”


…….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (02/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-01-2024 10:44:16
 :z13: :a5:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (08/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-01-2024 17:09:25

…….


“ไอ้เติ้ล!! กูไม่ไหวแล้วนะ แม่งโคตรเสียสุขภาพจิต!! นอกจากจะวุ่นวายกับกูแล้ว ล่วงละเมิดกูไม่พอ ยังทำให้กูไม่สบายใจอีก รบกวนจิตใจกูโคตรๆ” ผมโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันทีที่มีเวลาว่างในที่ทำงาน พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่สุดแสนจะอึดอัดให้เพื่อนสนิทที่สุดฟังอย่างไม่ปิดบัง

“มึงห่วงเขาไอ้วิน“

”สัด!! ห่วงก็เชี้ยแล้ว กูยังไม่ลืมที่มันทำกับกูหรอกนะ“

“อ่ะ! งั้นมึงก็ไม่จำเป็นต้องไม่สบายใจ มึงควรจะสะใจ เพราะถือว่ามึงได้ล้างแค้นแล้ว!!“

ผมเงียบไปพักหนึ่ง…. มันก็จริงนะ ผมคิดทบทวนไปมา

“อย่าหลงรักเหยื่อ!! กูเคยบอกมึงแล้ว!!“

”มึงไม่เคยบอกค่ะ!!” ผมกระแทกเสียวใส่โทรศัพท์

“อ้าวเหรอ?! ก็แหม่…มึงเกลียดมันจะตาย กูเลยไม่ได้พูดไง“

“กูไม่ได้ชอบมัน!! หรือรักมัน!! ไม่เคย!!“

“งั้นก็ดำเนินการตามแผนต่อไป อย่าได้แคร์!!”

“กูทำแน่.. แค่นี้ก่อนนะ ต้องทำงานแล้ว!!”

ผมรีบตัคบทเพราะยิ่งพูดกับไอ้ไตเติ้ล มันยิ่งพยายามชี้นำว่าผมชอบไอ้เลวนั่นอยู่นั่นแหละ จนอยากจะถามว่า ‘นี่มึงเพื่อนกูหรือเพื่อนมัน!!’

ช่วงบ่ายเป็นช่วงที่ผมได้มีเวลาทบทวนโปรเจ็คเรียบจบของตนเอง ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำแบบ Business Process Improvement ของแผนก ช่วงนี้งานน้อยลงแล้วเนื่องจากโปรเจ็คของพี่ท้อปเสร็จสิ้นแล้วหรือแต่งาน Develop Software เพิ่มเติมซึ่งผมมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือน้อยลงมาก

ระหว่างร่างโปรเจ็คหน้าต่อหน้า ความคิดในหัวก็จะแทรกความคิดถึงอาการของไอ้คนป่วยเมื่อเช้ามาเป็นระยะ ๆ และทุกครั้งผมก็มักจะตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อคืนสติและสมาธิกลับมาที่งาน

เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์แล้วที่ผมจะสิ้นสุดการฝึกงานที่นี่ ผมจะต้องเสร็จโปรเจ็คก่อนเดดไลน์ให้ได้

ระหว่างที่ผมกำลังร่าง Presentation หน้าสุดท้ายของโปรเจ็คเพื่อส่ง Draft ให้อาจารย์พิจารณา เสียงสั่นจากโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของผมก็ดังลั่นห้อง ผมที่ตอนนี้อยู่เงียบๆ คนเดียวในห้องก็อดที่จะสะดุ้งตัวลอยไม่ได้

ผมรีบคว้าโทรศัพท์ที่กำลังสั่นและเคลื่อนที่หนีห่างออกไปเหมือนกับมีชีวิต  ชื่อที่แสดงบนหน้าจอคือ

‘ไตเติ้ลไอ้เพื่อนเชี้ย’

ใช่ครับ ผมเขียนแบบนั้นจริงๆ เพราะตั้งแต่เรียนหมอ มันก็เถื่อนขึ้นผิดหูผิดตา เพื่อนเด็กเรียนเรียบร้อย ภาพนั้นหายไปจากใจผมไปหมดแล้ว  ไม่รู้อะไรดลใจให้มันเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น  มันได้ทำให้ภาพพจน์คนเรียนหมอของผมเสียไปจนหมดสิ้น  หากว่ามันไม่ได้กำลังจะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ผมว่าคนอย่างมันน่าจะโดนไล่ออกไปแล้ว

“กูไม่ว่าง”

“มึงคิดว่ากูว่าง!! กูมาราวด์วอร์ด มึงว่ากูเจอใคร?”

“จะอวดเมียอีกล่ะสิ!!”

“ไม่ใชเว้ย!! อริมึงอ่ะ นอนป่วยเจียนตายอยู่เนี่ย!!“

“เฮ้ย!!!!” ผมร้องเสียงหลง ไม่คิดว่า เพราะผมปล่อยมันนอนหน้าห้องจะทำให้มันเป็นขนาดนั้น

“มันเป็นอะไร?” ผมถามเสียงเรียบ เพราะไม่อยากให้ล้อผมอีก


“ห่วงล่ะสิ!”  นั่นไงไอ้ควาย!! ไอ้เพื่อนชั่ว!! ผมคิดอย่างหยาบคายแต่ก็ต้องทำได้แค่ในใจ เกรงใจสถานที่

“กูไม่ได้ห่วงมันเว้ย!! มันเป็นลูกเจ้าของบริษัทนะมึง กูอยากจบกับที่นี่สวยๆ นะ!!”

“ไข้หวัดน่ะ แต่ร่างกายมันอ่อนแอมาก ก็เลยอาการหนักหน่อย นี่คือให้ยาแล้วก็หลับยาวเลย ยังไม่ฟื้น”

ฉิบหายแล้ว ผมร้องในใจวนไปมา ผมไม่อยากเป็นสาเหตุให้ใครตายนะ แต่มันก็มีห้องตัวเองนี่หว่า แค่ฝั่งตรงข้าม มันจะเดินกลับไปนอนในห้องเองก็จบ! มันแส่หาเรื่องเอง!!

“กูมาบอกแค่นี้แหละอาจารย์หมอเรียกแล้ว!!”

สุดท้ายผมก็ถามที่อยู่ของมันจนได้ เลิกงานแล้วก็คงต้องไปดูอาการเสียหน่อย คราวนี้หมอบอกเองคงไม่โกหกเราอีกนะ

………….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (08/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 08-01-2024 21:48:55
 :mc4: :katai5:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (15/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 15-01-2024 18:52:27


เป็นครั้งของการมาฝึกงานที่นี่ ที่ผมต้องนั่งมองตัวเลขบอกเวลาที่มุมขวาล่างของหน้าจอ

อาจเพราะความรู้สึกผิดที่ทำแบบนั้นกับไอ้คอปเตอร์ มันเลยกลายเป็นเข็มจิ้มแทงหัวใจให้กระวนกระวายซ้ำไปมา

สมาธิในการร่างโปรเจ็คของผมมันเหือดหายไปเหมือนกับน้ำในทะเลทราย ใจหนึ่งก็กร่นด่ามันที่ทำให้ผมงานไม่เดิน ใจหนึ่งก็รู้สึกผิดกับมันเหลือเกิน

เบื่อความเป็นคนดีของตัวเอง

เสียงผลักประตูเปิดกว้าง กวาดอากาศภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ วูบไหวจนเส้นผมของผมปลิววูบ

“น้องวิน!! มากับพี่หน่อย!! เก็บของมาเลย”

พี่ร็อคเก็ตที่มีอาการรีบเร่งเปิดเข้ามาร้องทักอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย พอฟังได้ความผมก็หันไปมองเวลาที่เดินอยู่ที่มุมจอด้านขวา

ยังเหลือเกือบ 20 นาทีถึงจะเลิกงาน

“เรื่องเวลาช่างมัน พี่บอกพี่เอกไปแล้ว มากับพี่เร็ว!!” พี่ร็อคเก็ตเสียงดังขึ้นเล็กน้อย

ผมเก็บของลงกระเป๋าและเดินตามอย่างว่าง่าย พี่ร็อคเก็ตพาผมจนถึงลิฟต์วีไอพี (วันนี้บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย)

“พี่สืบรู้ว่า น้องพี่มันป่วยหนัก รู้ไหมว่าน้องพี่อยู่ที่ไหน?“  ทันทีที่ประตู VIP ปิดลง ท่าทีของผู้บริหารที่เข้มขรึม ก็เปลี่ยนไป

พี่ร็อตเก็ต มีสีหน้าที่ร้อนรนปนเป็นห่วง เขาจับไหล่ผมเสียแน่นจนผมตกตกใจ

“อ่ะ…โทษที คือ แม่พี่กับพี่ห่วงมันมากน่ะ”

ผมจะไม่ถามก็แล้วกันว่ารู้มาจากไหน? ทำไมถึงได้รู้เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ความสามารถของตระกูลนี้ไม่น่าหาข้อมูลอะไรยาก

ผมพยักหน้าตอบรับและบอกชื่อโรงพยาบาลไป

“ทำไมถึงไปอยู่ที่นั้น?” พี่ร็อคเก็ตพึมพำ

“มากับพี่!!“ ชายร่างที่เล็กกว่าผมคว้ามือผมและรั้งให้ผมเดินตามแทบจะไม่ทัน ไม่น่าเชื่อว่า คนๆ นี้จะแรงเยอะขนาดนี้

ผมถูกพาขึ้นรถตู้คันหรูที่จอดรออยู่แล้วที่ลานจอดรถ ถึงแม้ผมจะงงงวยว่า พี่คนขับรถเขารู้ได้อย่างไรว่าพี่ร็อคเก็ตจะลงมาที่ลานจอดรถ ถึงได้มาจอดรอแบบนี้ได้

พี่ร็อคเก็ตตะโกนชื่อโรงพยาบาลให้คนขับรถทราบ คนขับรถจิ้มไปที่ GPS ไม่กี่ครั้ง ระบบก็แสดงข้อมูลพร้อมนำทางและส่งเสียงแจ้งเตือนออกมา

ผมที่กำลังสนใจกับเทคโนโลยีและการทำงานของคนขับอย่างมืออาชีพและทันสมัยจึงได้ยืนเหม่อมองอย่างชื่นชม

“ขอโทษนะ“ หลังจากสิ้นเสียงนั้น พี่ร็อคเก็ต ก็รวบตัวผมแล้วอุ้มขึ้นรถตู้ที่พร้อมเดินทาง จนใจผมหายวูบไปอยู่ตาตุ่ม

ผมที่เริ่มโวยวายบอกให้อีกฝ่ายปล่อยผมจนกระทั่งผมลงนั่งที่ฝั่งตรงข้ามพี่ร็อคเก็ต (รถคันนี้สามารถปรับให้นั่งหันหน้าเข้าหากันได้ด้วย)

“ทำไมพี่ต้องเร่งรีบขนาดนี้ด้วย!!“

“พี่ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยน่ะ”

แล้วพี่ร็อคเก็ตก็เล่าให้ฟังถึงอดีตที่น่าตกใจของไอ้คอปเตอร์ ว่ามันเคยป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก หนักขนาดที่ต้องให้เลือดเพื่อช่วยชีวิต และมีแต่เลือดของพี่ร็อคเก็ตมี่เป็นหมู่พิเศษแบบเดียวกันเท่านั้นที่ให้ได้ และนั้นเป็นเหตุผลที่เร่งรีบ

ผมฟังจบรู้สึกได้ถึงความเย็นมาเยือนใบหน้ารู้สึกเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง นี้ผมกำลังจะกลายเป็นฆาตรกรอย่างไม่ตั้งใจหรือนี่!

“ไม่ต้องกังวล หากถึงมือของหมอแล้ว พี่ว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว“ พี่ร็อคเก็ตเอื้อมมือมาจับไหล่ผมอย่างอ่อนโยน

ส่วนอีกมือหนึ่งก็เอื้อมมาจับมือผมไว้แน่น

“มือเย็นหมดแล้วนะ“ พี่ร็อคเก็ตเอ่ยทักและยิ้มอย่างอ่อนโยน

ผมยอมรับว่าในใจแอบมีหวั่นไหวกับภาพเทพบุตรตรงหน้าเล็กน้อย แต่ในใจของผมกลับมีเรื่องรบกวนจิตใจทำให้ภาพตรงหน้าเบลอไปหมด

“ร้องไห้ทำไม?” มือที่ไหล่ของผมย้ายมาลูบแก้มปาดหยาดน้ำน้อยๆ ที่ไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

“เป็นห่วงน้องพี่ขนาดนั้นเลย?” พี่ร็อคเก็ตยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยกับอากัปกิริยาของผม

“ไม่….ไม่ใช่ครับ คือผมรู้สึกผิดน่ะมันเป็นเพราะผมที่….”  ผมเล่าเหตุการณ์เมื่อวานอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็แอบตัดทอนบางอย่างที่ล่อแหลมออกไป

ประเด็นคือ ผมปล่อยให้มันนอนหน้าห้อง

‘ก็มันโง่เองนี่หว่า!’ นี่คือสิ่งที่ผมคิดแต่ไม่กล้าพูดออกไป

“ท่าทางครั้งนี้มันจะเอาจริงนะ” พี่ร็อคเก็ตเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“อะไรหรือครับ?” ผมที่ยังงงได้แต่ทำตาโตใส่คนตรงหน้า  พี่น้องคู่นี้เหมือนกันตรงที่ ไม่ค่อยเข้าใจในการกระทำเท่าไหร่


“ก็เสียดายไง ครั้นจะจีบคนเดียวกับน้องนี่มันก็ดูไม่เหมาะไง”


“หา….” ผมได้แค่ทำหน้าตาเหวอไม่เข้าใจ และขยับตัวห่างออกไปจนชิดพนักเก้าอี้ของรถ

เสียงเครื่องยนต์เบาลง และเคลื่อนตัวเป็นวงกลมเข้าสู่ที่หมายอย่างนุ่มนวล ชายกลางคนที่เป็นพลขับเดินมาเปิดประตูให้  ผมที่กำลังประหม่าอยู่ได้แต่ทำตัวไม่ถูก จนกระทั้งพี่ร็อคเก็ตเอ่ยเชิญผมลง แต่ผมที่ยังย่อยข้อมูลไม่สำเร็จจึงได้แต่วุ่นวายกับการออกคำสั่งร่างกายที่แทบจะไม่ขยับไปไหน


“หรือจะให้พี่อุ้มลง เหมือนตอนขึ้นรถ” คำนี้ทำให้ผมผุดลุกออกจากที่นั่งและเดินลงจากรถทันที


……..
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (15/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-01-2024 22:42:08
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (17/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 17-01-2024 11:57:53



ผมมองข้อความจากเพื่อนสนิทตัวเองที่บอกเลขห้องกับชั้นที่อยู่ของไอ้คอปเตอร์พลางมองหาเลขห้องตามทางเดิน และที่ประหม่าที่สุดคือ พี่ร็อคเก็ต ซึ่งเดินตามหลังมาติดๆ นี่แหละ

“ให้พี่ช่วยไหม?” คนทางด้านหลังเอ่ยถามข้างหู

”ไม่เป็นไรครับ น่าจะข้างหน้านี้แหละครับ” ผมถอยห่างไกลขึ้นพร้อมหันบอกปฏิเสธ

รอยยิ้มจากชายใส่สูทสีกรมท่าเข้ารูปสาดใส่ดวงตาผม มันเจิดจ้าจนผมหลบตาแทบจะทันที

พี่น้องคู่นี้เหมือนกันอยูหนึ่งอย่างคือ หลังจากเปิดเผยความในใจแล้ว ก็เดินหน้าลุยแทบจะสุดกำลัง

บอกตามตรง  ผมกลัว……


ผมรีบเดินมาถึงหน้าห้องที่หมายและรีบเคาะห้องทันที ป้ายหน้าห้องแสดงให้เห็นว่ายังอยู่ในเวลาเยี่ยมได้ ผมจึงไม่รอช้าที่บิดลูกบิดและผลักประตูเข้าไปทันที

ภายในห้องที่เงียบงัน มีเพียงเตียงคนไข้จัดวางอยู่กลางห้อง เครื่องจ่ายน้ำเกลือวางอยู่ไม่ไกล คุณพยาบาลที่เดินออกมาจากมุมห้องฝั่งที่ผมไม่ทันสังเกตเอ่ยทักทายผมและพี่ร็อคเก็ตที่เดินตามหลังแทบจะทันทีที่สังเกตเห็นผม

นางพยาบาลแนะนำตัวว่าเข้ามาตรวจเยี่ยมคนไข้และจะจ่ายยาตามเวลา แต่คนไข้หลับสนิทก็เลยจะขอวางยาไว้กับอาหารมื้อเย็นที่มุมห้อง หากได้เวลาแล้วจะเดินมาปลุกอีกครั้ง

ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจและเดินไปที่เตียงเพื่อดูอาการคนป่วยที่นอนไม่ได้สติทันที

ส่วนพี่ร็อคเก็ตก็สอบถามอาการของน้องชายตนเองกับพยาบาลอย่างละเอียด ผมที่อยู่ในห้องก็เลยได้ฟังสภาพอาการไปด้วย

สรุปคือ อ่อนเพลียและเป็นไข้หวัดธรรมดา ผมกับพี่ร็อคเก็ตแทบจะถอนหายใจออกพร้อมกัน

ก่อนที่พยาบาลจะออกไปก็บอกว่าอีกยี่สิบนาทีจะเดินเข้ามาปลุกคนไข้เพื่อรับประทานมื้อเย็นและยาหลังอาหาร

ผมพยักหน้ารับทราบพลางมองหน้าซีดๆ ของไอ้คนตายยากตรงหน้า

พี่ร็อคเก็ตขอตัวไปขอพบแพทย์เจ้าของไข้ และเดินออกไปพร้อมกับพยาบาล

ทันทีที่ประตูห้องปิดสนิท มือหนึ่งจากคนบนเตียงก็ดึงรั้งมือผมไว้แน่น ผมเกือบจะร้องโวยวายด้วยความตกใจแต่คิดได้ก่อนว่าอยู่ในโรงพยาบาลจึงใช้มืออีกข้างอุดปากตัวเองไว้ก่อน

“ทำอะไรของมึงเนี่ย!! แน่ใจนะว่าป่วย!!“ ผมถลึงตาดุใส่มัน แต่สัมผัสผ่านมือก็รับรู้ถึงอุณหภูมิมืออีกฝ่ายที่ร้อนกว่าปกติ

ครั้งนี้คงป่วยจริง ผมคิด

“หิวข้าว” คำพูดสั่นๆ ออกจากปากซีดๆ นั่น

“นั่นไง!!” ผมชี้ไปที่ถาดอาหารที่วางอยู่ที่โต๊ะล้อเลื่อนข้างเตียง

“ป้อน”  มึงเป็นเด็กหรือไง? ถึงได้พูดสั้นๆ แบบนั้น

“ไม่มีแรง” สีหน้าออดอ้อนที่ผมผ่อนลมหายใจใส่คนพูด

ผมเห็นวงหน้าซีดๆ กับสัมผัสอุณหภูมิที่ไหลผ่านมือมาทำให้ผมฝืนกับมันไม่ลงจริงๆ  กรรมเวรอะไรของผมวะเนี่ย

ผมตอบรับแบบขอไปทีพร้อมเดินกระแทกส้นไปจัดแจงจัดโต๊ะให้อยู่ในตำแหน่งเหนือเตียงนอนพร้อมกิน

ไอ้คอปเตอร์ทำหน้าเหมือนจะบอกให้รีบป้อนอาหารให้มันได้แล้ว

“มึง! เป็นไข้!! ไม่ได้แขนขาหัก!!” ผมสุดจะทนกับไอ้ความอ้อนของมัน

“ไม่มีแรง ไม่อยากอาหาร!!”

ใจอยากจะพูดว่า งั้นก็อดตายไปซะ!! ใจอยากจะพูดแบบนั้น แต่มันดูจะไร้มนุษยธรรมไปหน่อย

สุดท้ายผมก็ต้องใช้ช้อนตักอาหารบนโต๊ะให้มันจนได้

หลังจากกลืนอาหารไปสักสองสามช้อนแล้ว นอกจากจจะยิ้มไม่หุบแล้วมันยังสามารถฮัมเพลงในลำคอได้ด้วย

ผมอยากจะปาช้อนใส่หน้ามันมาก

“แล้วทำไมถึงมากับไอ้เตี้ยได้!!”

เสียงเปลี่ยนทันทีที่พูดถึงพี่ชายตัวเอง

“เขาเป็นห่วงมึงมากนะ ทำไมถึงพูดกับคนที่เคยช่วยชีวิตตัวเองขนาดนี่!!!”

“แล้วมันบอกหรือเปล่า ทำไมกูถึงป่วย!!”

ผมส่ายหน้าตอบไปแบบงง ๆ กับคำถาม

“ก็เพราะมันแกล้งกูไง ขังกูไว้นอกที่พักทั้งคืนที่เขาใหญ่ มันก็ต้องรับผิดชอบหรือเปล่าวะ!“

ผมตกใจกับคำตอบ ไม่คิดว่าพี่ร็อคเก็ตที่สุดแสนจะสมบูรณ์แบบจะมีมุมเกเรกับเขาด้วย

“ทำไมวะ?” ผมถามถึงเหตุผล เพราะคาใจ มันคงเป็นคนละสาเหตุกับที่ผมทำมันป่วยรอบนี้แน่ๆ

“ไปถามมันเอาเอง เพราะกูไม่เคยถาม!! มันไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่ากูรู้ว่ามันทำ!!” น้ำเสียงขุ่นเคืองประสมอยู่ในประโยค

แล้วใครมันจะไปกล้าถามวะเรื่องแบบนี้ ผมยิ้มแห้งตอบกลับไป

“แล้วมันรู้ได้ยังไง กูไม่ได้บอกใครเสียหน่อย”

“ไม่รู้ อยู่ๆ พี่ร็อคเก็ตเขาก็มาถามกูตอนจะเลิกงาน”

“มีหูตาเสียทุกที่จริงๆ” คิ้วขมวดห่อเอาเนื้อระหว่างคิ้วเป็นก้อนนูนขึ้นมาชัดเจน

ผมไม่เคยเห็นมันแสดงอารมณ์แบบนี้เลย แท้แต่ตอนที่คิดจะกลั่นแกล้งใคร

แต่ประโยคเหล่านั่นก็ทำให้ผมคิดอะไรออก

“มึงดูไม่ประหลาดใจเลยนะที่กูหามึงเจอน่ะ แต่กลับประหลาดใจที่พี่ชายคนกว้างขวางของมึงเจอตัวมึงเนี่ย?!?”

ไอ้คอปเตอร์กลับเข้าสู่โหมดหน้านิ่ง และเริ่มมีอาการไข้หวัดกลับมาเล่นงานอีกครั้ง

ผมไม่ใช่คนโง่ถึงขนาดที่ว่าจะประติดประต่อเรื่องราวอะไรไม่ได้ แต่ก็ขอให้เป็นเรื่องที่คิดไปเองเถอะนะ

วันนี้ผมคงต้องทำให้มันตายใจไปก่อน แล้วค่อยจัดการทีเดียว อย่างน้อยอาการป่วยของมันก็ไม่ใช่ของปลอม

ไอ้คอปเตอร์ทำท่าอ้อนให้ป้อนอาหารต่อ ผมก็จัดการตามที่ขออย่างไม่อิดออด และวางแผนที่แก้เผ็ดไอ้คนที่มันหลอกลวงผมให้ตายกันไปข้าง

ไม่นานหลังจากที่ผมป้อนมื้อเย็นให้ไอ้คนไข้ที่หมั่นไส้ที่สุดตรงหน้าไปได้ครึ่งทางของปริมาณของอาหารบนโต๊ะ พี่ชายสุดเท่ห์ของคนไข้ก็เข้ามา

ไอ้คอปเตอร์ปฏิเสธที่จะกินต่อทันที

“ดีนะที่ครั้งนี้ไม่เหมือนคราวที่แล้ว ช่วงนี้พี่พักผ่อนน้อยด้วย ใครจะให้เลือดเราล่ะ! ทำไมไม่ดูแลตัวเอง” คนที่เป็นพี่ชายทำเสียงเข้ม

ผมที่มีส่วนผิดกับเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เกิดอาการอึดอัดขึ้นมาเลย ตัวแข็งทือและพร้อมจะยอมรับผิด

ไอ้คอปเตอร์คว้ามือผมไว้และกำแน่น

“กูดูแลตัวเองได้ คราวนี้ไม่ได้อยู่กลางป่ากลางเขาอย่างคราวที่แล้ว คงไม่ต้องพึ่งมึงหรอก!!”  จบประโยคมันหันมาหาผมและพยักหน้าเหมือนกับจะบอกว่า ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น มันจะจัดการเอง

คนเป็นพี่ส่ายศรีษะ แล้วใช้นิ้วชี้กับโป้งบีบไปที่หัวคิ้วตัวเองอย่างแรง

“อ่ะๆ โอเคๆ กูไม่อยากทะเลาะกับคนป่วย งั้นเรากลับกันเถอะน้องวิน!!”

“ไม่ต้องเสือก คนเป็นแฟนกันเขาจะนอนเฝ้ากันคืนนี้!!”

ผมที่อยากจะเถียงใจจะขาด ก็ได้แต่สะกดจิตใจไว้ก่อน เพราะตอนนี้คิดแผนแก้เผ็ดไอ้คนลวงโลกนี้เรียบร้อยแล้ว

ผมคิดขอโทษกับพี่ร็อคเก็ตในใจล่วงหน้า

“เขาเป็นแฟนมึงเมื่อไหร่ แล้วนี่ก็กระทันหัน ไม่ได้เตรียมอะไรเลยมึงอย่ามาเอาแต่ใจ!!” คนเป็นพี่โวยใส่คนน้อง

ก่อนที่จะทำให้โรงพยาบาลวุ่นวาย ผมจึงปรามทัพด้วยการร่ำลาพี่ร็อคเก็ตและอาสาจะอยู่ค้างเพื่อดูแลคนป่วยเอง

“แต่ผมยังไม่ได้เป็นแฟนกันนะ“

“ก็เราเป็นคนคุยๆ กัน” ไอ้คนป่วยรีบแทรก

“ก็แค่นั้น!! แต่ไม่ใช่แฟน!!” ผมหันไปค้อนมันวูบหนึ่ง

“แต่เราจูบกันแล้ว!!” ไอ้คนป่วยมันไม่ยอมแพ้

“อย่าให้กูเริ่ม!!” ผมหันไปชี้หน้ามัน

และแล้วผมก็ทำมันสงบเสงี่ยมได้สำเร็จ ท่ามกลางรอยยิ้มของพี่ชายคนป่วย ก่อนที่จะขอตัวกลับบ้านไป


………….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (17/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 20-01-2024 00:41:47
 :z3: :z13:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (23/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 23-01-2024 09:28:29


หลังจากส่งพี่ชายสุดหล่อของคนป่วยไปนอกห้องเรียบร้อย ผมก็เพิ่งมาคิดได้ว่า ผมไม่ได้เตรียมเสื้อผ้า อุปกรณ์กิจวัตรประจำวันอะไรมาค้างคืนเลย

คิดได้ดังนั้นผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อหาคนใกล้ตัว

“มึง!! ยังอยู่ในโรงพยาบาลรึเปล่า?”

“เออ ยังอยู่ เลยเดินราวด์วอร์ดอีกชั้นก็เสร็จแล้ว”

“งั้นก่อนกลับกูฝากมึงซื้อพวก แปรงสีฟัน ยาสีฟัน โฟมล้างหน้า ให้หน่อยสิ เออ!! แล้วขอยืมชุดนอนสักชุดนะ“

“เฮ้ย!! นี่มึงจะนอนค้างเฝ้ามันเหรอ?”

“เออ! กูรู้สึกผิดกับมันนิดหน่อย”

“เออๆ ดีๆ นะมึง อย่าให้มันจับกดได้อีกล่ะ!!”

“สัด!! ในโรงพยาบาลมันก็จะไม่ยกเว้นหรือไง!! งั้นกูเปลี่ยนใจแล้ว!!”

“เฮ้ยๆ กูแค่ล้อเล่น ป่วยๆ อย่างนั้นไม่น่าสู้แรงมึงได้หรอก!! ใช้ช่วงเวลานี้สั่งสอนมันให้สาแก่ใจเลย”

“มึงดูไม่แปลกใจเลยนะที่กูจะค้างอยู่กับมัน”

“กูอยากให้มึงแก้แค้นมันไง ตอนนี้น่ะทำได้เต็มที่เลย”

“ยังไง? กูไม่แกล้งคนป่วยหรอกนะ กูไม่เลวขนาดนั้น!! นี่มึงเป็นหมอจริงไหมวะเนี่ย?”

“อ้าวสัด! ลืมตัว เออๆ กูต้องไปแล้ว อาจารย์หมอเขาตามแล้ว ส่วนพวกอุปกรณ์กิจวัตรน่ะ เปิดในตู้บิวด์อินในห้องนะ อยู่ในกล่องสวยๆ ซ้ายมือ ส่วนเสื้อผ้าเดี๋ยวกูหาไปให้ แค่นี้นะ!!“

แล้วไอ้ไตเติ้ลก็วางสายไปเลย ไอ้หมอเถื่อนเอ้ย!! เพื่อนเด็กเรียบเรียบร้อยสมัยมัธยมคนนั้นมันหายไปไหนแล้ววะ!!

………..


โรงพยาบาลสมัยนี้มันดีจริงๆ ในตู้บานเลื่อนที่ฝังอยู่ในผนังนั้น มีกล่องใสสีสวยอยู่หนึ่งใบภายในนั้นเต็มไปด้วย อุปกรณ์กิจวัตรสำรองจำนวนสองชุด มีแม้กระทั้งหมวกใส่อาบน้ำ เหมือนโรงแรมเลย ผมสำรวจต่อที่ชั้นด้านบนก็พบเสื้อคุมอาบน้ำและผ้าเช็ดตัวสำรอง ไม่อยากคิดเลยว่า ห้องพิเศษแบบนี้คืนละกี่บาท

ประมาณหนึ่งชั่วโมงที่ผมโดนไอ้คนป่วยอ้อนให้ช่วยเช็ดตัวให้มัน ทั้งๆ ที่มีพยาบาลมาช่วยดูแลจัดการก็ดันไปปฏิเสธเขา สุดท้ายผมก็ต้องทำให้มันจนได้ เพราะไม่อย่างนั้น มันคงจะงอแงจนผมไม่ได้หลับไม่ได้นอน

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมรีบย้ายตัวเองขณะที่กำลังใช้ผ้าหมาดเช็ดผิวที่หน้าอกแน่นๆ ของอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ แล้วเดินผละออกไปจากห้องทันที

“มึงช้า!!”

“กูทำงานไหม!! เอานี่ชุด”

ผมค้อนใส่มันแล้วหยิบชุดนอนที่มันเตรียมมาไว้กับตัวเองก่อนที่จะสำรวจเสื้อผ้าชุดนั่น

“สัด!! ตัวใหญ่ฉิบหาย!!”

“ก็กูชอบ มันสบายดี”

ผมหยิบยกเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์ย้วยๆ นิ่มๆ ขึ้นมาเสมอตัว พลางมองหน้าเจ้าของเสื้อ

“คอเสื้อเว้ากว้างขนาดที่กูยัดตัวเองเข้าทางนี้ได้เลย!!” พูดพลางใช้สายตาแทนนิ้วชี้

“กูมีแค่นี้!!”

“เออๆ กูมีทางเลือกหรือไง!!”

“ไม่มีไงสัด!! อย่าเสือกเรื่องมาสิ!!”

ผมมองเสื้อผ้าที่รับมาพลางคิดออกไปเสียงดัง

“เสื้อผ้าก็ใหญ่หลวมโครก กางเกงก็สั้นนิดเดียว มันจะเข้าใจว่ากูไปอ่อยมันไหมเนี่ย!!“

“ดี!! ให้มันทรมาน!!” ไอ้ไตเติ้ลพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

ผมผ่อนลมหายใจออกเสียงดัง เหนื่อยใจกับการมีเพื่อน ไอคิวสูง แต่ สติปัญญาในการวางตัวต่ำ

”มึง!! กูจะบอกอะไรให้“ แล้วมันก็เดินเข้ามาซุบซิบที่หูผม

ผมยอมรับว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว

“งั้นกูถามมึงคำถามหนึ่งได้ไหม?”

มันทำท่าทางแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธ

“นอกจากแผนการประหลาดๆ แบบนี้ มึงมีอะไรบอกกูไหม? แบบเรื่องที่มึงรู้แต่กูไม่รู้น่ะ”

มันทำท่าพยายามนึกและตอบปฏิเสธแทบจะทันที ก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ

เรื่องนี้ ผมคงคิดไม่ผิด คงได้แต่รอดูต่อไป

……….


ห้องน้ำที่โรงพยาบาลแห่งนี้ดีเกินคาด การค้างแรมในโรงพยาบาลดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่าที่คาด แม้ไม่สะดวกสบายเท่าโรงแรมแต่ก็ไม่ลำบากอะไร

ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยออกจากห้องน้ำภายในห้องคนไข้ ท่ามกลางสีหน้าผิดหวังของคนป่วย ผมไม่เข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ในใจของมัน ผมเลือกที่จะไม่สนใจ

ผมเดินไปนั่งที่โซฟาขนาดใหญ่ที่ปลายเตียง ซึ่งมันสามารถปรับให้กลายเป็นเตียงขนาดย่อมได้ ถึงไม่ได้นุ่มสบายแต่ก็ดีกว่านอนโซฟาทั่วไปแน่นอน

“จะนอนเลยเหรอ?” เหมือนทุกการกระทำของผมจะอยู่ในสายของไอ้นักเลงน้อยนี้มาตลอด

“แล้วจะให้กูทำอะไร?” ผมพูดพลางขยับคอเสื้อยืดหลวมๆ ของตนเอง

“ยังโกรธกูอยู่เหรอ?”

“แล้วมึงคิดว่าไง?”

“ก็คงยังโกรธอยู่”

“รู้ก็ดี!!”

“ทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธล่ะ”

“กูไม่รู้!!”

“ไม่มีอะไรที่จะทำให้มึงหายโกรธกูเหรอ?”

“มึงจะมาถามอะไรเซ้าซี้ ไม่สบายก็รีบนอนไป!!”

แล้วไอ้คอปเตอร์ก็ปล่อยให้ผมนั่งเงียบๆ ท่องโลกโซเชียลได้เพียงชั่วครู่

“มึงๆ มึงว่า…ไอ้เตี้ย… แบบไอ้เตี้ยเนี่ยมึงชอบหรือเปล่า!!”

“เออสิ!! ฉลาด เก่ง ดูดี แล้วก็สุภาพด้วย เป็นใครก็ชอบแหละ” ผมนึกภาพพี่ร็อคเก็ตแล้วพูดถึงอย่างทั่ว ๆ ไป

พลางนึกถึงคำพูดและท่าทีของพี่ร็อคเก็ตก่อนหน้านี้ จนรู้สึกเขินอายไปเลย ไม่คิดว่าจะเจอพูดใส่แบบนี้ต่อหน้า

แต่อากัปกิริยาของไอ้คนเถื่อนกลับต่างออกไป ผมคิดว่ามันคงจะกร่นด่าอะไรออกมาเสียจนผมหมดอารมณ์จะคุยกับมัน ทั้งๆ ที่พี่ชายออกจะแสนดีขนาดนี้


“มึงชอบแบบนั้นเหรอ?”

”???” ผมอึ้งไปพักใหญ่เมื่อเห็นสีหน้าและการแสดงออกของมัน

หน้าตาที่ซีดเซียวนั่นคิดหนักและนิ่งเงียบไปพักใหญ่


“งั้น….กู…เอ้ย เราจะทำตัวให้ดีขึ้นให้นายรู้สึกชอบเราจริง ๆ ให้ได้!!”

ถ้อยคำที่สุภาพอ่อนโยนออกจากคนที่ดิบเถื่อนแบบนั้น ยิ่งตอนนี้แฝงไปด้วยอารมณ์หดหู่ในน้ำเสียง มันทำให้ผมรู้สึกขนลุกและคิดในใจอย่างตะโกนว่า

“มึงเป็นใครวะเนี่ย!?!?”

……………..
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (23/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 23-01-2024 22:08:21
 :angry2: :serius2:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (29/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-01-2024 10:01:13

……………..


เช้าตรู่ที่ห้องป่วยวีไอพี ที่เรียกได้ว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนสบายนัก ทั้งมีเรื่องที่ต้องคิดมากอย่างท่าทาง และคำพูดสุภาพของไอ้คอปเตอร์ และคำปฎิญาณแปลกๆ ของมันอีก นับว่ามีแต่สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างในวันเดียว

และที่สำคัญ เมื่อคืน หนาวมาก แถมปรับอุณหภูมิไม่ได้อีก ผมสะดุ้งตื่นเพราะความหนาวเย็นหลายรอบมาก แต่ผมเดาว่าไอ้คนป่วยคงนอนสบาย

ผมลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก พลางคิดว่าอากาศรอบๆ ตัวมันอุ่นขึ้นมาแล้ว แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อผ้าห่มที่ผมห่มอยู่มันมีมากกว่าหนึ่งผืน

ผมค่อยๆ หยิบชั้นของผ้าห่มบางๆ ของโรงพยาบาลออกมาทีละชั้นเหมือนจะนับชั้นของมันอย่างประหลาดใจ พลางทบทวนว่า เมื่อคืนมันไม่ได้มีเยอะขนาดนี้

สุดท้ายก็สลัดความคิดนั้นให้หมดไปเพราะจำไม่ได้จริง ๆ ผมยึดเหยียดลุกขึ้นสุดความสูงของตนเอง สายตาก็ไปจรดกับภาพแปลก ๆ บนเตียงคนไข้

ไอ้คอปเตอร์นอนขดและกอดตัวเองคุดคู้อย่างกับกุ้งที่โดนความร้อน หน้าตาซีดเผือดลงกว่าเดิมมาก

ผมตกใจมาก เพราะในที่สุดก็รู้ว่าไอ้ปึกผ้าห่มเหล่านั้นมาจากไหน รู้ตัวอีกทีผมก็หยิบเอาผ้าห่มทั้งหมดที่มีมาห่มคลุมมันทั้งตัว

ไอ้คอปเตอร์ที่เหมือนจะรู้สึกตัวตื่นแล้ว จึงได้ลืมตาหันมามองทางผม แล้วยิ้มด้วยปากซีดๆ นั่น

“ไอ้บ้า มึงไม่สบายนะ อยากตายหรือไง ทำไมถึงไม่ทำให้ตัวเองอบอุ่น!!” ผมตะคอกใส่มันแบบที่ตัวเองก็ไม่รู้เหตุผล

“เราเห็นนายหนาวสั่นเพราะลมแอร์ฯ ก็เลยยกผ้าห่มให้ เราชอบอากาศเย็นอยู่แล้ว เลยไม่ต้องการเท่าไหร่”

ผมไม่คิดจะถามด้วยซ้ำว่ามันเอาผ้าห่มให้ผมทั้งๆ ที่ยังมีสายน้ำเกลือต่ออยู่กับมือยังไง ผมได้แต่ต่อว่าถึงความไม่รู้จักคิดของมัน มันอยากให้ผมเป็นฆาตรกรหรือไง!!

ไอ้คอปเตอร์ที่ตอบรับอย่างอ่อนเพลียและรอยยิ้มซีดๆ ที่สุภาพของมันทำให้ผมหมดอารมณ์ที่จะต่อว่ามันภายใน 1 นาที

“ยังหนาวอยู่ไหม?” ผมถามเพราะความหน้าซีดของมัน

“ไม่นะ” ปากกับสีหน้ามันตอบคนละเรื่อง

ผมคว้ามือมันมาเพื่อพิสูจน์ ปรากฏว่า มือมันเย็นราวกับน้ำแข็งที่กำลังละลายอยู่ในมือผม

ตอนนี้คนที่รู้สึกหน้าซีดไม่ต่างกันก็คือผม

“เอาผ้าห่มเพิ่มไหม? หรือให้กู เอ่อ….เราไปขอกระเป๋าน้ำร้อนให้ไหม?” รู้สึกว่าตนเองลนลานไปหมด

“ไม่เอา”

“จะบ้าเหรอ!! ตัวเย็นขนาดนี้แถมนายยังดูมีไข้นะ”

“แค่นายเปลี่ยนสรรพนามคุยกันเราแบบนี้ เราก็ดีขึ้นแล้ว”

“อย่ามาตลก!!  งั้น…”

ผมตัดสินใจผละมือออกจากมันและพยายามจะเดินออกไปหาความช่วยเหลือที่เคาเตอร์พยาบาล

แต่ก็ถูกมือเย็นๆ นั่นรั้งไว้อย่างอ่อนแรง

“ตัวมึงอุ่นดี มานอนด้วยกันสิ”

“???????” ผมคือนิ่งไปพักใหญ่ รู้สึกในหัวสมองมันอื้ออึงไปหมด

ใจหนึ่งก็บอกว่า มันดันโง่เองถึงได้ป่วยหนักกว่าเดิม อีกใจหนึ่งก็รู้สึกผิดที่มันทำดีด้วยขนาดนี้จนอาการทรุด

สุดท้ายผมก็ยอมแพ้กับสายตาแมวป่วยของมัน ผมขยับเข้าไปใกล้และค่อยวางตัวเองลงบนพื้นที่ว่างอันน้อยนิดบนเตียงคนไข้ อีกฝ่ายเจ้าของเตียงดูท่าจะไม่เต็มใจที่จะให้ผมแย่งพื้นที่บนเตียง มันแทบไม่ขยับออกห่างแต่กลับอ้าแขนกว้างรับร่างบางๆ ของผมไปไว้แนบบนส่วนหนึ่งของร่างกาย

พอเข้าที่เข้าทางคนป่วยก็รวบผืนผ้าห่มที่มีบนเตียงคลุมร่างของเราทั้งสองคน และใช้แรงที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดในการกระชับพื้นที่ช่องว่างระหว่างกันและกันให้หมดไป

ผมรู้สึกได้ถึงไออุ่นของตนเองกำลังแลกเปลี่ยนความเย็นเยียบของอีกฝ่าย ไม่นานผมก็รู้ว่าคนป่วยได้เข้าสู่ห้วงฝันจากการที่ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แต่แรงที่รวบกอดร่างของผมนั้นยังคงแน่นหนาเท่าเดิม ผมเองก็เหมือนจะสบายใจขึ้นแต่ก็ไม่กล้าขยับเพรากลัวอีกฝ่ายจะตื่น อีกอย่างตรงนี้ก็อุ่นสบายดี ผมก็เลยบอกตัวเองให้พักอยู่ตรงนี้สักระยะ


ว้าย…!!!!


เสียงแหลมเล็กที่อุทานด้วยความตกใจดังขึ้นจากปลายเตียง ไม่ใช่ภูติผีวิญญาณหรือใดๆ แต่เป็นนางฟ้าในชุดขาว มี่มีสีหน้าตกใจ และแดงกล่ำไปด้วยเลือดฝาด

“ญาติที่มาเยี่ยมกับคนไข้จะนอนเตียงเดียวกันไม่ได้นะคะ!!” พยาบาลเจ้าของไข้ ร้องโวยวายแต่ก็จ้องมองผมกับไอ้คอปเตอร์ไม่วางตา

“ไม่ใช่นะครับ คือ….ยังไงดี คือ เขาหนาว เขาไข้ขึ้น ผมก็เลย” พูดไปพลางรวบรวมแรงที่เหลือจากช่วงเวลาที่เพิ่งฟื้นจาการนอนหลับไปลงจากเตียงอย่างทุลักทุเล


ใช่ครับ ผมเผลอหลับ งงกับตัวเองเหมือนกันทำไมถึงนอนหลับอย่างสบายใจแบบนั้นบนเตียงแคบๆ แบบนั้น

“หากเป็นแบบนั้นก็ควรติดต่อพยาบาลนะคะ ไม่ใช่มาทำอะไรแบบนี้!! หากเป็นอะไรขึ้นมาจะดูแลไม่ทันการณ์นะคะ!!” น้ำเสียงที่ออกไปทางแนวดุและต่อว่า แต่สีหน้ากลับแฝงรอยยิ้มซึ่งทำให้ดูขัดๆ ไปหมด

ผมขอโทษขอโพยอย่างต่อเนื่อง รีบลยลานลงจากเตียง ในขณะที่พยาบาลทำการตรวจวัดสัญญาณชีพประจำวัน ส่วนคนไข้กลับยิ้มอย่างเดียวไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่มันรู้สึกตัว

“ดีนะคะที่ไข้ลดแล้ว เดี๋ยวสายๆ จะมีคุณหมอมาตรวจเยี่ยมอีกรอบนะคะ หากไม่มีอะไรพรุ่งนี้ก็น่าจะ Discharge ได้คะ” คราวนี้พยาบาลทำหน้าเข้มใส่

ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษ ทั้งรู้สึกผิดและอาย ต่างจากไอ้คนป่วยที่นอนยิ้มมีความสุขเหมือนคนไม่ได้ป่วยอะไร

“แล้วก็ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ไม่ใช่โรงแรม หากจะรักกันขนาดนี้ก็ไปเช่าโรงแรมดีๆ เถอะนะคะ” พูดจบเธอก็มองมาที่คอของผมอย่างอายๆ แล้วก็เดินจากไป

ผมลูบไล้คอไปทั่ว อย่างงงๆ สุดท้ายก็รีบวิ่งไปที่กระจกในห้องน้ำ แล้วก็พบว่าคอตัวเองแดงเป็นจ้ำๆ หลายรอย

ผมขบฟันกรอดแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างเกรี้ยวกราด

“ทำไมนายทำแบบนี้!!” ผมชี้ไปที่รอยแดงตามคอ

“แบบไหน?”

“เราอยู่กันสองคนในห้องแล้วจะให้ไปถามใคร?!?” ผมโมโหจนไม่สนแล้วว่ามันป่วยหรือไม่

“อ้อ….ก็นาย นอนอ่อยเราขนาดนั้น ใครจะไปอดใจกับคอขาว ๆ เกลี้ยง ๆ แบบนั้นได้ แล้วนายก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ”

“กูนอนหลับไหมล่ะ!!” พูดพลางมองไปที่เงาที่บานตู้เสื้อผ้าแบบบิวด์อินอีกทิศหนึ่งเข้า ก็ไม่แปลกใจที่มันจะคิดว่าผมอ่อย

เสื้อยืดโอเวอร์ไซส์หลวมโครก คอเสื้อใหญ่เผยให้เห็นถึงช่วงเนินอก และเปิดไหล่ไปกว่าครึ่ง กางเกงขาสั้นที่สั้นมากจนแทบมองไม่เห็นชายกางเกงโผล่พ้นปลายเสื้อขนาดใหญ่

ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าจะเอาความโกรธนี้ไปลงที่ใคร

ไอ้เชี้ยไตเติ้ล!!

ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก!!

หลังจากที่พยาบาลขอตัวออกไปไม่ถึง 5 วินาที พี่ชายสุดเนี๊ยบของไอ้คนป่วยก็เดินเข้ามาด้วยชุดสูทอาร์มานี่สีครามครบชุด

ผมที่อยู่ในสภาพเหมือนคนที่นอนตามป้ายรถเมล์ได้แต่ก้มมองตัวเองอย่างอาย ๆ

“โอโห.. ไม่นึกว่าจะมาเจอวินในสภาพนี้เลยนะ” พี่ชายสุดหล่อเอ่ยทักพลางอมยิ้มและมองอย่างสำรวจ

“สภาพมันแย่มากเลยใช่ไหมครับ?” ผมขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น

“ไม่หรอกน่ารักดี” พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้างจนเหมือนห้องสว่างไสววูบหนึ่ง

ผมยอมรับว่าไม่เคยเจอพี่ร็อคเก็ตในสภาพนี้ ผมถึงกับมีอาการเขินกับคำชมจากชายที่ผมชื่นชมมาตลอด

“มึงมีธุระอะไร!!” คนป่วยบนเตียงเสียงแข็ง

“พี่ชายมาเยี่ยมน้องชายก็ถือว่าปกติไหม? แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอภาพที่หายากแบบนี้!!” พูดจบประโยคก็มองมาที่ผมแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ

ผมประหลาดใจมาก ไม่คิดว่า คนอย่างพี่ร็อคเก็ตจะมีมุมนี้ด้วยเหมือนกับหลังจากประโยคนั่นในวันนั้น เหมือนไปเปิดผนึกอะไรสักอย่างที่ทำให้พฤติกรรมเขาเปลี่ยนไป

“หากเป็นคนอื่นน่ะใช่ แต่ไม่ใช่สำหรับคนอย่างมึง!!” ผมเข้าใจนะเรื่องราวระหว่างสองคน แต่ไอ้คอปเตอร์ก็ไม่คิดจะให้อภัยอีกฝ่ายหรือไร?

“ได้ยินว่าพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนี่ จะได้เลิกรบกวนเพื่อนเราเสียที!!”

“รู้แล้วก็รีบคาบข่าวไปบอกแม่ ตามประสาเด็กขี้ฟ้อง แล้วก็รีบออกไปได้แล้ว มันเป็นก้างขวางคอ คนกำลังเข้าได้เข้าเข็ม!!”

“พ่องมึงสิ พี่เขาเข้าใจผิดกันพอดี!!”

“ไม่ผิดหรอก หลักฐานก็มีให้เห็น!!”

ผมนึกได้ก็ใช้มือบิดร่องรอยที่ไอ้คนป่วยฝากไว้ตลอดทั้งช่วงคอ

คนที่มองตามไอ้คอปเตอร์ก็คือพี่ร็อคเก็ต พลางมีสีหน้าหวั่นไหวกับคำพูดเรื่อยเปื่อยของไอ้คนปากเสีย  แม้มันจะไม่ได้โกหกแต่ผมไม่ได้เต็มใจนี่หว่า

“ไอ้สัด!!” ผมมองค้อนมัน

“เข้าใจผิดแล้วครับพี่ คือ” ผมรีบหันไปอธิบาย

“เมื่อเช้ามึงก็นอนอยู่แล้วเตียงกันกับกู มีคุณพยาบาลเป็นพยานหรือมึงจะเถียง”

“ไอ้ๆๆๆ” มีคำด่าอยู่ในใจเป็นล้านคำ แต่ก็เกรงใจสุภาพบุรุษในห้อง

“ไม่ต้องอธิบายหรอก!!” พี่ชายคนสุขุมกล่าว

“เห็นไหม ไอ้เตี้ยนี่ยังเข้าใจ!!”

“พี่หมายถึง คงไปตกหลุมพลางอะไรของเจ้าคอปเตอร์เข้าก็เลยโดนข่มเหงสินะ ไม่เป็นไร พี่รู้จักนิสัยน้องตัวเองดี”

เป็นคำอธิบายที่ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเยอะเลย ดีจังที่พี่เขาเข้าใจถูกต้องแล้ว!!

ไอ้คอปเตอร์หน้าบูดเดาะลิ้น สีหน้าพร้อมที่จะลงจากเตียงเพื่อเหวี่ยงกำปั้นใส่พี่ชายตนเอง แต่สุขภาพไม่อำนวยสุดท้ายก็ได้แต่นั่งกัดฟันอยู่บนเตียง

“ว่าแต่….. พี่ว่า….. ” สายตาและคำพูดแบบเขินๆ ของพี่ร็อคเก็ตทำให้ผมรู้ตัวว่าควรจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว

ผมขอตัวแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันที

หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็ใช้เวลาไปหลายนาทีพอควรเพราะความไม่คุ้นเคยสถานที่ และก็ต้องตกใจอีกครั้งที่ผมเพิ่งนึกออกว่า ผมแขวนเสื้อผ้าตัวเก่าที่ใส่มาเยี่ยมไข้ไว้ที่ตู้เสื้อผ้า

ลังเลอยู่พักใหญ่ก็รีบเดินออกมาเพื่อที่จะไปนำชุดออกมาใส่ ก่อนออกจากห้องน้ำก็สำรวจตัวเองยกใหญ่และคิดว่าชุดคลุมอาบน้ําน่าจะเพียงพอ ยังไงก็ผู้ชายด้วยกัน คงไม่เป็นไร

ทันทีที่ผมก้าวเท้าออกจากห้องน้ำเท่านั้น ผมก็พบกับสายตาสองคู่ที่จ้องผมอย่างไม่วางตาไปจุดอื่น คนหนึ่งจ้องเหมือนกับจงอางกำลังจะตะครุบเหยื่อ อีกคนต้องเหมือนกับเจอลูกแมวที่ถูกใจอยากเลี้ยง

ผมคงไม่ต้องบอกว่าใครจ้องมองแบบไหน เพราะหากผมไปเล่าให้ไอ้ไตเติ้ลฟังก็คงเดาได้ไม่ยาก

สายตาสองคู่นั้นทำให้ผมเสมือนเปลือยร่างกายให้เขาทั้งสองได้มองอย่างหน่ำใจ ผมก็รู้นะว่าชุดคลุมมันอาจจะเล็กและสั้นกว่าขนาดและส่วนสูงของผม ทำให้ส่วนเนื้อหนังมันเผยออกมาเยอะกว่าเสื้อคลุมอาบน้ำแบบที่โรงแรมทั่วไปเขาให้บริการกัน


อย่างน้อยผมก็มีเรื่องที่ต้องร้องเรียนกับโรงพยาบาลแห่งนี้แล้วล่ะ

ผมรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าตนเองที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก

“เอานี่พี่เตรียมมาให้”

ผมที่ถือเสื้อผ้าตัวเองที่แขวนอยู่มองไปที่ถุงกระดาษสีขาวขนาดใหญ่หรูหรา ซึ่งถูกยื่นมาให้โดยผู้ที่มีส่วนสูงน้อยกว่า

“พี่ให้เขาซักรีดมาให้แล้ว น่าจะใส่ได้พอดีนะ” คนที่ยื่นให้ยิ้มหวาน

“ผมรับมาแบบงง ๆ พลางสำรวจของที่ได้รับมา เป็นชุดลำลองยี่ห้อเดียวกับเสื้อผ้าของคนที่ยื่นให้ ขนาดที่วัดจากสายแล้วก็คิดว่ามันเป็นไซส์ผมแน่นอน ที่สำคัญมันดูใหม่มาก

“ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ” มันแพงไป ผมคิด

“ไม่เป็นไร ถือว่าตอบแทนที่ช่วยเฝ้าไข้น้องพี่ไง แล้วก็วันนี้ไม่ต้องไปทำงานนะ พี่ลาไว้ให้แล้ว”

ไม่เป็นไรครับ ผมกะว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแล้วก็จะรีบไปทำงาน ผมบอกพี่ท้อปไว้แล้วครับว่าจะขอเข้าสาย”

พี่ร็อคเก็ตก็ยังยืนยันให้ผมลา แต่สรุปว่าผมดื้อกว่ามาก โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า ผมต้องยอมเรื่องที่จะใส่ชุดลำลองที่พี่เขาซื้อให้ไปทำงาน

สุดท้ายผมก็ต้องนั่งรถพี่ร็อคเก็ตมาทำงานด้วยกัน!


วันที่คนทั้งแผนกมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ เกือบตลอดทั้งวัน ทั้ง ๆ ที่ผมเตรียมใจมาแล้ว แต่มันก็ยังทำใจลำบากอยู่ดี จะไม่แปลกได้อย่างไร ก็ในเมื่อ
 1 ผมใส่ชุดลำลองมาทำงาน
 2 ผมเดินมากับผู้บริหารระดับสูง ที่เดินมาส่งผมถึงที่โต๊ะแถมคุยด้วยอย่างสนิทสนม

ทุกคนจะมองผมด้วยสายตาแบบนั้นก็ไม่แปลก

ผมพยายามไม่สนใจพยายามทำงานอย่างเต็มที่ เอาใจ เอาสมองไปคิดเรื่องงานอย่างเต็มที่แต่ไม่วายว่า เรื่องเผือกร้อนของคนในออฟฟิศก็เดินทางมาเสิร์ฟที่ผมถึงที่

พี่ท้อปเดินเข้ามามอบหมายงานให้เหมือนเคย แต่ที่ต่างจากเดิมคือรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม ที่ยากจะบอกได้ถึงความรู้สึกของเขา แต่ที่รู้แน่ๆ คือ พี่ท้อปมีเรื่องติดค้างในอกที่ต้องการจะสอบถาม!


“พี่จะถามอะไรก็ถามมาเหอะ” เป็นผมที่ทนไม่ไหวเสียก่อน

“แหม….เหมือนเข้ามาอยู่ในใจพี่เลยนะ ไม่ได้สิ เดี๋ยวมีคนเข้าใจผิดพี่จะแย่เอา” พี่ท้อปทำหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก

“พี่ท้อป อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ ผมไม่ขำด้วยเลยนะ” ผมรู้สึกผิดเลยที่ทักเขาก่อน

“สรุปว่ายังไง คนน้อง หรือ คนพี่?”

“แย่ลงกว่าเดิมอีกพี่!!” ผมโพล่งความรู้สึกออกไปตรงๆ

“เฮ้ยๆๆ ใจเย็นๆ ไอ้คำถามนี้พี่หญิงโต๊ะข้างๆ พี่ฝากมา” พี่ท้อปมีท่าทีกระวนกระวายแก้ตัวพัลวัน คงจะกลัวผมโกรธจริง ๆ

ผมผ่อนลมหายใจออกมาหมดปอด แต่ความหนักอึ้งในอกไม่ได้หายไปไหน บอกได้เลยผมเองก็ไม่รู้อะไร พอๆ กับพวกพี่ ๆ เขานั่นแหละ

“คือ ….พี่รู้ว่าเราลำบากใจนะ จะไม่เล่าอะไรให้พี่ฟังก็ได้  แต่ถ้าเล่าออกมา มันอาจจะช่วยให้เราผ่อนคลายลงบ้าง แล้วก็…. ช่วยบรรเทาทุกข์จากต่อมเผือกของพวกพี่ ๆ ด้วย” พี่ท้อปหว่านล้อม ฟังแล้วน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า

“นี่เหมือนผมนินทาเจ้านายหรือเปล่าเนี่ย?” ผมเอ่ยขึ้น

“ไม่หรอกๆ เขาเรียกว่า…. ระบายน่ะ ระบายให้พี่ฟังดีกว่า”

ผมคิดทบทวนอยู่พักใหญ่สุดท้าย ผมเลยตัดสินใจตอบไปว่า ไม่รู้ ไม่แน่ใจดีกว่า' เพราะไม่อยากให้กระทบอะไรกับการฝึกงานของผม

อีกอย่างหากพี่ ๆ กลุ่มนี้รู้เข้า ผมว่า พี่เอก ที่แอบชอบไอ้คอปเตอร์ รู้ถึงหูเขาด้วยแน่นอน

ไม่เสี่ยงดีกว่า

หลังจากโดนเซ้าซี้อยู่นานจนเวลาเลิกงาน ผมถึงได้เป็นอิสระ เพราะพี่ร็อคเก็ตเดินมาอาสาไปส่งผมกลับห้องพัก

แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เกรงใจจนขัดไม่ได้ สุดท้ายผมก็เก็บของเดินออกจากห้องพร้อมกับพี่ร็อคเก็ต ท่ามกลางสายตาคนทั้งแผนก

นี่มันอะไรกันครับเนี่ย!?!?! ผมตะโกนโหยหวนในใจ


เช่นเดิม ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ พี่ร็อคเก็ตเดินลงจากรถมาส่งผมถึงด้านหน้าหอพัก และอาสาจะเดินไปส่งผมถึงหน้าประตูห้อง

ผมรีบปฏิเสธพลางคิดว่าพี่น้องคู่นี้นิสัยแปลกประหลาดชะมัด

แต่พี่ร็อคเก็ตกลับตอบว่า อยากไปดูห้องที่น้องชายอาศัยอยู่ตอนนี้อยากให้ผมช่วยพาไปหน่อย

สุดท้ายผมก็ยอมเพราะรอยยิ้มและคำขอร้องอย่างสุภาพจนผมใจอ่อน (แพ้ว่ะ)
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (29/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nualsiri ที่ 29-01-2024 16:55:16
 :hao7:รอๆ สนุกดี อ่านเพลินมาก

หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 8 (Not) Forgive or forget (29/01/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-01-2024 22:37:56
 :laugh: o18
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (06/02/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 06-02-2024 09:23:11

บทที่ 9 Trapped







ผมเดินพาพี่ร็อคเก็ตมาจนถึงหน้าห้องพักของน้องชายของเขา ผมสงสัยจึงอดถามไม่ได้ว่าพี่ร็อคเก็ตมีคีย์การ์ดสำหรับเข้าห้องหรือไม่

และแล้วคำตอบก็เดินทางมาถึง ผู้ดูแลหอพักเดินนำคีย์การ์ดมาให้ถึงที่ และมีท่าทางนอบน้อมมากกว่าทุกครั้งจนผมอดสงสัยไม่ได้

“บังเอิญว่า เพื่อนพี่เป็นเจ้าของที่นี่น่ะ  ที่พี่รู้ว่าน้องชายพี่พักที่นี่ก็เพราะเพื่อนพี่มันบอกนี่แหละ!! ก็ไม่แปลกใจนะ ที่มันจะได้ห้องเร็วขนาดนี้ มันก็สนิทกับคนง่ายอยู่นะ”

พี่ร็อคเก็ตตอบคำถามตามที่สีหน้าของผมตั้งคำถามไว้เรียบร้อย


“ไอ้คอปเตอร์เนี่ยนะ?!?” ผมทำสีหน้าไม่เชื่อจนออกนอกหน้า

“ใช่ คงเพราะทุกคนที่มันสนิทด้วยเป็นแฟนเก่าพี่ทุกคนล่ะมั้ง!!”

“เลวแล้ว!!” พูดมาถึงจุดนี้ผมรู้เลยที่พี่ร็อคเก็ตยังโสดก็เพราะไอ้น้องชายนิสัยทรามนี่เอง

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เป็นแผนบุคคลที่สาม แต่แปลกที่พี่ร็อคเก็ตยังใจเย็นอยู่อย่างนี้

“ก็….ของที่มันใช่…..มันก็ต้องเป็นของเรา อย่างน้อยพี่ก็จะได้รู้ว่าใครจริงใจและจริงจังกับพี่….”  รอยยิ้มที่ท้ายประโยคของพี่ร็อคเก็ตทำให้ปวดใจจี๊ดขึ้นมาทันใด

“ฟังแล้วขึ้นเลย!!” ผมยู่คิ้วขมวดจนเกร็งไปทั้งศรีษะ

“อย่าคิดมาก พี่ไม่โกรธมันหรอก พี่ว่ามันเองก็คงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ เพราะสุดท้าย มันก็บอกทุกคนว่าคิดแค่พี่น้อง หน้าตาอย่างน้องชายพี่ใครจะหลงก็ไม่แปลก!!”

“ไม่ใช่ผมคนหนึ่งล่ะ!!” คนเชี้ย ๆ อย่างมันต้องโดนลงโทษ ผมคิดต่ออย่างหยาบคาย ผมตัดสินใจได้ทันทีเลยว่า หากมันไม่เจ็บปวดปางตายไม่ใช่ผม

“ไม่เอาน่า อย่าไปเครียดแทนพี่สิ” พี่ร็อคเก็ตหันมายกมือขึ้นมาใช้นิ้วโป้งและชี้นวดคลึงที่ระหว่างคิ้วของผมอย่างนุ่มนวล

แม้จะตกใจจนตัวแข็งทื่อแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร นอกจากยิ้มอ่อนส่งไปให้อย่างประหม่า

“อ่ะ! โทษทีนะพี่เผลอทำตัวตามสบายไปหน่อย ลืมไปว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ไม่รู้เป็นไง พี่รู้สึกสนิทกับเราเหมือนรู้จักกันมานานเลย”

ผมหัวเราะในลำคอแห้งๆ ของผม ประหม่าจนแทบอยากจะแทรกพื้นหนี หลังจากตั้งสติได้ ผมเลยเตือนให้พี่ร็อคเก็ตใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไปทันที

บรรยากาศประหลาดๆ เกิดขึ้นชั่ววูบหนึ่งก่อนที่จะเปิดประตูของห้องพัก ทำให้ผทรู้สึกร้อนหน้าวูบวาบไปหมด

แต่ก็บรรยากาศนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยภาพของห้องพักตรงหน้า

เพราะแทบจะไม่มีข้าวของอะไรเลยนอกจากเฟอร์นิเจอร์ของห้องพัก เสื้อผ้าที่จัดเก็บเรียบร้อยแต่บางเบาอยู่ในตู้เสื้อผ้า ไม่มีหนังสือหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ นอกจากโทรทัศน์ซึ่งเป็นของห้องพัก

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนอย่างไอ้คอปเตอร์มันจะอยู่แบบนี้ได้!!” พี่ร็อคเก็ตพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจปนอยู่ในสีหน้า

จนกระทั้งพี่ชายมาดเนี๊ยบของเจ้าของห้องเดินไปเปิดตู้เย็น ก็ต้องประหลาดใจอีกรอบที่กลับมีวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจำนวนมากอยู่เต็มตู้ แต่ไม่มีน้ำดื่มสักขวด

“นึกว่าอย่างน้อยจะมีน้ำสักขวด ฮ่าฮ่าฮ่า ผิดคาดเลย” พี่ร็อคเก็ตถึงกับถอยหลบให้ผมเห็นของที่วางอย่างไร้ระเบียบในตู้เย็น

“หากพี่อยากดื่มน้ำไปดื่มที่ห้องผมได้นะครับ”

ผมเองก็ประหลาดใจไม่น้อยกับภาพตรงหน้า แต่ก็ไม่วายทำตัวมารยาทดีเช่นเคย

“อืม…. ก็ดีนะ” อยู่ๆ พี่ร็อคเก็ตก็ยิ้มร่าทันทีจนผมอดแปลกใจไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าพี่น้องคู่นี้นิสัยเหมือนกันหรอกนะ

และแล้วเราสองคนก็ย้ายมาที่ห้องของผมซึ่งเดินออกจากห้องเดิมเพียงไม่กี่อึดใจ

“จัดห้องได้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากเลยนะเนี่ย” ผู้ใหญ่เอ่ยชมทันทีที่มองสำรวจจนทั่วด้วยใบหน้าชื่นชม

“มันจะดีกว่าครับ หากน้องชายพี่มันไม่อพยพมานอนทุกวัน จนผมเก็บห้องไม่ไหวแล้ว”

“นี่แปลว่ามันมาค้างที่ห้องวินทุกวันเลยสิ ถึงว่าสิ! นี่แปลว่าพวกเรา……”  สีหน้านั่นรู้เลยว่าพี่ร็อคเก็ตคิดอะไรอยู่

“ไม่ครับ ไม่มีอะไรทั้งนั้น แค่นอนอยู่ด้วยกันบนเตียงแค่นั้น” ปากแม้จะพูดแบบนั้นแต่ในหัวก็อดที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่โดนเอาเปรียบไม่ได้

ผมกำหมัดแน่น

“ทำไมยิ้มแปลกๆ?” พี่ร็อคเก็ตเอ่ยทัก

ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง และเชิญให้พี่เขานั่งและหาน้ำมาให้ดื่มทันที

ห้องอพาร์ตเมนต์ของผม มันไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก เก้าอี้สำหรับนั่งดีๆ จึงมีอยู่ไม่กี่ที่ ผมจึงได้ยกเก้าอี้ของโต๊ะอ่านหนังสือให้พี่ร็อคเก็ตนั่งเพราะคิดว่าเป็นจุดที่นั่งสบายที่สุดของห้องแล้ว (ถึงแม้จะเก่าไปนิด)

ส่วนผมหลังจากนำแก้วน้ำดื่มเย็นๆ จากในตู้เย็นไปวางที่โต๊ะหนังสือ ผมก็พาตัวเองมานั่งอยู่ที่ปลายเตียงนอนไม่ไกล บรรยากาศนิ่งๆ เหมือนน้ำในบ่อปลา เพราะผมเองก็ไม่ได้สนิทพอที่จะมีเรื่องพูดคุยอะไรกับพี่ร็อคเก็ต จึงได้แต่มองหน้าหล่อๆ ของอีกฝ่ายที่พยายามสำรวจทุกมุมห้องของผมอย่างตั้งใจ

“อ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ?” พี่ร็อคเก็ตพูดพลางใช้นิ้วช้อนสันหนังสือสีน้ำเงินอ่อนออกมาด้วยรอยยิ้ม เหมือนเจอขุมสมบัติที่หามานาน

“7 Habits เหรอครับ ใช่ครับคือ ผมว่ามันดีนะครับ แล้วก็ไม่ outdated ด้วยครับ”  ผมตอบกลับทันทีเพราะต้องการทำลายบรรยากาศนิ่ง ๆ นี้พอดี

“ไม่น่าเชื่อว่า เด็กรุ่นเราจะอ่านอะไรแบบนี้ด้วย!!”  พี่ร็อคเก็ตพูดพลางกรีดหน้ากระดาษไปมา เหมือนกำลังจะหาอะไรสักอย่างมากกว่าตัวหนังสือ

“ผมว่ามันเป็นหนังสือที่ช่วยเรื่องพัฒนาตนเองดีนะครับ”  ใจที่กำลังจะเริ่มพูดคุยถึงเนื้อหาในหนังสือกับผู้มากด้วยความสามารถอย่างนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง บางอย่างในเล่นหนังสือที่ใช้สำหรับคั่นหน้ากระดาษไว้ก็หล่นร่วง ปลิวลงมาวางอยู่ที่พื้นด้านหน้าพี่ร็อคเก็ตเหมือนจงใจให้เห็น

ผมรีบก้าวไปคว้าไว้ตามสัญชาตญาณ แต่อีกฝ่ายก็เช่นกัน แล้วเสียงของกระดูกศรีษะของคนสองคนก็ชนกันจนผมได้ยินเสียง ‘วิ้งๆๆๆ’ ในหู

ผมล้มลงไปพับอยู่ที่พื้นพลางกุมศรีษะแน่น

พี่ร็อคเก็ตเองก็ไม่ต่างกัน

“หัวแข็งเหมือนกันนะเรา เป็นไรไหม?” พี่ร็อคเก็ตปิดตาข้างหนึ่งจากการเจ็บปวด แต่ก็ยังมีน้ำใจถามอาการผม

ผมส่ายหน้า พลางพยุงตัวขึ้นมาพร้อมกับภาพถ่ายภาพหนึ่งในมือ

“รูปเราสมัยเด็กเหรอ พี่ขอดูหน่อยได้ไหม?”  พี่ร็อคเก็ตตาไวมาก

ผมลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะยื่นให้พี่ร็อคเก็ตดู

“นี่มัน…ชุดนักเรียนของ…อืม.. วินอยู่โรงเรียนเดียวกับคอปเตอร์เหรอ? แล้วนี่น้องพี่มันรู้หรือยัง?”

“ไม่รู้ครับ ไม่รู้ พี่อย่าไปบอกนะ คือผม… อยู่ไม่ถึงเรียนจบหรอกครับ มีเรื่องต้องย้ายโรงเรียนตอน ม.5”  ผมรีบตอบกลับพลางโบกไม้โบกมือในอากาศ เหมือนพยายามปัดความคิดของพี่ร็อคเก็ตเรื่องนี้ออกไปไกล ๆ

“เรานี่ก็แปลกนะ? แปลว่าวินก็ต้องรู้จักคอปเตอร์อยู่แล้วสิ ใช่ไหม? เพราะจำได้ว่าสมัยนั้น เจ้าคอปเตอน์นี่ตัวท้อปเลย”

“เรื่องเกเรล่ะสิ!!” ผมเผลอตอบโต้ไปโดยอัตโนมัติ

พี่ร็อคเก็ตยกยิ้มมุมปากกับกริริยาของผม

ผมเห็นดังนั้นจึงรีบกลับไปนั่งเข้าที่

“ได้ยินแบบนี้นี่ คิดถึงช่วงนั้นเลยนะ เพราะพี่ต้องไปเรียนต่างประเทศก็เลย ไม่ค่อยอยู่กับน้องชายตัวเองเท่าไหร่ช่วงนั้น แต่ได้ยินข่าวว่า เกเรไม่น้อยเลย แต่ถึงเป็นแบบนั้น การเรียนก็ไม่ตกนะ แม่พี่ก็เลยไปต่อว่าอะไรเยอะไม่ได้…..”

พี่ร็อคเก็ตเหมือนตกอยู่ห้วงลำรึกความหลังและต้องสะดุดหยุดลงเพราะสายตาที่จ้องมองพี่เขาอย่างตั้งใจของผม

“ขอโทษทีนะ พออายุเริ่มเยอะก็เลยเผลอนึกเล่าเรื่องเก่า ๆ ไป”

“ไม่เป็นไรครับ ผม….ก็อยากรู้เรื่องของคนที่จะมาจีบผมหน่อยเหมือนกัน” ความจริงผมรู้ดีเลยล่ะ แต่อยากฟังจากมุมมองคนอื่นด้วย เผื่อจะมีอะไรไว้แก้เผ็ดมันเพิ่ม

“นี่.. เราไม่รู้จักคอปเตอร์จริงๆ เหรอ?”

“จะบอกไม่รู้จัก ก็ตอบได้ไม่เต็มปาก เอาเป็นว่าผมกับมันไม่เคยคุยกันก็พอครับ ผมเป็นกลุ่มเด็กเรียนน่ะครับ ไอ้คอปเตอร์มันพวกกลุ่มเด็กป้อป”

ใครจะไปกล้าบอกว่าที่ไม่อยากสนิทด้วยเพราะเจอมันแกล้งทุกวัน!!

“วินทำให้พี่นึกถึงเรื่องๆ หนึ่งเลยนะ” พี่ร็อคเก็ตโยกไหล่อย่างผ่อนคลายและเริ่มพูดต่อ

ผมได้แต่ทำสีหน้างุนงงกับท่าทางนั่น

“เรื่องคนที่มันแอบชอบ แต่ก็ดันไปสนิทกับเขาแบบแปลกๆ จนเขาย้ายโรงเรียนหนีไง! นึกแล้วก็ขำที่มันเล่าให้แม่ฟัง ได้ยินว่ามันซึมไปเป็นเดือนเลยนะ”

หลังจากฟัง ผมรู้สึกหน้าชาไปพักใหญ่ เหมือนหูอื้ออึงไปด้วยเสียงหวีดวี้ ไม่รู้เลยว่าตัวเองแสดงออกทางสีหน้าแบบไหนออกไป รู้แต่ว่าพี่ร็อคเก็ตถึงขั้นหันมาสนใจผมอยู่พักใหญ่

“อึ้งนะเนี่ย ไอ้เด็กเกเรแบบนั้น ไม่เคยได้ข่าวเลยว่ามันชอบใคร?” ผมเฉไฉ ไปเรื่องต่อไปก่อนที่จะหลุดโป๊ะ

“เกเร อืม….นึกถึงช่วงตอนนั้น พี่เองก็ผิดนะ โตมาแล้วถึงได้คิดได้ กลายเป็นสงสารมากกว่า พี่สงสารเจ้าคอปเตอร์มันนะ ถึงว่าทำไมแม่พี่ถึงได้โอ๋มันขนาดนั้น” สีหน้าพี่ร็อคเก็ตเหมือนเหินบินไปในความคิดอีกครั้ง

“หมายความว่าไงครับ? ผมงงไปหมดแล้ว?”

“พี่…ไม่เล่าเองดีกว่า อยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวเองนะ….ว่าแต่ วินคงไม่ใช่เด็กคนนั้นใช่ไหม?”

“ไม่ๆ ไม่ใช่สิ ผมย้ายโรงเรียนเพราะต้องย้ายตามแม่ครับ คือ แม่ผมหย่ากับพ่อก็เลยต้องย้ายโรงเรียน อะไรประมาณนั้น!!” ผมนึกถึงคำพูดในนิยายเลยว่าจะโกหกให้เนียน ต้องมีเรื่องจริงแฝงไปด้วย ซึ่งก็จริง แม่ผมเลิกกับพ่อแล้ว และก็ย้ายบ้านกันไปไกลกว่าเดิม แต่ผมยังไม่ได้ย้ายโรงเรียนจนกระทั่งเกิดเรื่อง


สีหน้าของพี่ร็อคเก็ตมีทีท่าพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยกมุมปากยิ้มออกมา

ในขณะที่พี่ร็อคเก็ตกำลังเอ่ยปากถามอะไรบางอย่าง เสียงสั่นของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเขาก็ดังขึ้น พี่ร็อคเก็ตตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะควานหาโทรศัพท์ในเสื้อสูทของตนเอง

หลังจากอ่านชื่อที่แสดงอยู่ที่หน้าจอซึ่งกำลังส่องสว่างวูบวาบอยู่ พี่ร็อคเก็ตก็รีบขอตัวทันที

ผมขออาสาไปส่งพี่ร็อคเก็ตที่รถแต่อีกฝ่ายรีบปฎิเสธ ผมจึงยืนยันว่าจะไปส่งถึงที่ลิฟท์

ระหว่างรับโทรศัพท์สายนั่น พี่ร็อคเก็ตก็ตอบกลับในสายเพียงคำว่า ‘อือ’ ‘ใช่’ ‘โอเค’ ได้ ๆ’ เท่านั้น หลังจากวางสาย ผมกับพี่ร็อคเก็ตก็มายืนรอหน้าลิฟต์แล้ว

ผมไม่รู้หรอกว่า บทสนทนาในสายคุยอะไรกัน แต่เห็นพี่ร็อคเก็ตทำงานในระยะนี้มันช่างน่าประทับใจ ผมเผลอจ้องมองนานไปจนพี่เขาเอ่ยทัก

“หน้าพี่มีอะไรไหม?”

“ไม่มีอะไรครับ”

เสียงแจ้งเตือนถึงการมาถึงของลิฟต์ดังขึ้น เป็นระฆังช่วยชีวิตผมพอดี ผมแก้เขินโดยการเดินเข้าไปในลิฟต์ และช่วยรั้งประตูให้อย่างการเป็นเจ้าภาพที่ดี

แต่แทนที่พี่ร็อคเก็ตจะเดินเข้ามาเฉย ๆ เขากับขยับเข้ามาใกล้ผมทางด้านหลัง ใช้แขนสองข้างโอบผมแน่น และยกผมออกจากลิฟต์อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่ผมน่าจะสูงกว่าพี่เขาเกือบสิบเซ็นติเมตร

ผมเผลอร้องเหวอเพราะไม่คิดว่าจะโดนอุ้มออกมาแบบนี้ แถมยังไม่ยอมปล่อยอีก ทั้งที่ตัวผมออกมาพ้นลิฟต์แล้ว

“ไม่ต้องมาส่งพี่แล้ว พักผ่อนเถอะ” เขาพูดก่อนปล่อยตัวผม เสียงมันใกล้หูผมมากจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจกระทบหู

ผมถึงได้เงียบตอบเพราะกำลังตกใจ

“ใส่น้ำหอมอะไรน่ะหอมจัง” คนพี่ยิ้มยิงฟันใส่ผม

“เอ่อ….ครับ” หัวสมองขาวโพลนไปหมด

สิ้นเสียงของผม พี่ร็อคเก็ตก็คลายมือออกจากผมแล้วเดินเข้าลิฟต์ไปอีกครั้งพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้

ผมโบกมือลากลับไปขณะที่ประตูลิฟท์กำลังเลื่อนปิดอย่างช้า ๆ

ไอ้เชี้ย!!!! ผมสบถทันที่ประตูปิดสนิท ผมยกมือขี้นทาบอกเพื่อนับการเต้นของหัวใจที่สั่นระรัวไปหมด

“ไอ้ที่พี่เขาบอกชอบเรามันเรื่องจริงหรือวะ?” ผมลงไปกองกับพื้นทันทีที่พูดจบ

เรื่องมันจะซับซ้อนเกินมือผมไปเสียแล้ว

…………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (06/02/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-02-2024 11:14:09
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (13/02/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 13-02-2024 17:36:34

ผมวีดิโอคอลไปหาไอ้แพทย์เถื่อนเพื่อนสนิทตัวเองทันที หลังจากเล่าทุกอย่างให้ฟัง ผมก็รู้สึกว่าสีหน้ามันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนมันจะคิดไม่ถึงว่าเรื่องมันจะมาลงเอยแบบนี้

ที่น่าแปลกใจคือ อดีตของไอ้คอปเตอร์ที่ผมเล่าให้มันฟัง มันไม่ได้มีทีท่าประหลาดใจเหมือนที่ผมทำเสียเท่าไหร่

“มึงชอบพี่เขาหรือเปล่าล่ะ?” ไอ้แพทย์เถื่อนมันคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะถามออกมา

“กู….ไม่รู้ว่ะ กูไม่เคยชอบใครมึงก็รู้ ที่ผ่านมามีคนเข้ามาหากูก็เยอะ แต่ไม่เคยที่จะรู้สึกเหมือนคนพวกนี้เลย!!”

“คนพวกนี้? มึงหมายถึงพี่น้องสองคนนี้!!”

“กูพูดงั้นเหรอ??!!”

“กูได้ยินเต็มสองหู!! นี่อย่าบอกนะว่ามึงหลงรักเหยื่อตัวเอง?!”

“รักเชี้ยอะไร แต่ แต่ กูก็รู้สึกคล้ายกันกับพี่ร็อคเก็ตนะ”

“มึงแก้ตัวอะไร!?” ไอ้ไตเติ้ลมันยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“กูมาปรึกษามึงนะ ไม่ใช่มาล้อกู!!”

“อืมมมมม กูว่า….. ก็ให้พี่กับน้องแข่งกันจีบมึงไปเลย ที่เหลือก็แล้วแต่มึง ใครดี ใครได้!!”

“แล้วเรื่องที่มึงบอกให้กูแก้แค้นล่ะ!!”  ผมเริ่มมีน้ำโหกับคำตอบของมัน

“งั้น…… เอาอย่างนี้นะ ที่กูบอกแล้วแต่มึงก็คือ หากมึงเลือกพี่ชาย มึงก็ได้หักอกไอ้น้องชาย มึง win หากมึงเลือกที่จะชอบน้องชาย มึงก็ได้แก้แค้นให้มันมาเป็นแฟน เป็นเบี้ยล่างให้มึง มึงก็ win อีก! เป็นไง win-win situation แผนกู!”

“จะแผนไหนกูก็เสียเปรียบ!! หากว่ากูไม่ได้ชอบใครเลยล่ะ!!”

“งั้นมึงก็เลือกแผนแรก!!”

“แบบนี้มันก็เหมือนไปหลอกพี่ร็อคเก็ตสิ สงสารเขานะ”

“งั้นแล้วแต่มึงเลย กูรำคาญแล้ว ให้กูช่วยแต่มึงแม่งไม่เอาอะไรเลย มึงเดินมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้วนะ”

“ก็แค่หยุดป่ะวะ ยังไงกูก็ฝึกงานอีกแค่ไม่กี่สัปดาห์ แยกย้ายหายตัวจบ!!”

“มึงนี่คิดง่ายนะ!! ขนาดมึงอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ไอ้คอปเตอร์ยังรู้หมด มึงคิดว่ามันจะจบง่ายแบบนั้นเหรอวะ!”

ผมเงียบไปพักใหญ่ ครุ่นคิด และในที่สุดผมก็พยักหน้าเห็นด้วย

สุดท้ายผมก็เหมือนขึ้นหลังพยัคฆ์ จะลงมาโดยไม่โดนพยัคฆ์ทำร้ายเลยคงไม่ได้ ไม่พยัคฆ์กับผมได้ตายกันไปข้าง!!

ผมพึงพำกับตัวเอง

“นี่มึงดูหนังจีนมากไปนะ!!”  ไอ้หมอเถื่อนด่าผมก่อนที่จะขอตัววางสายไป

………..
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (13/02/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 13-02-2024 22:00:43
 :jul3: :laugh:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (14/02/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-02-2024 17:15:54

สุดท้าย ผมก็ยังสับสน ไม่สามารถเลือกได้สักแผนของไอ้เพื่อนสนิท ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ผมเลย มันไม่ใช่ตั้งแต่แรกแล้ว การแก้แค้นกับการรังแกใครมันไม่ใช่ตัวตนของผมเลย

ผมคงได้แต่ทำตามสถานการณ์ไปเรื่อยๆ แล้วค่อยไปด้นสดเอา ยังไงมันก็ไม่เป็นไปตามแผนมาพักใหญ่แล้ว แต่ยังไงผมกับไอ้คอปเตอร์ มันคงเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แค่นึกถึงแล้ว ผมมองภาพผมกับมันคบกันจริงจังไม่ออกเลย


ยิ่งเรื่องของหัวใจ คนไม่เคยมีแฟนอย่างผมจะไปรู้ได้อย่างไร


หลังจากที่คิดได้ดังนี้ ผมก็เปิดประตูก้าวเท้าออกไปฝึกงาน

สิ่งแรกที่ผมเห็นหลังจากผ่านพ้นประตูห้องคือ ไอ้คอปเตอร์ที่ยืนหน้านิ่ง กอดอกแน่น จ้องหน้าผมเขม็ง

ใจของผมหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม ขาสั่นเล็กน้อย ยังไงก็ไม่เคยชินกับบรรยากาศแบบนี้เลย

ผมเอ่ยทักทาย แต่แทนที่มันจะกล่าวทักทายตอบ มันกลับเดินสวนเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าเขตพื้นที่ห้อง มันก็เดินสำรวจไปทั่วห้อง ไม่เว้นแต่ในห้องน้ำ

“หาอะไร?”

ไอ้คอปเตอร์ไม่ตอบ ได้แต่ยังคงหันรีหันขวาง มองหาอะไรอยู่ไปทั่วห้อง จนผมต้องถามซ้ำอีกหลายครั้ง

“เมื่อวานวิน……”

“ที่กลับห้องกับพี่ชายนายน่ะนะ โอย….. ขอร้อง เราไม่ได้ใจง่ายแบบนั่นนะ ยังไงเราก็คิดกับเขาแค่พี่ชาย!!”

“จริงนะ!!” สีหน้าของไอ้คนที่แผ่รังสีอำมหิตเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นสดใสทันที

‘เหรอ??’ ผมทวนกับตัวเองในใจ ทำไมเราพูดไปแบบนั้นวะ

“ไปทำงานเถอะ จะสายแล้ว!” ผมตัดไปเรื่องอื่น เพราะไม่อยากคิดอะไรให้มันวุ่นวาย

ตั้งแต่โปรเจ็คของพี่ท้อปจบ ผมก็แทบจะกลายเป็นคนล่องลอยประจำออฟฟิศ เพราะงานน้อยลงไปกว่าครึ่ง แต่ผมก็ถือว่าดีมากๆ เลยเพราะโปรเจ็คสุดท้ายสำหรับส่งเพื่อจบการศึกษานั้นจะได้ลงมือทำให้เสร็จเสียที

ผิดแผกไปจากไอ้คอปเตอร์ที่อยู่ ๆ ก็โดนพี่เอกเรียกตัวไปช่วยงานด้วยตั้งแต่ช่วงสายๆ  ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่เจอมันเลย

รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันที่ไม่มีคนมายุ่งวุ่นวาย เสนอความคิดเห็นกับโปรเจ็คของผมอย่างเคย ตอนแรกก็คิดว่าดีแล้วจะได้มีสมาธิในการทำงาน แต่กลับกัน การที่ไม่มีคนที่คิดต่างมาคอยเสริมเรื่องที่ตัวเองคิดเนี่ย มันก็มีอาการความคิดมันตีบตันเหมือนกัน กลับกลายเป็นว่า งานไม่คืบหน้าเสียอย่างนั้น

ขณะที่ผมกำลังดำดิ่งไปกับความคิดเรื่องโปรเจ็คและการพิมพ์ร่างโครงงานไปเรื่อยเปื่อย อยู่ ๆพญาธิในกระเพราะก็ร้องดังลั่นห้อง ทำให้ผมต้องเหลือบมองนาฬิกาที่มุมขวาล่างของจอมอนิเตอร์

12:12 pm


ตัวเลขที่แสดงอยู่ทำให้ผมตกใจเล็กน้อย เพราะ หากเป็นช่วงแรกๆ อย่างน้อยก็จะมีพี่ท้อปและพี่ ๆ ในแผนก มาชวนไปกินมื้อเที่ยง

แต่ตั้งแต่ผมเป็นลูกค้าประจำชั้น วีไอพี ซึ่งโดนไอ้คอปเตอร์ลากไปทุกวัน ก็ไม่มีใครมาทักชวนอีกเลย

สิ่งนี้ควรจะโทษมันดีไหมนะ?

คิดมาถึงตรงนี้ก็พบว่าตัวเองอยู่ในแผนกอย่างโดดเดี่ยว ทุกคนต่างเดินออกไปกินมื้อเที่ยงกันหมดแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววว่าไอ้คอปเตอร์มันจะมาลากผมไปกินมื้อเที่ยงด้วยเสียที 

สุดท้ายผมก็ทนเสียงเรียกร้องจากท้องตัวเองไม่ไหวตัดสินใจลุกอยู่อกจากห้องไปหาอะไรเป็นมื้อเที่ยงที่ชั้นพนักงานดีกว่า

ผมที่กำลังรีบเร่งออกจากแผนก ไม่ทันระวังจึงเดินไปชนกับชายร่างเล็กคนหนึ่งเข้า

“ขอโทษครับ ..ผม….”

คนที่ผมเงยหน้ามาเจอคือชายหนุ่มใส่สูทสีกรมท่าที่ดูดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาก่อนในชีวิต

“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ครับ…. ขอโทษครับ ผมจะรีบไปกินข้าวน่ะครับ”

“อ้าว!! ทำไมอยู่คนเดียวล่ะ?”

“เอ่อ….หมายถึงไอ้….เอ้ย…คอปเตอร์ใช่ไหมครับ? ผมไม่ทราบครับว่ามันหายไปไหน?”

“วินก็เลยอยู่รอ?”

“เปล่าครับ! คือผมทำงานเพลินไปหน่อย”

 “พี่ก็ยังคิดอยู่ว่า เราหายไปไหน ก็เลยเดินมาดูเสียหน่อย คนที่นี่เขาไม่มาชวนน้องๆ ฝึกงานไปกินข้าวกันเลย?” พี่ร็อคเก็ตยกคิ้วข้างหนึ่งสูงขึ้นกว่าอีกข้างเล็กน้อย มีรอยย่นเล็กๆ เกิดขึ้นเหนือคิ้ว ที่ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย

“อย่าไปตำหนิพี่ๆ เขาเลยครับ ก็ปกติผมมีไอ้คอปเตอร์พาไปโน่นนี่ตลอดก็เลยไม่มีใครกล้าน่ะครับ”

“พูดเหมือนคิดถึงเลยนะ”

“บ้าน่ะ ใครจะไปคิดถึงไอ้คนแบบนั้น!!”

”ล้อเล่นน่า ไป!! พี่พาไปกินข้าว!!  ไม่ต้องทำหน้างง ไปกินกับพี่หน่อย วันนี้พี่กินคนเดียว มันเหงา”

สุดท้ายผมก็ปฏิเสธไม่ได้ พี่น้องคู่นี้ก็เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ คิดว่าจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้


วันนี้ค่อนข้างเกร็งกว่าปกติเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคน ปกติผมจะมากับไอ้คอปเตอร์ ซึ่งทุกคนก็เริ่มจะชินชาและเริ่มจะพยายามหลีกเลี่ยงการมองมาที่พวกผมสองคนแล้ว

แต่วันนี้มันต่างไป เพราะคนที่พาผมมากลับเป็นพี่ชายสุดแสนจะฮอตของบริษัท ผมถึงกับได้ยินเสียงซุบซิบที่ฟังไม่เป็นภาษาลอยมาตามอากาศเย็น ๆ ในห้องเลย ผมได้แต่ภาวนาให้ผมคิดไปเอง

“ทำไมเดินช้าจัง” พี่ร็อคเก็ตหยุดเดินและหันมาทักอย่างยิ้มแย้ม

ทำไมบรรยากาศมันไม่เหมือนการมากับคนน้องเลยวะ คนนั้นความรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้มาด้วยกัน

“ไม่มีอะไรครับ ผม…แค่รู้สึกเกรงใจครับที่ต้องให้พี่พามาด้วยตนเองเลย!!” ความรู้สึกตอนนี้ยิ่งเกร็งกว่าเดิม เพราะพี่ผู้บริหารเล่นหันมาทักอย่างกันเองแบบเต็มระดับ

“ไม่เห็นเป็นไร ยังไงวันนี้พี่ก็มีแผนจะมากินข้าวกับวินอยู่แล้วครับ” พูดจบพี่ร็อคเก็ตที่วันนี้มีความสดใสกว่าเดิมเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น

เดินมาขนาบข้างผมและใช้มือข้างหนึ่งโอบไปที่ด้านหลังและออกแรงผลักเบา ๆ ทำให้ผมต้องก้าวเท้าไปต่อทันที เพราะทันทีที่พี่ผู้บริหารทำแบบนั้น เหมือนได้ยินเสียงฮือฮามาจากอีกฝากหนึ่งของห้อง

“ไป…รีบไปกินข้าวกัน พี่มีประชุมตอนบ่ายครับ”

“อะ…ครับ ๆ” ผมก้าวเดินไปที่โต๊ะประจำที่เร็วกว่าเดิมจนผมเองรู้สึกได้จากลมที่ตีหน้าตัวเองอยู่

“พี่ไปตักอาหารก่อนก็ได้นะครับ” ผมนั่งลงและผายมือไปทางโต๊ะที่จัดวางอาหารนานาชนิดอย่างสวยงาม

พี่ร็อคเก็ตที่แสนสุภาพ ยิ้มตอบกลับมาและทำแบบเดียวกัน ด้วยความเกรงใจเพราะต่างคนต่างให้อีกฝ่ายไปตักอาหารก่อน ผมจึงอาสาไปก่อนเองในที่สุด

ผมยืนขึ้นมองภาพคนตรงหน้าอย่างสำรวจพลางคิดว่าวันนี้เหมือนมีอะไรแปลกไปจากเดิม ผมถึงขั้นเอ่ยถามเพราะมันติดอยู่ในใจ

“พี่…. เอ่อ….ผมไม่เคยเห็นพี่ใส่แบบนี้”

สูทลำลองที่มีลวดลายที่เนื้อผ้าอย่างวิจิตร เมื่อมองในระยะประชิดทำให้ขับราศีของคนใส่ และทำให้ดูเด็กลงไปอีกสักสิบปีได้

“สังเกตด้วยเหรอว่าพี่ใส่สูทตัวใหม่ ดีไซน์มันออกจากวัยรุ่นไปหน่อยก็เลยไม่กล้าใส่ แต่…..”  พี่ร็อคเก็ตที่มีบุคลิกมั่นใจเสมอกลับมีท่าทีลังเลที่จะพูดประโยคถัดไป

“แต่??” หัวคิ้วผมขนกันดังเอี๊ยด

“แต่…. อยากจีบเด็กก็ต้องทำตัวเด็กลงหน่อย เผื่อจะจีบติด”  พี่ร็อคเก็ตยิ้มเขิน

ผมที่ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่การที่พี่เขามองมาทางผมด้วยสายตาหวานเยิ้มแบบนั้นจะให้เข้าใจเป็นอื่นคงยาก

ผมทำได้เพียง เดินจากมาเพื่อตักอาหารมื้อเที่ยงดีกว่า ส่วนการเดินกลับไปที่โต๊ะเนี่ย ผมรู้สึกไม่อยากเดินไปตรงนั้นเลย  มันทำตัวไม่ถูก

มื้ออาหารที่พี่ร็อคเก็ตตักมามีแต่อาหารเพื่อสุขภาพ และมีเนื้อสัตว์อยู่น้อยชิ้นมาก ถึงแม้พี่ร็อคเก็ตจะหน้าตาดี แต่สีหน้าซีดเซียวต่างจากคนรุ่นเดียวกันทำให้ผมเองก็อดที่จะทักไม่ได้

“พี่ควรจะกินพวกโปรตีนบ้างนะ” พูดจบผมก็เลือกอกไก่ย่างชิ้นนุ่มหอมส่งไปที่ช่องว่างในจานพี่ร็อตเก็ต

“ไม่เอาดีกว่า น้องวินกินเถอะ” พี่ร็อตเก็ตยื่นมือที่ว่างมาจับข้อมือผมเพื่อยั้งไม่ให้ไก่ชิ้นนั่นวางบนจานอย่างสมบูรณ์

มีการยืดยื้อกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายพี่เขาก็ถอนหายใจกับความดื้อดึงของผม

“โอเคๆ พี่กินก็ได้ครับ แต่….”  พูดยังไม่ทันจบประโยค มือของผมที่จิ้มเนื้ออกไก่ชิ้นนั้น ก็ถูกจับที่ข้อมือแน่นและดึงให้เข้าหาหน้าของพี่ร็อคเก็ต และจบลงที่พี่เขาได้อ้าปากงับอกไก่ชิ้นนั้นเข้าปาก

มองไกลๆ คงเหมือนผมตั้งใจป้อนพี่ร็อคเก็ตเพราะเสียงฮือฮายังคงมีอยู่พักหนึ่ง

ผมที่ตอนนี้ได้แต่ทำตัวไม่ถูก ยกมือค้างไว้อย่างนั่นเหมือนถูกแช่แข็ง ทำให้คนที่เห็นอย่างพี่ร็อคเก็ตหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับท่าทางตลกๆ ของผม

“วินก็มีมุมนี้เหมือนกันเนอะ” เสียงหัวเราะในลำคอกับการเคี้ยวอกไก่ชิ้นนั้น ก็เป็นมุมที่ผมไม่เคยเห็นกับพี่ร็อคเก็ตเช่นกัน ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมากับความน่ารักตรงหน้า

“พี่น่าจะยิ้มแบบนี้บ่อย ๆ นะ น่ารักดี” ปากที่คิดก่อนสมองของผมมันกลับทำงานอย่างอัตโนมัติ

“น่ารัก แล้วรักเลยไหมล่ะ?” พี่ร็อคเก็ตไม่เคยมีช่องว่างเลย สามารถโต้ตอบด้วยถ้อยคำที่รุกจีบผมได้ทันที

บอกตามตรงว่ามุกนี้ผมคิดไม่ถึง ไม่นึกว่ากับที่ชุมชนแบบนี้พี่เขาจะกล้ารุกผมขนาดนี้

ในขณะที่ผมยังอำอึ้งและเก็บไม้เก็บมือไม่ถูกกับการถูกรุกไล่โดยคนที่แอบปลื้มแบบนี้ บริกรหนุ่มคนหนึ่งก็กล่าวขออภัยและยกของมาวางตรงหน้า

เป็นของหวานหน้าตาสวยงาม รูปร่างที่เห็นมันเหมือนกับเยลลี่รูปปลาทองหลายตัว วางอยู่บนเจลสีใสคล้ายปลาแหวกว่ายในถาดสีทอง ซึ่งมีใบบัวจำลองวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ

“ลองชิมสิ เป็นของใหม่ที่เขาทำมาเป็น appetizers ที่หน้าตาเหมือนของหวานน่ะ พี่เห็นว่าน่าสนใจเลยสั่งมาให้ลองชิม” พี่ร็อคเก็ตตอบสนองใบหน้าที่แสดงความสงสัยของผม

“แอป..แอป…อะไรนะครับ?”

“อาหารเรียกน้ำย่อยก่อนกิน main dish น่ะ เอาเป็นว่าลองชิมดูนะครับ”

ผมใช้ตักช้อนยาวสีทองที่มาคู่กับถาดสีเดียวกันตักปลาในถาดนั้นขึ้นมาหนึ่งตัว  แต่ครั้นจะหั่นครึ่งตัวก็ดูใจร้ายไปเลยตักมาทั้งตัวเลย

ลักษณะของเจลน้ำนั่นน่าจะเป็นเหมือนซุปที่ข้นหนึดแต่มีความใส มากับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และสมุนไพร ตอนที่ตักของกินที่รูปร่างคล้ายปลาทองออกมา ตัวเจลใสคล้ายน้ำนั่นกลับไม่ได้หนึดเหมือนเจลเสียทีเดียว แต่น่าจะข้นประมาณน้ำซุป ปกติ

ส่วนตัวปลาหากสัมผัสจากการใช้ช้อนตักก็เหมือนจะเป็นแผ่นแป้งมากว่าเนื้อสัตว์ ผมยกขึ้นมามองใกล้ก็ยิ่งยืนยันในความคิดของตนเอง

ผมช้อนเข้าปากตนเองอย่างไม่ลังเล

“นี่มัน…. ฮะเก๋า!!” 

พี่ร็อคเก็ตชื่นชมความละเอียดและละเลียดในการกินของผมทำเอาผมหน้าร้อนไปหมด  ส่วนผมก็ชื่นชมอาหารตรงหน้าและให้พี่ร็อคเก็ตลองชิมดูเช่นกัน

เราต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องอาหารกันอย่างออกรส จนลืมไปเลยว่าเราถูกแวดล้อมโดยบุคลากรระดับสูงขององค์กร จนกระทั่งเกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาจากพวกผม

“ท่าทางสนุกกันจังเลยนะ!” คนที่หน้าตึงเครียดที่สุดคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะของผม และเป็นคนที่ผมไม่คิดอยากจะเจอเลยในช่วงเวลาแบบนี้

ไอ้คอปเตอร์ !!

ผมกลัวว่าสงครามเย็นระหว่างสองคนนี้จะยิ่งรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิม ผมเองก็ไม่รู้อะไรดลใจให้พ่อแม่ของเขาทั้งสองคนตั้งชื่อให้พี่น้องคู่นี้เป็นอาวุธที่อยู่ในสนามรบทั้งคู่!

“กินอะไรมาหรือยัง?”  ผมรีบทักเพื่อทำลายบรรยากาศอันเย็นเยียบ

สำหรับพี่ร็อคเก็ตผมคิดว่าน่าจะเป็นคนที่วางตัวดีไม่น่าจะมีปัญหา แต่ไอ้คนที่มารยาทแย่เป็นทุนเดิมอย่างคนน้องนี่ ผมล่ะกลัวที่สุด แค่นี้ผมก็ดังจะแย่ หากจะให้พี่น้องสองคนมาทะเลาะกับต่อหน้าผมอีก ผมน่าจะจะจบจากที่นี่ไม่สวย

“พี่กับน้องวินกำลังกินมื้อเที่ยงด้วยกันอย่างสนุกสนานเลย จะมาขอร่วมโต๊ะด้วยก็ควรจะมีมารยาทหน่อยนะ”

พี่ร็อคเก็ตเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ แต่จากความหมายนี่มันสุมน้ำมันเข้ากองไฟชัดๆ นี่ผม ควรจะปรามใครดี ทำไมอยู่ๆ คนพี่ถึงได้เริ่มไปหาเรื่องคนน้องแบบนี้ มันผิดปกติ

“มึงนี่วอนโดนตีนกูมากนะไอ้เตี้ย!! มึงก็รู้วินเป็นคนของกู อย่าเอาอดีตของมึงที่เก็บรั้งใครไม่ได้เอง มาหาเรื่องกับกูแบบนี้!!”

คือไอ้คนน้องก็ไม่ยอมกันเลย ทั้งยังเสียงดังเสียด้วย

สักพักที่ทั้งสองมองหน้ากัน มันเหมือนทั้งสองคนไปโดนเกล็ดย้อนของอีกฝ่ายทำให้ต่างพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่กันได้ทุกเมื่อ

ผมที่นั่งน้ำตาคลอเบ้า เพราะรู้สึกกดดันกับบรรยากาศแบบนี้ จนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่มันทำไม่ได้ไง

เสียงกำหมัดของไอ้นักเลงดังกระทบหูข้างที่ใกล้ที่สุดของผม คนไม่ฉลาดทางอารมณ์อย่างไอ้คอปเตอร์ ผมรู้เลยทันทีว่าจุดจบของเรื่องนี้มันจะจบลงตรงไหน

ผมจึงนึกถึงวิธีแก้ปัญหาเดียวที่ผมนึกออกตอนนี้และปฏิบัติไปโดยทันที

“ใจเย็น ๆ นะ คอปเตอร์หิวข้าวแล้วใช่ไหมครับ เดี๋ยวเราหาอะไรให้กินนะ นั่งลงก่อน หากไม่อยากนั่งตรงนี้เดี๋ยวเราย้ายที่ก็ได้นะ” ผมเลือกใช้ช่องเสียงที่คาดว่าคนน้องจะต้องเสียอาการและใช้วิธียืนขึ้นประชิดอีกฝ่ายและคล้องแขนประสานมือไอ้คนเกรี้ยวกราดไว้ พร้อมใช้อีกมือลูบไล้ต้นแขนอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

อายนะ แต่คงต้องทำ!

อย่างน้อยก็เป็นไปตามแผน ไอ้คอปเตอร์หน้าเรื่อแดงขึ้นเห็นได้ชัด ริมฝีปากแทบสะกดให้ไม่ยกขึ้นไม่ได้ แม้จะเป็นรอยยิ้มแบบฝืนๆ แต่อย่างน้อยบรรยากาศมันก็ดีขึ้นมาก

ผมหันไปพยักหน้าให้พี่ร็อคเก็ต เขาก็ตอบพยักหน้ากลับอย่างเข้าใจ และนั่งลงมองไปทางอื่นอย่างไม่พอใจนัก

ส่วนไอ้คอปเตอร์มันก็ได้ใจ ใช้แขนโอบกระชับผมไปกอดชิดร่างแกร่งของมัน หันมายิ้มให้ผมอย่างกับคนบ้า

“ไปสิ เราไปตรงนั้นกันเนอะ” ชี้พลางพูดด้วยช่องเสียงเดียวกับที่ผมใช้กับมัน โคตรจะไม่ชิน






(ต่อ)
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (14/02/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-02-2024 21:49:12
 :z6: :a5:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (14/02/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nualsiri ที่ 16-02-2024 20:39:24
 :katai2-1:รอมาต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (29/02/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-02-2024 18:16:59
หลังจากไปจนถึงโต๊ะที่หมายแล้ว ผมก็อาสาที่จะไปตักอาหารให้ทันที ไอ้คอปเตอร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย แค่เพียงวินาทีเดียวมันก็เหมือนคิดอะไรออกและเปลี่ยนใจที่จะเดินมาด้วย

“เวลาแบบนี้ไม่มีใครมาแย่งนั่งหรอก ไปด้วยกันเร็วกว่า” ไอ้คอปเตอร์พูดขึ้นพลางโอบไหล่รวบร่างผมให้เดินไปพร้อมกับมัน

ผมทำตามอย่างว่าง่าย เพราะไหนๆ ก็ใช้มุกนี้มาแล้วก็ต้องตามน้ำไป การเดินไปที่โต๊ะกลางสำหรับวางอาหารแบบบุฟเฟต์นี้ไม่ไกลจากที่นั่งมากนัก แต่ไอ้นักเลงนั่นเหมือนจงใจพาเดินอ้อมไปเล็กน้อยให้พี่ร็อคเก็ตที่ยังคงนั่งทานมื้อเที่ยงอยู่เห็น

ผมคิดออกทันทีเลยว่ามันจะทำหน้าแบบไหนใส่คนพี่ แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม

การตัดอาหารมื้อนี้ลำบากกว่าปกติพอควรเพราะมีไอ้ลูกเจ้าของบริษัทคอยเกาะติด เกาะแกะตลอดเวลา แอบโอบ แอบแตะ แอบจับตลอดเวลา ทำเหมือนว่าปกติผมกับมันอยู่ด้วยกันแบบสนิทสนมขนาดนี้

แต่บอกเลยว่า รำคาญ แต่ไม่แสดงออก

ขณะที่ผมกำลังเหนื่อยหน่ายกับการรับมือ บุรุษที่วุ่นวายวอแวผมไม่หยุด เหมือนแค่ใช่อาหารเป็นเครื่องมือในการมาหยอดจีบผมตลอด พี่ร็อคเก็ตก็เดินมาร่ำลาเพราะต้องแยกไปประชุมก่อน

ไอ้ร็อคเก็ตแยกเขี้ยวใส่ ขู่ฟอดๆ เป็นเสือหวงถิ่นอย่างที่คิดไว้  ผมทำได้แค่ยิ้มส่งพี่ร็อคเก็ตเพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั่น  เพราะไอ้คอปเตอร์มันเดินมากันซีนตลอด จนผมต้องขมวดคิ้วใส่ถึงได้หยุดทำตัวกวนประสาทผมแบบนี้

หลังจากกลับมานั่งที่โต๊ะ ไอ้คอปเตอร์ก็กลายเป็นคนไม่มีมือมีเท้าในการใชีวิตเลย มันให้ผมป้อนให้ทุกคำ แน่นอน ผมปฏิเสธเพราะอย่างไร พี่ร็อคเก็ตก็ไปประชุมแล้ว คงไม่มีเรื่องมีราวอะไร สุดท้ายมันก็นั่งบ่นงุบงิบ หน้าบึ้งอยู่ตรงข้าม แค่ผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจ เพราะอยากจัดการอาหารตรงหน้าให้หมดก่อนที่จะไปทำงานสายมากกว่านี้

“นึกว่าหนีหายไปไหน พี่ก็บอกอยู่ว่าให้มากินข้าวมื้อเที่ยงด้วยกันก็ได้” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล

ผมหันไปก็ต้องตกใจเมื่อเจอพี่เอกยืนมองพวกผมด้วยสายตาตึงเครียด

ทันทีที่พี่เอกเห็นผม เขาก็ยกแขนข้างที่มีนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ขึ้นมาดูเวลาทันที

“บ่ายโมงแล้วนี่” เขาหันมาพูดกับผม

“เอ่อ…ขอโทษครับ ผมลงมาข้า เดี๋ยวจะขึ้นไปแล้วครับ!” ผมลุกลี้ลุกลนเตรียมตัวยืนขึ้นพร้อมจะเดินไปทำงาน

แต่มีมือหนึ่งดึงแขนผมไว้

“นั่งลง”

เสียงของคนที่ปั้นยิ้มกว้างกว่าปกติพูดขึ้น และหันไปฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมใส่คนที่มาใหม่

“พี่เอกถือว่าผมขอนะครับ เขามารอผมกินข้าวด้วยถึงได้เลยเวลาพักแบบนี้ ก็พี่เล่นใช้ผมเกินเวลาเองนี่นา”

“พี่ก็ขอโทษแล้วไง นี่ก็กะว่าจะให้มากินมื้อเที่ยงด้วยกัน แล้วเราก็เล่นหายตัวไปเลย งานก็ยังไม่เสร็จ!!”

“ก็ผมเป็นห่วงแฟนผม กลัวเขารอ เดี๋ยวจะหิวจนเป็นลม”

เพียงชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกถึงรังสีอำมหิตส่งมาถึงผมทางสายตา ก่อนมันจะดับไปเพราะหันไปหาไอ้คนที่ดึงรั้งผมไว้

“พี่ทราบว่าน้องวิน มีคนชวนมากินข้าวด้วยแล้วนี่!! ก็น่าจะกินแล้ว”

“นั่นแหละผมถึงได้รีบมา หากไม่ได้กินกับผมก็ถือว่าไม่ได้กิน!!”

เอาผมมาร่วมวงสนทนาอะไรกันวะเนี่ย ผมพยายามจะบอกใบ้กับมันว่า ผมจะขอตัวไปก่อน แต่มันเล่นบีบมือผมเสียแน่น

“งั้นพี่ขอนั่งกินด้วยสิ”

“มันมีแค่สองที่นั่ง มันแคบไปนะครับมี่จะนั่งสามคน”

“งั้นวินพี่ขอได้ไหม?”

ในขณะที่ผมกำลังอ้ำอึ้งกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ไม่เคยคิดว่าสองคนเขาจะเป็นกันขนาดนี้

“เขามากับผมก็ต้องนั่งกับผม”

“พี่ถามน้องวิน ได้ไหมครับ?”

ในใจผมตอนนี้คือ อยากได้ก็เอาไปเลย ผมขอลา แต่ผมดันไปสบสายตาของไอ้คอปเตอร์ที่อ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ที่ผมดันเข้าใจ

“ไม่ครับ ผมจะนั่งกินตรงนี้”

“เข้าใจแล้วนะครับ!!” ไอ้คอปเตอร์พูดพลางขยับเข้ามาใกล้และโอบไหล่ผมกระชับเข้าหาอกแน่นของตนเอง ผมก็ได้แต่ตามน้ำไป

ในที่สุดพี่เอกที่ทำหน้านิ่งไปพักหนึ่งก็ขอตัวและเดินจากไปไกล

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?!?!” ผมถามมันด้วยเสียงกระซิบ

“เห็นก็รู้แล้วไหม? ไอ้คนคลั่งรักนั่นมันจะเอาเราให้ได้ บอกไปตั้งกี่รอบแล้วว่าเป็นได้แค่พี่ชาย มันก็พยายามจับเราทำเมียอยู่ได้”

“เอ๋!! เคยได้ยินเรา พี่เอกกับครอบครัวนาย….”

“เออไง!! มันเป็นลูกพี่ลูกน้องเราเอง ถึงจะเป็นญาติห่างๆ แต่ก็ญาติหรือเปล่าวะ ถึงไม่นับเป็นญาติ เราก็ไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นกับพี่เขาเลยนะ!!” ไอ้คอปเตอร์พูดเชิงหัวเสียกับสถานการณ์แบบนี้

“นี่คือจะเอาเราเป็นหนังหน้าไฟหรือไง?”

“เปล่านะ เราไม่เคยคิดแบบนั้น เราชอบนายจริงๆ จีบจริงๆ อยากได้เป็นแฟนจริงๆ แบบอยากได้เก็บไว้คนเดียวเลย อยากได้มานานแล้ว!!”

“หา!?!?” ผมแปลกใจกับคำพูดของมันที่พูดออกมาตรงๆ แบบไม่มีอะไรปิดกั้น นี่ตัวไอ้คอปเตอร์มันก็มาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ ขั้นคลั่งรัก

เหมือนอย่างที่ใครเขาพูดกัน (แม่ผมมั้ง) ต้องให้มีอุปสรรคถึงจะพิสูจน์รักแท้ ถึงได้ยอมทำทุกอย่างเพราะกลัวที่จะสูญเสีย สำหรับไอ้คอปเตอร์คือ เลิกปิดบังความรู้สึกแสดงออกกันด้วยคำพูดไปเลย

ส่วนผมนั้นทำได้แค่นั่งใจเต้นไม่เป็นจังหวะตลอดมื้อเที่ยง ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน

……….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (29/02/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-02-2024 21:22:43
 :ling1: :ling3:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (29/02/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 01-03-2024 15:46:04
ช่วงนี้ลงได้ช้าหน่อย เพราะงานยุ่งมาก ตรวจต้นฉบับไม่ทัน
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (07/03/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-03-2024 17:12:45


ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ผมถูกมอบหมายให้นั่งทำงานกับโปรเจ็คใหม่โดยย้ายไปช่วยพี่อีกคนอย่างกระทันหัน พี่ท้อปที่เดินมาบอกผมด้วยตนเองก็รู้สึกแปลกใจกับคำสั่งฟ้าผ่าแบบนี้


แต่พอมันเป็นงานก็คงต้องทำครับ บ่นอะไรไม่ได้ ชีวิตลูกจ้างก็คงแบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ช่วงบ่ายผมก็ยังนั่งทำงานอยู่คนเดียว

โชคดี คือ ไอ้ตัวปัญหาไม่อยู่ หากมันรู้ว่าผมถูกย้ายไปช่วยโปรเจ็คใหม่มันคงมีอาการโวยวายและหาสาเหตุ มันคงรู้ว่าผมใกล้เส้นตายที่จะส่งงานโปรเจ็คเรียนจบแล้ว ควรจะให้เวลาให้เวลาในการทำงานโปรเจ็คเรียนจบมากขึ้น ไม่ใช่เพิ่มหน้าที่ในบริษัทให้ทำ

โชคร้ายก็คือ ไม่มีคนคอยให้คำแนะนำให้งานมันเสร็จเร็วขึ้น ถึงผมไม่ขอความช่วยเหลือจากมัน แต่อย่างน้อยคำแนะนำของคนที่ฝึกงานที่นี่มาตลอด 4 ปีก็น่าจะมีประโยชน์กว่าการนับจากศูนย์

ทำไมผมต้องมานั่งนึกถึงมันด้วย แอบแปลกใจตัวเองเหมือนกัน แทนที่จะคิดแก้แค้นมัน แต่กลับกลายเป็นว่า มีมันอยู่แล้วมันอุ่นใจกว่าเสียอย่างนั้น

ผมตบแก้มสองแก้มด้วยสองมือเย็นๆ ของตนเบา ๆ เพื่อให้กลับมาโฟกัสกับงานตรงหน้าที่ได้รับมอบหมายมาใหม่

ไม่ถึง 20 นาทีที่ตั้งใจทำข้อมูลที่ได้รับมาอย่างมหาศาลมาเป็นรายงานรายเดือนตั้งแต่ปี 2010 เสียงอีเมลแจ้งเตือนก็ดังขึ้นทำลายสมาธิผม

อีเมลแจ้งว่า อาจารย์นิเทศประจำวิขาจะมาเยี่ยมและขอดูร่างโปรเจ็คในอีก 1 สัปดาห์ และจะขอพบกับพนักงานของบริษัทที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงของนักศึกษา

ข้อความเหล่านั้นทำให้ผมเอ๋อค้างไปกว่าเกือบนาที

แล้วผมจะทำทันไปเนี่ย!!!!!

ผมสูดหายใจลึกสุดปอด และถอนหายใจอย่างหน่ายๆ  ทำสมาธิทันทีเพิ่มวางแผนปั่นงาน และคิดว่าจะไปขอเวลาทำโปรเจ็คจบกับพี่โจโจ้ ซึ่งเป็นเจ้าของโปรเจ็คงานที่ผมต้องไปช่วย

เหมือนฟ้าจะรู้ สวรรค์จะเข้าข้าง พี่โจโจ้โทรศัพท์เพื่อเรียกผมไปพบในทันที

พี่โจโจ้เป็นชายวัยกลางคนที่เงียบขรึม วางตัวเป็นผูใหญ่ของแผนกและมีแผนจะเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการในปีถัดไปเนื่องจากผลงานอันโดดเด่นในช่วงหลายปีที่ผ่าน

เพราะเป็นคนจริงจังจึงมีคนเข้าหาน้อยถึงน้อยมาก เพราะนอกเหนือจากงานแล้ว พี่โจโจ้ก็แทบจะไม่พูดคุยเรื่องอื่นเลย

พี่ท้อปพูดกับผมก่อนที่จะส่งผมไปทำงานกับพี่โจโจ้ แค่เพียง

“ดูแลตัวเองด้วยนะ”

คือผมไปทำงานที่ห่างจากโต๊ะพี่ท้อปเพียง 3 บล็อกเองนะ การพูดแบบนี้ผมจึงได้แค่สงสัย ส่วนพี่เชอร์รี่ที่เป็นขาเม้าส์และรู้ทุกสรรพสิ่งในแผนก ก็พูดแต่เพียง

“เดี๋ยวน้องก็รู้”

มันยิ่งแปลกไปอีก……

ผมคิดพลางเดินไปหาพี่โจโจ้ที่โต๊ะทำงาน ที่มีพื้นที่กว้างขวางกว่าคนอื่นเล็กน้อย มีแผงกั้นสูงเสนอศรีษะ มองเห็นเอกสารมากมายเต็มโต๊ะ แต่กลับเป็นระเบียบกว่าทุกคนในแผนก

ผมกำลังทึ่งกับความมีระเบียบวินัยของคนตรงหน้า

“สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักคนที่กำลังง่วนกับการพิมพ์อย่างมีสมาธิ

คนที่ง่วนกับการทำงานหันมามองและใช้สายตามองลอดแว่นสีเหลืองอ่อนอย่างพินิจ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างผม

“สวัสดีครับ เราเพิ่งเคยพบกันอย่างเป็นทางการสินะ ปกติคุยกันผ่านแชทตลอด คุณเอกแนะนำน้องให้มาช่วยงานพี่น่ะ เห็นบอกว่าทำงานดีจนอยากจ้างต่อเลย จริงไหมครับ?”

พี่โจโจ้ฉีกยิ้มจนเห็นฟันหน้าที่เรียงตัวสวยจนครบ ใบหน้าที่ขาวซีด แก้มตอบนั่น กลับมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนกว่าที่คิด ริ้วรอยที่บอกถึงความตั้งใจทำงานมาตลอดแสดงให้เห็นก่อนวัยอันควร แต่หลับมีเสน่ห์ในแบบหนุ่มใหญ่หน้าตาดี

มันน่ามองกว่าตอนหน้าเคร่งเครียดทำงานเสียอีก

ผมได้แต่ตอบใช่และพยักหน้าตอบอย่างเกร็งๆ

พี่โจโจ้กลับแสดงความเป็นกันเองและแนะนำตัวอย่างสนิทสนม ผมเองก็แนะนำตัวกลับด้วยบรรยากาศที่เท่ากัน บรรยากาศในการพูดคุยกันแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายหายเกร็งไปเลย แถมยังรู้สึกสนิทกับพี่โจโจ้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

พี่โจโจ้คุยเก่งผิดกับรูปลักษณ์ที่เคร่งขรึมภายนอกเลย

หลังจากช่วงที่พูดคุยแนะนำตัวและละลายพฤติกรรมเรียบร้อย พี่โจโจ้ก็ให้ผมไปนั่งใกล้ๆ เพื่อที่จะได้สอนงานทันที

พี่โจโจ้บอกว่าเขาเป็นคนพูดเบาเลยอยากให้ขยับเข้าไปใกล้หน่อยซึ่งผมที่รู้สึกสนิทใจกับพี่โจโจ้ไปแล้ว จึงขยับเข้าไปใกล้อย่างไม่คิดอะไร

หลังจากผ่านไปร่วมสามชั่วโมง สิ่งที่รู้สึกเด่นชัดคือ กลิ่นจากตัวพี่โจโจ้มันหอมอย่าเย้ายวน มันหอมมากแต่กลับไม่รู้สึกฉุน มันเย็นเบาสบายจนเหมือนลอยอยู่ในสวนดอกไม้

“ชอบกลิ่นนี้เหรอ” พี่โจโจ้ทักขึ้นจากการที่เห็นผมทำจมูกฟุดฟิดเป็นครั้งคราว

“เอ่อ….ครับ” ผมหน้าร้อนผ่าวตอบไปอย่างเขินๆ

“นี่ไงลองดมใกล้ๆ”  พี่โจโจ้ขยับเข้าใกล้กว่าเดิมและยกข้อมมือด้านในให้ผมดม

ผมก็ดันก้มลงไปดมอย่างว่าง่าย

“หอมจังครับ กลิ่นอะไร?” ผมเงยหน้าขึ้นมาเจอสายตาที่จ้องมองผมอย่างใกล้ชิด แบบที่ผมสามารถสัมผัสลมหายใจของอีกฝ่ายได้

“พี่คัสตอมเอง เป็นไง มีแต่พี่นะที่ใช้กลิ่นแบบนี้” พี่โจโจ้ยิ้มหวานใส่ในระยะประชิด

แปลกนะที่ผมไม่รู้สึกกลัวกับการกระทำแบบนี้ ทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก

มันแปลกจริงๆ !! ผมกลับละสายตาจากอีกฝ่ายไม่ได้เลย

มือหนึ่งของพี่โจโจ้ ยกขึ้นเชยคางผมขึ้นเล็กน้อย พลางกระซิบเบาอ่อนใส่หน้าผมที่รู้สึกง่วงมึนเหมือนกับเมามายในกลิ่นที่โชยอวนในบริเวณนั้น

“ริมฝีปากน้อยๆ นี้ช่างสวยงามจนพี่ห้ามใจไว้ไม่อยู่ ไม่แปลกเลยนะที่มีแต่คนอยากเชยชม”

เหมือนม่านมนตราบางอย่างเคลือบสายตาผมอยู่ ทำให้ภาพตรงหน้ามันเบลอไม่ชัดเจน ความร้อนรุมเร้าจากภายในอกที่ยากจะบรรยาย ทั้งที่ใจปฏิเสธแต่ผมกลับต่อต้านคนตรงหน้าไม่ได้เลย

ผมกำมือเน้น เพื่อขับไล่ความรู้สึกแปลกออกไปจากในหัว พยายามขัดขืนความรู้สึกลุ่มลึกที่ยากยั่งถึงถึงแรงปรารถนาบางอย่างเบื้องล่าง

เวลาที่ถูกจัดท่าทางด้วยใบหน้าที่เงยอยู่แบบนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมคงทำได้แค่อยู่ให้นิ่งที่สุด ไม่ตอบสนองแรงปรารถนาตนเองออกไปกับคนตรงหน้า

ความหอมที่ยั่วยวนและตรึงใจทำให้ภาพตรงหน้ามันทำให้เร้าใจไปหมด ทุกการกระทำ ผมรู้สึกแม้แต่ชีพจรบริเวณมืออีกฝ่ายที่สัมผัสคางและคอผมอย่างแผ่วเบา

“น้องเป็นคนแรกนะที่ทนได้นานขนาดนี้ สงสัยพี่ต้องเพิ่ม” พูดจบพี่โจโจ้ก็ผละไปหยิบจับอะไรบางอย่างมาป้ายเพิ่มบริเวณต้นคอและข้อมือ

ผมรู้สึกถึงกลิ่นที่แรงขึ้น บรรยายกาศดูหนัก แน่น และร้อนอ้าว ลมหายใจผมอุ่นขึ้นพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่แรงสูบฉีดมากขึ้นจนผมร้อนไปทั้งร่าง  ผิวหนังสั่นเทิ่มไปด้วยอาการแปลก ๆ

ภาพตรงหน้ายิ่งฉาบทับด้วยฝ้าหมอกที่หนาขึ้นจนจับเค้าโครงคนตรงหน้าไม่ได้

“น้องวิน…..”   เสียงที่เหมือนอยู่ที่ไกล ๆ ดังกังวาลรอบพร้อมกับม่านหมอกตรงหน้าจับตัวเป็นร่างคนสูงใหญ่ และโอบรอบไหล่ผมอย่างใกล้ชิด

ผมพยายามขยับออกห่างแต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อย

“วิน…..”  เสียงที่ดูเหินห่างกลับกลายเป็นเสียงที่คุ้นเคย

ผมมองกลับไปยังต้นเสียงก็พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะเจอตรงนี้

“คอปเตอร์….” ผมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนแรงและโผไปหาอีกฝ่ายอย่างไร้เรี่ยวแรง รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาดที่เจอเขาตรงนี้

“น่ารักจัง ทำไมน่ารักขนาดนี้” แม้เสียงอีกฝ่ายจะคุ้นเคย ใบหน้าที่คุ้นตา แต่สีหน้าและการกระทำช่างไม่คุ้นชิน

ร่างคอปเตอร์ ค่อยโน้มตัวลงมาใกล้หน้าของผม และสวาปามริมฝีปากผมอย่างหิวโหย

ผมที่ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านอยู่แล้ว มาเจอคอปเตอร์ในสภาพนี้ยิ่งไม่สามารถดิ้นรนหลุดพ้นได้ แต่แปลก…. ผมกลับไม่ได้ผลักไสเขาออกไปอย่างที่คิด ผมกลับดื่มด่ำกับมันอย่างไม่ตั้งใจ

กลิ่นหอมประหลาดนั่นยังคงอบอวลอยู่ในบรรยากาศโดยรอบ ผมกลับเคลิ้มไปกับมัน ยิ่งไปกว่านั้น มือของอีกฝ่ายได้พยายามรุกล้ำเข้ามาในเสื้อเชิ้ตผ่านกระดุมที่ตอนนี้หลุดไปแล้ว 1 อัน

แปลก…. ทำไมผมถึงไม่พยายามขัดขืน
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (07/03/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-03-2024 22:22:28
 :katai1: :z10: :a5: o22
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (15/03/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 15-03-2024 14:55:35

“มึง!!! ไอ้สัด!!!!”

เสียงดุดันที่คุ้นหูยิ่งกว่าดังขึ้นไม่ไกล แต่ผมกลับไม่ได้แม้แต่สนใจนอกจากเคลิบเคลิ้มไปกับรสหวานจากชิวหาที่คนด้านบนมอบให้อย่างดุดัน

ไม่นาน ความรู้สึกของผมก็เหมือนลอยคว้างและหล่นไปอยู่ที่พื้นพร้อมเสียงชุลมุนที่แผดไปทั่ว ตามมาด้วยเสียงแตกตื่นของคนจำนวนมากกว่าหนึ่งร้องโวยวายไปทั่ว

คงเพราะแรงกระแทก และความมึนศรีษะ สติของผมเลยหายไป


………


ผมตื่นขึ้นด้วยอาการเหมือนดื่มเหล้าสักสิบขวดแล้วสติขาดหายไปช่วงระยะ รู้ตัวอีกทีก็ตอนเช้าเลย แต่มันไม่ใช่อะไรแบบนั้นเสียทีเดียว ผมพยายามตั้งสติ ผมไม่ได้ดื่มอะไรเสียหน่อย ส่วนความทรงจำก่อนหน้านั่นก็ขาดๆ หายๆ เป็นช่วงๆ

ผมมองสภาพแวดล้อมโดยรอบภายใต้แสงสว่างของแสงไฟแอลอีดี ล้อมรอบไปด้วยม่านทึบสีครีมไปเสียครึ่งหนึ่งของพื้นที่รอบเตียงสีขาวขนาดหนึ่งคนนอน สภาพแวดล้อมคล้ายกับอยู่ในหอพักผู้ป่วยที่โรงพยาบาล

หลังจากที่กวาดตาไปสามรอบก็พบว่าตนเองน่าจะอยู่คนเดียว ผมพยายามพยุงร่างที่เหลือแรงอยู่เพียงครึ่งลุกขึ้นนั่งในสภาพสับสน

ผมอยู่ที่ไหนแล้ว มานอนตรงนี้ได้ยังไง ยิ่งคิดยิ่งสับสน

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นหลังม่าน เสียงเป็นของคนที่ผมคิดว่าไม่น่าจะอยู่ตรงนี้

“เอ่อ….ครับ พี่เอก” ผมเอ่ยทักทันทีที่อีกฝ่ายเลื่อนม่านเปิดจนเห็นเค้าหน้าของอีกฝ่าย

แต่ผมก็ต้องตกใจอีกครั้งที่ใบหน้าของพี่เอกกลับมีรอยช้ำจำนวนมากอยู่บนใบหน้า

ผมตกใจจนออกนอกหน้าพลางมองหากระจกส่องใบหน้าตนเองเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันกับตนเอง

“วินน่ะ ไม่เป็นไรหรอกแค่หมดสติเพราะฤทธิ์ยา” อีกฝ่ายให้คำตอบทันทีที่เห็นท่าทางกระวนกระวายของผม

“ฤทธิ์ยา!?!??” คราวนี้ผมยิ่งงงกว่าเดิมอีก

“ก่อนอื่น…… ก็ ขอโทษด้วยนะ ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้” พี่เอกก้มศรีษะลงต่ำ

“เดี๋ยวครับ คือ ผมงงไปหมดแล้ว เรื่องที่ผมหมดสติมันเกี่ยวอะไรกับพี่”

“แต่พี่ว่าสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากพี่นี่แหละ……”

หลังจากพี่เอกก็หาเก้าอี้มานั่งก็อธิบายยาวยืดเรื่องที่ผมยังคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับพี่เอกเขา

พี่เอกสารภาพว่า พี่เอกจงใจเปลี่ยนพี่เลี้ยงให้ผม ให้ไปอยู่กับเพลย์บอยที่ขึ้นชื่อเรื่องล่าเด็กฝึกงาน โดยส่วนใหญ่เด็กทุกคนก็จะหลงเสน่ห์ โจโจ้ และยอมคบด้วยแต่พอโจโจ้ได้เจอคนใหม่ เขาก็ทิ้งทุกคน พี่เอกยอมรับว่าที่เปลี่ยนก็เพราะอยากเปลี่ยนใจผมเรื่องที่จะคบหากับคอปเตอร์ เพราะพี่เอกนั่นแอบชอบคอปเตอร์อยู่ แต่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายแบบนี้

มันเป็นความบังเอิญที่ผมดันไปตรงสเปกพี่โจโจ้มากๆ และบวกกับที่พี่เอกเสริมไปว่า ผมน่ะก็แอบชอบพี่โจโจ้อยู่แล้ว อยากมาทำงานด้วย มันเหมือนไปเปิดกล่องแพนดอร่าในใจของพี่โจโจ้

สุดท้ายก็ลงเอยอย่างที่เห็น พี่โจโจ้ห้ามใจไม่อยู่…..

ผมนิ่งไปพักใหญ่ หลังจากที่พี่เอกเล่าเหตุการณ์ที่ผมจำไม่ได้เสริมเข้ามา มันน่ากลัวจนผมขนลุกไปทั้งตัว ถึงแม้พี่เอกจะไม่ได้เล่าละเอียดขนาดที่ว่าผมโดยกระทำอะไรบ้าง แต่แค่ได้ยินว่าพยายามทำล่วงเกินแบบนั้น ผมก็ขนลุกไปหมด

“พี่คงมาห้ามและเจ็บตัวเพราะผมใช่ไหม?” หลังจากตั้งสติได้ และเหลือบไปมองหน้าพี่เอกที่ซีดเซียวลงไปมาก อย่างน้อยเขาก็สำนึกผิด

“คือ……. ไอ้ที่พี่ต้องมาอยู่ห้องพยาบาลเนี่ยก็เพราะ…. คอปเตอร์….” 

แล้วพี่เอกก็บอกว่าโดนอะไรบ้าง เหตุการณ์หลังที่ผมกำลังโดนคุกคามทางเพศ คนที่มาช่วยคือ คอปเตอร์ เขาโมโหเลือดขึ้นหน้าจนซัดพี่โจโจ้ปางตาย พี่เอกที่เข้าไปห้ามก็เลยโดนไปด้วย เพราะเหมือนคอปเตอร์จะรู้จากคนในแผนกว่ามึการเปลี่ยนพี่เลี้ยงเป็นโจโจ้โดยพี่เอก

แค่นี้ไอ้คอปเตอร์คนฉลาดคงรู้ว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ปะติดปะต่อได้ไม่ยาก

เล่ามาถึงตรงนี้พี่เอกส่งแววตาสำนึกผิดผ่านมาที่ผม เขาหยุดเล่าไปครู่หนึ่ง และเอ่ยคำขอโทษออกมา

“พี่ขอโทษนะ พี่ไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิดขนาดนี้ ไม่คิดว่าพี่โจ้แกจะจริงจังขนาดนี้ พี่ไม่เคยเห็นเขาจริงจังมาก่อน อาจเพราะ….. อันนี้พี่ก็เพิ่งรู้จากปากพี่โจ้ว่า เขาเพิ่งเลิกกับคนที่คิดจริงจังด้วย แล้ววินมีส่วนคล้ายกับแฟนเก่าพี่โจ้ เรื่องมันก็เลยบานปลายใหญ่โต พี่ก็แค่คิดว่าหากเจอคนที่เป็นผู้ใหญ่ที่ดูดีกว่า วินน่าจะชอบ เหมือนอย่างที่ผ่านๆ มา พี่โจ้จีบน้องฝึกงานติดทุกคน” ระหว่างเล่าพี่เอกก็คุกเข่าลงพร้อมทั้งหลั่งน้ำตาอย่างไม่ตั้งใจ เขาไม่คิดแม้แต่จะปกปิด หรือเช็ดหยาดน้ำตาที่หลั่งออกมาอย่างล้นหลามเหล่านั้น

ผมนั่นสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะเห็นใจหรือโกรธดี ที่ตนเองถูกกระทำด้วยการวางแผนแบบนี้ แม้ผลลัพธ์มันจะออกมาแย่กว่าที่พี่เอกคิดแต่การถูกคิดร้ายอย่างการวางแผนแบบนี้ เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก

ผมไม่คิดว่านอกจอทีวีก็จะมีเหตุการณ์อะไรแบบนี้ด้วย

ระหว่างที่ผมกำลังสับสนอยู่นั้น ประตูห้องพยาบาลก็เปิดออกกว้างด้วยแรงเหวี่ยงอย่างมหาศาล โชคดีที่มันมีบานหยุดนิรภัย จึงหยุดค้างไว้ก่อนจะกระทบกับกำแพงอีกฝั่ง

ไอเย็น
จากจิตอำมหิตแผ่เข้ามาในห้องอย่างโจ้งแจ้ง เสียงกัดฟันกรอดกรอบดังจนผมได้ยินชัดเจน

“มึงต้องการอะไรอีก!!”  คนมาใหม่ที่กำหมัดแน่นจนแทบจะที่เล็บจะจิกเนื้อจนเลือดไหล

“คอปเตอร์ พี่แค่ต้องการจะขอโทษ” คอปเตอร์เดินเข้าในระยะที่ผมมองเห็นชัดขึ้น

เสื้อสีขาวสะอาดที่มีรอยแต้มสีชาดเปรอะอยู่ทั่วเสื้อ เป็นภาพที่สยดสยองไม่น้อย แววตาที่จ้องเขม็งผู้ใหญ่ตรงหน้าก็แทบจะทำให้ห้องร้อนจนลุกเป็นไฟ

“มึงไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น นอกจากจะต้องชดใช้สิ่งที่มึงทำ!!”

ไม่มีคำพูดสุภาพกับพี่เอกอีกต่อไป หลังพูดจบยังย่างเดินมาอย่างหนักแน่น มือหนึ่งคว้าตอคอเสื้อพี่เอกไว้ อีกมือหนึ่งก็ยกง้างจนสุดมือ หมัดที่แดงกรำจากการใช้งานเหมือนถูกกระทบด้วยของแข็งหลายครั้งทำให้มันดูน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก

“หยุดเลย พี่เขาขอโทษแล้ว” ผมตรงรี่ไปคว้ามือคอปเตอร์ไว้

“แล้วมึงยกโทษให้คนแบบนี้เหรอ!?!??” มันหันมาตาขวางใส่ผม ทำให้มือผมอ่อนแรงไปชั่วครู่

คอปเตอร์กำหมัดแน่นขึ้นเมื่อเห็นผมไม่สามารถตอบคำถามนี้ของเขาได้

“งั้นมึงถอยไป!!” มือที่ง้างอยู่ถูกเลือดสูบฉีดเข้าไปเพิ่มเพื่อเพิ่มแรง

“เดี๋ยวก่อนๆ คือ จะให้ยกโทษให้ได้หรือเปล่ายังไม่รู้ แต่คือ เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจอกับอะไรบ้าง แล้วพี่เอกก็สำนึกผิดแล้ว ช่างมันเถอะนะ”  ผมพูดไปอย่างติดขัดจนจบประโยค


แต่ก็หมายความอย่างที่ว่าจริงๆ

“แต่กูยังจำได้กูเห็นเรื่องนี้กับตา อย่างน้อยก็ขอให้มันชดใช้จนกว่าเราจะหายโมโหนะ!!” คอปเตอร์เสียงเข้มพลางขยับเข้าไปใกล้ขึ้น กล้ามเนื้อทุกส่วนตึงแน่น

ผมทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจ….

จรดริมฝีปากไปที่คอปเตอร์และพรมจูบอย่างดูดดื่ม แม้อีกฝ่ายจะไม่พร้อมแต่ก็ตอบรับได้ดีพอควร

ผมถอนริมฝีปากออกพร้อมด้วยน้ำหนึดที่เราแลกกันเมื่อครู่ยังมีระยางยืดเชื่อมปากเราสองคน

แรงทั้งร่างของคอปเตอร์ผ่อนลงแล้ว ใบหน้าร้อนแดง และมีรอยยิ้มประดับอยู่บางๆ เขามองผมด้วยสายตาโหยหาและหิวโหยจุมพิตเมื่อครู่ เหมือนคนเสพติดมันอย่างขาดไม่ได้

พักเดียวมือที่เตรียมจู่โจมอีกฝ่ายกลับมาโอบรัดผมอย่างแนบแน่น สุดท้ายเราก็อยู่ในท่ากอดกันกลม ใบหน้าผมไปอยู่ซอกคอเขาอย่างช่วยไม่ได้

“ใจเย็นขึ้นยัง?” ผมถามอย่างหอบๆ เพราะเหมือนโดนขโมยลมหายใจไปหมดตัวเมื่อครู่

“อะไรเหรอ?!?” มันตอบกลับมาแบบนี้ พร้อมลูบศรีษะผมอย่างอ่อนโยน สายตาที่เปลี่ยนไปจากไฟร้อนๆ กลายเป็นน้ำเย็นๆ คู่นั้นทำให้ผมรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

มือที่ว่างอยู่ของผมทำท่าทางให้พี่เอกรีบออกจากห้องไปก่อน ซึ่งพี่เอกไม่รีรอที่จะอยู่ปะทะกับหมัดแห่งความเกรี้ยวกราด พลางก้มหัวขอบคุณที่ผมช่วยชีวิตเขาไว้

“อยากกลับห้อง”  ผมพูดขึ้น หลังจากที่ถูกโอบรัดอยู่หลายนาที

“อือ” เสียงตอบรับอู้อี้ของคอปเตอร์ที่ตอนนี้ทั้งใบหน้าจมอยู่ที่ซอกคอผม

“งั้นปล่อยได้แล้ว” ผมตบหลังเขาเบา ๆ

“เดินไหวไหม?” คอปเตอร์ถามคงเพราะเห็นอาการสั่นเทาที่ขาทั้งสองข้าง เขาผละออกจากผมเล็กน้อยเพื่อมองหน้าผมอย่างเป็นห่วง

“ไหวสิ” ผมผละออกจากอีกฝ่ายทันทีที่มีโอกาส

แต่ขาเจ้ากรรมมันดันไม่ยอมเชื่อฟัง ผมเซไปทางซ้ายเล็กน้อย  คอปเตอร์ก้าวเท้าเข้ามารับตัวผมและประคองไว้อย่างรวดเร็ว ไม่รู้เพราะฤทธิ์ยาที่ค้างอยู่ หรืออาการหอบตื่นเต้นกับการจูบอย่างดูดดื่มเมื่อครู่

ผมพยักหน้าขอบคุณ ในขณะที่อีกฝ่ายส่ายหน้ากับอาการของผม

คอปเตอร์หันหลังและก้มลงสวมลงที่ด้านหน้าผมพลางยกตัวเองให้กลายเป็นท่าที่ผมลอยสูงขี่หลังอีกฝ่ายอยู่  ผมร้องตกใจและพยายามปฏิเสธแต่สุดท้ายด้วยความดื้อรั้นของคอปเตอร์ ผมเลยต้องถูกแบกขึ้นหลังจนไปถึงรถยนต์ของเขาและขับพาผมส่งกลับบ้าน



…………………….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (15/03/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 15-03-2024 22:17:01
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (21/03/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 21-03-2024 12:09:41
บทที่ 10 Confessed


แม้ว่าผมจะได้พักมาระหว่างนั่งรถเดินทางจนถึงอพาร์ตเมนต์แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้ยอมให้อีกฝ่ายแบกใส่หลังและพามาถึงที่ห้อง โชคดีที่ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นไม่อย่างนั้นผมคงอายที่ทำให้ตัวเองต้องยอมมาตกอยู่ในสภาพนี้

คอปเตอร์บรรทุกผมใส่หลังจนมาถึงปลายเตียงและผ่อนแรงย่อตัวให้ผมลงนั่งอยู่บนที่นอนอย่างอ่อนโยน

ไม่คิดว่าตัวเองจะยินยอมให้ตัวเองเห็นมุมนี้ของไอ้คนพาลคนนี้ แต่แปลกที่หัวใจผมมันเต้นแรงไม่หยุด ยิ่งได้อยู่ชิดใกล้ ยิ่งได้กลิ่นอายของอีกฝ่าย มันทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

…ผมย้ำกับตัวเองตลอดทางว่า อาจเพราะฤทธิ์ยา
……แต่นี่มันก็ผ่านมานานแล้วนะ
……..มันคงตกค้าง

คิดย้ำวนไปมา….

“ดื่มอะไรไหม? หรือ อยากกินอะไรหน่อยไหม? ดูเหม่อๆ หน้าซีดๆ” คอปเตอร์ถามด้วยความเป็นห่วง มือหนึ่งของเขาก็เกาะกุมที่ท้ายทอยของผมอย่างอ่อนโยน

ใบหน้าของคอปเตอร์ที่ขยับเข้ามาใกล้ มันทำให้ผมรู้สึกร้อนตั้งแต่คอขึ้นไปทั่วทั้งหน้า

“อ้าว…แดงเสียแล้ว ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม? ตัวอุ่นๆ ด้วย” คอปเตอร์พูดพลาง ยกมืออีกข้างทาบหน้าผากผม

ผมปฏิเสธเสียงสั่นพลางปัดมืออีกฝ่ายทิ้งไป

ผมเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะขบขันกับปฏิกิริยาของผมแต่เปล่า ไอ้คนพาลคนนั้นกลับทำหน้าเศร้าและคุกเข่าลงสองข้าง


“ขอโทษนะ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นกับนาย หากเรากล้ากว่านี้ เด็ดขาดกว่านี้ ทุกอย่างคงไม่บานปลายแบบนี้ หากเราเด็ดขาดกับพี่เอก เรื่องแบบนี้คงไม่เกิด!!”  คอปเตอร์พร้ำเพ้อจนยาวเยียด สีหน้าอมทุกข์ที่แสดงออกมาทำให้ใจผมสะท้านสะเทือนพอควร

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกได้ถึงความทุกข์ของอีกฝ่ายได้นะ ทำไมผมต้องรู้เศร้าไปกับมันด้วย ผมก็บอกตัวเองไม่ได้

ในใจตอนนี้ให้อภัยคนตรงหน้าหมดทั้งใจทั้งที่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคอปเตอร์โดยตรง หากเป็นเมื่อก่อนผมคงขอเลิกคบกับมันและทำให้มันเจ็บช้ำที่สุด แต่ตอนนี้แม้จะมีโอกาสตรงหน้า ผมกลับทำมันไม่ลงเสียอย่างนั้น

“ช่างมันเถอะ” ผมผ่อนลมหายใจยาวพลางเชยคางคนตรงหน้าขึ้นเผยให้เห็นน้ำหล่อเลี้ยงในดวงตาที่แดงกล่ำ

“ขอบใจนะ….ที่ให้โอกาส..” คอปเตอร์พูดอย่างเชื่องช้าด้วยดวงตาที่สดใสขึ้นกว่าเดิม พลางมองขึ้นมาทางผมด้วยดวงตากลมใสสองดวงนั้น

เราสบตากันอยู่อย่างนั้นอยู่หลายวินาที เหมือนมีเคมีหรือกระแสอะไรบางอย่างที่ต่างสื่อสารแลกเปลี่ยน สสารบางอย่างที่ผมไม่เห็น หัวใจกลับพองโต เต้นเร็วและแรงดุจม้าแข่งที่กำลังเข้าเส้นชัย

มือที่ผมเผลอไปสัมผัสกับแขนของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ ราวกับรู่สึกถึงกระแสเลือดที่สูบฉีดโหมภายในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วผิดปกติ

ไม่นานหลังจากนั้นคอปเตอร์ก็ยืดตัวขึ้นให้ใบหน้าเราขนานกัน ลมหายใจของเขาสัมผัสกับใบหน้าและลำคอของผม ความรู้สึกประหลาดวูบวาบมันโหมกระหน่ำเข้ามาในสมองผมจนเบลอไปหมด กลิ่นกายอีกฝ่ายที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป มันเย้ายวน ชวนให้เคลิบเคลิ้มจนแทบหมดแรง

ในที่สุดผมกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อแรงกระตุ้นภายใน ผมโน้มตัวไปประทับริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว จู่โจมจนรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีท่าทีประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ถอยหนี กลับกันเขากลับจู่โจมกลับได้รุนแรงกว่าเดิมมาก

ร่างกายของผมถูกชักนำให้ไหลไปตามแรงดันของอีกฝ่ายที่คอยโถมร่างกายท่อนบนเลื่อนดันร่างของผมไปบนพื้นที่นอนที่อ่อนนุ่ม คล้าย ๆ โดนกระแสคลื่นทะเลซัดเข้าฝั่งซ้ำ ๆ จนทรายเปลี่ยนรูปและถอยร่นไปตามแรงของน้ำ

ผมรู้ตัวอีกทีก็พาตัวเองขึ้นมานอนเป็นจุดศูนย์กลางบนเตียงเสียแล้ว คอปเตอร์ยกตัวขึ้นตั้งฉากกับเตียง พลางพยายามถอดเสื้อตัวเองออกอย่างทุลักทุเล ผมเองที่เห็นอีกฝ่ายแสดงเนื้อหนังแผ่นอกและลอนท้องอ่อน ๆ ตรงหน้าก็อดที่จะทำตามไม่ได้

ผมขยับร่างกายตัวเองเล็กน้อยเพื่อปลดเปลื้องตนเองออกจากพันธนาการของเสื้อเชิ้ต แต่ก็ลำบากตรงที่นำ้หนักที่กดทับอยู่ ไม่นานนัก สองมือของคนด้านบนก็ช่วยปลดเปลื้องผ้าชิ้นบนหลุดออกจากร่างผมโดยง่าย

สายตาที่อีกฝ่ายมองผมมันช่างยากเกินกว่าที่จะอธิบาย เหมือนอีกฝ่ายได้ค้นพบสมบัติที่ใฝ่ฝันมานาน นิ้วเรียวที่ค่อยๆ ไล่ไปตามผิวส่วนคอลากไปจนถึงลอนท้องที่ไม่ได้สมส่วนเท่าไหร่เพราะขาดออกกำลังกายช่วงนี้แต่คอปเตอร์จ้องมองเหมือนพยายามจะเก็บภาพตรงหน้าไม่ให้เลือนหายไปจากสมองตลอดกาล

ผมหลบสายตาจากอีกฝ่าย เพราะไม่คิดว่าจะโดนสายตาแบบนี้ถาโถมใส่ และไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าตัวเองจะรู้แบบนี้กับสายตานั่น แต่ต้องยอมรับว่าร่างกายมันร้อนไปหมด สมองมันเหมือนถูกปลดผ้าคลุมบางๆ ออก  เข้าใจความต้องการของตนเองมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมากก่อน

คนด้านบนโน้มตัวลงมาอย่างช้าๆ ลงริมฝีปากไปที่ต้นคออย่างแม่นยำพลางขบเบาๆ ด้วยฟันหน้า ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บกับการกระทำนี้ เพราะอีกฝ่ายทำด้วยความทะนุถนอมและโอนโยน ลิ้นที่เหมือนต้นอ่อนของต้นไม้ฝ่าแผงฟันหน้ามาไล้โลมผมอย่างเชื่องช้าคล้ายคอปเตอร์พยายามรับรสชาติของผมอย่างสุนทรี และพยายามที่เก็บรสชาติเหล่านั้นเข้าไปในความทรงจำของตนเองทั้งหมด

ผมทำได้แค่ร้องในลำคอตามน้ำหนักที่ต้นอ่อนนั่นลากผ่าน ความรู้สึกของต้นอ่อนนั้นมันฝังลึกเข้าไปใต้ผิวหนัง ความสุขที่ผมเพิ่งเคยสัมผัสนี่มันสุดยอดไปเลย

“รู้ไหมเรานึกถึงภาพนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนต้องทำร้ายตัวเองไปตั้งหลายรอบ แต่รู้ไหม ไม่เคยไม่ความคิดไหน สุดยอดเท่ากับความรู้สึกที่เรารู้สึกตอนนี้เลย…”

เสียงเบาเบาและติดหอบที่ปลายประโยคทำให้ผมคิดไม่ออกว่านี่คือ คำชื่นชมหรือความโรคจิตของอีกฝ่าย ผมแยกไม่ออกเลย เพราะในหัวตอนนี้คือเป็นสีขาวโพลนว่างเปล่า

คอปเตอร์กดตัวลงและสวมกอดผมแน่น ร่างกายทั้งสองแนบชิดแทบจะรวมเป็นหนึ่ง กระแสเลือดที่ถูกปั๊มจากหัวใจแทบจะสูบฉีดเป็นจังหวะเดียวกัน ที่สำคัญส่วนที่นิ่มอยู่ยามปกติตอนนี้เติบโตแข็งแรงจนผมรู้สึกได้ เพราะมันเหมือนพยายามจู่โจมผมอยู่ที่ท้องน้อยไม่หยุด แต่ผมเองก็ไม่ต่าง ในเมื่อความต้องการของตนเองมาจนสุดทางขนาดนี้ ผมยั้งตัวเองไม่ไหวแล้ว

“วิน….โอเคไหม….? ถ้าเราจะขอ….”

คอปเตอร์กระซิบใส่หูผมด้วยเสียงสั่นเครือ ความกล้าที่ผ่านมาทั้งชีวิตของมันเหมือนจะไม่มีอยู่ในคำพูดนั่นเลย

ผมนิ่งไปพักใหญ่ไตร่ตรอง ในความว่างเปล่าในหัว ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่อีกฝ่ายจะจัดการปลดกางเกงตัวเองลงอย่างรวดเร็ว

ไม่รอช้า คอปเตอร์ก็เล็งกางเกงผมเช่นกัน แต่ด้วยอะไรบางอย่างทำให้ผม ใช้มือจับขอบกางเกงตัวเองแน่น

“เราโอเคนะ หากนายไม่พร้อม…” อีกฝ่ายพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เรา…เรา…. ขอถอดเองได้ไหม?”

พูดจบผมก็หลับตาแล้วก็ปลดกางเกงตัวเองลง

“มันน่าอายจะตาย” ผมพึมพำหลับตาปี๋

“ไม่หรอก… มันสวยงามมาก…”

“ไอ้บ้า ขนลุก” ผมพูดขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาปี๋ ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด ผมคิดตัวเองเหมือนจะเป็นไข้

“จริงๆ”

พูดจบ ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็เล่นล้อกับส่วนที่แข็งขืนของผม เหมือนพยายามลิ้มรสของส่วนสัมผัสของผิวส่วนนั่น ผมถูกปรนเปรอแบบนั่นอยู่หลายนาทีจนแทบขาดอากาศหายใจ ไม่คิดว่าคนห้าวๆ อย่างมันจะสามารถทะนุถนอมส่วนนั้นของผมได้อย่างยอดเยี่ยม บอกได้เลยว่า ดีที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกมา

ผมพยายามยกศรีษะของคนด้านบนอยู่นานกว่าจะเขาคายเอาบางส่วนของร่างกายของผมออกมา แต่แทนที่ผมจะได้หยุดพักบ้าง เขากลับลากต้นอ่อนอันเปียกชุ่มไล่ชิมหยาดเหงื่อของผมตั้งแต่ท้องน้อยจนถึงแผงคอ แม้ทุกการกระทำจะดูนุ่มนวลและเนิบนาบแต่ความรู้สึกของผมเหมือนเป็นเหยื่ออาหารอันโอชะของสิงโตที่กระหายเนื้อที่หิวโหยมาแรมเดือน ทุกการกระทำของเขาเหมือนจะกัดกินผมจนถึงจิตวิญญาณ

เขาขยับศรีษะมาพรมจุมพิศที่ริมฝีปากของผมอย่างเร่าร้อน ผมเหนื่อยมากกับการถูกรุกไล่ด้วยริมฝีปากที่หิวกระหาย เหมือนถูกดึงอากาศออกจากปอดไปเสียหมด

สุดท้ายผมทำได้แค่ยกมือขี้นปิดปากอีกฝ่ายเพราะต้องขอหายใจ

“เหมือนนายจะพร้อมแล้วนะ..” อีกฝ่ายพูดพลางหอบหายใจถี่

ผมไม่เข้าใจสิ่งที่พูดเท่าไหร่ แต่รู้ตัวอีกที ปากประตูเบื้องล่างก็ถูกบางอย่างจรดจ่อรั้งไว้ไม่ห่าง ผมเข้าใจในทันทีที่วัตถุขนาดไม่ธรรมดานั้นดันเข้ามาใกล้ชิดติดจนจุกหน่วง

ก่อนที่ผมจะตัดสินใจอะไรต่อไป อีกฝ่ายลุกขึ้นหายไปค้นกระเป๋าตัวเองกุกกักเสียงดัง เพียงชั่วอึดใจก็กลับเข้ามาสู่สภาพเดิมก่อนหน้านี้

ของเหลวหนึดเย็นถูกป้ายลงตรงปากประตูสวรรค์ ผมพยักหน้าให้อีกฝ่ายด้วยความเข้าใจที่สายตาคอปเตอร์ส่งลงมาให้ วัตถุทรงเรียวยาวฝ่าประตูสวรรค์เข้าไปอย่างยากเย็น ไอ้ความรู้สึกแปลกใหม่นี่มันอะไรกัน ผมก็อธิบายไม่ถูก มันอึดอัดและเจ็บเสียดไปหมด แต่มันก็ไม่ได้เจ็บปวดมากมายกว่าที่คิด ผมเข้าใจคำว่าผมพร้อมแล้วของอีกฝ่ายเลย ขนาดมันคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเรา

ไม่นานหนักผมก็เริ่มชินกับสิ่งที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในร่างกายตนเอง

“งั้นเอาจริงแล้วนะ” พูดพลางชักบางอย่างออกจากร่างของผม

เอ๊ะ!! เดี๋ยวนะ นั่นมัน! แค่นิ้วเหรอ?

สักพักสิ่งที่ใหญ่กว่านิ้วมากมายนักก็พยายามฝ่าประตูเข้ามาอย่างยากเย็น ผมร้องออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ความเจ็บปวดแทรกซึมไปทั่วร่างพร้อมพยายามขยับร่างกายหนี แต่ไม่ทันเสียแล้วในเมื่ออ้อยเข้าปากช้างแล้ว ย่อมยากที่จะหลบหลีก สุดท้ายผมก็ต้องกับเผชิญกับความสุขที่แสนเจ็บปวดอยู่นานกว่าหนึ่งชั่วโมง

………..
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (21/03/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-03-2024 20:20:18
 :oo1:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (29/03/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-03-2024 11:56:08


นับเป็นอีกหนึ่งคืนที่ผมนอนหลับแล้วแทบจะไม่ฝันอะไรเลย ความงุนงงในเวลารุ่งสางของวันที่หลับมากกว่าปกติ สติที่แสนเลือนลางค่อน ๆ เด่นชัดขึ้นพร้อมกับอาการปวดเมื่อยไปทั่วร่าง กายคล้าย ๆ โดดไปให้รถบรรทุกชนจนร่างแหลก โดยเฉพาะช่วงล่าง รู้สึกเหมือนปวดแสบอย่างที่ไม่เป็นมาก่อน

สมองของผมเริ่มทบทวนแล้วว่าทำไมร่างกายผมถึงอยู่สภาพนี้ ร่างกายที่หนักกว่าปกติ ขยับตัวได้ยาก เหมือนผ้าห่มมันหน้าขึ้นและหนักขึ้นมาก ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายย้ายผ้าห่มหนักๆ บนตัวร่นลงไปถึงครึ่งตัว

ผมต้องตกใจที่ตัวเองเปลือยเปล่า และผ้าห่มที่หนักอึ้งนั่นก็คือไอ้คอปเตอร์ที่ตอนนี้ร่างไร้อาภรณ์ใดๆ กอดก่ายผมอยู่สบายใจ

ในที่สุดสมองที่ทื่อเพราะความตื่นเช้าก็ค่อยๆ รื้อฟื้นภาพจำเมื่อคืนออกมาเป็นฉากๆ

พระเจ้า!! ทำไมเมื่อคืนถึงได้ตัดสินอะไรแบบนั่นลงไป แม้จะดูเลือนลางอย่างกับความฝัน แต่ความต้องการเหล่านั้นดูเป็นของจริงไม่ปรุงแต่ง และความรู้สึกเจ็บป่วยตอนนี้ก็ยิ่งตอกย้ำว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงๆ ตรงนี้


ในขณะที่ผมพยายามขยับตัวออกห่างร่างกำยำที่ก่ายเกาะผมอยู่มากกว่าครึ่งร่าง ร่างกำยำด้านบนกลับขยับตัวเล็กน้อยพร้อมเสียงงัวเงีย

ผมรีบทำตัวนิ่ง และแสร้งทำเป็นหลับต่อ ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนี้ไปทำไม แค่รู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าอีกฝ่ายหลังจากความสัมพันธ์ของทั้งคนลึกซึ้งแบบที่ผมไม่ได้ตั้งใจ (มั้ง)

ร่างหนาด้านบนขยับเข้าใกล้และยกร่างส่วนบนขึ้นเพื่อแอบสอดส่องว่าผมตื่นแล้วหรือยัง เนื่องจากผมหลับตาอยู่เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำหน้าแบบไหน แต่ที่รู้สึกแน่ๆ คือ ผมรู้สึกกำลังถูกจ้องมองอยู่ มือข้างหนึ่งเอื้อมมาลูบแขนผมโดยมีผ้าห่มผืนหนาขวางกั้นอยู่

ลมหายใจของอีกฝ่ายที่ไหลผ่านออกมากระทบผิว ทำให้ผมพอจะทราบว่าน่าจะเกิดจากอาการตื่นเต้นของคอปเตอร์ มันอุ่นและกระชั้นชิด ผมรู้ได้จากสัญชาตญาณที่อยู่ร่วมกันมาหลายเดือนที่ผ่านมา

เสียงสั่นหวืดหวือของอุปกรณ์สื่อสารดังขึ้นไม่ไกล ผมรู้สึกว่าอีกฝ่ายขยับร่างไปตอบรับเสียงนั่นหลังจากขยับร่างให้ถอยห่างไปได้ไม่นาน

“เออ …..” คำตอบสั้นๆ ห้วนๆ ทำให้รู้ว่าคนที่อยู่ในสายคงเป็นคนสนิทของคอปเตอร์

“……..” ผมไม่ได้ตั้งใจฟังก็เลยไม่รู้ว่าแปลความว่าอะไรจากเสียงที่เล็ดลอดจากหูคนข้างๆ

“กูต้องกระซิบสิ เมียกูยังไม่ตื่นเลย” เสียงในสายดังขึ้นอู้อี้แต่ผมก็พอจะจับใจความได้เพราะคู่สนทนานั้นคุยกันไม่ได้ไกลจากตัวผมเลย เสียงจากในสายดังจนเกือบจะเท่าเสียงกระซิบของเจ้าของสายทางนี้เลย

พอได้ยินคำว่าผมเป็นเมียของมัน เลยอดไม่ได้ที่จะตั้งใจแอบฟังอย่างตั้งใจ โชคดีที่เป็นคนหูดี (แอบกำมือแน่น)

“พูดได้เต็มปากเลยนะว่าเมีย!! ไอ้วินมันยอมมึงแล้วเหรอ ไอ้สัด มันได้ยินโกรธตายห่า กูจะถามว่าเพื่อนกูเป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าเจอยาแปลกๆ ไป”  ปลายสายถาม ทำให้ผมสงสัยกับคำว่า ‘เพื่อนกู’ เสียงที่เล็ดลอดออกมาก็คุ้นหูมาก

“ที่รักกูไม่เป็นไรมากแล้ว แต่กูก็ควรจะขอบใจยาแปลกๆ พวกนั้นนะ มันทำให้วิน ยอมรับกู ตอนนี้กูมีความสุขสุดๆ ไปเลย!!”

“อย่าบอกนะว่า….”

“ใช่ วินเป็นของกูแล้ว เมื่อคืน หลายรอบด้วย!!”

ฟังถึงตรงนี้แล้วอยากลุกขึ้นกระโดดถีบมันให้ตกเตียง แต่ยังไม่อยากขัดจังหวะโทรศัพท์ เพราะสงสัยว่ามันคุยกับใครอยู่

“เชี้ย….. แล้วแบบนี้กูต้องวางตัวยังไงว่าเรื่องที่กูแอบช่วยมึงน่ะ?” เสียงปลายสายมีความกังวล ไอ้นำ้เสียงแบบนี้ ทำไมถึงได้คุ้นเคยแบบนี้นะ


“กูว่าอย่าเพิ่งเลย ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่ากูว่า กูไม่อยากให้วินโกรธกูอีก”

“กูไม่เห็นแก่ ‘ไอ้ศิน’ กูไม่คิดจะช่วยมึงหรอก มึงเองก็มีคดีกับกูไม่น้อย!!”  เสียงจากปลายสายผุดตัวละครใหม่ที่ไม่คุ้นเคยอีกหนึ่งคน ผมเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก

“กูขอโทษด้วยนะ กูก็สารภาพกับมึงหมดแล้วนี่ ก็ช่วงที่ไอ้พี่ศินมันเกเร มันน่ากลัวจะตาย แล้วมันก็เล็งมึงกับเพื่อนขนาดนั้น ขืนกูไปทำดีกับมึง กูไม่ซวยไปด้วยเหรอวะ!! ใครจะไปรู้ว่าที่มันแกล้งเพราะชอบมึง!!”

“มึงก็เลยเลียนแบบมันเสียหมด แกล้งคนที่ตัวเองชอบเนี่ยนะ!!”

“กูบอกมึงกี่รอบแล้ว ว่ากูไม่รู้ว่ามันชอบมึง แล้วกูก็ไม่ได้อยากแกล้งเพื่อนมึงด้วย!! กูทำเพราะช่วยต่างหาก!!”

‘เพื่อนเหรอ?’ ผมคิด รู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ

“ช่วยด้วยวิธีโง่ๆ ของมึงยิ่งทำให้มันเกลียดน่ะสิ!!”

มีความเกลียดชังแฝงในคำพูด นี่สองคนนี้เป็นเพื่อนกันจริงไหมเนี่ย?

“อย่างน้อยที่กูทำไปเพราะไม่อยากให้คนอื่นแกล้งมัน ไม่อย่างนั้นหนักกว่านี้แน่!!”

“ถึงกูจะเห็นด้วยกับมึงตรงนี้แต่มันมีวิธีดีกว่านี้หรือเปล่าวะ!!”

“กูขอโทษนะตอนนั้น กูก็มีปัญหาของกู….”  เสียงคอปเตอร์อ่อนลงเล็กน้อย

ผมฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว แม้ไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็มองไอ้คอปเตอร์ดีขึ้นเล็กน้อย 

แต่เดี๋ยวนะ นี่แปลว่า มันจำผมได้ตั้งแค่แรกหรอกเหรอ?? นี่การเปลี่ยนแปลงตัวเองของผมนี่มันไม่ได้ผลเลยหรือ?? นึกย้อนไปแล้วก็อดที่จะอายการกระทำตัวเองไม่ได้

“เออๆ ไอ้เชี้ยเอ้ย…. กูรู้จากไอ้ศินแล้ว กูเข้าใจนะแต่จะให้กูไม่โกรธมึงคงทำไม่ได้  แต่หากมึงทำเชี้ยกับเพื่อนกูอีก มึงได้เจอกับกูเวอร์ชั่นนี้แน่ๆ กูไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ เตรียมตัวตายได้เลย”

ผมเห็นด้วยกับปลายสายเรื่องที่ยังโกรธอยู่

“ขอบใจนะไอ้เติ้ล ขอบใจที่ให้โอกาสกู” คอปเตอร์พูดประโยคสุดท้ายก่อนจะวางสาย

ประโยคนี้ประโยคเดียวที่ผมเชื่อมต่อจิ๊กซอว์ทุกตัวเข้าด้วยกันสำเร็จเป็นภาพที่สมบูรณ์ชัด ที่แท้เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง

ผมคงต้องหาโอกาสไปคิดบัญชีไอ้คนขายเพื่อนสักครั้งหลังจากนี้ แต่ตอนนี้ ผมยังคิดหาทางออกให้กับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ออกเลย โดยเฉพาะเมื่อโดนอีกฝ่ายแทรกตัวเข้ามาให้ผ้าห่มอย่างช้าๆ ด้วยร่างกายอันเปลื่อยเปล่า แล้วโอบกอดผมอย่างแผ่วเบาทะนุถนอน อาจเพราะกลัวผมจะตื่น

ผิวอันเย็นฉ่ำจากการที่ตากอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ สัมผัสกับผิวของผมโดยตรง ความเย็นของผิวที่ทำให้ผมแทบอยากจะขยับหนีทันที แต่ต้องสวมบทบาทคนหลับลึก ทำให้ต้องทนหนาวอย่างไม่ฝืนไม่ได้

เพียงครู่เดียวผิวกายของอีกฝ่ายก็เริ่มอุ่นไปตามอุณหภูมิใต้ผืนผ้า ในขณะเดียวกันผมก็ถูกกอดแน่นขึ้น ร่างกายส่วนหน้าของอีกฝ่ายนาบแนบแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับด้านข้างของผม

มือด้านบนที่โอบรอบอกและต้นแขนของผม เขาเริ่มขยับและลูบไล้ผิวของผมไปมาจนทั่ว อย่างช้าๆ และ แผ่วเบาไม่ต่างจากนำขนนกขึ้นมาถูกไถอยู่บนร่างอยู่นานหลายนาที

“ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้” เสียงบ่นบึมพำข้างหูของผม เหมือนดั่งไม่ตั้งใจให้ผมได้ยิน

ผิวกายของอีกฝ่ายเนียนนุ่มกว่าที่คิด ส่วนที่เป็นกล้ามแกร่งก็สัมผัสได้ถึงความสมชายของอีกฝ่าย แน่นอนผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่โดนชายหุ่นแบบนี้เล้าโลมอยู่นานสองนานแล้วจะไม่รู้สึกอะไร ถึงแม้จะพยายามข่มใจให้เกลียดมันเข้าไส้เหมือนอย่างที่เคยทำมา

แต่ตอนนี่ไอ้ความรู้สึกเหล่านั้นมันหายไปไหนหมดแล้วนะ?

มืออันแสนซุกซนข้างนั่นของคอปเตอร์ปรับเปลี่ยนจุดที่ลูบไล้ไปเรื่อย จนถึงช่วงสะโพกแกร่งของผม และไล่วนมาทางด้านหลังเล็กน้อย เพียงชั่วอึดใจ ส่วนที่ควรจะนอนหลับนุ่มนิ่มไปกลับตื่นแข็งขันขึ้นมาอีกครั้ง

ผมที่ถูกส่วนนั้นสัมผัสที่ข้างบั้นท้าย รู้สึกสะดุ้งเล็กน้อย พร้อมความรู้สึกเจ็บแปลบจนเผลอร้องออกมา

“ทำอะไรน่ะ!!” ความเจ็บนั่นทำให้ผมเลิกที่จะแกล้งหลับ ผมขยับพลิกตัวถอยห่างไปเล็กน้อย

“ก็คิดอยู่แล้วนะว่าน่าจะตื่นแล้ว ก็เลยจะช่วยปลุกแบบจริงจัง” คนหื่นที่เปลื่อยเปล่าภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันส่งสายตาแห่งความปรารถนามาอย่างไม่ลดละ

ไม่เพียงเท่านั้นยังรุกคืบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกที ผมก็อยู่ภายใต้ร่างหนาของอีกฝ่ายเสียแล้ว

เหมือนความทรงจำเรื่องเมื่อคืนมันย้อนกลับเข้ามาในสมอง จากการเห็นหน้าอมยิ้มแดงเรื่อ และผิวร่างแกร่งเป็นลอน ปลุกให้ความต้องการในส่วนลึกมันโลดเล่นขึ้นจนผมควบคุมร่างกายบางส่วนของตนเองไม่ได้

“คิดเหมือนกันใช่ไหม?”

“เรา….. เราไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น” แต่ร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟัง ทำไมเราถึงได้ต้องการคนตรงหน้าขนาดนี้นะ คงเพราะยาตกค้างหรือเปล่า ผมพยายามคิดเข้าข้างตนเอง

“โกหกไม่เนียนเลยนะ” คอปเตอร์ยิ้มมุมปากแบบเซ็กซี่

ยอมรับครับว่าใช่ แม้ปากจะบอกไล่แต่ร่างกายกลับไม่ต่อต้านอีกฝ่าย แม้แต่ทันทีที่อีกฝ่ายโน้มตัวลงมาใช้ริมฝีปากสัมผัสที่ต้นคอด้านหน้า ผมก็แทบจะไม่มีท่าทีต่อต้าน

ความรู้มันกลับตรงกันข้าม….

มือของผมถูกกุมและโน้มไปด้านบนเบาด้วยมือข้างที่ว่างของคอปเตอร์ ผมกลายเป็นคนว่านอนสอนง่ายไปเสียแล้ว ยอมโยนมือไปตามแรงอีกฝ่าย ให้อีกฝ่ายได้ลิ้มชิมรสผิวหนังสดใหม่ในช่วงเช้าอย่างหิวโหย แต่ก็อ่อนโยนจนผมไม่อยากให้ช่วงเวลานี้สิ้นสุด

เขาไล่ลิ้มชิมหยดหยาดเหงื่อที่ผมเริ่มซึมออกจากความตื่นตัวของกล้ามเนื้อทุกส่วน ไล่ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั้งผ้าห่มที่ควรจะปกคลุมเราทั้งคู่ไหลลู่ลงไปกองที่ปลายเตียง

คอปเตอร์ไม่ได้หยุดแค่ช่วงท้องน้อย แต่ลงไปต่อในส่วนยอดชายของผม เขาเติมเต็มความรู้สึกของผมอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้ ไม่อยากจะเชื่อว่าคนดิบเถื่อนอย่างคอปเตอร์จะทำได้อ่อนโยนขนาดนี้

ในที่สุดก็ถึงช่วงสำคัญที่คนด้านล่างได้แหวกขายาวของผมและพลิกกลับหลัง จนผมเผลอที่จะร้องเสียงหลงไม่ได้

แต่แปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรต่อนอกจากนั่งมองนิ่งๆ อยู่พักใหญ่

บอกตามตรงว่าผมเริ่มจะอายแล้ว

ทันทีที่ผมจะเอ่ยถาม คอปเตอร์ก็พูดแทรกขึ้นมา

“อยู่นิ่งไปก่อน ขอโทษนะ เราขอโทษ”

ผมขยับตัวลุกขึ้นและหันกลับไปเห็นคราบสีแดงสด เปรอะอยู่ทั่วผ้าปูที่นอนสีฟ้าคราม

ในขณะที่ผมร้องโวยวาย ผมก็ถูกอีกฝ่าย รวบตัวและอุ้มเข้าห้องน้ำทันที


………..
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (29/03/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-03-2024 13:07:26
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (11/04/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-04-2024 15:17:50

ถึงแม้ว่าจะโมโหเพื่อนอย่างไอ้ไตเติ้ลมากแค่ไหน แต่หนนี้คงต้องวางทิฐิตัวเองลงชั่วคราว ในขณะที่ผมนอนนิ่งอยู่บนเตียงหลังจากถูกคอปเตอร์อุ้มไปอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยก็ยกโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตนเองขึ้นมาโทรศัพท์หาไอ้หมอเถื่อนเพื่อนตนเอง

“สวัสดี ว่าไง ทำไมโทรหากูได้ตั้งแต่เช้า!! มีอะไรก็พูดมากูเพิ่งลงเวรมา กูพร้อมจะร่วงลงเตียงได้ทุกเมื่อ!! ห้านาทีเท่านั้น!! ฃพูดมาก่อนที่กูจะหลับ!!”

แค่ได้ยินเสียงและคำทักทายแกล้งโง่ของมันแล้วผมก็หูร้อนไปหมด แทบจะสะกดกลั้นความโกรธต่อไอ้คนขายเพื่อนแทบไม่อยู่ แต่พอมาดูสภาพร่างตนเองที่ต้องขอพึงพามัน จึงอดทนไว้ก่อน

ผมอ้ำอึ้งที่จะเริ่มต้นอยู่นาน คอปเตอร์ที่นั่งห่วงอยู่ห่าง ๆ เพราะผมโวยวายใส่หลังจากออกจากห้องน้ำ ก็ทำท่าทางบอกใบ้ว่าให้เขาบอกเองไหม ?

ผมแสยะยิ้มแล้วยกนิ้วกลางให้มัน!!

“คือ…กู… ขอความช่วยเหลือหน่อย คือ กูว่า กูมีแผล ….ที่ …. เอ่อ ….. กลัวจะอักเสบ มึงหายามาให้กูตอนนี้เลยได้ไหมวะ?”

“เป็นอะไรวะ” เสียงที่ปลายสายมีอาการสั่นๆ ที่ปลายประโยค

ผมนึกถึงหน้าที่กลั้นขำของมันออกเป็นฉาก ๆ  มือก็กำหมัดแน่นไว้

“เอ่อ…. คือ เป็นแผลมั้ง เลือดออกเยอะเลย”

“ตรงไหน?”

“มึงนี่ก็ถามแปลกๆ ตรงไหนมันก็เหมือนกันไหมแผลน่ะ!!”

“ไม่เหมือนดิ!! มึงจะรู้ดีกว่าหมอเรอะไง!!”

“อย่ามากวนตีนกู!!”

“ไม่ได้กวนตีน กูจัดยาให้ไม่ถูก” เป็นอีกครั้งที่รู้สึกเห็นปลายสายยิ้มอย่างสะใจ

“เชี้ย!! ….ที่…. เอ่อ… ที่…ก้…..น…”

“ไอ้สัด!! ดังๆสิกูไม่ได้ยิน เป็นอะไรก็บอกอย่าอายหมอ!!”

เส้นความอดทนผมมันขาดดัง ผึง!!

“กูไม่นับถือมึงเป็นหมอไอ้นกสองหัว กูไม่คิดเลยว่าว่าจะมีเพื่อนแบบมึง ไอ้สัด!! ไม่ช่วยแล้วยังลีลาอีก คนอย่างมึงไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้าอีกเลย!!!”

ผมโวยลั่นใส่โทรศัพท์ แล้วก็วางสายใส่มันไปเลย

ผมวางโทรศัพท์หอบหายใจอยู่พักใหญ่ คอปเตอร์ที่เห็นท่าไม่ดีจึงเดินมาโอบไหล่ผม อย่างทะนุถนอม ผมใจเย็นลงอย่างประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากผมมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับมันไปเพียงชั่วคืน มันจะทำให้ผมรู้สึกกับมันเปลี่ยนไปขนาดนี้

สักพักผมจึงเริ่มรู้สึกตัวเองว่ากำลังใจอ่อนกับไอ้คนที่เคยทำร้ายเรา ผมมองแรงใส่มันอีกครั้ง แน่นอนว่าอีกฝ่ายยอมล่าถอยแต่โดยดี ด้วยท่าทีหงอยห่อเหี่ยว

“ไม่ต้องไปไหนก็ได้อยู่ข้างกันแบบนี้ก็ได้”
แอบตกใจเหมือนกันที่ตัวเองพูดแบบนั้นออกไปโดยไม่คิด

แน่นอนว่าไอ้นักเลงนั้นมีท่าทางหูลู่หางกระดิกกระโจนเข้ามานั่งใกล้ๆ แทบจะทันที

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หน้าจอแสดงให้เห็นเป็นหน้าไอ้เพื่อนทรยศยิ้มแฉ่ง หากไม่คิดว่าโทรศัพท์มันแพงผมคงหาอะไรมาทุบให้หน้าหักไปแล้ว

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายโดยที่ไร้เสียงทักทาย

“มึง……” ไอ้เพื่อนทรยศลากเสียงยาวใส่

ผมยังไม่มีอารมณ์จะตอบมัน รู้แต่ว่ายิ่งได้ยินเสียงมันก็ยิ่งโกรธ ความร้อนจากในอกมันปะทุเดือดปุดๆ จนเหมือนจะได้ยินเสียงความเดือดของอารมณ์ตัวเองชัดเจน

“กูจำเป็นนะ มึงฟังกูก่อน กูไม่อยากให้มึงเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ ไหนๆ ทุกคนก็สำนึกผิดแล้ว และกูว่าทุกคนก็ได้รับผลกรรมในแบบของตนเองกันแล้ว”

“กูไม่เข้าใจที่มึงพูดสักประโยค!!!” ผมตอบกลับไปด้วยอาการอดกลั้นถึงขีดสุด

“หา!! พวกมึงนี่นะ กูละปวดหัวจริง นี่พวกมึงได้กันโดยไม่คุยกันเรื่องที่ผ่านๆ หรือไง!!”

ผมนิ่งไปพักหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีของแหลมแทงหัวใจตรงเส้นเลือดดำ

“มึงคิดว่าไอ้เชี้ยคอปเตอร์จำมึงไม่ได้เรอะ ทั้งๆมันส่องไอจีมึงเป็นปีๆ!!  เข้าขั้นโรคจิตเลยล่ะ”

ผมรู้สึกเสียววันหลังวูบ ไม่เคยคิดเลยว่า ไอจีที่เราเพิ่งสมัครเมื่อสมัยมหาวิทยาลัยจะถูกคอปเตอร์หาเจอและแอบส่องมาโดยตลอด

“ฟังกูดีๆ นะ มันแอบชอบมึงตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว ส่วนมันชอบมึงตอนไหน เพราะอะไร กูไม่รู้ มันไม่เล่าให้กูฟัง!! รู้แต่ช่วงนั้นมันมีปัญหาครอบครัว  มันก็เลยไม่ค่อยมีเพื่อน หลังจากที่มันชอบมึงก็แอบมองมึงมาตลอด มันเห็นว่ามึงเจอไอ้พวกอันธพาลรังแกบ่อยๆ มันก็คิดปกป้อง แต่มันรู้ว่าหากทำตัวเป็นฮีโร่ สุดท้ายฮีโร่นี่แหละตายก่อน มันจึงต้องไปสนิทกับไอ้พวกเลวนั้น”

ฟังเพื่อนตัวเองเล่ามาถึงตรงนี้ก็รู้สึกแปลกๆ ในอก ไม่รู้จะรู้สึกแบบใดดี ระหว่างดีใจ กับ สับสน


“กูก็เพิ่งมารู้จริงๆ นี่แหละว่า ทุกอย่างที่มันทำน่ะ มันพยายามช่วยมึงทางอ้อมนะ หากมึงรู้ว่าจริงๆ แล้วมึงจะโดนอะไรบ้าง กูว่ามึงโชคดีแล้วที่โดนมันแกล้งน่ะ และสุดท้ายก็เป็นไอ้คอปเตอร์นี่แหละมี่มาสารภาพเสียทุกสิ่งให้อาจารย์ปกครองฟัง จนต้องลงโทษไอ้พวกเกเรพวกนั้นให้ไม่กล้าทำอะไรใครอีก!!”

“นี่กูแค่สรุปให้นะ รายละเอียดมึงไปถามมันเอง มันแกล้งมึงมันก็ทุกข์ใจ พอมึงทำเรื่องย้ายไป มันก็ได้แต่โทษตัวเอง อยากจะไปขอโทษ แม่งก็ตาขาวไม่กล้า การที่มึงเข้ามาฝึกงานในบริษัทของมันนี่ถือว่าสวรรค์เมตตามันแล้ว!!“

ผมนั่งฟังอย่างเงียบเชียบ ผมมองไปทางคอปเตอร์ที่เหมือนกับก้มหน้ายอมรับความจริงที่ไอ้เติ้ลเล่ามา

“สุดท้ายอยู่ที่มึงแล้ว!! ว่าจะเอายังไงกันต่อ!!” ไอ้เติ้ลพูดทิ้งท้ายก่อนจะวางหู เพื่อที่จะเอายามาให้ผม

ผมบอกตามตรงว่าไม่รู้จะแสดงอากัปกิริยาอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ สมองมันสับสนไปหมด แต่กลับเป็นคอปเตอร์ที่ขยับเข้ามาใกล้และเริ่มบทสนทนาก่อน

“เราไม่ขอแก้ตัวอะไร เรารู้ว่าเราผิด เรารู้ว่าเราอ่อนแอ เราไม่ได้เข้มแข็งเหมือนที่ใครๆ คิด ที่ผ่านมาเราก็แค่แกล้งทำเป็นเข้มแข็งเพื่อให้อยู่ในโรงเรียนได้ เรายอมรับผิดที่เราผิดกับวินไปเสียทุกเรื่อง แต่เราไม่ไหวแล้ว เมื่อครั้งที่วินเดินเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง มันเหมือนพระเจ้าได้ให้โอกาสเราอีกครั้ง ได้มีโอกาสแก้ตัว และขอให้ได้รักกับนาย แต่เราก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะยอมรับความจริงได้ สุดท้ายมันก็เลยเป็นแบบนี้ เรากลัวว่าหากเราทำว่าเราจำนายได้ตั้งแต่แรกเราคงไม่ได้คุยกันโชคดีที่ได้ไปปรึกษาไอ้เติ้ล……”

“เราไม่เข้าใจว่า มันไปสนิทกับนายตอนไหน ก็ในเมื่อเรากับมันก็ติดต่อกันตลอด!!” ผมเผลอพูดแทรกเพราะคอปเตอร์มันดันพูดชื่อไอ้เพื่อนสนิทที่ผมยังมีคำถามค้างคาใจอยู่จำนวนมาก

“เอ่อ….. เรื่องนั้น คือ….. ก็ไม่ได้สนิทกับมันแต่ว่าแฟนของมันเป็นเพื่อนสนิทเราน่ะ!!”

อ้าว!! ไอ้เพื่อนเลว เห็นหญิงดีกว่าเพื่อนเสียแล้ว (หรือชายวะ มันก็แทบไม่เคยเล่าเรื่องแฟนมันเลย

“คือ……แล้ว….หากเราจะขอยกโทษจากนายเนี่ย….. จะได้ไหม? เราสาบานเลยว่าจะไม่ทำให้นายต้องเสียใจอีกต่อไป”  คอปเตอร์ถามเสียงเศร้า

ผมนึกทบทวนทันทีหลังจากจบคำถามจากคนด้านข้าง ที่ผ่านมาผมยอมรับว่าผมเสียสุขภาพจิตไปกับเรื่องถูกรังแกสมัยมัธยมพอสมควร แม้จะถึงขั้นไปปรึกษาจิตแพทย์ แต่ผมก็ผ่านมันมาได้แล้ว มันทำให้ผม เข้มแข็งขึ้น และเป็นแรงขับดันให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมนึกย้อนกลับไปก็เข้าใจดีว่า สมัยนั้นก็มีคนแกล้ง กับ คนโดนแกล้งนั่นแหละ  ช่วงเวลาเด็กวันรุ่นที่คึกคะนองก็คงอยากเป็นอย่างแรกมากกว่า ผมยังเคยคิดแบบนั้นเลย ในที่สุดผมก็คิดอะไรได้

“ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” ผมพูดขึ้นมาเสียงดังหลังจากนิ่งเงียบไปพักใหญ่

คอปเตอร์ได้แต่ทำหน้างุนงงกับคำพูดของผม ผมยิ้มและตอบกลับไป

“จะให้เรายกโทษให้กับเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา บอกเลยว่ายาก ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม”

คอปเตอร์หน้าซีดลงและลดศรีษะลงเล็กน้อย

“แต่จากนี้ก็ขอดูนะว่านายจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า?” ผมพูดต่อ

คอปเตอร์หันมามองหน้าผมอย่างุนงง ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงได้โง่นักนะ

“ถึงจะไม่ยกโทษให้แต่ก็คาดโทษไว้ก่อน หากว่าวันไหนนายเป็นแฟนเลวๆ ของเราเสียแล้ว รับรองวันนั้นได้ได้ชดใช้ทั้งต้นทั้งดอกแน่นอน!!”

“แปลว่า…..”

“อยากเป็นแฟนเราไม่ใช่เหรอ?”

คอปเตอร์พยักหน้าระรัว

ผมก็พยักหน้าตอบ เท่านั้นแหละ คอปเตอร์โผเข้ามากอดผมเต็มแรง ผมล้มลงไปนอนบนพื้นเตียง ก้นกระแทกสะเทือนไปหมด ผมร้องออกมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว

คอปเตอร์ขอโทษขอโพยไม่หยุด แต่ก็พรมจูบที่แก้มผมทั้งสองข้างไม่หยุดเหมือนกัน


…………..
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (11/04/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 11-04-2024 22:05:52
 :ling1: :z6:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (18/04/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 18-04-2024 12:14:05


เสียงเคาะประตูดังมาพักใหญ่แล้ว แต่คอปเตอร์ที่กอดผมไม่ปล่อย ผมไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมลุกไปเปิดประตู นับตั้งแต่วินาทีที่ผมออกปากตกลงคบกับเขา คอปเตอร์ก็กอดผมไม่ปล่อยเลย เอาแต่พูดว่าอย่าชดเชยเวลาที่เสียไป

“หลายปีที่ผ่านมากอดนายได้แต่ในฝัน แต่ครั้งนี้ได้จับเนื้อหนังเป็นๆ แบบนี้ เราไม่คิดอยากจะปล่อยนายไปไหนเลย”

ผมฟังแบบนี่แล้วรู้สึกขนลุก อดที่กรอกตาไปมาไม่ได้

“กูรู้ว่าพวกมึงได้ยินที่กูเคาะประตู อย่าเอาแต่นอนกกกันแล้วไม่สนใจกูได้ไหม กูเอาเวลาพักผ่อนมาหามึงนะ!!” ไอ้ไตเติ้ลตะโกนลั่น

ด้วยความรู้สึกอายผมเลยยื่นคำขาดกับคอปเตอร์ว่า หากไม่รีบลุกออกไป ผมจะโกรธและไม่ให้แตะต้องตัวอีก เท่านั้นแหละ ร่างที่สูงใหญ่ของอีกฝ่ายก็ดีดออกและไปเปิดประตูให้ไอ้ไตเติ้ลอย่างรวดเร็ว

คอปเตอร์มองค้อนคนที่เพิ่งเข้ามาตาเขียวที่มาขัดจังหวะความสุขของเขา

ผมเอ่ยทักทายเพื่อนด้วยรอยยิ้มเขินๆ กับสภาพตัวเอง ไม่คิดว่าจะให้เพื่อนรักมาช่วยดูแลเรื่องอะไรแบบนี้ของตน แต่ที่แปลกใจกว่าคือคนที่เดินตามมาด้วยห่างๆ ด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ

ผมมองไปที่คนมาใหม่ด้วยท่าทางสับสนสลับกับมองเพื่อนของผมและแฟนใหม่ป้ายแดงของผมที่มีสีหน้าไม่ได้แสดงความประหลาดใจออกมาเลย

“แฟนกูเอง!” ไอ้เติ้ลพูดออกมาสั้นๆ เป็นคำตอบ

“อะ อ้อ…. เอ่อ สวัสดีครับ”  ผมมองคนที่ผมไม่คุ้นหน้าและทักทายอย่างสุภาพ

ผมกวักมือเรียกเพื่อนสนิทของผมมาใกล้ๆ พอได้จังหวะผมก็คว้าคอมันลงมาใกล้ผมเพื่อเค้นถามเรื่องคาใจ

“สรุปว่า…เป็นผู้ชาย? หน้าตาน่ารักดีนี่หว่า นี่กูนึกว่า จะประมาณดาวมหาวิทยาลัย สรุปเดือนเหรอวะ อันนี้พีค กูไม่รู้เลยว่ามึงจะ มีรสนิยมแบบนี้!!”

“นี่มึงบูลลี่กู อย่างมึงนี่ไม่น่าว่ากูได้นะ!!”

“อย่างน้อยกูก็ชัดเจน ไม่เหมือนมึง!!”

“กูไม่ได้สนเพศนี่หว่า หากชอบกูก็จีบแค่นั้น แต่คนนี้พิเศษหน่อย!!”

“พิเศษยังไงวะ!!??“

แล้วไอ้เติ้ลก็สบัดคอให้หลุดจากการควบคุมของผม

“นี่มึงไม่เคยเล่าเชี้ยอะไรให้เพื่อนกูฟังจริงง่ะ?” ไอ้เติ้ลหันไปหาคอปเตอร์อย่างอ่อนใจ

“อยากให้มึงเล่าเอง!” แฟนป้ายแดงผมตอบ ซึ่งผมก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเคยพูดแบบนั้นจริงๆ

“สัด!!! โยนขี้ให้กูเสียอย่างนั้น” พูดเสร็จมันก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว

“ศรัณย์.. มานี่หน่อยสิ!” ไอ้เติ้ลเรียกคนที่บอกว่าเป็นแฟนมาใกล้ๆ

“มึงมองให้ดีๆ จำไม่ได้จริงๆ น่ะ?”

ผมมองตามที่มันบอก แต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ชายหนุ่มตรงหน้าแต่งตัวสุภาพ ดวงตากลมโต คิ้วเข้ม ทรงผมยาวกว่ารองทรงพอสมควร ผมแสกข้างด้านหน้าที่ยาวเหมือนขาดการตัดผมไปหลายเดือน หน้าตาเกลี้ยงเกลา ขาวเนียน หน้าออกแนวหวานมากกว่าหล่อ หนวดก็โกนได้เกลี้ยงเกลาจนแทบไม่เห็นตอขน แต่งกายด้วยเชิ้ตสีขาวสะอาดแขนยาวและกางเกงผ้าทรงสุภาพที่เข้ารูปกำลังดี

คนที่ดูโดดเด่นแบบนี้ผมน่าจะจำได้สิ แต่กลับแค่คุ้นเคย แต่นึก
ไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน  หากเคยเป็นเดือนคณะฯ จริงๆ ผมคงจะรู้จักบ้าง เพราะสังเกตได้จากตราที่เข็มขัดจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน

“โง่จริง!! ถ้ากูเรียก ไอ้เข้มล่ะ“ ไอ้เติ้ลเหล่มองผมอย่างละอาใจ

“คุ้นนะ แต่เราไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักชื่อ ‘เข้ม’ อะไรนั่น……เข้มเดียวที่กูรู้จักก็……….” พูดพลางคิดพลางก็สำรวจที่คนมาใหม่นี่อีกรอบ

สุดท้ายผมก็มองแฟนเพื่อนด้วยตาโตกว่าปกติ

“ว่าไง!!” แฟนของเพื่อนสนิทเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเข้มต่างใบหน้าหวานๆ และพลางทำท่าทักทายที่เราแสนจะคุ้นเคย เพราะหากเจอคำทักทายแบบนี้ แปลว่าพวกผมโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษแล้ว!!

“ไอ้เชี้ยเข้ม ไอ้บูลลี่ปากหมาคนนั้นน่ะนะ!!” ผมพูดขึ้นพลางชี้ไปที่คนที่แต่งกายสุภาพคนนั้น

“สัด!! กว่าจะนึกออก!!” เพื่อนผมถอนหายใจ

“ไอ้เชี้ยก็มันต่างจากภาพลักษณ์ที่จำได้อย่างกับฟ้ากับเหว!!” ผมผายมือไปทางไอ้เข้ม เหวี่ยงมือขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้า

“หน้าดำๆ มันๆ ไว้หนวดเฟิ้ม เสื้อผ้าก็ยับๆ ผิดระเบียบ ตั้งแต่เข็มขัดยันรองเท้า เตะบอลเหงื่อออกทั้งวันแบบนั้น ใครจะไปเชื่อวะ ว่าจะเปลี่นนไปได้ขนาดนี่!!” ผมเล่าความในใจเสียงดังแบบไม่ปิดบัง

“พูดเสียเราอยากรังเกียจตัวเองเลย” ไอ้เข้มผ่อนลมหายใจ แล้วก็ทำหน้าหดหู่ทันที ส่วนเสียงนั่นปรับเป็นโทนเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ต่างจากเมื่อครู่

“ขืนกูให้เมียกูเป็นแบบเดิมก็แย่ดิวะ กว่าจะดัดสันดานได้ขนาดนี้!!” ไอ้เติ้ลพูดสวนขึ้นมาด้วยสีหน้าภูมิใจ

“ไม่ต้องพูดเลย หากไม่รักจะยอมทำขนาดนี้ไหมเนี่ย!!” ไอ้เข้มทำสีหน้างอนๆ ใส่ไอ้เติ้ล ซึ่งเป็นภาพที่แปลกตามาก ไม่คิดว่าชาตินี้ศัตรูอันดับหนึ่งของพวกเด็กเนิร์ด จะกลายเป็นเด็กเนิร์ดเสียเองแบบนี้ ไหนจะท่าทีอ่อนหวานพวกนั้นอีก 

แล้วไอ้เติ้ลไปดัดนิสัยประมาณไหนเนี่ย!!

“กูว่าไม่ต้องดัด เพราะมันเป็นอินเนอร์!!” เสียวคอปเตอร์แทรกขึ้นมาระหว่างที่คู่รักสองคนนั้นกำลังมองหน้ากันเหมือนชวนทะเลาะ

นับแต่วินาทีนั้น ก็มีแต่เสียงพูดคุยกันระหว่างสามคนนั้นที่ผมฟังแล้วเวียนหัว

แต่ก่อนที่จะคุยกันไปมาไม่จบ ไอ้เติ้ลที่เพลียจากการเข้าเวรมาก็ขอให้รักษาใส่ยาให้ผมให้เรียบร้อยก่อน

เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับผมหน่อย เลยให้ไอ้เข้มไปรอที่ห้องของคอปเตอร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ก่อนออกไปไอ้เข้มได้บอกว่า เราไม่ได้ชื่อเข้มหรอกนะ อันนี้เราตั้งเองเพราะชื่อเล่นจริงของเรา บอกไปคงไม่มีใครกลัว

“คุโร น่ะเหรอ” แฟนเขาแซวขึ้นมา

“ก็จริงนะ!! น่ารักเชียว” ไตเติ้ลพูดพลางพลางยิ้มหวาน

ส่วนคุโรยิ้มอย่างเขินๆ แล้วก็หันหลังเดินไป แต่ก่อนจะออกจากประตู เขาก็หันกลับมาพูดกับผม เพื่อแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

“เรียกศรัณย์เถอะ เหมือนไอ้คอปเตอร์ไง ง่ายดี”

ผมหันไปหาแฟนป้ายแดงของตัวเอง แล้วสื่อสารประมาณว่า เรามีเรื่องต้องคุยกัน!!


ส่วนคอปเตอร์นั้นผมไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป เพราะมันบอกว่า นอนเปลือยด้วยกันทั้งคืน ขนาดนี้ แถมใช้มือสัมผัสผมแทบจะทุกส่วนแล้วจะอายอะไรกัน ผมได้ถอนหายใจแล้วปล่อยมันอยู่ต่อโดยมีไอ้เพื่อนทรยศอย่างไอ้หมอเถื่อนสนับสนุนว่า

“อย่างมึงทำแผลแบบนี้คนเดียวไม่ได้หรอก ต้องมีคนช่วย ให้ผัวมึงช่วยเถอะ!!” ฟังแล้วอยากหารองเท้ายัดปากมัน

ผมกัดฟันกรอดๆ แต่แทนที่ไอ้เติ้ลมันจะสำนึก มันกลับสวนกลับด้วยคำพูด

“หรือมึงจะเถียง!!”

ผมเลยตัดสินใจเลิกสนใจมันและมุ่งสมาธิกับการรักษาแผลตัวเองดีกว่า

ไอ้เติ้ลเข้าสู่โหมดแพทย์วิชาชีพที่จริง อธิบายเรื่องยาและเรื่องการทำแผลด้วยศัพท์วิชาการและน้ำเสียงน่าเชื่อถือ ส่วนคอปเตอร์แม้ผมจะมองไม่เห็นหน้า แต่คิดว่ามันคงตั้งใจน่าดูเพราะแทบไม่ได้ยินเสียงมันเลย

หลังจากทำความสะอาดแผลและสอดยาเรียบร้อยโดยคอปเตอร์ ผมก็ได้แต่ลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทางที่ไม่ได้สบายตัวเท่าไหร่นัก แอบยอมรับว่าคอปเตอร์มันเป็นห่วงผมจริงๆ ในทุกขั้นตอน ผมก็เลยไม่สามารถบ่นหรือตำหนิมันได้เลย

“มึงอยากจะเคลียร์เลยไหมล่ะ!!? ไม่งั้นกูจะไปนอนกกเมียแล้ว!!”  ไอ้เติ้ลผู้ไม่เคยสำนึกกับอะไรเอ่ยขึ้นมาพร้อมจ้องหน้าผมเหมือนเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นความผิดของผม

“กูเจ็บ กูว่าจะปล่อยผ่าน แต่เห็นหน้าเชี้ยๆ ของมึงแล้วกูอยากจะเคลียร์เลย!!” ผมคิ้วขมวดกลับ ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาก็คือ ไอ้คอปเตอร์มันก็แค่บลัฟผมเท่านั้น มันคงไม่คิดว่าผมจะกล้าเอ่ยปากขอเคลียร์เลย

ไอ้ไตเติ้ลมันมีสีหน้าลนลานแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรศัพท์หาแฟนตัวเอง

ศรัณย์เดินเข้ามาด้วยท่าทางสุภาพและเรียบร้อย ภาพเก่าที่เคยทับซ้อนอยู่บนความกลัวในหัวของผม มันค่อยๆ เลือนหายไป ผมไม่รู้ว่าไอ้ไตเติ้ลมันทำแบบไหนถึงได้ทำให้คนนี้เปลี่ยนไปขนาดนี้

“เราขอเล่าก่อนก็แล้วกัน จริงๆ เรื่องของเรามันก็เป็นพรหมลิขิตล้วนๆ เลยนะ แต่อาจจะใช้โอกาสที่มีให้เป็นประโยชน์เท่านั่นเอง” คอปเตอร์ยกมือขึ้นขนาดกับศรีษะตัวเอง

ผมพยักหน้าและตั้งใจฟัง ก่อนที่จะฟัง ผมก็แอบเห็นด้วยนะ เพราะการที่ผมอยากมาฝึกงานที่นี่ก็เพราะตัวผมเอง  ผมไม่เคยบอกไอ้ไตเติ้ลเสียด้วยซ้ำ เพราะมันเรียนหนักกว่าผมอีก ก็เลยปล่อยผ่าน ดังนั้นเรื่องที่มันพูดก็ไม่ผิดเสียทีเดียว

คอปเตอร์ยอมรับว่าค่อนข้างช้อคและทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอผมอีกครั้งในสถานที่เดียวกัน และยอมนับว่าสับสนว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีสุดท้ายก็ต้องแสดงออกไปว่าจำไม่ได้ เพราะอยากสร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกันใหม่

แต่เพราะว่าศรัณย์ซึ่งตอนนี้เป็นแฟนของไอ้เติ้ลแล้วนั้นรู้เรื่องก็เลยหลุดปากเรื่องที่ผมกับคอปเตอร์พบกันอีกครั้ง (คอปเตอร์ที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรจึงได้มาปรึกษากับศรัณย์ทุกวัน เรื่องก็เลยถึงหูไตเติ้ลที่ชำนาญการเรื่องความเผือกเป็นลำดับต้นๆ 

และคงไม่ต้องบอกนะว่าศรัณย์โดนอะไรบ้างเมื่อ ศรัณย์พยายามปิดบังไม่ให้ไตเติ้ลรู้เรื่อง เพราะศรัณย์อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป ผมขอเซ็นเซอร์ไม่เล่านะ ให้รู้แต่ว่า วันต่อมาศรัณย์แทบเดินปกติไม่ได้ (ไอ้ซาดิสต์เอ้ย!!)

ในที่สุดคนที่รู้เรื่องของทั้งสองฝ่ายอย่างไอ้เติ้ลมันก็เริ่มคิดแผนรวบรัด เพราะผมดันเผลอไปเล่าให้มันฟังเรื่องที่เจอคอปเตอร์ในที่ฝึกงาน

หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่ทุกคนรู้กัน

หลังจากเรื่องของผมกระจ่าง ผมจึงเพ่งเป้าหมายใหม่ไปที่มันทันที

“พวกมึงคบกันได้ยังไง!”

“เรื่องมันยาววววว”

“กูว่าง!!!”

“ไม่เสือกสักเรื่อง!!”

“กูเพื่อนมึงนะ”

“ยกเว้นกูไว้สักคนนะ ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของกูก็ได้”

“ไอ้สัด!!” ผมโมโห จนอยากจะกระโดดต่อยหน้ามันสักหมัด แต่ตอนนี่คงได้แต่กำหมัด

“ให้แฟนมึงเล่าให้ฟังสิ” ไอ้เติ้ลหันมายิ้มให้คอปเตอร์ที่นั่งอยู่ไม่ไกล

คอปเตอร์สีหน้าเจื่อนๆ และตอบกลับมาด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจ

“เรื่องนี้ศรัณย์ไม่อยากให้เล่านะ อีกอย่าง เราก็รู้แต่มุมของฝั่งศรัณย์ด้วย”

“ผัวมึงเชื่องดีนะ!!” 

ไม่เคยนึกเลยว่าไอ้เติ้ลมันจะห้าวได้ขนาดนี้ อะไรไปเปลี่ยนมันได้ขนาดนี้วะ

“เออ ก็ได้วะ!!” ผมมองหน้ายิ้มอ่อนของศรัณย์แล้วก็รู้สึกยอมแพ้

“นิดหน่อยก็ได้ แต่ให้คอปเตอร์เล่าก็แล้วกัน”

“เอาจริงน่ะ” คอปเตอร์ทวนสอบให้แน่ใจ

“คร่าวๆ สิ!” แว่บหนึ่งที่เห็นความโหดของสีหน้าเก่าๆ ของศรัณย์แทรกมา

“เออๆ งั้น…..ค่อยเล่าให้ฟังวันหลังได้ไหม?” คอปเตอร์หันมาขออนุญาตผม ซึ่งผมก็เข้าใจ จึงพยักหน้าตอบไป

หลังจากนั้นก็คุยกันเรื่องการดูแลตัวเอง และเพศศึกษาฉบับชายรักชายที่คุณหมอมือใหม่อย่างไอ้เติ้ลเทศนามาเกือบชั่วโมง ก่อนที่จะโอบกอดศรัณย์จนตัวลอยและพาออกจากห้องไปด้วยใบหน้าที่หื่นกระหายอีกฝ่าย 1000%

แขกสองคนออกจากห้องไปหลายนาทีแล้วแต่ในห้องที่อยู่ระหว่างผมกับมันก็ยังคงเงียบสงบ อาจเพราะความไม่คุ้นเคยกับสถานะใหม่ ที่กระทันหันปรับตัวไม่ทัน จึงได้แต่นั่งมองหน้ากันอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างหลบตา และพยายามที่เอื้อนเอ่ยสื่อสารกัน แต่ก็ต้องหยุดตัวเองไว้เพราะ มันเหมือนมีบรรยากาศใหม่ๆ แฝงตัวอยู่ในบรรยากาศของห้องจนมวลอากาศหนักอึ้ง

“เอ่อ…. เรื่องไอ้…เอ้ย  ศรัณย์กับไอ้เติ้ลน่ะ เล่าให้ฟังได้ไหม?” ผมชิงทำลายบรรยากาศอึดอัดแบบนี้ก่อน แปลกๆ นะ ที่เราเลยขั้นนั้นมาแล้ว แต่ยังเอียงอายกับการอยู่สองคนลำพังแบบนี้

“เราก็ไม่ได้รู้เยอะอะไรมากนะ จริงอยู่ที่เราสนิทกับศรัณย์ แต่ก็สนิทกันแค่ช่วงผิวเผินช่วงแรก เพราะสังคมช่วงนั้นมันพาไป ศรัณย์มันมาเฉลยที่หลังว่ามันหมั่นไส้เรามากที่ดีพร้อมทุกอย่าง เลยพยายามเอาเข้ามาเป็นพวกเกเรด้วยกัน  คือมันมีปมนิดหน่อยน่ะ”  คอปเตอร์พูดไปก็ทำหน้านึกย้อนไปด้วย ก็น่ารักดี เวลาไม่ได้เซ็ตผมแบบนี้ พูดด้วยท่าทางสุภาพแบบเด็กๆ แบบนี้ก็น่ารักดีนะ

ผมอาจจะเผลอยิ้มจนอีกฝ่ายหยุดพูดและจ้องเขม็งมาด้วยความแปลกใจ

“อะไร?!?” ผมถามย้อนเป็นเชิงให้อีกฝ่ายหยุดจ้องผมแบบนั้นได้แล้ว

“ก่อนเล่าต่อ เราขออะไรอย่างหนึ่งสิ?”

“????” ผมทำหน้าสงสัยตอบกลับไป

“ขอเข้าไปนั่งใกล้ๆ ได้ไหม?”

แน่นอนผมตอบว่า ‘ได้’  ก็ไม่ได้เสียหายอะไรเสียหน่อย

ผมขยับตัวมาพิงหัวเตียงและเหลือพื้นที่ให้อีกฝ่ายมานั่งพิงหัวเตียงข้างๆ ได้ แต่หลังจากที่คอปเตอร์มาถึงพื้นที่ๆ ผมเว้นไว้ให้ เขากลับแทรกแขนตนเองอ้อมไปที่ด้านหลังของผม และใช้แรงโอบไหล่ผมกระชับเข้ามาใกล้  ผมเสียหลังเอียงคอไปซบไหล่อุ่น ๆ ของอีกฝ่าย

ความรู้สึกแรกคือ ผมจะโวยวายที่มันถือวิสาสะขนาดนี้ แต่พอได้ซบลงพอดีและลงตัว ความอบอุ่นและความสบายตัวมันเพิ่มขึ้นมาอย่างท่วมท้น ในใจกลับได้รับการเติมเต็มไปด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด สุดท้ายผมทำได้แค่ปล่อยตัวไปตามสบายและฟังเสียงนุ่มๆ ของคอปเตอร์เหล่าให้ฟังผ่านเส้นเสียงที่ดังจากภายในอก แบบนี้ใช่ไหมที่เรียกว่า ฟิน!

คอปเตอร์เล่าต่อทันทีหลังจากทุกอย่างลงตัว เขาแอบยิ้มอย่างลืมตัวจนผมรู้สึกได้จากภาพสะท้อนของชั้นวางกระจกที่มุมห้อง

………………….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (18/04/24)
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 18-04-2024 15:59:50
ชอบจังงงงงงง
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (18/04/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 18-04-2024 19:39:10
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (18/04/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 19-04-2024 14:34:43
ชอบจังงงงงงง

ขอบคุณที่ชอบครับ
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 obsessed (26/04/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-04-2024 15:38:11

บทที่ 11 Obsessed



ผมตื่นขึ้นมาบนที่นอนอย่างงงงวย เพราะมันช่างว่างเปล่าและมืดมิด ม่านที่ไหวหวิวเพราะลมของเครื่องปรับอากาศที่ถูกปรับจนเต็มความแรงลม  เสียงนาฬิกาปลุกที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟน ดังขึ้นเรื่อยๆ จนแทบอยากจะขว้างทิ้ง แต่เสียดายที่มันแพงเหลือเกิน ในที่สุดจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปปิดอย่างอารมณ์ไม่แจ่มใสนัก

เมื่อคืนจำได้ลางๆ ว่านอนซบคอปเตอร์อยู่แล้วก็วูบไปเลย จำอะไรไม่ได้แล้ว (นี่ผมติดมันขนาดนั้นเลย?) หลังจากนั้นผมก็ตื่นมาบนที่นอนอย่างเดียวดาย ในใจมันวูบไหวว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูกไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงรู้สึกแบบนี้ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อนเสียเท่าไหร่

ขณะที่กำลังจะเดินไปเปิดไฟโดยเดินตามแสงพรายที่เรืองแสงอยู่ที่ข้างประตูห้องน้ำไม่ไกล  ประตูบานใหญ่ทางเข้าห้องก็เปิดกว้างขึ้นอย่างช้าๆ และแสงสว่างจากภายนอกสาดไปทั่วห้อง

“อ้าวตื่นแล้วหรือครับ?” คนที่เดินเข้าประตูเอ่ยทัก

ผมรู้สึกโล่งอกอย่างประหลาดที่เรื่องที่ผ่านมาเมื่อวานไม่ใช่ความฝัน มีแรงสั่นเพื่อมอย่างประหลาดในอกและ กำลังวังชาเหมือนจะฟื้นคืนมาระดับหนึ่ง

ผมน่าจะเผลอยิ้มออกมาด้วยซ้ำ นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?!?

“เราออกไปซื้อมื้อเช้ามา จะได้กินมื้อเช้าก่อนกินยา” คอปเตอร์ยกถุงอาหารขึ้นมาให้เห็นเป็นเหมือนพวงองุ่น

“บ้าเหรอ ใครจะไปกินหมด!!” ผมตอบกลับไปแบบนั้น แต่หน้าร้อนผ่าวไปหมด

“ก็เราไม่รู้ว่านายจะอยากกินอะไรนี่นา”

“เออๆ ไม่เป็นไร เราไปอาบน้ำ แปรงฟันก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อน!!” คอปเตอร์เอ่ยทักเสียงดัง

ผมหันไปดูสีหน้าคนพูดอย่างตื่นตระหนก

”เอ่อ…. เราอาบด้วยสิ!!”

“ไม่เป็นไร เราอาบเองได้”

“รู้! แต่ อยากอาบด้วย”

ผมอึ้งไปพักใหญ่ หน้าร้อนขึ้นไปอีก

“เราไม่น่าจะอายกันแล้วนะ”

“แต่เรายัง……..อะ….” ตอบไม่ถูกเลยผม

“งั้นไม่เป็นไร” คอปเตอร์ยิ้มหงอยหลังจากพูดจบประโยค

ผมพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างลังเล

ก่อนจะปิดประตู ผมดันเผลอพูดไปว่า

“ไม่ได้ล็อกประตูนะ อยากอาบน้ำก็เปิดเข้ามา”

ที่เหลือคงไม่ต้องบอกนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น


…….


วันนี้มาทำงานเหมือนปกติ ผมมองบรรยากาศโดยรอบเห็นพี่ๆ พนักงานประจำทยอยเดินเข้ามาทำงานอย่างเอื่อยเฉื่อย แม้ภาพจะเป็นแบบนั้นแต่ผมรู้ว่าเมื่อถึงเวลาทำงานพี่ๆ เขาทำงานกันอย่างจริงจังมาก

ผมยกยิ้มมุมปากอย่างไม่ตั้งใจ พลางรู้สึกใจหายที่อีกไม่กี่สัปดาห์ ผมจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่เสียแล้ว

ผมเดินมาถึงห้อง วางสัมภาระตนเองลงตรงที่ประจำตัว จ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดขึ้นและกำลังประมวลผลแสดงภาพอยู่ คนที่เดินตามผมไม่ห่างก็ได้เอ่ยทักขึ้นมาทันทีที่กระแทกก้นนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว

“เป็นอะไร เห็นเหม่อมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว?”

“เปล่า แค่รู้สึกใจหายนิดหน่อย ใกล้จบฝึกงานแล้วนี่นา”

“อยากมาทำงานที่นี่ก็ไม่เห็นจะยากเลย!”

“มีตำแหน่งงานว่างเหรอ?”

“ไม่รู้ แต่จะให้มีก็ไม่ยาก”

“ไม่เอา ไม่ทำแบบนี้สิ เราอยากใช้ความสามารถของตนเองมากกว่า!”

“แต่เราว่าวินมีความสามารถนะ เก่งขนาดนี้ น่ารักขนาดนี้ ใครไม่รับทำงานถือว่าโง่มาก!” พูดจบคอปเตอร์ก็ดึงมือผมจนเสียหลักและเซไปนั่งตักเขาทันที

“จะบ้าเหรอ นี่มันที่ทำงานนะ!!!!” ผมรีบขัดขืนทันทีแต่ก็สู้แรงกอดของอีกฝ่ายไม่ได้ เขาโอบรัดเอวผมอย่างรวดเร็วและเอาหน้าซุกลงที่กลางหลังผมอย่างแนบชิด ลมหายใจอุ่นๆ กระทบแผ่นหลังผม อยู่เนื่อง ๆ

พี่ท้อปที่เดินเข้ามาทักทายเพื่อมอบหมายงานให้เป็นปกติทุกเช้าก็ต้องมาเป็นประจักษ์พยานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างไป

เขิน….

ผมพูดได้คำเดียว

“เอ่อ….. จะให้เข้ามาอีกที หลังจากนี้ไหม?” พี่ท้อปถามพลางมองไปทางอื่น

“ได้ครับพี่ ขอบคุณครับ” คอปเตอร์ตอบแทบจะทันที

“ไม่นะ ไม่ใช่สิ! คอปเตอร์ปล่อย!! ไม่งั้นจะโกรธนะ”

และแล้วทุกอย่างก็กลับสู่สิ่งที่ควรจะเป็น ท่ามกลางสีหน้าประหลาดใจของพี่ท้อป

“งั้นน้องวินมาคุยกับพี่ที่โต๊ะหน่อยสิ” พูดจบพี่ท้อปก็ปิดประตูและเดินกลับไปทันที

“ก้างขวางคอ!!” คอปเตอร์ทำสีหน้าที่ต้องการสบถแรงกว่านี้แต่เกรงใจผมที่หน้าหงุดหงิดใส่ตั้งแต่พี่ท้อปเดินจากไปอย่างอึดอัด

“เราตกลงกันแล้วนี่ ให้ทำตัวเหมือนเดิมระหว่างที่อยู่ที่ทำงาน”

“ก็มันอดไม่ได้นี่นา แฟนน่ารักขนาดนี้” คอปเตอร์ทำหน้ายู่เป็นเด็กเอาแต่ใจ

ผมผ่อนลมหายใจออกมาหมดปอด ไม่คิดว่าตนเองจะไปเปิดกล่องแพนดอร่าของไอ้คอปเตอร์เข้า ถึงได้เปลี่ยนเป็นคนละคน

“เลือกเอาว่าจะอดที่นี่หรือที่ห้อง!!”  ผมยื่นคำขาดซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี

“ที่นี่ผมจะอดทนครับ!” คอปเตอร์ตอบพร้อมทำท่าทำความเคารพเหมือนตำรวจยกมือขึ้นเทียบหางคิ้ว เป็นภาพที่น่าเอ็นดูจริงๆ ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เห็นมุมนี้ของไอ้คนเถื่อนคนนี้

ผมส่ายหน้าแล้วเดินหนีออกจากห้อง ผมแอบมองเห็นสายตาหมาหงอยเวลาเจ้าของไม่อยู่บ้านจากคอปเตอร์ชัดเจน

คนไม่เคยจริงจังกับใครอย่างผมถึงกับใช้หน้ามือตบที่หน้าผากตัวเองเบา ๆ หลายครั้ง พยายามอย่ายอมแพ้กับภาพน่ารักตรงหน้า อย่าใจอ่อนกับเขาเด็ดขาด

…………
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 Obsessed (26/04/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-04-2024 20:31:31
 :jul3: :laugh:
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 Obsessed (26/04/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nualsiri ที่ 05-05-2024 23:33:46
 :hao6:สนุกมาก รอตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 Obsessed (07/05/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-05-2024 10:28:21

…………

“พี่แค่จะถามว่า งานโปรเจ็คถึงไหนแล้วให้พี่ช่วยไหม?” แก้มกลมของพี่ท้อป เปล่งสีชาดพร้อมกับรอยยิ้มที่บาน เขาจะรู้ตัวไหมว่า เขาควบคุมตัวเองเวลาตื่นเต้นไม่ได้

“พี่จะถามเรื่องนี้จริงน่ะ?” ผมสวนกลับไปด้วยความไม่เชื่อหูตัวเอง

“จริงสิ!! เห็นพี่แบบนี้ พี่ก็ช่วยคนเรียนจบมาเยอะนะ”

“งั้นดีเลยเดี๋ยวผมไปเอาโปรเจ็คมาให้พี่ช่วยดูหน่อย”

“แต่ก่อนพูดเรื่องงาน พี่ถามอะไรหน่อย?”

นั่นไง!!!! มาแล้วครับ เผือกร้อนในอกมันเก็บไม่อยู่

ผมพยักหน้าพร้อมรับแรงกระแทกจากคำถาม

“ดูพวกเราก้าวหน้าขึ้นนะ สรุปว่ายังไงกัน?” พี่ท้อปเข้าสู่โหมดจริงจังเสียยิ่งกว่าเมื่อสักครู่

“หมายถึง……” ผมพยายามขยาย แต่ดูสีหน้าอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไร

“ผมกับคอปเตอร์?”

“ใช่ๆ ไหนว่าไม่ชอบหน้ากันไง หรือว่าจะประมาณ เกลียดอะไรก็ได้อย่างนั้น!!”

โดนจู่โจมขนาดที่ว่าไม่ให้พักหายใจกันเลย

หลังจากโดนเซ้าซี้อยู่พักใหญ่ สุดท้ายผมก็ยอมเฉลยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคอปเตอร์ แต่เอาที่พอจะบอกได้ เรื่องบนเตียง ผมขอข้ามไปให้หมดเลย


“เห็นไหมล่ะ!!” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นหลังผนังกั้นที่สูงไม่เกิน 1.50 เมตร ทำให้เห็นร่างของต้นเสียงชัดเจน พี่เชอร์รี่ประชาสัมพันธ์สาวสวยยึดตัวขึ้นพร้อมกำมือขึ้นเสมออก แสดงถึงความมีชัยของตน

ผมอุทานชื่อคนที่ยืดตัวขึ้นมาอย่างตกใจ ไม่ใช่แค่นั่น ด้านหลังผนังกั้นรอบๆ ก็มีเงาศรีษะอีกหลายคนปรากฏขึ้น

“ทุกคนต้องจ่ายฉันจ้า“ พี่เชอร์รี่ แบมือและขยับนิ้วเข้าหาตัวเองเป็นการเรียกทรัพย์จากคนโดยรอบ ท่ามกลางสายตาที่แสดงความประหลาดใจปนผิดหวังจากผมส่งไปหาทุกคนโดยรอบ

“ใครจะไปรู้ว่าเจ้าชายขั้วโลกเหนืออย่างนั้นจะมาตกหลุมเสน่ห์ผู้ชายสไตล์น่ารักๆ แบบน้องวินแบบนี้ คนสวย คนหล่อมาจีบเจ้าชายก็เยอะ ไม่เห็นเคยสนใจใคร แม้แต่พี่เอกเองก็…..” หญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากพี่เชอร์รี่บ่นขึ้นเสียงดัง ในขณะถึงท้ายประโยคที่เอ่ยถึงบุคคลที่ไม่ควรจะเอ่ย ทุกคนก็ทำเสียง จุ๊ๆๆๆ พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“เว้นพี่คนหนึ่งนะเพราะพี่สนิทกับวินมาก พี่ว่ามันมีเคมีบางอย่างที่ น้องวินมี ใครไม่หลงก็แย่แล้ว!! พี่ยังคิดว่าน้องวินน่ารักเลย หากยังไม่มีเมียนะ คงจีบ!!”  พี่ท้อปพูดติดตลก ทำให้ผมผ่อนคลายหายประหม่า และลดความร้อนในใจลงไปได้บ้าง

“ชิส์  ฉันลืมแกไปเลย อีท้อป!! นึกว่าจะแต่ฉันที่ได้พนันไปคนเดียว!! แล้วก็แน่ใจนะที่พูดออกมาน่ะ สงสารน้องวินนะที่จะต้องโดนเมียแกมาแหกอกน่ะ!!”

“แค่พูดขยายไหม ไม่ได้จริงจังเสียหน่อย!! ว่าแต่ พี่ขอโทษนะ ที่ต้องมารู้เรื่องไร้สาระของพวกพี่ พี่รู้ว่ามันเหมือนไม่ให้เกียรติวินเลย พี่ขอโทษนะ” พี่ท้อปแสดงความเป็นผู้ใหญ่ให้เห็น ทั้งที่ปกติไม่ค่อยแสดงออกให้เห็นเท่าไหร่ ทำให้ผมพอที่จะทำใจให้อภัยได้บ้าง

“ผมเข้าใจครับ และหวังว่าพี่จะช่วยผมทำโปรเจ็ค และการประเมินฝึกงานให้ผมจริงๆ นะ!!”  ผมยิ้มกลับอย่างเยือกเย็น

พี่ท้อปรับปากด้วยท่าทางหวาดๆ

“อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอก แฟนน้องวินนะ”

“ก็อยู่ที่ว่า พี่จะช่วยผมแบบไหน?”

”พี่เต็มที่แน่นอนครับ” เหงื่อพี่ท้อปไหลชะโลมแก้มเปล่งปลั่งดั่งมะเขือเทศของพี่ท้อป

ผมหัวเราะกับท่าทางของพี่ท้อป บอกกลับไปว่าผมล้อเล่น ผมเข้าใจ แต่ช่วยอย่าพนันอะไรเรื่องผมอีกก็เท่านั้นเอง

……..


ผมเดินกลับไปที่ห้องทำงานสำหรับนักศึกษาฝึกงานเพื่อไปส่งไฟล์โปรเจ็คที่ผมร่างไว้ให้พี่ท้อปช่วยทบทวนถึงข้อมูลในเล่ม แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตาทันทีที่มาถึงห้องคือ  แฟนใหม่ป้ายแดงของผมที่นั่งกอดอก คิ้วขมวดจ้องมองมาที่ผมด้วยท่าทางไม่ชอบใจนัก

“นาน!! นานมาก!!” คอปเตอร์พูดด้วยเสียงแข็งกร้าว

แต่แปลกใจตัวเองที่ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นเหมือนที่ผ่านๆ มา ยิ่งกลับรู้สึกอยากแกล้งขึ้นไปอีก

“ไปทำงานครับ!!” ผมตอบห้วนๆ พร้อมเดินไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ปิดตัวลงเมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ ผมจัดการเปิดขึ้นใหม่และหาไฟล์งานตนเองอย่างตั้งใจ โดยพยายามไม่สนใจคนที่พยายามเรียกร้องความสนใจอยู่ด้านข้าง

“ทำงานอีกแล้ว!!”

“เราไม่ได้คาบช้อนเงินข้อนทองมาเกิดแบบนายนี่!!”

“จะส่งโปรเจ็คให้ใคร?“ ทุกการกระทำของผมอยู่ในสายตาคอปเตอร์

“พี่ท้อปจะช่วยดูให้น่ะจะได้เสร็จเร็วขึ้น”

“เราก็ดูให้ได้นะ”

“พี่ท้อปเขาประสบการณ์เยอะกว่า ให้เขาช่วยเถอะ”

“ไม่เห็นยากเลย!!”

“แต่นายไม่ใช่คนที่ช่วยประเมินเรานะ!!”

“……..” คอปเตอร์เหมือนพยายามคิดอะไรบางอย่างในใจอยู่ มันแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน

“หยุดเลย! มีแผนอะไรอีก คิดอะไรไม่ดีอยู่ก็หยุดเลย เจอกันตอนเที่ยงนะ” ผมจัดการส่งไฟล์เสร็จก็รีบผละออกจากโต๊ะทันที

แต่อยู่ๆ ผมก็ถูกแรงมือของอีกฝ่ายฉุดให้ลงมานั่งที่ตักของคอปเตอร์ และกอดแน่นไม่ปล่อย

“เฮ้ย !! อะไรน่ะ!!”

“กว่าจะเจอกันก็เที่ยงเลย ผมขอชาร์จพลังเก็บไว้หน่อย” คอปเตอร์พูดจบก็ซุกสันจมูกของเขาลงมาที่กลางหลังของผม และสูดลมหายใจเข้าไปในปอดอยู่หลายฟืด ก่อนที่จะปล่อยผมไปด้วยสีหน้าเหงาหงอย

ผมเดินไปหาพี่ท้อปด้วยท่าทางมึนงง ไม่คิดว่าจะมีแฟนที่ติดกับตัวเองขนาดนี้ ผมจะไหวกับพฤติกรรมมันไหมเนี่ย?

…………..


ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีการให้คำปรึกษาของพี่ท้อปนั้นดีกว่าที่คิดมาก งานของผมคืบหน้าจนเรียกได้ว่าเหลือเพียงเรียบเรียงเป็นรูปเล่มให้เหมาะสมเท่านั้น สมกับเป็นมืออาชีพที่ทำงานด้านนี้มานาน

รู้แบบนี้ เดินมาปรึกษาตั้งนานแล้ว

ก่อนที่จะแยกย้ายกลับห้อง ผมจึงถามเรื่องที่คาใจผมอยู่พักใหญ่

“พี่ท้อปครับ คืองานที่ผมทำกับพี่โจโจ้……”

“จะถามเรื่องงานหรือเรื่องพี่โจโจ้ล่ะ?”

ผมขยับมุมปากยิ้มอ่อนตอบไป เพราะพี่ท้อปน่าจะรู้คำตอบ

“เฮ้อ…. เสียดายนะ งานนั้นเกือบเสร็จแล้วด้วย ไม่น่าเลยนะพี่โจ้ ไม่รู้อะไรดลใจ พี่รู้แต่ว่า งานนั้นพี่เอกรับกลับไปทำเองแล้ว ส่วนพี่โจ้ก็….. หลังจากโดนสืบสวนทางวินัยแล้ว เขาก็ขอลาออกเอง….. ทุกคนที่นี่รู้นะว่าพี่เขาเจ้าชู้น่ะ ถึงขึ้นได้ฉายา ผู้พิชิตนักศึกษาฝึกงาน' แต่ที่ผ่านมาทุกคนก็ดูเต็มใจ เพราะพี่โจ้มันหล่อ แต่ก็แปลก มันไม่เคยเกิดเหตุการณ์ขึ้นแบบนี้ ทุกคนเลยตีความไปว่า วินน่าจะตรงสเปกพี่เขามาก!!”

“ว่าไปนั่น อย่างผมเนี่ยนะ!!”

“อย่าให้พี่ต้องอธิบาย ขนาดคุณคอปเตอร์..”

“แต่คอปเตอร์ เขามันต่างกันนะ คือ….”  ผมพูดแย้งขึ้นมาแต่ก็ต้องหยุดเพราะคิดว่าเรื่องมันคงซับซ้อนเกินไป คอปเตอร์เองก็คงไม่อยากให้ใครรู้

“คุณคอปเตอร์ ทำไมหรือ?” พี่ท้อปทำหน้าสงสัย คำพูดของผมคงไปกระทุ้งต่อมเผือกของพี่เขาอีกครั้ง

“น้องวิน มาหาพี่หน่อย!!” ระหว่างที่ผมกำลังคิดคำตอบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ก็เหมือนมีพระมาโปรด พี่เอกเดินมาจากไหนไม่ทราบ ยืนเรียกหาผมอยู่ไม่ไกล

ผมรีบขอตัวกับพี่ท้อปทันที

ผมเดินตามพี่เอกมาจนถึงห้องทำงานส่วนตัวของพี่เอก ผมหยุดอยู่ที่หน้าประตูอย่างลังเลที่จะเดินเข้าไป เพราะบริเวณนี้มันอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุของตนเองเท่าไหร่ ทำให้ใจมันหวาดหวั่นชอบกล

ในที่สุดผมก็สูดลมหายใจเต็มปอดเพิ่มกำลังใจตนเองแล้วก้าวเท้าเข้าห้องตรงหน้าไปทั้งที่ใจจริงก็ไม่ได้พร้อมเท่าไหร่

“พี่ว่าจะกล่าวขอโทษน้องวินอย่างเป็นทางการและแสดงความรับผิดชอบโดย ยินดีที่จะลาออกทันทีที่หาคนมาแทนพี่ได้”

คำพูดแรกจากพี่เอกที่เอ่ยขึ้นทันทีที่ผมปิดประตู ทำให้ผมไม่ได้ตั้งตัวกับการกระทำแบบนี้ ผมหันมาหาพี่เอกที่ต้นเสียงก็พบว่าพี่เอกยืนก้มศรีษะต่ำขนานพื้นอยู่แบบนั้น

“พี่ครับ แบบนี้ ผมก็ลำบากใจนะครับ บอกตามตรงนะครับ ว่าผมน่ะโกรธและไม่ชอบการกระทำของพี่มากๆ ผมไม่ขอเข้าใจนะครับว่าอะไรทำให้ความคิดของพี่บิดเบี้ยวแบบนั้น อีกในหนึ่งเพราะความที่ผมไม่เข้าใจนี่แหละก็เลยไม่รู้จะโกรธพี่ตรงไหน รู้แต่ว่าหากผมรักใครสักคน คงไม่ทำอะไรแบบนี้”

ผมพูดสิ่งที่คิดในใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง  ปกติผมจะถนอมนำ้ใจคนฟังเลยไม่พูดตรงๆ แต่กับคนนี้ผมกลับพูดออกไปแบบนั้นอย่างไม่มีการยั้งคิดอะไร

“รู้สึกเหมือนโดนสอนอยู่เลย ไม่แน่ใจว่าใครโตกว่าเลยนะ”

“เห็นผมยังเด็กแบบนี้แต่ผมก็ผ่านอะไรมาเยอะนะครับในชีวิต”

พี่เอกฟังที่ผมพูดจบก็เค้นยิ้มออกมาบางๆ

“พี่ขอสรุปเลยว่า เราไม่ให้อภัยพี่”

“เรื่องนั้น ในฐานะคนเป็นเหยื่อกับเรื่องนี้ ผมคงตอบพี่ตอนนี้ไม่ได้ครับว่า ให้อภัยพี่ได้หรือไม่ นี่มันชีวิตจริงนะครับ ไม่ใช่ละครคุณธรรม เอาเป็นว่า ระยะเวลาเท่านั้นที่จะทำให้ผมให้อภัยพี่ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ที่นี่ วันนี้!!”

“น้องวินจะให้พี่รู้สึกผิดไปจนวันที่พี่ลาออกเลยเหรอ?”

“ความจริงพี่ควรจะคิดเรื่องนี้ไปตลอดชีวิตพี่นะครับ จะได้ไม่เผลอทำแบบนี้อีก ส่วนเรื่องลาออก ผมว่ามันคนละเรื่อง ผมทราบนะครับว่าพี่ทำคุณประโยชน์ให้กับที่นี่ไว้มาก พี่เป็นคนมีความสามารถ ที่แม้แต่ผมยังเสียดายเลย ดังนั้นผมคิดว่าพี่ควรไถ่โทษโดยการขยันทำงานไปเถอะนะ”

“แต่…. แต่….จะให้พี่อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้….”

“นั่นคือสิ่งที่พี่ต้องชดใช้ครับ หากพี่สำนึกผิดจริงๆ สิ่งนี้จะชดเชยให้ผมได้ครับ!! ถือว่าเป็นการลงโทษจากผมก็แล้วกัน ผมอยากให้พี่ทำงานต่อไป จนกว่าจะสำนึกผิด เรื่องนี้เบื้องลึกเบื้องหลังไม่มีใครรู้นี่ครับ นอกจากผม พี่เอก แล้วก็ตามคอปเตอร์”

“แต่พี่ไปสารภาพกับคุณร็อคเก็ตแล้ว”

“แล้วพี่ร็อคเขาว่าอย่างไร?”

“เขาก็พูดเหมือนวิน”

“นั่นไง” ผมชี้ไปที่ตัวพี่เอกให้เขาได้คิด

เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมคนคุ้นหน้าที่เปิดแง้มประตูเข้ามาชวนไปกินข้าวเหมือนเด็กงอแงที่หิวโหย

“พี่เอกก็ไปติดดูนะ”


……………..


“ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย!” เป็นคำชมจากคนที่ผมไม่อยากได้ยินเลย เพราะไอ้คนที่ชมก็แผนเยอะไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน

หลังจากผมเล่าให้คอปเตอร์ฟังขณะกินมื้อเที่ยง

“วินเนี่ยเป็นผู้ใหญ่กว่าที่คิดเลยนะ!!”

“ส่วนนายก็โตเสียทีสิ!!”

“อุ้ย!!!” คอปเตอร์ทำตาโตใส่ผม และหยุดนิ่งไปเลยพักใหญ่ การที่ผมต่อว่าเขากลับไปด้วยถ้อยคำแบบนี้ มันหลายเป็นกิจวัตรของผมไปเสียแล้ว ไม่นึกว่าไอ้คนหนังหนาแบบนี้จะสะดุ้งสะเทือน

“เป็นอะไร รับความจริงไม่ได้เลย?” ผมกล่าวกับเขาไปด้วยความอยากลองดูท่าทีของเขา

คอปเตอร์ไม่พูดพร่ำฮัมเพลง เขากระโจนเข้ามาหาผมด้วยความรวดเร็ว ผมตั้งการ์ดรอทันทีด้วยปฏิกิริยาตอบสนอง  ผมถูกคนตรงหน้าโอบรัดด้วยความแรงพอเหมาะ กอดผมแน่นด้วยความหมั่นเขี้ยวเหมือนเห็นผมเป็นแมวตัวน้อยน่ารักที่อยากจะหอมฟัดไปเสียทุกส่วน

เสียงโวยวานของผมที่ตื่นตระหนกในช่วงแรก กลายเป็นเสียงร้องไล่ให้คนตรงหน้าออกห่างจากตัวด้วยความอายและความรำคาญ

“ออกไป ทำอะไรเนี่ย เป็นบ้าอะไร? อยู่ๆ เข้ามากอด!!”  ผมไม่เพียงแค่พูด แต่มือก็คอยตบไหล่และหลังของคอปเตอร์เสียงดัง

ที่สำคัญ ณ เวลาแบบนี้ มันเป็นช่วงที่คนใช้พื้นที่วีไอพีนี้มากที่สุด ดังนั้น พวกผมสองคนจึงกลายเป็นเป้าสนใจในทันที

เสียงกระแอ๋มจากชายในชุดสูทสีครีมเนี๊ยบดังมาจากที่ไม่ไกล แต่ทำได้เพียงแค่ทำให้คอปเตอร์หันไปมองให้รู้ว่าเสียงใคร แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดแกล้งผมโดยการกอดและใช้จมูกฟัดร่างผมอย่างสนุกสนาน

เสียงกระแอม ดังขึ้นเป็นชุดที่ สอง สาม สี่ และ ห้า ไอ้คนหน้ามึนก็ยังไม่ยอมหยุด สุดท้ายคอปเตอร์ก็ลอยออกห่างจากผมไปนั่งอยู่ในที่เขาควรจะอยู่ คือเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

มือของพี่ร็อคยังคงรั้งอยู่ที่ปกเสื้อด้านหลังของเสื้อเชิ้ตของคอปเตอร์ พี่น้องคู่นี้แรงเยอะทั้งคู่เลย ไม่นึกว่าแขนบางๆ แบบนั้นจะมีแรงมากขนาดนี้

“หัดดูกาลเทศะเสียบ้าง!! ไม่แปลกใจเลยที่แม่จะยังเป็นห่วงนายมากขนาดนี้!!”

“คงไม่มีใครสมบูรณ์แบบเท่ามึงแล้วมั้ง กูไม่ได้อยากจะเอาหน้าแบบมึง!!”

“หัดทำตัวดีๆ บ้าง นายรู้ไหมแม่เป็นห่วง”

“รู้!! แต่กูก็ไม่ได้เกเรขนาดนั้นไหม?”

“รู้ว่าเรียนดี กิจกรรมเด่น แต่ทำตัวไม่สนโลกแบบนี่มันดีแล้วหรือ?”

“มึงเป็นใครถึงได้มาสอนกู!!”

“กูเป็นพี่มึงไง!!”

เมื่อผมเห็นสถานการณ์เริ่มระอุเหมือนสงครามรัสเซียยูเครนแบบนี้ ผมจึงต้องทำตัวเป็นสหประชาชาติเข้าห้ามปราม

โดยเริ่มจากไอ้คนสันดานเสียใกล้ตัวก่อน

“คอปเตอร์ หยุดทีได้ไหม?” แม้จะเป็นคำพูดที่เรียบง่ายและโทนเสียงที่สุภาพ แต่ต่างจากสายตาที่เหมือนเสือที่พร้อมตะปบเหยื่อ

คอปเตอร์หยุดขยับปากและหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะทันที

เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจกับพี่ร็อคเก็ตพอสมควร เขาถึงกับมองมาทางผมด้วยสีหน้าทึ่งๆ

“วันนี้แปลกๆ นะ ที่คอปเตอร์จะสงบสติอารมณ์ง่ายขนาดนี้!!”

“อ้าว!! มึง ไอ้เตี้ย วอนเสีย……..”

ผมมองคนฝั่งตรงข้ามด้วยหางตา พลางทำเสียงจุๆในคอ

“เอ่อ… ครับ กินข้าวเถอะ จะบ่ายโมงแล้ว”

“เพราะใครล่ะ  รีบกินเลย” ผมใส่ความหงุดหงิดในน้ำเสียง

อีกฝ่ายทำตามอย่างว่าง่าย

“ว้าว….. ไม่เคยเห็นเลย แบบนี้พี่ขอร่วมโต๊ะด้วยได้ไหม?”

“เสือก!!! คนเป็นแฟนเขาจะคุยกันสองคน!!” ไม่พูดเปล่า คอปเตอร์เดินข้ามฝั่งมานั่งเก้าอี้ฝั่งเดียวกับผม และโอบไหล่ผมแน่น

“อะไรนะ??” พี่ร็อคเก็ตมีสีหน้าประหลาดใจ

“มึงฟังไม่ผิด นี่แฟนกู กูได้พรมจารีวินแล้ว!!”

ป๊าป!!!

เสียงฝ่ามือของผมแหวกอากาศไปลูบที่ศรีษะไอ้คนปากสุนัขข้างๆ ทันที

ไอ้คนปากสุนัขที่หน้าคว่ำไปขนานกับพื้นพรมสีสวย ถึงกับหันหน้ามาทางผมอย่างโมโหร้ายด้วยความลืมตัว แต่หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าผมแล้วก็แทบจะก้มกราบผมในทันที

ผมไม่แน่ใจว่าตนเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป ผมรู้แต่ว่าตัวเองมีน้ำรื้อเอ่ออยู่ในดวงตา ร่างกายและใบหน้าร้อนผ่าว จ้องมองไอ้คนไม่รู้จักคิดและมีความคิดไม่ต่างราวกับเด็กมัธยมต้น

ผมลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหัน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหนรู้แต่ว่าอยากหนีออกไปจากตรงนี้

ผมแอบเห็นหน้าพี่ร็อคเก็ตที่เอือมระอากับน้องชาย และมองมาทางผมอย่างเห็นใจ

คอปเตอร์กระโดดรวบตัวผมไว้อย่างรวดเร็ว เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเหนี่ยวรั้งผมไว้ตรงนั้น ปากก็พูดแต่คำว่าขอโทษและสำนึกผิด

“ไม่โตเสียทีนะ สงสารคนเป็นแฟนเลย” พี่ร็อคเก็ตกล่าวเหน็บน้องชายในสภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ไม่เคยเห็นคอปเตอร์ในสภาพที่ห่วงความรู้สึก คนๆ หนึ่งได้มากขนาดนี้ ปกติคนอย่างคอปเตอร์ไม่เคยมีครั้งไหนที่หัวเข่าจะแตะพื้นหากไม่ใช่คนเป็นแม่

“อย่าเสือก!! ผัวเมียเขาจะเคลียร์กัน!!” เสียงจากไอ้คนที่เหมือนจะสำนึกผิดดังขึ้น

หลังจากได้ยินประโยคนั้น ทำให้ผมรู้สึกคิดผิดที่เลือกมัน!! ผมใช้แรงทั้งหมดพยายามดิ้นรนให้ตนเองหลุดออกจากบ่วงแขนของอีกฝ่าย

ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายกว่านี้ พี่ร็อคเก็ตก็ได้กล่าวประโยคสั่นๆ ประโยคหนึ่งกับน้องชายตนเองทันที

“ไอ้เตอร์ เอ็งน่าจะรู้นะว่าจะใช้วิธีอะไรให้อีกฝ่ายยกโทษให้ รู้สึกตัวแล้วก็รีบทำเสียสิ!!”

หลังจากจบประโยค คอปเตอร์ก็ปลดมือตัวเองออกและ ก้าวออกมาคุกเข่า ต่อหน้าผม และลดศรีษะต้วเองหมอบลงเกือบติดพื้น!!

ผมร้องเสียงหลงตกใจ ไม่คิดว่าจะมีคนมาทำอะไรแบบนี้

“เราขอโทษนะ เราจะไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนี้อีก เราจะให้เกียรติ นายมากกว่านี้เรารักนายนะอย่าโกรธเราเลยนะ”

มันเป็นภาพที่ผมเองก็คิดไม่ถึง จริงๆ ผมคิดว่าแค่เขาขอโทษอย่างจริงใจและยอมรับผิด ผมก็ใจเย็นลงแล้ว แต่แบบนี้มันเกินไป!!

ผมพยายามกล่อมให้คอปเตอร์ยืนขึ้นเพราะตอนนี้นอกจากจะเป็นจุดสนใจแล้ว ยังมีบางคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปด้วย

กว่าที่อีกฝ่ายจะยอมลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้แบบปกติ ก็หลายนาที รู้สึกชีวิตวัยรุ่นของตนเองสั้นลงไปเยอะเลย

“พี่เข้าใจแล้วนะ พี่ไม่คิดแย่งคนมีเจ้าของหรอกนะ ทำไมต้องเล่นกันใหญ่ขนาดนี้เลย” พี่ร็อคเก็ตพยายามเก็บเสียงหัวเราะในคอระหว่างพูด

ผมมองดูสีหน้าพี่ร็อคเก็ตที่เปื้อนยิ้มบาง ๆ แต่ให้ความรู้สึกที่แผ่ออกมากลับตรงกันข้าม ผมพูดไม่เก่ง แต่สิ่งที่ผมได้ทดแทนมาคือ การรับรู้อารมณ์ของผู้สนทนา

ไม่นานพี่ร็อคเก็ตก็ขอตัวออกไป ทั้งๆ ที่ตอนแรกบอกว่าจะมากินมื้อเที่ยงด้วยกัน แม้ในใจจะรู้สึกหน่วงๆ จนเจ็บจี๊ดที่เผลอไปทำร้ายคนดีๆ แบบนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะทำตามหัวใจตัวเองก็เลยได้แต่ยืนส่งพี่ร็อคเก็ตที่เกินห่างออกไปจนพ้นสายตา

………….
หัวข้อ: Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 Obsessed (07/05/24)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-05-2024 13:38:27
 :angry2: :serius2: