ตอนที่ 8 : ประสบการณ์ดักฟังครั้งแรกของเบิ้ม
ถ้าถามว่าเบิ้มกำลังทำอะไรอยู่
‘หมอนั่นหายหัวไปห้าวันแล้ว เราจะทำยังไงดี’
เบิ้มตอบได้เพียง...กำลังแอบดักฟังอยู่
และถ้าถามว่าดักฟังได้ยังไง มา เบิ้มจะเท้าความให้
หลังจากปรับความเข้าใจกัน ชุดนอนไม่ได้นอนของคมสันก็มาเยือนเบิ้มทุกคืนให้มือขวาโลกสวยอีกครั้ง
ความสัมพันธ์ที่คืบหน้า กับความรู้สึกที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การรุกคืบอย่างไวว่องในช่วงแรก กลายเป็นบรรยากาศละมุนนุ่มนวลลงอย่างไม่น่าเชื่อ คล้ายต่างคนต่างเปิดใจ พยายามจะเรียนรู้ซึ่งกันและกันให้มากกว่าเดิม
แต่ที่ไม่ต่างจากเดิม คือความร้อนฉ่ากับฟีโรโมนของคมสันที่มักนั่งไขว่ห้างบนเตียงเบิ้มด้วยท่วงท่าเดี๋ยวเปลี่ยนเป็นไขว้ขาซ้ายที ขาขวาทีเนี่ยละ
เล่นเอาร้อนวูบวาบไปหมด
แต่เพราะความสัมพันธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้ก็ดีแล้ว เบิ้มไม่อยากให้รีบร้อนไวไฟเหมือนแรกเริ่ม ที่เอะอะเดี๋ยวจับเดี๋ยวหอมเดี๋ยวจูบ ทำให้ไม่ได้เข้าใจกันที่ตัวตนจริงๆ เขาจะรอวันที่ต่างคนต่างพร้อม เป็นการร่วมรักที่ไม่ใช่การสนองทางเพศเพียงอย่างเดียว
แหม อย่างแมนอ่ะไอ้เบิ้ม
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ฉันมีงานให้นายทำ”
“อะไรหรือ” เบิ้มวางมือบนต้นขาคนรัก ไม่ได้คิดอกุศลแต่ขอจับขอทัชสักนิดให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ
“ดักฟัง” พูดจบ คมสันก็ยื่นกล่องซึ่งมีหูฟังอันเล็กๆ ส่งให้เบิ้ม
“แอบไปติดเครื่องดักฟังที่บ้านผู้หญิงคนนั้นมาเหรอสัน?”
“ฉันอยู่กับนายตลอด จะไปได้ยังไง” คมสันอธิบายอย่างใจเย็น คมสันเป็นคนปกติธรรมดามีสองมือสองเท้า แม้เบิ้มจะเหนือมนุษย์ไปบ้าง แต่จะให้คนรักทำอะไรเวอร์ๆ แบบนั้นก็เกินไป “ท่านประธานวานให้ฉันช่วยซื้ออุปกรณ์เกี่ยวกับเด็กเล็ก ท่านอยากเอาใจผู้หญิงคนนั้นหลังทะเลาะกันเรื่องทะเบียนสมรสมาหลายวันแล้วน่ะ ฉันเลยซื้อเตียงเด็ก รถเข็นเด็ก ของเล่นเด็กมาที่นี่ แล้วแอบซ่อนเครื่องดักฟัง”
เบิ้มครางในลำคอ จะว่าไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่านประธานก็อาศัยช่วงเด็กเวรเข้านอนแอบขนของขึ้นรถลับๆ ล่อๆ กับคมสัน เบิ้มกะแล้วว่าต้องเกี่ยวกับบ้านเล็กบ้านน้อยเลยไม่กล้าเสนอหน้า เพราะประธานยังไม่รู้ว่าคมสันเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังแล้ว
“เตียงเด็กอยู่ในห้องนอน รถเข็นอยู่ตรงทางเดิน ของเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่น น่าจะพอดักฟังได้อะไรดีๆ บ้าง”
มองคนรักที่พูดหน้าตายแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของชาวบ้าน เบิ้มก็ได้แต่รับหูฟังมาเก็บถนอมอย่างดี...อดคิดในใจไม่ได้ว่าคนรักของเขาช่างเก่งกาจเรื่องการวางแผนแบบไม่เปลืองแรงจริงๆ
“นายคอยสรุปแล้วเล่าให้ฉันฟังแค่ประเด็นสำคัญก็พอ”
หมดธุระ คมสันก็ตบมือเบิ้มซึ่งวางบนต้นขาเบาๆ เป็นสัญญาณให้ยกออก จากนั้นก็ลุกขึ้น หันมายิ้มสวยชวนเคลิ้ม
“ราตรีสวัสดิ์”
กลับมาปัจจุบัน
ไอ้เบิ้มวิ่งบนลู่ในฟิตเนสไป ก็แอบดักฟังไป
กลมกลืนกับคนอื่นที่ฟังเพลงออกกำลังกายกันเป็นเรื่องปกติ อันที่จริงเบิ้มก็สงสัย ว่าเขาควรจะมีสามัญสำนึกหน่อยมั้ยนะ แต่ในเมื่อรับเงินมาเป็นบอดี้การ์ด การป้องกันความปลอดภัยให้เด็กเวรก็ถือเป็นหน้าที่สำคัญ แต่พอทบทวนดูดีๆ ไอ้สิ่งที่ทำแต่ละอย่างทั้งขับรถชน ลักพาตัว พ่วงแอบดักฟัง...
คล้ายๆ จะเป็นอาชญากรรมชอบกล
แต่กับฝั่งที่หมายเอาชีวิต เบิ้มก็สมควรจะทิ้งมโนธรรมในใจเพื่อให้ครอบครัวยังเป็นครอบครัว
ไม่ใช่แค่ฝั่งเบิ้ม แต่รวมถึงฝั่งภรรยาคนที่สองของท่านประธานด้วย
เพราะต่อให้เชื่อฟังคมสันยังไง แต่เบิ้มก็ไม่วายต้องถามเพื่อความสบายใจว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ซึ่งคมสันยืนยันว่าแผนการที่คิดไว้นั้นจะทำให้ออกมาดีกับทุกฝ่าย ประธานจะยังคบหากับผู้หญิงคนนั้น ตัวเธอเองก็จะได้คลอดลูกอย่างปลอดภัย ส่วนเด็กเวรก็จะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ใช้ชีวิตไปวันๆ เหมือนไม่เคยมีใครปองร้าย
ต่างคนจะต่างใช้ชีวิตของตัวเอง ไร้ซึ่งการข้องแวะ และเลิกล้มความคิดอยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรจะได้
ฟังแล้วเหลือเชื่อนะ เบิ้มเองก็รอดูเหมือนกันว่าคมสันจะทำสำเร็จรึเปล่า
เพราะเขาคิดผลสรุปแบบที่ไม่ต้องแตกหักไม่ออกเลย!
‘ใช่ เจ้านั่นหายตัวไป เหลือแต่ซากรถกับรอยเลือด ถ้าไม่โดนลักพาตัวไป...ก็คงโดนฆ่าตายไปแล้ว’
ก็สถานการณ์ตอนนี้เข้าขั้นตึงเครียด อีกฝ่ายไม่ยอมถอยง่ายๆ แน่
‘อย่าคิดว่าผู้ช่วยเลขาคนนั้นไม่กล้าฆ่าคนนะแม่ เห็นหงิมๆ แบบนั้นแต่น่ากลัวจะตาย! คอยจัดแจงทุกอย่างให้ประธานตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มคบกับฉันเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่จองโต๊ะร้านอาหาร ซื้อของขวัญ ซื้อบ้าน ช่วยย้ายที่อยู่ ขนาดวันไหนควรจะกลับบ้านหรือมาหาฉัน ผู้ช่วยเลขายังเป็นคนกำหนดเลย!’
ที่แท้เธอก็คุยโทรศัพท์กับคุณแม่อยู่นี่เอง
‘ตัวเองก็น่ากลัวอยู่แล้ว ยังไปหาตัวประหลาดมาสมทบอีก’
เบิ้มคิ้วกระตุก
‘ก็ไอ้บอดี้การ์ดคนนั้นไงแม่ คนที่ช่วยชีวิตเด็กนั่นทันน่ะ คนปกติที่ไหนจะว่ายน้ำเร็วขนาดนั้น แถมซากรถที่เจอก็มีรอยมือตรงฝากระโปรงด้วย...ทั้งที่จ้างนักซิ่งค่าตัวแพงมาแท้ๆ กลับพลาดท่าไม่เหลือสภาพ ฉันว่ามันต้องไม่ใช่คนแน่ๆ’
ถ้าไม่ติดว่าดักฟังอยู่ เบิ้มก็อยากจะบอกเหลือเกินว่าเบิ้มเป็นคน เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อ อย่ากลัวไปเลย
‘เผลอๆ อาจจะฆ่าแล้วฝังศพอยู่แถวนั้นก็ได้’
เบิ้มถึงกับวิ่งไปวิ่งปาดเหงื่อไป ถ้าไม่ติดว่าดักฟังอยู่ ก็อยากจะติดต่อไปหาภรรยาคนที่สองของท่านประธานโดยตรงว่าเธอเข้าใจผิด เข้าใจผิดอย่างมหันต์เลยด้วย!
นักซิ่งคนนั้นอยู่ไหนน่ะเหรอ ปัดโธ่ ก็อยู่ในคฤหาสน์ไงละ!
แถมยังอยู่ดีกินดี มีอาหารเสิร์ฟสามมื้อ มีเตียง มีห้องน้ำส่วนตัวเพราะโดนพามาขังในห้องรับแขกชั้นสองของคฤหาสน์ ที่เรียกว่าขัง เพราะคมสันไม่อยากปล่อยคนไปหาผู้ว่าจ้าง เลยเป็นการลักพาตัวมาเลี้ยงดูปูเสื่อกรายๆ หลายวันนี้อุดมสมบูรณ์ขึ้นตั้งเยอะ!
ตอนแรกเบิ้มก็กังวลอยู่หรอกว่านักซิ่งคนนั้นจะยอมอยู่ในห้องดีๆ ไม่หาทางหนีออกไปแน่หรือ แต่พอเบิ้มแวะเวียนไปหา นักซิ่งคนนั้นก็กอดขาอ้อนวอนในทันดลว่าขออยู่อย่างนี้ดีกว่าโดนฆ่าตาย โปรดอย่ายกหมัดต่อยจนกะโหลกยุบเลย ได้โปรด!
หลังแวะไปหาสองครั้ง โดนกอดขาทั้งสองครั้ง คมสันก็บอกว่าอย่าไปสร้างความหวาดกลัวให้นักซิ่งคนนี้อีก เกิดสติแตกขึ้นมาจะยุ่ง ไม่อยากเสียเงินจ้างจิตแพทย์มารักษาด้วยหรอกนะ
สรุปแล้วนักซิ่งไม่หนีไปไหนแน่นอนตราบใดที่เบิ้มไม่บอกว่าไปได้ ซึ่งเจ้าตัวก็เริ่มปรับตัวกับชีวิตกินๆ นอนๆ สุขสบายยิ่งกว่าใครหลายคนซะอีก
‘ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการเด็กนั่นไม่ได้ อุตส่าห์ยอมเป็นเมียน้อยทั้งที่เรารักกัน ฉันก็ควรจะได้สิ่งที่ฉันและลูกควรจะได้สิ!’
ฟังความคนละด้าน ความคิดเห็นก็คนละมุม
คมสันคิดว่าคุณหนูที่รักยิ่งควรได้บริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์เพราะพ่อแม่ต่างแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง จึงสมควรทิ้งทรัพย์สมบัติให้ลูกชายคนแรกของทั้งคู่ไว้เลี้ยงตัว
ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็คิดว่าตัวเองควรได้เพราะมีลูกชายและครอบครัวอบอุ่นให้ท่านประธาน ในเมื่อเป็นที่รัก แล้วทำไมถึงไม่ได้บริษัทที่คนรักสร้างมากับมือจนเจริญรุ่งเรือง
ถ้าถามว่าเบิ้มเข้าข้างใคร
แหม ไม่เห็นต้องถามเลย
ก็ต้องเข้าข้างคุณแฟนอยู่แล้ว!
ไม่ใช่ความรักทำให้คนตาบอด แต่เบิ้มยอมรับคนที่คิดฆ่าเด็กซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่ลงต่างหาก
จะอ้างเหตุผล อ้างความคิดตัวเองก็อ้างไป แต่หมายเอาชีวิตคนอื่นเนี่ยยังไงก็ผิดเต็มประตู!
‘ต้องหาวิธีแยกผู้ชายคนนั้นออกจากเด็กนั่นให้ได้ แต่ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว วันก่อนให้คนไปรับเด็กที่โรงเรียนก่อนเวลา ก็โดนปฏิเสธว่าต้องเป็นคมสันเท่านั้น ต่อให้เป็นพ่อแท้ๆ ยังพาเด็กนั่นกลับบ้านเองไม่ได้เลย!’
เบิ้มยิ้มกับความรอบคอบของคนรัก เรื่องนี้เขารู้จากคมสันเพราะทางโรงเรียนโทรมารายงาน โรงเรียนนานาชาติค่าเทอมแพงหูฉี่ ย่อมมีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม
‘แล้วแม่รู้มั้ยว่าคนที่ฉันให้ปลอมตัวไปรับ...ก็หายตัวไปในคืนวันนั้นเลย! หลังโทรมารายงานฉันแค่สองชั่วโมง!’
ส่วนที่ว่าคนคนนั้นหายไปไหน...
ตอนนี้กินดีอยู่ดีเป็นเพื่อนนักซิ่ง ซึ่งกำลังเล่าขานตำนานบทใหม่ซึ่งมีชื่อว่าเบิ้มเดอะฮัค
...เดอะแฟลช เดอะฟาส ต่อด้วยเดอะฮัค
เบิ้มไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจกับฉายาต่อท้ายที่เริ่มมากขึ้นทุกที
‘พวกนั้นต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าพวกเราอยู่เบื้องหลัง ถึงได้ทยอยเก็บไปทีละคนสองคน’
นอกจากเสียงสั่นอย่างหวั่นวิตกแล้ว เบิ้มยังได้ยินเสียกัดเล็บอย่างเคร่งเครียดด้วย
‘นั่นสินะแม่ ถ้ารู้ว่าเราทำ แล้วทำไมยังอยู่เฉย ไอ้พวกนั้นอาจโดนฆ่าตายก่อนคายข้อมูลก็ได้’
ใช่ว่าตัวเองคิดฆ่าคนแล้วคนอื่นจะต้องฆ่าคนของเธอด้วยสักหน่อย
เบิ้มวิ่งไปโคลงศีรษะไป ยิ่งฟังก็ยิ่งสงสารคนท้อง อยากให้เธอปล่อยวางทุกอย่างแล้วตั้งอกตั้งใจดูแลลูก กลัวอะไรไม่กลัว กลัวก็แต่เด็กบริสุทธิ์จะได้ผลกระทบ น่าเสียดายเพราะเธอไม่มีทีท่าว่าจะถอย ขนาดลูกจ้างหายตัวไปสองคนยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าความยังไม่แตก ยังไม่จนมุม ยังลุยต่อได้อีก
ถ้าหยุดแค่ตอนนี้ก็ตั้งใจจะปิดหูปิดตาแล้วแท้ๆ
แต่พอคิดจะเดินหน้าต่อ กลายเป็นว่าเข้าแผนคมสันอย่างจัง
คนรักแสนฉลาดของเขารู้ว่าก่อนจะทิ้งไพ่ให้ศัตรูเห็น ก็ต้องทำให้ศัตรูเผยไพ่ตายสุดท้ายซะก่อน
‘ถ้าแยกเด็กคนนั้นออกมาไม่ได้ งั้นก็ต้องเข้าไปเอง’
และนี่ก็เป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการทิ้งไพ่เด็ดแล้ว
‘บ้านหลังนั้นใหญ่ซะเปล่า แต่คนรักษาความปลอดภัยไม่ค่อยมี ฉันเคยถามสามี เขาเล่าว่าที่มีห้องพักค้างคืนในคฤหาสน์มีแค่คนครัว แม่บ้านแก่ๆ กับคนเฝ้ายามแค่สามคน ส่วนคนใช้อื่นๆ แวะเวียนมาไม่ได้อยู่ประจำ คมสันกับตัวประหลาดอยู่ปีกซ้ายชั้นสอง ส่วนเด็กนั่นนอนที่ปีกขวาชั้นสอง คนละฝั่งกันพอดี จะลงมือทำอะไรตอนเด็กหลับน่าจะง่ายกว่า’
เบิ้มหยุดวิ่งชั่วคราว ไม่ใช่ว่าเคืองที่โดนเรียกว่าตัวประหลาด แต่เพราะเตรียมจะโทรหาคมสัน
‘ก็ทำเหมือนลักพาตัวแบบไม่มีวันกลับมาเลยไงแม่ ให้กลายเป็นคนหายสาบสูญหาไม่เจอไปซะ เหมือนที่ทางนั้นลงมือกับคนของเรา’
น่าเสียดายที่คมสันติดประชุม เบิ้มดูตารางงานของคนรักจากโน๊ตในโทรศัพท์ ตั้งใจว่าอีกครึ่งชั่วโมงค่อยโทรหา
‘ฝากแม่ติดต่อทีมมืออาชีพที ไม่เอาพวกนักเลงข้างถนนนะ ฉันอยากให้แอบเข้าไปในคฤหาสน์โดยไม่มีใครรู้และไม่มีใครตาย ฉันอยากเล่นงานแค่เด็กนั่น เป็นเด็กที่ไม่มีใครรัก พ่อแม่แท้ๆ ยังไม่อยากได้ ก็ไม่รู้จะอยู่ให้รกโลกทำไม ถือว่าฉันสงเคราะห์ให้แล้วกัน”
เบิ้มเกือบกำโทรศัพท์แตกคามือ ประโยคสุดท้ายของผู้หญิงคนนี้หากให้คมสันได้ยิน...เกรงว่าจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม
อย่าว่าแต่คมสันโมโห ขนาดเบิ้มไม่ค่อยสนิทกับคุณหนู ในใจเรียกเด็กเวรแล้วเด็กเวรอีก ยังรู้สึกไม่ดีและไม่อยากให้ได้ยิน
‘ค่าจ้างไม่ต้องห่วงเลยแม่ ช่วงนี้ฉันท้อง ได้เงินช้อปปิ้งมาเยอะเลย ไว้แม่ตกลงแล้วส่งเลขบัญชีมาก็แล้วกัน เอาเร็วที่สุดเลยนะ คืนนี้ยิ่งดี ฉันอยากให้เรื่องนี้จบไวๆ จะได้เลี้ยงลูกอย่างสบายใจสักที’
เสียงพูดเงียบลงแล้ว คาดว่าคงวางสายสักที แต่เบิ้มยังแอบดักฟังต่อไป เพราะยังไงคมสันก็ยังไม่เลิกประชุม
ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
‘ลูกจ๋า ที่ผ่านมาอะไรยอมได้แม่ก็จะยอม แต่ครั้งนี้แม่จะไม่ยอมให้ลูกด้อยกว่าเด็กคนนั้นเด็ดขาด’
น้ำเสียงที่เอ่ยกับตัวเองคล้ายพยายามกล่อมว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นเรื่องจำเป็น ราวกับคนละคนที่คุยโทรศัพท์เมื่อครู่
‘เราจะเป็นภรรยาและลูกชายที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะได้ในสิ่งที่ควรเป็นของเรากลับคืนนะลูก’
ราวกับเป็นแม่ที่ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อลูกแม้มือจะแปดเปื้อนเลือดก็ตาม
แต่ไม่คิดจะถามสักนิด...ว่านั่นเป็นสิ่งที่ลูกต้องการ หรือตัวเองต้องการแล้วอ้างลูกกันแน่
เอาเถอะ เรื่องนี้คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ เพราะมานึกดูดีๆ แล้ว ตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นก็คือ...
ท่านประธาน!
เสียแต่ท่านประธานไม่เคยจะรู้เรื่องอะไรกับใครเขาเลย คมสันเองก็ไม่คิดบอก เพราะพูดไปมีแต่จะยิ่งบานปลายซะเปล่าๆ ในเมื่อความสามารถในการจัดการปัญหาของท่านประธานนั้นเท่ากับศูนย์ วัดจากอาการหูเบาเชื่อภรรยาคนที่สองพาลูกชายไปง้อที่สวนน้ำจนเกิดเหตุ แล้วยังให้ผู้ช่วยเลขาช่วยจัดแจงซื้อของนู้นนี่นั่นให้โดยที่ตัวเองนอนตีพุงอยู่เฉยๆ แล้ว...
เอ๊ะ หรือนี่จะเป็นคุณสมบัติของผู้ชายตระกูลชาติบดินทร์!!
------------
ทีนี้จะโทษการเลี้ยงดูของคมสันอย่างเดียวไม่ได้แล้วนะคะ เพราะมันอยู่ที่สายเลือดด้วย! 555
เอาจริงๆ เด็กเวรก็ได้พ่อมาเยอะนะคะตอนโต ทั้งเรื่องชอบคนหน้าตาดีจนกลายเป็นความรักที่ล้มเหลว และสุดท้ายไปติดใจกับคนรักที่มีฝีมือปลายจวักจนเกาะหนึบ ( แต่ในกรณีของเสี่ย คือติดใจคนรักที่มีแม่ทำอาหารอร่อยจนติดใจ 555 )
หลายคนอ่านแล้วอาจจะคิดว่าคมสันน่าจะพูดความจริงไปตรงๆ เลยให้จบเรื่องจบราวซะ
แต่คมสันไม่อยากให้ท่านประธานเลิกกับผู้หญิงคนนี้ค่ะ หรือก็คือ..ไม่อยากให้มีเด็กเวรเป็นคนที่สอง โดนพ่อทิ้ง ไม่ให้ความรักนั่นเอง
#จอมมารคมสัน
เพจนักเขียนที่ซึ้งกับความรักเมตตาของจอมมาร(?)Twitter : MajaYnaja