█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 5 ┨
วันนี้ผมตื่นสายครับ ถ้าป้าทิพย์ไม่เคาะประตูเรียกสงสัยจะลากยาวไปถึงสิบโมงเช้าเป็นแน่ เพราะเมื่อคืนกว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบจะสามทุ่ม หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็ปิดเสียงโทรศัพท์มือถือแล้วนั่งทบทวนสิ่งที่เพิ่งเรียนมาในวันศุกร์กว่าจะรู้อีกทีเข็มสั้นของนาฬิกาก็ชี้ไปที่เลขสี่พอดิบพอดี
“นอนเอาตอนเช้าอีกแล้วใช่มั๊ยคะเนี่ย?”
ป้าทิพย์ทำหน้าดุแต่น้ำเสียงโคตรจะอ่อนโยน
“ถ้าไม่ได้เกียรตินิยมมันจะแย่ขนาดนั้นเลยเหรอคะคุณเต็ม”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยครับ”
ลุกขึ้นไปกอดเอวอ้อนป้าทิพย์สักหน่อยครับ
“ไม่ต้องมาอ้อนป้าเลยค่ะ คุณเต็มรีบไปล้างหน้าล้างตาเถอะ คุณท่าน คุณหญิงและน้องออมรอทานมื้อเช้าอยู่นะคะ”
“รอทานมื้อเช้า?”
หันไปมองนาฬิกาอีกรอบ ปกติมื้อเช้าจะจัดโต๊ะตอนเจ็ดโมงครึ่งถ้าสายหน่อยก็แปดโมงเช้าไม่เกินนั้น แต่นี่เก้าโมงเข้าไปแล้วนี่นา..
“ก็คุณท่านกับคุณหญิงอยากจะทานข้าวกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตายังไงล่ะคะ”
ได้ฟังคำอธิบายจากป้าทิพย์แล้วผมก็รีบเดินเข้าห้องน้ำโดยทันที ให้ออมรอหน่ะไม่เท่าไหร่แต่ให้บุพการีรอถือว่าเป็นเรื่องที่แย่มากๆ สำหรับผม
“คุณเต็มคะ”
“ครับ”
กำลังจะปิดประตูห้องน้ำ แต่ต้องหยุดเอาไว้เพราะเสียงเรียกของป้าทิพย์ หญิงวัยเจ็ดสิบต้นๆ ร่างอวบเดินไปหยิบไอโฟนของผมที่ส่งเสียงอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้วรีบเอามาส่งให้จนถึงมือ
“ขอบคุณมากครับ”
กล่าวขอบคุณก่อนจะปิดประตูห้องน้ำ ผมกดรับสายวิดิโอคอลแล้ววางมันไว้บนเคาท์เตอร์ห้องน้ำ ภาพหน้าจอปรากฏเป็นหญิงสาวที่ใส่บิ๊กอายจนนัยน์ตากลมโตเหมือนตุ๊กตาพร้อมกับคำพูดทักทายตอนเช้าด้วยรอยยิ้มสดใส
‘โมชิโมชิ’ และ
‘โอะฮาโย โกะไซมัสสึ’เธอชื่อ
‘เนเนะ’ ครับ อายุน้อยว่าผม 2 ปี เธอเป็นดารานักแสดง นางแบบ และนักร้อง ดาวรุ่งพุ่งแรงของญี่ปุ่นในขณะนี้ และก็เป็น
‘แฟน’ ของผมด้วย เราเจอกันเมื่อห้าปีก่อนเพราะพี่ขวัญเชิญเธอมาร่วมงานในคอลเลคชั่นซัมเมอร์ ผมยังจำได้ในตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เธอตัวเล็ก น่ารัก และสดใส เหมือนตุ๊กตาเจ้าหญิงตัวน้อยๆ และเพราะว่าผมเองก็เป็นผู้ชายที่ค่อนข้างจะตัวเล็ก ตอนถ่ายแบบพี่ขวัญจึงให้เราใส่เสื้อผ้าไซด์เดียวกัน เธอแซวว่าผมดูดีกว่าเธออีก และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราสนิทกันมากขึ้นจนพัฒนาความสัมพันธ์มาเป็นแฟน แม้เราจะไม่ค่อยได้เจอกันและไม่ได้เปิดเผยอะไรให้ใครได้รับรู้แต่เราก็ยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกันเสมอ ซึ่งก่อนที่ผมจะกลับมาเรียนปริญญาตรีที่ไทยผมก็ได้แวะไปหาเธอที่ญี่ปุ่น และต่อให้เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันแค่อาทิตย์เดียวแต่เราก็มีเซ็กส์กันทุกวัน..
ผมล้างหน้า แปรงฟัน รวมทั้งอาบน้ำไปพร้อมกับการวิดิโอคอลคุยกับเธอ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำแบบนี้ เดี๋ยวสิครับ อย่าเพิ่งมองว่าผมเป็นพวกเซ็กส์จัดหรือโรคจิต แต่เพราะผมไม่ค่อยมีเวลาเป็นส่วนตัวเสียมากกว่าผมจึงต้องบริหารเวลาที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่านั้นเอง อะไรที่ผมคิดว่าทำพร้อมกันได้แล้วไม่เสียหายผมก็ทำครับ และเนเนะก็ไม่ได้ถือสาอะไรออกจะชอบเสียด้วยซ้ำ พูดคุยและแซวผมอย่างสนุกสนาน จนผมอาบน้ำเสร็จก็สมควรได้เวลาที่ต้องวางสาย ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าจอโทรศัพท์จนคล้ายว่าหน้าของเราทั้งคู่กำลังจะชนกัน ดวงตาคู่โตเบิกกว้างแล้วหัวเราะคิกคักชอบใจ
“ยุคุหริ ยะซุนเดะ เนะ”
พักผ่อนด้วยนะ.. ผมบอกเธอไปแบบนั้น เธอก็ตอบรับกลับมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะบอกว่าคิดถึงผม
“โตะเตะโมะ ไอชิเตะ อิมาชสึ”
ผมเองก็คิดถึงเธอเช่นกัน.. ใบหน้าน่ารักระบายยิ้มกว้างแล้วก็โบกมือบ๊ายบายก่อนจะวางสายไป ผมจึงรีบเก็บโทรศัพท์แล้วออกจากห้องน้ำ และก็ได้เจอคุณนายออมนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงปลายเตียงของผม
“โต๊ะเต๊ะโม๊ะ ไอชิเต๊ะ อิม๊าชสึ แหวะ”
ภาษาญี่ปุ่นที่ดัดเสียงซะจนแหลมเล็กแล้วมีโก่งคออ๊วกตอนท้ายทำเอาผมที่กำลังใส่เสื้อต้องขำออกมา ออมไม่ชอบเนเนะเอามากๆ ครับ ส่วนเหตุผลที่ไม่ชอบออมบอกไว้แค่ 2 คำนั่นคือ
‘ตอแหล’ กับ
‘ดัดจริต’ ซึ่งผมคิดว่ามันคงจะเป็นความรู้สึกของผู้หญิงซะมากกว่า เพราะออมเป็นน้องเล็กของตระกูลจึงไม่เคยมีใครมาแบ่งปันความรัก ขนาดโอบมีแฟนยังต้องผ่านการคัดกรองจากออมเลยครับ
“ไปทานข้าวกัน”
แต่งตัวเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กอดคอหลานสาวคนสวยพากันลงไปทานข้าว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่นั่งรออยู่ทีโต๊ะอาหารแล้วครับ
“ไม่เห็นต้องรอผมเลยนี่ครับ”
“พูดแบบนั้นได้ยังไงลูก”
คุณแม่ส่งค้อนให้ผม จนผมต้องรีบยกมือไหว้ขอโทษ ท่านจึงส่งยิ้มมาให้
“อาเต็มอยู่หอพักเพราะงั้นอาเต็มจึงไม่รู้หรอกค่ะว่าคุณย่านั่งนับปฏิทินทุกวันว่าวันไหนลูกชายสุดที่รักจะกลับมาบ้านน๊า”
“ให้มันน้อยๆ หน่อยน้องออม”
แม้จะโดนคุณแม่ดุเข้าให้แต่ออมก็เอาแต่หัวเราะ คุณพ่อกับผมก็พลอยหัวเราะไปด้วย
“เอาล่ะๆ กินข้าวกันเถอะ”
คุณพ่อตัดบทสนทนาด้วยอาหารตรงหน้า
“เออ พ่อลืมบอกว่าคืนนี้พ่อกับแม่จะพาเราทั้งคู่ไปงานเลี้ยงที่บริษัทของลุงยางด้วยนะ”
“บริษัทที่คุณพ่อเป็นหุ้นส่วนนะเหรอครับ?”
ผมไม่ค่อยจะรู้เรื่องธุรกิจสักเท่าไหร่หรอกครับ แล้วก็จำไม่ค่อยได้ด้วยว่าคุณพ่อเป็นหุ้นส่วนหรือที่ปรึกษาของบริษัทอะไรบ้าง
“แล้วออมจะหาชุดทันมั๊ยคะคุณปู่?”
“หลานย่าสวยแค่นี้ก็พอแล้ว ยังไงซะพ่อกองทัพก็ไม่มองใครหรอก”
เอ๊ะ? กองทัพ นี่คุณแม่ก็รู้จักคนๆ นี้ด้วยเหรอ? แล้วเกี่ยวอะไรกับงานที่จะไปคืนนี้ ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองโง่ชอบกลแฮะ
“แหม ออมบอกแล้วไงคะว่าตอนนี้ออมกับกองทัพเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ”
“จ่ะ เพื่อนก็เพื่อน”
รอยยิ้มหยอกล้อหลานสาวของคุณแม่ทำให้รู้ว่าท่านก็คงจะคิดไม่ต่างไปจากผม
“อ่อ จริงสิ น้องออมบอกแม่ว่าพ่อกองทัพเป็นรูมเมทคนใหม่ของน้องเต็มเหรอลูก?”
“ใช่ครับ”
ตอบคุณแม่แล้วก็หันไปมองหน้าหลานสาวเพื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติมในความสัมพันธ์ของผู้ชายที่ชื่อกองทัพ
“เมื่อก่อนกองทัพมาส่งออมที่บ้านบ่อยค่ะอาเต็ม บ้านเขาอยู่หมู่บ้านถัดไปนี่เอง แต่ตั้งแต่กองทัพเขาย้ายไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าของเขาก็ไม่ได้มาอีกเลยเพราะบ้านอยู่ไกลกันมาก น่าจะอยู่แถวเดียวกับบ้านอาซันนะคะ”
อ่อ.. ผมพยักหน้าเข้าใจแต่ทว่าในใจก็ยังมีคำถามอยู่เต็มไปหมด คุณพ่อจึงช่วยขยายความเพิ่ม
“คุณปู่ของกองทัพเป็นเพื่อนเก่าของพ่อเอง สมัยตอนที่พี่ขวัญเปิดตัวธุรกิจใหม่ๆ ก็ได้ลุงยางนี่แหละช่วยโฆษณาให้ ตอนงานวันเปิดตัวของพี่ขวัญน้องเต็มขึ้นไปร้องเพลงโย่วโย่วโชว์ไงล่ะลูก แล้วลุงยางก็ให้ตุ๊กตาน้องแมวตัวใหญ่เป็นรางวัลด้วยเลย”
ย้อนอดีตไปไกลมาก คิ้วของผมแทบจะผูกโบว์กันเลยครับ แต่คิดๆ ดูผมก็พอจะจำได้อยู่บ้าง เพลงโย่วๆ ที่คุณพ่อพูดถึงก็คงจะเป็นเพลงฮิปฮอป ผมเคยร้องเพลงโชว์อยู่งานเดียวก็คงจะเป็นตอนนั้นแหละครับ แต่.. เทมป์คือคนไหนกันล่ะ? และเพราะผมเงียบไปนานคุณแม่จึงส่งยิ้มมาให้
“ตอนนั้นน้องเต็มเพิ่งจะเจ็ดขวบเองนะคะคุณ สงสัยจะจำไม่ได้”
“แต่เดี๋ยวนะคะ... ถ้าอย่างนั้นอาเต็มก็น่าจะเจอกองทัพก่อนออมสินะ ว้าว”
“ว้าวอะไรอีกล่ะน้องออม?”
คุณแม่หรี่ตามองหลานสาว นั่นสิครับ ว้าวอะไร? แล้วทำไมต้องว้าว? ผมมองหน้าหลานสาวด้วยความสงสัย
“ว้าว ชักจะสนุกแล้วสิคะคุณย่า”
เจ้าตัวอมยิ้มแบบมีเลศนัย จนผมต้องหรี่ตามองตามไปด้วย
“อะไรของเด็กคนนี้เนี่ย? จริงๆ เลย”
โดนเอ็ดไปอีกรอบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ออมสะดุ้งสะเทือนหรอกครับ มีแต่คนเป็นย่านี่แหละที่ดุหลานสาวทีไรก็หลุดหัวเราะออกมาเองทุกที
“ไม่รู้แหละค่ะ ยังไงอาเต็มต้องเลือกชุดให้ออมด้วยนะคะ”
แถออกนอกเรื่องแบบเนียนๆ ต้องยกให้หลานสาวผมนี่แหละครับ
ทานมื้อเช้ากันเสร็จ ก็นั่งดูทีวีและคุยโน่นนี่นั่นกันต่อที่ห้องนั่งเล่นพักใหญ่ก็มีแขกมาหาคุณพ่อกับคุณแม่ ผมกับออมจึงแยกออกมานั่งเล่นกันที่ศาลากลางสวนหลังบ้าน แม้แดดจะแรงแต่เงาของร่มไม้ช่วยได้เยอะเลยครับ แถมตรงนี้ก็มีลมพัดโกรกตลอดหอบเอากลิ่นหอมของดอกแก้วและดอกมะลิที่คุณแม่ปลูกไว้ตรงริมรั้วมาให้ชื่นใจ ป้าทิพย์ยกของว่างและชามะนาวเย็นเจี๊ยบมาให้ บอกได้คำเดียวว่าสดชื่นดีจริงๆ
“ออมบอกความจริงกับอามาซิว่าเรื่องระหว่างเรากับเทมป์มันเป็นยังไง?”
“เอ๋.. เทมป์?”
ดวงตากลมโตสวยคมของหลานสาวมองผมปริบๆ ราวกับว่าไม่รู้จักเจ้าของชื่อที่ผมเพิ่งจะเอ่ยออกมา ทำให้ผมต้องตีหน้าเข้มและทำเสียงดุใส่หลานสาว
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้จักแฟนตัวเองแบบนั้น”
“แฟน?”
รอบนี้ออมทำตาโตเลยทีเดียวครับ แต่สักพักเหมือนจะนึกอะไรได้จึงร้อง ‘อ๋อ’ ออกมาเบาๆ จากนั้นก็ส่งยิ้มให้ผม
“ขอโทษค่ะอาเต็ม ออมลืม”
หืม.. ลืม?? ลืมเรื่องอะไร?
“ตอนนี้ ปัจจุบันนี้ออมกับกองทัพไม่มีอะไรกันจริงๆ ค่ะ สถานะของเราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”
เด็กสาวระบายรอยยิ้มสดใสไม่มีวี่แววของความผิดหวังหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อย
“กองทัพเป็นคนดีนะคะอาเต็ม”
จ้องตายืนยันคำพูดกับผม
“เป็นคนดีแล้วทำไมถึงเลิกกับเขาล่ะ?”
คนถูกถามฉีกยิ้ม
‘แฮ่’ จนผมต้องยิ้มตาม
“คนดีกับคนที่ใช่มันอาจจะไม่ใช่คนเดียวกันก็ได้นะคะอาเต็ม”
“พูดเหมือนมีคนที่ใช่อยู่แล้ว”
“ไว้ถ้าออมมั่นใจออมจะบอกอาเต็มเป็นคนแรกเลยค่ะ”
ผมยิ้มให้หลานสาว ความรู้สึกในตอนนี้ราวกับว่าก้อนบางอย่างที่มันหน่วงอยู่ในอกมาหลายวันได้หลุดออกไปเสียที โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกแบบนี้ แต่ไม่ว่าจะยังไงผมก็ต้องการให้คนที่ใช่ของออมเป็นคนดี ถ้าผมเห็นว่าไม่ดีผมไม่ยอมแน่นอน..
.
.
.
.
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงแรมหรูใจกลางกรุง ออมบอกว่าบริษัท YJ นี้ทำเกี่ยวกับโฆษณาและสื่อสิ่งพิมพ์และใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของเอเชีย แถมตอนนี้ก็กำลังตีตลาดทางฝั่งยุโรป เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็พอจะนึกได้ว่าทำไมเทมป์ถึงเลือกเรียนกราฟฟิคดีไซด์
“ออมรู้สึกสวยมากเมื่อได้ควงแขนเต็มอ๊ปปา”
หลานสาวตัวดีเอ่ยออกมาแต่ละครั้งทำเอาขำกันทั้งบ้าน
“คนทั้งงานต้องอิจฉาออมค่ะ”
เรียวแขนเล็กคล้องแขนผมไว้ก่อนจะเดินตามผู้ใหญ่สองท่านด้านหน้า วันนี้ครอบครัวของเราสวยหรูและดูดีตามสไตล์ของเสื้อผ้า TJ แบรนด์ดังระดับโลก ฮ่าา ไม่ค่อยจะโฆษณาสินค้าให้คนในครอบครัวสักเท่าไหร่ใช่มั๊ยละครับ
พนักงานต้อนรับของโรงแรมว่าบริการดีแล้ว แต่พนักงานของบริษัทที่ลงมารอต้อนรับคุณพ่อกับคุณแม่นั้นดียิ่งกว่า เรียกว่าแทบจะปูพรมแดงกันเลยทีเดียว และทันทีที่ถึงห้องจัดงาน ชายสูงวัยในชุดผ้าไหมแบบจีนก็ยืนรอคุณพ่อกับคุณแม่อยู่แล้ว ทั้งคู่ทักทายด้วยการสวมกอดกัน และออมก็สวัสดีเจ้าของงานอย่างคุ้นเคย จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยการแนะนำผมให้ทุกคนรู้จัก
“นี่ลูกชายคนเล็ก เต็มใจ เพิ่งมาอยู่ไทยได้สองปีกว่า”
“สวัสดีครับคุณลุงยาง คุณอาดิษฐ์”
“คนนี้เหรอน้องเต็มใจ โอโห้ โตเป็นหนุ่มแล้วหล่อเลยนะเนี่ย”
คุณลุงยางเอามือมาแตะหัวไหล่และลูบหัวผมด้วยความเอ็นดู ส่วนคุณอาดิษฐ์ส่งยิ้มมาให้เป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนว่าผมเคยรู้จักคุณอาดิษฐ์มาก่อน แต่นั่นอาจจะเพราะว่าท่านดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีเสียมากกว่า
“เชิญท่านกับคุณหญิงเข้าไปนั่งก่อน วันนี้ผมให้ทางโรงแรมจัดอาหารชุดที่เราเคยกินกันตอนหนุ่มๆ มาด้วย”
“ฮ่าๆ นี่เจ้าสัวยางกำลังจะบอกว่าตอนนี้พวกเราแก่กันมากแล้วใช่มั๊ย?”
ท่าทางว่าคุณพ่อกับเจ้าสัวยางจะเป็นเพื่อนรักกันมานานจริงๆ พวกผู้ใหญ่เดินพูดคุยนำเข้างาน ผมกับออมเดินตามอยู่ด้านหลัง สักพักคุณแม่ก็หันมาเรียกให้ผมกับออมรีบเดินให้ทันกัน แต่มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาประชิดตัวผมเสียก่อนทำให้ผมต้องหยุดเดินแล้วหันไปมองคนแปลกหน้า
“น้องเต็มใช่มั๊ยครับ?”
ผมตอบรับว่า
‘ใช่ครับ’ เบาๆ
“พี่ชื่อนายพล หรือจะเรียกพี่นายก็ได้ครับ”
ร้อง
‘อ๋อ’ อยู่ในใจ คนนี้นี่เองแฟนเก่าคุณนายโบรัม.. นี่ผมไม่ได้อคติเพราะเขาเป็นแฟนเก่าของเพื่อนนะครับแต่ผมสัมผัสได้ถึงสายตาที่แฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่างต่างหาก ผมมองมือที่ยื่นมาให้แล้วก็ตัดสินใจยกมือไหว้ตามมารยาทไทยแทน
“สวัสดีครับพี่นาย”
ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าไม่พอใจแต่ก็แค่แว่บเดียว หากใครไม่ทันสังเกตก็มองไม่ออกครับ
“ถ้าพี่รู้ล่วงหน้าว่าน้องเต็มมางานนี้ด้วย พี่คงจะไปรับท่านกับคุณหญิงด้วยตัวเอง”
ได้แต่ร้อง
‘หืม??’ เสียงดังลั่นอยู่ในใจ และก็ระบายยิ้มออกมา
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกครับ อีกอย่างที่บ้านมีคนขับรถที่ไว้ใจได้หลายคน คงไม่ต้องรบกวนทางนี้ครับ”
ขอยอมรับด้วยความซื่อสัตย์ว่าผมไม่ได้เก่งเรื่องการใช้ภาษาไทยในการสนทนาสักเท่าไหร่ แต่ผมก็พยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะรักษาน้ำใจและรักษามารยาทให้กับคู่สนทนา แม้ว่าใบหน้าและสายตาของอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเป็นเฉยชาไปอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม
ริมฝีปากของผมวาดรอยยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด จนอีกฝ่ายจุดยิ้มตรงมุมปากและหัวเราะออกมาเบาๆ
“อะแฮ่ม.. ขอผมแนะนำตัวบ้างสิครับ”
เสียงทุ้มต่ำที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ผมต้องหันไปมอง และเมื่อรู้ว่าเป็นใครผมก็รู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด
“สวัสดีครับ น้องเต็มใจใช่มั๊ยครับ พี่ชื่อกองทัพครับ”
คนมาใหม่ทักทายได้น่าหมั่นไส้มากครับ
“เพื่อนเล่น?”
“ก็อยากจะเล่นด้วยยังไงล่ะครับ”
ตอบมาแบบนี้ผมก็ไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน ผมเหลือบไปมองพี่นายแว่บหนึ่ง ฝ่ายนั้นยืนมองน้องชายของตัวเองนิ่งๆ ไม่แสดงสีหน้าใดๆ จนเมื่อน้องชายหันไปคุยด้วยเจ้าตัวจึงระบายรอยยิ้มบางเบาออกมา จากนั้นก็มีสาวสวยเดินเข้ามาทักทายพี่นาย เทมป์จึงสะกิดต้นแขนของผม
“เดี๋ยวจะพาไปรู้จักกับคุณแม่”
ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันครับว่าทำไมต้องเดินตามอีกฝ่ายมาด้วย ระหว่างนั้นผมแอบสังเกตคนเดินนำตั้งแต่หัวจรดเท้า วันนี้เจ้าตัวสวมสูทคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดของ TJ ซะด้วย ดูดีและหล่อมากทีเดียวครับ
เดินผ่านผู้คนในงานมาครู่หนึ่งก็ถึงกลุ่มหญิงสาว 4-5 คน ที่จัดเต็มทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ
“คุณแม่ครับ.. นี่คุณเต็มใจ ลูกชายคนเล็กของท่านกิตติกับคุณหญิงหยดครับ”
หญิงสาววัยเดียวกับพี่สาวและพี่ชายของผมเบิกตากว้างคล้ายจะตกใจที่ได้เห็นผม แต่เธอก็ดึงสติกลับมาได้ทัน ดวงตาที่แต่งแต้มสีสันแอบสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่เงียบๆ ก่อนจะโปรยยิ้มกว้างตามมารยาทสังคม ผมจึงค้อมศีรษะยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทเหมือนกัน
“สวัสดีครับคุณน้าวิริยา”
ใบหน้าที่ฉาบแต้มเครื่องสำอางหยักหน้ารับไหว้ผม
“เห็นกองทัพบอกว่าเป็นรูมเมทกันเหรอจ๊ะ?”
“ใช่ครับ”
“ถ้าลูกชายของน้าดื้อหรือเกเร ฝากคุณเต็มจัดการได้ตามสบายเลยนะคะ”
“ผมคงไม่กล้าจัดการอะไรหรอกครับ”
ไม่รู้ว่าผมพูดอะไรผิดรึเปล่า คนฟังถึงได้มองผมนิ่งๆ พร้อมเหน็บรอยยิ้ม แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น คุณนายวิริยาก็แสร้งหัวเราะขำแล้วหันไปตีต้นแขนลูกชาย
“กองทัพ ลูกอย่าไปทำอะไรให้คุณเขาลำบากใจนะรู้มั๊ย”
“แหม คุณแม่ ผมออกจะเป็นเด็กดี”
แม่ลูกหยอกล้อกันไปมาครู่หนึ่ง คนเป็นแม่ก็หันกลับมาคุยกับผมต่อ
“ว่าแต่คุณเต็มทานอะไรรึยังคะ? อ่อ แล้วไหนหลานออมล่ะ? กองทัพทำไมไม่ดูแลหลานออมด้วย”
ร่ายยาวมารวดเดียวจนผมไม่รู้ว่าจะตอบหรือไม่ตอบดี สุดท้ายจึงเลือกที่จะเงียบแล้วให้แม่ลูกเขาคุยกันเองระหว่างนั้นผมก็หันไปมองรอบๆ มองหาคุณพ่อคุณแม่และหลานสาว พวกท่านนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก ผมจึงตั้งใจจะบอกลาผู้ใหญ่ตรงหน้าเพื่อไปสมทบกับครอบครัว แต่ช้าไปนิดหนึ่งครับ มือของผมโดนมือใหญ่คว้าเอาไปกุมไว้เสียก่อน เจ้าของมือใหญ่พาผมเดินฝ่าผู้คนในงานออกไปตรงนอกระเบียง
“ได้คืบจะเอาศอกนะ”
ผมมองมือหนาที่จับมือผมไว้แน่นแบบเนียนๆ
“ไม่อยากเอา.. ศอก”
ต่อให้ไม่อยากเอาผมก็จะให้ด้วยการกระทุ้งศอกเข้าไปตรงสีข้างแบบเต็มๆ จนอีกฝ่ายโอดครวญ
“โอ๊ยย เจ็บนะ”
สมน้ำหน้า.. ผมใช้สายตาตอกย้ำอีกฝ่าย ก่อนจะยืนพิงหลังกับระเบียง
สายลมในค่ำคืนของฤดูร้อนไม่ได้ร้อนอบอ้าวสักเท่าไหร่ มองผู้คนมากหน้าหลายตาผ่านบานกระจกใสเข้าไปในงาน ตอนอยู่อังกฤษพี่อุ่นกับพี่ขวัญพาผมไปงานสังคมบ่อยซะจนมันเป็นเหมือนงานอดิเรก แต่สำหรับที่ไทยนี่คงเป็นงานใหญ่งานแรกที่คุณพ่อกับคุณแม่พาผมมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
“เต็มดื่มไวน์มั๊ย?”
จู่ๆ คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยถาม ผมหันไปมองอีกฝ่าย
“เอาสิ”
“งั้น.. รออยู่ตรงนี้นะ ห้ามไปไหนเด็ดขาด”
“อืม”
ตอบรับแค่นี้ต้องดีใจจนยิ้มกว้างขนาดนั้นด้วย? ร่างสูงรีบกลับเข้าไปในงานแต่ก็ยังหันมามองผมเป็นระยะยังกับกลัวว่าผมจะหายไป ท่าทางเหมือนเด็กแบบนั้นทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
แผ่นหลังกว้างหายไปจากสายตา แต่ผมก็ยังยืนมองความเคลื่อนไหวภายในงาน ซึ่งตอนนี้ทุกสายตากำลังพุ่งความสนใจไปยังบนเวทีที่คุณอาดิษฐ์กำลังพูดถึงผลการดำเนินงานของบริษัท เมื่อท่านพูดจบพิธีกรก็ยิงประเด็นเข้าสู่การเปิดตัวทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งบังเหียนใหญ่ของบริษัทคนต่อไปแบบเนียนๆ และทันทีที่ผู้ถูกกล่าวถึงปรากฏตัวบนเวทีเสียงปรบมือที่มาพร้อมเสียงฮือฮากระหึ่มดังทั่วงาน
ดาวเด่นของงานนี้ยืนด้วยท่าทางผึ่งผายอย่างมั่นใจบนเวที ‘นายพล เกียรติไพศาลกิจ’ แตกต่างจากเทมป์จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน คนพี่สูงใหญ่หล่อตี๋สไตล์อ๊ปป้าเกาหลี ส่วนคนน้องร่างสูงสมส่วนหล่อแบบคมเข้มน่าค้นหา บุคลิกและลักษณะท่าทางการพูดก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะรู้สึกสงสัยและแปลกใจแต่สำหรับผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ดูอย่างผมสิครับเป็นลูกหลงของบ้านแถมยังไม่เหมือนพ่อแม่และพี่ๆ เลยสักคน
ท่ามกลางผู้คนที่มุ่งความสนใจไปยังบนเวที ผมเห็นร่างสูงที่คุ้นเคยเดินอ้อมมาทางด้านหลังโดยไม่มีใครสนใจเลยสักคน อ่อ.. ไม่สิ มีผมหนึ่งคนนี่แหละที่ยืนมองจนกระทั่งอีกฝ่ายมาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมยื่นแก้วไวน์มาให้
“นี่.. ของดีเลย คุณปู่หวงสุดๆ เชียวล่ะ ชาโต้ มูตอง รอธส์ชิลด์ หนึ่งเก้าสี่ห้า เป็นไวน์ฝรั่งเศส ที่ได้รับการพิจารณาให้เป็นสุดยอดไวน์แห่งศตวรรษที่ยี่สิบเชียวนะ”
หวงสุดแต่ก็ยังแอบเอามาได้เนี่ยนะ? มิน่าถึงได้หายไปนาน.. ผมยกแก้วไวน์ขึ้นชิมรสชาติว่าจะดีจริงตามสรรพคุณรึเปล่า? และก็ต้องยอมรับครับว่ามันสุดยอดตามคำโม้จริงๆ ปกติผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์แต่ถ้านานๆ ครั้ง หรือเพื่องานสังคมก็มีบ้าง
เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง คนบนเวทีคงจะพูดอะไรสักอย่างที่ถูกใจคนฟังซึ่งผมเองก็ไม่ทันได้ฟังเหมือนกันว่ามันคืออะไร
“หึงนะ”
ผมหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน
“อะไร?”
“ก็เห็นมองพี่นายอยู่นานสองนาน”
“ผู้ชายมองผู้ชายมันน่าหึงตรงไหนไม่ทราบ?”
“ก็ผู้ชายคนนี้ชอบผู้ชายคนนี้ไงถึงได้หึง”
โอย.. ลมจะจับ ใครก็ได้ช่วยส่งยาดมหรือขอยาไมเกรนมาให้ผมสัก 4-5 เม็ด แล้วดูสิครับ ยังมายืนยิ้มหน้าตายอยู่อีก
“เทมป์.. ฟังนะ”
“ครับ”
“ฉันปะ...”
“อาเต็มอยู่กับกองทัพตรงนี้นี่เอง ออมหาตั้งนาน”
ยังไม่ทันจะได้เริ่มพูดเรียกสติความเป็นชายชาตรีของอีกฝ่ายให้กลับคืนมา เสียงของหลานสาวก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ผมจึงต้องล้มเลิกบทสนทนากับเทมป์ไว้แค่นั้นแล้วหันมาสนใจออมแทน
“มีอะไรรึเปล่า?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ไม่อยากนั่งฟังผู้ใหญ่เขารำลึกความหลังกันเท่านั้นเอง”
อ่อ.. ผมยิ้มพร้อมกับช่วยปัดปอยผมที่ระอยู่ตรงข้างแก้มให้หลานสาว
“ว่าแต่.. ออมมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า?”
กำลังจะอ้าปากตอบว่า
‘เปล่า’ แต่ก็โดนผู้ร้ายแย่งซีนไปเสียก่อน
“มาก”
“เห้ย! จริงดิ”
“เออ”
“แล้วฉันต้องทำไง?”
ออมแกล้งทำท่าตกอกตกใจได้น่ารักซะจนผมอดจะยิ้มตามไม่ได้
“ก็ยืนขัดจังหวะต่อไป”
“อืม.. เป็นความคิดที่ดีมากเลยเพื่อน”
หลานสาวตบไหล่เพื่อนหนักๆ ไป 2-3 ครั้ง ก่อนจะขยับมายืนข้างๆ ผมอีกฝั่ง แล้วเราทั้ง 3 คน ก็ไม่มีบทสนทนาใดๆ อีกเลย นอกจากยืนมองผู้คนภายในงานกันเงียบๆ และก็จะมีเสียงกระซิบกระซาบจากออมดังมาเป็นระยะเท่านั้น..
‘กองทัพเป็นคนดีจริงๆ นะคะอาเต็ม’ อวยเชียร์เพื่อนขนาดนี้ ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าหลานสาวได้ค่าจ้างมาเท่าไหร่? แต่ก็ช่างเถอะครับ เพราะเท่าที่ดูๆ เทมป์ก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่จริงๆ นั่นแหละ
‘ออมคิดว่ากองทัพน่าจะเป็นคนที่ใช่สำหรับอาเต็มนะคะ’
ผมอมยิ้มกับประโยคแผ่วเบาของหลานสาว นี่ก็แปลกชอบให้อาเป็นเกย์รึยังไง? หรือว่าผู้หญิงสมัยนี้จะเป็นเหมือนโบว์กันไปหมดแล้ว และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามเอาเป็นว่าคนที่รู้ใจผมดีที่สุดก็คือตัวผมเองนี่แหละครับ
.
.
.
.
.
.
TBC..
กด + เป็ด ทุกความคิดเห็น และแถม เลิฟ ให้คนอ่านทุกคนนะคะ