ม่านไหมลายพยัคฆ์
บทที่ 14
หลังจากสงครามอันแสนเลวร้ายจบสิ้นลงแล้วท่ามกลางความดีใจของทุกคนที่ผ่านพ้นนรกบนดินมาได้ในที่สุด เริ่มปรากฏ
รอยยิ้มบนใบหน้าของประชาชนขึ้นมาบ้าง เฉินจิ้งเหอนายกรัฐมนตรีกลับเข้าไปในรัฐสภาประกาศชัยชนะเหนือจักรวรรดิญี่ปุ่นและสัญญา
ว่าจะนำประเทศเข้าสู่ความสงบโดยเร็วที่สุด
เฉินหย่งหนานยังไปๆมาๆระหว่างบ้านและที่ตั้งของกองกำลังทหารแห่งชาติ เขายังต้องดูแลงานทหารหลังสงครามให้
เรียบร้อย เหวินเป่าที่เฝ้ามองจึงได้แต่แอบน้ำตารื้นเมื่อเห็นวีรบุรุษของเขาแต่เพียงชั่วครู่ เขาไม่กล้ารับอาสาเหม่ยฮัวไปดูแลหย่งหนาน
เมื่อกลับถึงบ้านอีก เพราะกลัวหัวใจตนเองจะบอบช้ำไปยิ่งกว่าเดิม
ในช่วงนั้นเหวินเป่าจึงช่วยงานด้วยการรับอาสาเป็นผู้ดูแลฟางซินแทนเหม่ยฮัว ฟางซินเองก็เต็มใจเพราะเอ็นดูหนุ่มน้อยอยู่
มาก บัดนี้เหวินเป่าอ่านหนังสือได้บ้างแล้วหากเป็นคำที่ไม่ยากนัก ฟางซินมักจะให้เขาฝึกให้คล่องด้วยการอ่านหนังสือให้เธอฟัง
“วันนี้อ่านเล่มนี้นะเหวินเป่า คำไหนยังสะกดไม่ได้ก็ถามฉันนะ”
“ครับนายหญิง”
เหวินเป่ารับหนังสือเก่าเล่มหนึ่งมาอย่างยินดี นิสัยใฝ่รู้ของเขาทำให้การอ่านเขียนก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ในยามว่างเหวิน
เป่าก็มักจะนำตำราของฟางซินมาฝึกอ่านและเขียนตาม เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เล่าเรียนหนังสือหากชีวิตนี้มีโอกาส
“ม่านประเพณี”
ชื่อหนังสือในมือทำให้เหวินเป่าขมวดคิ้วด้วยความคุ้นเคยในชื่อนั้น ฟางซินจึงบอกให้เขารู้
“นิยายที่เธอเล่นงิ้วอย่างไรล่ะ”
เหวินเป่าร้องอ๋อ เขารีบเปิดหนังสือตั้งแต่หน้าแรกและอ่านให้ฟางซินฟังเพราะตัวเองก็อยากจะอ่านเนื้อความด้านในเช่นกัน
หากแต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆจนถึงตอนที่ความรักถูกขัดขวางเพราะอีกฝ่ายเป็นบุตรสาวของคหบดีแต่คนที่รักเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเหวิน
เป่าก็ถึงกับกลั้นก้อนสะอื้นในคอ
“เศร้าเหลือเกินนะ”
ฟางซินอดรำพึงออกมาไม่ได้
“เหตุใดชีวิตของคนเราจึงต้องถูกบังคับให้ขึ้นอยู่กับคำว่าเหมาะสมทั้งที่หัวใจมิได้มีรัก ฉันเองก็ต้องแต่งงานใช้ชีวิตคู่เพราะคำ
นั้น ดีกว่าแม่นางเอกในนิยายก็ตรงที่ได้สามีเป็นคนดีรักครอบครัว หากไม่ใช่พี่หย่งหนานแล้วก็ไม่รู้ว่าบัดนี้ชีวิตจะเป็นเช่นไรบ้าง ขอบคุณ
สวรรค์ที่ไม่ได้ใจร้าย”
“โธ่ นายหญิง”
เหวินเป่ามองฟางซินที่นอนพักอยู่บนเตียงด้วยความเห็นใจ หากแต่หญิงสาวผอมบางกลับส่งยิ้มมาให้เขา
“ฉันไม่เป็นไรหรอกเหวินเป่า ตอนนี้ฉันมีสามีและลูกที่ดี มีบริวารที่ดี ถึงตายไปก็ไม่เสียดายแล้ว นี่ เหวินเป่า เธอยังจำเพลงงิ้ว
ที่ร้องในคืนนั้นได้ไหม ร้องให้ฉันฟังทีเถอะ ฉันอยากฟังเหลือเกิน”
หนุ่มน้อยวางหนังสือในมือลง เขารำลึกถึงถ้อยความของบทเพลงที่จำได้ขึ้นใจก่อนจะส่งเสียงแว่วหวานออกมาขับกล่อมให้
สตรีผู้มีพระคุณได้รับฟัง
โอ้ว่าอกเอ๋ย ไฉนเลยจึงแสนช้ำ
เพราะรักต้องกลืนกล้ำน้ำตาอาดูร
รักแท้ถูกขัดขวาง หนทางใจสลายสูญ
ข้านั้นเฝ้าเทิดทูนแต่ระกำด้วยคำคน
ความรักเกิดจากจิต แต่กลับปลิดจากชิวหา
เหลื่อมล้ำเพราะเงินตราบังคับฟ้าให้แยกเรา
แม้ใจอยากเคียงคู่ กับยอดชู้ที่แสนเศร้า
ความฝันพลันมัวเมาต้องจากกันจนวันตาย
โอ้ว่าฟ้าเอ๋ย ไฉนเลยจึงกลั่นแกล้ง
รักนั้นมิเสแสร้งหากถูกแย่งให้ลาล่วง
ต่างคนต่างชนชั้นแม้บากบั่นสู้หนักหน่วง
ยังแพ้แก่คนลวงจนเจ็บทรวงแทบขาดใจ
หลับตาเถิดนะพี่ ถึงชีวีจะห่างหาย
ใจน้องไม่กลับกลายรักพี่ชายจนวายปราณ
ชาตินี้ต้องแคล้วคลาด แต่ทุกชาติขอสุขสม
กายใจให้พี่ชมเพียงผู้เดียวตลอดกาล
น้ำตาหยดหนึ่งไหลอาบแก้มเมื่อเหวินเป่าสะท้อนอยู่ในหัวอกของเขา ปลายเสียงสั่นเครือจนต้องกัดริมฝีปากสะกัดกั้นเสียง
สะอื้น ฟางซินที่หลับตาฟังเสียงหวานราวกับระฆังแก้วอย่างเพลิดเพลินจึงเปิดเปลือกตามองเขาด้วยสายตาของผู้ใหญ่ปรานีเด็ก
“เธอร้องเข้าถึงบทเพลงราวกับคนที่มีความรักไม่สมหวังนะเหวินเป่า หากฉันไม่ได้ดูแลเธอมาคงคิดว่าเธอกำลังหลงรักใครอยู่
ในตอนนี้”
เหวินเป่าสะดุ้งเฮือก เขาได้แต่ก้มหน้ามองมือของตนเองที่วางอยู่บนตักอย่างรู้สึกผิดจนไม่อาจสู้ตาฟางซินได้ เขาชังหัวใจ
เหลือเกินที่บังอาจคิดถึงบุรุษที่เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะอาจเอื้อม
“ผมเพียงแต่คิดว่าหากผมเป็นอิงไถหรือซันป๋อ ผมควรจะทำเช่นไรดี ต่อสู้เพื่อความรักหรือยินยอมให้อีกฝ่ายจากไปเพื่อไม่
ต้องผิดประเพณีครับนายหญิง”
“ขึ้นอยู่กับว่าคนที่เธอรักเขาจะคิดเช่นไรด้วย เขาพร้อมที่จะต่อสู้ไปพร้อมเธอหรือว่าโอนอ่อนต่อคำครหา”
ฟางซินส่งยิ้มให้เหวินเป่าด้วยความอ่อนเพลีย
“ไปพักบ้างเถอะเหวินเป่า เหนื่อยกับฉันมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวฉันเองก็จะพักผ่อนเสียหน่อย”
“ครับนายหญิง”
ดูแลจนสตรีบอบบางหลับสนิทไปแล้วเขาจึงได้ก้าวออกไปจากห้อง เวลานี้สายัณห์เพิ่งจะราแสงไปจากท้องฟ้าจนมีเพียงแสง
โพล้เพล้ในยามอาทิตย์อัสดง เหวินเป่าจึงเดินไปยังบ้านหลังใหญ่เผื่อว่าจะไปช่วยเหลืองานของคนรับใช้ที่บ้านหลังนั้น หากทว่าเมื่อเดิน
ไปถึงสวนต้นไม้หลังบ้านเขากลับพบบุรุษผู้ครอบครองหัวใจของเขาอย่างไม่คาดคิด
“นายท่าน!”
ร่างสูงงามสง่าผ่าเผยอยู่ในชุดทหารเต็มยศ เฉินหย่งหนานหันขวับมาตามเสียงเรียกจนกระทั่งได้สบตากับดวงตาเรียวหวาน
เขามองสีดำขลับในดวงตานั้นอย่างยากจะถอนสายตา
“เหวินเป่า”
หัวใจของชายหนุ่มชาติทหารพลันพองฟูขึ้นมาอย่างน่าเจ็บใจที่ไม่อาจตัดใจได้สักครา หลังจากสงครามโลกจบสิ้นไปเป็น
เดือนแล้วและเขาก็ยังทุ่มเทกายใจให้กับงานเพื่อให้บรรเทาความคิดถึงร่างโปร่งตรงหน้าลงบ้าง แต่หย่งหนานก็รู้ว่าเขาทำไม่ได้ ใบหน้า
ของคนในปกครองยังก่อกวนหัวใจของเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“นายท่านกลับบ้านเร็วนะครับวันนี้”
ทุกทีหากยังไม่ใกล้ยามสองเหวินเป่าก็ยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เขาแอบฟังเดินย่ำอยู่ในบ้าน แต่วันนี้หย่งหนานกลับบ้านเมื่อ
ตะวันตกดินเท่านั้น
“งานของฉันเบาบางลงบ้างแล้ว ต่อจากนี้ชีวิตประจำวันคงเข้าสู่ปกติเช่นคนอื่นเขาบ้าง”
เหวินเป่ามองใบหน้าอันตรากตรำจากงานหนักด้วยความเทิดทูน
“นายท่านคงเหนื่อยมาตลอดตั้งแต่มีสงคราม”
“นั่นสินะ ตอนนี้คงได้พักผ่อนเสียให้หายเหนื่อย”
หย่งหนานอดใจไม่ได้ที่จะสืบเท้าก้าวไปหาร่างโปร่งบางนั้นราวกับมีแรงดึงดูด เขาจ้องหน้าหวานเสียจนฉ่ำใจขณะที่ เหวิน
เป่าได้แต่หลบสายตา เลือดอุ่นในกายอันไร้เดียงสาเดือดพล่านจนแก้มสุกปลั่ง
มีต่ออีกนิด...