☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)  (อ่าน 34528 ครั้ง)

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
«ตอบ #30 เมื่อ13-12-2018 01:01:02 »

 :3123: :L2:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
«ตอบ #31 เมื่อ13-12-2018 08:35:28 »

แงงงงงง :sad4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
«ตอบ #32 เมื่อ13-12-2018 23:00:05 »

 :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 9 : 15/12/2018
«ตอบ #33 เมื่อ15-12-2018 18:58:40 »

Finding the twilight
9
รสหวานเหมือนริมฝีปากของเจ้า
☼ ☽

และเราก็ไม่สามารถกลับไปเป็นได้อย่างเคย..


“ดูเหมือนว่าพิษในกายท่านจะหายไปหมดแล้ว”  สำหรับคนที่ต้องพิษร้ายแรงของคีรีธารา ก็ย่อมเป็นหมอจากคีรีธาราที่ต้องดูแล ทว่าในครานี้ท่านหมอที่เหมาะสมจะมาดูแลองค์รัชทายาทนั้นไม่ใช่ศศิอีกต่อไป แต่เป็นทิชากรผู้เป็นอาจารย์


ไม่รู้เพราะความเป็นคนสำคัญรึเปล่า ที่ทำให้มีการเปลี่ยนหมอกะทันหันแบบนี้ ทรงไม่ได้ตรัสสิ่งใดด้วยไม่อยากคิดว่าศศิกำลังพยายามหลบหน้าหลบตา แต่ต่อให้เด็กคนนั้นมา พระองค์จะยังทรงกล้าหยอกเหมือนวันก่อนๆไหม หยอกน่ะ ย่อมได้อยู่แล้ว แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่าย…มันอาจจะทำให้ค์หายใจไม่ทั่วท้องเช่นนั้น


เป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจจะปฏิเสธตัวเองได้อีก ว่าทรงสนใจความรู้สึกของเด็กคนนั้นเหลือเกิน แค่คิดว่าเมื่อพูดคุยด้วยปกติ และอีกคนจะตอบกลับด้วยท่าทางนอบน้อมพร้อมราชาศัพท์ พระทัยก็เจ็บปวดไปหมดเมื่อรับรู้ว่าศศิพยายามสร้างกำแพงปิดกั้นให้เราต้องเหินห่าง บางทีพระองค์ก็คงต้องหัด ทำตัวให้เป็นองค์ชายเสียบ้างเหมือนกัน


“กระหม่อมรับทราบเรื่องแล้ว เป็นพระกรุณาอย่างสูงที่ช่วยดูแลหลานชายให้มาโดยตลอด”  ทิชากรพูดในขณะที่กำลังรินชาที่เป็นยาบำรุงจากกาให้กัน เพราะไม่ได้สบตา อคิราห์จึงไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคนๆนี้คิดเห็นเช่นไร


“เป็นศศิที่ช่วยเหลือไว้ ข้าต้องตอบแทนอยู่แล้ว” สถานะของอคิราห์ในคฤหาสน์ปิติชาญยังเป็นความลับ ทุกคนที่นี่ยกเว้นผู้ที่รู้อยู่แล้วว่าพระองค์เป็นใครทราบแค่เพียงว่าทรงเป็นแขกของเจ้าบ้าน


ทว่าทิชากรทราบได้อย่างไรกันเล่า ก็เพราะอชิระผู้นั้นคนเดียว เขาอาจจะมีความลับมากมาย แต่ก็เผลอไผลแพร่งพรายให้ทิชากรทราบไปเยอะเหมือนกัน ทั้งนี้จะเพราะตั้งใจหรือไม่ก็สุดแท้ แต่น่ากลัวว่าข้อมูลสำคัญของกองทัพที่อชิระดูแลอยู่นี่ ก็อาจจะตกอยู่ในกำมือของผู้ชายร่างเพรียวบางผู้ชาญฉลาดเสียแล้ว


ไม่มีบทสนทนาอะไรอีก เมื่อเสร็จธุระทิชากรก็ออกไปจากห้อง พระองค์ไม่ได้เห็นศศิเลย คาดว่าอีกคนได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการหนีหน้ากัน ในเมื่อเจอแล้วอึดอัด งั้นไม่เจอกันเลยจะดีกว่าไหม เจ้ากระต่ายน้อยคงคิดเช่นนี้ เพราะมันไม่เคยเป็นสัตว์สู้คนเท่าไหร่ แต่กระต่ายก็เป็นสัตว์ที่ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นด้วยการทำให้คิดถึงได้เก่งเช่นกัน


“คิดถึงงั้นหรือ”  นี่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่มาถึงคฤหาสน์ปิติชาญจนกระทั่งวันนี้ เราใช้เวลาร่วมทุกข์รวมสุขแค่เพียง 14 วัน แต่กลับมอบตราประทับความคิดถึงที่หัวใจไว้แล้วทั้งหมด 5 วันจากวันนั้น และมันยิ่งทวีค่าความต้องการพบในทุกๆวัน ราวกับว่าพระองค์จะต้องจมอยู่ในบ่อแห่งความคนึงหานี้ไปตลอดชีวิต


คนเราจะคิดถึงใครที่เป็นแค่คนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามาเพื่อจากไปในชีวิตได้อย่างไรกัน


“ดูเหมือนว่าข้าจะเจอะเจอปัญหาครั้งใหญ่เสียแล้ว”  ตั้งแต่ถือกำเนิดมาจนโต พระองค์ได้ผูกสัมพันธ์กับคนมากมายหลายแบบทั้งดีและร้าย ทว่ากับศศพินทุ์ที่ไม่เคยคาดฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราจะได้พบพานกลับพิเศษกว่าใคร เพราะเด็กคนนั้นนำปัญหาใหญ่ที่กวนใจมาให้ บางทีถ้าเราไม่ได้เจอกันเลยคงจะดีกว่า ต่างคนจะได้ใช้ชีวิตแบบที่เคยเป็นมาโดยไม่รู้สึกติดขัดอะไร


ทว่าพอคิดว่าจะไม่เจอ ก็ทรงเสียดายความรู้สึกหอมหวานติดใจนี้ไม่น้อย


“เป็นข้าชอบพอเจ้าไปแล้วงั้นหรือ”  เจ้ากระต่ายซื่อบื้อ เป็นเจ้าที่ร้ายกาจทำกับหัวใจขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราถึงเพียงนี้


เป็นเจ้าจริงๆแล้วใช่ไหม…ที่หัวใจต้องการที่สุด


☼ ☽


“พี่หมอจ๋า ข้าปวดหัว”  เป็นอีกวันที่วุ่นวายของศศิซึ่งรายล้อมไปด้วยคนป่วยมากมาย ป่วยจริงบ้าง ป่วยไม่จริงบ้าง อยากกินขนมบ้าง


ในส่วนของคนที่เคยอยู่ในการดูแลนั้น ด้วยตำแหน่งของเขาที่เพิ่งทราบ มันอาจจะเกินมือหมอผู้น้อยประสบการณ์เช่นตน จึงให้ท่านน้าเข้าไปเป็นผู้ถวายการรักษาย่อมดีกว่า และอีกอย่าง ศศิไม่แน่ใจว่าการที่ได้เจอเขาอีกครั้ง ตนควรจะปฏิบัติตัวเช่นไร ในเมื่อความเป็นจริงมันยากเกินกว่าจะรับได้ จึงคงดีกว่าหากจะหลบหน้าไปแบบนี้


แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าบางคนตั้งใจ เขาจะมาเจอไม่ได้


“ศศิ...”  เสียงเรียกจากน้ำเสียงอันคุ้นเคย ทำให้ท่านหมอน้อยที่กำลังเล่นกับลูกพ่อบ้านนั้นนิ่งงัน อยู่นานกว่าจะรู้ตัวว่าไม่ควรและคงต้องทำอะไรสักอย่าง


“องค์รัชทายาท”  หลังจากปล่อยให้เด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตักลงไปแล้ว ร่างบางก็ยืนเต็มความสูงและน้อมตัวทำความเคารพ นี่คือสิ่งที่ทรงกลัวที่สุด ท่าทางเหินห่างแบบนี้ไง...


“เหตุใดจึงไม่เป็นคนต้มยามาให้ข้าแล้ว”  หลบหน้ากันจริงๆหรือ ทำเช่นนั้นทำไม


“กระหม่อมยังคงปรุงยาให้พระองค์อยู่ แต่ทุกอย่างอยู่ภายใต้การดูแลของท่านอาจารย์”  ศศิอธิบายอย่างใจเย็น ทว่าไม่แม้แต่จะมองหน้า หลังจากถวายความเคารพก็ยังคงก้มอยู่อย่างนั้น “ในส่วนของการรักษาก็ควรจะอยู่ในมือที่ดีที่สุด”  มันเป็นคำอธิบายที่ชัดเจน แต่ก็ทรงต้องความชัดเจนกว่านี้


“แล้วใจคอจะไม่มาเยี่ยมเยียนหรือทักทายกันเลยหรือไง” ทรงตัดพ้อออกมา แต่อาทิตย์หรือจะเข้าใจถึงหัวใจของพระจันทร์


“กระหม่อมเสียมารยาท องค์รัชทายาทโปรดเมตตา”


“….”


“กระหม่อมยินดีรับโทษทัณฑ์ขอทรงบัญชา”  ทำไมศศิถึงเป็นแบบนี้ ทำไมจะต้องผลักภาระปัญหามาทางพระองค์ สุดท้ายแล้วเราก็จะไม่ได้คุยกันดีๆใช่ไหม สำหรับเจ้าตัวแล้ว อคิราห์ก็คงเป็นแค่คนไข้คนหนึ่ง ที่บังเอิญคือองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราใช่ไหม?


สุดท้ายเราก็แยกจากกันทั้งๆที่ยังไม่มีใครเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของอีกฝ่าย ไม่มีใครชวนทะเลาะ ไม่มีคำพูดแรงๆ ที่มีคือความไม่เข้าใจและพร้อมจะยอมแพ้กับทุกอย่างเพื่อหนทางที่คิดว่าสบายใจ ทว่าหนทางนั้น อาจจะไม่ใช่ที่ถูกใจนัก กว่าจะรู้ว่าการเสียอีกคนไปเป็นเรื่องที่ทำให้กระวนกระวายถึงเพียงนี้ ก็ต่อเมื่อศศิพยายามเดินออกจากการฉุดรั้ง แม้จะเป็นว่าที่กษัตริย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเป็นดั่งใจจริงๆ


ว่าแต่พระองค์จะเอาแต่ใจถึงเพียงไหนที่หวังจะครอบครองผลไม้ต้องห้ามผลนั้น หากเด็ดกิน พิษของมันรุนแรงกว่าชาดสีดำหลายเท่าตัว แต่ก็ทรงอยากจะลิ้มลอง ควรตระหนักได้แล้วว่าพระองค์ไม่ควรหมายมั่นจะครอบครองของที่ถูกจับจ้องโดยองค์รัชทายาทเมืองอื่น แต่เพียงแค่คิดว่าจะมีใครนอนซ้อนหลังกอดร่างบางนั่น พระหทัยก็เจ็บปวดราวกับว่ามันเต็มไปด้วยเข็มทิ่มแทง เช่นนี้แล้วคงต้องมีคนตัดใจใช่ไหม แล้วคนตัดใจ ก็ย่อมต้องเป็นคนที่มาพบเจอทีหลังใช่ไหม?


เป็นพระองค์สินะที่ทำได้ แต่ต้องทำจริงๆหรือ?


ในทุกๆคืน ศศิต้องขอพรกับพระจันทร์เพื่อให้จิตใจสงบ ทว่าเหตุการณ์ที่ได้เจอกันทำให้คิดหนักตลอดวัน ความกดดันทางแววตาที่ไม่แม้แต่จะกล้ามองจ้องนั้นทำให้เกิดความรู้สึกค้างคาอยู่ในใจ อคิราห์อาจจะจากไปแล้ว แต่เขามีตัวตนอยู่เสมอตั้งแต่แรกเจอ ในพื้นที่ข้างๆอาจจะไม่มีตัวเขาอยู่ แต่ภาพจำของเขาติดอยู่ในหัว กลิ่นอายของเขาติดอยู่ปลายจมูก เสียงหัวเราะก็ติดอยู่ในหู แม้หลับตาก็ยังเห็นชัดทุกสิ่ง คาดว่า…องค์รัชทายาทผู้นั้นได้มาอยู่ในใจของศศิจริงๆเสียแล้ว


นี่เราจะต้องโทษไหม กับการกักขังเขาไว้ในใจเงียบๆอย่างนี้ หากไม่มีใครพูด ก็คงไม่มีอาญาใดๆ แต่เท่านี้ศศิก็ต้องรับมือกับทัณฑ์หัวใจที่ไม่อาจจะสลัดออกไปได้ การแอบเก็บไว้อย่างนี้ก่อให้เกิดความทรมานอย่างยิ่งยวด ต่อให้เชี่ยวชาญสมุนไพรนานาชนิดแค่ไหน ก็ไม่อาจจะรักษาเยียวยาตัวเองได้ จึงหวังว่าสรรพคุณของสิ่งที่เรียกว่า ‘เวลา’ จะช่วยรักษาหัวใจให้กัน


เพียงคิดถึง ก็ทำให้น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย ศศิเก็บเสียงสะอื้นให้มันทุ้มในใจ กอดตัวเองอยู่บนเตียงที่ปราศจากกลิ่นอาย และคิดถึงเขาทั้งๆที่เราไม่อาจจะเคียงใกล้ตรงนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักกับความรู้สึกแปลกประหลาด มันช่างหวานปนขม ทั้งๆที่เคยมีคนบอกว่ามันเป็นอย่างไร แต่เมื่อได้รู้จักจริงๆกลับรับมือไม่ได้ คงเป็นครั้งแรกในชีวิต…ที่ให้ใครคนหนึ่งเข้ามามีความสำคัญขนาดทำร้ายกันได้ขนาดนี้ และการทำร้ายก็ทำได้ง่าย แค่เพียงยิ้มให้กัน


พี่อาทิตย์…ศศิคงไม่ได้ตกหลุมรักอยู่จริงๆใช่ไหม?


“อ๊ะ!”  ทั้งๆที่คำถามในใจนั้นไม่ได้ถูกเปล่งเสียงออกมา ทว่าใยจึงมีคนตอบคำถามให้


พื้นที่เตียงด้านข้างยวบลงกะทันหัน และอ้อมกอดจากด้านหลังที่โอบกระชับ ลมหายใจของใครสักคนที่ข้างแก้มนั้นทำให้ศศิรู้ว่ามีใครบางคนบุกรุกมาถึงที่นี่ ทว่าเหตุที่ไม่ขยับเขยื้อนร้องขอความช่วยเหลือ ก็เพราะแยกไม่ออกถึงความจริงหรือความฝัน


“เจ้าร้องไห้หรือ” แม้จะทรงสงสัยกับท่าทีของคนที่นอนหันหลังให้ แต่โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม ก็ทรงชิงซับน้ำตานั่นก่อนแล้ว


“เสด็จมาได้อย่างไร”  ศศิถามออกไป ดิ้นขลุกขลักจะลุกขึ้นมาจนพระองค์ต้องกลับมาโอบกอดให้แน่นเหมือนเดิม


“ในเรื่องของวิธีการ เจ้าอย่ารู้เลยจะดีกว่า”  นั่นมันไม่ใช่คำตอบที่เจ้าของห้องต้องการ แต่จริงๆแล้วก็ถามผิดมาตั้งแต่แรก คำถามที่ถูกต้องควรจะเป็น ‘มาทำไม’ ต่างหาก


“เช่นนี้ไม่ดีแน่ รีบเสด็จกลับไปเถิดพะยะค่ะ”   ยังมาได้ไม่ทันไรก็ผลักไสกันเสียแล้ว คิดว่าการหลบทหารเวรยามและปีนขึ้นห้องคนอื่นนั้นเป็นเรื่องง่ายนักหรือ เอาเป็นว่าในส่วนตรงนั้นนะมันไม่ได้ยาก แต่ก่อนนั้นที่พระองค์ต้องทำใจและคิดให้ถี่ถ้วนว่ามันดีแล้วหรือไรที่ทำแบบนี้ เคยคิดถึงคนอื่นบ้างไหมว่าสำหรับองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราแล้ว มันก็ไม่ได้ง่ายเลยที่จะตัดสินใจทำอะไรที่สุดแสนจะบ้าบิ่นนี่ลงไป


สิ่งที่บ้าบิ่นที่ว่านั่นคือยอมรับในความรู้สึกของพระองค์เอง


“ข้าป่วย”


“…..”


“พี่ไม่สบายนะศศิ”


“หากไม่สบาย ก็ควรไปพบท่านอาจารย์หมอพะยะค่ะ”  ศศิชี้ทางที่ถูกต้องให้


“ไม่อยากมีปัญหากับเจ้าของบ้าน เกรงว่าคงกำลังทำการรักษากันอยู่”  ทรงอ้างถึงสิ่งที่ศศิเคยพูด แม้จะรู้ดีว่าการรักษาที่ว่าคืออะไร แต่นั่นแล…ถ้าทรงไปก่อกวนตอนนี้ คาดว่าท่านแม่ทัพคงก่อกบฏในรัชสมัยที่พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นแน่แท้ กับเรื่องความแค้น ท่านอาอชิระนั้นแค้นนาน แค้นข้ามชาติเลยทีเดียว


“เฮ้อ…งั้นทรงมีอาการเช่นไรพะยะค่ะ กระหม่อมจะถวายการรักษาให้”  และจะได้ออกไปจากห้องนี้เสียที มันทำให้ศศิ…กลัวหัวใจตนเอง


“พี่นอนไม่หลับ”


“….”


“ไม่ได้กลิ่นหอมสมุนไพรจากตัวเจ้า ไม่ได้เคียงไออุ่นจากตัวเจ้า มันทำให้พี่นอนไม่หลับ”  หรือว่านี่จะเป็นอาการเดียวกัน แบบที่ศศิพบเจอ  “ให้พี่นอนด้วยคืนนี้ไม่ได้หรือ?”  น้ำเสียงออดอ้อนของผู้ชายตัวโตนั้นทำให้คนร่างบางใจบางอ่อนยวบ


“กระหม่อมจะปรุงยา ถวายการรักษาให้ โปรดรอสักครู่นะพะยะค่ะ”  ทว่าภาระหน้าที่และความเหมาะสมก็ทำให้ศศิต้องรีบปฏิเสธออกไป มันไม่งามแน่ ร่างบางจึงค่อยๆลุกขึ้นนั่ง หมายจะไปจัดเตรียมข้าวของ ทว่าคนดื้อด้านก็ไม่ปล่อยให้มันเป็นไปโดยง่าย


“ยาใดเหล่าจะได้ผลเท่านอนกอดเจ้า”  อคิราห์นั้นลุกขึ้นมานั่งตาม มือใหญ่นั้นจับมือของศศิไว้ ไม่ได้หมายจะบีบบังคับ หากแต่ก็ต้องการความเห็นใจ ใยจึงเป็นกระต่ายดื้อที่ใจร้ายต่อกันได้ถึงเพียงนี้


“….”


“หากเจ้าไม่สบายใจ ขอให้คิดว่านี่คือฝันได้หรือไม่”


“….”


“ได้โปรดเห็นใจ…พี่อาทิตย์ของเจ้าด้วยเถิด” วาจาออดอ้อนขอความเห็นใจนั้นหวานล้ำถึงเพียงนี้ ศศิมิอาจจะต้านทานความต้องการในใจและฤทธิ์ร้ายที่พระองค์โปรยใส่ได้อีกต่อไป ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ศศิก้มหน้าลงแต่พยักหน้าตอบกลับอย่างเชื่องช้า คนที่ลงทุนปีนเข้ามาถึงกลับยิ้มเต็มแก้ม ทรงตะกองกอดร่างบางเอาไว้ ก่อนจะจูบซับน้ำตาที่หวังว่าจะไม่มีอีกแต่ก็คงดีถ้ามันเกิดมาจากตัวของพระองค์เอง อคิราห์ทั้งใจร้ายและก็อ่อนโยนในคราเดียวกัน


ราวกับโลกใบนี้มีแค่เพียงเรา การลักลอบเจอทำให้หัวใจเต้นแรง หรือจริงๆมันเต้นแรงเพราะการได้อยู่ใกล้คนตรงหน้ามากกว่า โดยไร้ซึ่งการสั่งห้ามใดๆอีก ศศิค่อยๆหลับตาลงเมื่ออคิราห์ประทับจูบลงมาที่บริเวณปานแดงที่ตนนึกเกลียดชังเสมอ บอกย้ำสัมผัสนิ่มยุ่นอันแปลกใหม่ให้ฝังกับผิว ตราตรึงเป็นความทรงจำอันอ่อนหวานไปทั่วหน้า แต่แล้วมันก็หายไปจนต้องลืมตาขึ้นมาดูว่าตนได้ตื่นจากฝันจริงๆหรือ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะใบหน้าของเขากลับมาแนบชิด ทว่าครานี้ไม่ใช่แก้มใสที่เขาจะสัมผัส


แต่เป็นริมฝีปากอิ่มสีสวยที่เย้ายวนในจินตนาการจนหักห้ามใจตัวเองไม่ได้อีกต่อไป


อคิราห์นั้นคลึงจูบบนริมฝีปากนุ่มนั้นอย่างอ้อยอิง ทรงหาได้ลุกล้ำไปมากกว่านี้เพื่อให้คนที่ยอมลงให้เผลอไผล เป็นการหลอกล่อที่ชาญฉลาดและหวังผลที่แสนหวาน ปล่อยให้ศศิซึมซับรสชาติของจุมพิตนี้ ตกลงไปในหลุมที่พระองค์ขุดลงเรื่อยๆ จนไม่อาจจะหาทางปีนกลับขึ้นมาได้อีก แล้วเราก็จะได้อยู่ในนั้นด้วยกันเพียงสองคน ที่ๆศศิไม่อาจจะเป็นของใครอื่นได้อีก และเป็นของพระองค์คนเดียว


“พี่อาทิตย์…”  เสียงเรียกที่เบาราวกับใบไม้สั่นไหวนั้นทำให้ทรงแย้มพระสรวล ก่อนจะกลับไปหาริมฝีปากที่เอ่ยเสียงหวานเรียกกันอย่างเสน่หา ทรงหลงมนุษย์ตัวน้อยแสนดื้อ กินจุและขี้หงุดหงิดง่ายผู้นี้ไปแล้ว และเพราะหาทางยับยั้งไม่ได้ จึงเดินหน้ามาหาถึงที่นี่ ลืมสิ้นแล้วถึงการเป็นองค์รัชทายาท ลืมแล้วถึงภาระหน้าที่ของตน และยิ่งกว่าจงจำ ทรงทำเป็นลืม…ว่าศศิอาจจะถูกจับจองเป็นของใคร


เราสองคนกอดกันเอาไว้หลวมๆ ปล่อยให้ความหวานนำพาการกระทำที่ผิดแสนดำเนินต่อไป เขาประทับจูบลงบนหน้าผากเนียนก่อนจะเลื่อนมาที่เปลือกตาซึ่งปิดสนิท ปล่อยให้เข้าใจว่านี่คือความฝัน แม้ยามตื่นมันจะตราตรึงอยู่อย่างนี้ สติค่อยๆลางเลือนและกำลังเข้าสู่นิทราไปยังโลกแห่งความฝันจริงๆ


แต่รสจุมพิตติดริมฝีปากนี้ ตื่นขึ้นมาแล้วมันก็คง…ตราตรึงในหัวใจ


ในตอนเช้าที่ลืมตาตื่น ภาพฝันเมื่อคืนวานยังคงหวานติดตรึง แม้แต่ไออุ่นข้างกายก็ยังคงมีอยู่ ทว่าทั้งๆที่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชวนให้คิดมากแค่ไหน แต่รอยยิ้มที่ริมฝีปากก็ทำให้ศศิรู้ว่าตนไม่ได้เศร้าอย่างที่ควรจะเป็น จะผิดหรือเปล่านะที่วันนี้จะขอมีความสุขก่อน แม้จะรู้ว่าวันหน้าความทุกข์อันสาหัสจะมาเยือน


สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?
ทั้งคำหวาน ทั้งสัมผัสเหล่านั้น มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?


คำตอบนั้นอยู่กับใจของตนแล้ว ศศิที่ตื่นขึ้นมาในยามเช้าหันไปมองดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างขึ้นมาแทนความมืดมิด ก่อนที่มือเล็กจะแตะลงบนริมฝีปากที่เมื่อวานนี้เราได้คลอเคลียกันเนิ่นนาน มันเป็นจูบแรกที่หวานล้ำ เยียวยาพิษร้ายที่เกาะกินหัวใจมาหลายวันให้คลายลงได้ หากจะบอกว่าความอ่อนโยนของพระจันทร์ช่วยปลอบโยนกันทุกครั้งที่มีเรื่องทุกข์ใจ แต่อาทิตย์ดวงนั้นก็เป็นได้ทั้งต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดและยารักษาจริงๆ


วันนี้ท่านอาจารย์ก็คงไปถวายการรักษาให้กับองค์ชายอคิราห์แต่เช้า และนั่นคงจะเป็นเหตุผลหนึ่งให้เขาตื่นก่อนและเร่งจากไป เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน คงไม่มีใครคิดจะแพร่งพรายออกไปหรอก มันควรจะเป็นความลับ ทว่าความลับนั้นจะเป็นความลับเพียงหนึ่งคืนหรือไม่ก็สุดรู้ แม้จะสุขใจ แต่ก็ยังไม่มีความกล้าจะเข้าหาอยู่ดี ยามที่อาทิตย์ส่องสว่าง อะไรก็ยากจะหลบซ่อน


เว้นเสียแต่คนที่อยู่ในที่สว่างจะเดินมาหากันก่อน...


“ศศิ”  เมื่อได้ยินเสียงเรียก ร่างบางที่กำลังจะเดินไปที่โรงครัวก็ชะงัก


“องค์รัช…”  ทว่าเมื่อกำลังจะเอ่ยขานกลับไป เขาก็ยกมือขึ้นห้าม ศศิเพิ่งนึกได้ว่าในที่สาธารณะไม่ควรเรียกเขาเช่นนี้ เมื่อวานที่เผลอไป หวังว่าเด็กพวกนั้นจะไม่เข้าใจอะไรแล้วกัน


“ข้าจะออกไปเดินตลาด เจ้าอยากไปกับข้าไหม”


“…”


“ไปเที่ยวเป็นเพื่อนกันหน่อย ให้คนตามไปด้วย”  ทรงแย้มพระสรวล อยากจะใช้เวลาอย่างเป็นส่วนตัวกับอีกคนจะแย่ ถ้ายังอยู่ในคฤหาสน์ คาดว่าศศิคงไม่ยอมให้แตะเนื้อต้องตัว ทางเดียวที่จะได้พูดคุยใกล้ชิด ดูจะมีเพียงออกไปจากที่นี่ด้วยกัน


“แต่มันไม่ค่อยปลอดภัย”  ขากลับวันนั้นเรายังโดนไล่ล่าแทบตาย


“เราก็ให้คนติดตามไปห่างๆ หากเกินเหตุร้ายพวกเขาก็จะได้มาช่วยทัน”  พระองค์ไม่มีปัญหากับการเป็นเป้าสายตา ขอแค่คนเหล่านั้น ไม่ใช่ทิชากรหรืออชิระก็เพียงพอแล้ว


อลงกรณ์ที่ทราบว่าเราจะออกไปข้างนอกก็ช่วยเอื้อเฟื้อความสะดวกให้ตามต้องการ อคิราห์นั้นช่วยยกศศิขึ้นบนหลังม้าก่อนจะตามไปซ้อนหลัง เดิมทีอลงกรณ์จอมจุ้นอาสาจะเป็นคนขี่ม้าให้ศศพินทุ์เอง และแน่นอนว่าพระองค์จะต้องเป็นห่วงผู้หวังดีที่งานคงยุ่งจึงแสดงความห่วงใยไปพร้อมกับสายตาเชือดเฉือน  จะขี่ม้าให้ศศินั่งหรือ? ฝันไปเถิด!


“ท่านก็ไม่น่าไปมองท่านอลงกรณ์แบบนั้น”  ศศิที่นั่งอยู่ข้างหน้านั้นพูดขึ้นมา ทรงทำเช่นนั้นลงไป ไม่วายคนโดนกระทำย่อมหวาดกลัวจนอาจจะไปเก็บไปฝันร้าย เขาไม่ได้แกล้งแค่ศศิจริงๆ กับคนอื่นก็ไม่ละเว้นเลย



“ก็พี่อยากอยู่กับเจ้า” ว่าแล้วก็วางคางของตนลงบนไหล่บาง กระชับกอดให้แน่นขึ้นโดยไม่เอ่ยขออนุญาต


“ท่าน!” เมื่อออดอ้อนกันแบบนั้น ศศิก็โวยวายออกมา หากมองไปรอบๆ ถึงเหล่าผู้ติดตามนั้นจะให้ความเป็นส่วนตัว ติดตามห่างๆในระดับหนึ่ง แต่พวกเขาก็ย่อมเห็นทุกอย่าง เป็นพระองค์ชายที่ไม่ใส่ใจและสามารถเพิกเฉยทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตนได้


“อากาศนั้นหนาวแล้วนะ ให้พี่กอดไว้จะได้ไม่ป่วยไง” กล้ามาพูดเรื่องสุขภาพกับหมอแบบนี้ได้อย่างไร หากใครดูไม่ออกก็โง่เง่าเต็มทนแล้ว แต่ศศิจะสลัดเขาหลุดได้อย่างไร ก็นี่มันหลังม้า อันตราย!


จึงยินยอมให้คนเจ้าเล่ห์กอดจนมาถึงที่ตลาด วันนี้ศศิไม่คิดจะกินมากมายเท่าเดิมแล้ว แต่คนเอาแต่ใจอยากมาเดินเล่น ก็ย่อมต้องตามมา ทว่าสุดท้ายก็เป็นอีกฝ่ายที่เดินตาม ปากบอกไม่อยากกินแต่พอเห็นนั่นนี่ก็สนใจไปหมด คนพามายิ้มจนแก้มปริ ดีใจที่เจ้ากระต่ายดื้อดูตื่นเต้นไปหมดแบบนี้


“อันนั้นเขาเรียกว่าอะไรหรือ?”


“สตอเบอร์รี่น่ะ” 


“รสชาติมันเป็นเช่นไร?”


“หวานเปรี้ยวเหมือนริมฝีปากของเจ้าเลย”  พอตีความหมายในประโยคนั้นได้ ศศิก็หลบดวงตาเจ้าชู้ที่มองมาขององค์รัชทายาทผู้นี้ทันที คำตอบไม่ตรงคำถามแบบนี้ แล้วศศิจะไปรู้ไหมว่ารสชาติมันเป็นเช่นไร คนบ้าบอ ใครใช้ให้พูดเรื่องน่าอายแบบนี้กลางตลาดกัน!


ร่างบางที่กำลังเขินอายไปหมดนั้นเดินหนีไปอีกทาง ก็เป็นพระองค์นั่นแลที่ฉุดให้เดินตามไปที่ร้านขายผลไม้นั่น ก็เป็นความจริงไม่ใช่หรือ หากถามกันว่ารสชาติของสตอเบอร์รี่เป็นเช่นไร พระองค์ก็นึกถึงริมฝีปากของศศิเป็นอย่างแรก สีแดงสดอวบอิ่มเย้ายวนที่เมื่อเมียงมอง มีกลิ่นหอมที่ยั่วยวนจนต้องลอบกลืนน้ำลายยามละเลียดชิม และเมื่อกัดเข้าไปเต็มคำ รสหวานที่เปรี้ยวไปหมดทั้งหัวใจและปลายลิ้นก็เชิญชวนให้ทำซ้ำ เหมือนกันขนาดนี้ ตรัสผิดตรงไหน?


“อร่อย”  เมื่อศศิได้ลิ้มรสสตอเบอร์รี่ลูกแรกในชีวิต คำๆนี้ที่หลุดออกมาก็ทำให้ยิ้มตาม อยากจะแกล้งหยอกเสียหน่อยว่าตอนพี่ชิมปากเจ้า มันก็อร่อยเช่นนี้นั่นแล แต่อย่าเลย…อีกฝ่ายคงอายจนกินต่อไม่ลง เป็นตราบาปในใจพระองค์ไปอีกนาน จึงต้องยอมปล่อยไป


เส้นทางในตลาดไม่ยาวจนเกินไปหากมาเดินคนเดียว ทว่าอคิราห์นั้นหวังให้มันยาวกว่านี้ แม้จะเดินช้าแค่ไหน แต่เส้นทางมันก็สิ้นสุดลงง่ายๆ ศศิจะคิดเหมือนกันไหมหนอว่าอยากให้เราอยู่ด้วยกันต่อไปอีกสักพัก แต่ตราบใดที่เด็กคนนี้ไม่งอแงอยากจะกลับขึ้นมา พระองค์ก็จะพาเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ แกล้งทำเป็นลืมว่าเคยเข้าร้านโน้นไปแล้ว และพากลับเข้าไปใหม่อีกครั้งอย่างแนบเนียน


“ข้าชอบกินสตอเบอร์รี่”  อยู่ๆเจ้ากระต่ายผู้น่าเอ็นดูของพระองค์ก็เอ่ยออกมา ศศิเติบโตในเขตชายแดนที่อาหารการกินมีพอประทังชีวิต ผลไม้ที่นิยมปลูกแถบนั้นไม่ได้หลากหลาย สตอเบอร์รี่ที่เป็นผลไม้ของชาวเมืองนั้นจึงเป็นเรื่องที่เกินจะไขว่คว้าได้ แต่วันนี้ก็ได้ลองชิมมันแล้ว


และรสชาติของครั้งแรกก็หวานล้ำติดตรึงใจไม่น้อย


“พี่ก็ดีใจที่เจ้าชอบมัน”


“พอกินคำแรกก็เข้าใจที่ท่านพูดแล้ว”  ศศินั้นเอียงอาย พูดออกไปทั้งๆที่เขาไม่เข้าใจ ก่อนจะช้อนตามอง และบอกสิ่งที่คิด “จูบของเรามีรสชาติแบบนี้เลย”  มันเป็นครั้งแรกที่ศศิได้จูบ เป็นครั้งแรกที่ศศิอาจจะมีความรัก แม้ความรักนี้มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ หรือเอื้อมคว้าได้ยากเกินไป แต่เชื่อไหมว่าความยิ่งใหญ่ของมันได้ก่อร่างสร้างความหวัง


“ศศิ…”  พลันดวงใจขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราก็เต้นแรง พระหัตถ์ที่จับมือเล็กไว้ถูกกระชับให้แน่นขึ้น เริ่มจะสร้างภาพฝันที่มั่นคงกว่านี้ ภาพที่ในอนาคตเราอยากจะมีร่วมกัน …


“ข้าคงหลงรักสตอเบอร์รี่จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วจริงๆ”


================================
Talk:
ดราม่ากว่าอาทิตย์ศศิวันนี้ คือทำทัมป์ไดรฟ์ที่เก็บตอนที่เพิ่งแต่งเสร็จของเรื่องนี้หาย ฮือออออออออออออออออออ
ตอนนี้เราดราม่ากว่าตัวละครในเรื่องอีกแงะ ฮีลทั้งวัน (นอน) ก็ยังเศร้า (แล้วทำไมไม่หา)
ภาวนาให้ลืมไว้ที่ออฟฟิศด้วยเถิดนี่ขนาดบนบานกินมังสวิรัติเลย (ยากมากนะสำหรับสัตว์กินเนื้อแบบเรา เรื่องกินเรื่องใหญ่จีๆ 555)

ฝากกำลังใจได้ในคอมเมนท์หรือติดแท้ก #อาทิตย์ศศิ
ขออนุญาตไปฮีลตัวเองต่อ TT
@reallyuri

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น้องศศิ แบบนี้อิพี่อาทิตย์ได้ใจแย่ 5555555
ปล. ค่อยๆ หาน๊าเดี๋ยวก็เจอ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เหมือนเขาได้สารภาพรักกัน แงงงงงงงง

ขอให้ไรท์เจอทรัปไดรฟ์นะคะ

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
 :hao3:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เขินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  :heaven :heaven

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ขอให้เจอธัมป์ไดรฟ์ไวๆจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 9 : 15/12/2018 P.2
« ตอบ #39 เมื่อ: 17-12-2018 00:07:42 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
10
ช่วยรักศศิให้นานกว่านี้ที
☼ ☽

“เจ้าเลือกซื้อตรงนี้ไปก่อนนะ”  เขาพูดขณะเห็นศศิกำลังให้ความสนใจกับหนังสือเก่ามากมาย ใจคงอยากขนกลับไปให้ได้ทั้งหมดแต่ทำเช่นนั้นไม่ได้ ความสนใจของท่านหมอน้อยทั้งหมดตอนนี้ถูกมอบให้หนังสือเสียทั้งหมด ไม่หลงเหลือให้กับใครอื่นแล้ว จึงไม่ได้สังเกตว่าคนที่รบเร้าให้มาด้วยกันทำอะไรอยู่ พอเลือกซื้อเสร็จ เดินออกจากร้าน เขาก็กลับมาหากันพอดิบพอดี


“ท่านไปไหนมา”


“ร้านข้างๆนี้เอง เจ้าซื้อเสร็จแล้วหรือ”  ศศิเพียงพยักหน้าก่อนที่เราจะเดินออกจากร้าน แม้ไม่อยากให้เวลามันจบลงแค่นี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว ป่านนี้ผู้ใหญ่ทั้งสองคงกำลังรออยู่ที่คฤหาสน์  และทิชากรที่ออกจะหวงศศิกว่าใครก็คงกำลังโกรธเคืองอยู่นิดๆเป็นแน่ แต่ช่างปะไร อคิราห์ไม่นึกใส่ใจอยู่แล้วจึงได้พาอีกฝ่ายออกมาอย่างนี้เมื่อยอมรับความรู้สึกได้ ก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป


ยามเย็นที่ท้องฟาทอสีส้มตัดกับสีฟ้า ทรงยังคงกอดกระต่ายน้อยของพระองค์ ขณะที่ม้าของเรานั้นค่อยๆเยื้องย่างไปตามทางที่ถูกบังคับ ไม่มีใครพูดสิ่งใดต่อกันอีกแต่เราต่างซึมซับภาษากายที่ถ่ายทอดออกมาด้วยใจ ในวันนี้ศศิได้ปล่อยผมของตนให้ยาวสยาย รวบครึ่งศรีษะเอาไว้และปล่อยปอยผมบางส่วนมาปิดบังปานที่ข้างแก้ม ความนุ่มลื่นนั้นทำให้เผลอไผลสัมผัส เมื่อดอมดมก็จะพบว่านี่คือกลิ่นที่พระองค์ชื่นชอบมากทีเดียว


ศศิไม่ได้มีกลิ่นหอมหวานยั่วยวนแบบเครื่องหอมที่อิสตรีชาววังชอบใช้ แต่กลิ่นสมุนไพรเย็นๆที่ติดกายนั้นทำให้ผู้ได้ดอมดมรู้สึกดี เป็นกลิ่นที่หมายจะชื่นชมอยู่อย่างนี้ตลอดไปเสียจริง


“อย่าลงกลอนหน้าต่างนะเจ้า”  คำฝากฝังนี้ทำให้หน้าแดงด้วยรู้ว่าเขาจะมาหากันอีก ใจก็ไม่ได้ปลื้มหรอกเพราะด้วยกลัวว่าเขาจะเป็นอันตราย แต่อีกใจก็อยากให้มาหาเหลือเกิน ความคิดถึงนี่ ทั้งๆที่ยังไม่ได้จากก็รู้สึกได้แล้วหรือ?


เรามาถึงจุดหมายก่อนที่ฟ้าจะมืดมิด ศศินั้นแยกตัวไปหาท่านอาจารย์ที่รออยู่ เราแยกจากกันด้วยรอยยิ้มด้วยหมายจะพบปะกันในยามค่ำคืน องค์ชายเองก็เสด็จไปหาอชิระด้วยเหมือนกัน เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะมีเรื่องจะคุยด้วยเป็นแน่ แต่ถ้าชวนคุยเรื่องเจ้าลูกกระต่าย พระองค์ก็คงไม่มีทางปฏิเสธความจริงในใจต่อหน้าได้เลย


ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเก่งเรื่องล้วงความลับหรอก แต่ไม่มีความคิดจะปิดบังความรู้สึกหากถูกถาม ในตอนนี้ทรงพร้อมแล้วที่จะบอกกับผู้ใหญ่ให้รับรู้ว่าคิดอย่างไร และต่อไปต้องการจะทำอะไร


“มาแล้วหรือเจ้าตัวดี พาลูกกระต่ายของข้าหนีเที่ยวงั้นรึ!”  และคำแรกเมื่อพบหน้าของอชิระก็เป็นเรื่องนี้ คนถูกต่อว่าเพียงยิ้ม ทรงพาไปจริง ไม่เห็นมีอะไรต้องแก้ตัว


“ข้าดูแลลูกกระต่ายของท่านอย่างดี อย่าได้ห่วง”


“วันก่อนก็ได้ยินว่ามีเงาทะมึนแอบปีนขึ้นห้องศศิ เจ้ารู้หรือไม่ น่าเป็นห่วงนัก วันนี้ก็ว่าจะทำพิธีขับไล่วิญญาณร้ายเสียหน่อย”


“อันนั้นก็เกรงว่าจะเป็นการขับไล่หลานแทนเป็นแน่ ท่านอาพูดมาเถิดว่าต้องการสิ่งใด”


“ข้าพูดได้หรือ?”  อชิระนั้นยิ้ม สนุกสนานกับการได้แกล้งหลานชายที่รู้ทันกันไปหมดเหลือเกิน


“ท่านมีสิทธิ์จะพูด และหลานก็มีสิทธิ์จะไม่ทำตาม”  ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องเป็นเช่นนี้


“ทิชากรยังไม่รู้นะว่าเจ้าแอบปีนเข้าห้องหลานของเขา หากรู้เข้า เกรงว่าทั้งบ้านคงตายเพราะมีคนรมยาพิษให้ดมเป็นแน่”  และแน่นอนว่าอชิระที่ทราบเรื่องย่อมไม่บอก ไม่ใช่ว่าห่วงหลานชาย แต่ขี้เกียจรับมือกับทิชากรยามโกรธเคืองมากกว่า อันที่จริงแล้วความเสน่หาของหลานในตัวศศิก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล อคิราห์ไม่ใช่คนไม่ดี แต่ที่ไม่น่าสนับสนุนให้รักกัน คงจะมีแค่เรื่องเดียว…


เรื่องที่หลานชายของตนเป็นองค์รัชทายาทของสิหราชนครา


“เจ้าคงพอรู้เรื่องของลุงเจ้าบ้างแล้วสินะ อคิราห์”  จู่ๆอชิระก็เปลี่ยนเรื่อง และเป็นเรื่องที่ควรจะสนทนากันอย่างชัดเจนเสียที เจ้าณรงค์ชัยนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบสังหารนั่นจริงๆหรือ


มันเป็นเรื่องราวก่อนที่พระองค์จะถือกำเนิดเสียอีก การสมรสระหว่างองค์เหนือหัวและองค์ราชินีองค์ปัจจุบันนั้นมีผลประโยชน์ทางการเมืองมาเกี่ยวพันอยู่ เหมือนกับทุกราชวงศ์ในโลก แต่ในกรณีของรัชสมัยนี้ของสิหราชนครานั้นคือการผูกสัมพันธ์กับราชวงศ์เดิมของดินแดนจากทางฝั่งของพระราชินี ทว่าแม้การอภิเษกสมรสนั้นจะมีมาเนิ่นนานหลายปี แต่ก็ยังไม่มีบุตรธิดาสักคนให้ชื่นชม


ที่นั่งของรัชทายาทก่อนที่จะมาเป็นของอคิราห์นั้น เดิมทีมันเป็นของอชิระมาก่อน แน่นอนว่าอชิระไม่เคยต้องการ แต่ด้วยเพราะอชิระคือองค์ชายรองในราชวงศ์ที่ปกครองสิหราชนคราในตอนนั้น เมื่อพี่ชายขึ้นครองราชย์โดยไร้บุตรหลาน ตนจึงได้ตำแหน่งรัชทายาทมาแบบไม่งงเท่าไหร่แม้จะไม่ได้อยากได้ก็ตาม


ทว่าด้วยเพราะเหตุนี้จึงทำให้ฝ่ายของราชวงศ์เดิมที่พยายามจะกลับมามีอำนาจโดยการผลักดันลูกหลานให้ตกแต่งเข้าไปไม่พอใจอย่างยิ่ง และวันหนึ่งสวรรค์ก็เหมือนจะเข้าข้างพวกเขา เมื่อแพทย์หลวงได้ประกาศให้ทราบว่าองค์ราชินีกำลังตั้งพระครรภ์หลังจากที่รอมาเนิ่นนาน


ในที่สุด สวรรค์ก็ได้ประทานพระโอรสที่ถือกำเนิดขึ้นมาในวันที่มีปรากฏการพระอาทิตย์ทรงกลดงดงามบนผืนฟ้า


การถือกำเนิดของพระโอรสที่ถือตำแหน่งองค์รัชทายาทตามสิทธิ์โดยชอบธรรมนั้นก่อให้เกิดความพึงพอใจจากทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะมองอย่างไร การที่สืบสายเลือดจากทั้งสองราชวงศ์ย่อมดูจะก่อให้เกิดความเท่าเทียมสามัคคี แต่ว่าไม่มีใครควบคุมสิ่งใดได้ดั่งใจหรอก


อคิราห์นั้นเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูสั่งสอนจากทั้งพ่อและแม่ แต่ก็มีอชิระเป็นทั้งครูและเพื่อนเล่น ในตอนที่อชิระยังเป็นองค์ชายอชิรพล ตัวตนของเขาถือว่ามีอิทธิพลต่อหลานชายตัวน้อยอยู่พอสมควร ก่อให้เกิดความไม่พอใจจากพระญาติฝั่งมารดาที่พยายามจะเข้ามาสนิทสนมอย่างมาก หลายครั้งก็ถูกจับตามองว่าจะเสี้ยมสอนเรื่องไม่สมควรให้อคิราห์ และหลายครั้งที่ความผิดเล็กๆน้อยๆก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น


เดิมทีอชิระนั้นก็ไม่ได้ฝักใฝ่อำนาจในวังอยู่แล้ว ยิ่งถูกบีบคั้นกดดันทั้งเรื่องงานการและเรื่องหาเมีย จึงขอลงจากตำแหน่ง แต่ก็ยังถูกระแวงอยู่ดี และผลคือมีคนลอบเล่นงานกันโดยการหาเรื่องส่งไปที่ชายแดนตะวันตกที่ 2 อันแร้นแค้น เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะวุ่นวายกับความเป็นอยู่จนไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของสิหราชวงศ์อีก


ทว่าการจากไปของท่านอาทำให้องค์ชายอคิราห์ที่เป็นเด็กที่ฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกันไม่พอใจ จนตั้งแง่กับพระญาติฝั่งพระมารดาอยู่บ้าง และไม่อาจจะยินดีใกล้ชิดสนิทสนม ยิ่งโตขึ้นก็ทรงยิ่งฉายแววว่าที่กษัตริย์ที่ประชาชนรัก นโยบายต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้นได้รับการตอบรับที่ดี ทว่าการทำงานในเชิงนี้ ไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนบางกลุ่มเอาเสียเลย และคนพวกนั้นก็กำลังดิ้นรนทำอะไรบางอย่างเพื่อจะได้สิ่งที่ตนตั้งความหวังไว้กลับมา


เจ้าณรงค์ชัยคือหนึ่งในผู้เสียหาย แต่ไม่ใช่แค่เจ้าณรงค์ชัยหรอก พระญาติฝั่งพระมารดาโดยส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้รับประโยชน์จากการขึ้นครองราชย์ของอคิราห์อีกแล้ว มิหนำซ้ำถ้าพระองค์ทรงอยากตรวจสอบบางอย่างขึ้นมา พวกเขาก็มั่นใจว่าจะโดนลงโทษกันถ้วนหน้า


ดังนั้นเพื่อไม่ให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้ การกำจัดความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งมือทำ หากองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันซึ่งก็คืออคิราห์ขึ้นครองราชย์ไปเกรงว่าคงได้มีล้างบางกันเป็นแน่ กำจัดเสียก่อนที่จะสายย่อมดีกว่า และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้พระองค์ถูกลอบสังหารที่ชายแดนฝั่งคีรีธารา


ไม่สิ…นั่นไม่ใช่การลอบปลงพระชนม์ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดขึ้นโดยกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องอย่าง ‘คีรีเขต’ ที่ปกครองคีรีธาราทางใต้ซึ่งแสดงความเป็นศัตรูชัดเจนแค่กับ ‘คีรีราชสกุล’ ที่ในตอนนี้รั้งการปกครองระบอบกษัตริย์อยู่ทางเหนือของคีรีธารา ไม่ใช่สิหราชวงศ์ซึ่งเป็นราชวงศ์ปัจจุบันที่ปกครองดินแดนเพื่อนบ้านอย่างสิหราชนคราในตอนนี้


“ที่ได้ยินจากทิชากร พวกนั้นพยายามเข้าหาทางฝั่งคีรีเขตเพื่อร้องขอความช่วยเหลือในการก่อกบฏล้มล้างราชวงศ์ แล้วก็คงแต่งตั้งใครสักคนที่หัวอ่อนๆขึ้นมาครองราชย์แทน” คงลำบากกันแย่เลย ทั้งๆที่อุตส่าห์มีหลานชายเป็นองค์รัชทายาทแล้ว แต่ก็ใช้ไม่ได้ ฆ่าทิ้งแล้วยึดบัลลังก์มาคือทางเลือกใหม่สินะ


“ดูเหมือนว่าข้าต้องกลับเข้าวังในไม่ช้าแล้วสิ”


“ในวังอันตราย ตอนนี้ไม่รู้คนไหนเชื่อได้ไม่ได้”  อชิระส่ายหน้า แม้ตอนนี้จะพยายามให้คนแทรกแซงอยู่ แต่ก็ยังไม่ค่อยคืบหน้าอะไร เห็นทีว่าอาจจะต้องมีการประชุมกันลับๆในเชื้อพระวงศ์กันบ้างแล้ว ไม่งั้นคงได้ตายกันหมดทั้งตระกูลเป็นแน่


“ว่าแต่ท่านอาเล่า ท่านจะเข้ามาจัดการเรื่องนี้ไหม”  ในฐานะของแม่ทัพ อชิระนั้นมีทหารอยู่ในกำมือมากมาย ไม่ต้องมองตามหน้าที่ของทหารที่ต้องซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์เท่านั้น เขาในฐานะเป็นเครือญาติย่อมโดนหางเลขด้วยแน่ งานนี้ใครชิงจัดการก่อน คนนั้นรอดจริงๆ


“ข้าคงไม่แคล้วต้องร่วม แต่กลัวก็แต่ใจแม่ของเจ้า”


“…”


“พระนางอาจจะเกี่ยวข้องหรือไม่ ข้านั้นไม่เท่าไหร่หรอก แต่เจ้าเล่า จะจัดการอย่างไร”  เป็นอย่างอชิระว่า องค์ราชินีที่ถือกำเนิดจากตระกูลเดียวกับพวกนั้น แม้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องการสังหารนี้หรือไม่เกี่ยวข้องในเรื่องกบฏใดๆเลย ทว่าการที่จะทรงจัดการพวกพ้องของพระนางโดยเด็ดขาด ก็ใช่ว่าจะยอมรับได้ง่ายๆ สายสัมพันธ์แม่ลูกเล่า จะทำเช่นไรดี


แต่พระองค์ไม่มีทางเลือกจริงๆด้วยความจำเป็นจึงต้องกลับไป แต่จะไปทันทีนั้น ก็เกรงว่าคนที่อาจจะกำลังรอกันอยู่บนห้องนอนจะไม่เข้าใจดังนั้นจึงต้องเตรียมคำอธิบาย ฟ้ามืดมาสักพัก ผู้คนก็เริ่มเข้าห้อง จะมีเพียงชายเดียวที่รั้งรอไม่กลับห้องของตนสักที เมื่อแหงนหน้ามองทิศทางเป้าหมายแล้ว ก็ทรงแย้มพระสรวลออกมา


เปิดหน้าต่างไว้ให้ด้วยสินะ…เด็กน้อย


☼ ☽


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเมื่อต้องเฝ้ารอใครบางคน ความคิดถึงมันทำให้เพี้ยนได้ขนาดนี้เลยหรือนี่ ไม่อยากจะยอมรับแต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าเรากำลังเฝ้ารอเขาอยู่ ตอนที่แยกจากก็ไม่รู้ว่าท่านอชิระจะคุยอะไรกับเขาบ้าง ในส่วนของศศิกับท่านน้าทิชากรนั้นไม่มีอะไร เราเพียงแค่นั่งกินข้าวเงียบๆพูดคุยเรื่องทั่วไปเท่านั้น


“หรือวันนี้จะมาไม่ได้กันนะ”  เจ้าของห้องร่างบางก็คิดไปเสียแล้ว มองไปทางหน้าต่างทีไรก็พยายามจะตัดใจ ทว่าเมื่อตัดใจและจะล้มตัวลงนอน เสียงดังกุกกักก็กลับมาทำให้ใจที่เหนื่อยอ่อนของตนเต้นแรง ร่างบางนั้นกลับมาลุกขึ้นนั่งและมองไปที่หน้าต่างบานนั้น โดยไม่รู้ตัวรอยยิ้มก็ปรากฎที่ริมฝีปากอิ่มรสสตอเบอร์รี่ที่ผู้มาเยือนแสนชื่นชอบ


“รอพี่อยู่ใช่ไหม”  เมื่อเสด็จเข้ามา ก็ประทับนั่งลงบนเตียง รอยยิ้มของศศิท่ามกลางแสงของโคมสีอุ่นนั้นช่างงดงาม ด้วยความเสน่หา ทรงดึงร่างบางเข้ามากอดหอมจนพอพระทัย


“พอก่อน…ข้าหายใจไม่ทันกันพอดี”  ช่างเป็นคำขอร้องที่น่ารักเสียยิ่งกว่าอะไร หายใจไม่ทันเช่นนั้นหรือ ทั้งเขิน ทั้งตื่นเต้นจนถึงเพียงนี้เพราะพระองค์ใช่ไหม จะไม่ให้รับผิดชอบก็ไม่สบายพระทัยนัก


“แค่เห็นว่าเจ้ารออยู่ พี่ก็ห้ามใจไม่ให้กอดหอมไม่ไหว”  หากห้องสว่างกว่านี้ เกรงว่าคงได้เห็นแก้มของบางคนเป็นสีสุกปลั่ง


“ท่านก็ต้องห้ามใจไว้บ้าง”  มือเล็กดันพระองค์ออกเล็กน้อย ก่อนที่คำอธิบายต่อจะน่ารักจนลืมหายใจ “ข้าช้ำไปหมดแล้ว”  ทรงต้องรับผิดชอบแล้วจริงๆ ต้องรับผิดชอบเดี๋ยวนี้เลย!


“น่ารักเหลือเกิน”  คำชมนี้ไม่ใช่คำชมแบบที่ศศิชอบ แม้ไม่เคยคาดหวังคำว่าหล่อเหลาจากปากใคร เพราะรู้ดีว่าไม่ได้มีลักษณะองอาจเช่นนั้น แต่คำว่าน่ารักก็ไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมความชอบมาก่อนเช่นกัน โดยเฉพาะที่ออกจากพระโอษฐ์หวานนี่ เพราะอะไรนะหรือ เพราะมันให้เขินจนตัวหดเหลือเล็กนิดเดียวอย่างไรเล่า


แต่ก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไร คนที่เอ่ยชมกันอย่างไม่ถามความสมัครใจก็หยิบบางสิ่งขึ้นมาและช่วยติดมันไว้บนเส้นผมสีดำขลับบริเวณเหนือใบหูข้างขวา เครื่องประดับผมอย่างนั้นหรือ?


“เข้ากับเจ้านัก” 


“มันเป็นของสตรี”  คนที่ไม่ใช่สตรีทำใบหน้าบูดบึ้ง


“ตอนข้าเห็นมันนั้น ไม่เคยคิดเรื่องที่ว่ามันเป็นของสตรีหรือบุรุษแต่อย่างใด”


“….”


“เพียงรู้สึกว่ามันน่ารัก เหมาะจะอยู่บนผมของเจ้า ก็เลยเผลอซื้อมาแล้ว”  ตอนที่ไปตลาดด้วยกันนั่นแล ที่ทรงขอไปซื้อของคนเดียว พระองค์เดินผ่านร้านนั้นทีไรก็เอาแต่มอง จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องไปซื้อกลับมาไว้ แล้วถ้าไม่ไว้กับศศิ มันก็คงไม่น่ารักอย่างที่ควรจะเป็นเลยนำมามอบให้ จะได้ติดไว้ให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรให้ฉ่ำอุราทรงคิดเองไปหมดแล้วและก็ทรงทำตามอำเภอใจไปแล้วด้วย!


“ข้าจะรับไว้”


“รับไว้เถิด ถึงมันจะเป็นของสตรี แต่จริงๆแล้วมันถูกทำขึ้นมาเพื่อช่วยเก็บผมยาวๆให้เป็นระเบียบและมันก็เหมาะกับเจ้าจนต้องซื้อมา เกรงว่าถ้าไปอยู่กับคนอื่นก็คงงดงามได้ไม่เท่านี้”  คำว่างดงามนั้นก็ไม่ค่อยชอบ แต่เพราะเป็นคนที่ตนชอบพูดออกมาก็เกรงว่าแม้แต่คำว่าน่าเกลียดน่าชังจากปากก็ทำให้ชอบอยู่ดีใจคนเราช่างลำเอียงได้ถึงเพียงนี้


ความรักความชอบช่างทำให้คนเห็นผิดอย่างน่าตายเหลือเกิน…


เมื่อเห็นใบหน้าของท่านหมอน้อยมีรอยยิ้มกับสิ่งของที่ประทานให้ไปองค์รัชทายาทก็เริ่มรู้สึกลำบากพระทัยที่จะพูดเรื่องสำคัญกว่านั้น มันช่างแสนสั้นเหลือเกินกับการที่เราได้รู้จัก และยิ่งสั้นนักสำหรับการที่เรารับรู้ว่ากำลังตกหลุมรักใครสักคน ช่วงเวลาที่มีกันและกันในอ้อมแขนนั้นยิ่งสั้นอย่างน่าจะหาย แต่พระองค์มีเส้นทางที่ทรงเลือกดำเนินมาเนิ่นนาน จะเปลี่ยนก็ย่อมทำไม่ได้ง่าย


แม้จะชอบเสียจนตัดอกตัดใจไม่ได้ แต่ก็คงต้องอดทนเข้าไว้


“ศศิ พี่มีเรื่องจะบอกเจ้า”  หลังจากที่เอ่ยคำหวานมาล่อหลอกกัน ก็ทรงต้องตรัสในเรื่องที่ตั้งใจจะมาพูดออกไป ศศินั้นมองใบหน้าหล่อเหลาที่จริงจังขึ้นมาอย่างสงสัย “พี่จะต้องกลับ…บ้าน”


“….” และพระประสงค์นั้นก็เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจ


“พี่อาจจะทำให้เจ้าผิดหวังหรือเสียใจที่ต้องจากไป แต่ว่า…พี่” ทว่าเมื่อจะอธิบายต่อ มือเล็กของศศิก็ถูกยกขึ้นมาปิดพระโอษฐ์เอาไว้ ช่างไม่รู้ใจกันเสียเลย หรือรู้แค่บางส่วน แต่ไม่ได้รู้ทุกส่วนใช่หรือไม่?


ว่าศศิก็ไม่เคยคิดว่าตนจะกักขังเขาไว้กับตัวได้แต่แรกอยู่แล้ว


“อย่าพูดเช่นนั้นเลย”  ยิ่งเห็นว่าทรงพยายามจะอธิบาย คนต้องรอรับฟังก็ยิ่งอึดอัด  “ข้าเข้าใจ”


“ศศิ”


“ท่านมีภาระและหน้าที่ของท่าน เดิมทีก่อนเรารู้จักกัน ภาระก็มาก่อนอยู่แล้ว ข้าย่อมเข้าใจมันดี”


“เจ้าจะรอพี่ใช่หรือไม่”  นั่นสินะ…


ศศิจะหนีไปไหนได้ไหมนะ?


เดิมทีความสัมพันธ์รูปแบบนี้ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ศศิไม่ใช่คนฝันเฟื่องหรือแม้แต่จะคิดว่าเจ้าชายจะมาขอความรักกันแบบนี้  แต่ความเป็นจริงช่างแสนเจ็บปวด ศศิดันหลงใหลในตัวเจ้าชายที่มายื่นเสนอความหวานให้ตรงหน้า และถ้าเมื่อรักไปแล้ว ก็มิอาจจะต้านทานต่อความต้องการนั้นได้ทว่าการฉุดรั้งคนที่มีภาระหน้าที่ไว้อย่างเห็นแก่ตัว ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะควร เพราะความรักนั่นไง ที่ทำให้พูดไม่ออก เพราะความรักนั่นไง ที่ทำให้เห็นแก่ตัว


แต่เพราะรักและหวั่นกลัวจึงไม่กล้าจะเอื้อนเอ่ย


“ข้าคิดว่าข้านั้นคงไปไหนไม่ได้”  เพราะหลุมที่ทรงขุดให้ศศิกระโดดลงไปนั้นมันลึกเกินกว่าที่เจ้าตัวจะรับรู้เสียอีก ในระยะเวลาสั้นๆ ได้ทำให้คิดว่าตนเองคงตกหลุมรักเขาเนิ่นนานกว่าเวลาที่เราได้รู้จักกันมาถึงวันนี้เสียอีก แต่มันอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะชี้ชัด นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าหลงใหล ไม่แน่ต่อมาหากได้ห่างกันไปเราก็คงตัดใจจากกันได้ไม่ยาก ทว่าเมื่อคิดถึงนี้ตรงนี้ หัวใจก็บีบรัดจนทรมาน


“ศศิ”


“ข้าย่อมสนับสนุนท่านให้ทำในสิ่งที่ควรอยู่แล้ว”  แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ต้องจำยอม จริงๆแล้วไม่มีใครจินตนาการถึงตอนจบของความสัมพันธ์ระหว่างกันเลย ในเมื่อลุ่มหลงในกันและกันมากมาย ย่อมคิดภาพที่จะต้องแยกจากอย่างหมดใจไม่ออก และเมื่อฐานะเราห่างกันเกินไป จึงไม่อาจจะฝันใฝ่ถึงการเอื้อมหาตำแหน่งข้างกาย ศศิพยายามไม่คิดถึงปัญหาตรงนั้น และพยายามจะซึมซับความหวานระหว่างนี้ให้ได้มากที่สุด


ว่าแต่มันกำลังจะหมดแล้วหรือ? ความสุขช่างแสนสั้นนัก


“พี่จะทำทุกอย่าง”


“ขอจงอย่าสัญญา”  ศศิยังยิ้มอยู่ใช่ไหม ไม่…น้ำตาของตนกำลังไหล


“อย่าร้อง นี่พี่มาหาเจ้าสองคืนติดกัน เจ้าก็ร้องไห้ให้พี่ทุกวันอย่างนั้นเลยหรือ”  คำหยอกล้อนี้ทำให้คนฟังยิ้มออกมา น่าเสียดายนัก แต่ก็ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ศศิค่อยๆยกพระหัตถ์อุ่นขึ้นมาแนบแก้มที่เย็นชืดของตน ครั้งหนึ่งมือนี้ช่างแสนเย็นเฉียบ ทรงเกือบตายไปแล้ว แต่วันนี้มือนี่กลับอบอุ่นนัก ศศิดีใจที่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือในวันนั้น เพื่อให้เขาสอนให้รู้จักความรักในวันนี้


“พี่อาทิตย์…ช่วยรักศศิให้นานกว่านี้ที”


“….”


“ไม่ต้องมาเจอหรือหากันก็ได้ แต่ช่วยมีศศิในใจไปอีกสักพักเถิดนะ”เพราะยังทำใจออกห่างจากความรักที่เพิ่งได้พานพบรู้จักไม่ได้


“ทำไมเจ้าพูดเช่นนี้”  เหมือนมีก้อนสะอื้นติดอยู่ที่ลำคอ ทรงไม่คิดว่าคำออดอ้อนนี้มันจะเจ็บปวดได้ขนาดนี้เลย “พี่ไม่ใช่หรือที่ต้องกลัวเจ้าจะยอมแพ้”  ทรงรู้ดีว่าศศิจะต้องเผชิญกับความหวาดกลัวในการเคียงข้างกัน แต่ไม่เคยจะตรัสปลอบโยนออกมาสักครั้ง ทว่ารับรู้ในพระทัยดี


จนถึงตอนนี้ พระองค์ก็คิดว่าศศิต้องใช้ความกล้ามากมายในการเปิดประตูหัวใจตัวเองแล้ว พูดเช่นนี้จะทำให้พระองค์ขาดใจตายเลยหรือ ต่อให้อีกฝ่ายไม่ห้าม แต่ก็เป็นพระองค์ที่ไม่อยากจากไปไหนแทน หากในอ้อมพระอุระจะมีคนๆนี้อยู่ตลอดไป ก็ไม่มีที่ไหนแล้วที่ทำให้นึกอยากหวนกลับ แม้ว่าสถานที่นั้นจะเป็นสถานที่ที่เกิดและอยู่อาศัยมาตลอดชีวิตก็ตาม


“ไปทำหน้าที่ให้เต็มที่ อย่าเจ็บอย่าป่วย ดูแลตัวเองดีๆ”  ริมฝีปากอิ่มประทับจูบลงบนหลังพระหัตถ์อย่างแผ่วเบา “สำเร็จแล้วหรือยังไงก็มาหามาบอกกันด้วย แม้ไม่ได้รักกันแล้วมาบอกฉันมิตรก็ได้”  คำสุดท้ายนั้นแผ่วเบาราวรำพันกับตัวเอง กว่าจะสำเร็จนั้นคงกินเวลานานไม่ใช่น้อย เป็นพระองค์เสียมากกว่าที่ทำใจยอมรับการห่างกันแบบนั้นไม่ไหว


“เจ้าทำให้พี่ไม่อยากไปไหน”


“….”  หรือไม่บางทีศศิก็อาจจะกำลังทำอย่างนั้นอยู่ แต่ก็รู้ เสน่ห์ของตนไม่เพียงพอที่จะฉุดรั้งให้ออกมาจากภาระสำคัญนั้นได้ และองค์รัชทายาทที่ทรยศต่อทุกคนเพื่อมาลุ่มหลงคนๆหนึ่ง มิอาจจะเป็นองค์รัชทายาทที่ศศพินทุ์รักได้อย่างหมดหัวใจ


“พี่จะรีบมาหา”


“อย่าสัญญา…”


“มันต้องมีวิธี…”  พระองค์ต้องหาวิธีทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อยอดรักแสดงออกถึงขนาดนี้ การที่พระองค์จะยอมแพ้ให้คนน้องเห็นนะหรือไม่มีทางหรอก อย่างไรก็ต้องได้เจ้ากระต่ายน้อยคืนมาในอ้อมกอด แต่จะด้วยวิธีใดกันเล่า


“หากจะสัญญา ก็ขออย่าสัญญาในเรื่องอนาคตที่ยังอีกยาวนานนั้นเลย”  ศศิเอ่ยขอ คำสัญญานั้นมันอาจจะเป็นเข็มทิ่มแทงกันในอนาคตได้ ด้วยไม่อยากจะหลอกตัวเองจนโง่งมงาย สู้ไม่รับรู้เสียเลยจะดีกว่า “วันนี้พี่อาทิตย์จะกอดศศิจนเช้า”  หากจะสัญญา ข้อนี้เขาคงทำให้กันได้


“……”


“และพี่อาทิตย์จะกลับไปทำหน้าที่อย่างตั้งใจ ดูแลรักษาตัวเองให้ดีที่สุด”  แค่นี้คงทำให้ได้กระมัง เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ศศิใคร่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆมากกว่า ในเมื่อไม่ได้อยู่เคียงใกล้ ใครเล่าจะดูแลพระองค์ได้ดีเท่าตัวเอง


คำร้องขอนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ทรงอยากให้อีกฝ่ายเอาแต่ใจอีกสักนิด การที่ศศิไม่ขอ นั่นเท่ากับไม่คาดหวัง และเมื่อไม่คาดหวัง โอกาสที่จะทำใจให้เลิกราต่อกันย่อมง่ายดาย พระองค์ไม่ได้ไม่พอใจในตัวอีกคนหรอก แต่แค่เพียงกังวลใจเท่านั้น


จะทำอย่างไรให้เด็กคนนี้ถูกผูกติดไว้ ความคิดของอคิราห์นั้นช่างเห็นแก่ได้โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของใครเอาเสียเลย แต่ความรักที่เห็นแก่ตัว ก็ยังได้ชื่อว่าความรัก และถ้าคนสองคนรักกัน มันก็ไม่ใช่การบีบบังคับ หรือปรบมือข้างเดียวอยู่แล้ว


ก็ยังไม่รู้หรอกว่าต้องทำอย่างไรถึงจะรักษาศศพินทุ์ไว้ได้ แต่หากไม่มั่นใจในตัวเองเสียหน่อยแล้ว ก็เท่ากับยอมถอนตัวให้กับความรู้สึกที่มี แม้ว่าถอยตอนนี้ อาจจะไม่เจ็บเท่าถอยในอนาคต แต่ความรู้สึกนี้มันล้ำค่าและไม่เคยมีมา ไฉนเลยจะยอมเสียมันไปได้ง่าย พระองค์ต้องหาทางที่จะทำให้เราสมหวังแม้อีกคนจะไม่คาดหวังก็ตาม


“ฝันดีนะ”  ทรงประทับจูบลงบนหน้าผากเนียน ยังไม่มีใครหลับใหล แต่การตื่นอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันมันช่างเป็นความสุขที่ล้ำค่า ยิ่งยามต้องจาก ร่างกายของเราก็เหมือนจะโหยหากันและกันจนเกินบรรยาย และแม้พระองค์จะถูกห้ามไม่ให้เอ่ยออกไป แต่ก็ทรงประกาศก้องในใจว่าศศพินทุ์จะเป็นของพระองค์เท่านั้นและเพราะได้เลือกแล้ว


จึงไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้มีทางเลือกไหนนอกจากพระองค์อีกเลย!



TALK:
น้องเจอทัมป์ไดรฟ์แล้ว555 ตอนนี้แก้บนอยู่
จริงๆคือเราตั้งใจจะลงนิยายวันนี้และพรุ่งนี้ เพราะมะรืนนี้ไม่อยู่5555
ไปเชียงรายค่ะ เกิดมาไม่เคยเที่ยวภาคเหนือเลย ขออนุญาตหายไปสักสามวันนะคะ
เผลอแปปเดียวเรื่องนี้ก็มาถึงตอนที่สิบแล้วค่ะ แล้วเราก็กำลังใกล้จะได้แต่งตอนจบแล้ว
ไม่ต้องห่วงว่าจะดองหรือถอดใจจนแต่งไม่จบนะคะ แต่งจะจบไม่ลงก็เสียดายแย่






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
จะมีใครมาช่วยทำให้ราบรื่นขึ้นมั้ย ฮืออออออออ
ไหนจะทางฝั่งศศิอีก หนักหนาาาาาาาาา  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
จะมีเรื่องราววุ่นวายตามมาไหมนะ

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
11
ของฝากจากศศิ
☼ ☽

ค่ำคืนที่เรากอดก่ายกันช่างผ่านไปไวยิ่งนัก


“…”


“พี่ไปแล้วนะ”  ทรงตรัสต่อหน้าคนงามโดยไม่สนใจสายตาของใครอื่นหรือทิชากรที่มาส่งด้วยแม้แต่น้อย นี่ถือว่ามีความเกรงใจแล้ว เพราะสิ่งที่ทรงอยากทำมากกว่าคือดึงคนร่างบางมากอดหอมให้สาแก่ใจก่อนจาก


ดวงตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยข้อความมากมาย แต่ริมฝีปากไร้สิทธิ์ที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป หวังเพียงจากนี้คนจากลาจะปลอดภัยในที่สุดก็ต้องยอมตัดใจหันหลังให้และเดินหน้า ยิ่งอาลัย ก็ยิ่งยากที่จะขยับไปไหน จึงต้องตัดใจและก้าวต่อแม้อยากจะเดินถอยหลังกลับไปหาก็ตาม


ขบวนเดินทางของพระองค์นั้นรายล้อมไปด้วยราชองรักษ์ที่ได้รับความไว้วางพระทัยจริงๆ การเคลื่อนไหวของพระองค์ย่อมถูกจับตามอง หากเป็นไปได้ ก็เลือกที่จะไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายไหนประชิดตัวแบบนั้นได้อีก ซึ่งอีกฝ่ายก็คงรู้ว่าพระองค์ระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้นจะผลีผลามทำอะไร ก็คงไม่ได้ดั่งใจ


ทันทีที่ประตูบานใหญ่ซึ่งถูกแกะสลักลวดลายอันงดงามเปิดออก ร่างสูงขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราก็กลับคืนสู่สถานที่ที่ควรคู่แก่พระองค์ บนพระที่นั่ง ทรงได้เห็นพระบิดากำลังมองมาและพระมารดาส่งยิ้มให้ทั้งน้ำตา การรอคอยสิ้นสุดแล้ว ในตอนนี้ทั้งสองพระองค์สามารถโล่งพระทัยได้จริงๆว่าพระโอรสนั้นปลอดภัย


“อคิราห์” องค์ราชินีแห่งสิหราชนครานั้นโผเข้ากอดลูกชาย ตลอดหลายสัปดาห์มานี้ พระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานกับการไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไร บาดเจ็บตรงไหน และทำอะไรอยู่ การได้เห็นว่าพระโอรสปลอดภัยและกลับมาที่นี่ได้ ทำให้พระนางวางใจ


ทักทายและตอบคำถามจนพระนางพอพระทัย องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราก็ได้เรียกให้องค์รัชทายาทเดินมายังห้องทรงงาน มีเรื่องที่จะพูดคุยมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อคิราห์นั้นก็พอจะรู้ว่าถูกเรียกไปสอบถามเรื่องใดจึงยอมผละจากพระมารดาที่ดูจะเคืองใจหน่อยๆ


ทุกย่างก้าวของพระบิดาแม้จะเชื่องช้าแต่มั่นคง ทรงเดินตามโดยไม่ตรัสถามอะไร ทว่าในพระทัยกลับมีเรื่องราวมากมายทั้งถ่ายทอดได้และไม่ได้ ความกังวลใจของพระองค์ไม่ใช่แค่เพียงของชีวิตพระองค์เอง ทว่าผู้คนที่เกี่ยวข้องกับสิหราชวงศ์และตัวเสด็จพ่อเองก็เป็นภัย เมื่อประตูห้องทรงงานปิดลง บทสนทนาก็ได้เริ่มต้นขึ้น


“ข้าพอจะทราบเรื่องลอบสังหารบ้างแล้ว”


“เรายังจับผู้ร้ายไม่ได้ พระองค์เองก็ต้องระวังเหมือนกันนะพะยะค่ะ”  ดวงตาขององค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราหม่นแสงลง ความขัดแย้งที่คิดว่าดับมอดไปแล้ว แท้จริงยังคงมีอยู่และพร้อมจะลุกโชนในทุกเมื่อ คนที่เกี่ยวข้องต่างก็ต้องวนเวียนอยู่ในเกมอำนาจนี้ และคนที่เคยเป็นดั่งผู้หยุดความวุ่นวายเหล่านั้นในอดีต ก็กลับกลายมาเป็นเป้าหมายเสียเอง


เมื่อเกินการเลือกข้างเลือกฝ่ายเกิดขึ้น


“เป็นเช่นนี้แม่เจ้าคงจะวุ่นวายใจเป็นแน่”  กับองค์ราชินีนั้น พระองค์ก็ยอมรับว่าไม่ได้รู้สึกรักใคร่เยี่ยงคนรัก การแต่งงานของเราเกิดขึ้นเพราะความต้องการที่จะเชื่อมสัมพันธ์เพื่อผลทางการเมือง แต่ในเรื่องของหัวใจมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบาย สิ่งหนึ่งที่งดงามที่สุดในความสัมพันธ์คือองค์ชายอคิราห์ผู้นี้


“เราเองก็คงวุ่นวายเป็นพิเศษเพราะครั้งนี้ทางคีรีเขตเข้ามาเกี่ยวข้อง” องค์รัชทายาทเอ่ยออกมา ต้องการที่จะสนทนาปัญหาความมั่นคงกับพระบิดามาสักพักแล้ว


“อา…”


“ได้ยินว่าทางเจ้าณรงค์ชัยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางคีรีเขตในด้านการค้ามานาน แถมการเคลื่อนไหวของเจ้าณรงค์ชัยในตอนนี้ก็แปลกประหลาด ลูกไม่อาจจะห้ามตัวเองไม่ให้สงสัยได้”


“เจ้าโดนลอบสังหารที่คีรีธารานี่ เป็นคนของคีรีเขตงั้นหรือ”


“ลูกไม่รู้ ที่ทราบคือพวกมันใช้ชาดสีดำในครั้งนี้”


“ชาดสีดำ…พิษนั่นร้ายแรงนัก”  แล้วเหตุใดถึงรอดมาได้ หรือเพราะไม่โดนพิษ?


“กระหม่อมเกือบไปเหยียบปรโลกแล้วจริงๆ โชคดีมีท่านหมอคนหนึ่งหลงทางมาเลยช่วยกันไว้”  เพียงแค่คิดว่าถ้าศศิไม่เด๋อๆด๋าๆถึงเพียงนั้น อคิราห์คงไม่แคล้วสิ้นชื่อแล้วจริงๆ แค่คิดถึงก็หลุดแย้มพระสรวลออกมาในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้


“พ่อไม่เคยได้ยินว่ามียาแก้พิษตัวนี้ เจ้าแน่ใจหรือ”


“ไม่ผิดแน่ อาการของลูกตอนนั้นเหมือนคนที่ได้รับพิษดังกล่าว ในส่วนของยาแก้พิษ ลูกก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือสิ่งใด”


“เราอาจจะต้องพาหมอคนนั้นมา”


“ยังไม่ได้พะยะค่ะ ในนี้ยังไม่ปลอดภัย”


“…”


“ลูกหมายถึง ยังให้มาไม่ได้เพราะที่นี่ไม่ปลอดภัยนัก จะให้ศัตรูรู้ไม่ได้ว่าเรามีคนที่รักษาพิษนี้ได้ใกล้มือ”จะให้ท่านหมอน้อยมาที่นี่ตอนนี้นั้นมันอันตรายเกินไป ต่อให้อยากเจอและคิดถึงแค่ไหน ทว่าพระองค์ที่กลับมาก็ยังเสี่ยงมากเหมือนกัน รอดูสถานการณ์และจัดสรรหลายๆอย่างให้เข้าที่เข้าทางเสียก่อน ในอนาคตอันใกล้ท่านหมออาจจะต้องมาทำหน้าที่หมอที่ดีและคนรักที่ใช่ที่นี่แน่นอน


“แล้วตอนนี้เขาอยู่ในที่ที่ปลอดภัยใช่ไหม”


“อยู่ในการคุ้มครองของท่านอาอชิระพะยะค่ะ”


“อคิราห์ เจ้ามีอะไรอื่นใดที่ยังไม่ได้บอกพ่อหรือเปล่า”


“…”


“พ่อรู้สึกว่าเจ้าไม่ได้บอกอะไรบางอย่าง….บางทีมันอาจจะเกี่ยวกับท่านหมอผู้นี้”  ‘องค์เหนือหัวสีหราช’ มักจะไวเสมอในเรื่องบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องที่ลูกชายตั้งใจปกปิดคนเป็นพ่อก็มักสังเกตเห็นเสมอ


“ลูกกับท่านหมอ…กำลังเรียนรู้กันอยู่”  สู้บอกกันไปเลยและขอความร่วมมือเสียยังดีกว่า ทว่าถึงแม้จะตีพระพักต์นิ่งแค่ไหน เมื่อพูดถึงเรื่องของยอดรัก การเก็บสีหน้าก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกิน


“ดูแลกันแบบไหนนะเด็กสมัยนี้” เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อพูดถึงท่านหมอก็ดูเจ้าเด็กนี่จะหวงแหนไม่ใช่น้อย หากไม่ใช่คนสำคัญแล้วจะเป็นอะไรไปได้ เมื่อได้ยินพระโอรสตรัสเช่นนั้นด้วยใบหน้านิ่งแต่ขึ้นสีแดงระเรื่อที่แก้ม แทนที่จะหนักพระทัย แต่องค์เหนือหัวกลับรู้สึกปลื้มปิติ ความรักกับการเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไปได้ด้วยกัน ทว่าในฐานะบิดาก็ทรงรู้สึกยินดีไปกับความสุขนี้


“นั่นสินะ ดูแลกันแบบไหน”  ถึงได้ตกหลุมรักไปแบบนี้ โดยไม่รู้ตัว คนที่เคร่งขรึมและควบคุมตัวเองได้ดีกลับเผลอใจไปหยอกล้อเจ้ากระต่ายน้อย โดยไม่รู้ตัว ศศิก็กลายมาเป็นความสุขของพระองค์ไปเสียแล้ว


“หากรักกันชอบพอกัน ข้าก็เอาใจช่วย”  แม้จะทรงยินดีกับลูกชายเป็นที่สุด แต่ก็ยังอยู่ในโลกความเป็นจริง “ปกป้องกันให้ดีที่สุด ให้สมกับที่เจ้ารักเขาซะนะ อคิราห์” ปกป้องกันจากอะไรนี่พระโอรสคงทราบดี หากอคิราห์เลือกศศิแล้ว ก็หวังให้อีกคนพร้อมจะฟันฝ่าและยอมรับเงื่อนไขบางอย่างที่ชวนให้เจ็บใจด้วยเถิดต่อแต่นี้สามสิ่งที่องค์รัชทายาทจะต้องให้ความสำคัญก็คือประชาชน ราชวงศ์….และศศพินทุ์!


การพูดคุยกับองค์เหนือหัวแห่งสิหราชนครากินเวลานานกว่าที่คิด จนฟ้ามืดมิดมาหลายเพลาแล้วพระองค์ถึงได้เสด็จกลับไปยังพระตำหนักชลสินทุ์ซึ่งเป็นพระตำหนักส่วนพระองค์ ความเงียบและความมืดมิดของท้องฟ้าทำให้ต้องแหงนดูสิ่งเดียวที่ส่องสว่างอยู่ข้างบน ตั้งแต่เล็กแล้วที่ชอบเหม่อมองพระจันทร์ราวกับว่ากำลังตั้งคำถามอะไรสักอย่าง จนกระทั่งมี ‘พระจันทร์’ เป็นของตัวเองแล้วก็ยังต้องมองจันทร์ต่างใบหน้าของอีกคนอยู่ดี


“แค่วันเดียว ก็คิดถึงเจ้าแล้วหรือนี่”  ช่างบ้าบอเหลือเกิน เพียงแค่คิดว่าวันนี้จะไม่มีใครเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ให้ และจะไม่มีใครต้องหลบเวรยามหาจังหวะปีนเข้าห้องใครอีกต่อไป ความเหงาก็เข้าครอบงำจนปวดหน่วงไปทั้งใจ ศศิจะคิดถึงกันบ้างไหม แต่เด็กคนนั้นไม่ใช่คนลืมง่ายเพราะฉะนั้นในตอนนี้ก็คงคิดเหมือนกันเป็นแน่ ทรงคิดเข้าข้างพระองค์เองอย่างพอใจก่อนจะหลับตาลง


ในห้องบรรทมนี้ที่คุ้นเคยแต่วันนี้กลับไม่คุ้นใจเอาเสียเลย การมีคนตัวบางอิงแอบเคียงข้างกันตลอดสัปดาห์ ช่วยพิสูจน์ได้ว่าต่อให้ที่ที่เราทิ้งตัวลงหลับนอนนั้นเป็นที่ใดลำบากแค่ไหนก็ดีกว่าการนอนคนเดียวแบบนี้ และเมื่อสองวันที่ผ่านมา ในอ้อมแขนของพระองค์ก็ได้โอบกอดอีกคนตลอดคืน เมื่อต้องมาบรรทมคนเดียวแบบนี้ ก็ทรงต้องยอมรับจริงๆว่าทรงเคยตัวเกินไปแล้ว!


☼ ☽


แต่ใช่ว่ามีเขาคนเดียวที่คิดถึงกัน
เพราะศศินั้นก็คิดถึงเขาไม่น้อยไปกว่า…


ล่วงเลยเวลานอนมาเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าเพราะความกังวลใจหรือเพราะขาดอ้อมกอดอุ่นๆไปจึงทำให้ตนยังคงนั่งมองฟ้าอยู่แบบนี้ ป่านนี้เขาจะหลับหรือยัง เดินทางก็คงจะเหนื่อยไม่น้อย ในระหว่างที่ห่างกันนี้ไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ได้แต่ภาวนาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ว่าคนที่รออยู่ตรงนี้อาจจะช่วยอะไรไม่ได้เลยก็ตาม


รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ศศิก็อยากเป็นประโยชน์ต่อเขาให้ได้มากกว่านี้ แต่สถานะของตัวเองจะทำอะไรได้ กว่าจะถึงตอนนั้นบางทีความหลงใหลที่มีให้ ก็อาจจะเลือนลางแม้ไม่อยากจะดูถูกความรู้สึกขององค์รัชทายาทในดวงใจของตนสักเท่าไหร่ แต่มันเป็นความจริงที่ว่าใจคนเรานั้นเปลี่ยนผันง่ายกว่าฤดูกาล กว่าจะถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าใครจะเจ็บกว่ากัน เมื่อรับรู้ว่าไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป


แต่ตอนนี้ศศิยังต้องการเขาอยู่ และตนจะไม่ปิดบังความต้องการเหล่านั้นเลย ค่ำคืนช่างผ่านไปได้อย่างยากลำบาก แม้จะไร้ประโยชน์ยามห่างไกล แต่ก็ไม่อยากอยู่เฉยๆรอให้รักหลุดลอย ต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วจริงๆ


หลังจากที่องค์รัชทายาทเสด็จกลับไปได้ราวๆเกือบเดือน คฤหาสน์ปิติชาญยังคงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ยิ่งช่วงนี้ยิ่งวุ่นวายเมื่อท่านแม่ทัพจะกลับค่าย ทว่าศศพินทุ์จะรั้งขออยู่ต่อทแม้ทิชากรจะค้านจนหัวชนฝา ก็รู้ว่าทำให้น้าชายคนงามของตนไม่พอใจอยู่มากแต่ในส่วนของการง้องอน ก็ขอยกให้เป็นหน้าที่ของอชิระไปแล้วกัน เขาคงขันอาสาพอดู


หลังจากที่ได้รู้จักกับความเสน่หาและได้ลักลอบพบพานกันยามค่ำคืนกับคนๆหนึ่ง ท่านหมอน้อยคนซื่อก็เริ่มรู้สึกแปลกๆต่อผู้ใหญ่ทั้งสอง ช่างโง่งมเหลือเกินที่ไม่เคยดูออก ทั้งอชิระและทิชากรนะหรือที่เหมือนคนไข้กับหมอทั่วไป พวกเขาอยู่ด้วยกันทุกคืน หยอกล้อกันต่อหน้าก็บ่อยครั้ง แต่ศศิไม่เคยรู้อะไรเลย ตอนนี้ที่องค์ชายอคิราห์สอนให้รู้จักความรักแล้ว จึงได้รู้ว่าการเกี้ยวพาราสีมันเป็นอย่างไร ทั้งๆที่จริงๆควรรู้ดีกว่าใคร เพราะได้เห็นทุกวันแท้ๆ!


“ท่านน้าของเจ้างอนใหญ่แล้ว”


“ท่านก็ง้อสิให้ข้าสิ ท่านง้อเก่ง” ปัดภาระความรับผิดชอบจริงๆนะเจ้าลูกกระต่าย อชิระนั้นแสนเอ็นดู


“เขางอนเจ้า”


“ข้าแค่ยังไม่อยากไป” 


“เจ้ามีเหตุผลอะไรไหม จะได้บอกเขาให้”


“…”


“หรือควรจะปล่อยให้ทิชากรไปจัดการอคิราห์เสียแล้ว ทิชา!”แล้วก็เรียกคู่กรณีมาตรงนี้เลย การได้เห็นใบหน้ายุ่งของศศิแล้วมีความสุข ดูจะเป็นนิสัยที่เกี่ยวเนื่องจากกรรมพันธุ์ของผู้ชายตระกูลนี้จริงๆ พวกขี้แกล้งทั้งหลายแห่งสิหราชวงศ์จักต้องไม่ตายดีในสักวัน!


“อย่าบอกท่านน้านะ!”


“บอกดีไหมน้า”


“อย่าบอก”  ศศิอ้อนวอน แต่เดี๋ยวนะ…ว่าแต่….


อชิระรู้?!


ดวงตาเป็นประกายของคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่านั้นฉายแววแห่งความสนุกสนาน ศศิที่ยังเริ่มหัดรักนั้นยังไม่ประสีประสา ในส่วนของอคิราห์ก็เป็นคนทึ่มมาตลอดชีวิต สองคนนี้เมื่อจับคู่กันก็ให้สีสันที่ดูแปลกใหม่ไม่น้อย แต่ที่น่าสนใจคือหนทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบต่อจากนี้ต่างหาก เด็กทั้งสองจะฝ่าฟันมันอย่างไร


“ข้าก็แค่…ปลื้มๆอยู่หน่อยเท่านั้น” ศศิก้มหน้าลงรับสารภาพ ว่าแต่ปลื้มอยู่หน่อยๆนั่นคือความรู้สึกจริงๆหรือ จะหลอกใครก็ย่อมได้ แต่หลอกตัวเอง…มันไม่ง่ายนักหรอก


“ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลย รักชอบกันเป็นเรื่องที่ดีนะ”


“แต่…องค์รัชทายาท…”  เขาเป็นใครอยู่ไกลแค่ไหนก็รู้ดี แต่ได้ลืมไปแล้วหรือไรว่าคนที่อยู่ไกลคนนั้นก็พยายามจะพาตัวเองมาอยู่ใกล้ๆแท้ๆ แค่อาจจะต้องอดทนหน่อยเพราะอุปสรรคก็มีให้เห็นชัดเจนอยู่เยอะเหมือนกัน


“ฟังนะศศิ อย่าได้คิดว่าเจ้าไม่หมาะสม” อชิระเอ่ยให้กำลังใจ สำหรับเขาไม่มีใครเหมาะสมกับเด็กแสบอย่างองค์ชายอคิราห์เท่าเจ้าลูกกระต่ายที่ได้ฟูมฟักมาเองแล้ว เรียกว่าเกิดมาเพื่อกำราบอคิราห์ให้อยู่หมัดเลยทีเดียว แต่ถึงมีเรื่องฐานันดรมาเกี่ยว ก็ไม่คิดว่าศศิไม่เหมาะหรอก เพียงแต่ว่าคนอื่นๆ…ไม่เห็นด้วยกับความคิดของอชิระก็เท่านั้น


“ข้านะหรือ อย่าพูดเกินไปเลย”  อชิระรู้ดีว่าศศิเองแม้จะบอกว่าชอบหลานชายของตนแค่ไหน แต่อีกส่วนหนึ่งของใจก็พยายามจะถอนตัวออก ในฐานะคนนอกก็คงเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ แต่ในฐานะผู้ใหญ่…ก็คงพอจะบอกอะไรได้บ้าง


“คนที่จะบอกว่ามันเหมาะสมหรือไม่ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก”


“…”


“หากเจ้าบอกว่าไม่ เจ้าก็ไม่มีวันเหมาะสมกับเขา และถ้าเขาคิดว่าเจ้าไม่ใช่ เขาก็ไม่มีวันเหมาะสมกับเจ้าเช่นกัน”  สำหรับอชิระ เขาอาจจะมีสายเลือดเกี่ยวข้องกับอคิราห์ แต่ศศิ…ก็คือเด็กที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ของเรานั้นไม่ต่างจากพ่อลูก แต่แค่ไม่มีใครระบุมันออกมาชัดเจนก็เท่านั้น และอชิระที่เอ็นดูศศิขนาดนี้นะหรือจะยอมปล่อยไป แม้จะพูดยากเพราะคนหนึ่งก็หลาน อีกคนก็เลี้ยงมาเองก็ตาม


ในที่สุดอชิระก็จากไปพร้อมกับทิชากร พวกเขาต้องไปดูแลพื้นที่ตรงนั้นหลังจากที่คนของเจ้าณรงค์ชัยได้จากไปแล้ว เพราะชายแดนเป็นพื้นที่เปราะบางจึงต้องรีบกลับ ยิ่งตอนนี้เรารู้แล้วว่าเกลือที่เป็นหนอนมานานกำลังทำอะไรบางอย่าง การปกป้องพรมแดนที่เป็นหน้าที่หลักของแม่ทัพจึงต้องมีการวางแผนจัดการอย่างระมัดระวังขึ้นเป็นท่าตัว


ทว่าเมื่อคนทั้งสองที่คุ้นเคยที่สุดได้จากไป ศศิก็มีเวลามากขึ้นเป็นเท่าตัว ที่นี่ไม่ได้มีคนต้องการความช่วยเหลือทางการรักษามากนัก เวลาที่มีอยู่ถูกใช้ไปกับการหัดปรุงยาและเรียนรู้สูตรยาใหม่ๆ เกรงว่าเมื่ออคิราห์ไม่อยู่ ความว่างเปล่าอาจจะเกาะกินใจจนต้องหาอะไรทำฆ่าเวลาไว้ ก่อนที่จะมาตระหนักได้ว่าตนนั้นประดิดประดอยสิ่งของมากมายไว้เสียแล้ว


ทว่าคนที่นึกถึงยามทำของพวกนี้จะคิดอะไรอยู่


ศศิไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเขานั้นได้เลิกชอบพอกันไปแล้ว แต่มันผ่านมาก็เป็นเดือน คนเราถ้าไม่ได้เจอกันนานๆย่อมคำนึงหากันเป็นเรื่องธรรมดา อคิราห์นั้นบางทีเขาก็ฝากคนส่งจดหมายมาให้บ้าง แต่ตัวของเขาไม่เคยจะมาให้พบเลยตั้งแต่วันนั้น คงจะ…ยุ่งมากสินะ


“ท่านอลงกรณ์”  ร่างบางที่เห็นคนสนิทของท่านแม่ทัพที่ถูกสั่งให้ดูแลคฤหาสน์แห่งนี้เดินมาก็เอ่ยเรียก การที่เขาแต่งตัวเต็มยศอย่างนั้นแสดงว่าต้องไปทำธุระสำคัญ


“อ้าว ท่านศศิ” อลงกรณ์นั้นยิ้มให้ ก่อนที่จะรอฟังคำร้องขอจากศศิที่มักจะรู้ทันกันทุกทีว่าตอนนี้ตนจะไปไหน


“ข้าฝากสิ่งนี้ไปให้องค์รัชทายาทได้ไหม”


“อะไรหรือ”


“เป็นถุงสมุนไพร มันจะช่วยทำให้นอนหลับสบาย”  ศศินั้นตั้งใจทำให้เขาด้วยหมายมั่นให้มันมีประโยชน์ทางการใช้งาน เพราะภาระมากมายอาจจะทำให้อีกคนเครียดได้จึงอยากจะส่งไปให้ แน่นอนว่าสำหรับผู้ส่งของกิตติมศักดิ์ ศศิก็ทำให้เขาด้วยเช่นกัน


“ข้าจะส่งถึงมือเลย รับรองได้!”  อลงกรณ์กล่าวอย่างยินดี


“ถ้าองค์รัชทายาทโยนทิ้งต่อหน้าท่านก็ไม่ต้องมาบอกข้านะ”  คำขอเชิงล้อเล่นนั้นถูกเอ่ยไป “แต่ถ้าเขาทิ้งจริงๆบอกข้าจะดีกว่า”  ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆศศิก็ต้องรับให้ได้ ใบหน้าของท่านหมอพลันหม่นหมองเมื่อคิดถึงความจริงที่ว่าเขาอาจจะไม่ต้องการมันแล้ว


“พระองค์ไม่ทำเช่นนั้นหรอก”  ศศิยิ้มให้ในคำปลอบ เราร่ำลากันเพราะเขาต้องไปทำหน้าที่ที่สำคัญต่อไป


พระองค์คงไม่ทำหรอก…ที่ต่อหน้าน่ะ


กลับกัน…ศศิในตอนนี้ยังเลิกชอบเขาไม่ได้เลย ว่าแต่มันกลายเป็นเรื่องแข่งขันกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครเลิกก่อนชนะงั้นหรือ อย่างนี้ก็แพ้แล้วหรือเปล่า เพราะถ้าเลิกได้ ก็คงไม่พยายามทำตัวให้ยุ่งเพราะว่างเมื่อไหร่เป็นคิดถึงเมื่อนั้น ในขณะเดียวกันเพราะไม่เห็นหน้า ความรู้สึกทางฝั่งนั้นจึงไม่อาจจะรับรู้ได้เลย


ถ้าได้มันไปแล้วจะโยนทิ้งไหมนะ แล้วถ้ารับไปดอมดมแล้วจะคิดถึงกันไหมนะ คำถามที่มีมากมาย ยังคงรอคอยคนๆเดียวมาตอบที่ตรงนี้ แต่ก็รู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิ์จะเรียกร้องอะไรออกไป


☼ ☽


อคิราห์ทำสีหน้าแปลกใจเมื่อได้รับของจากอลงกรณ์ที่มาเพื่อส่งข่าวคราวจากอชิระ จริงๆแล้วอลงกรณ์จำต้องยื่นรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ชายแดนเป็นประจำอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมักเข้ามาในวังและบอกกล่าวกันเกี่ยวกับจดหมายลับที่ฝากส่งมาให้ยามที่มีการขนส่งเสบียงไปมาที่ชายแดนผ่านทางคฤหาสน์ปิติชาญ


ทางกองทัพได้จับกุมผู้ต้องสงสัยและพร้อมขยายการดูแลไปที่ชายแดนตะวันตกที่ 1เท่าที่จะแทรกแซงได้ หากโชคดี เราอาจจะส่งคนไปควบคุมทุกอย่างได้ทันท่วงที ทรงอ่านจดหมายปิดผนึกที่ได้รับมาก่อนจะเผามันทิ้ง ทว่าถุงผ้าที่ได้รับมาด้วยนั้น จะบอกว่าเป็นของฝากจากชายแดนเช่นนั้นหรือ?


“ท่านศศิได้ฝากมาให้พะยะค่ะ”  จากศศิงั้นหรือ?


ตลอดเดือนที่ผ่านมาที่ไม่ได้เจอกัน บางทีพระองค์ก็ฝากจดหมายไปให้และอีกฝ่ายมักจะส่งเป็นรูปวาดกลับมาเสมอ หลังจากบอกลาอลงกรณ์ก็เสด็จมาที่ห้องทรงงาน น่าแปลกที่ครั้งนี้ถุงที่ได้มานั้นบรรจุอย่างอื่น อคิราห์นั้นหมายมั่นที่จะทำงานให้เสร็จก่อนจะเปิดดู เป็นเช่นนี้ทุกครั้งเพราะทรงหวาดกลัวว่าสิ่งที่ถูกส่งมาจะเป็นอะไรที่ทำร้ายหัวใจ


และใช่…ยังคงรู้สึกกับอีกคนเหมือนเดิม


หรืออาจจะมากกว่าเดิมก็ไม่รู้หรอก เพราะความคิดถึงทำให้พระองค์รู้สึกรักอีกคนเหลือเกิน รักจนอยากจะพามาที่นี่ด้วยแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมกันง่ายๆหลังจากเสด็จกลับมาก็ทรงมั่นใจขึ้นมาแล้วว่าที่นี่ยังปลอดภัยอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวายพระทัยจนต้องสะบัดไล่ใบหน้าที่ทรงชื่นชอบออกไปจากหัว ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับเอกสารมากมาย ใช้เวลาอยู่ในห้องนานเสียจนท้องฟ้ามืดไปหมด


จนได้เวลามายอมรับความจริงเสียที…


“….”  แต่เมื่อได้เปิดถุง หยิบมันขึ้นมา สูดกลิ่นหอมของมันเพียงเล็กน้อย ก็ทรงแย้มพระสรวลออกมาราวกับคนบ้า…


ช่างไม่อ่อนโยนต่อหัวใจเสียจริงๆ


☼ ☽


กว่าที่ท่านอลงกรณ์จะกลับมาก็ค่ำมืดแล้ว ศศิจึงไม่คิดจะไปก่อกวนไถ่ถามใดๆให้เสียมารยาท
แต่ก็อยากรู้ว่าสีหน้ายามที่ได้เห็นว่าเอาอะไรไปฝากนั้นเป็นอย่างไร


ตลอดช่วงเวลาที่แยกจากกัน เราสื่อสารโดยฝากผ่านคนอื่นมาโดยตลอด อลงกรณ์นั้นบางทีก็เข้าวังด้วยธุระทางการ แต่ก็มีหลายครั้งที่ลอบพบส่งข่าวไปให้ พวกเขามีช่องทางลับที่ใช้สำหรับการพบเจอ และทุกครั้งองค์รัชทายาทก็มักจะฝากส่งจดหมายกลับมาและก็ทำให้ศศิเขินทุกครั้งที่อ่านมัน


“เห็นแต่ตัวหนังสือมานานแค่ไหนแล้วนะ”  แม้จะเขินแต่ก็อ่านมันทุกวันให้ตัวอักษรติดตรึงลงไปในใจแบบนั้น ขณะเดียวกันสิ่งที่ตนฝากไปมักจะเป็นรูปวาด ด้วยเพราะไม่สามารถถ่ายทอดความต้องการเป็นตัวอักษาได้โดยไม่บิดเป็นเกลียวเสียก่อน ศศิจึงเลือกส่งข้อความผ่านวิธีนี้ อย่างไรก็ตามมันก็เต็มไปด้วยความคิดถึงทุกครั้ง หวังว่าอีกคนจะเข้าใจ


มือเล็กชักเชือกเพื่อดับไฟโคม หากตื่นแต่เช้าในวันพรุ่งก็อาจจะได้เจอกับอลงกรณ์ ตอนนั้นจะถามไถ่ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ คิดได้ดังนั้นจึงหมายมั่นเตรียมบทสนทนาสำหรับพรุ่งนี้เอาไว้ อยากรู้ใจจะขาดว่าอคิราห์เป็นเช่นไรในตอนนี้


สายลมพัดผ่านจากทางหน้าต่าง ลมหนาวมาเยือนเมื่อเดือนก่อน ทว่าวันนี้อากาศก็ยังคงอบอุ่นไม่หนาวเย็นอย่างที่ควรเป็น เจ้าของร่างบางนั้นกอดตัวเองภายใต้ผ้าห่มผืนหนา แม้จะหนาวจนเกินทนไหวก็ไม่คิดจะลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างแม้แต่น้อย เปิดมันไว้อย่างนั้นทั้งๆที่ไม่มีใครปีนเข้าห้องกันอีก


“ใยถึงเปิดหน้าต่างทิ้งไว้อย่างนี้เล่า”  เสียงที่ดังขึ้นในความมืดมิด ทำให้กระต่ายน้อยของพระองค์ตื่นขึ้นมา และยิ่งเมื่อสัมผัสกับความอบอุ่นยามที่ใครสักคนกอดกันจากข้างหลัง จากที่งัวเงียก็ตื่นเต็มตา


“พี่อาทิตย์…”


“ชื่นใจจริงๆ”  เสียงเรียกชื่อที่พระองค์ปรารถนาจะฟังจากริมฝีปากของคนที่แสนคิดถึงนั้นก่อให้เกิดความปลื้มปิติเกินบรรยาย หัวใจที่เหี่ยวเฉามาหลายวัน พลันได้รับน้ำทิพย์ชะโลมก็ในวันนี้


“เป็นท่านจริงๆหรือ ท่านมาที่นี่…จริงๆหรือ”  หรือศศิจะอยู่ในโลกแห่งความฝัน เป็นฝันดีอะไรถึงเพียงนี้ คนตัวเล็กที่ผุดลุกขึ้นนั่งนั้นขยี้ตาตนเองด้วยไม่เชื่อ ความน่าเอ็นดูนั้นทำให้อดใจไม่ไหว ต้องคว้าฉุดมามอบจูบหวานๆเพื่อย้ำเตือนว่าไม่มีใครหลับฝันไป เราล้วนมีตัวตนจริงๆอยู่ที่นี่


ปฏิกิริยาตอบสนองที่ไร้ประสบการณ์หากแต่เต็มไปด้วยความพยายามนั้นทำให้เลือดในกายพุ่งพล่าน สัญชาตญาณอันรุนแรงของชายหนุ่มทำให้รสจูบของพระองค์ดูจะลึกล้ำกว่าครั้งแรกที่เคยมอบให้ มันทำให้คนที่ถูกจู่โจมอึดอัดแต่เปี่ยมไปด้วยความสุขใจ ช่างย้อนแย้งในตัวเองยิ่งนัก ด้วยเผลอไผลในรสจูบ คนร่างบางไม่ได้รู้เลยว่าเรามานอนทาบทับจูบกันอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และคงจะไม่มีโอกาสได้รู้ตัวว่าตอนนี้เขาคิดเช่นไร อคิราห์เองก็พยายามจะห้ามใจ แต่ก็จำต้องยอมรับความต้องการนั้นไว้


ว่าพระองค์…อยากจะกลืนกินศศิไปทั้งตัวในตอนนี้เลย…



TALK :
ทรงพระเกงานและปีนป่ายเก่งยิ่งเพคะพระองค์ชาย
ดูความรักความหลงมากขนาดไหนถ่อมาหาเพราะได้กลิ่น
คนเขียนขอยืนยันว่าศศิมีเจตนาบริสุทธิ์จริงๆที่จะส่งถุงสมุนไพรให้ แต่คนพี่มันชั่วร้ายคิดไปเองทั้งน้านนนนนนนน
สาบานค่ะว่าอีกไม่นานน้องก็จะได้ไปอยู่กับพี่ด้วยเหตุบางอย่างแล้ว
เรื่องนี้เราจะไม่ทิ้งช่วงหน่วงนาน อาจจะไม่ปุปปัปเคลียร์ปมทุกอย่าง
แต่จะอันล็อคไปทีละจุดเรื่อยๆจนปลดทุกอย่างได้
น้อมรับคำติชมทุกอย่าง และฝาก #อาทิตย์ศศิ ไว้ด้วยนะคะ
เราจะไม่อยู่กทมหลายวันเลย แต่เมื่อกลับมาจะรีบมาลงตอนต่อไปนะคะ
มีเป้าหมายอยากให้ทุกคนได้อ่านเรื่องนี้เพลินๆตอนปีใหม่ ถ้ายังไงรอน้องหน่อยนะคะ
@reallyuri





ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ปีนเก่ง หลบเก่งเหลือเกินนนนนนนนน

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
เป็นกระต่ายที่น่าเอ็นดู จนอยากปั้นเป็นก้อนแล้วกลืน 555 ชอบความไทป์น้องของศศิมาก

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ว้าววว น่ารักกันจริงๆ ขอให้พี่อาทิตย์เคลียร์เรื่องอื่นๆให้สำเร็จนะ จะได้อยู่ด้วยกันเร็วๆค่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 12 : 23/12/2018 P.2
«ตอบ #49 เมื่อ23-12-2018 12:02:18 »

Finding the twilight
12
ชาดสีดำ
☼ ☽

ศศิกำลังเคลิ้มไปกับทุกสัมผัสที่ทรงล่อลวง


แต่ทุกๆอย่างมันเหมือนจะร้อนแรงขึ้น ยิ่งเมื่อร่างของตนกำลังนอนราบไปกับเตียงนอนโดยมีเขาที่ค่อยชักนำให้เผลอไผลไปกับรสจูบหวานทรงกำลังพยายามล่อลวงให้เสพย์ติดไปกับความรักอันหวานหอม


แต่นั่นมันก็หลังจากที่ทรงได้หลงใหลในตัวศศิไปก่อนนั้นแล้ว


ด้วยทรงไม่อาจจะปฏิเสธความต้องการลึกๆในพระทัยได้ หลังจากที่ได้สูดกลิ่นหอมจากของฝากชิ้นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าจำเป็นต้องมาหาศศิ กลิ่นที่ศศิเอามาทำเป็นถุงหอมนั้นมาจากสมุนไพรที่ให้ความรู้สึกหอมเย็นช่วยผ่อนคลายให้หลับสบาย ทว่าเจ้าตัวตั้งใจหรือรู้ตัวหรือไม่ ว่ากลิ่นนี้อาจจะทำให้คนรับมันไปคลั่งได้ เพราะมันคือกลิ่นที่ทรงได้กลิ่นจากตัวศศิเมื่อยามที่เราเคียงชิด


เช่นนี้แล้วจะให้อยู่เฉยๆคนเดียวได้อย่างไร


พระหัตถ์นั้นสัมผัสไปทั่วร่าง ปลุกความร้อนบนผิวกายของศศิให้ต้องถอยหนี ทรงผละริมฝีปากออกมาอย่างสุดแสนเสียดายก่อนจะก้มลงชิมเนื้อหวานบริเวณลำคอระหง ความเสียวซ่านนั้นทำให้ร่างบางเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองจนเผลอสอดแทรกนิ้วมือเล็กไปที่ท้ายทอยของคนที่อยู่เหนือร่าง ก่อนจะลากไล้เข้าไปในกลุ่มพระเกศาสีน้ำตาลเข้มและรั้งให้เข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้นสร้างความสำราญใจจนหารู้ไม่ว่าการกระทำอันไร้เดียงสานี้จะทำให้เราเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน


อคิราห์นั้นขบเม้มแผ่วเบาไปจากลำคอลงมาถึงไหปลาร้า สาบเสื้อของศศิถูกเปิดออกเผยให้เห็นผิวขาวนวล ร่างแบบบางกระตุกเล็กน้อยยามที่ทรงก้มลงขบเม้มที่ยอดอกสีอ่อนจนมันตั้งชัน การปลุกเร้าเช่นนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ศศิได้พบเจอ ในที่สุดระบบการต่อต้านในใจก็ทำงาน


“พี่อาทิตย์ยะ...อย่า”เสียงเรียกที่สั่นเครือของคนใต้ร่างปลุกให้อคิราห์นั้นรู้ตัว แม้จะมัวเมาอยู่กับผิวกายที่ล่อลวงให้เสน่หาถึงเพียงนี้แต่ก็ต้องยอมหยุด...ศศพินทุ์ยังไม่พร้อม


เราจมอยู่ในความเงียบที่เนิ่นนาน ก่อนที่จะตัดอกตัดใจได้จริงๆ ทรงผละออกมาจากอกซ้ายที่ซึ่งมีหัวใจของคนงามอยู่ตรงนั้น เขยิบขึ้นมาจูบเร็วๆที่ริมฝีปากก่อนจะทิ้งตัวนอนข้างๆเพื่อโอบกอดเด็กน้อยที่เสียขวัญเอาไว้ ลูบหลังลูบไหล่ให้เกิดความไว้วางใจ ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อคนตัวเล็กนั้นยอมซบไหล่และกอดกันกลับ


“พี่ไม่ฝืนใจเจ้าแล้ว อย่ากลัวไปเลย”  ทุกอย่างมันเร็วไปเสียหมด เกรงว่าใจของศศิคงรับไม่ทัน


“ข้าขอโทษ”


“ไม่ใช่ความผิดเจ้าเลย พี่เองก็ผิดที่ไม่ยับยั้ง”  นึกจะมาก็มา นึกจะกอดก็กอด นิสัยเอาแต่ใจนี่ ทำอย่างไรก็ไม่หายไปเสียที แล้วนิสัยชอบเอาเปรียบนี่ ทำอย่างไรจะดีขึ้นได้นะ


“ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่”


“พี่คิดถึงเจ้า”  คำตอบที่ซื่อตรงต่อหัวใจนั้นทำให้คนฟังนิ่งเงียบ ไม่ใช่แค่พระองค์หรอกที่คิดถึง “คิดถึงพี่ไหม”  และคำตอบของศศิก็มาในรูปแบบของการพยักหน้าอย่างนั้น ทรงแย้มพระสรวลออกมาด้วยดีใจที่ความรู้สึกของเราตรงกัน


องค์รัชทายาทนั้นทรงลักลอบหลบหนีออกมาจากตำหนักชลสินทุ์ ไม่ใช่ทุกคนที่รู้ว่าที่ตำหนักของพระองค์นั้นรัชทายาทองค์ก่อนหรือท่านอชิระผู้รักอิสระนั้นจะแอบทำทางออกลับๆเอาไว้เพื่อที่จะใช้หนีออกมาหาความสำราญภายนอก เดิมทีอคิราห์เองก็ไม่ทราบเรื่อง จนกระทั่งผู้เป็นอาได้บอกไว้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเพื่อให้ใช้ไปพบเจออลงกรณ์ที่ไม่อาจจะเสด็จมาที่ตำหนักของพระองค์อย่างโจ่งแจ้งได้แต่ลึกๆเจ้าของตำหนักคนเดิมคงคาดการณ์ไว้แล้วว่าหลานชายจะคิดถึงใครบางคนเจียนขาดใจตาย


และวันนี้ความคิดถึงก็ทำให้มาถึงจริงๆ


“ศศิก็คิดถึง...”  น่ารัก...คำสารภาพจากปากที่ดังแนบพระอุระนั้นทำให้ยิ้มกว้างมากขึ้น ทำไมถึงน่ารักแบบนี้ นอกจากจะยั่วกันเก่งแล้วยังน่ารักเสียจนอยากจะปั้นเป็นก้อนแล้วเอากลับตำหนักไปด้วยจริงๆ


“คิดถึงแล้วทำไมไม่เขียนจดหมายมาบ้าง ส่งมาแต่รูปวาดดอกไม้”


“...”


“มาบอกกันสิว่าเจ้าคิดถึงกันอย่างไร”


“อื้อ..”  ยิ่งอ้อมกอดของพระองค์รัดแน่นขึ้น ก็ยิ่งอึดอัด “ข้าก็แค่เห็นว่ามันสวยดีเลยวาดให้”


“ไม่ใช่ว่าเจ้าแค่อยากวาดเลยส่งๆมาให้หรือไร”  ทำไมพี่อาทิตย์ของศศิถึงคาดคั้นกันเก่งนัก จะให้พูดให้หมดเลยหรือ


“ข้าคิดถึงท่านจริงๆคิดถึงแต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ ยิ่งอยู่ไปวันๆก็ยิ่งทรมาน การนั่งวาดรูปคือการพิสูจน์ว่าข้า...ได้แปรเปลี่ยนช่วงเวลาแห่งความคิดถึงเป็นอย่างอื่นแล้ว”


“...”


“ยิ่งภาพนั้นวาดยากขึ้นแค่ไหน ยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้นเพียงใด นั่นเท่ากับข้าคิดถึงท่านมากตามเท่านั้น”  แค่นี้ยังไม่ชัดอีกหรือไง ว่าคนบางคนอาจจะพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่ผลงานอันเป็นรูปธรรมบอกได้ชัดเจน ว่าคิดถึงมากจริงๆ คิด...แต่ไม่อาจจะไปถึง


“พี่ขอโทษ”  ทรงบ้าบอที่ทำให้ศศิระเบิดออกมาแบบนี้ และช่างบ้าบอ ที่มาหาช้าเหลือเกิน ต่อให้รีบเร่งให้เรื่องมันจบแค่ไหนมันก็ไม่ได้เร็วขึ้นหรอก รังแต่จะทำให้ความทรมานกัดกินกันไปเปล่าๆ


“ข้าก็ขอโทษที่ทำให้ท่านลำบากใจ”


“ไม่เลยคนดี โปรดจงเห็นแก่ตัวกว่านี้ คาดหวังในตัวพี่กว่านี้เถิด”  ไม่รู้ว่าจริงๆศศินั้นคิดอย่างไรกันแน่ แต่พระองค์อยากให้คาดหวังในตัวกันมากกว่านี้ รู้สึกกับพระองค์ให้มากๆจนถอนตัวไม่ขึ้นไปอีก ทำให้ทรงรู้สึกบกพร่องว่ายังเทิดทูนกันไม่พอ ช่วยกระตุ้นให้ทรงต่อสู้เพื่อเป้าหมายที่มีเรามากขึ้นที ดูเหมือนว่าระบบทำงานของหัวใจ..จะสู้ไหวด้วยสิ่งนี้ที่ขอไปทั้งหมด


ทรงควบม้าเร็วมาถึงที่นี่ เพียงเพื่อจะให้ศศิช่วยกล่อมให้หลับจริงๆเพียงคืน เพื่อที่ว่ารุ่งเช้าพระองค์จะตื่นขึ้นและกลับไปต่อสู้ได้ใหม่ อคิราห์ตัดสินใจกับตัวเองแล้ว ว่าหากเป็นไปได้ จะแอบมาหาอีกฝ่ายให้บ่อยขึ้น ไม่ใช่เพื่อผูกมัดแต่เพื่อกำลังใจที่จะได้รับกลับไปในแต่ละคืน


หลังจากที่ไม่ได้หลับสบายๆมาหลายคืนหลายวัน ก็เพิ่งจะรู้สาเหตุว่าเพราะไม่ได้คลอเคลียกับตัวต้นเหตุเลยทำให้หลับไม่ลง เราสองคนอิงแอบกันหลับใหลจนใกล้รุ่งสาง เวลาแห่งการแยกจากก็ได้มาถึง


“ขอบคุณเจ้ามากสำหรับถุงหอม”  พระหัตถ์นั้นยกมาสัมผัสแก้มนุ่มของคนที่ยังคงหลับใหล ยามที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน พระองค์จะกอดจะหอมของขวัญแทนกาย แม้ความนุ่มนิ่มจะเทียบเคียงกันไม่ได้ แต่ในตอนนี้พระองค์คงเรียกร้องได้แค่นี้


ในส่วนอีกสิ่งที่อยากจะร้องขอ...


“ช่วยรักพี่ให้มากกว่านี้ที” เพื่อที่ว่าศศิจะมีความอดทนต่ออุปสรรคต่างๆที่กำลังประดังประเดเข้ามา พระองค์นั้นพร้อมแล้วกับการต่อสู้เพียงเพื่อให้มีอีกคนเคียงข้างกาย ขอเพียงความอดทนของศศิเท่านั้น แม้มันอาจจะนานเสียหน่อยที่จะไปถึงฝั่งฝัน แต่ช่วยรอกันหน่อยได้หรือไม่ ถึงจะยังไม่รู้วิธีหรือหาทางออกไม่ได้ ทว่าก็ไม่อาจจะอยู่เฉยนิ่งนอนพระทัยปล่อยกันไปได้อีกแล้ว


การจากมาเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ทั้งนี้อุปสรรคอยู่ที่ใจตัวเอง ทรงจากมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี เร่งควบม้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นัดหมายกับคนที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ก่อนจะส่งม้าคืนให้ถึงมือ เสด็จกลับมาถึงตำหนักชลสินทุ์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิม รวมทั้งความคนึงหาด้วย ยังคงรู้สึกเช่นนั้นเหมือนตอนที่ยังไม่ได้จากไป


ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าศศินั้นตื่นหรือยัง ไม่เห็นพระองค์ข้างกายแล้วจะตกใจหรือไม่ หรือจะคิดไปว่าที่เรากอดจูบกันเมื่อคืนวานเป็นความฝันจริงๆ เด็กคนนั้นช่างทำให้พระองค์ยิ้มและหัวเราะได้ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไร เห็นไหม...ไม่ทันไรก็คิดถึงอีกแล้ว คนเรานี่จะต้องคิดถึงจนอยากเจอทุกวันจริงๆหรือทรงถือเป็นผู้ประสบปัญหาแก้ยากนั่นจริงๆแล้วใช่ไหม?


ทว่าหลังจากวันนั้น แม้ว่าจะสัญญาไว้แค่ไหน แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีโอกาสกลับไปพบเจอกันสักครั้งเลย อลงกรณ์เองก็วุ่นวายกับงานของอชิระ โอกาสที่จะได้ส่งมอบจดหมายหรือของขวัญจึงไม่มี ทุกวันพระองค์จะบรรทมหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมถุงหอมที่กลิ่นเริ่มจะเจือจาง แต่ต่อให้กลิ่นของมันจะคงทนแค่ไหน ก็ไม่อาจสู้กลิ่นที่ออกจากผิวกายคนตัวนิ่มนั่นได้หรอก


“เรื่องของชายแดนตะวันตกที่ 1 เจ้าจงคัดคนที่ดูใช้ได้ไปที่นั่นเพื่อตลบหลังอีกที”  ทรงสั่งการไป แม้จะยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์แต่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องในการปกครองและการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ และในส่วนของงานที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของสิหราชวงศ์ ก็เป็นพระองค์ที่ต้องคอยดูแลทุกขั้นตอนอีกเช่นกัน


‘ธมล’ที่กำลังสนทนาด้วยนั้นทำเพียงแค่พยักหน้ารับทราบ เขานั้นทำหน้าที่ในส่วนของการเป็นองครักษ์และการดูแลต่างๆที่มีพระประสงค์ บางครั้งก็ถูกส่งให้ไปช่วยดูใครบางคน เพราะนั่นก็เป็นพระประสงค์ของคนที่ไปไหนไม่ได้ แต่ใจรักเช่นกัน


“นี่คือเอกสารเกี่ยวกับการก่อสร้างเขื่อนพะยะค่ะ”  อีกหน้าที่หนึ่งคือต้องคอยดูแลเอกสารราชการ ทรงรับมันจากมือของธมลไป ก่อนจะเปิดมันออก


“โอ๊ะ…”  เสียงร้องที่ไม่ดังมากของอคิราห์นั้นทำให้ธมลชะเง้อมาดู ที่ปลายนิ้วของพระองค์มีเลือดไหลออกมา คาดว่าอาจจะถูกกระดาษบาดเข้า


เคร้ง….


ทว่าเสียงที่กระทบลงกับพื้นทำให้ความคิดนั้นเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าองค์ชายนั้นโดนกระดาษบาด
แต่เป็นโดนใบมีดบาด พระโลหิตจึงไหลออกมา…


“มีด..”  ใครใส่เอาไว้ และใส่เพื่ออะไร


จริงอยู่ที่ว่าเหตุการณ์นี้เข้าข่ายการลอบสังหาร แต่การที่ใส่มาในกองชุดเอกสารนั้นไม่อาจจะทำให้พระองค์บาดเจ็บได้มากกว่าถูกบาด ทว่าหากนี่ไม่ได้เพื่อการก่อกวนเล็กๆน้อยๆแต่หวังในสิ่งที่ใหญ่กว่านั้น?


“นี่มัน…” ธมลที่เห็นความผิดปกติของแผลที่ถูกบาดนั้นพยายามควบคุมสติ ในขณะที่อคิราห์ยังนิ่ง สังเกตุการณ์เงียบๆพลันคิดถึงใบหน้าของบางคน “กระหม่อมจะไปตามหมอหลวง”  หากเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ชีวิตของพระองค์ถือว่าอยู่ในอันตราย


“ไม่ต้อง”  นอกจากหมอหลวงที่อาจจะช่วยรักษาไม่ได้ การกระจายข่าวว่าพระองค์ต้องพิษร้ายแรงอาจจะส่งผลถึงความมั่นคงของราชวงศ์ได้เช่นกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับ ‘ชาดสีดำ’ และมันอาจจะไม่ครั้งสุดท้ายในชีวิตของพระองค์หรืออีกหลายๆคนที่เกี่ยวข้อง


“แต่พิษนี้ร้ายแรงนัก”


“อย่าได้พูดเรื่องนี้ให้ใครฟังอีก”  อคิราห์สั่งชัด ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดแผลเล็กๆหากแต่ที่ปากแผลแปรเปลี่ยนเป็นสีดำช้ำน่ากลัว  “จงไปแจ้งข่าวนี้ให้ทราบเพียงอลงกรณ์”  พระองค์ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้เยอะแต่การให้อลงกรณ์รู้…


ก็เพื่อจะได้ส่งคนที่คู่ควรจะรักษากันมาที่นี่


ธมลนั้นเข้าใจได้ถึงเจตนาที่ไม่อยากให้ใครทราบเรื่องนี้จึงรีบควบม้าไปยังคฤหาสน์ปิติชาญ แต่กว่าจะกลับมาพร้อมยารักษา มันจะไม่สายเกินไปแล้วหรือ แต่เพราะเป็นคำสั่ง จึงไม่อาจทำอะไรได้ และเมื่อไปถึงตนก็ไม่รีรอที่จะขอเข้าพบอลงกรณ์ที่เดินออกมารับอย่างมึนงง พอแจ้งข่าวให้ทราบ ผู้ดูแลก็ควบคุมสติได้ดีและเดินไปจัดการบางอย่าง ปล่อยให้ธมลรออยู่ตรงนั้นด้วยความร้อนใจ


ก่อนที่จะพาคนที่ร้อนใจไม่แพ้กันออกมา…


“ท่านหมอท่านนี้จะไปกับท่าน”  อลงกรณ์พูดเพียงแค่นั้น


“เรามีเวลาไม่มากแล้ว”  แต่ท่านหมอน้อยที่ถูกพามานั้นกลับตอกย้ำว่าเราควรจะเร่งรีบ


ธมลไม่รอช้า เขาพาท่านหมอไปด้วยในทันที ความวุ่นวายใจที่ศศิมีมันอาจจะหลุดแสดงมาทางสีหน้า เมื่อได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้น ตนก็รีบคว้าทุกอย่างที่สำคัญ ไม่ได้ฝากฝังเจ้าขนฟูกับใครไว้ทั้งนั้น แต่พวกเขาคงรู้อยู่ว่าควรจะดูแลมันอย่างไร


ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งร้อนใจ ความเป็นห่วงนั้นได้ชื่อว่าควบคุมได้ยากกว่าสิ่งใด เราไม่ได้เจอกันไม่กี่อาทิตย์ คนในดวงใจก็กำลังจะจากกันไปตลอดกาลอย่างนั้นแล้วหรือ ไม่รู้ว่าโชคชะตานั้นโหดร้าย หรือเป็นเขาที่โหดร้ายต่อกันมากกว่า


พระอาทิตย์วันนี้ดูจะลับฟ้าช้ากว่าวันอื่นๆ ธมลได้พาท่านหมอตัวเล็กเข้าไปยังช่องทางลับ เขานั้นรู้จักศศิเพียงผิวเผินแต่พอจะทราบความสัมพันธ์ระหว่างท่านหมอกับองค์รัชทายาทอยู่บ้าง หากแต่ไม่เคยคิดจะก้าวก่ายและไม่เคยสนับสนุนเป็นพิเศษด้วยไม่เคยรู้จักมักคุ้นมาก่อน ทว่าท่าทางเป็นห่วงเป็นใยที่แสดงออกมาดูไร้ซึ่งการเสแสร้ง เป็นคนๆนี้…ก็อาจจะดีจริงๆ


“ข้าจะพาท่านไปที่ห้องบรรทม”  หลังจากที่ตกลงกันว่าเรื่องนี้จะให้ใครรับรู้ไม่ได้ อคิราห์จึงเลือกที่จะเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อรอความช่วยเหลือ ในตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น และศศิก็ถูกพาเข้ามาที่ห้องนี้ด้วยหัวใจที่เต้นแรง และพลันเหมือนจะหยุดเต้นเมื่อได้เห็น…


คนที่ตนแสนคนึงถึงกำลังนอนหลับอย่างสงบบนเตียง


“ไม่จริง…”  คงไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นใช่ไหม คนมองก็ได้แต่ให้กำลังใจตัวเอง ทว่าเมื่อก้าวไปหา ใจของตนก็ฝ่อลงเรื่อยๆร่างบางไม่รอช้ายกมือของเขาขึ้นมาจับชีพจร พลันพระเนตรคมก็ค่อยๆเปิดออกมา


“ศศิ”


“…”


“เจ้ามาแล้วจริงๆใช่ไหม”  สุรเสียงดูเหนื่อยล้า และนั่นทำให้น้ำตาของตนเอ่อคลอ


“เป็นเช่นไรบ้าง”  เจ้าของใบหน้าที่ทรงคิดถึงนั้นค่อยๆนั่งลงข้างๆพระแท่นบรรทม มือก็กุมเอาไว้


“เหนื่อย ง่วงก็เลยหลับไป”


“อย่าหลับนะ ห้ามหลับเด็ดขาด”


“ศศิ…”


“ถ้าท่านไม่ตื่นขึ้นมาข้าจะทำอย่างไร?”  เสียงสะอื้นไห้นั้นดังก้องในใจของพระองค์ “ข้ายังเลิกชอบไม่ได้เลย ดังนั้นอย่าเพิ่งตายนะ” 


“เจ้าไม่ต้องพยายามอีกต่อไปแล้ว กับเรื่องที่ทำไม่ได้แบบนั้น อย่าพยายามอีกเลย”  บอกว่ายังเลิกชอบกันไม่ได้แล้วได้พยายามบ้างไหม พยายามแค่ไหนถึงได้ไม่สำเร็จเสียทีแบบนี้เล่าเด็กโง่ อคิราห์นั้นปล่อยให้ศศิกุมมืออยู่อย่างนั้นก่อนจะส่งสายตาไปทางธมลที่ยืนอยู่ เมื่อ ‘ถึงมือหมอ’ แล้วก็ย่อมไม่มีอะไรให้ห่วงอีกต่อไป


“ทูลลาพะยะค่ะ”  เพราะคนที่ตายอาจจะไม่ใช่อคิราห์แต่กลายมาเป็นเขามากกว่าหากยังอาจหาญมาเป็นกว้างขวางคอ


เมื่อเหลือกันเพียงแค่สองคน ศศิก็เริ่มทำการตรวจพระอาการ ให้เวลากับคนไข้คนสำคัญนี้จนกว่าจะแน่ใจว่าผลการตรวจนั้นถูกต้องจริงๆ


“น่าอายนัก ข้าควรมีสติกว่านี้ ทั้งๆที่เป็นคนรักษาท่านครั้งที่แล้วและยังต้มยาบำรุงให้ท่านดื่มมากมาย พิษนั้นไม่อาจจะทำอันตรายท่านได้เหมือนคราแรกอีก”  ว่าแล้วคนเป็นหมอก็อายที่แสดงอาการร้อนรนไปก่อน ทั้งๆที่ข้อมูลการรักษาตนก็ถือเก็บไว้มากที่สุด อคิราห์ที่เห็นปฏิกิริยาของคนตัวเล็กก็ยิ้มออกมา


“อย่างนั้นเองหรือ”


“อื้ม…สรุปแล้วคือท่านอาจจะมีไข้นิดหน่อย”


“แค่นิดหน่อยเองหรือ งั้นแสดงว่าเจ้าก็อยู่ดูแลข้าต่อไม่ได้สินะ”  จะเจ็บอีกสักหน่อยก็ได้ ถ้าได้คนดูแลเป็นท่านหมอคนงามผู้นี้


“ข้าย่อมต้องอยู่ต้มยาบำรุงให้ท่านเพื่อช่วยให้ขับพิษออกมาทั้งหมด”  ทั้งๆที่เขินอายเสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องเก็บงำมันไว้ แค่นี้ใบหน้าของตนก็ชัดเจนพออยู่แล้ว ดูเขาสิเป็นคนป่วยที่ร่าเริงเสียจริง เจ็บป่วยอยู่ไม่ใช่หรือทำไมยิ้มได้ไม่อายฟ้าดิน


“ข้ายังรู้สึกอ่อนแรงช่วยต้มยาดีๆมารักษากันที บางทีเจ้าอาจจะต้องต้มสักปีสองปีถึงจะหายขาด”


“ท่านไม่ได้ป่วยหนักขนาดนั้นหรอก”


“ไม่อยากอยู่กับพี่อาทิตย์ของเจ้าหรือ”


“…”


“ข้าอยากอยู่กับเจ้านะ ศศิของพี่”  ให้ตายสิทำไม…


ทรงชอบทำแบบนี้ใส่กันจริงๆนะ!


เดิมทีพระองค์ก็กังวลเรื่องที่จะให้ศศิอยู่ที่นี่มาก่อน แต่เมื่อคิดดู สถานการณ์ตอนนี้ที่เจอนั้นมันอาจจะเกินรับมือ หากมีการใช้พิษชาดสีดำที่นี่ หากไม่มียาถอนพิษ การขอร้องให้คนที่รู้วิธีรักษาอยู่ใกล้มือนั้นเป็นทางออกเดียวที่ดีที่สุด


แต่จะทำอย่างไรให้ศศิปลอดภัย?


หากมีคนล่วงรู้ถึงความสำคัญในเชิงความรู้ความสามารถและความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์ ท่านหมอน้อยอาจจะโดนทำร้ายไปด้วย แต่ก็ไม่อาจจะขอให้ศศิกลับไปได้จริงๆ เด็กคนนี้มีความสำคัญทั้งในด้านแผนการรับมือและหัวใจแบบนี้ อคิราห์คงไม่มีทางปล่อยให้กลับไปได้ง่ายๆจริงๆ


“ข้ายินดีจะช่วยท่าน!”  เมื่อขอร้องให้อยู่และอธิบายถึงความจำเป็น ศศิก็ตอบโดยไม่คิดด้วยเพราะตนก็อยากจะเป็นประโยชน์บ้าง เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงตอบรับโดยไม่แม้แต่จะลังเลใจเลย


“แต่มันอันตราย หากเจ้ากลัว”


“ข้าไม่กลัว!”  ศศินั้นตั้งแต่เกิดก็เป็นเด็กที่ถูกพามากับกลุ่มผู้อพยพ กินนอนในป่าก็ทำมาแล้ว ไม่มีอะไรลำบากลำบนจนเกินไปหรอก อาจจะช่วยในด้านประสบการณ์ให้มากขึ้นด้วยเจ้ากระต่ายน้อยสุดแสนจะมั่นใจ ทว่าราชสีห์ในคราบหมาป่าใหญ่นั้นได้วาดแผนการไว้ในหัวและถ่ายทอดออกมาอย่างแยบยล


“เจ้าแน่ใจหรือ”  เขาถามให้แน่ใจ


“ขอเพียงแค่ท่านร้องขอ ข้าก็ยินดี”  ทรงแย้มพระสรวล แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีใครเข้าใจ ถึงแม้ว่าจะแสนห่วงและไม่อยากให้ศศิอยู่ที่นี่แค่ไหน ใครจะคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เอื้อประโยชน์ส่วนตัวให้กันมากขนาดไหน เช่นนี้แล้วจะให้โดนอีกสักรอบสองรอบก็ไม่อะไรเลย


ถ้าเหยื่อผู้อ่อนหวานจะติดเบ็ดไปด้วยแบบนี้


“ข้าจะไปต้มยามาให้ท่านดื่ม”  ศศิบอกอย่างแข็งขัน ก่อนจะลุกขึ้น หากแต่อคิราห์นั้นจับแขนของตนไว้


“เจ้าอย่าไปนาน”


ไม่ได้หรอก ยาต้องเคี่ยวดีๆ


“รีบกลับมา”


“ข้าจะรีบนะ”


“ดีจริงๆที่เจ้ามา ข้าง่วงแล้ว”  น้ำเสียงออดอ้อนนั้นเกือบทำให้ศศิตกหลุมพรางง่ายๆ “เราจะได้รีบนอนเสียที”


“หืม?”


“เจ้าคิดว่าเจ้าจะไปนอนที่ไหนกันหรือ”


“….”  ที่ไหนที่ไม่ใช่ที่นี่…


“ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปนอนที่ไหนที่ไม่มีใครปกป้องหรอกนะ”


“แต่ว่า…”


“แล้วเจ้าไม่ห่วงกันหรือไง?”


“…”


“พี่จะรอ”  ทรงตรัสแค่นั้นและปล่อยแขนกันไปแม้จะให้สิทธิ์ในการเลือก แต่คำเกลี้ยกล่อมที่หลุดออกมาจากปากนั้นก็เหมือนจะผูกมัดกันอยู่ดี


ที่นี่อันตราย ศศิต้องการคนปกป้อง…ศศิก็ทราบดี…
เขาเองก็ต้องพิษ ศศิต้องดูแล…ศศิก็เข้าใจ
แต่ทรงทราบไหมว่าเราอยู่ในสถานะใดในสายตาของคนอื่น?!


ด้วยความช่วยเหลือของธมล ศศิจึงเข้ามาปรุงยาเพื่อนำไปถวาย คาดว่าที่ยังคงพูดจ้อได้แม้โดนพิษไปนั้น อาจจะเพราะพิษไม่ได้รุนแรงหรือมีปริมาณเข้มข้นพอที่จะพรากชีวิต แต่อีกส่วนอาจจะเพราะระหว่างที่ทรงอยู่ในการดูแลของทิชากร อาจารย์ของศศิอาจจะปรุงยาที่มีสรรพคุณต้านพิษหากได้รับอีกครั้งเอาไว้ให้ แต่มันก็จะไม่ได้อยู่คงทนในร่างกายตลอดไป หากยังโดนพิษต่อไปเรื่อยๆ สรรพคุณที่ว่าก็ไม่อาจจะช่วยได้


โดนลอบสังหารบ่อยครั้งขนาดนั้นเลยหรือ เมื่อได้ยินเช่นนี้แทนที่จะหวาดกลัวว่าตนจะโดนหางเลข กับกลายเป็นว่าศศินั้นห่วงใยพระองค์มากจนไม่คิดที่จะกลับไปที่คฤหาสน์ปิติชาญอีก แต่การให้ไปหลับนอนในห้องเดียวกันทั้งๆที่สถานะของเราคือหมอกับคนไข้แบบนั้น มันจะไม่งามหรือเปล่า?


“ท่านธมล”


“ขอรับ”


“มันพอจะมีห้องที่อยู่ใกล้ๆที่ข้าจะสามารถไปพักเพื่อถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดหรือไม่”


“แล้วองค์ชายได้ตรัสให้ไปนอนที่ไหนหรือขอรับ”


“เอ่อ…”


“พระองค์ไม่ได้บอกหรือ?”ก็บอก…แต่แค่ไม่เห็นด้วย


“….”


“ถ้างั้นกระผมคงต้องขอไปสอบถาม”


“พระองค์ให้ดูแลใกล้ชิดน่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ที่นั่นแลขอรับ”


“แต่ว่า….”


“ทรงคิดมาดีแล้วขอรับ อย่าได้เป็นกังวล”  ธมลได้ตอกฝาโรงให้กับคู่อาทิตย์พระจันทร์เป็นที่เรียบร้อย ไม่แปลกหากเป็นคนหน้าบาง ศศพินทุ์นั้นมีสิทธิ์จะรู้สึกไม่ดี แต่จริงๆแล้วที่ตำหนักนี้ไม่ได้มีอะไรให้กังวลถึงขั้นนั้น คนที่นี่เชื่อใจได้ และต่างก็เทิดทูนตามอกตามใจ เจ้านายว่าอย่างไรก็เห็นชอบไปตามนั้นทั้งหมด


ด้วยเพราะคำนึงในความปลอดภัย คนเข้าออกหรือคนที่ทำงานให้ตำหนักชลสินทุ์จึงล้วนถูกคัดมาอย่างเข้มงวดว่าเชื่อถือได้ ทุกคนที่ทำงานที่นี่ไม่แพร่งพรายอะไรออกไปอย่างนั้นหรอก เรียกว่าปัญหาตกเป็นขี้ปากคนนั้นคนนี้ให้ตัดไปได้เลย ควรระวังว่าจะอวยเจ้านายให้ฟังเช้าค่ำจนรำคาญปนหมั่นไส้จะดีกว่า ที่เหตุการณ์อันตรายวันนี้เกิดขึ้นก็มาจากเอกสารจากภายนอกที่ไม่มีการตรวจตราให้ดี ไม่ใช่คนในหรอกที่คิดคด


ในสมัยของอชิระที่อาศัยที่นี่นับได้ว่าน่าตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าการที่องค์ชายอคิราห์ลากเอาศศิไปนอนด้วย ตอนนั้นยังไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่น้อย ปัญหาจริงๆที่ควรกังวลไม่ใช่เรื่องที่ว่าควรจะไปนอนที่ห้องนั้นกับพระองค์ดีไหม แต่ต้องคิดว่าถ้าไม่ไปแล้วปัญหาอะไรจะตามมาต่างหาก


เพื่ออนาคตอันราบรื่นของธมลแล้วไซร้
ต้องทำให้ศศิยอมเท่านั้น!

Talk:
กลับมาจากเชียงรายก็ลงต่อไม่รอแล้วนะ
ขอให้อ่านกันให้สนุกนะคะ
เพราะอีพี่ก็รุกต่อไม่รอแล้วเช่นกัน555
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 12 : 23/12/2018 P.2
« ตอบ #49 เมื่อ: 23-12-2018 12:02:18 »





ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
วางแผนมาดีจริงๆ จนแอบสงสัยว่า พิษนี่เตรียมเองด้วยรึเปล่าพี่อาทิตย์ 5555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พิษนี่มาจากคนนอกหรือจากพี่อาทิตย์กันแน่คะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เจ้ากระต่ายไม่รอดแล้วววววว
แต่พิษนั่นน่ะมาแบบตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกันแน่นะ  :hao3:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
13
เตรียมความพร้อม
☼ ☽

การได้อยู่กับคนที่ตนหลงรัก มันเหมือนเป็นสวรรค์ที่มาพร้อมกับเงื่อนไข


“มันต้องขนาดนั้นจริงๆหรือ”  ศศิก้มหน้าลง พยายามทำความเข้าใจกับข้อเสนอดังกล่าว เพราะจะได้อยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือหากมีเหตุร้ายที่จำเป็นต้องมีหมอที่ไว้ใจได้ ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของตนก็ต้องเป็นความลับ


และเพราะเป็นความลับ จึงต้องไม่สามารถออกไปไหนได้
 

“ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ”  เพราะท่านหมอน้อยจะอยู่ได้แค่ในพื้นที่ของตำหนักนี้ห้ามไปไหน ชีวิตดังกล่าวนั้นไม่ต่างจากการขังนกน้อยไว้กับในกรง แม้ที่มาตนก็ไม่ได้มีอิสระมากมายมาก่อน แต่การถูกจำกัดบริเวณโดยคำสั่งจากพระโอษฐ์ขององค์รัชทายาท ก็ยิ่งตอกย้ำความไร้อิสระของนกน้อยที่ไม่เคยได้ออกจากกรงไปไหนเช่นกัน


“ข้าเข้าใจดี”


“ต้องขอโทษที่ทำให้เจ้ามาลำบาก”  แต่คำขอโทษนี้ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่ ตำหนักชลสินทุ์นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเล็กหรือคับแคบ ก็อาจจะหาอะไรทำที่นี่ได้ และถึงแม้พระองค์จะต้องจากไปทำธุระในทุกวัน แต่ก็คงเสด็จกลับมาหากันในทุกๆคืนไม่ใช่หรือ อา…ไม่อยากยอมรับเอาเสียเลยว่าการที่เราต้องนอนห้องเดียวกันนั้น มันก็มีข้อดีอยู่


ก็จะได้ชดเชยความคิดถึงที่มีให้อย่างไร


และเป็นเช่นนั้นจริงๆ อคิราห์นั้นถ้าไม่จำเป็น ก็จะทรงกักขังตัวเองและทรงงานอยู่ในตำหนักทั้งวันไม่ไปไหน เรามักจะนั่งอยู่ในห้องทรงงานของพระองค์ ในขณะที่เขาทำงานเงียบๆ ศศิก็มักจะทบทวนตำราอยู่เสมอ ด้วยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหตุการณ์ฉุกเฉินจะเกิดขึ้น สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือเตรียมกายและใจให้พร้อม


“อ่านหนังสือเล่มนี้อีกแล้วหรือ”  ทรงสังเกตอยู่นาน ศศิอ่านแต่หนังสือเล่มนี้ทุกวัน จนพระองค์กังวลว่าอีกฝ่ายจะเบื่อหน่าย


“ข้าต้องทบทวนมัน ยังมีอีกหลายสิ่งที่จดจำไม่ได้”


“หนังสืออะไรของเจ้าหรือ”  ทรงตรัสถาม ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาคนร่างบางที่ยังคงนั่งอยู่อีกมุม ศศินั้นขยับให้อีกฝ่ายมานั่งข้างๆและยื่นให้ดู  “ตำราสมุนไพรงั้นหรือ”


“อืม ข้าอ่านมันประจำเลย”  สภาพของหนังสือนั้นบอกให้รู้ว่าผ่านการใช้งานมานาน แม้คนอ่านจะพยายามทะนุถนอมมันเท่าไหร่ แต่เด็กดีของพระองค์ก็คงจะจับต้องหยิบมานั่งทบทวนทุกเมื่อที่มีเวลานั่นแล


“เจ้าควรผ่อนคลายตัวเองให้มากกว่านี้”  ว่าไปเช่นนั้นก่อนจะวางตำราเล่มหนาให้ไกลมือ และเริ่มบีบนวดไหล่บางนั้นให้อย่างเอาใจ


“ได้เช่นไรกัน ท่านเองก็ยุ่งและเครียด หาได้มีเวลาผ่อนคลายเช่นกัน ข้ามิอาจจะเอาเปรียบหรอก”


“มันก็จริงอย่างที่เจ้าพูด แต่มันคือหน้าที่ ที่ตัวพี่ต้องรับผิดชอบ”


“ท่านก็มอบหมายหน้าที่ให้ข้าดูแลรับผิดชอบเช่นกัน ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ทำอะไรแต่สักวันมันอาจจะได้ใช้จริงๆนะ”


“คนดี เจ้าช่างน่ารักเสียเหลือเกิน”  เมื่อฟังคำอธิบายที่น่ารักถึงเพียงนี้ก็ต้องเอ่ยชม แต่จริงๆจะนอนเป็นแมวน้อยรอให้มาเกาคางเฉยๆทั้งวันก็ไม่เป็นไร พระองค์ล้วนเห็นว่าดีทั้งหมด!


หากศศพินทุ์จะชอบอ่านหนังสือขนาดนี้ พระองค์ก็เห็นควรว่าคงต้องล่อลวงเด็กดีไปยังห้องหนังสือเสียแล้ว อาจจะมีตำราแพทย์ไม่มาก แต่ว่าก็หามาเพิ่มเติมได้ ทรงพอจะรู้จักมักคุ้นกับท่านอาจารย์หมอที่ดูแลเสด็จพ่ออย่างใกล้ชิดและเชื่อใจได้อยู่ ท่านอาจจะยินดีให้พระองค์ยืมตำราแพทย์มา ถึงมีคำถามก็คงไม่เซ้าซี้กันมาก


ใบหน้าที่ทรงชื่นชอบเป็นที่สุดนั้นเอียงซบไหล่กัน ดวงตากลมที่เต็มไปด้วยเสน่ห์นั้นช้อนตามอง ศศิคงเบื่อที่จะต้องมาอยู่ในที่แบบนี้ แต่คนน่ารักก็ไม่พูดอะไรให้รู้สึกลำบากพระทัย พระองค์นั้นแย้มพระสรวลให้กับความน่าเอ็นดูของอีกคนก่อนจะกระชับกอดให้แน่น แสดงความหวงแหนแม้เราจะอยู่กันเพียงสองต่อสอง แสดงให้ศศิรู้ว่าพระองค์หลงใหลมาเพียงไหน


“จะว่าไปข้าก็อยากจะผ่อนคลายเช่นกัน รู้สึกอยากจะแช่น้ำอุ่นๆขัดเนื้อขัดตัว”


“เป็นเช่นนั้นข้าน่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”  คนพูดนั้นรู้สึกมีประโยชน์ขึ้นมา ด้วยความรู้ด้านสมุนไพรบำบัดบางทีตนอาจจะช่วยได้


“เจ้าจะยินดีช่วยกันจริงๆหรือ”  ทรงถามให้แน่ใจ ไม่ใช่ให้พระองค์แน่ใจ แต่ให้คนถูกถามแน่ใจจริงๆเสียก่อน เพราะถ้าต้อนไก่เข้าเล้าได้เมื่อไหร่ จะมาเฉไฉใส่อีก ไม่ได้แล้วนะ


“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง!”


“งั้นต้องขอรบกวนให้เจ้าช่วยขัดหลังให้ข้าวันนี้”


เหะ!?


“มือเล็กๆของเจ้าคงจะขัดได้อย่างดีเลย เย็นนี้ข้าจะให้คนเตรียมน้ำอุ่นรอเอาไว้”


“ขัด…ตัว?”


“ต้องรีบกลับไปสะสางงานแล้ว”  คนเจ้าเล่ห์นั้นลุกขึ้นไม่ปล่อยให้รู้ตัวหรือปฏิเสธออกมา บอกแล้วว่าเรื่องตอกฝาโรงนะ คนตำหนักนี้เก่งที่สุด จนกระทั่งกลับมาทำงานแล้ว ศศิก็ยังตามไม่ทัน


ขัดตัว…หมายความว่าเข้าไปอาบน้ำให้นะหรือ?!


“ท่าน!”  ไม่ทันแล้ว…คู่กรณีที่นั่งอยู่นั้นคงไม่ตอบอะไร ต่อให้ไปตะโกนที่ข้างหูก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินได้ ความทะลึ่งทำให้คนเราเห็นผิดเป็นชอบไปหมดแล้วสิ้น!


ทว่าสัญญาคือสัญญา บอกว่าจะขัดหลังให้ก็จะทำให้ เห็นว่าปฏิเสธอะไรไม่ได้จึงเดินออกมาจากห้องทรงงานและไปบอกนางกำนัลของตำหนักให้จะช่วยตระเตรียมเครื่องหอมเพื่อการสรงน้ำในวันนี้ แค่ขัดให้คงไม่อะไรหรอก ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นร่างกายกำยำของอีกฝ่ายมาก่อน แต่เพราะเคยเห็นมาก่อนอย่างไรถึงได้รู้ว่ามันธรรมดาที่ไหน!


“ท่านศศิมีอะไรจะสั่งเพิ่มเติมไหมเจ้าคะ”  นางกำนัลที่มาช่วยเตรียมน้ำในสระน้ำอุ่นประจำตำหนักชลสินทุ์นั้นเอ่ยถาม เธอเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว กว่าจะถึงเวลาลงสรงก็คงอุ่นกำลังดี


“…”


“ท่านศศิเจ้าคะ?”


“เอ่อ…ไม่มีแล้ว ขอบคุณท่านมาก”  บ้าบอเหลือเกิน! จะคิดมากเกินไปแล้ว!


ไอน้ำที่พวยพุ่งมาจากสระอาบน้ำ กลิ่นหอมของสมุนไพรและเครื่องหอมนานาชนิดล้วนทำให้พอใจ องค์รัชทายาทผู้เหน็ดเหนื่อยจากภาระการงาน ย่อมต้องการผ่อนคลาย ศศิรู้ดีแม้ไม่อยากจะทำให้ด้วยตัวเอง ทว่าคิดในอีกมุม มันดีกว่าอยู่แล้วที่ให้ศศิทำให้


เมื่อคิดได้ว่าหากไปให้คนอื่นช่วยปรนนิบัติ แม้จะไม่มีใครคิดอะไร แต่ศศินี่สิ…ที่ไม่สามารถเลี่ยงไม่คิดอะไร หลังจากรับผ้าเช็ดกายจากนางกำนัลซึ่งส่วนใหญ่ก็มีอายุพอประมาณแล้วทั้งนั้น ก็คิดไปว่าคนที่ชอบทำตัวเจ้าชู้ใส่กันนั้นจะเคยอยากให้เด็กสาวแรกรุ่นมาปรนนิบัติบ้างไหม ความรู้สึกหึงหวงทำให้คิดนั่นนี่อยู่คนเดียว ช่างไม่รู้เลยว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่ด้วยอีกแล้ว


เพราะองค์รัชทายาทไม่โปรดให้ใครอยู่ที่นี่หลังจากที่พระองค์นั้นเข้ามา


“หอมเหมือนตัวเจ้า”  ร่างบางสะดุ้งหวือ สัมผัสที่ข้างแก้มนั้นบอกกันว่ากำลังถูกคนเจ้าเล่ห์รังแก ศศินั้นจะถอยออกมาแต่อ้อมแขนขององค์อคิราห์กลับฉุดคว้าให้เข้ามาใกล้ พลันใบหน้าก็ร้อนขึ้น มันเป็นเพราะความร้อนจากไอน้ำ หรือเพราะแผ่นอกแกร่งที่ตนกำลังซบอยู่นี่เล่า


“มะ…มาเร็วจัง” 


“เช่นนั้นหรือ? พี่ว่านี่ก็ช้า ไม่ทันใจพี่เลย”  ยิ่งตอนไหนที่ทรงอยากจะทำให้เขินอาย สรรพนามเรียกขานก็มักจะเปลี่ยนไป คำตอบนั้นยิ่งทำให้ศศิเขินเข้าไปใหญ่ การเตรียมการนั้นเป็นไปอย่างล่าช้าในความรู้สึก หากเป็นไปได้ พระองค์อยากจะอุ้มพามาอาบน้ำที่นี่ทันทีที่หลงกล  รู้ไหมว่าตลอดบ่ายนี้ใครบางคนไม่เป็นอันทำงานทำการจริงๆ ที่เห็นว่ายุ่งนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ


องค์รัชทายาทในชุดคลุมอาบน้ำนั้นหันหลังให้คนอาสาปรนนิบัติได้ช่วยถอดมันออกมา คนตัวเล็กที่ไม่เคยต้องดูแลใครมาก่อนเช่นนี้ทำมันออกมาอย่างเก้ๆกังๆ มือไม้ก็สั่นไปหมดจนพระองค์เกือบหลุดหัวเราะ กล้ามเนื้อที่งดงามไปเสียหมดตรงหน้าช่างดูดี ผิวสีออกน้ำผึ้งที่แน่นตึงเหมือนจะทอแสงได้นั้นก็ช่างสวยงาม แค่เพียงมองจากข้างหลัง ใจของศศิก็เต้นไม่เป็นส่ำ


“ทะ…ท่านอยากให้ข้าช่วยขัดตรงไหนให้”


“ทั้งตัวเลยได้หรือไม่ นานแล้วที่ไม่ได้ขัดตัวจริงๆจังๆ”  ทรงหันไปร้องขอกับคนที่ยังคงกอดผ้าคลุมไว้กับอก เห็นแก้มใสขึ้นสีแดงจัดนั้นแล้วก็อยากจะแกล้ง แต่ก็ต้องอดใจไว้ เก็บเปรี้ยวไว้กินหวานย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แม้จริงๆบางทีกินตอนเปรี้ยวเลยก็ชื่นใจไม่น้อย


ร่างสูงขององค์รัชทายาทนั้นนอนราบหันหลังให้มือเล็กได้ถูวนสมุนไพรซึ่งถูกจัดเตรียมมาอย่างดี แม้จะเป็นครั้งแรกที่ดูเงอะๆงะๆ แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่สบายมากจริงๆ ในความเงียบที่อคิราห์นั้นให้กันนั้น มันทำให้ศศพินทุ์ทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยม ในที่สุดพระองค์ก็เลือกที่จะกินหวานแทนกินเปรี้ยว ปล่อยให้มือเล็กทำหน้าที่ของมันไป และก็ทรงเคลิ้มหลับไปเพราะสัมผัสของมือนั่น


“พี่อาทิตย์”


“อืม…”


“ขะ…ศศิถูข้างหลังจนเสร็จแล้ว”  อคิราห์ที่กำลังเคลิ้มนั้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกก็ตื่นขึ้นมา และพอได้รับทราบว่าเหตุใดถึงเรียกกัน พระองค์ก็ลอบยิ้ม เรื่องแกล้งศศิ ดูจะเป็นของคู่กาย


“เช่นนั้นก็จงขัดข้างหน้าให้พี่ด้วย”  อคิราห์นั้นลุกขึ้น หมายจะนอนหงายให้อีกฝ่ายดูแลกัน แต่คิดอีกที นั่งลงน่าจะดีกว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก็ทรงอยากจะเห็นหน้าผู้เป็นความรักให้ถนัดๆไปเลย


“ทะ…ท่าน”


“ผิวตรงนี้มันสากนัก เจ้าช่วยขัดให้พี่หน่อยได้หรือไม่”  ฝ่ามือใหญ่นั้นจับมือเล็กของท่านหมอน้อยมาแตะบนอกซ้ายเบาๆ บอกให้รู้ว่าอยากให้สัมผัสแค่ไหน ก่อนจะใช้อีกมือแตะแก้มนวลอย่างเอ็นดู


มือของศศิที่มีสมุนไพรขัดตัวเคลือบอยู่นั้นค่อยๆวนเบาๆบนอกซ้ายตามที่อีกฝ่ายร้องขอ อีกมือนึงก็วางลงบนไหล่หนา ไม่ได้เอ่ยว่าอะไรกับการที่ทรงวางพระหัตถ์ที่เอวบางของตน ก่อนจะเลื่อนมาสัมผัสที่บั้นท้าย


“อื้อ”  ในขณะที่เขาบีบเค้นความนุ่มนิ่มอย่างไม่ปราณีแบบนั้น มันก็ช่วยไม่ได้ที่ศศิจะระบายอารมณ์ด้วยการบีบไหล่ของพระองค์ตอบ มือที่กำลังขัดสมุนไพรให้อยู่ก็พลันชะงัก ทรงกำลังทำให้ศศพินทุ์สูญเสียจุดยืนทางการทำงาน


“ขัดต่อไปสิ”  ทรงกระซิบบอก แต่ก็ไม่ยอมหยุดบีบเค้นก้อนเนื้อนิ่มงอนอย่างสนุกมือ ศศิถลึงตาใส่คนทะลึ่งแต่ก็ยินยอมที่จะทำต่อแม้ไม่อาจจะแก้ปัญหาพระหัตถ์ซนนี้ได้เลย


ใจจริงก็คิดว่าจะขอใช้ท่านหมอให้ขัดลงไปถึงส่วนล่าง แต่อีกฝ่ายคงตื่นกลัวกันเป็นแน่ จึงอดใจและตรัสบอกให้ทราบว่าทรงรู้สึกเพียงพอแล้ว ศศิถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะไปช่วยตักน้ำขึ้นมาชำระล้างคราบสมุนไพรตามร่างกายจนสะอาดหมดจด และเดินตามพระองค์ไปที่สระเผื่อว่าจะช่วยดูแลต่อ  ทว่า….


“ทะ..ทำอะไรของท่านนี่!” อคิราห์ไม่ได้ให้ถวายการรับใช้ตรงนั้น ทรงหวังให้ดูแลกันต่อในน้ำ


“น้ำอุ่นดีออกศศิ ตัวเจ้าก็เปียกปอนถึงเพียงนี้ ลงมาแช่ด้วยกันดีกว่า เดินระวังนะ ค่อยๆหย่อนเท้าลงมา”  ก็เป็นพระองค์ไม่ใช่หรือที่ฉุดกันจะให้ลงมาด้วยแบบนี้ ศศิถึงได้เปียกปอนไปหมด ถึงจะบอกว่าให้ค่อยๆเดินลงมาก็เถิด แต่ฉุดกันเร็วเช่นนี้ สู้จับกดน้ำไปเลยยังดีเสียกว่า


แต่น้ำมันอุ่นสบายจริงๆ…ศศิใจง่ายอีกแล้ว


“อืม…”  เสียงครางอย่างเป็นสุขนั้นดังออกมาจากปากของเจ้ากระต่ายน้อยที่พระองค์บังคับให้มานั่งข้างๆ อาภรณ์ที่เจ้าตัวใส่ไม่เพียงเปียกปอน หากแต่ยังบางใสเห็นไปถึงอะไรต่อมิอะไร


“สบายหรือไม่”


“สบายมากๆเลย ข้าชอบอาบน้ำที่สุด”  เช่นกันกับพระองค์ อคิราห์นั้นยิ้มออกมา พระองค์ก็ชอบอาบน้ำ…กับศศิเช่นกัน


“อยากให้ข้าช่วยบีบนวดหรือไม่”


“นวดหรือ? จะดีหรือ?”


“ดีสิ เจ้าขัดตัวให้ข้า ข้านวดตัวให้เจ้า”  เราออกจะเท่าเทียม!


“งั้นคงต้องรบกวนท่านแล้ว” ศศินั้นยิ้มรับในไมตรีก่อนจะหันหลังให้ ทว่าคนเสนอนั้นต้องการนวดแบบใกล้ชิดกว่านั้น ร่างบางนั้นลอยหวือมานั่งซ้อนบนตัก กำลังจะท้วงถามว่าทำไม แต่นิ้วเรียวขององค์รัชทายาทก็กดลงบนจุดผ่อนคลายที่แผ่นหลังด้านบนเข้าเสียแล้ว


อืม…ไม่น่าเชื่อว่าจริงๆแล้วศศิเองก็จะแบกรับภาระให้เหนื่อยล้าเหมือนกัน ทุกสัมผัส ทุกการกดย้ำของราชนิกูลผู้สูงศักดิ์นี้ ล้วนทำให้รู้สึกดี ร่างบางนั้นสะดุ้งตามน้ำหนักของพระหัตถ์ โดยไม่รู้ตัว มือที่ศศิเคยเอ่ยเยินยอกลับค่อยๆลากลงมา ต่ำลงเรื่อยๆ ลงมาที่ใต้แผ่นอก ก่อนที่จะใช้ความเผลอไผลนี้ให้เกิดประโยชน์ ทรงขยับให้ร่างบางของท่านหมอเข้ามาประชิดตัวจนแผ่นหลังเนียนนั่นแนบสนิทกับแผ่นอกแกร่ง


“อื้อ!”  เสียงครางที่ดังข้างหูของคนที่อ่อนระทวยนั้นทำให้พึงพอพระทัยอย่างมาก ศศินั้นช่างไม่รู้ตัวถึงความใกล้ชิดนี้เลย ใบหน้าหวานที่เอียงซบอยู่ที่ไหล่ของพระองค์นั้น ใกล้ขนาดที่เสียงครางเบาๆก็ปลุกเร้าให้อยากจะสัมผัสอีกฝ่ายมากขึ้น ทรงติดใจเสียงหวานนี่เสียแล้ว


นิ้วชี้นั้นก็แสนซุกซน ทรงหยอกเล่นกับยอดอกสีสวย จนเจ้าของร่างกายต้องบิดเร้าด้วยความเสียวซ่าน ยิ่งเมื่อทรงสัมผัสมากขึ้น ความกระดากอายโดยธรรมชาติก็ทำให้ศศิผลักไสด้วยรู้สึกร้อนขึ้นมา แต่อีกด้านหนึ่งของความรู้สึก เจ้าตัวก็อยากจะเรียกร้องสัมผัสของเขานี้ เป็นความย้อนแย้งที่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร?


“อ๊ะ!?”  พระหัตถ์ที่เคยอ่อนโยนยามบีบนวดให้กันพลันซุกซน โดยไม่รู้ตัวศศิก็เผลอปล่อยโอกาสให้เขากอบกุมส่วนที่อ่อนไหวที่สุดไปเสียแล้ว “ยะ..”


“เจ้าร้อนไปหมดทั้งตัวแล้ว ให้พี่ช่วยดีหรือไม่”  ตัวพระองค์เองก็ร้อนไม่ต่าง แต่ก็อยากจะสร้างเสริมประสบการณ์เบื้องต้นให้กับเด็กน้อยผู้อ่อนเดียงสาสักคราเช่นกัน


ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักมือ การเคลื่อนไหว หรืออะไรก็แล้วแต่ ทรงทำให้ศศินั้นเหมือนนลอยละล่องขึ้นไปบนฟ้า ขาทั้งสองข้างของตนถูกจับแยกออกมา มันช่างน่าอายแต่สติที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวกลับทำให้เผลอไผลยินยอมไปกับทุกการสั่งการของคนเผด็จการ โดยไม่รู้ตัว ก็ทรงพาศศิมานั่งที่ขอบสระเสียแล้ว


แค่เพียงก้มมองว่ามือใหญ่นั้นกำลังทำอะไรกับร่างกายของตนเอง ศศิก็เขินอายเสียจนต้องเสมองไปทางอื่น ทว่ายิ่งแสดงออกถึงความดื้อดึง พระองค์ก็ยิ่งทำให้มันร้อนแรงยิ่งขึ้นจนเสียงน่าอายหลุดออกมา เอวบางนั้นบิดเร้าอยู่บนตักของเขา สุมไฟให้กับร่างกายของกันและกัน เสียงครางต่ำที่ดังอยู่ข้างหูของศศิซึ่งบอกระดับความพึงพอใจ นั้นยิ่งทำให้ตนเหมือนจะต้องการมากขึ้น


ใบหน้าหวานนั้นหันไปตามพระหัตถ์ที่ดันให้มารับจูบร้อนแรง เสียงน่าอายเหล่านั้นเมื่อมันถูกทำให้หายไปในริมฝีปากของกันและกันยิ่งก่อให้เกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ในความหวั่นเกรง เรากลับต้องการมากขึ้น ในความอับอาย เรากลับเสนอตัวเองเข้าไปอีก เรียกร้องจากคนที่จุดไฟให้กันแบบนี้ด้วยไม่อยากให้ความเปรมปรีดิ์เร่งจบลง


เหมือนเรี่ยวแรงที่ควรมีนั้นถูกริบหายไปหมด ความน่าอึดอัดทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา ทรงปล่อยให้ศศิตัวน้อยพักในอ้อมอกอย่างนั้น ไม่มีการแกล้งใดๆอีกเพราะที่ผ่านมาก็ไม่นับว่าปราณีกันเท่าไหร่


“เด็กดี”  ทรงจุมพิตที่ขมับอย่างหวงแหน เด็กดีของพระองค์นั้นตัวแดงไปหมด ด้วยเพราะเอาเปรียบกันเกินไป จึงเป็นฝ่ายที่ต้องโอบอุ้มกันไปล้างตัวให้สะอาด กลายเป็นพระองค์ที่มาดูแลกันแทน หลังจากพาศศิมาเปลี่ยนชุดด้วยตัวเอง ก็ส่งเข้านอนแล้วก็ไม่รอช้ากลับไปจัดการกิจธุระส่วนตัวต่อ ปล่อยให้ศศิได้พักผ่อนอยู่บนแท่นบรรมทมเพียงคนเดียว


ทว่าสิ่งที่เขาทำกลับสร้างปัญหาในใจมากมาย แต่ยังไม่ทันได้จัดการปัญหาที่ค้างคาใจ ฤทธิ์ของความสบายก็ทำให้คนตัวเล็กนั้นหลับลงไปในที่สุด ศศินั้นงดงามในทุกอิริยาบถ คนมองนั้นชื่นชมอยู่เช่นนั้นก่อนจะจุมพิตที่เปลือกตาสีอ่อนและเข้านอนไปด้วยกัน


ก็ไม่ได้คิดว่าจะเลยเถิดถึงขั้นนี้ แต่พระองค์ก็ตั้งเป้าหมายที่จะเตรียมความพร้อมให้กับอีกฝ่ายไว้อยู่แล้ว สักวันหนึ่งที่ศศิพร้อม  พระองค์ก็หวังที่จะได้โอบกอดไปด้วยความเสน่หารักใคร่


“ข้าจะทะนุถนอมเจ้าให้ดีที่สุด อย่าได้ห่วงไปเลย”  จนกว่าจะถึงวันนั้น พระองค์ก็ตั้งความหวังไว้ให้ศศิพร้อมจริงๆสักที อคิราห์รอได้ แต่ไม่อาจจะรอไปตลอดชีวิต ทำเช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากการค่อยๆตะล่อมให้คล้อยตาม และเมื่อถึงวันนั้นเมื่อไหร่ พระองค์ก็จะละเมียดชิมผิวขาวๆนั้นให้ทั่วอย่างที่ใจปรารถนาจริงๆ


ค่ำคืนแห่งการเตรียมพร้อมนั้นผ่านไป ทรงโอบกระชับศศิเอาไว้หลวมๆ ราวกับว่าต้องการจะรับรู้ว่าที่ข้างๆยังมีคนๆนี้หลับใหลอยู่ ค่ำคืนที่พระจันทร์ทอแสงนั้นค่อยๆจบลงอย่างเชื่องช้า อคิราห์และศศิหลับใหลไปข้างๆกันอย่างเป็นสุข จนอยากจะหยุดเวลาที่เป็นแบบนี้ไว้ตลอดไป


ศศพินทุ์นั้นตื่นขึ้นมาก่อนในรุ่งเช้า ทว่าแม้จะตื่นก่อน แต่ก็ทำเพียงแค่ลืมตาขึ้นมามองว่าที่ตรงนี้มีใครนอนอยู่ด้วยหรือไม่ เมื่อสร้างความแน่ใจได้แล้ว รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก ได้ตื่นขึ้นมาจ้องมองใบหน้าหล่อของคนรักเงียบๆ เพียงเท่านี้ก็มีความสุขจนยากจะหาอะไรมาเปรียบเทียบในชีวิตแล้ว


ตั้งแต่เด็กจนเติบโต ตนนั้นเพียบพร้อมไปด้วยความสุขอันแสนสมถะ การที่มีเขาในอ้อมแขนถือเป็นการมักมากเกินไปหรือเปล่า ตัวเองที่ไม่เคยได้สัมผัสความรักที่มากมายรูปแบบนี้ยังหวั่นเกรงว่าสุขนี้จะไม่เนิ่นนาน แต่ก็ยังอยากได้อยากมี ศศิช่างโลภเหลือเกิน แม้ทิชากรจะเคยบอกว่าหากเป็นเด็กดี เราก็จะเหมาะสมกับสิ่งดีๆก็ตาม แต่องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นดีเกินไปหรือเปล่า ดีเกินกว่าความฝันที่เคยวาดไว้ จึงอดไม่จะได้หวาดกลัว


เหตุการณ์เมื่อวานที่เกิดขึ้น จะพูดว่ามันดีก็ดี แต่ก็…สร้างปมบางอย่างในใจเช่นกัน ศศิไม่เคยมีครั้งแรกแบบนั้นกับใครไหนอื่น เป็นพระองค์ที่เป็นดั่งรักแรก และการกระทำที่อุกอาจแบบเมื่อวานก็ทำให้รู้สึกดี แต่เพราะทุกอย่างที่เป็นครั้งแรกล้วนดูน่ากลัวจึงเผลอต่อต้าน อคิราห์เองแม้จะอ่อนโยนและยอมให้กันเท่าที่จะให้ได้ แต่ที่อีกฝ่ายต้องอดทนอดกลั้น ก็ใช่ว่าศศิจะไม่รู้


เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ใบหน้าของตนก็ร้อนไปหมด ศศิรับรู้ด้วยความใกล้ชิดว่าคนที่ให้นั่งบนตักเองก็มีความต้องการไม่ต่างกัน แต่ที่ไม่ล่วงเกินกันมากกว่านั้น ก็คงเพราะรู้ ว่าศศิจะไม่ยินดี ความใจเย็นนั้นทำให้ซาบซึ้งและรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ก็หวังว่าสักวันหนึ่งตนจะมั่นใจจนมอบให้ทั้งกายและ…หัวใจ


ทั้งๆที่ยังไม่มั่นใจว่านี่คือความรักหรือความหลงใหล ป้องกันไว้ย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ ความรู้สึกแบบนี้ที่เกิดขึ้นมันก็เป็นครั้งแรกของศศิเหมือนกัน และความกลัวก็ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงตามมา แม้ว่าจะจับมือกันไว้มั่นแค่ไหน แต่ก็เป็นใจของศศิเองที่อ่อนแอ 


“มองกันแบบนั้นเจ้ากำลังทำใบหน้าแบบไหนอยู่หรือ”  อคิราห์นั้นรับรู้ได้ว่าถูกมองมาสักพักแต่ยังคงแสร้งบรรทมต่อไป อย่างไรก็ตาม คนร่างบางนั้นไม่ได้ยิ้มหรือแม้แต่จะเข้ามาคลอเคลียกัน พระองค์ก็รู้สึกเสียดายไม่น้อย แต่ก็นะ…ทรงคาดหวังอะไรแบบนั้นจากคนขี้อายได้เสียเมื่อไหร่


“ท่านตื่นแล้วหรือ”


“ไม่อยากจะตื่นเลย ถ้าหลับอยู่แล้วเจ้าจะเอาแต่มองและครุ่นคิดถึงกันแบบนี้”  ถึงไม่รู้ว่าคิดถึงในแง่ไหน แต่ได้ชื่อว่า ‘คิดถึง’ พระองค์ก็ยินดี ให้ในสมองของคนคิดมากจงมีแต่เรื่องของพระองค์ไปเลย ก็ยิ่งดี


“ข้าจะไปต้มยาให้ท่านดื่มแล้ว”


“พี่ดีใจนักที่ตื่นมาแล้วเจ้ายังพูดคุยได้เป็นปกติ”


“…”


“นึกว่าตื่นมาแล้วจะโกรธกันเสีย”


“ขะ…ข้า”  เมื่อเห็นดวงตาแพรวพราวคู่นั้นที่มองมา และบทสนทนาที่ย้ำเตือนความทรงจำ “ข้าแค่ลืมอายต่างหาก!” ความผิดของคนบ้าบอคนนี้คนเดียว หากเขาไม่พูด เราไม่พูด ต่างคนต่างเงียบและเก็บมันไว้ก็คงไม่มีใครที่จะต้องโมโหจนเลือดลมสูบฉีดเกินไปในยามเช้าแบบนี้


ท่านหมอน้อยนั้นผลักไสพระองค์ออกก่อนจะลุกขึ้นเพื่อออกจากห้องบรรทม อยู่ที่นี่ศศิรู้สึกเหมือนถูกจับตามองไปรอบด้านจนร้อนไปทั้งตัวหมดแล้ว ร้องหาความรับผิดชอบที่ไหนก็ไม่มี คนมักมาก! สิ่งที่ทรงทำลงไป ไฉนเลยไม่ละอายแก่ใจของตัวเองบ้าง เป็นศศิทุกครั้งใช่ไหมที่ต้องอายแทน!


“หากเจ้าจะใจดีกับพี่ที่ช่วยดูแลจนเมื่อยมือไปหมด ช่วยต้มยาหวานๆมาให้ด้วยนะยอดรัก” รู้ทันกันไปหมด ว่าศศินั้นคิดยังไง


แล้วรู้อยู่ใช่ไหมว่าศศิงอนมากๆ และง้อยากๆด้วยตอนนี้!

Talk:
ลงต่อไม่รอแล้วนะ เมอร์รี่คริสมาสต์ข่ะ
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ











ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
แกล้งน้องเดี๋ยวตีเลย5555 :hao3:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่อาทิตย์นี่ร้ายนะคะ
แมรี่คริสต์มาสค่ะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ไม่ปลอดภัยมากๆ กี๊ดดดดดดดดดดดดด
อยากให้ศศิเข้มแข็งไว้เยอะๆนะคับ จะเจออะไรอีกบ้างก็ไม่รู้  :hao5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
แกล้งให้น้องเผลอนะพี่อาทิตย์

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
14
มื้ออาหารกับคนสำคัญ
☼ ☽

แต่ละวันของศศิก็ไม่แย่นัก ถึงไม่อาจจะเรียกได้ว่ายุ่งวุ่นวาย แต่ก็มีอะไรให้ทำอยู่ตลอด


เริ่มจากตื่นนอน จัดการตัวเองเรียบร้อยก็ไปต้มยา


“เจ้านี่ปรุงยาบำรุงสุขภาพหรือยาเสน่ห์ใส่ข้ากัน”  วาจาเอ่ยชมแต่ไม่วายจะชอบกลั่นแกล้งเหมือนเดิม ทว่าพอจิบไปได้นิดหน่อย “รสชาติขมปานน้ำเน่าเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เจ้าก็คงเสน่หาไม่ลงเหมือนกัน”  ดวงตาที่หลุบมองไปที่ถ้วยยานั้นไม่ยินดีแต่ก็ไม่ยินร้าย ก็ทรงรู้อยู่ว่าท่านหมอคนงามคำนึงถึงสุขอนามัยของพระองค์เสมอ


“ครั้งนี้ขาใช้ตีนตุ๊กแกตุ๋นลงไปด้วย รสชาติอาจจะแปลกไปเสียบ้าง”


หืม?


“ตีนตุ๊กแกนี่มีสรรพคุณดีมากนะ” เจ้าของตำรับยาเริ่มนำเสนอ ทว่าเจ้าของลิ้นที่ไม่รับรสอันใดแล้วกลับขัดขึ้นมาก่อน


“ศศิ…บอกมาว่าเจ้าล้อเล่น”


“ไม่นะ ท่านถามพี่สาวหน้าห้องได้ นางไปตุ๋นกับข้า”  ยามนี้จะสรวลก็ไม่ออก จะกรรแสงก็ไม่ได้ ทรงวางถ้วยยาบนโต๊ะ ก่อนจะก้มลงไปหยิบถังขยะขึ้นมา


“อย่าบ้วนทิ้งเชียวนะ”  ใบหน้าของพระองค์ชายนั้นเหมือนจะกรรแสงก็ไม่ปาน  “ข้าหมายถึงพืชตีนตุ๊กแก หาใช่ตีนตุ๊กแกจริงๆเสียหน่อย”  เมื่อเห็นเขาหน้าซีดถึงปานนี้ ศศิก็แกล้งต่อไม่ไหวแล้ว แต่จะไม่ให้แกล้งเลยก็ทนไม่ไหวเช่นกัน เขาเองก็เก่งเรื่องกลั่นแกล้งกันมาก ตั้งแต่รู้จักกันมานี่ ได้ขาดดุลกันไปเท่าไหร่แล้ว


นี่แล…สาเหตุที่แต่ละวันตนนั้นแสนยุ่ง
แค่นั่งคิดวิธีเอาคืนบางคนก็ใช้เวลาไปทั้งวันแล้วจริงๆ!


นอกจากการมาต้มยาให้ในตอนเช้า ท่านหมอน้อยก็มักจะเข้าไปคุยกับนางกำนัลที่ดูแลเรื่องอาหารการกิน ในตอนแรกพวกนางก็เกรงใจที่จะให้ความสนิทสนม แต่ตอนนี้ก็ยินยอมให้เดินเข้าไปดูวัตถุดิบแต่โดยดี เรื่องการปรุงอาหาร ตนก็ไม่ได้ถนัดนัก แต่ว่าในส่วนของการบอกว่าควรใส่อะไรเพื่อทำมาเป็นอะไร ศศิมีความคิดเห็นมากมายที่พวกนางยินดีจะรับฟังและนำไปปรับใช้ตาม


เรามักพูดคุยกันในเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของเจ้าของตำหนัก เฝ้ามองพวกนางทำอาหารกลางวันด้วยความสนใจ ก่อนจะมาร่วมโต๊ะกับองค์ชายรัชทายาทหลังจบมื้ออาหารก็จะออกไปเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อการย่อยอาหารที่ดี กลับมางีบนิดหน่อยในสภาพที่มีหนังสือเล่มเล็กๆอยู่บนตัว พอตื่นขึ้นมาก็มักจะมีอีกคนมาเนียนๆงีบอยู่ด้วย


เมื่อตื่นเต็มตาและคิดว่าอีกคนคงนอนพอแล้ว ก็ได้เวลาปลุกองค์รัชทายาทจอมขี้เกียจทรงงานต่อ ฟังน้ำเสียงทุ้มพูดเรื่องนโยบาย แผนงาน และความคืบหน้าต่างๆ ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจบ้าง ศศิก็อ่านหนังสือที่ที่ทรงหามามากมาย ทั้งศึกษาตำราการแพทย์ของท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่ดำรงตำแหน่งอาจารย์แพทย์หลวงของสิหราชนคราไปเรื่อยๆ จดคำถามที่สงสัยเอาไว้ เผื่อว่าวันใดได้เจอก็อาจจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน


ตกเย็นก็พยายามหลีกเลี่ยงคนขี้งอแงที่มาขออาบน้ำด้วย ไม่สำเร็จบ้าง แต่ก็สำเร็จเป็นส่วนใหญ่ เฝ้ารอให้ทรงสรงน้ำเสร็จ ก็เดินตามไปนั่งดูองค์รัชทายาทเจ้าถิ่นชำระความเอกสารต่างๆที่คั่งค้างเมื่อเห็นเวลาสมควรแล้วก็เดินไปเกาะโต๊ะมองพระพักต์หล่ออย่างออดอ้อน ก่อนจะจูงพระหัตถ์หนาพาไปนอน


แม้ราชกิจจะวุ่นวายแต่พระองค์ก็พยายามจะอยู่กับศศิให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางวันก็ไม่ได้เจอกันเลยเมื่อทรงเสด็จกลับมา วันนั้นคนใจดีก็อาจจะอนุโลมให้อาบน้ำด้วยได้ ใช้ชีวิตแบบนั้นมาจนเป็นเดือนๆ แขกตัวน้อยผู้เป็นดั่งยอดรักก็เริ่มจะกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งไปกับพระตำหนักชลสินทุ์ ดั่งประสงค์ขององค์อคิราห์ผู้เป็นเจ้าของตำหนัก แต่แน่นอนว่าความสัมพันธ์ที่เกินเลยกว่านั้นมันยังไม่เกิดขึ้น และศศิก็ไม่อนุญาตให้มือนวดมายุ่งวุ่นวายกับร่างกายของตนอีก


“จะไม่ให้ข้าแตะต้องหน่อยเลยหรือ”


“ไม่”  ก็แตะทีไร ทรงไม่เคยทำแค่แตะเลย


“แล้วการที่เจ้าอนุญาตให้ข้ามานั่งเพื่อมองดูเจ้าเปลือยเปล่าเช่นนี้ มันไม่มากไปหรือ”  คำต่อว่าอย่างเอาแต่พระทัยทำให้คนอนุญาตให้มาอาบน้ำด้วยหน้าแดง คาดว่าจะโกรธมากกว่าเขินอาย


“งั้นท่านออกไปเลย ข้าไม่ให้ท่านมายุ่งด้วยแล้ว”  ทำอะไรก็ไม่เคยพอใจสักอย่าง งั้นไม่ต้องทำมันสักอย่างเลยละกัน


“ข้าเองก็แค่อยากจะกอดหอมบ้าง เจ้าช่างใจร้าย”  แล้วเขาเล่าไม่ใจร้ายต่อกันเลยหรือ มีสิทธิ์อันใดมาวุ่นวายกับร่างกายของคนอื่นแบบนั้น ตามใจเสียจนเคยตัวหมดแล้ว!


โดยที่ไม่ให้แตะต้อง เมื่อชำระร่างกายเสร็จแล้ว เราก็กลับมาที่ห้องบรรทมทั้งอย่างนั้น เพราะความเหนื่อยล้าตลอดหลายวัน จึงจะทรงเข้าบรรทมเร็วหน่อย องค์รัชทายาทนั้นแม้จะเหนื่อยกับความวุ่นวายในช่วงนี้ แต่ก็ทรงค้นพบว่าการนั่งหวีผมยาวๆของคนรักเป็นการผ่อนคลายประเภทหนึ่ง สำหรับคนที่จับดาบมากกว่าหวีเช่นพระองค์นั้น ก็ไม่คิดเลยว่าจะทรงอ่อนโยนกับใครคนหนึ่งได้ขนาดนี้เหมือนกัน


“เจ้าได้ตัดผมบ้างไหมนี่”


“มีตัดนิดหน่อยแต่ท่านอาจารย์ให้ไว้น่ะ”


“จะว่าไปท่านทิชากรก็ถือว่าเป็นบุรุษที่ผมยาว”


“ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของครอบครัว แต่นอกจากท่านอาแล้วข้าก็ไม่เคยได้เจอผู้อื่นเลย” ทว่าที่พระองค์ได้ยินมานั้นก็เพื่ออีกเหตุผล แต่ไม่ตรัสออกไปเพราะกลัวศศิจะงอนจึงทรงชวนพูดคุยเรื่องอื่นแทน


“มาอยู่ที่สิหราชนครานี้ตั้งแต่จำความได้เลยจริงๆหรือ”


“อื้ม ในสำนักพยาบาลที่ท่านอชิระสร้างไว้ ข้าถูกเลี้ยงในเรือนไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นั้น พอเริ่มโตรู้ความก็เข้ามาศึกษาเรียนรู้ชวนงาน”


“ตั้งแต่โตรู้ความเชียวหรือ”  ทรงแย้มพระสรวลออกมาเล็กน้อย ศศิต้องเป็นลูกศิษย์ที่น่ารักน่าเอ็นดูแน่ๆ


“อื้ม ไม่ใช่แค่ข้าหรอก ท่านอาจารย์ได้ให้ความรู้ความสามารถด้านการแพทย์แก่ผู้ที่สนใจด้วย”


“งั้นหรือ”


“ลูกศิษย์นั้นไม่ได้เยอะมากมายหรอก ท่านคัดคนอย่างเข้มงวด แต่ข้านั้นเป็นเด็กในสังกัดอยู่แล้วต่อให้ไม่อยากไปคัดตัวก็ต้องเป็นหมออยู่ดี”


“แล้วเจ้าเคยไม่อยากเป็นบ้างไหม”


“มีบ้าง แต่พอเห็นสิ่งที่ทำอยู่แล้วรู้ว่ามีประโยชน์ขนาดไหนข้าเลยชอบการเป็นหมอขึ้นมา”


“งั้นหรือ”


“ต่อสู้ก็ไม่เก่งแม้ท่านอชิระจะพยายามสอนแล้ว ในค่ายนั้นถ้าไม่เป็นหมอ ก็เหลือแค่พ่อครัวกับทหาร ข้าเป็นทั้งสองอย่างหลังไม่ได้เลย”  คำอธิบายนี้ช่างน่าเอ็นดู ถ้าเป็นพระองค์ที่อยู่ที่นั่น หน้าที่ที่ยินดีจะมอบให้คืออยู่เป็นหมอนข้างได้อย่างเดียว ไม่ให้เป็นอื่นใดอีกแล้ว


“งานของเจ้านั้นเหนื่อยไหม”


“เหนื่อย แต่เราก็พยายามที่จะสอนให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดีที่สุด การศึกษานั้นสำคัญนะ แต่ที่ชายแดนน่ะ ไม่ค่อยมีโรงเรียนดีๆหรอก คุณครูก็น้อย ดูแลกันไม่หวั่นไม่ไหวจริงๆ”


“…”


“ข้าและท่านอาจารย์เองก็ให้ความรู้คนไข้เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง หากเราสร้างรากฐานที่ดี คนก็จะใช้ชีวิตดี เช่นนี้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆก็จะหมดไป”  ทรงคิดเช่นเดียวกันแต่ไม่เคยตรัสออกมา การกระทำของศศิกับทิชากรนั้นน่าชื่นชมไม่น้อยหน้า คนเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปกครองที่ดีจริงๆ


เดิมทีทรงไม่คิดเลยว่าคนเป็นหมอต้องทำหน้าที่เหล่านั้นด้วย แค่รักษาดูแลและติดตามอาการก็น่าจะเพียงพอแล้ว หากแต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านหมอน้อยพูด ทั้งการสร้างหมอรุ่นใหม่ๆขึ้นมาและการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย คำพูดเหล่านี้หากไม่ออกจากปากหมอมันก็จะไม่ดูน่าเชื่อถือเท่าไหร่และสิ่งเล็กๆที่ท่านหมอและท่านอาจารย์หมอทำในฐานะคนที่ต้องการพัฒนาความเจริญให้ทั่วถึงทุกหนแห่งโดยไม่แม้แต่จะเป็นคนในท้องที่นั้นๆมันทำให้อดไม่ได้ที่จะนับถือทั้งคู่จริงๆ


“ศศิ วันพรุ่งนี้เจ้าพอจะว่างไหม”


“ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว”  นั่นสิ พระองค์ให้อีกฝ่ายอยู่เหมือนแมวเลี้ยงขนาดนี้ ศศิจะไปไหนได้


“เสด็จพ่อจะมาเสวยอาหารที่นี่ เจ้ามากินกับพวกเรานะ”


“เสด็จพ่อ?”  จริงๆการพบเจอผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่เคยเป็นเรื่องใหญ่ของศศิเลย แต่เมื่อคิดให้ถี่ถ้วน การเจอบิดาของคนรักในตอนนี้นั้นไม่เร็วไปหรือ และบิดาของเขานั้นใช่คนธรรมดาที่ไหน…อคิราห์กำลังหมายจะให้ศศิเจอกับองค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราอย่างนั้นหรือ


“ใยทำหน้าเครียดแบบนั้น พ่อข้าไม่ดุหรอกนะ”


“มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”


“แล้วอย่างไหนเล่า”


“ท่านทราบแล้วหรือว่าข้ากับท่านเป็นอะไรกัน”  หรือศศิจะกังวลว่าพระองค์จะไม่ชอบใจที่ลูกชายคบกับหมอบ้านนอกคนหนึ่ง อคิราห์ยิ้มนิดๆก่อนจะลูบหัวทุย  ทรงจับปอยผมที่ปรกหน้ามาทัดหูให้ ก่อนจะกดจูบลงบนปานรูปพระจันทร์ด้วยรักใคร่


เด็กคนนี้ช่างไม่มีความมั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย หลังจากเดินทางมาที่นี่เจ้าตัวก็เอาแต่ปิดซ่อนปานนี้ด้วยกลัวว่าจะทำให้คนอื่นรังเกียจ แต่สุดท้ายก็มั่นใจขึ้นมาเพราะไม่มีใครมองกันด้วยสายตาแบบนั้น แล้ววันนี้เจ้าตัวก็แสดงท่าทางแบบนี้ออกมาอีก แม้จะทรงเห็นใจแต่ก็อยากจะดัดนิสัยหน่อยๆเหมือนกัน


“ท่านทราบว่ามีคนรัก แต่ยังไม่เคยบอกว่าเป็นเจ้า”พระองค์ทรงตรัสให้ฟังเพื่อสบายใจ ก่อนจะเสริมทับความน่าเชื่อถือ “เรื่องการให้การศึกษาของเจ้าน่าสนใจนัก ข้าอยากให้เสด็จพ่อกับท่านอาจารย์หมอมารับฟัง”  พอพูดแบบนี้ศศิก็วางใจและกระตือรือร้นขึ้นมา หลอกง่าย และเชื่อง่ายเหมือนเด็ก แต่อย่างนี้นั้นดีแล้ว


เมื่อได้เห็นรอยยิ้มเต็มแก้ม พระองค์ก็ทรงประทับจุมพิตลงบนปานนั้นอีกครั้ง เจ้ากระต่ายน้อยเบี่ยงหนีนิดๆ แต่ชอบเหลือเกินเมื่อเขาจูบที่ตรงจุดนั้น จุดที่ทำให้ตนสูญเสียความมั่นใจมาตลอด การกระทำเช่นนี้มันช่วยสร้างความมั่นใจให้กันขึ้นมา แม้จะไม่ได้เยอะจนเปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้าได้ แต่ก็ไม่ได้น้อยจนไร้ค่า ศศิกำลังจะเติบโตไปกับรักขององค์ชายอคิราห์คนนี้

☼ ☽


ทว่าเมื่อถึงวันที่ได้เจอ คนที่แสร้งทำเป็นลืมความประหม่าก็กลับมาประหม่าอีกครั้งเมื่อได้พบพระพักต์…


เป็นครั้งแรกที่ศศิโดนความกังวลโจมตีกะทันหันจนต้องถอยไปแอบยืนข้างหลังคนที่ยิ้มรอต้อนรับ ‘องค์เหนือหัวสิหราช’ แห่งสิหราชนครานั้นมีใบหน้าคม แต่ไม่ได้เหมือนกับผู้เป็นลูกชายขนาดนั้น ทว่าใบหน้าคมนั้นดูมีอำนาจแม้จะล่วงเลยมาถึงวัยประมาณหนึ่งแล้วก็ตาม กลิ่นอายของพระองค์และความคิดไปเองของตนทำให้พระองค์ดูน่าเกรงขาม


“ทรงเสด็จมาเร็วกว่าที่กระหม่อมคิดไว้”แม้จะนัดไว้กะทันหันแต่ก็ยังมาเร็วกว่าที่นัดไว้ องค์เหนือหัวทรงมีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่ได้ยินคำเชิญ และนั่นก็คือเจ้ากระต่ายที่เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบพระพักต์คนนี้


“แล้วนั่นเจ้าไปพาลูกใครเขามา” แม้จะรับทราบมาบ้างแต่ก็ยังไม่วายหยอกเอินด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ ศศิได้แปลงร่างเป็นกระต่ายตื่นตูมไปแล้วโดยสมบูรณ์แบบ


“นี่คือท่านหมอที่ลูกได้เคยเล่าให้ฟัง” อคิราห์เอ่ยแนะนำ เจ้าตัวเล็กที่ยืนเยื้องไปข้างหลังนิดๆก็ค่อยๆช้อนตามองก่อนจะเอ่ยทักทายเสียงเบาจนแม้แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดยังยากที่จะได้ยิน แต่ทว่าองค์เหนือหัวทรงไม่ถือสาเอาความใดๆแม้ใบหน้าของพระองค์จะเรียบเฉยยากจะเข้าใจ


เจ้าของตำหนักได้เชิญแขกทั้งสองที่ทรงคุ้นเคยไปยังด้านใน เมื่อต่างคนต่างได้นั่งที่ ศศิก็กลับมานั่งประหม่ากับตนเองอยู่คนเดียวอีกครั้ง ปกติออกจะร่าเริงและเข้ากับคนง่ายแท้ๆ แต่ครานี้กลับรู้สึกกังวลไปหมด แล้วเช่นนี้จะทำให้ผู้ใหญ่ชื่นชอบได้อย่างไร


องค์ชายอคิราห์นั้นเองก็สังเกตเห็นถึงท่าทางแปลกๆของคนรัก สำหรับพระองค์ที่คุ้นเคยกับแขกผู้มาเยือนทั้งสอง มันจึงเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาทั่วไป แต่ท่านหมอน้อยที่เป็นเพียงสามัญชนและยังพ่วงตำแหน่งคนรัก จึงไม่แปลกที่จะมีความกังวล และพระองค์ก็คิดเห็นว่าควรจะทำบางอย่างให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย


“เสด็จพ่อ ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์”  ทรงเริ่มจากการตรัสเรียกผู้มาเยือนทั้งสอง  “อาจจะช้าไปสักหน่อย แต่ท่านหมอตัวเล็กผู้นี้ชื่อศศพินทุ์ หรือจะเรียกว่าศศิก็ได้” ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวศศิอย่างเป็นทางการ


“เป็นชื่อที่เพราะมาก”  องค์เหนือหัวแห่งอาณาจักรเอ่ยตามความรู้สึก เด็กคนนี้ดูนุ่มนิ่มอ่อนโยนเข้ากันได้ดีกับชื่อและความหมาย


“และศศิก็เป็นคนรักของลูกด้วย”  และนี่คือคำแนะนำตัวจาพระองค์เพื่อทำให้ศศิได้ผ่อนคลายจากความประหม่า


“…”


“…”


แต่อย่างนี้ก็ได้หรือ?!


“ฮื้ออออ”  ศศิจะร้องไห้แล้ว ไหนเราคุยกันแล้วไง ไม่สิ…องค์รัชทายาทไม่เคยพูดว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้


ทรงตรัสแค่ว่ายังไม่ได้บอก!!


“ฮึ” หลังจากที่ได้รับฟังจากพระโอรส องค์เหนือหัวก็แย้มพระโอษฐ์ “เจ้าแน่ใจหรืออคิราห์ว่าได้พูดความจริง ท่านหมอไม่ได้ดูจะยอมรับในตัวเจ้าเลย หรือเจ้าไปบังคับขู่เข็ญกันหรือเปล่า”  เพราะศศิไม่พูด มิหนำซ้ำยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจึงทำให้คิดเช่นนั้นได้ คนตัวบางรีบหันไปมองหน้าคนรักที่โดนโต้กลับแบบนั้น


“ข้าบังคับตัวเจ้าจริงๆหรือ ศศิ…”  การที่ทรงบีบให้ตอบ ก็ไม่ต่างกับการบังคับกันหรอก


“พระ…พระอาญาเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อม ขะ…ข้า…”  ท่าทางที่ดูติดขัดของกระต่ายขี้กลัวนั้นทำให้คนขี้แกล้งทั้งสองต่างพากันสงสาร ความอดทนขององค์ชายอคิราห์นั้นดูจะมีต่ำเหลือเกินเมื่อเป็นเรื่องของศศพินทุ์


“ศศิ…ไม่เป็นไรนะ”  ทรงลูบหลังให้กำลังใจคนที่เป็นกังวลจนพูดไม่ออก เจ้าของดวงตาใสนั้นช้อนมองกัน ก่อนจะกลับไปก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม


“ข้าเคยนึก ว่าเสืออย่างลูกชายข้าจะชื่นชอบแม่เสือสาวยั่วสวาท แต่เมื่อได้เจอท่านหมอ ข้ากลับโล่งใจเหลือเกิน”


“….”


“ในฐานะพ่อของอคิราห์ ข้าก็ต้องขอฝากลูกชายให้เจ้าช่วยดูแลต่อไปด้วย”  เมื่อศศิเงยหน้าขึ้นมามอง ก็ได้เห็นกับเจ้าของพระเนตรดุนั้นยิ้มให้ เป็นยิ้มที่เป็นมิตรจนทำให้หัวใจที่แห้งผากรู้สึกชุ่มชื่น ไม่มีอะไรทำร้ายกันเกินไปกว่าความคิดของตัวเองจริงๆ


หลังจากนั้นเราก็พูดคุยถึงเรื่องพิษชาดสีดำที่องค์รัชทายาทผู้โชคร้ายต้องพิษร้ายแรงของมันถึงสองครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าแค่การช่วยเหลือที่ศศิเคยมองว่ามันเล็กๆน้อยๆ แท้จริงแล้วสามารถกอบกู้ปัญหาทางการเมืองที่มีแนวโน้มจะเกิดได้เลย ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่มาด้วยก็สนใจวิธีการทำสมุนไพรต้านพิษไม่น้อย หลังจากการทักทายอันแสนอึดอัดของพวกเรา บทสนทนาดก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นในช่วงหลัง


นอกจากนั้น ศศิยังได้มีโอกาสพูดคุยถึงพื้นที่ที่อยู่ชายแดนหรือพื้นที่ทุรกันดารต่างๆถึงปัญหาการเข้าถึงของการแพทย์และการศึกษา เราร่วมถกกันเรื่องบ้านเมืองจนเกือบลืมเวลา และในที่สุดก็มีความคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


“ข้าชอบคนรักของเจ้าเยี่ยงนัก ลูกชาย”  องค์เหนือหัวทรงกล่าวออกมาด้วยความเอ็นดู แต่ดูเหมือนว่าพระโอรสจะหาได้คิดเช่นนั้นไม่


“ศศิเป็นของกระหม่อม”


“เจ้านี่มันจริงๆเลยนะ”  มาถึงตอนนี้พระองค์ก็จะไม่ส่งมอบคนรักให้ใครง่ายๆแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นบิดาหรอก ไม่รู้หรือว่าศศิหายากขนาดไหน ความลำบากที่พระองค์ได้พบเจอ พิสูจน์แล้วว่าถ้าไม่ไปเยือนประตูทางเข้ายมโลก ก็จะไม่ได้คนรักสุดวิเศษนี่มาไว้ในมือ


ในที่สุดผู้ใหญ่ทั้งสองก็จากไป โชคดีที่การสนทนาในเวลาต่อมาเป็นไปในทางที่ดีเยี่ยมนัก ศศิดูร่าเริงจนลืมโกรธกันเรื่องที่ทรงตรัสออกไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นความลับ แต่จะไม่ให้ไม่อวดนั้นไม่ได้หรอก ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ เป็นต้องเดินควงไปรอบพระราชวังแล้ว


“เบื่ออาหารในตำหนักบ้างหรือไม่”  ทรงเอ่ยถามด้วยพระสุรเสียงที่นุ่มเสียจนยังนึกขันตัวเอง


“ก็ไม่นะ” 


“แปลว่าไม่อยากเดินในตลาดกับข้าแล้วสิ”


“ตลาดหรือ ไปสิ!”  จริงสินะ ตั้งแต่เดินทางมาถึงที่นี่ ศศิก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะต้องอยู่แต่ภายในตำหนักตามที่ทรงขอมา “แต่ว่ามันจะไม่เป็นไรหรือ”


“ก็อาจจะแต่ข้าอยากพาเจ้าไปเที่ยว” มันก็ไม่มีทางเลือกนอกเสียจากระวังตัวเองและอีกคนให้ดีที่สุด แค่เพียงรอยยิ้มดีใจของศศิ


ก็เหมือนจะคุ้มค่าให้ทรงทำทุกอย่างให้แล้ว


☼ ☽


“เจ้าคิดว่าเป็นเด็กคนนั้นใช่หรือไม่”  องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนครา เมื่อแยกจากตำหนักขององค์รัชทายาทมาแล้วก็มิได้เสด็จกลับมาพักผ่อนอย่างที่ได้เอ่ยบอกไว้ ทว่ากลับมานั่งหารือในห้องทรงงานกับแพทย์ประจำพระองค์ที่ไปที่นั่นมาด้วยกัน


“มีความเป็นไปได้สูงพะยะค่ะ ว่าศศพินทุ์จะเป็นเด็กที่ทางนั้นพาตัวหนีมาจากคีรีธารา”


“เหตุผลเล่า”  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อสันนิษฐานนั้นเป็นความจริง ทุกอย่างที่ออกจากปากในยามนี้ไม่ควรเป็นการสุ่มเดา หากศศพินทุ์เป็นคนจากตระกูลนั้น เราจะให้ใครรู้ว่าเด็กคนนี้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ไม่ได้


“กระหม่อมเคยได้ยินมาว่าสูตรตำราการสกัดพิษชาดสีดำนั้นเป็นของทางนั้น การรักษาก็ทำได้อย่างแม่นยำ  รู้ลึกถึงขนาดการสร้างภูมิต้านทานหากได้รับพิษในครั้งต่อๆไป”  จริงๆแล้วชาดสีดำนั้นจะถูกใช้ในกลุ่มของนักฆ่าของคีรีธารา แต่กระนั้นในกลุ่มผู้ใช้เองก็มีน้อยที่จะรักษาพิษได้ หากต้องพิษ ทางที่ดีที่สุดคือเข้าหาผู้เชี่ยวชาญ


และนั่นคือตระกูล‘จันทราปราการ’  ผู้คิดค้นสูตรยาพิษนี้ขึ้นมา


“กรณีขององค์ชายอคิราห์ ทรงได้รับพิษในครั้งที่สองแต่ไม่เป็นอะไรเลย คาดว่าอาจจะได้รับการรักษาและให้ยาต้านจากคนของจันทราปราการ”


“เพียงเหตุผลที่เจ้าพูด มันยังอ่อนเกินไป”


ข้อมูลการหายสาบสูญของคนในตระกูลนี้ขึ้นชื่อว่าลึกลับเหลือเกิน บ้างก็ว่าถูกไล่ล่าฆ่าตายเงียบๆจากคนของคีรีเขตที่พยายามโค่นล้มระบบกษัตริย์ของคีรีธารา บ้างก็ว่าพวกเขาหายเข้าป่าไปเฉยๆ แต่มีหนึ่งทฤษฎีที่น่าครุ่นคิด


คือการหลบหนีมาอาศัยอย่างผิดกฎหมายในสิหราชนครา…


“ที่กระหม่อมได้ยินต่อๆกันมาว่ากันว่าพวกจันทราปราการจะไม่ตั้งชื่อลูกหลานให้มีความหมายเดียวกันหรือใกล้เคียงกับนามสกุล เพราะตนเป็นเพียงสาวกของเทพแห่งดวงจันทร์จึงไม่คู่ควร”


“….”


“ยกเว้นเสียแต่ว่าเด็กคนนั้นจะกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นคนสำคัญหรือเกิดมาในวันสำคัญ”  เมื่อทรงสดับรับฟังมาถึงตรงนี้ พระองค์เองก็ไม่อยากจะงมงายเชื่อคำของโหราจารย์ต่างๆที่เคยกล่าวกันไว้ถึงวันที่เกิดจันทรุปราคาเมื่อ 20 ปีก่อนนี้หรอก แต่พอได้เจอเด็กคนนั้นในตำหนักชลสินทุ์ เรื่องที่ได้ยินมาก็กลับมามีบทบาทความสำคัญในพระทัย อีกทั้งชีวิตของพระองค์ก็มีเรื่องลี้ลับมากมายก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงมองเห็นความสอดคล้องของมัน


“ควรไม่ควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า”  ใช่…เชื่อหรือไม่มันก็อยู่ที่พระองค์เอง เราไม่อาจจะทราบได้ว่าศศิเป็นคนของจันทราปราการ หรือไม่แม้แต่จะทราบได้เลยว่าความสำคัญของเด็กคนนั้นในฐานะจันทราปราการเป็นเช่นไร ไฉนชะตาชีวิตจึงต้องตรากตรำดิ้นรนมาจนถึงแผ่นดินไกลบ้านเกิดเมืองนอนอย่างที่นี่


หรือพระอาทิตย์กับพระจันทร์จะต้องอยู่เคียงกัน?


“อืม…”  ไม่หรอก เรามิอาจจะรับทราบเรื่องราวที่เบื้องบนกำหนดได้ พระอาทิตย์กับพระจันทร์ไม่เคยปรากฎขึ้นมาบนฟ้าพร้อมกัน แล้วไฉนจึงควรคู่จะอยู่ร่วม


“ทรงคิดอะไรอยู่หรือพะยะค่ะ”


“กำลังคิดว่าถ้าหากเป็นที่เจ้าพูดจริง นี่มันคือบุพเพสันนิสวาสหรือกระไร”


“ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้พะยะค่ะ”  ท่านหมอหัวเราะออกมาเบาๆ พระอาทิตย์กับพระจันทร์ อคิราห์กับศศพินทุ์งั้นหรือ


“ถ้าหากเป็นที่เจ้าว่าจริงๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่เด็กคนนั้นอาจจะสร้างโอกาสที่ดีบางอย่างให้ราชวงศ์ของเรา”


“หรือพระองค์จะทรงสนับสนุนให้แต่งตั้งขึ้นมาเป็นสนมในพระโอรส แข่งกับองค์ราชีนีที่กำลังพยายามผลักดันผู้อื่นอยู่”


“นั่นสินะ”  องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนครานึกขัน ไม่เคยเป็นหน้าที่หรือความใส่ใจของพระองค์ที่จะหาเมียให้ลูกชายเท่าแม่ของเขาแต่จนป่านนี้อคิราห์ก็ยังไม่มีใครเป็นเรื่องเป็นราวให้พบเจอ จนกระทั่งที่เจ้าตัวแนะนำให้รู้จักเอง


แต่มันดีแล้วหรือไรที่จะทรงไปแย่งลูกใครหลานใครมาให้อคิราห์ ศศพินทุ์นั้นอาจจะถูกจองไว้ให้กับกษัตริย์หรือคนใหญ่คนโตของบ้านเมืองอื่นแล้วก็เป็นได้แต่ก็น่าแปลกที่อพยพหนีมาโดยไม่ได้รับการคุ้มครองจากทางฝั่งไหน จนอชิระที่เป็นแม่ทัพของสิหราชนคราเข้ามาให้ความช่วยเหลือดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่เด็กคนนี้อาจจะยังไม่ได้เป็นของใคร


เพราะถ้าหากเป็นพระองค์แล้ว ถ้าทรงให้หมั้นหมายกับอคิราห์ตั้งแต่เยาว์วัย ราชวงศ์ก็จะไม่มีวันปล่อยให้คนที่มีดวงชะตาแบบนั้นไปอยู่ที่ไกลสายตา คำทำนายนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้แต่ไม่มีใครยอมเสี่ยงปล่อยคนที่มีดวงสนับสนุนราชวงศ์แบบนั้นไปง่ายๆ


“ฮึ”  ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเจ้าตัวแสบเอาลูกชาวบ้านเขามาตีตราจองนอนกินกันอยู่ในตำหนักเสียแล้ว ต่อจากนี้ต่อให้ใครมาอ้างในตัวเด็กคนนั้นว่าเป็นสิทธิ์ของใครก็คงต้องอ้างในสิทธิ์แห่งความเป็นจริงทางฝั่งเราเข้าสู้


ได้ชื่อว่าเป็นประโยชน์กับสิหราชวงศ์และเป็นความต้องการของพระโอรส
องค์เหนือหัวก็ยอมไปหมด แม้จะต้องกรีฑาทัพไปจัดการให้เด็ดขาดกับใครก็ตาม


คงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องศีลธรรมอะไรอีกความใกล้ชิดแบบนั้นก็พาให้คนคิดไปในทางลึกซึ้งได้ และต่อให้ทรงมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่าดีที่สุดในใจพระโอรสอีก แววตาคู่นั้นบอกพระองค์ดี ว่าคงไม่มีใครเหมาะกับอคิราห์ได้เท่าศศิแล้ว ดังนั้นในฐานะองค์เหนือหัวสูงสุดจึงต้องรีบตักตวงผลประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ให้ได้ ก่อนที่อคิราห์จะพลาดท่าให้กับเล่ห์กลของคนที่หมายมั่นจะแทงข้างหลังหาผลประโยชน์ที่ไหน


ขอโทษนะศศิ…
แต่เรามีความจำเป็นที่จะต้องให้เจ้ามอบครรภ์แก่สิหราชวงศ์เพื่ออคิราห์จริงๆ


TALK
เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้วจิ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน5555
ตอนนี้ไปเปิดเรื่องของน้องวิน พระเอกตัวจริงของเรื่อง #เจนไม่นก ไว้
ลงในเจนไม่นกนั่นแหละค่ะไม่ได้เปิดเป็นเรื่องใหม่ ไปติดตามกันได้นะคะ
น้องโตเป็นหนุ่มแย้วกำลังจะมีแควนคนแรกและคืนพี่เจนให้คุณป๋า (คุณรบจะได้เข้าโหมดแฮปปี้เอ็นดิ้งจริงๆซักที)

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
แสดงว่าคนรุ่นพ่อรู้เรื่องกันทุกเมืองเลยสินะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด