Finding the twilight
14
มื้ออาหารกับคนสำคัญ
☼ ☽
แต่ละวันของศศิก็ไม่แย่นัก ถึงไม่อาจจะเรียกได้ว่ายุ่งวุ่นวาย แต่ก็มีอะไรให้ทำอยู่ตลอด
เริ่มจากตื่นนอน จัดการตัวเองเรียบร้อยก็ไปต้มยา
“เจ้านี่ปรุงยาบำรุงสุขภาพหรือยาเสน่ห์ใส่ข้ากัน” วาจาเอ่ยชมแต่ไม่วายจะชอบกลั่นแกล้งเหมือนเดิม ทว่าพอจิบไปได้นิดหน่อย “รสชาติขมปานน้ำเน่าเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เจ้าก็คงเสน่หาไม่ลงเหมือนกัน” ดวงตาที่หลุบมองไปที่ถ้วยยานั้นไม่ยินดีแต่ก็ไม่ยินร้าย ก็ทรงรู้อยู่ว่าท่านหมอคนงามคำนึงถึงสุขอนามัยของพระองค์เสมอ
“ครั้งนี้ขาใช้ตีนตุ๊กแกตุ๋นลงไปด้วย รสชาติอาจจะแปลกไปเสียบ้าง”
หืม?
“ตีนตุ๊กแกนี่มีสรรพคุณดีมากนะ” เจ้าของตำรับยาเริ่มนำเสนอ ทว่าเจ้าของลิ้นที่ไม่รับรสอันใดแล้วกลับขัดขึ้นมาก่อน
“ศศิ…บอกมาว่าเจ้าล้อเล่น”
“ไม่นะ ท่านถามพี่สาวหน้าห้องได้ นางไปตุ๋นกับข้า” ยามนี้จะสรวลก็ไม่ออก จะกรรแสงก็ไม่ได้ ทรงวางถ้วยยาบนโต๊ะ ก่อนจะก้มลงไปหยิบถังขยะขึ้นมา
“อย่าบ้วนทิ้งเชียวนะ” ใบหน้าของพระองค์ชายนั้นเหมือนจะกรรแสงก็ไม่ปาน “ข้าหมายถึงพืชตีนตุ๊กแก หาใช่ตีนตุ๊กแกจริงๆเสียหน่อย” เมื่อเห็นเขาหน้าซีดถึงปานนี้ ศศิก็แกล้งต่อไม่ไหวแล้ว แต่จะไม่ให้แกล้งเลยก็ทนไม่ไหวเช่นกัน เขาเองก็เก่งเรื่องกลั่นแกล้งกันมาก ตั้งแต่รู้จักกันมานี่ ได้ขาดดุลกันไปเท่าไหร่แล้ว
นี่แล…สาเหตุที่แต่ละวันตนนั้นแสนยุ่ง
แค่นั่งคิดวิธีเอาคืนบางคนก็ใช้เวลาไปทั้งวันแล้วจริงๆ!
นอกจากการมาต้มยาให้ในตอนเช้า ท่านหมอน้อยก็มักจะเข้าไปคุยกับนางกำนัลที่ดูแลเรื่องอาหารการกิน ในตอนแรกพวกนางก็เกรงใจที่จะให้ความสนิทสนม แต่ตอนนี้ก็ยินยอมให้เดินเข้าไปดูวัตถุดิบแต่โดยดี เรื่องการปรุงอาหาร ตนก็ไม่ได้ถนัดนัก แต่ว่าในส่วนของการบอกว่าควรใส่อะไรเพื่อทำมาเป็นอะไร ศศิมีความคิดเห็นมากมายที่พวกนางยินดีจะรับฟังและนำไปปรับใช้ตาม
เรามักพูดคุยกันในเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของเจ้าของตำหนัก เฝ้ามองพวกนางทำอาหารกลางวันด้วยความสนใจ ก่อนจะมาร่วมโต๊ะกับองค์ชายรัชทายาทหลังจบมื้ออาหารก็จะออกไปเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อการย่อยอาหารที่ดี กลับมางีบนิดหน่อยในสภาพที่มีหนังสือเล่มเล็กๆอยู่บนตัว พอตื่นขึ้นมาก็มักจะมีอีกคนมาเนียนๆงีบอยู่ด้วย
เมื่อตื่นเต็มตาและคิดว่าอีกคนคงนอนพอแล้ว ก็ได้เวลาปลุกองค์รัชทายาทจอมขี้เกียจทรงงานต่อ ฟังน้ำเสียงทุ้มพูดเรื่องนโยบาย แผนงาน และความคืบหน้าต่างๆ ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจบ้าง ศศิก็อ่านหนังสือที่ที่ทรงหามามากมาย ทั้งศึกษาตำราการแพทย์ของท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่ดำรงตำแหน่งอาจารย์แพทย์หลวงของสิหราชนคราไปเรื่อยๆ จดคำถามที่สงสัยเอาไว้ เผื่อว่าวันใดได้เจอก็อาจจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ตกเย็นก็พยายามหลีกเลี่ยงคนขี้งอแงที่มาขออาบน้ำด้วย ไม่สำเร็จบ้าง แต่ก็สำเร็จเป็นส่วนใหญ่ เฝ้ารอให้ทรงสรงน้ำเสร็จ ก็เดินตามไปนั่งดูองค์รัชทายาทเจ้าถิ่นชำระความเอกสารต่างๆที่คั่งค้างเมื่อเห็นเวลาสมควรแล้วก็เดินไปเกาะโต๊ะมองพระพักต์หล่ออย่างออดอ้อน ก่อนจะจูงพระหัตถ์หนาพาไปนอน
แม้ราชกิจจะวุ่นวายแต่พระองค์ก็พยายามจะอยู่กับศศิให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางวันก็ไม่ได้เจอกันเลยเมื่อทรงเสด็จกลับมา วันนั้นคนใจดีก็อาจจะอนุโลมให้อาบน้ำด้วยได้ ใช้ชีวิตแบบนั้นมาจนเป็นเดือนๆ แขกตัวน้อยผู้เป็นดั่งยอดรักก็เริ่มจะกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งไปกับพระตำหนักชลสินทุ์ ดั่งประสงค์ขององค์อคิราห์ผู้เป็นเจ้าของตำหนัก แต่แน่นอนว่าความสัมพันธ์ที่เกินเลยกว่านั้นมันยังไม่เกิดขึ้น และศศิก็ไม่อนุญาตให้มือนวดมายุ่งวุ่นวายกับร่างกายของตนอีก
“จะไม่ให้ข้าแตะต้องหน่อยเลยหรือ”
“ไม่” ก็แตะทีไร ทรงไม่เคยทำแค่แตะเลย
“แล้วการที่เจ้าอนุญาตให้ข้ามานั่งเพื่อมองดูเจ้าเปลือยเปล่าเช่นนี้ มันไม่มากไปหรือ” คำต่อว่าอย่างเอาแต่พระทัยทำให้คนอนุญาตให้มาอาบน้ำด้วยหน้าแดง คาดว่าจะโกรธมากกว่าเขินอาย
“งั้นท่านออกไปเลย ข้าไม่ให้ท่านมายุ่งด้วยแล้ว” ทำอะไรก็ไม่เคยพอใจสักอย่าง งั้นไม่ต้องทำมันสักอย่างเลยละกัน
“ข้าเองก็แค่อยากจะกอดหอมบ้าง เจ้าช่างใจร้าย” แล้วเขาเล่าไม่ใจร้ายต่อกันเลยหรือ มีสิทธิ์อันใดมาวุ่นวายกับร่างกายของคนอื่นแบบนั้น ตามใจเสียจนเคยตัวหมดแล้ว!
โดยที่ไม่ให้แตะต้อง เมื่อชำระร่างกายเสร็จแล้ว เราก็กลับมาที่ห้องบรรทมทั้งอย่างนั้น เพราะความเหนื่อยล้าตลอดหลายวัน จึงจะทรงเข้าบรรทมเร็วหน่อย องค์รัชทายาทนั้นแม้จะเหนื่อยกับความวุ่นวายในช่วงนี้ แต่ก็ทรงค้นพบว่าการนั่งหวีผมยาวๆของคนรักเป็นการผ่อนคลายประเภทหนึ่ง สำหรับคนที่จับดาบมากกว่าหวีเช่นพระองค์นั้น ก็ไม่คิดเลยว่าจะทรงอ่อนโยนกับใครคนหนึ่งได้ขนาดนี้เหมือนกัน
“เจ้าได้ตัดผมบ้างไหมนี่”
“มีตัดนิดหน่อยแต่ท่านอาจารย์ให้ไว้น่ะ”
“จะว่าไปท่านทิชากรก็ถือว่าเป็นบุรุษที่ผมยาว”
“ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของครอบครัว แต่นอกจากท่านอาแล้วข้าก็ไม่เคยได้เจอผู้อื่นเลย” ทว่าที่พระองค์ได้ยินมานั้นก็เพื่ออีกเหตุผล แต่ไม่ตรัสออกไปเพราะกลัวศศิจะงอนจึงทรงชวนพูดคุยเรื่องอื่นแทน
“มาอยู่ที่สิหราชนครานี้ตั้งแต่จำความได้เลยจริงๆหรือ”
“อื้ม ในสำนักพยาบาลที่ท่านอชิระสร้างไว้ ข้าถูกเลี้ยงในเรือนไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นั้น พอเริ่มโตรู้ความก็เข้ามาศึกษาเรียนรู้ชวนงาน”
“ตั้งแต่โตรู้ความเชียวหรือ” ทรงแย้มพระสรวลออกมาเล็กน้อย ศศิต้องเป็นลูกศิษย์ที่น่ารักน่าเอ็นดูแน่ๆ
“อื้ม ไม่ใช่แค่ข้าหรอก ท่านอาจารย์ได้ให้ความรู้ความสามารถด้านการแพทย์แก่ผู้ที่สนใจด้วย”
“งั้นหรือ”
“ลูกศิษย์นั้นไม่ได้เยอะมากมายหรอก ท่านคัดคนอย่างเข้มงวด แต่ข้านั้นเป็นเด็กในสังกัดอยู่แล้วต่อให้ไม่อยากไปคัดตัวก็ต้องเป็นหมออยู่ดี”
“แล้วเจ้าเคยไม่อยากเป็นบ้างไหม”
“มีบ้าง แต่พอเห็นสิ่งที่ทำอยู่แล้วรู้ว่ามีประโยชน์ขนาดไหนข้าเลยชอบการเป็นหมอขึ้นมา”
“งั้นหรือ”
“ต่อสู้ก็ไม่เก่งแม้ท่านอชิระจะพยายามสอนแล้ว ในค่ายนั้นถ้าไม่เป็นหมอ ก็เหลือแค่พ่อครัวกับทหาร ข้าเป็นทั้งสองอย่างหลังไม่ได้เลย” คำอธิบายนี้ช่างน่าเอ็นดู ถ้าเป็นพระองค์ที่อยู่ที่นั่น หน้าที่ที่ยินดีจะมอบให้คืออยู่เป็นหมอนข้างได้อย่างเดียว ไม่ให้เป็นอื่นใดอีกแล้ว
“งานของเจ้านั้นเหนื่อยไหม”
“เหนื่อย แต่เราก็พยายามที่จะสอนให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดีที่สุด การศึกษานั้นสำคัญนะ แต่ที่ชายแดนน่ะ ไม่ค่อยมีโรงเรียนดีๆหรอก คุณครูก็น้อย ดูแลกันไม่หวั่นไม่ไหวจริงๆ”
“…”
“ข้าและท่านอาจารย์เองก็ให้ความรู้คนไข้เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง หากเราสร้างรากฐานที่ดี คนก็จะใช้ชีวิตดี เช่นนี้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆก็จะหมดไป” ทรงคิดเช่นเดียวกันแต่ไม่เคยตรัสออกมา การกระทำของศศิกับทิชากรนั้นน่าชื่นชมไม่น้อยหน้า คนเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปกครองที่ดีจริงๆ
เดิมทีทรงไม่คิดเลยว่าคนเป็นหมอต้องทำหน้าที่เหล่านั้นด้วย แค่รักษาดูแลและติดตามอาการก็น่าจะเพียงพอแล้ว หากแต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านหมอน้อยพูด ทั้งการสร้างหมอรุ่นใหม่ๆขึ้นมาและการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย คำพูดเหล่านี้หากไม่ออกจากปากหมอมันก็จะไม่ดูน่าเชื่อถือเท่าไหร่และสิ่งเล็กๆที่ท่านหมอและท่านอาจารย์หมอทำในฐานะคนที่ต้องการพัฒนาความเจริญให้ทั่วถึงทุกหนแห่งโดยไม่แม้แต่จะเป็นคนในท้องที่นั้นๆมันทำให้อดไม่ได้ที่จะนับถือทั้งคู่จริงๆ
“ศศิ วันพรุ่งนี้เจ้าพอจะว่างไหม”
“ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว” นั่นสิ พระองค์ให้อีกฝ่ายอยู่เหมือนแมวเลี้ยงขนาดนี้ ศศิจะไปไหนได้
“เสด็จพ่อจะมาเสวยอาหารที่นี่ เจ้ามากินกับพวกเรานะ”
“เสด็จพ่อ?” จริงๆการพบเจอผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่เคยเป็นเรื่องใหญ่ของศศิเลย แต่เมื่อคิดให้ถี่ถ้วน การเจอบิดาของคนรักในตอนนี้นั้นไม่เร็วไปหรือ และบิดาของเขานั้นใช่คนธรรมดาที่ไหน…อคิราห์กำลังหมายจะให้ศศิเจอกับองค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราอย่างนั้นหรือ
“ใยทำหน้าเครียดแบบนั้น พ่อข้าไม่ดุหรอกนะ”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”
“แล้วอย่างไหนเล่า”
“ท่านทราบแล้วหรือว่าข้ากับท่านเป็นอะไรกัน” หรือศศิจะกังวลว่าพระองค์จะไม่ชอบใจที่ลูกชายคบกับหมอบ้านนอกคนหนึ่ง อคิราห์ยิ้มนิดๆก่อนจะลูบหัวทุย ทรงจับปอยผมที่ปรกหน้ามาทัดหูให้ ก่อนจะกดจูบลงบนปานรูปพระจันทร์ด้วยรักใคร่
เด็กคนนี้ช่างไม่มีความมั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย หลังจากเดินทางมาที่นี่เจ้าตัวก็เอาแต่ปิดซ่อนปานนี้ด้วยกลัวว่าจะทำให้คนอื่นรังเกียจ แต่สุดท้ายก็มั่นใจขึ้นมาเพราะไม่มีใครมองกันด้วยสายตาแบบนั้น แล้ววันนี้เจ้าตัวก็แสดงท่าทางแบบนี้ออกมาอีก แม้จะทรงเห็นใจแต่ก็อยากจะดัดนิสัยหน่อยๆเหมือนกัน
“ท่านทราบว่ามีคนรัก แต่ยังไม่เคยบอกว่าเป็นเจ้า”พระองค์ทรงตรัสให้ฟังเพื่อสบายใจ ก่อนจะเสริมทับความน่าเชื่อถือ “เรื่องการให้การศึกษาของเจ้าน่าสนใจนัก ข้าอยากให้เสด็จพ่อกับท่านอาจารย์หมอมารับฟัง” พอพูดแบบนี้ศศิก็วางใจและกระตือรือร้นขึ้นมา หลอกง่าย และเชื่อง่ายเหมือนเด็ก แต่อย่างนี้นั้นดีแล้ว
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มเต็มแก้ม พระองค์ก็ทรงประทับจุมพิตลงบนปานนั้นอีกครั้ง เจ้ากระต่ายน้อยเบี่ยงหนีนิดๆ แต่ชอบเหลือเกินเมื่อเขาจูบที่ตรงจุดนั้น จุดที่ทำให้ตนสูญเสียความมั่นใจมาตลอด การกระทำเช่นนี้มันช่วยสร้างความมั่นใจให้กันขึ้นมา แม้จะไม่ได้เยอะจนเปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้าได้ แต่ก็ไม่ได้น้อยจนไร้ค่า ศศิกำลังจะเติบโตไปกับรักขององค์ชายอคิราห์คนนี้
☼ ☽
ทว่าเมื่อถึงวันที่ได้เจอ คนที่แสร้งทำเป็นลืมความประหม่าก็กลับมาประหม่าอีกครั้งเมื่อได้พบพระพักต์…
เป็นครั้งแรกที่ศศิโดนความกังวลโจมตีกะทันหันจนต้องถอยไปแอบยืนข้างหลังคนที่ยิ้มรอต้อนรับ ‘องค์เหนือหัวสิหราช’ แห่งสิหราชนครานั้นมีใบหน้าคม แต่ไม่ได้เหมือนกับผู้เป็นลูกชายขนาดนั้น ทว่าใบหน้าคมนั้นดูมีอำนาจแม้จะล่วงเลยมาถึงวัยประมาณหนึ่งแล้วก็ตาม กลิ่นอายของพระองค์และความคิดไปเองของตนทำให้พระองค์ดูน่าเกรงขาม
“ทรงเสด็จมาเร็วกว่าที่กระหม่อมคิดไว้”แม้จะนัดไว้กะทันหันแต่ก็ยังมาเร็วกว่าที่นัดไว้ องค์เหนือหัวทรงมีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่ได้ยินคำเชิญ และนั่นก็คือเจ้ากระต่ายที่เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบพระพักต์คนนี้
“แล้วนั่นเจ้าไปพาลูกใครเขามา” แม้จะรับทราบมาบ้างแต่ก็ยังไม่วายหยอกเอินด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ ศศิได้แปลงร่างเป็นกระต่ายตื่นตูมไปแล้วโดยสมบูรณ์แบบ
“นี่คือท่านหมอที่ลูกได้เคยเล่าให้ฟัง” อคิราห์เอ่ยแนะนำ เจ้าตัวเล็กที่ยืนเยื้องไปข้างหลังนิดๆก็ค่อยๆช้อนตามองก่อนจะเอ่ยทักทายเสียงเบาจนแม้แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดยังยากที่จะได้ยิน แต่ทว่าองค์เหนือหัวทรงไม่ถือสาเอาความใดๆแม้ใบหน้าของพระองค์จะเรียบเฉยยากจะเข้าใจ
เจ้าของตำหนักได้เชิญแขกทั้งสองที่ทรงคุ้นเคยไปยังด้านใน เมื่อต่างคนต่างได้นั่งที่ ศศิก็กลับมานั่งประหม่ากับตนเองอยู่คนเดียวอีกครั้ง ปกติออกจะร่าเริงและเข้ากับคนง่ายแท้ๆ แต่ครานี้กลับรู้สึกกังวลไปหมด แล้วเช่นนี้จะทำให้ผู้ใหญ่ชื่นชอบได้อย่างไร
องค์ชายอคิราห์นั้นเองก็สังเกตเห็นถึงท่าทางแปลกๆของคนรัก สำหรับพระองค์ที่คุ้นเคยกับแขกผู้มาเยือนทั้งสอง มันจึงเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาทั่วไป แต่ท่านหมอน้อยที่เป็นเพียงสามัญชนและยังพ่วงตำแหน่งคนรัก จึงไม่แปลกที่จะมีความกังวล และพระองค์ก็คิดเห็นว่าควรจะทำบางอย่างให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย
“เสด็จพ่อ ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์” ทรงเริ่มจากการตรัสเรียกผู้มาเยือนทั้งสอง “อาจจะช้าไปสักหน่อย แต่ท่านหมอตัวเล็กผู้นี้ชื่อศศพินทุ์ หรือจะเรียกว่าศศิก็ได้” ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวศศิอย่างเป็นทางการ
“เป็นชื่อที่เพราะมาก” องค์เหนือหัวแห่งอาณาจักรเอ่ยตามความรู้สึก เด็กคนนี้ดูนุ่มนิ่มอ่อนโยนเข้ากันได้ดีกับชื่อและความหมาย
“และศศิก็เป็นคนรักของลูกด้วย” และนี่คือคำแนะนำตัวจาพระองค์เพื่อทำให้ศศิได้ผ่อนคลายจากความประหม่า
“…”
“…”
แต่อย่างนี้ก็ได้หรือ?!
“ฮื้ออออ” ศศิจะร้องไห้แล้ว ไหนเราคุยกันแล้วไง ไม่สิ…องค์รัชทายาทไม่เคยพูดว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้
ทรงตรัสแค่ว่ายังไม่ได้บอก!!
“ฮึ” หลังจากที่ได้รับฟังจากพระโอรส องค์เหนือหัวก็แย้มพระโอษฐ์ “เจ้าแน่ใจหรืออคิราห์ว่าได้พูดความจริง ท่านหมอไม่ได้ดูจะยอมรับในตัวเจ้าเลย หรือเจ้าไปบังคับขู่เข็ญกันหรือเปล่า” เพราะศศิไม่พูด มิหนำซ้ำยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจึงทำให้คิดเช่นนั้นได้ คนตัวบางรีบหันไปมองหน้าคนรักที่โดนโต้กลับแบบนั้น
“ข้าบังคับตัวเจ้าจริงๆหรือ ศศิ…” การที่ทรงบีบให้ตอบ ก็ไม่ต่างกับการบังคับกันหรอก
“พระ…พระอาญาเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อม ขะ…ข้า…” ท่าทางที่ดูติดขัดของกระต่ายขี้กลัวนั้นทำให้คนขี้แกล้งทั้งสองต่างพากันสงสาร ความอดทนขององค์ชายอคิราห์นั้นดูจะมีต่ำเหลือเกินเมื่อเป็นเรื่องของศศพินทุ์
“ศศิ…ไม่เป็นไรนะ” ทรงลูบหลังให้กำลังใจคนที่เป็นกังวลจนพูดไม่ออก เจ้าของดวงตาใสนั้นช้อนมองกัน ก่อนจะกลับไปก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม
“ข้าเคยนึก ว่าเสืออย่างลูกชายข้าจะชื่นชอบแม่เสือสาวยั่วสวาท แต่เมื่อได้เจอท่านหมอ ข้ากลับโล่งใจเหลือเกิน”
“….”
“ในฐานะพ่อของอคิราห์ ข้าก็ต้องขอฝากลูกชายให้เจ้าช่วยดูแลต่อไปด้วย” เมื่อศศิเงยหน้าขึ้นมามอง ก็ได้เห็นกับเจ้าของพระเนตรดุนั้นยิ้มให้ เป็นยิ้มที่เป็นมิตรจนทำให้หัวใจที่แห้งผากรู้สึกชุ่มชื่น ไม่มีอะไรทำร้ายกันเกินไปกว่าความคิดของตัวเองจริงๆ
หลังจากนั้นเราก็พูดคุยถึงเรื่องพิษชาดสีดำที่องค์รัชทายาทผู้โชคร้ายต้องพิษร้ายแรงของมันถึงสองครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าแค่การช่วยเหลือที่ศศิเคยมองว่ามันเล็กๆน้อยๆ แท้จริงแล้วสามารถกอบกู้ปัญหาทางการเมืองที่มีแนวโน้มจะเกิดได้เลย ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่มาด้วยก็สนใจวิธีการทำสมุนไพรต้านพิษไม่น้อย หลังจากการทักทายอันแสนอึดอัดของพวกเรา บทสนทนาดก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นในช่วงหลัง
นอกจากนั้น ศศิยังได้มีโอกาสพูดคุยถึงพื้นที่ที่อยู่ชายแดนหรือพื้นที่ทุรกันดารต่างๆถึงปัญหาการเข้าถึงของการแพทย์และการศึกษา เราร่วมถกกันเรื่องบ้านเมืองจนเกือบลืมเวลา และในที่สุดก็มีความคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“ข้าชอบคนรักของเจ้าเยี่ยงนัก ลูกชาย” องค์เหนือหัวทรงกล่าวออกมาด้วยความเอ็นดู แต่ดูเหมือนว่าพระโอรสจะหาได้คิดเช่นนั้นไม่
“ศศิเป็นของกระหม่อม”
“เจ้านี่มันจริงๆเลยนะ” มาถึงตอนนี้พระองค์ก็จะไม่ส่งมอบคนรักให้ใครง่ายๆแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นบิดาหรอก ไม่รู้หรือว่าศศิหายากขนาดไหน ความลำบากที่พระองค์ได้พบเจอ พิสูจน์แล้วว่าถ้าไม่ไปเยือนประตูทางเข้ายมโลก ก็จะไม่ได้คนรักสุดวิเศษนี่มาไว้ในมือ
ในที่สุดผู้ใหญ่ทั้งสองก็จากไป โชคดีที่การสนทนาในเวลาต่อมาเป็นไปในทางที่ดีเยี่ยมนัก ศศิดูร่าเริงจนลืมโกรธกันเรื่องที่ทรงตรัสออกไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นความลับ แต่จะไม่ให้ไม่อวดนั้นไม่ได้หรอก ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ เป็นต้องเดินควงไปรอบพระราชวังแล้ว
“เบื่ออาหารในตำหนักบ้างหรือไม่” ทรงเอ่ยถามด้วยพระสุรเสียงที่นุ่มเสียจนยังนึกขันตัวเอง
“ก็ไม่นะ”
“แปลว่าไม่อยากเดินในตลาดกับข้าแล้วสิ”
“ตลาดหรือ ไปสิ!” จริงสินะ ตั้งแต่เดินทางมาถึงที่นี่ ศศิก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะต้องอยู่แต่ภายในตำหนักตามที่ทรงขอมา “แต่ว่ามันจะไม่เป็นไรหรือ”
“ก็อาจจะแต่ข้าอยากพาเจ้าไปเที่ยว” มันก็ไม่มีทางเลือกนอกเสียจากระวังตัวเองและอีกคนให้ดีที่สุด แค่เพียงรอยยิ้มดีใจของศศิ
ก็เหมือนจะคุ้มค่าให้ทรงทำทุกอย่างให้แล้ว
☼ ☽
“เจ้าคิดว่าเป็นเด็กคนนั้นใช่หรือไม่” องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนครา เมื่อแยกจากตำหนักขององค์รัชทายาทมาแล้วก็มิได้เสด็จกลับมาพักผ่อนอย่างที่ได้เอ่ยบอกไว้ ทว่ากลับมานั่งหารือในห้องทรงงานกับแพทย์ประจำพระองค์ที่ไปที่นั่นมาด้วยกัน
“มีความเป็นไปได้สูงพะยะค่ะ ว่าศศพินทุ์จะเป็นเด็กที่ทางนั้นพาตัวหนีมาจากคีรีธารา”
“เหตุผลเล่า” แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อสันนิษฐานนั้นเป็นความจริง ทุกอย่างที่ออกจากปากในยามนี้ไม่ควรเป็นการสุ่มเดา หากศศพินทุ์เป็นคนจากตระกูลนั้น เราจะให้ใครรู้ว่าเด็กคนนี้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ไม่ได้
“กระหม่อมเคยได้ยินมาว่าสูตรตำราการสกัดพิษชาดสีดำนั้นเป็นของทางนั้น การรักษาก็ทำได้อย่างแม่นยำ รู้ลึกถึงขนาดการสร้างภูมิต้านทานหากได้รับพิษในครั้งต่อๆไป” จริงๆแล้วชาดสีดำนั้นจะถูกใช้ในกลุ่มของนักฆ่าของคีรีธารา แต่กระนั้นในกลุ่มผู้ใช้เองก็มีน้อยที่จะรักษาพิษได้ หากต้องพิษ ทางที่ดีที่สุดคือเข้าหาผู้เชี่ยวชาญ
และนั่นคือตระกูล‘จันทราปราการ’ ผู้คิดค้นสูตรยาพิษนี้ขึ้นมา
“กรณีขององค์ชายอคิราห์ ทรงได้รับพิษในครั้งที่สองแต่ไม่เป็นอะไรเลย คาดว่าอาจจะได้รับการรักษาและให้ยาต้านจากคนของจันทราปราการ”
“เพียงเหตุผลที่เจ้าพูด มันยังอ่อนเกินไป”
ข้อมูลการหายสาบสูญของคนในตระกูลนี้ขึ้นชื่อว่าลึกลับเหลือเกิน บ้างก็ว่าถูกไล่ล่าฆ่าตายเงียบๆจากคนของคีรีเขตที่พยายามโค่นล้มระบบกษัตริย์ของคีรีธารา บ้างก็ว่าพวกเขาหายเข้าป่าไปเฉยๆ แต่มีหนึ่งทฤษฎีที่น่าครุ่นคิด
คือการหลบหนีมาอาศัยอย่างผิดกฎหมายในสิหราชนครา…
“ที่กระหม่อมได้ยินต่อๆกันมาว่ากันว่าพวกจันทราปราการจะไม่ตั้งชื่อลูกหลานให้มีความหมายเดียวกันหรือใกล้เคียงกับนามสกุล เพราะตนเป็นเพียงสาวกของเทพแห่งดวงจันทร์จึงไม่คู่ควร”
“….”
“ยกเว้นเสียแต่ว่าเด็กคนนั้นจะกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นคนสำคัญหรือเกิดมาในวันสำคัญ” เมื่อทรงสดับรับฟังมาถึงตรงนี้ พระองค์เองก็ไม่อยากจะงมงายเชื่อคำของโหราจารย์ต่างๆที่เคยกล่าวกันไว้ถึงวันที่เกิดจันทรุปราคาเมื่อ 20 ปีก่อนนี้หรอก แต่พอได้เจอเด็กคนนั้นในตำหนักชลสินทุ์ เรื่องที่ได้ยินมาก็กลับมามีบทบาทความสำคัญในพระทัย อีกทั้งชีวิตของพระองค์ก็มีเรื่องลี้ลับมากมายก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงมองเห็นความสอดคล้องของมัน
“ควรไม่ควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า” ใช่…เชื่อหรือไม่มันก็อยู่ที่พระองค์เอง เราไม่อาจจะทราบได้ว่าศศิเป็นคนของจันทราปราการ หรือไม่แม้แต่จะทราบได้เลยว่าความสำคัญของเด็กคนนั้นในฐานะจันทราปราการเป็นเช่นไร ไฉนชะตาชีวิตจึงต้องตรากตรำดิ้นรนมาจนถึงแผ่นดินไกลบ้านเกิดเมืองนอนอย่างที่นี่
หรือพระอาทิตย์กับพระจันทร์จะต้องอยู่เคียงกัน?
“อืม…” ไม่หรอก เรามิอาจจะรับทราบเรื่องราวที่เบื้องบนกำหนดได้ พระอาทิตย์กับพระจันทร์ไม่เคยปรากฎขึ้นมาบนฟ้าพร้อมกัน แล้วไฉนจึงควรคู่จะอยู่ร่วม
“ทรงคิดอะไรอยู่หรือพะยะค่ะ”
“กำลังคิดว่าถ้าหากเป็นที่เจ้าพูดจริง นี่มันคือบุพเพสันนิสวาสหรือกระไร”
“ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้พะยะค่ะ” ท่านหมอหัวเราะออกมาเบาๆ พระอาทิตย์กับพระจันทร์ อคิราห์กับศศพินทุ์งั้นหรือ
“ถ้าหากเป็นที่เจ้าว่าจริงๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่เด็กคนนั้นอาจจะสร้างโอกาสที่ดีบางอย่างให้ราชวงศ์ของเรา”
“หรือพระองค์จะทรงสนับสนุนให้แต่งตั้งขึ้นมาเป็นสนมในพระโอรส แข่งกับองค์ราชีนีที่กำลังพยายามผลักดันผู้อื่นอยู่”
“นั่นสินะ” องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนครานึกขัน ไม่เคยเป็นหน้าที่หรือความใส่ใจของพระองค์ที่จะหาเมียให้ลูกชายเท่าแม่ของเขาแต่จนป่านนี้อคิราห์ก็ยังไม่มีใครเป็นเรื่องเป็นราวให้พบเจอ จนกระทั่งที่เจ้าตัวแนะนำให้รู้จักเอง
แต่มันดีแล้วหรือไรที่จะทรงไปแย่งลูกใครหลานใครมาให้อคิราห์ ศศพินทุ์นั้นอาจจะถูกจองไว้ให้กับกษัตริย์หรือคนใหญ่คนโตของบ้านเมืองอื่นแล้วก็เป็นได้แต่ก็น่าแปลกที่อพยพหนีมาโดยไม่ได้รับการคุ้มครองจากทางฝั่งไหน จนอชิระที่เป็นแม่ทัพของสิหราชนคราเข้ามาให้ความช่วยเหลือดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่เด็กคนนี้อาจจะยังไม่ได้เป็นของใคร
เพราะถ้าหากเป็นพระองค์แล้ว ถ้าทรงให้หมั้นหมายกับอคิราห์ตั้งแต่เยาว์วัย ราชวงศ์ก็จะไม่มีวันปล่อยให้คนที่มีดวงชะตาแบบนั้นไปอยู่ที่ไกลสายตา คำทำนายนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้แต่ไม่มีใครยอมเสี่ยงปล่อยคนที่มีดวงสนับสนุนราชวงศ์แบบนั้นไปง่ายๆ
“ฮึ” ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเจ้าตัวแสบเอาลูกชาวบ้านเขามาตีตราจองนอนกินกันอยู่ในตำหนักเสียแล้ว ต่อจากนี้ต่อให้ใครมาอ้างในตัวเด็กคนนั้นว่าเป็นสิทธิ์ของใครก็คงต้องอ้างในสิทธิ์แห่งความเป็นจริงทางฝั่งเราเข้าสู้
ได้ชื่อว่าเป็นประโยชน์กับสิหราชวงศ์และเป็นความต้องการของพระโอรส
องค์เหนือหัวก็ยอมไปหมด แม้จะต้องกรีฑาทัพไปจัดการให้เด็ดขาดกับใครก็ตาม
คงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องศีลธรรมอะไรอีกความใกล้ชิดแบบนั้นก็พาให้คนคิดไปในทางลึกซึ้งได้ และต่อให้ทรงมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่าดีที่สุดในใจพระโอรสอีก แววตาคู่นั้นบอกพระองค์ดี ว่าคงไม่มีใครเหมาะกับอคิราห์ได้เท่าศศิแล้ว ดังนั้นในฐานะองค์เหนือหัวสูงสุดจึงต้องรีบตักตวงผลประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ให้ได้ ก่อนที่อคิราห์จะพลาดท่าให้กับเล่ห์กลของคนที่หมายมั่นจะแทงข้างหลังหาผลประโยชน์ที่ไหน
ขอโทษนะศศิ…
แต่เรามีความจำเป็นที่จะต้องให้เจ้ามอบครรภ์แก่สิหราชวงศ์เพื่ออคิราห์จริงๆ
TALK
เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้วจิ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน5555
ตอนนี้ไปเปิดเรื่องของน้องวิน พระเอกตัวจริงของเรื่อง #เจนไม่นก ไว้
ลงในเจนไม่นกนั่นแหละค่ะไม่ได้เปิดเป็นเรื่องใหม่ ไปติดตามกันได้นะคะ
น้องโตเป็นหนุ่มแย้วกำลังจะมีแควนคนแรกและคืนพี่เจนให้คุณป๋า (คุณรบจะได้เข้าโหมดแฮปปี้เอ็นดิ้งจริงๆซักที)