บทที่ 13 ปราชญ์หัวขโมยกับคนป่วยตัวนิ่ม
คอยแล้วคอยเล่าคนที่รอก็ไม่โผล่มาง่าย ๆ ปราชญ์หยิบเอามือถือขึ้นมา กดเบอร์ที่เขาท่องจำได้ขึ้นใจ
‘ฮัลโหล’ ปลายสายเสียงแหบแห้งเบาหวิว
“ตฤนอยู่ไหน เป็นอะไร น้ำเสียงไม่ดีเลย”
‘ไม่สบาย’
เสียงแหบ ๆ ที่ตอบกลับมา ทำให้ปราชญ์ยิ่งเป็นห่วง
“ตอนนี้อยู่ไหน”
‘บ้าน’
เพราะตฤนกลับไปตั้งนานแล้ว เขาถึงมารอรับแล้วไม่เจอ
“เดี๋ยวไปหา” เขาพูดก่อนจะตัดสายไป
ปราชญ์มาถึงหน้าบ้านตฤนอย่างรวดเร็ว การขับรถของเขาเมื่อกี้ น่าจะโดนผู้ร่วมใช้ถนนด่าแล้วด่าอีก ปราชญ์คิดขณะจอดรถหน้าบ้านตฤน บ้านค่อนข้างมืดจนเหมือนไม่มีคนอยู่
“ตฤน” ปราชญ์ตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน “ตฤน!”
“โฮ่ง” ตฤนไม่ตอบ ตฤนไม่เดินมา มีแค่กี้ที่เห่าอยู่ที่ประตู
“ตฤน!!!” ปราชญ์ตะโกนเสียงดังขึ้น แต่ก็เจอแต่เสียงเห่าของกี้ ไม่มีวี่แววของคนที่เขาอยากเจอ
ปราชญ์ไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งอีกฝ่ายเงียบแบบนี้ เขาก็ยิ่งร้อนใจ
“แม่งเอ๊ย จะโดนจับมั้ยวะ” ปราชญ์สบถกับตัวเองก่อนจะถอดรองเท้า โยนข้ามรั้วไป มองหาที่เหยียบที่จับที่มั่นคง ก่อนจะเริ่มปีนข้ามรั้ว
“โฮ่งงง โฮ่ง!!!” เสียงกี้เห่ากรรโชกเสียงดัง คงเพราะคิดว่าเขาเป็นขโมย
ปราชญ์ รีบปีน เพราะกลัวว่าใครจะมาเห็นแล้วเข้าใจผิด เขามองเล็งพื้น ก่อนจะโดดลงมาอย่างสวยงาม
“ชู่ว กี้ ปราชญ์เองกี้”
“โฮ่ง หงิง “ เหมือนกี้จะจำเสียงเขาได้ เปลี่ยนโทนเสียงจากเห่ากรรโชกเมื่อกี้ เป็นเสียงเห่าเรียกเบา ๆ พร้อมกับครางอ้อน
ปราชญ์เดินไปที่ประตูมุ้งลวด แต่ก็พบว่ามันล็อค ตฤนไม่สะเพร่าลืมล็อคประตู เขาเลยลำบาก
“ตฤน!!!! “ ปราชญ์ตะโกนอีกครั้ง “ตฤนว้อยย!!! อยู่ไหนวะ!!!” ปราชญ์ส่งเสียงดังโหวกเหวก ไม่รู้ว่าเสียงเขาดังไปถึงหน้าปากซอยบ้านหรือยัง แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับกลับมาเลยแม้แต่น้อย
เขาเอาหน้าแนบประตู มองเห็นขาใครบางคนโผล่พ้นเก้าอี้โซฟาออกมา น่าจะเป็นตฤน
“กี้!!! ตฤน!!! ไปปลุกตฤน!!!” กี้เหมือนกับฟังออก ไม่รู้ว่าเพราะได้ยินชื่อตฤน ถึงได้วิ่งไปหา หรือว่าฟังเขาพูดรู้เรื่อง ... มันวิ่งไปกระโดดใส่ตฤนบนโซฟา
“หงิง หงิงงงงง”
ปราชญ์แนบหน้ามอง ด้วยใจลุ้นระทึก ขาข้างนั้นขยับ ...มันได้ผล ตฤนลุกขึ้นนั่ง ปราชญ์เพ่งมองและเห็นว่าตฤนใส่หูฟังอยู่ คงเพราะใส่หูฟังแล้วหลับถึงไม่ได้ยินอะไร ไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกของเขา
ตฤนรู้สึกหนัก ๆ หัว ขณะมองไปรอบ ๆ เขานอนกลิ้งเกลือกฟังเพลง แล้วก็เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ เขาเห็นเงาเคลื่อนไหวอยู่ตรงประตู ก็เลยหันไปหยิบแก้วน้ำ? มาเป็นอาวุธ อย่างน้อยทำให้แก้วแตกมันก็คมแหละ
“ใคร” น้ำเสียงแหบแห้งเบาหวิวจนตัวเองยังตกใจ
“โฮ่ง” ตฤนหันไปมองกี้เที่เห่าเบา ๆ แต่กระดิกหางดีใจ
“ปราชญ์เอง เปิดประตูหน่อย”
ตฤนเดินโงนเงนไปเปิดไฟ เขาเห็นคนที่หน้าประตูเต็มสองตา ปราชญ์จริง ๆ เขารีบเปิดประตูให้ปราชญ์ที่มาหาเขาด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ให้เข้ามาในบ้าน
“มาไง”
“ปีนบ้านเมิงเข้ามาอ่ะดิ”
ปราชญ์มองสำรวจคนตรงหน้า น้ำเสียงแหบแห้ง ใบหน้าแดงก่ำ กับท่าทางอ่อนแรง แถมยังเดินเซไป เซมา
“ไหวมั้ย” ปราชญ์ถามด้วยความเป็นห่วง เขาขยับตัวเข้าไปใกล้ กลัวว่าคนตัวเล็กกว่าจะล้ม จึงคว้าแขนอีกฝ่ายเอาไว้ พอแตะโดนตัวก็พบว่าคนตรงหน้าไข้สูงตัวร้อนจี๋
“มึน ๆ ว่ะ”
ตฤนเดินโงนเงนเอียงไปเอียงมา ปราชญ์เห็นแบบนั้น ก็เลยตัดสินใจรวบเอวชายหนุ่มเข้ามา
“ทำ..อะไร” ตฤนไม่มีแรงขัดขืนเพราะพิษไข้ ได้แต่พูดถามเสียงเบา ถ้าเป็นทุกทีเขาคงดิ้นไม่หยุด แต่ไม่ใช่วันนี้ เขาไม่มีแรงเหลือเลย เขาเลยยอมให้ปราชญ์จับประคองเขาเอาไว้เหมือนกับเด็ก ๆ
“เดินไม่ไหวหรอก” ปราชญ์พูดพลางยกคนตัวเล็กกว่าขึ้นพาดบ่า คนป่วยจำใจยอมไม่ดิ้น ไม่ขัดขืน ยอมให้แบกขึ้นไปส่งที่ห้องนอนแต่โดยดี ปราชญ์ค่อย ๆ วางคนตัวเล็กลงบนที่นอน ใบหน้าแดงก่ำดูทรมาน
เขาเดินลงไปชั้นล่างเพื่อหายาลดไข้ ผ้าขนหนูกับกาละมัง เพื่อมาเช็ดตัวให้คนป่วย เขาหยิบเสื้อยืดตัวอุ่น กับกางเกงขาสั้นมาให้ด้วย
ปราชญ์เช็ดหน้าเช็ดตาให้ตฤน และตามจุดต่าง ๆ เพื่อระบายความร้อน เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทำงานของตฤนออก
ตฤนสะดุ้งกับนิ้วเรียวยาวนั้น ที่พยายามถอดกระดุมเสื้อเขา ก่อนถามเสียงอ่อย “จะถอดทำไม”
“ใส่เชิ้ตจะไปนอนสบายได้ยังไง”
ร่างเปลือยท่อนบนปรากฏตรงหน้า ทำเอาปราชญ์นิ่งชะงัก บรรยากาศมันล่อแหลมทั้งความใกล้ สถานที่ คนป่วยที่ไม่มีแรงขัดขืนแถมยังเปลือยเปล่า กับจิตใจที่พุ่งพล่านของเขา...
ตฤนเฝ้ามองคนตรงหน้าพยายามเช็ดตัวให้แบบเก้ ๆ กัง ๆ เพราะพิษไข้หรือเปล่าไม่รู้ หัวใจเขาถึงได้เต้นแรงขนาดนี้ และเขากลับรู้สึกดี...
ปราชญ์เช็ดตัวให้คนป่วยพยายามสะกดจิตตัวเองให้นิ่ง ไม่คิดสัมผัสผิวขาวเนียนนุ่มนิ่มตรงหน้ามากไปกว่าเช็คตัว เสร็จแล้วจึงซับตัวคนป่วยให้แห้งสนิทด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ แล้วส่งเสื้อยืดให้ใส่
“แล้วกางเกงสเลคนี่ล่ะ” ปราชญ์เอ่ยถาม เชิงขออนุญาต แต่ถ้าให้เขาทำ ก็ไม่รู้ว่าจะสติเตลิดหรือเปล่า
“ปะ เปลี่ยน เอง” ตฤนพยายามขยับยืนขึ้น
ปราชญ์หันหลังให้กับคนป่วย คนป่วยก็หันหลังให้เขา แต่ที่คนป่วยไม่รู้คือ เงากระจกในห้องของเจ้าตัวมันสะท้อน และปราชญ์ไม่พลาดที่จะมอง เขาบอกกับตัวเองว่า ‘มองเพราะว่ากลัวตฤนจะล้ม’ ปราชญ์เฝ้ามองตฤนที่ถอดกางเกงสเลคออกเหลือเพียงกางเกงในสีดำที่ตัดกับผิวขาวเนียนละเอียด ปราชญ์ลอบกลืนน้ำลาย ในใจเขามันเต้นไม่เป็นส่ำ
ตฤนยกขาขึ้นใส่กางเกง นั่นทำให้เขาเสียสมดุล เขาเอียงเซเหมือนจะล้ม ปราชญ์ที่มองอยู่ตลอดรีบถลาเข้าไปจับเอาไว้ เขาจับตรึงไหล่ทั้งสองข้างของตฤนเอาไว้
“รีบ ๆ ใส่สิ” ปราชญ์พูดขณะเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ถ้าเขาก้มมองลงใบหน้าแดงก่ำ และช่วงล่างขาวเนียน สงสัยเขาคงจะทนต่อไปไม่ไหว และข้ามเส้นคำว่าเพื่อนไปเป็นอย่างอื่นแน่ ๆ
ตฤนรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้ามากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เมื่ออีกฝ่ายอยู่ใกล้ขนาดนี้ แล้วเขาอยู่ในสภาพหน้าอายแบบนี้
“ย่อ ตัวหน่อย จะหยิบกางเกง” ตฤนพูดเสียงเบาหวิว เขาใส่กางเกงเสร็จอย่างทะลักทุเล “เสร็จแล้ว”
ปราชญ์ประคองตฤนกลับไปส่งที่เตียง พร้อมกับหยิบยาและน้ำส่งให้ เขานั่งบนที่นอนดูคนป่วยกินยาเรียบร้อย ก็หยิบแก้วไปวางให้ พร้อมกับถามต่อ
“แม่มึงไปไหน”
“ไปทำบุญกับเพื่อน” ตฤนตอบเสียงอ่อย
“งั้น กูจะนอนนี่ เฝ้ามึง” ปราชญ์ตัดสินใจเองตามอำเภอใจ
“เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวดีขึ้นแล้ว”
ปราชญ์นอนลง ข้าง ๆ คนป่วย นอนตะแคงข้างใช้มือเท้าศีรษะมองคนป่วยที่ใบหน้าแดงก่ำ พร้อมพูดประโยคที่ดูน่ารักมุ๊งมิ๊งออกมา “อย่าดื้อดิ กุเป็นห่วง”
คนป่วยมองพยาบาลจำเป็นตาแป๋ว ใบหน้าซื่อบื้อ ตาใส มองปราชญ์จนเขาเริ่มหนาว ๆ ร้อน ๆ ‘เอ๊ะ กุพูดอะไรผิดหรือเปล่าวะ’ ปราชญ์คิดในใจพลางเสมองไปทางอื่น “เมิงก็นอนไปสิ”
ตฤนได้ยินแบบนั้นก็เลยเลิกจ้องมองปราชญ์ เขาสงสัยอะไรบางอย่าง แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะคิด เขาดึงผ้าห่มขึ้นจนถึงคอ ก่อนจะหลับตาพริ้ม พิษไข้กับฤทธิ์ยาทำให้เขาหลับไปอย่างรวดเร็ว
ปราชญ์นอนมองคนป่วย เขาจ้องมองเนิ่นนานด้วยความเพลิดเพลิน ‘แค่นี้เมิงก็มีความสุขหรอวะปราชญ์’ เขาบ่นด่าตัวเองในใจ มือของเขาขยับไปแตะที่ข้างแก้ม ยังร้อนอยู่ ก่อนที่ตัวเขาจะขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น พลางโน้มหน้าไปที่ข้างแก้มเนียน จรดริมฝีปากสัมผัสแทนนิ้วมือ เขาขยับออก สายตาจ้องมองไปที่ริมฝีปากอ่อนนุ่ม แต่ต้องหยุดตัวเองเอาไว้... ก่อนจะไปไกลกว่านี้
“หายไวไวนะ”
เขานอนข้าง ๆ ตฤน พยาบาลจำเป็นอย่างเขาจะต้องคอยดูแลคนป่วย…
ปราชญ์สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เขากระพริบตาในความมืด มีแสงเล็ก ๆ ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา เขาอาศัยแสงนั้นช่วยให้มองเห็น เขาขยับฝ่ามือไปแตะที่หน้าผากคนป่วย ไม่ร้อนเหมือนเดิมไข้น่าจะลงแล้ว เขาลูบศีรษะตฤนไปมาเส้นผมอ่อนนุ่มทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม พรุ่งนี้ก็คงหายดี พอคิดได้แบบนั้นเขาก็นอนหลับต่ออย่างสบายใจ
ตฤนตื่นขึ้นมาในตอนด้วยความสดชื่น อาการไข้เมื่อวานเหมือนเป็นแค่ฝัน...ที่เขาไม่รู้จะบอกว่ามันคือฝันร้ายหรือฝันดี... เขานึกถึงพยาบาลจำเป็นเมื่อคืน ที่ตอนนี้ไม่มีวี่แวว หรือว่าเขาจะฝันจริง ๆ ฝันว่ามีมือเย็น ๆ มาแตะที่หน้าผากเขาเมื่อตอนกลางดึก
‘แล้วนี่กุยิ้มทำไมวะ’ ตฤนได้แต่เอ็ดตัวเองในใจ
ประตูเปิดออก พร้อมกับปราชญ์ที่ยกถ้วยโจ้กเดินเข้ามา โจ้กร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล
“สีหน้าดูดีขึ้นเยอะ” ปราชญ์ทักเมื่อเห็นคนป่วยนั่งอยู่บนที่นอน ใบหน้าไม่แดงก่ำเหมือนเคย สภาพดีไม่อิดโรยไร้เรี่ยวแรงแบบเมื่อวาน
“หายแล้ว” ตฤนมองปราชญ์ที่ยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม
“เก่งมากกกก เอ้ากินน้ำ” ปราชญ์พูดชมด้วยน้ำเสียงไม่เป็นธรรมชาติ น้ำเสียงโอเว่อออกไปทางประชดประชัน พร้อมกับส่งแก้วน้ำให้คนป่วยจิบ ต่อด้วยถ้วยโจ๊ก เขายื่นส่งให้คนป่วย แต่พอคนป่วยจะรับเขาก็ดึงกลับ
“ป้อนมั้ย” เขาถามเบา ๆ
“ไม่ต้อง” คนป่วยปฏิเสธทันควัน “ไปอาบน้ำไป หา ๆ เสื้อกับกางเกงในตู้เอานู้น ผ้าเช็ดตัวผืนใหม่อยู่ในลิ้นชักที่สอง” ตฤนชี้ไล่ให้อีกฝ่ายไปอาบน้ำ จะได้ไม่ต้องมาจ้องเขากินข้าว
ปราชญ์ลุกขึ้นไปอย่างว่าง่าย เขาก็เหนียวตัวมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหมือนกัน ได้อาบน้ำหน่อยก็ดี ปราชญ์คิดพลางเดินไปหยิบผ้าขนหนูก่อนจะเดินออกจากห้องไปอาบน้ำ
ตฤนนั่งกินโจ้ก พอกินก็รู้ว่าน่าจะเป็นร้านป้าที่หน้าปากซอยแกขายหมดเร็วมาก ปราชญ์ตื่นแต่เช้าไปซื้อให้เขาเลยแฮะ “มันใจดีจังวะ...”
ปราชญ์อาบน้ำเสร็จแล้วเดินกลับมาที่ห้องด้วยการนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว หยดน้ำยังเกาะพราวอยู่ตามตัว ผนวกกับหุ่นที่มีกล้ามเนื้อพอเหมาะพอเจาะ …
“ไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยวะ” ตฤนเอ่ยทักเมื่อปราชญ์มาเดินแก้ผ้าโทงเทงอยู่ในบ้าน
“อยากอวดหุ่น” ปราชญ์ตอบกลับมาหน้าตาเฉย ก่อนจะหันมาให้ตฤนเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องอย่างชัดเจน เขายืนเช็ดผมโชว์หุ่นแบบไม่สนใจอะไร
“ใครจะอยากดู” ตฤนหันหน้าหนี แต่ก็ยอมรับว่าหุ่นของปราชญ์นั้นไม่ธรรมดาเลย
“ฮ่า ๆ ๆ” ปราชญ์หัวเราะให้กับท่าทางของตฤน “ลองจับดูหน่อยมั้ยครับ” ปราชญ์ได้ทีพูดแหย่คนป่วย
“มีเหมือนกันว้อย” ตฤนโวยวาย เขาก็เจียมตัวอยู่ในใจ มีบ้าอะไรกล้ามเนื้อเขานุ่มนิ่มเหลวเละขนาดนี้
“ไหนดูหน่อย” ปราชญ์ยังคงแหย่อีกฝ่ายไม่เลิก
“ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยดิ” ตฤนพูดพลางหันมาหาปราชญ์ แต่กลับเจอกล้ามหน้าท้อง อยู่ประชิดหน้า “ไอ้ปราชญ์!” ตฤนโวยวาย เมื่อกล้ามเนื้อนั่นมันจะอัดหน้าเขาอยู่แล้ว
“ฮ่า เออ ๆ ไม่แกล้งแล้ว” ปราชญ์ที่มีความสุขกับการเหย้าแหย่ตฤน เดินผละไปเลือกเสื้อผ้า เขาหยิบเอาเสื้อยืดสีน้ำเงินที่ดูจะตัวใหญ่หน่อยออกมาใส่ กับกางเกงบอลขาสั้นสีดำ
“วันนี้ไม่ไปไหนหรอไง” ตฤนทักขึ้น ตัวเขาเนี้ยหยุดเพราะว่าป่วย แต่ปราชญ์เนี้ย ทำไมมันว่างจัง
“ไม่ไปอ่ะ เออตฤนมีกุญแจสำรองมั้ย กุขอหน่อยดิ”
“จะเอาไปทำอะไรวะ จะแอบมาขโมยของหรอ” ตฤนถามเสียงซื่อ แม้ใจจะไม่ได้คิดแบบนั้น บ้านปราชญ์มีตัง ไม่มาขโมยของบ้านคนอย่างเขาหรอก
“กุไม่อยากต้องปีนรั้วแบบเมื่อวานอีกว่ะ” ปราชญ์บอกเสียงเรียบ อยู่ดี ๆ น้ำเสียงก็เครียดขึ้นมา
“ไม่ได้ป่วยบ่อย ๆ น่า”
“เอามา” ปราชญ์บอกเสียงเรียบ อยู่ดี ๆ น้ำเสียงก็เครียดขึ้นมา
“โจร”
ปราชญ์ลุกไปหยิบของในกระเป๋ากางเกงออกมา เป็นกุญแจสำรองของเขา เขายื่นส่งกุญแจสำรองดอกเล็ก ๆ ให้ตฤน “อ่ะ หลักประกัน กุขโมยของบ้านเมิง เมิงก็มาขโมยของบ้านกุ”
“คนบ้าอะไรพกกุญแจสำรอง” ตฤนรับกุญแจมาถือเอาไว้
“เอ้าก็ต้องพกไว้ดิ ติดตัวอันนึง ติดกระเป๋าอันนึง กันหาย”
“กุญแจสำรองกุไม่มีอ่ะ เมิงไปหยิบพวงกุญแจข้างล่างมาให้กุดิ”
ปราชญ์ลุกขึ้นเดินลงไปข้างล่าง กี้ดีใจที่เห็นเขาลงมา
“หงิง” กี้ร้องครางพลางเดินเข้ามาอ้อนเขา
“หิวแล้วล่ะสิ” ปราชญ์เทอาหารเม็ดชามข้าวของกี้ กี้ถึงได้ผละจากขาของเขาไปกินอาหารเม็ดแทน
พวงกุญแจที่มีลูกกุญแจอยู่ 5 ดอก กับที่ห้อยรูปหมา เขาหยิบแล้วก็เดินขึ้นไปข้างบน
ตฤนรับพวงกุญแจมาถือไว้ ก่อนจะแงะเอากุญแจดอกนึงมาส่งให้ปราชญ์ “เมิงเอาไปปั้มดิ”
“ปั้มไหนดีวะ ปั้มเสือหรือปั้มหอยดี” ปราชญ์เล่นมุกหน้านิ่ง จนตฤนได้แต่ส่ายหัวเอือม
“ไม่ต้องเอาล่ะ” ตฤนแบมือขอกุญแจคืน
“เรื่องอะไรจะคืน”
เสียงมือถือดังขึ้นขัดจังหวะการพพูดคุยของทั้งคู่ มือถืออยู่ใกล้มือปราชญ์มากกว่า มันขึ้นชื่อโชว์หราว่า ‘วริษฐ์’ ปราชญ์ถือวิสาสะหยิบมือถือขึ้นมา แต่แทนที่จะส่งให้ตฤน เขากลับกดรับเอง
“เฮ้ย” ตฤนร้องขึ้นมา
‘เป็นไงบ้างตฤน’ เสียงทุ่มนุ่มสอบถามอาการเจ็บป่วย ‘เมื่อวานตอนส่งพี่ก็ห่วง ๆ เรา’ พี่ที่ทำงานอะไรวะ ไอ้หน้าหล่อนั่น มันมาส่งตฤนถึงบ้าน มันคิดว่ามันเป็นใครวะ
“...” ปราชญ์นิ่งฟังแต่ยังไม่ตอบ
‘ฮัลโหล ตฤนได้ยินพี่มั้ย’
“ตฤนหลับ อาการมันดีขึ้นแล้ว แค่นี้นะ” ปราชญ์พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ก่อนจะกดวางหน้าตาเฉย
“กุตื่นอยู่” ตฤนมองหน้าปราชญ์อย่างไม่เข้าใจ เข้าไม่อยากพูดขัดเพราะมันดันบอกว่าเขาหลับ เขาก็ไม่อยากจะให้พี่วริษฐ์งง แล้วหาว่าไอ้ปราชญ์มันขี้โกหก
“ช่างมันดิ” ปราชญ์พูดอย่างไม่สนใจ
“นั่นคนสอนงานกุนะ”
“ก็วันนี้หยุดอ่ะ จะสนใจทำไม”
ตฤนขี้เกียจเถียงด้วย เขายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าปราชญ์เป็นบ้าอะไร
“เดี๋ยวมา”
ปราชญ์รีบออกไปปั้มกุญแจ ส่วนตฤนลุกไปอาบน้ำด้วยน้ำอุ่น เขาก็ไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เมื่อคืนเหมือนกัน แม้ว่าปราชญ์จะเช็ดตัวให้เขา...แล้ว...อยู่ดี ๆ เขาก็รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา เมื่อนึกถึงเมื่อคืน “อะไรกันวะ” เขาสบถออกมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจตัวเอง
เขาพยายามไม่เข้าใจมัน... แล้วเดินลงมานั่งเล่นที่ชั้นล่างแทน เขาเปิดโทรทัศน์ดูนู้นดูนี่โดยมีกี้นั่งหมอบอยู่ที่ปลายเท้า
กิ๊งก่อง กิ๊งก่อง
เสียงกริ๊งหน้าประตูเรียกความสนใจจากตฤนได้เป็นอย่างดี ใครมาตอนนี้ แถมยังกดกริ่งอีก เขาลุกขึ้นไปดู มองผ่านประตูมุ่งลวดไป เห็นเป็นผู้หญิงใส่หมวกแก๊ปอยู่ที่หน้าบ้าน...ใคร?
.
.
[ปราชญ์ดูฟิน ๆ นะ อิอิ อดทนหน่อยนะคะ ปราชญ์มันเป็นพระเอกปอดแหกกก ...
แต่เราเคยพยายามข้ามเฟรนโซนเเล้วค่ะ พังไม่มีชิ้นดี ทุกวันนี้ ยังไม่ได้คุยกันอีกเลย]