ห า กั น จ น เ จ อ
ตอนที่ #13
หลายวันมานี้สภาพพนักงานในบริษัทไม่ต่างจากซากศพเดินได้นัก ชั่วโมงงานที่เกินเวลาทำการไปเยอะถึงสามคืนแล้วคือหลักฐานชั้นดีของการพิจารณาเพิ่มเงินพิเศษให้ในสิ้นเดือนนี้ ไม่ใช่แค่ทุ่มเวลาให้กับงานเพียงอย่างเดียว แต่ผลงานก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจด้วย ช่วงสายของวันนี้ต้นฉบับเข้าโรงพิมพ์ของบริษัทไปเรียบร้อยแล้ว หลังมื้อกลางวันนี้ดีนก็คงได้รับรูปเล่มตัวอย่างมาดูก่อนจะอนุมัติพิมพ์รวดเดียวหลายพันเล่มเพื่อให้ทันส่งในสุดสัปดาห์นี้พร้อมกับมีปาร์ตี้เล็ก ๆ ฉลองการปิดเล่มประจำเดือนด้วย
โต๊ะอาหารสำหรับผู้บริหารในห้องกระจกใสเป็นที่แปลกตาของพนักงานในบริษัทมาหลายวันแล้ว ปกติจะเห็นบรรณาธิการหนุ่มรูปหล่อนั่งทานอาหารกับหัวหน้าฝ่ายพิสูจน์อักษรแค่สองคน แต่ช่วงนี้มักจะเห็นท่านประธานมาร่วมโต๊ะด้วยแทบทุกวัน ทั้งที่ปกติเห็นควงกันออกไปข้างนอกกับแฟนสาวหัวหน้าแผนกคอลัมน์
เสียงซุบซิบนินทาเดากันไปต่าง ๆ นานาดังเข้าหูรณณ์ที่นั่งทานอาหารร่วมโต๊ะอยู่กับทศและรุ่นพี่อีกหลายคนในแผนกไม่ไกลจากห้องกระจกนั่นนัก บ่อยครั้งที่อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองคนที่อยู่ในสถานะ ‘กำลังพัฒนา’ ซึ่งนั่งหันหน้ามาด้านนอกและทำให้สบตากันบ่อยครั้งด้วยเช่นกัน
“ท่านประธานกับพี่ดาวเลิกกันแล้วจริงเหรอวะพี่” ใครสักคนบนโต๊ะอาหารถามทศขึ้นมาหลังจากที่เก็บข้อมูลจากการฟังสาว ๆ โต๊ะข้างหลังคุยกันมานาน
“ไม่รู้เว้ย เรื่องของนาย”
“แล้วที่เขาว่าเลิกกับพี่ดาวแล้วมาคบคุณผิง”
“เห้ย! ใช่เหรอวะ แล้วคุณดีนอ่ะ?”
ชื่อของคนถูกพาดพิงทำเอานักศึกษาฝึกงานสำลักน้ำซุบที่กำลังซดเงียบ ๆ ระหว่างแอบฟังบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร
ทศยื่นกระดาษทิชชูให้ รณณ์พึมพำขอบคุณพลางสนใจฟังต่อไปด้วย
“บอกออาจจะเป็นพ่อสื่อให้ก็ได้นะ อย่าลืมสิว่าบอกอแสดงออกชัดขนาดนั้นว่าไม่ชอบพี่ดาว”
“อยากรู้กันมากนักก็เดินเข้าไปถามเลยสิวะ สามตัวละครนั่งอยู่ในห้องนั้นไง ถามเสร็จแล้วก็กลับขึ้นไปเก็บของให้เรียบร้อยด้วยล่ะ อย่าให้ท่านประธานต้องเอ่ยปากไล่” ทศพูดขึ้นเรียบ ๆ ติดรำคาญก่อนจะชักชวนรณณ์ให้ลุกออกไปเก็บจานด้วยกัน
เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย นันย์ตาใสทอดมองไปยังคนทั้งสามที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่บรรณาธิการหนุ่ม ยกยิ้มบาง ๆ ให้ในยามที่สบตากันในเสี้ยววินาทีโดยที่ไม่อาจรับรู้ได้ว่าภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวชวนปวดหัวมากแค่ไหน
.
.
.
“จะเห็นแก่ตัวไปถึงไหน” ดีนกล่าวตำหนิพี่ชาย เขาเป็นคนเดียวที่นั่งในฝั่งที่หันหน้าออกนอกห้องกระจกใส ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติอยู่แล้วจึงไม่เป็นจุดผิดสังเกตมากนัก พนักงานภายนอกที่แอบมองเข้ามาที่พวกเขาเป็นระยะ จึงไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าสิ่งที่พวกเขาคุยกันไม่ใช่เรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป
“ไอทำอะไร?”
“จะต้องให้สาธยายเรื่องที่ยูทำทั้งหมดตอนนี้ไหม”
“ดีน…” ผิงเรียก ส่งสายตาบอกให้หยุดแค่ตรงนี้ แต่ดีนไม่สนใจ เขาตั้งใจแล้วว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็จะต้องคุยกันให้รู้เรื่อง เพื่อนสาวของเธอตกเป็นขี้ปากลูกน้องว่าแย่งแฟนคนอื่นมามากพอแล้ว เธออาจจะไม่ได้สนใจ แต่เขาไม่ยอมเด็ดขาด
“จะคุยกันด้วยภาษาฝรั่งเศสก็ได้นะ”
ดีนเบ้หน้าเมื่อเพื่อนสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามเตะเข้ามาที่ขาเป็นสัญญาณให้เขาหยุดพูดเรื่องนี้อีกครั้ง แม้จะเจ็บแต่ก็ไม่หลุดเสียงร้องออกมาสักนิด
“เธอจะกลับขึ้นไปก่อนก็ได้นะ”
คริสถอนหายใจหนัก ๆ ใคร ๆ อาจมองว่าดีนมีความเป็นผู้ใหญ่ แต่สำหรับเขา น้องก็ยังคงเป็นน้อง เป็นดีนที่ดื้อรั้นจะเอาคำตอบให้ได้ในทันทีที่ตั้งคำถาม “การที่ไอมากินข้าวกับยูและผิงนี่ผิดมากเลยเหรอ” เขาไม่ได้พูดภาษาฝรั่งเศสอย่างที่คนเป็นน้องเสนอ ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องปิดบังผิง ในเมื่อเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับหญิงสาวอยู่ไม่น้อย
“ผิด” ดีนตอบกลับแทบจะในทันที “กลับไปทำตัวเหมือนเดิมซะ ถึงจะเลิกกับเธอแล้ว แต่คนอื่นเขาไม่รู้ โอเค อาจจะระแคะระคายกันแล้ว แต่การที่ยูมานั่งกินข้าวกับพวกเรา ทำตัวสนิทสนมด้วย มันทำให้พวกเขามองผิงไม่ดี เพื่อนไอกลายเป็นมือที่สามระหว่างยูกับผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว”
“แต่มันไม่ใช่ความจริง จะต้องไปสนใจทำไม” ผิงเถียงขึ้นมา
ดีนพรูลมหายใจ “ถามพี่ชายฉันสิว่าจริงรึเปล่า” จะมีเหตุผลอะไรให้ผู้ชายบอกเลิกผู้หญิงที่คบกันมานานและหมายมั่นว่าจะแต่งงานกันให้ได้จนถึงขั้นทะเลาะกับน้องชายตัวเอง ไม่มีทางเป็นเรื่องดวงที่ชินแสบอกเล่าแน่ เหตุผลเดียวที่ดีนคิดว่าสมเหตุสมผลที่สุดคือปันใจ
ผิงส่ายหน้า ไม่หันมองสบหนุ่มรุ่นพี่ข้างกาย เธอพร้อมจะแย้งแทนคริสทุกอย่างเพราะเธอรู้ดีว่าคริสไม่ได้ทำแบบที่ถูกกล่าวหา “พี่คริสไม่ได้คิดหรือทำอะไรอย่างที่นายเข้าใจนะดีน”
“แล้วเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนนั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาทำหรอกเหรอ!”
“เกิดอะไรขึ้น?” คริสมองดีนสลับกับผิงไปมาจนมาหยุดสายตาคาดคั้นที่ผิง จะถามหาความจริงจากดีนนั้นยาก เว้นเสียแต่เจ้าตัวจะอยากเล่าออกมาเองและก็มักจะเล่าเท่าที่ต้องการ อย่างเช่นเมื่อครู่นี้
“ไม่มีอะไรค่ะ” ผิงปฏิเสธเสียงแผ่ว ลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกไปจากตรงนี้ แต่คนที่ยังคาใจไวกว่า ชายหนุ่มคว้าข้อมือบางพร้อมกระตุกให้เจ้าของมันนั่งอยู่ก่อน “เรื่องมันผ่านไปนานแล้วค่ะพี่คริส และนายเองก็ไม่ควรจะรื้อฟื้น มันไม่มีประโยชน์อะไร” ประโยคหลังเธอหันไปบอกเพื่อนชายด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“แต่เรื่องมันกำลังจะซ้ำรอยเดิม”
“แล้วจะให้ทำยังไง คราวนี้นายจะคบกับฉันกลบข่าวลือบ้า ๆ พวกนี้ไหมล่ะ” ผิงไม่ได้ขึ้นเสียงใส่ เธอถามดีนเสียงเรียบทว่าซ่อนความเจ็บปวดไว้มากมาย “ให้ทุกคนเข้าใจว่าที่ฉันสนิทกับพี่คริสเพราะเป็นแฟนนาย แฟนน้องชายกับพี่ชายจะสนิทกันก็คงไม่แปลก นายว่าไหมล่ะ”
“ไปกันใหญ่แล้วผิง”
ผิงส่ายหน้า ตาแดงจนเกือบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “ไม่หรอก ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างเรายังไม่ชัดเจน คนอื่นก็จะคิดว่าฉันกับพี่คริสเป็นมากกว่าพี่น้อง”
“โอเค พี่พอเข้าใจแล้ว ผิงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ส่วนดีน เราจะคุยกันคืนนี้ที่บ้านอาม่า บ่ายนี้พี่มีประชุม ขอตัวก่อนนะ” ดีนร้องเหอะไล่หลังผู้บริหารใหญ่ เย็นนี้ที่บ้านอาม่าจัดงานวันเกิด แน่นอนว่าวงศาคณาญาติต้องมากันครบ สาเหตุของการเลิกราของหลานชายคนโตคงถูกบอกเล่าในค่ำคืนนี้
“สนใจไปงานวันเกิดอาม่าฉันไหม” ดีนถามผิงยิ้ม ๆ แต่อีกคนกลับยื่นมือมาฟาดไหล่จนรู้สึกแสบผิวแล้วก็เดินออกไปอีกคน
。。。。。
ดีนมาถึงบ้านอาม่าซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองในช่วงพลบค่ำ ชายหนุ่มทักทายพี่ ๆ น้อง ๆ และลุงป้าน้าอาไปตลอดทางตั้งแต่เหยียบย่างผ่านประตูรั้ว กว่าจะถึงตัวอาม่าที่นั่งอยู่ในบ้านได้ เขาก็ทักทายญาติไปเกือบหมดแล้ว จะขาดก็แต่คนในครอบครัวของเขาเอง ใบหน้าหล่อคมฉาบยิ้มบางเมื่อเห็นว่าทั้งเตี่ย มัม และพี่ชายของตัวเองนั่งอยู่กับอาม่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเชื่อว่าเรื่องที่คุยค้างกันไว้เมื่อตอนกลางวันคงถูกบอกเล่าให้ทุกคนในที่นี้ทราบเรื่องแล้ว
“อาดีนหลานม่า” น้ำเสียงยานคางของผู้หญิงวัยแปดสิบพอดิบพอดีทำให้ดีนยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนทุกคนจะปรับโหมดอารมณ์ทันทีที่เขาโผล่หน้ามา ชายหนุ่มคุกเข่าคลานเข้าไปใกล้ยกมือไหว้งาม ๆ อย่างที่คนสอนเห็นแล้วยิ้มแฉ่งจนถูกลูกหลานละแวกนั้นแซว แล้วยิ่งยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อหลานชายสุดที่รักโผเข้ากอดเอวเธออย่างออดอ้อน
“หลานคนนี้นี่ใช้ไม่ล่าย เลิกอ้อนม่าแล้วไปอ้อนสาวได้แล้ว ม่าอยากมีหลานสะใภ้แล้วนา” ดีนแทบสะดุดลมหายใจตัวเองกับคำกล่าวนั้น หลานสะใภ้น่ะคิดว่าหาให้ได้แล้ว แต่อาม่าจะถูกใจรึเปล่า ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยจริง ๆ
“สุขสันต์วันเกิดครับอาม่า” ผละออกมาได้ก็รีบล้วงเอากล่องของขวัญในกระเป๋าเสื้อออกมายื่นให้อาม่าทันที ผู้หลักผู้ใหญ่มองแล้วก็อมยิ้ม เป็นอย่างนี้เสียทุกที อาม่าพูดเรื่องแต่งงานทีไรดีนเป็นหลบเลี่ยงเบี่ยงประเด็นอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครรบเร้าจะเอาคำตอบอะไรอีกเพราะต่างรู้กันว่าดีนรักอิสระขนาดไหน
ไม่มีใครอยากรู้ว่าในกล่องใบเล็กนั้นมีอะไร คล้ายจะเป็นการซื้อสัมปทานของขวัญวันเกิดอาม่าอย่างไรอย่างนั้น เพราะนอกจากดีนแล้วก็ไม่มีใครที่จะซื้อของสะสมโบราณมาให้อาม่าอีกแล้ว บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยตู้โชว์สมบัติพวกนั้น แรก ๆ อาม่าก็หาเอง พอดีนโตขึ้นหน่อย สองสามตู้ให้หลังมานี้ก็เต็มไปด้วยของที่เขาสรรหามาทั้งสิ้น
มัมกับคริสออกไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ข้างนอกแล้ว เหลือแค่เตี่ยกับดีนที่ยังนั่งเป็นเพื่อนอาม่าท่านรับไหว้ลูกหลาน รอจนพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วก็พากันย้ายไปยังโต๊ะอาหารตัวใหญ่กลางบ้านที่รองรับผู้ร่วมมื้ออาหารได้เยอะถึงยี่สิบคน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เพียงพอกับตระกูลคนจีนที่มีลูกหลานเยอะแยะ แค่รุ่นหลานก็เกินโหลครึ่งเข้าไปแล้ว เด็กหนุ่มสาวทั้งหลายจึงจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ กันตามลำพังที่สวนหน้าบ้าน
“เฮียดีน ทางนี้ ๆ” หนุ่มน้อยในชุดนักศึกษาคือลูกคนเล็กของอาอี๊โบกไม้โบกมือเรียกให้เขาเข้าไปหาด้วยความดีใจ ดีนยิ้มมุมปาก ได้ยินคำเรียกแบบนี้ก็พาลให้นึกถึงเด็กฝึกงานที่บริษัท ถ้ารณณ์ได้ยินคนเรียกเขาว่า ‘เฮียดีน’ คงไม่พ้นเป็นต้องโดนแซวว่าไม่เข้ากันสักนิดอีกอย่างแน่นอน
จะว่าไปแล้วก็คิดถึง
มือไวเท่าความคิด ดีนล้วงเอาสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงออกมาแล้วเดินเลี้ยวไปอีกทางแทนที่จะตรงไปหาญาติผู้น้องที่ตะโกนเรียกตนอยู่
ดีนกดโทร.เบอร์ที่ช่วงนี้กดบ่อยเป็นพิเศษ รอสายไม่กี่อึดใจปลายทางก็รับก่อนกรอกเสียงสดใสมาให้หายคิดถึง
“ผมอยู่งานวันเกิดอาม่า”
เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคัก [คุณเพิ่งพูดประโยคนี้เมื่อชั่วโมงที่แล้วเองนะครับ] เมื่อชั่วโมงที่แล้วที่รณณ์หมายถึงคือตอนที่ดีนขับรถออกจากบริษัท
“ตอนนั้นแค่บอกว่าจะมา”
รณณ์ยิ้มเอ็นดูให้กับคำแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนโตกว่า [ครับ แล้วคุณจะโทร.มาบอกแค่นี้น่ะเหรอครับ]
“เปล่า…อยากได้ยินเสียง”
[…]
“…คิดถึง”
[…]
“เอ่อ…พอดีได้ยินน้อง ๆ เรียกว่าเฮียน่ะ เลยคิดถึงคุณขึ้นมา”
[หืม?] เหมือนว่าเรื่องเล่าที่ดังขึ้นมาดื้อ ๆ ท่ามกลางเสียงเงียบจะดึงสติคนฟังกลับมาสนใจคู่สนทนาได้หลังจากที่ล่องลอยไปกับคำว่า ‘คิดถึง’ ที่ไม่คาดคิดนั้น
“คิดว่าคุณต้องล้ออีกแน่ว่าผมไม่เหมาะกับคำว่าเฮีย”
คราวนี้ปลายสายหัวเราะเต็มเสียง [ผมอยากได้ยินจัง
เฮียดีน อย่างนี้เหรอครับ]
ดีนส่ายหน้ายิ้ม ๆ นับวันเด็กคนนี้จะยิ่งแกล้งเขามากขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ใกล้คงมันเขี้ยวจนทนไม่ไหวต้องบีบแก้มทำโทษเป็นแน่ แต่ตอนนี้คงทำได้แค่คาดโทษด้วยคำพูดเท่านั้น “เด็กไม่ดี”
สิ้นคำตำหนิไม่จริงจังนั้นดีนก็ได้รับเสียงหัวเราะชอบใจที่หนักขึ้นกว่าเดิม ทว่าแทนที่จะนึกโกรธ เขากลับพบว่าตัวเองยิ้มกว้างเสียอย่างนั้น
.
.
.
[ฝันดีครับ]
อยากจะเย้ากลับอีกสักรอบว่านี่ยังไม่ดึกพอที่จะเข้านอนเสียหน่อย แต่รณณ์ก็พบว่าคำกล่าวปิดท้ายบทสนทนากว่าสิบนาทีในช่วงพลบค่ำก็ทำให้รู้สึกอิ่มเอมจนพร้อมเข้านอนเสียเลยจริง ๆ
รณณ์เอนกายลงนอนบนเตียงใหญ่ มองเพดานเปลือยด้วยแววตาเปี่ยมสุขราวกับมันกำลังฉายภาพของคนที่เพิ่งวางสายไป นึกย้อนไปถึงทุกถ้อยคำของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกใจฟูฟ่องอย่างบอกไม่ถูก
นี่หรือเปล่าที่เรียกว่าความรัก?
ช่วงไม่กี่วันมานี้เขาค้นพบว่าตัวเองโรคจิตอยู่อย่างหนึ่ง จากที่เคยรู้สึกชอบคำว่า ‘เด็กดี’ จากปากคุณดีน แต่พอได้รับคำตำหนิว่า ‘เด็กไม่ดี’ บ่อยเข้าก็เริ่มรู้สึกว่าชอบคำนี้มากกว่าคำชมแรกเสียอีก มิหนำซ้ำยังหาเรื่องหยอกเอินอีกฝ่ายให้ได้รับคำตินั้นบ่อยขึ้นอีกเสียด้วย
นับตั้งแต่วันที่เหมือนจะยินยอมให้อีกฝ่ายจีบกลาย ๆ พวกเขาก็โทร.คุยกันบ่อยขึ้น บทสนทนาสั้นบ้างยาวบ้าง มีสาระบ้างเรื่องทั่ว ๆ ไปบ้าง และ ‘ฝ่ายจีบ’ ก็เป็นฝ่ายโทร.มาเสียทุกครั้ง เขาเคยคิดว่าคนอย่างคุณดีนจะคุยไม่เก่ง แต่เปล่าเลย ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุยอะไรมาก แต่ก็ดูไม่ขัดหรือฝืนยามเปิดประเด็น ไม่ได้พยายามจะหาเรื่องชวนคุยอะไรขนาดนั้น แต่ทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติไปเสียหมด มิหนำซ้ำยังไม่มีถ้อยคำในเชิงเกี้ยวพากันอีกด้วย คุณดีนแค่พูดเรื่องทั่วไปเชิงบอกเล่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเท่านั้นเอง จะมีคำหวานที่สุดก็คำว่า ‘คิดถึง’ ที่หลุดออกมาให้ตกใจเมื่อต้นบทสนทนาเมื่อครู่นี้เอง
แม้จะเปิดใจแต่รณณ์ก็ยังไม่ถลำลึกในห้วงความรู้สึกที่ดีนสร้างขึ้นมามากไปกว่าการตามน้ำด้วยการแหย่กลับไปบ้างในบางครั้ง สถานะของพวกเขาตอนนี้จึงยังหยุดอยู่ที่เจ้านายและลูกน้อง เด็กหนุ่มมีความสุขกับการศึกษาคุณดีนไปเรื่อย ๆ มากกว่าที่เคยศึกษาผู้หญิงคนไหน คุณดีนไม่เคยทำให้เขารู้สึกอึดอัด ไม่งอแงให้ตามใจหรือใช้มาบังคับกันทางอ้อม คุณดีนมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอพวกนั้น เป็นที่ปรึกษาที่ดี ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเหมือนคุยกับ advisor โปรเจคจบ แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจมากกว่านั้น
นอนคิดเรื่องคุณดีนไปเพลิน ๆ จนมาสะดุดความคิดตัวเองตอนที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมดังถี่รัวติดกันจนผิดปกติ รณณ์หยิบมาไล่ดูผ่าน ๆ ที่หน้าจอ จับใจความได้ว่ากลุ่มเพื่อนนัดเจอกันเย็นหลังวันงานประจำปีที่จะถูกจัดขึ้นในอีกหนึ่งสัปดาห์ เด็กหนุ่มกดเข้าไปหน้าต่างห้องแชทก่อนพิมพ์ตอบตกลงกลับไปสั้น ๆ แล้วกดออก คิดได้ในตอนนั้นว่าคืนนี้ตนควรรีบนอนตามคำอวยพรของคุณดีน
。。。。。
ดึกดื่นค่อนคืนแล้วปาร์ตี้ของหนุ่มโสดก็ยังไม่เลิกรา ฝ่ายหลานสาวของเจ้าของวันเกิดแยกย้ายกันกลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือก็แต่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ยังนั่งสังสรรกันต่อ ขณะที่สองพี่น้องลูกเสี้ยวพากันปลีกตัวออกไปนั่งคุยกันตามลำพังที่หลังบ้าน
พื้นที่ริมสระว่ายน้ำคือที่หมายที่คนเป็นพี่ชายเลือก แสงสว่างเดียวที่มีตรงที่นี้คือแสงรำไรจากดวงจันทร์ในคืนที่ใกล้เต็มดวงหรือเพิ่งผ่านคืนเต็มดวงมาหนุ่มลูกเสี้ยวอย่างดีนก็ไม่แน่ใจ บรรยากาศดูโรแมนติกเกินความจำเป็น ก็พี่น้องจะคุยกันไม่จำเป็นต้องมีบรรยากาศชวนสารภาพรักอะไรแบบนี้เสียหน่อย สิ่งที่ต้องการคือแสงสว่างที่มากพอที่จะทำให้มองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายยามสารภาพบาปเสียมากกว่า
คริสทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ริมสระก่อนที่ดีนจะทำตาม ในมือมีเบียร์กันคนละกระป๋อง พวกเขาไม่ได้ดื่มกันเยอะ เพราะต่างก็ต้องขับรถกลับกันทั้งนั้น ท้องฟ้ามืดสนิทจนไม่เห็นแม้ดาวสักดวง แต่ถึงอย่างนั้นสองพี่น้องก็ยังจ้องมองราวกับจะค้นหามันให้เจอให้ได้ ไม่มีถ้อยคำใดระหว่างพวกเขา แม้กระทั่งจากคนที่ส่งสัญญาณให้เดินตามมา ดีนคิดว่าหากเบียร์หมดกระป๋องนี้แล้วตนจะกลับคอนโดทันที
“ทำไมถึงเลิก”
คริสกระตุมยิ้มมุมปากให้กับความใจร้อนของน้องชาย แต่สำหรับดีน เขาไม่มีทางยอมให้นี่เป็นแค่การเดินมาย้ายที่จิบเบียร์แล้วปล่อยให้มันหมดก่อนได้รู้ความจริงเป็นแน่
“ไหนว่าจะแต่งกับคนนี้ ยังไงก็จะเอาคนนี้” …ถึงขนาดทะเลาะกับไอ
ดีนละประโยคท้ายให้เป็นความเข้าใจของกันและกัน ไม่อยากจะเอ่ยถึงมันบ่อยนัก เพราะแม้เรื่องราวมันจะผ่านมาพักใหญ่แล้ว แต่ดีนก็ไม่มั่นใจว่าตนจะสามารถพูดถึงความบาดหมางครั้งนั้นได้อย่างสนิทใจ
“เคยได้ยินคำว่ารักคงยังไม่พอไหม”
“…” …ข้ออ้างของคนหมดใจน่ะหรือ?
“สำหรับคำว่าคู่ชีวิต คำว่ารักอย่างเดียวมันไม่ได้หรอกนะ”
“ก็ตอนแรกยูบอกเองว่าจะแต่งกับคนนี้ ยังไงก็ต้องเป็นเธอ แล้วอะไรคือรักอย่างเดียวไม่พอวะ” ดีนยังคงวนอยู่ที่ประเด็นเดิม ประเด็นที่คาใจเขาเสมอมาว่าความรู้สึกหรือความคิดแบบไหนกันที่ทำให้คน ๆ หนึ่งตัดสินใจที่จะแต่งงานกับใครสักคน แล้วทำไมต้องเป็นคน ๆ นี้ ไม่ใช่คนอื่นทั้งที่ผ่านมาและอาจจะเจอกันในอนาคต
“หรือต้องมีดวงด้วย” ท้ายประโยคติดเสียงขึ้นจมูกคล้ายจะเย้ยหยัน โชคชะตาน่ะหรือ? ตลกสิ้นดี!
“ยูไม่ได้รู้จักดาวเหมือนที่ไอรู้จัก”
“อ้อ ยูเองก็ไม่ได้รู้จักเธอเหมือนอย่างที่ไอรู้เหมือนกัน”
คริสคิ้วขมวด อยากจะถามถึงประเด็นนี้อยู่หลายทีแล้วเหมือนกัน แต่น้องชายตัวดีกลับส่งสัญญาณตัดความหวังแล้วให้เขาเล่าเรื่องของตัวเองต่อไป
“ครอบครัวดาวจะนำพาความเดือดร้อนและเรื่องวุ่นวายมาให้ไออีกมากมาย ถ้าเราแต่งกันไป”
ความจริงข้อนี้เขารู้มาจากมัมแล้ว จึงไม่ตกใจมาก ที่อยากจะรู้คือทั้งที่พี่ชายก็น่าจะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ทำไมตอนนั้นถึงคิดที่จะแต่ง
ดีนกระดกเบียร์เข้าปากอีกหนึ่งอึก คำนวนปริมาณคร่าว ๆ แล้วคิดว่าน่าจะเหลือให้ซดได้อีกไม่ถึงสี่ครั้งก็น่าจะหมด
“ครอบครัวดาวเขาไม่ได้มั่งมีแบบบ้านเรา”
“สำคัญตรงไหน ยูรวยนี่” ดีนแซวขำ ๆ ไม่อยากจะเข้าข้างบ้านนั้นสักเท่าไหร่ว่าคงไม่ได้ยากจนอะไรนัก ดาวเองก็ขยันขันแข็ง ใช่จะรอเกาะพี่ชายเขาอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่
“แต่กับคนที่ไม่รู้จักทำมาหากินอย่างพ่อแม่เขา มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะเข้าไปเป็นลูกเขยเขาไม่ใช่เหรอ”
ดีนเงียบ กระดกเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้งเป็นสัญญาณว่ากำลังรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ดาวเป็นลูกคนโต น้องคนกลางเกเรไม่เอาถ่าน คนสุดท้องก็ยังเรียนอยู่ไฮสคูล ไอเคยให้เงินทุนพ่อเขาไปเริ่มธุรกิจเล็ก ๆ อย่างเปิดร้านอาหาร แต่ก็พังไม่เป็นท่าเพราะเกียจคร้านจะทำกิน ซ้ำยังขยันสร้างหนี้ด้วยการเป็นผีพนัน นี่ถ้าดาวไม่เรียนดีจนได้ทุน ไอก็ไม่อยากจะคิดว่าเธอจะเป็นยังไง”
“ไอรู้มาว่าเธออยู่เพ้นเฮ้าส์โครงการ xxx” ไม่ต้องพูดถึงข้อมูลเรื่องราคาก็รู้กันว่าสูงมากแค่ไหน เห็นแบบนั้นแล้วดีนนึกถึงพื้นเพข้างหลังของเธอไม่ออกจริง ๆ ว่าเป็นอย่างไร
“ดาวเป็นคนทะเยอทะยาน จนบางครั้งก็เหมือนคนไม่ประมาณตน”
“แล้วทำไมตอนแรกถึงจะแต่งด้วย”
“ดาวเขาเป็นคนดี เป็นเด็กดี ยูก็เห็นว่าเธอขยันทำงานแค่ไหน ไอสงสารเขา เคยคิดว่าแต่งเข้าบ้านแล้วจะให้มาอยู่ด้วย คอยส่งเงินให้บ้านเขาเป็นรายเดือนไป แต่อาม่ากับเตี่ยก็บอกว่าเราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ไม่มีทางที่เราจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาแบบนั้นได้ นั่นก็พ่อแม่เธอ ยังไงเธอก็ต้องเลือกพวกเขา ต้องรับผิดชอบพวกเขา แล้วยูคิดเหรอว่าอย่างดาวจะรับผิดชอบคนเดียวไหว”
“ยูกลัวว่าพวกเขาจะมารบกวนยู?”
“มันเคยเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว และพวกเขาไม่เคยคิดที่จะจำเป็นบทเรียน ไอมีเงินเยอะก็จริงนะดีน แต่เราจำเป็นจะต้องเอาเงินที่หามาแทบตายไปให้คนอื่นผลาญเล่นเหมือนเป็นเศษกระดาษเพียงเพราะว่าเป็นหน้าที่เหรอ”
“พอโดนชินแสทักมาแบบนั้นมันเลยทำให้ไอได้คิด และก็ไม่ได้คิดแล้วตัดสินใจง่ายในทันทีด้วยนะ ไอปรึกษาผู้ใหญ่ไปทั่ว บวกลบผลดีผลเสียแล้วกว่าจะทำแบบนี้ลงไป”
“คุยกับใครอยู่ด้วยรึเปล่า” ดีนไม่ได้หมายถึงในแง่ของการ ‘ปรึกษา’ อย่างที่คริสเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ และคริสก็รู้จุดประสงค์ดี
“ไอไม่ได้ชอบผิง”
คำตอบร้อนตัวชะมัด
ดีนพอจะรู้ความรู้สึกของพี่ชาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดว่าจะได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมาตรง ๆ “ไอรู้”
“ไอรักผิงเหมือนน้องสาว”
“ก็บอกว่ารู้ไง”
และรู้ด้วยว่าบ่อยครั้งที่อีกฝ่ายแสดงออกเหมือนหวงผิงหนักหนานั่นก็เป็นเฉพาะแต่เวลาที่เธออยู่กับเขาคนเดียว
ความรู้สึกของพี่ชายน้องสาวต่างสายเลือดเป็นอะไรที่ดีนเข้าใจยากเสียจริง
“ไอไม่ได้คุยกับใคร เลิกด้วยตัวของคนสองคน”
“อืม”
“เข้าใจไอใช่ไหม”
“แน่นอนสิ” ทั้งคำตอบและท่าทางไหวไหล่ไม่แยแสนั้นทำให้คนพี่ต้องถอนหายใจ ดีนกระดกเบียร์ขึ้นดื่มอีกครั้งแล้วก็พบว่ามันเป็นครั้งสุดท้ายพอดี เขาวางกระป๋องลงกับพื้นตรงเท้า
“ดีน ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนก็จริง แต่คู่ชีวิตมันไม่ใช่แค่นั้น คนรอบข้างเราก็มีความสำคัญเหมือนกัน”
ฟุบ!!
ส้นรองเท้าผ้าใบราคาแพงเหยียบลงบนกระป๋องจนมันบี้แบนลงแทบเท้า
“ไว้วันหนึ่งที่ยูมีความรู้สึกแบบนี้ ยูจะเข้าใจที่ไอพูด”
“เบียร์หมดแล้ว ไอคงต้องกลับก่อน”
ดีนหยิบกระป๋องเบียร์ติดมือเดินออกไปด้วย เพื่อที่จะทิ้งรวมกับขยะในงานที่หน้าบ้านโดยมีคริสมองตามหลังไปพร้อมกับส่ายหน้าด้วยหลากหลายความรู้สึก เขาก็ได้แต่หวังว่าน้องชายที่ไม่ประสาเรื่องความรักจะเข้าใจความคิดของเขาบ้างสักนิดก็ยังดี
。。。。。
(มีต่อข้างล่างนะคะ)