มาต่อแล้วค่ะ อ่านคอมเม้นท์ตอนที่แล้วนี่ตกใจ ทุกคนกลัวพระพายจะเจ็บตัวมาก ฮ่าๆ อย่าเพิ่งคิดว่าพิธานใจร้ายเลยค่ะ ขอพื้นที่ให้พิธานหน่อย ฮ่าๆ พิธานออกจะน่ารักนะคะ ว่าไหม? ฮ่าๆ ขอบคุณที่ชื่นชอบไคและเก้ามากนะคะ ขอให้ทุกคนอ่านให้สนุกนะคะ เช่นเคยค่ะ ถ้าหากมีคำผิดหรือข้อผิดพลาดอะไร ก็ขออภัยไว้ตรงนี้ก่อนเลยค่ะ มีอะไรก็บอกได้เลยนะคะ พร้อมแก้ไขและรับฟังค่ะ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
+++++++++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 12 Your kiss.
Do you mind if I steal a kiss?
จะเป็นอะไรไหม ถ้าหากฉันจะขโมยจูบของคุณ?
A little souvenir, can I steal it from you?
เป็นของฝากเล็กน้อย ขอขโมยมันจากคุณได้ไหม?
To memorize the way you shock me
เอาไว้เป็นความทรงจำว่าคุณทำฉันประหลาดใจแค่ไหน
The way you move it here
.กับท่าทางของคุณที่ขยับตรงนี้
Just wanna feel it from you
แค่อยากจะรู้สึกถึงมันจากคุณ
“สนุกมากไหม?”
จู่ๆไคก็ถามขึ้นมาหลังจากที่รถของพิธานขับออกไปแล้ว เก้าหันหลังกลับไปมองไคที่ยืนกอดอกอยู่ คำถามนั้นทำให้เก้ากำลังครุ่นคิดว่าไคคงจะรู้ทันแน่นอน
“เรื่องอะไร ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย” เก้าว่า พลางเดินเข้าไปยังบาร์แต่ไคกลับดึงแขนไว้
“อย่าทำเป็นไก๋ รู้นะว่ากำลังจะทำอะไร?”
“มึงเป็นอ่านใจคนได้รึไง ถึงรู้ว่ากูคิดจะทำอะไร”
“ทำแบบนี้คนที่แย่คือพระพายนะ” ไคว่า
“แย่ตรงไหน?”
“ก็แย่ตรงที่พิธานจะโกรธ แล้วจะไปลงที่พระพายยังไงล่ะ” เก้าที่ได้ยินจึงชะงักไปครู่ ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลยว่าพิธานอาจจะไประบายอารมณ์ใส่พระพายแล้วคนที่จะเจ็บตัวคือพระพายแน่นอน
“พิธานมันจะโกรธทำไม? มันสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันเสียหน่อย” เก้าแอบขอโทษพระพายอยู่ในใจ แต่ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องรู้เรื่องของพิธานให้ได้มากที่สุด
“ก็ใช่ แต่พิธานเป็นคนหวงของมาก ไม่ชอบให้ใครไปแตะต้องของๆตัวเอง”
“หวงอะไร สองคนนั้นไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะหึงจะหวงกันได้ มึงเป็นเพื่อนของมันมึงก็น่าจะรู้นี่”
“ถ้าเป็นคนอื่นก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่นายไม่รู้จักพิธาน นายไม่รู้หรอกว่าพิธานเป็นคนยังไง”
“ก็บอกกูมาสิว่ามันเป็นคนยังไง แล้วที่มันทำมันคิดอะไรของมันอยู่” เก้าขึ้นเสียงถามไค
“อยากรู้ใช่ไหม...ไปกับฉันไหมล่ะ แล้วจะบอกทุกเรื่องที่อยากรู้เลย”
“จะไปไหน ไม่ไปหรอก ถ้ามึงอยากบอกก็บอกมาตรงนี้เลย” เก้าดึงแขนออกเพื่อไม่ให้ไคจับไปนานกว่านี้
“ถ้าไม่ไปก็ไม่รู้นะ เลือกเอา” ไคว่า รอยยิ้มอย่างเหนือกว่านั้นสร้างความรำคาญใจให้แก่เก้าไม่น้อย
“มึงจะทำเรื่องให้มันยากทำไม บอกๆมาตรงนี้ก็จบ”
“พูดตรงนี้ไม่ได้ ยิ่งข้างในยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย”
เก้าชั่งใจใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรดี สิ่งแรกคือไม่ไว้ใจไคอยู่แล้วเนื่องด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใสแต่เหมือนเคลือบแฝงไปด้วยอะไรสักอย่าง แต่ความอยากรู้เรื่องที่กำลังสงสัยก็มีอยู่มากเช่นกัน แต่ทางเลือกมีเพียงทางเดียวเท่านั้น ยิ่งคิดยิ่งไม่รู้จะต้องทำอย่างไรดี เก้านิ่งเงียบไปอยู่นานโดยที่ไคยืนรออย่างใจเย็น
“ก็ได้ กูไปกับมึงก็ได้ แต่ถ้ามึงไม่บอกเรื่องจริงกับกูทั้งหมด กูเอาเรื่องมึงแน่” เก้าชี้หน้าไค
“คำไหนคำนั้น บอกก็คือบอก ไม่โกหกหรอก”
ไคและเก้าเดินไปยังรถยนต์ของไคที่จอดอยู่ใกล้ๆ แน่นอนว่ารถแพงหูฉี่ขนาดนี้ทำเอาเก้าแอบตื่นเต้นตามประสาผู้ชายที่ชอบดูรถยนต์สวยๆราคาแรงๆแม้ว่าจะไม่มีปัญญาซื้อหรือเฉียดก้นเข้าไปนั่งบนเบาะก็ตาม
รถขับออกไปช้าๆแม้จะดึกแล้วแต่ค่ำคืนในวันหยุดก็ยังคงคึกคักอยู่เช่นเดิม ระหว่างรอบนรถเก้าก็กดโทรศัพท์มือถืออ่านข่าวสารไปเรื่อยๆ ไม่อยากชวนคุยหรือมองหน้าไคที่ตอนนี้กำลังเอื้อมมือไปเปิดเพลงอยู่
“ชอบเพลงนี้ไหม?” ไคถามขึ้นทันทีที่เพลงสากลดังขึ้น
“เพลงอะไรวะ กูฟังไม่รู้เรื่อง”
“ฟังทำนองสิ”
เก้าเลื่อนสายตาไปมองหน้าไคที่ตอนนี้กำลังเคาะนิ้วตามจังหวะเพลงพลางฮัมในคอเบาๆอย่างอารมณ์ดี เก้าเบะปากนิดๆหมั่นไส้ในท่าทางของไค
“Oh na na ,just be careful na na .Love ain’t simple,na na .Promise me no promises.” ไคร้องตามเพลงที่กำลังเปิดอยู่ เก้ามองอย่างรำคาญ
“กูรู้ว่ามึงเป็นลูกครึ่ง ไม่ต้องกระแดะมาร้องให้กูฟังหรอก กูฟังไม่ออก”
“เพลงเพราะออก เปิดใจฟังหน่อยสิ”
“แต่กูไม่ชอบแนวนี้”
“แล้วชอบแบบไหน?” ไคถาม
“กูชอบเพลงไทย ชอบอะไรที่มันไทยๆ”
“ไม่คิดจะลองอะไรที่มันไม่ไทยหน่อยเหรอ?”
“ไม่มีทางซะหรอก”
“อย่าเพิ่งคิดแบบนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ จริงไหม?”
เก้าหยุดที่จะต่อปากต่อคำกับไค ก้มหน้าอ่านข่าวในโทรศัพท์มือถือต่อไปโดยที่ไคนั้นเหลือบมองเก้าเป็นระยะๆ โดยที่เก้าไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าตอนนี้ไคขับพามาที่ไหน รู้สึกตัวอีกทีรถก็จอดหยุดนิ่งแล้ว ไคดับเครื่องยนต์ลงพร้อมปลดเข็มขัดนิรภัยออก
“ลงมาได้แล้ว”
เก้าเดินลงมาจากรถ พบว่าเป็นลานจอดรถที่ไหนสักแห่ง ไคเดินก้าวยาวๆนำไปโดยไม่พูดอะไรกับเก้าที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างสงสัยแต่ก็เลือกที่จะเดินตามไปโดยไม่ถามอะไรออกไปสักคำ
ไคเดินผ่านพนักงานต้อนรับที่ยืนยิ้มแย้มอยู่จากนั้นก็เดินเข้าไปในลิฟต์กดหมายเลขชั้นบนสุด เห็นได้ชัดว่าที่นี่ต้องเป็นห้องชุดหรือคอนโดอะไรสักอย่าง เก้ารู้โดยที่ไม่ต้องถามว่าไคนั้นได้พามาที่ห้องของตัวเองแน่นอน
“พากูมาห้องมึงทำไม?” เก้าถาม
“ก็สะดวกสุดแล้ว”
“สะดวกมึงสิ แต่ไม่สะดวกกู”
“เอาน่า ไหนๆก็มาถึงแล้ว จะบ่นก็ไปไร้ประโยชน์ล่ะนะ”
ไคยิ้มพลางผิวปากฮัมเพลง เก้าส่ายหน้าอย่างรำคาญ คิดๆดูแล้วก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากกว่าความจำเป็น เพราะยิ่งพูดเหมือนจะยิ่งสนิทมากกว่าเดิม เหมือนจะยิ่งซึมซับอะไรบางอย่างจากตัวของไคมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในที่สุดลิฟต์ก็มาหยุดตรงชั้นสูงสุด ซึ่งสังเกตได้ว่าชั้นนี้ทั้งชั้นมีแค่สองห้องเท่านั้นคือฝั่งซ้ายและขวา แปลว่าห้องๆหนึ่งกินพื้นที่ไปกว่าครึ่งชั้น ซึ่งไม่ธรรมดาเลยหากจะครอบครองห้องที่มีพื้นที่กว้างขวางโดยที่ไม่มีเงินหนาพอ
ไคใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไป ไฟในห้องก็สว่างทันที เก้ามองห้องทั้งห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีสบายตาอย่างฟ้าขาว ให้ความรู้สึกผิดแปลกกับบุคลิกของไคเป็นอย่างมาก แต่เก้าก็ไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่านั้นแล้วเพราะส่วนตัวไม่ได้เป็นคนชื่นชอบเฟอร์นิเจอร์หรือการตกแต่งบ้าน มันดูหยุมหยิมและรายละเอียดเยอะเกินไป
“จะดื่มอะไรไหม เบียร์ก็มีนะ” ไคถามพลางเดินไปข้างในซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นครัว
“ก็เอาสิ” ของฟรีมีหรือคนอย่างเก้าจะไม่ชอบ
ไคเดินออกมาพร้อมเบียร์กระป๋องสองกระป๋องสำหรับของตัวเองและเก้าคนละกระป๋อง เก้ารับมาเปิดฝาออกทันที ก่อนจะกระดกดื่มลงคออย่างรู้สึกสดชื่นในรสขมที่เจือหวานละมุนเบาๆตรงปลายลิ้น
“ว่ามา” เก้าเอ่ยขึ้นหลังจากดื่มเบียร์เข้าไปอึกใหญ่
“อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?” ไคถามพลางเดินไปยังระเบียงห้อง แสงไฟยามค่ำคืนเป็นจุดเล็กๆประปรายจนสว่างไปทั่ว เป็นวิวยามค่ำคืนในเมืองที่แสนวุ่นวายแห่งนี้ เก้าเดินตามออกไปพร้อมๆกับที่มีลมพัดมาพอดี ความเย็นของสายลมนั้นทำเอาสดชื่นพอๆกับเบียร์ที่กำลังดื่มอยู่ไม่มีผิด
“ทำไมเพื่อนมึงถึงทำเรื่องแบบนั้นกับพาย” คำถามแรกที่เก้าตั้งใจจะหว่านไปแบบกว้างๆ
“ทำแบบไหนล่ะ?” ไคถามกลับ
“มึงรู้เรื่องไม่ใช่รึไง อย่าทำเป็นไม่รู้เหอะ”
“เรื่องที่ทำให้พระพายยอมน่ะเหรอ ไม่รู้เยอะขนาดนั้นหรอก แต่รู้ว่าเป็นวิธีที่ไม่ดีเท่าไหร่”
“ไม่ใช่ไม่ดีเท่าไหร่ เรียกว่าเลวระยำเลยดีกว่า” นึกถึงเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้ที่เก้าจะของขึ้น
“ก็รู้ แต่ปกติพิธานไม่เคยบังคับใครให้ทำเรื่องนั้นมาก่อน ก็แปลกใจเหมือนกันที่ยอมทำเรื่องแบบนั้นได้” ไคว่า พลางดื่มเบียร์ไปด้วย
“มีเหตุผลนอกเหนือจากนี้เหรอ?” เก้าเริ่มตะล่อมถาม
“พิธานแค่บอกว่าถูกใจ ไม่อยากปล่อยไป” น้ำเสียงเรียบๆบวกกับท่าทีเฉยๆของไค ทำเอาเก้าแปลความหมายไม่ถูกว่าตอนนี้กำลังคิดอะไร
“ดูไม่น่าเชื่อว่ะ คนเราแค่ถูกใจจะทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ถ้าคนอื่นไม่รู้แต่ถ้าพิธานก็ไม่แน่ เพราะเป็นคนยึดติดมาก มากจนบอกไม่ถูกเลย” สายตาของไคนั้นดูเหมือนไม่ได้ตำหนิพิธานแต่อย่างใด ราวกับกำลังพูดถึงน้องชายที่ตัวเองปลาบปลื้มก็ไม่ผิด
“มึงดูจะชื่นชมเพื่อนมึงนะ มึงไม่คิดจะห้ามมันหน่อยเหรอ สิ่งที่มันทำไม่ใช่เรื่องถูกต้อง”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?” ไคถามเก้า
“ก็ไม่รู้ แค่คิดไปเองมั้ง” เก้าว่า
“ถึงพิธานจะดูนิ่งๆและเฉยชา แต่จริงๆไม่ใช่เป็นอย่างที่แสดงออกหรอกนะ”
“จะบอกว่ามันเป็นสุภาพบุรุษผู้นุ่มนวลชวนฝันรึไง?” เก้าหัวเราะออกมา ฟังจากที่พระพายเล่าถึงรสนิยมของพิธานแล้ว ไม่น่าจะมีเศษเสี้ยวแห่งความละมุนเลยสักนิด
“ถ้าบอกแบบนั้นจะเชื่อไหมล่ะ?” ไคหันมามองหน้าเก้าเหมือนรอคำตอบ
“กูไม่เชื่อหรอก”
“นี่จะมาถามใช่ไหมว่าพิธานรู้สึกยังไงกับพระพาย?” ในที่สุดไคก็พูดออกมาจนได้
“พูดอะไรของมึง กูไม่ได้จะถามเรื่องนั้น แค่สงสัยว่าทำไมเพื่อนมึงถึงสนใจเพื่อนกูก็เท่านั้นแหละ”
“ใช่เหรอ ดูจากที่พยายามปั่นหัวพิธานคงน่าจะจริงอยู่หรอก” ไคยิ้มออกมา ช่างเป็นยิ้มของคนที่รู้ทันจริงๆ
“มีใครเคยบอกมึงไหม ว่ารอยยิ้มมึงกวนตีนจนน่าโดนต่อย” เก้ารีบชวนหาเรื่องเพื่อเปลี่ยนบทสนทนาทันที
“ไม่มีนะ มีแต่คนบอกว่าน่ารัก” พูดไปก็ยิ้มไปยิ่งทำให้เก้ารำคาญหนักกว่าเดิม
“น่ารักกับผีน่ะสิ ดูหนังหน้าตัวเองด้วยว่าน่ารักตรงไหน”
“นายก็เหมือนกัน ทำไมไม่ยิ้ม เห็นชอบทำหน้าหงุดหงิดประจำ”
“ก็เวลาเห็นหน้ามึงแล้วมันหงุดหงิด” เก้ายิ้มแบบกวนประสาทใส่ไค
“เอาล่ะ หมดเรื่องจะถามแล้ว ต่อไปก็ตาฉันถามบ้าง” ไคว่า
“มึงจะถามอะไร?”
“มีแฟนรึยัง?” จู่ๆไคก็ถามออกมา เก้าหันมองหน้าขวับทันที
“ถามใคร ถามกูเหรอ?”
“ก็อยู่กันสองคน ถามคนอื่นได้รึไง” ไคพูด
“แฟนกูเยอะแยะไป นอนกับใครคนนั้นก็แฟน” เก้ายักไหล่ตอบคำถามนั้น
“ชอบแต่ผู้หญิงเหรอ?” คำถามที่ทำเอาเก้าชะงัก
“ก็เออนะสิ กูไม่ชอบผู้ชายหรอกนะ เสียดายของ”
“ใครบอก ยังไงก็ได้ใช้งานเหมือนกันนะ” ไคยิ้มมุมปาก
“กูไม่อยาก ไม่ชอบ เข้าใจไหม” เก้ากระแทกเสียงใส่
“แล้วตอนจูบกับพระพายล่ะ เห็นยังทำได้เลย”
“จูบกับเพื่อน ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย” เก้าว่า
“แล้วถ้าจูบกับคนที่ไม่ใช่เพื่อนล่ะ?” ไคถามขึ้นมา
“ตลก จ้างให้กูก็ไม่ทำหรอก” เก้าว่าพลางทำท่าขนลุก
ไคเงียบไปก่อนที่จะวางกระป๋องเบียร์ลงบนพื้นข้างๆเท้า เก้าที่ไม่ได้สนใจอะไรกลับมองท้องฟ้าอันมืดมิดข้างหน้าพร้อมสายลมที่พัดเอื่อยๆปะทะใบหน้า รู้สึกตัวอีกทีใบหน้าของไคก็เข้ามาอยู่ใกล้แล้ว ใกล้จนริมฝีปากชนกัน ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมจางๆออกมาจากตัว
ความนุ่มหยุ่นนั้นทาบทับลงมา ลมหายใจอุ่นๆรดตรงปลายจมูก เก้าเบิกตากว้างอย่างตกใจ เผลอปล่อยกระป๋องเบียร์ตกลงพื้น เบียร์หกกระจายตรงใกล้เท้าแต่กระนั้นเก้าก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น พยายามผลักลูกครึ่งร่างสูงกว่าตนให้ออกไปให้ห่างที่สุดแต่พละกำลังคนตรงหน้าดูจะเหนือกว่ามาก
ไคพยายามแลบเลียริมฝีปากของเก้า มือนั้นยึดแขนของเก้าไว้ไม่ให้เก้าขัดขืนหรือผลักตนออกให้ห่าง ไคใช้แรงเยอะเลยทีเดียวว่าจะทำให้เก้าหมดทางสู้ได้
“อื้อ....อื้อ”
เก้าเริ่มอู้อี้อย่างไม่ยอมแพ้ เท้านั้นพยายามจะกระทืบเท้าของไคให้ได้ แต่ดูเหมือนไคจะรู้ทัน หลบเท้าได้อย่างรวดเร็วจนเก้านึกโมโหที่ไครู้ทันเสียทุกเรื่อง เก้าดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อให้ไคหยุดแต่เหมือนยิ่งดิ้นยิ่งทำให้ไคสนุกมากขึ้น โดยที่เก้าไม่รู้ตัวเลยว่ายิ่งปฏิเสธยิ่งไม่อยากทำ ยิ่งทำให้ไคนั้นอยากจูบให้หนักกว่าเดิมเสียอีก
สู้รบกันอยู่หลายนาทีจนในที่สุดไคก็ยอมปล่อย เก้าหอบหายใจหน้าแดงก่ำเพราะความเหนื่อยและความโมโหผสมรวมกันหมด เมื่อไคปล่อยมืออกเก้าก็ไม่รอช้ารีบง้างหมัดเพื่อจะซัดหน้าไคทันที
“เดี๋ยวๆ นี่ยังเหนื่อยไม่พอรึไง” ไคว่าพลางจับหมัดนั้นไว้พอดิบพอดี
“มึงแม่ง ไอ้เลว จูบกูทำไมวะ” เก้าตะโกนถามอย่างโมโห
“แค่จูบนิดหน่อยเอง จะอะไรหนักหนา นี่ถ้าได้นอนด้วยกันไม่เอามีดแทงกันตายเลยรึไง” ไคว่าพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี โดยที่ไม่ได้สนใจสักนิดว่าเก้าจะอารมณ์ดีหรือไม่ดีอย่างไร
“แล้วมึงมาจูบกูทำไม เหี้ยเอ้ย”
“ก็เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆ สำหรับการตอบคำถามของเรื่องพิธานไง”
“คนอย่างมึง ทำอะไรก็หวังผลตอบแทน ไอ้คนเลว”
“นิดๆหน่อยๆเอง ไม่ได้เสียหายตรงไหนนี่ จริงไหม?” ไคว่า
“จูบกูแล้วได้อะไร กูไม่มีนมไม่ใช้ผู้หญิงโว้ย” เก้าโวยวายอย่างเหลืออดในคำพูดของไค
“ก็แค่อยากจูบ อยากเห็นเวลาดิ้นพล่านๆ ดูสนุกไม่น้อย” ไคพูดด้วยรอยยิ้มกว้างจนเก้าเลือดขึ้นหน้า
“มึงก็โรคจิตเหมือนเพื่อนมึงนั่นแหละ สันดานเหมือนกัน” เก้าว่า นึกถึงพระพายที่โดนบังคับทำเรื่องแบบนั้น
“ไม่เหมือนหรอก เพราะถ้าเหมือนคงจะไม่โดนแค่จูบแน่” ไคพูดอีกทั้งยิ่งรัดตัวของเก้าให้แน่นขึ้นไปอีก
“ปล่อยเลยมึง ปล่อยกู” เก้าร้องพลางดิ้นเพราะตอนนี้ถูกไครวบตัวอยู่ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่ตัวเล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับรูปร่างของไคไม่มีทีท่าจะสู้คนๆนี้ได้เลย
“ปล่อยแน่ แต่สัญญาก่อนว่าจะไม่ต่อย” ไคบอก
“ไม่!!”
“ถ้าต่อยอีก คราวนี้มากกว่าจูบอีกนะ”
“ปล่อยกู!!” เก้าไม่ยอมยังคงดิ้นอยู่อย่างนั้น
“รู้ใช่ไหมว่าเป็นคนพูดจริงทำจริง” เสียงเบาๆที่กระซิบที่หูของเก้า ดูจริงจังและเป็นความจริงอย่างรู้สึกได้ เก้าจึงค่อยๆหยุดการดิ้นรนเพียงเท่านั้น
“ก็ได้ กูจะไม่ต่อยมึง” เก้าพูด ไคจึงยอมปล่อยทันที
“แต่ไม่สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายมึง” เก้าพูดเท่านั้นก่อนที่จะเตะหน้าแข้งของไคอย่างเต็มแรง
“โอ๊ย!!” ไคร้องออกมา เก้ารีบวิ่งออกมาทันที
“สมน้ำหน้า ใครใช้ให้มึงมาจูบกูล่ะ”
เก้าวิ่งออกมาจากห้องของไคอย่างรวดเร็วพลางใช้หลังมือถูปากของตัวเองไปด้วย แต่ยิ่งถูเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันจะติดแน่นยิ่งกว่าเดิม และที่น่าแปลกใจ...ก็ไม่ได้รู้สึกขนลุกอะไรขนาดนั้น ตอนจูบพระพายยังรู้สึกขนลุกเล็กน้อย แต่ที่ไคทำเมื่อครู่นี้ไม่ได้รู้สึกอย่างที่จูบกับพระพาย
“เจอรอบหน้า จะต่อยให้หน้าหงายเลยคอยดู”
เก้าพูดพลางเดินออกมาจากตึก เงยหน้ามองไปยังชั้นบนสุดที่สูงลิ่ว แล้วเดินไปโบกแท็กซี่กลับที่พัก โดยที่ยังคิดถึงเรื่องที่โดนบังคับจูบจากไค ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกโมโห เสียจูบให้ผู้ชายแถมยังเป็นคนที่เกลียดขี้หน้าอีก ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
ด้านไคนั้นยังคงลูบหน้าแข้งที่เพิ่งโดนเตะไปหมาดๆทั้งที่เจ็บตรงที่ถูกเตะ แต่ไคกลับยิ้มออกมา การปราบม้าพยศคงเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับไคอยู่ดี ทั้งที่เจ็บแต่ก็รู้สึกสนุก เก้าเป็นคนที่ยิ่งแกล้งยิ่งมีสีสัน หน้าตาตอนโมโห ยามที่ด่าเสียงดังโวยวาย น่าจะปราบให้อยู่หมัด หากทำให้เสือที่ดุร้ายเช่นนั้นตกอยู่ใต้อาณัติกลายเป็นแมวเชื่องๆได้ ก็คงน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว...
*Lyrics : Feels By Calvin Harris ft. Pharrell Williams, Katy Perry, Big Sean