[เรื่องสั้น] คนน่าอิจฉา : Special ใครกันที่น่าอิจฉา
คนรักของเขาชอบบอกอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นคนน่าอิจฉา ใครๆก็ต้องอิจฉาตัวเองที่มีเขาเป็นคนรักของแน่นอน แต่เขากลับไม่คิดแบบนั้น ถึงจะไม่เคยพูดออกไปให้อีกฝ่ายได้ยิน เขาคิดว่าเขาต่างหากล่ะที่น่าอิจฉา... หนึ่ง เด็กผู้ชายปีหนึ่งตัวสูงน้องของเพื่อนสนิทที่เคยได้ยินแค่ชื่อ แต่พอได้เจอกันครั้งแรกหลังจากนั้นชีวิตเขาก็มีผู้ชายคนนี้เข้ามาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ช่างเป็นความบังเอิญที่น่าประหลาดใจในตอนนั้น ทั้งที่อีกคนเรียนอยู่คนละคณะแต่ก็ขยันมากินข้าวที่คณะของเขาแทบจะทุกวัน มาหาพี่ชาย นั่นคือคำที่ได้ยินทุกครั้งที่เจออีกฝ่ายที่คณะของตัวเองไม่ต้องเอ่ยปากถามว่ามาทำอะไรเขาก็พอที่จะรู้คำตอบแล้ว อืม คงเป็นน้องชายที่ติดพี่มากแบบนั้นสินะ
รู้สึกตัวอีกทีอีกฝ่ายก็ได้แทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ถ้าวันใดวันหนึ่งน้องชายของเพื่อนสนิทคนนี้ไม่มาให้เห็นหน้า ก็คงจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในชีวิตที่หายไปเหมือนกัน
เขาอยู่ปีสี่แล้ว ในขณะที่อีกคนเพิ่งเข้าปีหนึ่ง ช่วงเวลาที่เหลือในมหาลัยเริ่มจะหมดลง ถ้าจบแล้วก็คงไม่ได้เจอกับหนึ่งบ่อยๆหรืออาจจะไม่ได้เจออีกเลยมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น อยากเจอหน้า อยากพูดคุย อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แบบนี้เรียกว่า ชอบ หรือเปล่า ถ้าใช่เขาก็คงชอบอีกฝ่ายไปแล้วสินะ
แม้จะรู้ใจของตัวเองแต่เขาก็ไม่คิดที่จะบอกให้อีกคนได้รับรู้ เลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ กลัวว่าถ้าพูดมันออกไปอีกฝ่ายจะหนีหายไปจากชีวิตของตน อีกทั้งหนึ่งก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรกับเขาเป็นพิเศษ ปฏิบัติกับเขาเหมือนกับที่ปฏิบัติกับทุกคนแล้วแบบนี้จะกล้าพูดออกไปได้ยังไง
ทุกวันที่ผ่านไปอีกคนก็ยังคงวนเวียนอยู่ในวงโคจรชีวิตของเขาไม่หายไปไหน พวกเราสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ สนิทจนถึงขั้นไปเที่ยวต่างจังหวัดค้างคืนด้วยกันเพียงสองคน ถ้าอีกคนรู้ว่าเขาคิดยังไงจะยังอยากมาเที่ยวด้วยกันอยู่หรือเปล่านะ
“พี่พาย พี่มีคนที่ชอบไหม” คำถามที่ถูกถามขึ้นมาในวันที่เราสองคนเลือกที่จะออกมานั่งเล่นรับบรรยากาศยามค่ำคืนที่ริมสระน้ำในมหาลัย คำถามที่ดังออกมาจากปากคนที่นั่งอยู่ข้างๆทำให้เขาหันไปมองหน้าของอีกฝ่าย บรรยากาศที่เย็นสบายดูผ่อนคลายกลับอึดอัดขึ้นมาทันทีในความคิดของเขา ทำไมอยู่ๆถึงถามขึ้นมา รู้แล้วว่าเขาชอบ หรือถามเพื่อที่จะปรึกษาเพราะไปเจอคนที่ชอบแล้ว!!! ไม่เอานะเขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น
บรรยากาศระหว่างพวกเราเงียบไปสักพัก เขาไม่ได้ตอบอะไร และคนที่เอาแต่มองไปที่ผิวน้ำเบื้องหน้าไม่ยอมหันมามองหน้ากันก็ไม่ได้เร่งที่จะเอาคำตอบ
คนที่ชอบเหรอ ก็ไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างกูตอนนี้นี่ไงล่ะ ไอ้โง่!!!!! อยากจะตะโกนใส่หูอีกคนดังๆ แต่ก็ทำได้แค่คิด ใครจะกล้าทำจริงกัน เฮ้ออออ เลิกมองหน้าของคนข้างๆแล้วหันไปจ้องที่ผิวน้ำแทน
“ถามทำไม” เขายังไม่ยอมตอบแต่กลับส่งคำถามไปให้แทน
“อะ เอ่อ ก็แค่อยากรู้” แบบนี้เอง
ถ้าเชื่อก็โง่แล้ว!!! พูดตะกุกตะกักขนาดนั้น แถมเขายังเหลือบไปเห็นว่าใบหูของอีกคนนั้นมีสีเข้มขึ้นมากแค่ไหน แล้วยังจะปฏิเสธว่าแค่อยากรู้ คงไปเจอคนที่ชอบมาแล้วจริงๆสินะ แล้วทำไมเขาต้องรู้สึกเจ็บแบบนี้ด้วยล่ะ
“อืม จะว่ามีไหมก็มีล่ะนะ” เลือกที่จะตอบออกไปตาความจริง แต่ถ้าถามว่าใครนี่คงไม่บอก
“ห๊ะ มีแล้ว!!!” ดูท่าว่าคนที่นั่งข้างๆจะตกใจมาก หันมามองหน้าเขาทันทีที่ได้ยินคำตอบ แถมยังตะโกนเสียงดัง
“จะตะโกนทำไมเนี่ยรบกวนคนอื่นเขา” อดที่จะดุอีกคนไม่ได้ เดี๋ยวชาวบ้านเขาแตกตื่นกันหมด
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ พี่มีคนที่ชอบแล้วจริงๆเหรอ” คำถามที่ส่งมาพร้อมกับหน้าตาเคร่งเครียดทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรไปทั้งที่เมื่อกี้ยังดีๆอยู่
“......” เลือกที่จะไม่พูดแต่พยักหน้าแทนคำตอบ
“ใครครับ!!!” อีกฝ่ายจ้องเขม็งมาที่เขาอย่างรอคอยคำตอบ
“.....” จะให้บอกออกไปได้ยังไงกัน
“.....” สายตาที่จับจ้องมาทำให้เขาอึดอัด จึงเลือกที่จะเบือนหน้าไปมองผิวน้ำตรงหน้าอีกครั้ง
“ทำไมต้องบอกด้วยล่ะ” “.....” หลังจากที่ได้ยินคำตอบอีกคนก็ชะงักและดูนิ่งไปไม่ตอบอะไรกลับมา เป็นอะไร?
ไม่มีใครพูดอะไรออกระหว่างพวกเราสองคนหลังจากที่เขาตอบคำถามไปต่างคนต่างเงียบ รู้สึกถึงสายตาของคนข้างๆว่ายังคงจ้องมาที่เขา บรรยากาศน่าอึดอัดแบบนี้มันคืออะไร ยังไม่ทันจะได้พูดทำลายความเงียบ อีกคนก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“นั่นสินะครับ พี่จะบอกผมทำไม” เสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบาจากปากของอีกคนแต่เขาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน ทำไมต้องทำเสียงเป็นหมาหงอยขนาดนั้น โกรธที่เขาไม่ยอมบอกเหรอ
“มะ..”ไม่ใช่แบบนั้น
“กลับกันเถอะครับนี่ก็ดึกแล้ว เดี๋ยวผมไปส่ง” ยังไม่ได้เอ่ยปากแก้ความเข้าใจผิดของเด็กหนุ่มรุ่นน้องตามที่ตนเองเข้าใจ อีกคนก็เอ่ยสวนขึ้นมาเสียก่อน ทั้งยังลุกขึ้นยืนและเริ่มออกเดินทำให้เขาต้องลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้
ระหว่างทางกลับอีกคนไม่พูดอะไรออกมาสักคำ แถมยังนิ่งจนเขาไม่กล้าเอ่ยคำพูดใดๆออกมา เป็นอะไรไปพอเขาตอบออกไปว่ามีคนที่ชอบก็ดูอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที อารมณ์ไม่ดีเพราะเขาหรือเพราะคนอื่น ความเงียบทำให้เขาคิดไปเรื่อยเปื่อย แต่พอคิดว่าไอ้คนที่เอาแต่ทำหน้านิ่งกำลังคิดถึงคนที่ชอบอยู่ก็ทำให้รู้สึกเครียดทันที รู้สึกโมโหอีกคนขึ้นมาซะอย่างนั้น จึงเลือกที่จะเงียบและหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างรถที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ ไม่อยากมองหน้าอีกฝ่ายให้ตัวเองเจ็บเสียเปล่าๆ
“ฝันดีนะครับ” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่อีกฝ่ายเอ่ยบอกหลังจากที่มาส่งเขาถึงหอพัก แล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็วไม่เปิดโอกาสให้ได้โต้ตอบกลับไป
และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอหน้าของน้องชายเพื่อนสนิทหลังจากผ่านมาจะครบสัปดาห์แล้ว ทักไปก็ไม่ตอบ โทรหาก็ไม่รับ ไอ้เด็กที่ติดพี่ชายอย่างกับเห็บเกาะบนหลังหมาก็ไม่แม้แต่ที่จะโผล่หน้ามาให้เห็นที่คณะ แบบนี้มันผิดปกติมากๆ และก็ดันเป็นเขาเองนั่นแหละที่ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากถามกับเพื่อนสนิทไป
“น้องมึงไปไหนทำไมช่วงนี้หายหน้า” “ทำไม คิดถึงมันเหรอ” ใช่ คิดถึง
“คิดถึงบ้าอะไรเพ้อเจ้อ กูแค่สงสัยปกติติดพี่อย่างกับอะไรดี ถ่อมากินข้าวที่คณะกับมึงแทบทุกวัน” “หึ ติดพี่ ติดว่าที่เมียสิไม่ว่า” เพื่อนสนิทเขายังไม่ตอบอะไรกลับมา แต่พึมพำอะไรกับตัวเองเสียงเบา แถมยังส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้อีก อะไรของมัน
“อะไรของมึง” “เปล๊า กูแค่จะบอกว่าไอ้หนึ่งมันแค่กำลังเฮิร์ทน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” อีกคนว่าแบบนั้นแล้วลุกขึ้นยืนแล้วเอามือมาตบบ่าเขาเบาๆก่อนที่จะเดินหนีไป
“พวกมึงสองคนนี่มันซื่อบื้อจริงๆ” เสียงของเพื่อนสนิทดังมาให้ได้ยินแว่วๆก่อนที่จะเดินออกไปจนเห็นแค่แผ่นหลังไกลๆ ซื่อบื้ออะไรของมัน
แต่ เฮิร์ท? ไอ้เด็กนั่นมันอกหักเหรอ คงจะเป็นคนที่คิดจะปรึกษากับเขาเมื่อวันนั้นสินะ แล้วเขาต้องทำยังไงควรไปปลอบใจไหม คำตอบคือไม่ ตอนนี้เขาก็อกหักไม่ต่างจากอีกคนเท่าไหร่นัก เฮ้อ พอเป็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าดีแล้วล่ะที่ไม่มาให้เห็นหน้าเพราะเขาคงทำตัวไม่ถูกถ้าเจอกันในตอนนี้
เหมือนเขาจะบอกไปว่าการที่น้องของเพื่อนสนิทไม่มาให้เห็นหน้ามันดีแล้ว แต่อะไรคือการที่ผ่านไปแค่วันเดียวอีกคนกลับบุกมาหาถึงหน้าห้องตั้งแต่เช้า เช้าขนาดที่ว่าเขาต้องเดินหัวฟูเพราะเพิ่งลุกจากเตียงมาเปิดประตูให้ นี่มันเพิ่งเจ็ดโมงเช้าเองนะ ดูเหมือนว่าคนที่มารบกวนการนอนของเขาจะไม่รู้สึกตัวว่ามารบกวนยืนส่งยิ้มระรื่นมาให้อยู่หน้าประตูจนอยากจะปิดประตูใส่หน้าแรงๆ แต่ก็ทำแค่เพียงเปิดประตูออกให้อีกฝ่ายเดินเข้ามา ส่วนตัวเองก็เดินไปทิ้งตัวนอนคว่ำลงบนเตียงที่ตั้งอยู่กลางห้องอีกรอบ อ่านี่มันเตียงดูดวิญญาณชัดๆ แต่เพราะมีคนอยู่ในห้องทำให้เขาต้องฝืนเปิดปากคุยทั้งที่อยากจะนอนต่อแทบตาย
“มาทำไมแต่เช้า” เอ่ยถามไปทั้งๆที่ยังนอนอยู่บนเตียงนี่แหละ
“คิดถึง” คำตอบที่ได้ยินทำให้ชะงักไปเล็กน้อย จะรู้หรือเปล่าว่าทำให้ใจของเขาเต้นแรงแค่ไหน
“เหรอ” “พี่งอนผมเหรอที่ไม่ได้ไปหา” แรงยุบที่เตียงทำให้รู้ว่าอีกคนได้ย้ายตัวเองมานั่งลงที่เตียง
“เปล่านี่จะงอนทำไม” ไม่ได้งอน แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงหายไป เพราะโกรธเขาวันนั้นหรือเปล่า แต่พอรู้ว่าหายไปเพราะ เฮิร์ท ก็ทำให้เขาไม่อยากเจอเด็กนี่ไปแทน
“ขอโทษนะครับที่หายไป ผมมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะครับ” เรื่องที่โดนหักอกน่ะเหรอ
“อืมช่างมันเถอะ” บอกปัดไป พร้อมกับซุกหน้าลงกับหมอนทำเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในห้อง ไม่สนใจแล้ว เขาจะนอน
“ช่างมันได้ไงก็พี่ยังงอนผมอยู่” “.....” “พี่พายครับ” “.....” “พี่พายครับผมขอโทษเลิกโกรธผมเถอะนะครับ” เสียงหงอยๆที่ได้ยินมันน่าสงสารจนเขาอยากหันไปบอกว่าไม่เป็นไร อยากจะบอกไปว่าไม่ได้โกรธ แต่ทำไมปากถึงไม่ยอมขยับ น้อยใจ คงเป็นคำที่อธิบายความรู้สึกของเขาในตอนนี้ได้ดี หายไปทั้งที่ไม่ได้บอกอะไร ปล่อยให้เขากังวลอยู่เป็นสัปดาห์ ขอเล่นตัวสักหน่อยก็คงจะไม่เป็นไร
“.....” พอเห็นว่าเขาไม่ตอบ อีกคนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานิ่งไปเสียเฉยๆ
“.....” คนที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงของเขาเงียบไปนานจนเขาคิดว่าคงถอดใจที่จะง้อไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ไล่ให้อีกฝ่ายกลับไปแล้วนอนต่อคงจะดีที่สุด
“เฮ้ยยย!!!” ยังไม่ทันจะทำอะไร คนที่คิดว่าคงถอดใจไปแล้วกลับทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิด นี่มันบ้าอะไร เพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า
“พี่พายหายโกรธหนึ่งนะครับ หนึ่งผิดไปแล้ว” เสียงพูดที่อยู่ชิดติดใบหูทำให้อดที่จะขนลุกไม่ได้ ไหนจะแรงกอดกระชับจากข้างหลัง แล้วไอ้ที่แทนตัวเองด้วยชื่อนี่อีก คิดจะดิ้นให้อีกคนปล่อยแต่แขนแข็งแรงที่กอดมาจากด้านหลังกลับกระชับเอวเขาเข้ากับตัวเองแน่นยิ่งกว่าเดิม
กอด ใช่แล้วล่ะสิ่งที่ทำให้เขาตกใจจนต้องร้องออกมาก็คือการที่อีกคนเข้ามากอดเขาไว้แน่นจากด้านหลังทั้งๆที่เขาก็ยังคงนอนอยู่บนเตียง
“ปล่อย” “ไม่ จนกว่าพี่จะหายโกรธ หนึ่งจะไม่ยอมปล่อยเด็ดขาด” สรรพนามชวนขนลุกนี่มันคืออะไร แล้วใครสอนให้กอดเวลาง้อคนอื่น โดยเฉพาะกับผู้ชายด้วยกันแบบเขา หรืออีกคนจะทำแบบนี้กับพี่ชายของตัวเองด้วย แค่คิดภาพผู้ชายตัวบึกสองคนกอดกันก็ขนลุกแล้ว นี่คงจะเคยกอดง้อพี่ชายตัวเองบ่อยๆถึงได้กล้าทำแบบนี้กับเขาด้วย
“หนึ่งพี่บอกให้ปล่อย” รู้สึกได้ว่าหน้าของตัวเองมันร้อนๆ ใจก็เต้นระรัวขึ้นเรื่อยๆหวังว่าคนที่กอดเขาอยู่คงไม่ได้ยินเสียงหัวใจที่มันเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาข้างนอกนี่หรอกนะ
“ไม่” อีกฝ่ายยังคงปฏิเสธหนักแน่น แล้วซุกหน้าลงที่บ่าของเขา ยังยืนยันคำตอบของตัวเองด้วยการกอดเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม
“ปล่อยก่อนแล้วค่อยคุยกัน” ช่วยปล่อยก่อนที่เขาจะหัวใจวายตายไปซะก่อนได้ไหม
“หายโกรธหนึ่งก่อนนะครับ” น้ำเสียงออดอ้อนเบาๆดังอยู่ข้างหูทำให้เขาอ่อนใจและใจอ่อน ทำไมต้องทำตัวเหมือนลูกหมาอ้อนเจ้าของแบบนี้ด้วย หรือจะรู้ว่าเขาชอบไอ้สัตว์สี่ขานั่นถึงชอบมาอ้อนเวลาที่ทำให้โกรธกัน
“อืม ปล่อยได้แล้ว” “อะไรนะครับ ไม่ได้ยินเลย” นี่แกล้งเขาหรือเปล่า
“พี่ไม่โกรธแล้ว ปล่อยได้รึยังหนัก” “ปล่อยก็ได้ครับ” อีกฝ่ายขยับตัวลุกออกจากตัวของเขา แต่ก่อนที่อีกคนจะผละออกไปเขารู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างสัมผัสเบาๆที่ท้ายทอย แต่แค่แป๊บเดียวสัมผัสนั้นก็หายไปทำให้เขาเลิกที่จะใส่ใจมัน หันไปมองอีกคนที่ตอนนี้ผละออกจากตัวเขามานั่งส่งยิ้มให้อยู่บนเตียง ลุกขึ้นมานั่งเผชิญหน้ากับคนที่ยังทำให้หัวใจเขาเต้นแรงไม่หยุดอยู่ตอนนี้ พยายามบังคับสีหน้าของตัวเองให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
“พี่พายหายโกรธหนึ่งแล้วจริงๆนะครับ” คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าส่งสายตาที่มองยังไงมันก็ดูเหมือนกำลังอ้อนอยู่มาให้ ตัวก็โตยังจะมาทำตัวอ้อนเป็นเด็กๆคิดว่าน่ารักหรือไง แต่ก็คงน่ารักล่ะนะเขาถึงยอมใจอ่อนให้ตลอดแบบนี้
“อืม หายโกรธแล้วคราวหลังเป็นอะไรก็บอกด้วย จะได้ไม่ต้องห่วงว่าตายรึยัง” อย่าหายไปเฉยๆแบบนี้อีกเขาไม่ชอบ
เรื่องที่อีกคนอกหักความจริงก็อยากที่จะถามออกไป แต่ดูเหมือนว่าน้องชายเพื่อนสนิทคนนี้จะไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะยังสามารถส่งยิ้มระรื่นจนน่าหมั่นไส้มาให้เขาได้ เป็นแบบนี้ก็คงจะทำใจได้แล้วสินะ
“ครับ หนึ่งจะไม่หายไปอีกแล้วรับรองได้เลย” รับคำเสียงหนักแน่น พร้อมกับสายตามุ่งมั่นที่เหมือนจะมีนัยย์อะไรบางอย่างที่ส่งตรงมาให้เขามันทำให้รู้สึกแปลกซะจนหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกรอบ พยายามปัดความรู้สึกแปลกๆที่ตัวเองไม่เข้าใจทิ้งไป แล้วใช้มือคว้าลำคอของอีกคนมาใกล้แล้วขยี้ไปที่ผมสั้นนุ่มนิ่มแรงๆเป็นการลงโทษ
“ดีมากไอ้ลูกหมา” ดูเหมือนการที่อีกคนบอกว่าจะไม่หายไปอีกนั้นเป็นคำพูดที่เจ้าตัวไม่ได้พูดออกมาแค่ให้เขาหายโกรธ แต่ตั้งใจที่จะทำตามคำพูดของตัวเองอย่างเต็มที่ จนเรียกว่าอาจจะเต็มที่เกินไป เพราะ อีกฝ่ายเล่นเกาะติดเขายิ่งกว่าเดิมเสียอีก จากที่เคยบอกว่ามาหาพี่ชายก็กลับกลายเป็นว่ามาหาเขาที่คณะแทบทุกวัน ไม่แม้แต่จะถามหาพี่ชายของตัวเองอย่างเคยเวลาที่ไม่เห็นพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน ไม่เว้นแม้แต่วันเสาร์อาทิตย์ก็ยังมาหาที่หอพักชวนออกไปข้างนอกด้วยกันบ่อยๆ จนสงสัยว่าเดี๋ยวนี้อีกคนเลิกอาการติดพี่ชายไปแล้วหรืออย่างไร
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเราสองคน จุดเริ่มต้นของพวกเราเมื่อสองปีที่แล้วตอนนั้นเราสองคนยังคงเป็นแค่พี่น้องกัน แต่ตอนนี้สถานะของเราสองคนก็เรียกว่าเป็นคนรักกันได้อย่างเต็มปาก ส่วนเรื่องที่ว่าเราสองคนคบกันได้อย่างไรนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นความลับไปก่อนแล้วกัน
เขาจบออกมาสองปีแล้วในขณะที่อีกคนตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่ปีสาม เรื่องที่เคยกังวลว่าอาจจะไม่ได้เจอกันอีกหลังจากเรียนจบก็ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น กลับกลายเป็นได้เจอหน้ากันทุกวัน ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแบบที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่คบกันเรื่องแรกก็คงหนีไม่พ้นสรรพนามที่ใช้เรียกกัน จากหนึ่งกับพี่พายก็กลายมาเป็นหนึ่งกับพาย คำว่าพี่หายปลิวหายไปทันทีที่สถานะเปลี่ยน อีกคนให้เหตุผลว่า เพราะเขาไม่ใช่พี่แต่เป็นแฟน อีกอย่างการที่เรียกเขาว่าพี่ น้องชายของเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นคนรักบอกว่าทำให้ตัวเองดูเป็นเด็ก เจ้าตัวอยากจะเป็นผู้ใหญ่เพื่อที่จะสามารถดูแลเขาได้ ทั้งที่ความจริงเรื่องที่เจ้าตัวเด็กกว่าเขามันก็เป็นความจริงและเรื่องนี้มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับการที่จะทำให้อีกคนดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแต่อย่างใด แต่เขาก็ยอมเพราะทนสายตาอ้อนๆที่มองมาไม่ได้ เฮ้อออนี่เขาคงจะแพ้ทางอีกคนจริงๆ
ตั้งแต่คบกันมาน้องชายของเพื่อนสนิทคนนี้ไม่เคยทำให้เขาเสียใจที่ตัดสินใจคบกันเลย อาจจะมีทะเลาะกันบ้างแต่ก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ หนึ่งทำให้เขามั่นใจในความรักที่อีกฝ่ายมอบให้และเขาก็รักอีกฝ่ายไม่แพ้กันเราทั้งสองคนไม่สามารถที่จะหันไปมองใครได้อีกแล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องหึงหวงล่ะก็ถ้าบอกว่าไม่มีก็คงเป็นไปไม่ได้ ถึงจะบอกว่ามั่นใจในตัวคนรัก แต่เขาก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับลูกหมาของเขาหรอกนะ
“อืมมมมมมมมม”
เสียงครางในลำคอและแรงขยับจากคนที่นอนกอดเขาอยู่บนเตียงตอนนี้ทำให้หยุดความคิดทุกอย่างลงไปหลังจากที่ตื่นขึ้นมานอนมองหน้าของคนรักตัวเองได้สักพัก จะบอกว่าแอบมองก็ได้เพราะถ้าเป็นเวลาปกติที่อีกคนตื่นอยู่เขาก็ไม่ได้มีความกล้าพอที่จะมองหน้าคนที่กำลังนอนอยู่ข้างๆได้นานแบบนี้หรอกนะ
“หืมมม ตื่นแล้วเหรอครับ” คำถามที่ส่งมาด้วยเสียงที่แหบนิดๆหลังจากที่อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาและมองมาที่เขาซึ่งกำลังจับจ้องการกระทำของอีกคนอยู่
“อืม”
“ยังเช้าอยู่เลยนอนต่อนะครับ” ถ้าจะพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้เขาก็ไม่อยากขัดหรอกนะ
รู้สึกได้ถึงแรงกอดกระชับที่แน่นขึ้นจึงเลือกที่จะหลับตาลงซุกหน้าลงไปที่อ้อมกอดอบอุ่น สัมผัสบางเบาที่บริเวณศีรษะที่เดาว่าน่าจะเกิดจากมือของคนที่เขานอนซุกอยู่ลูบไปมา อากาศเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศทำให้เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาอีกครั้งหลัง
สัมผัสที่ได้รับมันทำให้รู้สึกดีจนเกือบจะเคลิ้มหลับไปจริงๆ ไหนจะมือที่ลูบอยู่ที่หลังนี่อีกคิดว่าตัวเองกล่อมลูกนอนอยู่หรืออยู่หรือไง ถึงจะคิดแบบนั้นแต่จริงๆแล้วเขากลับรู้สึกดีกับสัมผัสเหล่านั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้
ตอนที่เกือบจะเคลิ้มหลับไป เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นที่หน้าผากของตัวเอง แรงกดนั้นแช่อยู่สักพักก่อนที่จะระเรื่อยไปที่เปลือกตา แก้มทั้งสองข้าง จนมาจบลงที่ริมฝีปากสัมผัสหนักๆกดลงย้ำๆมาแต่ก็ไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาแต่อย่างใดนิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง อีกคนผละออกไปก่อนที่จะมีสัมผัสจากปลายจมูกโด่งกดลงที่แก้มทั้งสองข้างเสียงสูดลมหายใจแผ่วเบาดังมาให้ได้ยิน และจบลงด้วยสัมผัสเปียกชื้นที่แก้ม ถึงแม้จะง่วงจะแทบจะหลับไปแต่เขาก็รับรู้ถึงสัมผัสเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
อีกคนลูบผมของเขาอีกสองสามครั้ง ก่อนที่จะขยับตัวลุกขึ้นอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นที่กำลังจะหายไปทำให้เขาขยับตัวเพื่อไขว่คว้าความอบอบอุ่นนั้นคืนมา อีกฝ่ายชะงักนิ่งไปชั่วขณะแล้วก้มลงมากดจูบที่หน้าผากเขาอีกครั้งก่อนที่จะลุกออกไป รับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างมาแทนที่ความอบอุ่นที่หายไปจึงคว้ากอดสัมผัสนุ่มนิ่มนั้นไว้แม้ว่ามันจะทดแทนกันไม่ได้ก็ตามที
เป็นแบบนี้เสมอ คนรักของเขามักจะตื่นก่อนแทบทุกวันเพื่อที่จะไปเตรียมตัวทำอาหารเช้าสำหรับเราสองคน เพราะหากให้เขาเป็นคนลงมือทำเองนั้นห้องครัวอาจจะพินาศได้ คงไม่ต้องบรรยายถึงรสชาติของอาหารก็คงจะพอรู้ว่ามันเป็นยังไง การที่เราทำอาหารไม่เป็นแล้วมีคนรักที่ทำอาหารเป็นแถมยังอร่อยไม่แพ้ร้านดังๆนับว่าเป็นความโชคดีที่ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับทุกคน แต่เผอิญว่าเขาก็ดันเป็นหนึ่งในผู้โชคดีนั้น ไม่ได้มีแค่เรื่องนี้ที่ทำให้เขารู้สึกโชคดีมีอีกหลายอย่างที่น้องชายของเพื่อนสนิทคนนี้ทำเพื่อเขา แค่การที่อีกฝ่ายใจตรงกันกับเขามันก็ทำให้เขารู้สึกโชคดีและมีความสุขแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน
เพื่อนของเขามักจะแซวอยู่เสมอจนถึงทุกวันนี้ว่าเขาทำให้สาวๆทั้งมหาลัยต้องน้ำตาตกในด้วยความอิจฉาเพราะดันไปคว้าขวัญใจของคนในมหาลัยมาเป็นของตัวเอง อืม...ถ้าจะพูดกันตามตรงแล้วหนึ่งก็เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากคนหนึ่งการที่จะมีหลายๆคนมาชอบมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ตอนเริ่มคบกันแรกๆเขาก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ยังมีอีกหลายคนที่ดีและเหมาะกับหนึ่งมากกว่าเขาเสียอีก แต่อีกคนก็เหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นของเขาและพยายามที่จะทำให้เขามั่นใจในความรักระหว่างเราสองคน เมื่อมีคนถามว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน อีกฝ่ายก็ไม่ลังเลที่จะบอกว่าเราสองคนนั้นเป็นคนรักกัน ความมั่นคงและความชัดเจนนั้นมันทำให้ความกังวลต่างๆจางหายไปและกลายเป็นความเชื่อใจที่เพิ่มมากขึ้นเข้ามาแทนที่
“นอนนะครับเด็กดี” ก่อนที่จะจมกับความคิดของตัวเองไปไกลกว่านี้ เสียงของอีกคนก็ดึงเขากลับมาเสียก่อน แต่เด็กดีอะไรกัน ใครกันแน่ที่เด็กกว่ากันอยากจะลุกขึ้นโต้เถียงกับคำพูดนั้นแต่เปลือกตาก็หนักอึ้งเกินกว่าจะฝืนทนได้ สัมผัสอ่อนโยนที่ศีรษะทำให้ห้วงความคิดเริ่มขาดหายไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงปิดประตูเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่เขาจะจมลงไปในห้วงนิทรา
เป็นแบบนี้แล้วใครกันแน่ที่อิจฉากว่ากันไอ้ลูกหมา แล้วคุณล่ะคิดว่าใครที่น่าอิจฉากว่ากัน...
ย่องเอาตอนพิเศษมาลง หลังจากที่แต่งค้างไว้มากนานในที่สุดวันนี้ความขยันก็ได้เข้าสิงเข็นเอาตอนพิเศษมาลงจนได้ อ่านแล้วเป็นยังไงอย่าลืมมาคอมเม้นท์บอกกันนะคะอิอิ
สรุปแล้วหนึ่งกับพี่พายใครน่าอิจฉากว่ากันฮ่าาาาา
Blue colour.