สุดขีด 32แอ๊ด...ผ่านฉลุย ประตูไม่ได้ล็อก!ผมจรดเท้าเบาสุดชีวิต เข้าใกล้เตียงนอนขนาดใหญ่ หัวใจก็เต้นตุบตับ ไม่รู้ว่ามันจะเต้นอะไรนักหนา หรือเพราะแอบย่องขึ้นเตียงผู้ชาย? ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมปฏิบัติการอย่างเงียบเชียบแม้แต่ตัวเองยังต้องแปลกใจ เงียบกริบขนาดคนนอนบนเตียงไม่รู้สึกตัวเลย ในห้องมีแสงโคมไฟสว่างสลัวๆ ผมยืนชะเง้อคอมองก้อนเงามืดที่นิ่งไม่ขยับ ลมหายใจดังสม่ำเสมอ บ่งบอกให้รู้ว่ากำลังหลับสนิท
ปกติพี่เฮดีสเป็นคนมีความรู้สึกเร็วมาก ขนาดหนูวิ่งสะดุดขา(?)ใต้เตียงเขายังสะดุ้งตื่น แล้ววันนี้เป็นอะไรไป ผมเข้ามาใกล้ขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัวอีก หรืออาจจะเหนื่อยจนหลับเป็นตายแบบนี้ นั่นสินะ ตอนผมไม่ตื่นตั้งห้าวันเขาคงเป็นห่วงมากจนนอนยังไม่ยอมหลับล่ะมั้ง พอเห็นผมตื่นก็เลยโล่งนอนหลับสนิท
คิดแล้วก็อมยิ้ม...
ทำไมเล่า จะยิ้มเพราะมีแฟนน่ารักขนาดนี้ไม่ได้หรือไง?
ผมค่อยๆ หย่อนก้นนั่งลงบนเตียง ค่อยๆ กระดืบเข้าใกล้พร้อมสังเกตคนนอนหลับ เงียบ... อืม หลับได้สนิทยิ่งกว่าที่คิดซะอีก ผมคลานนุ่มนวลเข้าใกล้พี่เฮดีสที่นอนตะแคงข้าง หลับปุ๋ยไม่มีท่าทีจะตื่น ผมชะโงกมองใบหน้ายามนิทราของชายรูปงามชวนฝัน ผมหัวเราะเบาๆ
จ้าวนรกขี้เซาเอ๊ย!
เอ... ถ้าแอบจูบจะเป็นอะไรไหมน่า?
จู่ๆ ผมก็มีความคิดซุกซนชนิดที่เมื่อก่อนแค่คิดก็อายม้วนไปหลายวัน แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะอะไรน่ะเหรอ? โธ่เอ๊ย! จะมัวเหนียงอายกับคนรักไปไย โบราณท่านว่า อายครูไม่รู้วิชา อายภรรยาไม่มีบุตร! อายแฟนชีวิตรักก็ไร้สีสันน่ะสิ บางครั้งบางคราวเราก็ต้องใจกล้าหน้าด้านเพื่อความชุ่มชื่นหัวใจบ้าง
“เมื่อไรจะลักหลับสักทีล่ะ รอนานแล้ว”
“เฮ่ย ใครจะลักหลับกัน ก็แค่จะแอบจูบ...”
“จะทำอะไรก็ทำเถอะ อย่าเอาแต่คิดเลย”
เอ่อ นั่นสิ ผมควรลงมือทำได้แล้ว อย่าเอาแต่คิด....
“.......”
เอ๊ะ นี่ผมกำลังคุยอยู่กับใครกันวะ?
ขมวดคิ้วเหลือบมองคนที่นอนอยู่ อีกฝ่ายยังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว หือ เมื่อกี้ผมคิดไปเองแล้วก็โต้ตอบกับตัวเองหรอกหรือเนี่ย นั่นสิ เขาหลับอยู่จะคุยได้ยังไงล่ะ นอกจากจะละเมอ ผมจ้องคนนอนอย่างเคลือบแคลง สักพักก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แกล้งบ่นพึมพำ
“เฮ้อ ไม่ทำแหละ จูบคนหลับจะไปรู้สึกอะไร จูบตอนตื่นก็ว่าไปอย่างล่ะนะ”
“....ตื่นแล้ว” คนแกล้งหลับนิ่งไปนาน ก่อนจะตัดสินใจลืมตาพร้อมกับเอ่ยบอกด้วยหน้าราบเรียบ
ผมทั้งขันทั้งฉิวคนแกล้งหลับ มิน่าเล่าทำไมผมถึงได้เข้ามาในห้องได้ง่ายๆ ขนาดนี้ น่าจะเอะใจตั้งแต่ประตูไม่ล็อกแล้วนะ! พี่เฮดีสลืมตาใส ไม่มีแววง่วง ลุกขึ้นเอ่ยทวง
“จูบสิ ไหนบอกว่าถ้าตื่นจะจูบ”
“ผมบอกตอนไหนว่าตื่นแล้วจะจูบหือ?” ผมยิ้มรับหวานหยดตอบกลับ ไม่ยอมเพลี่ยงพล้ำให้แก่จ้าวนรกที่ต้องการเอารัดเอาเปรียบทางกาย พี่เฮดีสจ้องผมนิ่ง ผมก็ฉีกยิ้มให้อย่างใสซื่อ
“คิดดีๆ เมื่อกี้ผมไม่ได้พูดว่าจะจูบสักหน่อย”
“....เดี๋ยวนี้เจ้าเล่ห์” คนอดจูบถอนหายใจ ตัดพ้อต่อว่าทางสายตา ผมยักไหล่รับ แน่นอนล่ะ ถ้าหากไม่มีเล่ห์บ้างจะจัดการกับจ้าวนรกที่ชอบโกหกหน้าตายได้ยังไงเล่า!?
“อืม แล้วไม่รักเหรอ?”
“หึ นายรู้สึกยังไง ฉันก็รู้สึกอย่างนั้น”
“โอ้โฮแหะ พี่นี่ ไม่คิดจะเสียเปรียบพูดก่อนเลยนะครับ ยอมให้เลยจริงๆ”
“ยอม?”
“....ผมหมายถึงยอมแพ้ ไม่ขอเถียงกับพี่ ไม่ใช่ยอมอย่างว่านั้น”
“....”
“ทำไมพี่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ?” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นเขาจ้องผมเสียเขม็ง ไม่ยอมกะพริบ ชักจะใจคอไม่ดี ถึงจะใจกล้าบุกเข้าถ้ำเสือ แต่ผมก็ไม่อยากได้พ่อเสือหรอกนะ ดีไม่ดีไม่ได้ลูกเสือแล้วอาจโดนพ่อเสือขย้ำกินเสียอีก
พี่เฮดีสมองผม สายตาเหมือนจะอมยิ้ม เขาขยับตัวเล็กน้อยดึงผมเข้าไปใกล้
“รอนายอยู่”
“...ถ้าผมไม่มาล่ะ?”
“นายมาแน่”
ทำไมพูดซะมั่นใจแบบนั้นว่าผมจะมาหา หมั่นไส้ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายตอบกลับด้วยความมั่นใจอันล้นเปี่ยมยิ่งหมั่นไส้เข้าไปใหญ่ ผมก้มมองชุดนอนสีดำของเขา ยังดีนะที่ใส่ชุดนอนเรียบร้อยอยู่ ผมหันมองไปรอบๆ ปล่อยให้เขากอดตามสะดวก จะว่าไปแล้วเป็นครั้งแรกที่ผมเข้ามาในห้องพี่เฮดีสของคฤหาสน์หลังนี้
อ่าฮะ ไม่หยักจะมีสีดำเหมือนที่คอนโดฯ เลย เป็นห้องที่ปกติธรรมดาคล้ายกับห้องที่ผมพักอยู่
“นี่ห้องพี่จริงๆ เหรอ?”
“ใช่ ทำไม?”
“ดูปกติธรรมดากว่าที่ผมคิดเอาไว้อีก”
ใช่ ไม่หลุดโลกเหมือนถ้ำดำส่วนตัวของพี่เลยสักนิด ไม่มีรสนิยมคลั่งไคล้สีดำเข้าเส้นให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งเช่นเดียวกับที่คอนโด ที่นั้นแม้จะกลางวันก็กลายเป็นกลางคืน ดำไปซะทุกอย่าง ถ้าให้วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาล่ะก็...สรุปได้ว่าไร้รสนิยมสุดๆ แต่ห้องนี้กลับตกแต่งสวยงามเลิศหรู เข้ากับตัวคฤหาสน์อันกว้างขวางสง่างาม
“พ่อบ้านเป็นคนดูแลน่ะ”
มิน่าล่ะ! ห้องนี้ถึงไม่เป็นถ้ำดำเหมือนห้องที่คอนโดส่วนตัวของเขา
“ครั้งหน้าเรามาค้างที่นี้แทนคอนโดดีกว่าไหมครับ?” ผมหันกลับมามองเขาแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มนิดๆ พี่เฮดีสหรุบตามองผมไม่ตอบ ท่าทางจะไม่ค่อยปลื้มกับข้อเสนอนี้ ผมแอบปลงตกในใจ เหมือนว่าผมจะหนีไม่พ้นไอ้ถ้ำสีดำนั่นจนได้สิน่า เอาเถอะ อยู่ที่ไหนก็ได้ ขอแค่ได้อยู่กับเขาก็พอ
พี่เฮดีสขยับตัวนอนลง ผมก็เอนตัวนอนตาม แอบเนียนปีนป่ายอิงร่างแข็งแกร่งของเขา อุณหภูมิจากร่างของเขาถ่ายเทมาที่ผมทำให้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยกว่าตอนที่นอนอยู่คนเดียว ผมถอนหายใจแผ่ว
“อ๊ะ จริงสิ” ผมผงกหัวขึ้นพร้อมร้องอุทานเบาๆ เมื่อคิดอะไรได้
อาจจะเพราะมีหลายๆ เรื่องเข้ามาทำให้ผมลืมถามเกี่ยวกับพวกเด็กๆ ไปเสียสนิท ไม่รู้ว่าตอนนี้ฝาแฝดสองคนนั้นจะเป็นยังไง ยิ่งท่าทางที่แสดงชัดถึงความเป็นปรปักษ์ของพี่เฮดีสที่มีต่อพ่อของพวกเด็กๆ ผมก็แอบหวาดหวั่นว่าพี่เฮดีสจะทำอะไรพวกเขาหรือเปล่า ถึงจะคิดว่าพี่เฮดีสไม่น่าจะเอาความแค้นต่อพ่อลงที่พวกเด็กๆ ก็เถอะ แต่ก็อดเป็นห่วงพวกเขาไม่ได้ กลัวว่าพี่เฮดีสจะส่งกลับไปอยู่กับพ่อแท้ๆ แล้ว ผมไม่อยากให้พวกเด็กๆ กลับไปอยู่กับทางนั้นเลย ขืนไปอยู่กับไนซ์คนนั้นรวมทั้งยายป้าแก้วตา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไมนอสกับแมนทีสจะโตมาเป็นคนยังไง
“พวกเด็กๆ ล่ะครับ? พวกเขาจะเป็นยังไงกันบ้าง? หรือว่ากลับไปอยู่กับพ่อพวกเขาแล้ว?”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เด็กพวกนั้นอยู่ที่นี้ดีแล้ว” พี่เฮดีสตอบก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาไม่พอใจ เขาทำเสียงขึ้นจมูกเอ่ยเสียงห้วน “ฮึ ฉันแยกแยะได้หรอกน่า” คนแยกแยะได้หลับตาหันหน้าหนีไปทางอื่นบ่นพึมพำคล้ายจะตัดพ้อน้อยใจ “ในหัวกลวงๆ ของนายคิดว่าฉันเป็นคนยังไงกันแน่”
ผมรีบยิ้มเอาใจอีกฝ่าย
“แน่อยู่แล้วว่าในหัวกลวงๆ ของผมคิดว่าพี่เป็นผู้ชายที่ดีที่สุด”
“ฮึ!”
ผู้ชายที่ดีที่สุดทำเสียงขึ้นจมูกคล้ายจะบอกว่าตนยังไม่หายเคืองง่ายๆ ผมแอบยิ้มขำ ซบศีรษะกระแซะตัวเข้าหาเขาจนแนบชิดแทบจะเกยทับกัน
ผมเงยหน้าพร้อมยิ้มหวานให้กับเขา พี่เฮดีสเหลือบมามองอยู่นานจนผมเริ่มเขินซะเอง อะไรเล่า ถ้าจะจ้องกันด้วยสายตาเหมือนอดยากปากแห้งแบบนั้นแล้วล่ะก็... อย่ามัวเอาแต่มองอยู่เลย จะทำอะไรผมก็ไม่ว่าหรอกน่า อุตส่าห์ป้อนให้ถึงปากขนาดนี้ จะทำอะไรก็ทำเถอะ!
เราสบตากันเงียบๆ ร่างกายของเราคล้ายถูกดึงดูดเข้าหากัน ใบหน้าใกล้ทีละนิด ผมใจเต้น หรี่ตาพร้อมรับสัมผัสด้วยความตื่นเต้น
“นอนเถอะ” พี่เฮดีสชะงักตัวแล้วเอ่ยตัดบท หันหน้าหนีหลับตาไปซะดื้อๆ เบรกอารมณ์ของผมที่กำลังเคลิ้มเสียหัวทิ่ม
ผมลืมตา อ้าปากเหวอ อีกนิดเดียวแท้ๆ! โธ่เอ๊ย แค่จูบเอง จูบราตรีสวัสดิ์ไง! ผมพยายามข่มอารมณ์ขุ่นมัวจากอาการค้างเติ่ง ขมวดคิ้ว จ้องใบหน้าหล่อเหลาที่หลับตาพริ้มคล้ายจะหลับไปแล้วจริงๆ เฮ่ย นี่หลับจริงๆ งั้นเหรอ!? ผมยื่นปากไม่พอใจ เผลอตัวกลืนดีหมี ยกตัวประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากสวยได้รูป
ครั้งแรก...
นิ่งสนิท
จูบซ้ำอีกครั้ง
ยังนิ่ง...
ดี! นิ่งต่อไปนั่นแหละ
ผมก้มแตะริมฝีปากของเขาซ้ำไปมา ยิ้มเมื่ออีกฝ่ายเริ่มขยับตัวขยุกขยิกไปมา หึๆ นึกว่าจะนอนแน่นิ่งเป็นท่อนไม้ไปแล้วเสียอีก ผมก้มหน้าเลียริมฝีปากของเขาแผล็บเหมือนหยอกเล่น พี่เฮดีสทำเสียงในลำคอเหมือนขู่คำราม แต่ผมไม่สนใจ ก่อกวนต่ออย่างมีเจตนา(ไม่บริสุทธิ์)
เขาขบกรามแน่น คำรามในลำคอ ไม่ทันตั้งตัว ผมก็ถูกกดท้ายทอยบดริมฝีปากอย่างรุนแรง ปลายลิ้นนุ่มรื่นสอดเกี่ยวกระหวัดเข้าไปในโพรงปาก กวาดดุนดันมีชั้นเชิงต่างจากการแตะปากแบบเด็กอนุบาลของผม มือของเขานวดเคล้นไปทั่วตัว จุมพิตร้อนแรงจุดประกายความต้องการในตัวให้ลุกพรึบ ผมครางเสียงแผ่วคล้ายอาลัยที่อีกฝ่ายถอดริมฝีปากจากไป เสียงหอบหายใจของพี่เฮดีสดังมาก
“ไม่อยากนอนแล้วใช่ไหม?” เขากัดฟันถามเหมือนข่มความต้องการเอาไว้สุดขีด
“อยากนอนสิ... แต่หลังจากนี้ก็ได้”
“อยากนอนก็นอนเดี๋ยวนี้!”
“แต่ผมคิดถึงพี่นะ”
“แม่ง! ไม่ต้องนอนมันแล้ว”ระหว่างลาพักผมอยู่บ้านของพี่เฮดีส ผ่านไปหลายวันพักผ่อนจนร่างกายแข็งแรงเข้าที่เข้าทาง คุณหมอก็มาตรวจเช็คสภาพร่างกายของผม เนื่องจากผมเพิ่งฟื้นร่างกายจึงอ่อนแรง งดออกแรงที่ต้องหักโหมร่างกายจะได้พักฟื้นเต็มที่ แต่ทว่าเราทำกันทุกวันเลย เป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมฟื้นตัวได้ช้า พี่ซูสก็ลากน้องชายไปอบรมอย่างเข้มข้น
พี่เฮดีสยืนรับฟังด้วยสีหน้าราบนิ่ง ส่วนผมก็แอบขำ หึๆ ยิ่งได้ยินที่พี่ซูสบ่นพี่เฮดีสเรื่องการควบคุมอารมณ์แล้วยิ่งขำ พี่เฮดีสก็คือพี่เฮดีส ควบคุมตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมเสมออยู่แล้ว แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าผมให้ความร่วมมือด้วยหรือเปล่า ซึ่งบอกตามตรงผมเป็นคนทำลายปราการการควบคุมของเขาเองแหละ
“มัม หัวเราะอะไรอะ?” ไมนอสถามผม ใบหน้ากลมปุ๊กแก้มยุ้ยเอียงมองผม ทำปากจู๋อย่างสงสัย ผมก้มมองเด็กน้อยฝาแฝดทั้งสองที่กำลังเล่นรถแข่งกระป๋องที่คุณลุงซูสเป็นคนมอบอภินันทนาการชิ้นนี้อย่างใจป้ำ ผมยิ้มกว้าง เด็กทั้งสองก็ยิ้มตามผมอย่างใสซื่อ
“หัวเราะคนที่ถูกคุณลุงซูสว่าน่ะสิ”
“คนที่ถูกคุณลุงว่าต้องเป็นเด็กไม่ดีแน่เลย” แมนทีสทำหน้าจริงจังจนผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง อ่า ใช่เลย เด็กไม่ดีที่ตลอดสามปีนัวเนียกับคนอื่นหน้าตาเฉยยังไงล่ะ ผมไม่ได้โกรธ ก็แค่เคืองนิดหน่อยเท่านั้นเอ๊ง
“พวกเราเป็นเด็กดีใช่ไหมฮะมัม?” ไมนอสช้อนตาโตๆ มองอย่างออดอ้อนน่ารักน่าเอ็นดู ผมพยักหน้า ยื่นมือไปหยิกแก้มยุ้ยของเด็กน้อยทั้งสองที่รีบนั่งทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยได้อย่างน่าหมั่นเขี้ยว
“ครับ ทั้งสองเป็นเด็กดี”
“ป่อเป็นเด็กไม่ดี / เด็กไม่ดีมานู้นแล้ว” สองหน่อส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเมื่อเห็นคุณลุงซูสเดินมาพร้อมกับคุณพ่อผู้กลายเป็นตัวอย่างไม่ดีของเด็ก คุณลุงซูสอมยิ้มละไมพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนเด็กไม่ดีจิกตาใส่ผมที่ทำหน้าเหลอหลาไม่รู้ไม่ชี้
ไมนอสกับแมนทีสลุกขึ้นพุ่งหาพี่เฮดีส ไปคลอเคลียเกาะแข้งเกาะขาเหมือนลูกแมวลูกหมา
“ป่อรู้ปะ เด็กไม่ดีต้องถูกทำโทษนะ”
“ใช่ๆ วันนี้ให้พวกเราไปนอนด้วยเลย”
“ใช่! นี่คือการลงโทษ”
เจ้าพวกลูกแมวพวกนี้นี่ ผมอ้าปากเหวอ ไม่คิดว่าเด็กพวกนี้จะฉลาดฉวยโอกาสได้อย่างเหมาะเจาะ หลายวันที่ผ่านมานี้ทั้งสองอยากจะไปนอนกับพวกผม ทั้งอ้อนทั้งตื้อจะนอนด้วยให้ได้ แน่นอนว่าทุกครั้งไม่สำเร็จแต่ครั้งนี้จะรุกได้ถูกจุด พี่ซูสพยักหน้าคล้อยตาม สงสัยจะคิดว่าถ้าเอาเด็กๆ มานอนด้วย พวกผมก็จะไม่สามารถทำอะไรได้สะดวกแน่ๆ ส่วนพี่เฮดีสน่ะเหรอ เชอะ มองมาทางผมด้วยสายตาลังเล รู้หรอกว่าเสแสร้ง!
เห็นพ่อเงียบ เด็กทั้งสองก็รุกคืบต่อไม่ยอมเสียจังหวะ ผมถอนหายใจเบาๆ เงยหน้าจ้องคุณพ่อขายาวเพื่อให้อีกฝ่ายหาทางออก พี่เฮดีสพยักหน้ารับแล้วก้มมองเด็กๆ
“ไม่ต้องให้ไมนอสกับแมนทีสลงโทษหรอก มัมจะลงโทษพ่อเอง ใช่ไหมล่ะ หือ?” เขาพูดเสียงนุ่มนวลแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามผม หางเสียงหยอกเย้าจนผมต้องย่นหน้าใส่ พวกเด็กๆ ทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ ทั้งสองมองมาที่ผมแล้วทำเสียงขึ้นจมูกอย่างน่ารักน่าชัง
ช่วยไม่ได้นะเด็กๆ ตอนกลางคืนเป็นเวลาส่วนตัวของป่อกะมัม!
“เอาล่ะๆ รัญพาเด็กๆ ไปเล่นข้างนอกก่อนได้ไหม พอดีพวกผมจะต้องคุยธุระสำคัญกับแขกคนสำคัญน่ะ” พี่ซูสหันมาบอกกับผมแล้วพยักหน้าไปทางเด็กๆ แม้จะแปลกใจแต่ผมก็พยักหน้ารับ ลุกขึ้นไปจูงมือพวกเด็กๆ เดินออกไปจากห้อง
มันแปลกที่พี่ซูสจะเชิญพวกผมออกจากห้องนั้นกลายๆ แบบนี้ แขกคนสำคัญคนนั้นเป็นใครกันนะ เดินไปได้ไม่เท่าไรคุณพ่อบ้านที่คล้ายยืนรอพวกผมอยู่ก่อนแล้วก็เรียกผมกับเด็กๆ ให้เดินตามไป แบบนี้ยิ่งน่าสงสัยไปกันใหญ่น่ะสิ แขกที่ไม่อยากให้ผมกับเด็กๆ ได้เจอขนาดต้องล่อด้วยขนมกับของเล่นแบบนี้คงจะมีไม่กี่คนหรอก สังหรณ์ใจว่าจะเป็นคนๆ นั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไล่ออกมาห่างขนาดนี้เหรอ
ไนซ์...ไม่สิ ผมต้องเรียกชื่อจริงๆ ของเขา...
‘เฮเคต’ มาที่นี้สินะ!เขามาทำไมกัน? ผมครุ่นคิดกับตัวเอง ขมวดคิ้วด้วยความว้าวุ่นใจ นี่เขากล้ามาที่นี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ น่าแปลกก็ตรงที่พี่เฮดีสไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจหรือต่อต้าน แสดงว่าเขายอมให้อีกฝ่ายเข้ามาแต่โดยดี เอ๊ะ หรือว่ามันจะเป็นแผนที่ล่อให้ศัตรูเข้ามาแล้วปิดประตูลงมือตีหัว?
นั่งอยู่นี้ก็ได้แต่เดาไปเรื่อย ไม่เข้าใกล้ความเป็นจริงเลยสักนิด ผมเริ่มหงุดหงิด ความอยากรู้อยากเห็นเข้าครอบงำจิตใจ แม้แต่ขนมที่คุณพ่อบ้านเอามาล่อจะอร่อยแค่ไหน ก็ไม่ทำให้ผมละความสนใจจากเรื่องนี้ไปได้เลย ได้แต่นั่งทำหน้าหงิกมองเด็กๆ วิ่งเล่น
“คุณพ่อบ้านครับ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง ฝากดูเด็กๆ ด้วยนะครับ”
“ได้ครับ”
ผมรีบเดินกลับคฤหาสน์ จะไปเข้าห้องน้ำจริงๆ นะ ปวดจริงๆ ไม่ได้โกหกตอแหลอะไรทั้งนั้น! ระหว่างทางไปห้องน้ำผมจะเห็นหรือได้ยินอะไรนั้น มันก็อีกเรื่อง ผมเดินเข้าห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด หลังจากปลดเปลื้องภาระออกจากร่างกายเสร็จก็วิ่งเหยาะๆ ไปเกาะตามผนังกำแพง เนียนไปตามเสา เลาะไปที่ห้องโถงรับแขก
“ไม่อยากจะเชื่อ...ฮึก...ลูก...ยังมีชีวิตอยู่!”
ผมชะงักหลบหลังตู้พร้อมกับชะโงกหน้าไปดูสถานการณ์ในห้อง
เสียงเมื่อกี้นี้มันใครกันอะ คุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก จำได้ว่าเคยได้ยินเสียงนี้มาจากไหนสักแห่ง ผมเขม็งสายตามองภาพรวมด้วยการกวาดสายตารวดเร็ว ในห้องมีพี่ซูส พี่เฮดีส ชายใส่สูทสีเทาสว่างซึ่งผมไม่รู้จัก ส่วนอีกสองคนยืนกอดกันกลม ฝ่ายผู้หญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่วนฝ่ายชายกอดพลางลูบหลังปลอบโยน
ผมผงะ แล้วเขม็งมองให้ชัดเจน
...เฮเคต!? แล้วนั่นเขากอดอยู่กับใครน่ะ? ฟังจากที่ฝ่ายหญิงสะอึกสะอื้นออกมาเป็นวรรคเป็นเว้น ผมพอจะคาดเดาได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะเป็นคุณดวงตา แม่ของพี่เฮดีส! ไม่ต้องถามนะว่าทำไมนึกไม่ออกตั้งแต่แรก คือผมยังไม่เคยเจอกับแม่ของพี่เฮดีสเลย ช่วงที่ผ่านมาผมไม่มีโอกาสได้เจอท่าน อยากเลียบๆ เคียงๆ ถามอยู่เหมือนกัน มาอยู่บ้านของท่านแล้วไม่ไปทักทายแนะนำตัว มันเสียมารยาทใช่ไหมล่ะครับ ไอ้ผมถึงจะเป็นลูกชาวบ้านแต่ครอบครัวก็สั่งสอนมาดีเหมือนกันนะ แต่จนแล้วจนรอดพี่เฮดีสก็ไม่พาไปเปิดตัว อะแฮ่ม แนะนำตัวกับแม่ของเขาเลย
พี่ซูสกับพี่เฮดีสทำหน้านิ่งกันมากกกก โดยเฉพาะพี่เฮดีส มองจากที่ไกลๆ แบบนี้เหมือนเขากลายร่างเป็นรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งเหมือนจริง แม่ของพี่เฮดีสสะอึกสะอื้นไปไม่เท่าไรก็ถูกชายสูทสีเทาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นทางการ ผมผึ่งหูออกกว้างเพื่อจะได้ฟังได้ชัด
“ที่ผมมารบกวนทุกคนในวันนี้ ก็เพราะต้องการนำพินัยกรรมของคุณโอเชียนัสมาเปิดต่อหน้าทายาทของเขา ตามพินัยกรรมที่ได้ระบุไว้ ต้องขออภัยที่ทางเราดำเนินการล่าช้า เนื่องจากทางเราเพิ่งตามหาคุณเฮเคตพบ ตามเงื่อนไขที่คุณโอเชียนัสได้ระบุไว้ว่าต้องเปิดพินัยกรรมนี่ต่อหน้าบุตรทุกคน...”
“ผมเข้าใจครับ แต่ทว่าตอนนี้โพไซดอนน้องชายของผมไม่ได้อยู่ เกรงว่าการเปิดพินัยกรรมจะไม่เป็นไปตามเงื่อนไข อย่างไรก็ให้ทางเราตามตัวเขากลับมาก่อนแล้วค่อยเปิดพินัยกรรมดีไหมครับ?” พี่ซูสยิ้มประดับใบหน้าอย่างสง่างาม รอยยิ้มนั่นส่งให้เขาดูสูงส่งราวราชาเผยความน่าเกรงขามออกมาได้อย่างไร้ที่ติ ชายสูทเทาที่น่าจะเป็นทนายประจำตระกูลเงียบไป เขามองเจ้าบ้านที่ยังยิ้มรักษามารยาทแล้วหันไปมองคนอื่นๆ ในห้อง ทิ้งสายตาที่เฮเคตแล้วหันกลับมามองพี่ซูสอีกครั้ง
“เกรงว่าจะไม่ได้ครับ เพราะหากปล่อยช้าไปมากกว่านี้ ทางเราจะลำบากเพราะพันธะผูกมัด อีกอย่างคุณโพไซดอนที่เป็นบุตรบุญธรรม ไม่นับว่าเป็นบุตรแท้จริงของคุณโอเชียนัสอยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าผิดเงื่อนไขแต่อย่างใด ขออภัยด้วยจริงๆ” ทนายคนนั้นปฏิเสธข้อเสนออย่างหนักแน่น ท่าทางไม่สนใจ มุ่งแต่จะทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้นอย่างเดียว
ผมเบิกตากว้าง คนๆ นั้นบอกว่าพี่โพไซดอนเป็นลูกบุญธรรม!? ไม่จริงน่า พี่โพไซดอนรักพ่อขนาดนั้นแท้ๆ อีกอย่างเขาเองก็รักเอ็นดูพี่น้องทุกคนดี... มันก็เป็นไปได้ ผมเองก็เคยสงสัยที่พี่โพไซดอนหน้าตาไม่เหมือนพี่ซูสหรือพี่เฮดีสเลย นึกว่าเหมือนทางแม่มากซะอีก แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ นี่เอง
“นั่นสินะ เขาเป็นลูกบุญธรรมนี่น่า” เฮเคตเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าติดยิ้ม ท่าทางเหมือนไม่มีอะไรนอกเสียจากเพิ่งนึกได้อย่างใสซื่อ ผมจ้องเขาที่มีท่าทางไม่ต่างจากที่เจอที่โรงพยาบาล ยังคงเหมือนแสงตะวันอ่อนๆ ที่ยิ้มฉายแสงสว่างไสว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนเดียวกันที่ทำเรื่องเลวร้ายกับผมคนนั้น
“แม้เขาจะเป็นลูกบุญธรรมแต่ก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวของเรา จำไว้เฮเคต” พี่ซูสหันไปมองน้องชายฝาแฝดอีกคนแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม น้ำเสียงกลับเย็นชาเป็นพายุหิมะ ไม่ต้องเป็นคนเจนจัดมากก็รับรู้ถึงโทสะของพี่ซูสที่พยายามข่มไว้ใต้รอยยิ้ม ขนาดผมอยู่ไกลขนาดนี้ยังอดขนลุกเกรียวไม่ได้
เฮเคตหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ เอ่ยรับอย่างจริงใจ
“ครับพี่ซูส”
ครืนนนน!คิดไปเองหรือเปล่า ผมคล้ายเห็นกระแสไฟแล่นครืนครานระหว่างพี่ซูสกับเฮเคต พี่ซูสเจนจัดกับการเข้าสังคม เขาพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มไม่ติดใจอะไร หรุบตาลงพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นมาจิบด้วยท่วงท่าสง่างามเป็นปกติ แม่ของสองหนุ่มฝาแฝดที่นั่งข้างลูกชายที่เพิ่งพบมองคนนั้นคนนู้นที สีหน้าเลิ่กลั่กไม่เข้าใจ ส่วนพี่เฮดีสก็ยังคงไม่พูดอะไร จ้องฝาแฝดของตัวเองด้วยใบหน้าคาดเดายาก
คุณทนายกระแอมทำหน้าขรึมทำลายบรรยากาศอันหนักอึ้งลง ผมที่อึดอัดตามไปก็โล่ง นึกว่าจะมีสงครามลงซะแล้ว โชคดีที่คุณทนายลงมือได้ถูกจังหวะ ดึงกลับเข้าเรื่อง คุณทนายเริ่มเปิดพินัยกรรม ร่ายบทกฎหมายอะไรก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ ไม่ใช่กฎหมายของไทยแน่นอน กฎหมายของตระกูลแล้วอะไรอีกเยอะแยะก่ายกอง ผมฟังแล้วมึนไม่รู้เรื่องจึงถอนตัวออกจากแนวรบไป
ก็รู้แล้วนี่ว่าเฮเคตมาที่นี้ทำไม ผมไม่จำเป็นต้องอยู่ฟังพินัยกรรมเรื่องในครอบครัวของคนอื่น ตอนแรกนึกว่าพี่เฮดีสวางแผนล่อลวงศัตรูเข้ามาฆ่าซะอีก ไม่ใช่ผมก็โล่งใจ ถึงผมไม่คิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องระหว่างพี่น้อง แต่ผมก็อดเป็นห่วงพี่เฮดีสไม่ได้อยู่ดี ผมตั้งใจเดินย้อนกลับไปหาเด็กๆ ออกมานานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าคุณพ่อบ้านคิดว่าขนมทำให้ผมท้องเสียไปแล้วหรือยัง
ผมสะดุ้งโหยง มีใครบางคนกระชากผมจนเสียหลัก จะส่งเสียงก็มีแค่เสียงอู้อี้ในลำคอ มือขนาดใหญ่ปิดปากผมเอาไว้แน่น ผมพยายามจะดิ้น คนๆ นั้นกอดรัดผมไว้จากด้านหลัง ไม่ยอมให้ผมดิ้นหนีได้ หัวเราะเสียงแหบต่ำทำให้ผมตัวสั่น สมองหลงลืมทุกอย่างแม้กระทั่งสั่งให้ร่างกายหนีรอดจากการจับกุม
เสียงหัวเราะที่ทำให้ผมนึกถึงความทรงจำเลวร้ายเมื่อสามปีก่อน ตัวผมชาวาบ มือเย็นเฉียบ
ไม่จริงน่ะ เขามาอยู่ที่นี้ได้ยังไง ก็เมื่อกี้นี้เขายังอยู่ที่ห้องโถงกับพวกพี่เฮดีสอยู่เลยนี่!
“หึๆ พวกเรามาจบเรื่องนี้กันดีกว่า เนรัญ”TBC.เนเน่จะโดนลักพาตัว? หรือว่าเฮดีสจะมาช่วยไว้ได้ทัน?
ติดตามตอนต่อไป!