ขอโทษที่มาอัพให้ช้านะครับ
มาอ่านตอนที่ 10 ต่อกันเลยครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO chapter# 10 พิรุณากำลังลองขีดๆเขียนเพลงให้ได้สักเพลงหนึ่ง แต่ช่วงนี้มันดูไม่ค่อยมีแก่ใจจะแต่งเพลงเลย หลังจากที่เขาแต่งเพลงที่ถูกขอให้ช่วยแต่งเสร็จ สมองของเขาก็ดูเหมือนจะปิดระบบการทำงานลงเสียโดยสิ้นเชิง พิรุณาเริ่มหงุดหงิดกับตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ จึงเปลี่ยนความสนใจจากการพยายามแต่งอะไรสักอย่างออกมาเป็นการเล่นไปเรื่อย นิ้วเรียวที่ตัดเล็บสั้นเรียบเริ่มโลดแล่นไปตามคีย์เป็นเพลงอะไรก็ได้ที่เขาจำได้ เกรซเดินเข้าๆออกๆหลังบ้านจึงได้ยินเสียงปองฮัมเพลง เกรซลอบฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจ เสียงปองคลอไปกับเสียงนุ่มๆของเปียโนได้เข้ากันดีมากทีเดียว ดวงตาสีฟ้าใสลอบมองชายหนุ่มร่างโปร่งดูบอบบางที่กำลังล้างจานอย่างใช้ความคิด จนปองรู้สึกได้
“อะไรหรอครับ?” ปองถามเพราะเห็นเกรซจ้องเขาตาไม่กระพริบ
“อ้อ...เปล่าๆ แชมพูน้องหมาอยู่ไหน”เกรซรีบกลบเกลื่อน จังหวะที่ปองหันหลังแล้วก้มลงหยิบสิ่งที่เธอถามหา เกรซก็อดปล่อยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาไม่ได้
“คุณปองเสียงดีเหมือนกันนะ”
“เอ๊ะ!! ได้ยินหรอครับ” ปองถามอย่างตกใจ ดวงหน้าขาวนั้นซับสีเลือดเรื่อๆ
“นี่...สนใจจะเป็นนักร้องไหม?”
“คุณเกรซอย่าล้อเล่นสิครับ แค่งานของคุณพิรุณาผมก็จะแย่แล้วล่ะครับ”
“ก็ถือซะว่าทำงานให้พิรุณาไง”เกรซฉีกยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์
“คงไม่ดีมั้งครับ”
“ดีสิ ดีแน่ๆ อย่างน้อยก็ลองดูหน่อยน่า~นะ”เกรซรีบฉวยข้อมือปองเดินเข้าไปหาพิรุณาที่กำลังเล่นเปียโน
‘ชั้นรู้แล้วว่าจะเอาใครร้องเพลงให้แจค’เกรซส่งภาษามือให้พิรุณาที่หันมาสนใจคนทั้งคู่เต็มที่
‘ใครล่ะ?’ เกรซผ่ายมือราวกับพิธีกรบนเวทีไปที่ปอง ดวงตาสีน้ำตาลแดงของพิรุณามองตาม เห็นปองทำหน้าปุเลี่ยน
‘ปองหรอ? แน่ใจอ่ะ ดูเจ้าตัวไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่เลยนะ’
‘แหม ลองดูก่อนก็ได้นี่’ เกรซรีบยัดเยียดโน้ตที่พิรุณาเขียนให้เจ้าตัว แล้วรีบส่งเนื้อร้องที่ แจค รุ่นพี่นักเขียนเพลงส่งมาให้ลองดูให้ปอง
‘ลองเล่นสักรอบให้คุณปองพอจับเมโลดี้ได้หน่อยดิ’พิรุณาทำยักคอไปมาแล้วหันกลับไป
นิ้วเรียวกดลงบนคีย์อย่างชัดเจนทุกตัวโน้ต เสียงอินโทรอบอุ่นอ่อนหวานทำให้ปองชักเริ่มกล้าๆกลัวๆ เกรซช่วยอธิบายให้ว่าต้องเริ่มตรงไหน แล้วแนะนำให้เขาลองฮัมเพลงคลอไปด้วยก็ได้ ทำนองเป็นเอกลักษณ์อ่อนหวานยังคงดังต่อไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้ฟังแล้วทำนองนั้นก็ติดหูปองทันที เนื้อหาของคำร้องอ่อนหวานเว้าวอนฟังดูน่ารักจนเขานึกอยากดูหน้าคนแต่งเนื้อร้องขึ้นมาอย่างไรชอบกล
“ลองร้องดูนะคุณปอง”เกรซใช้ดินสอเคาะเป็นจังหวะประกอบให้อีกแรง
ปองเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจมากนัก จนถูกเกรซดุให้ว่า ‘ร้องดังๆ ตอนล้างจานยังร้องดังกว่านี้เลย’ พิรุณาขำกับหน้าปองที่ดูพิลึกชอบกลพลางเล่นเปียโนโดยลดระดับความดังของเสียงลงเพื่อให้เสียงร้องเด่นชัดขึ้น ปองร้องเพลงอย่างเต็มเสียงได้ในที่สุด เสียงที่ไม่ได้ห้าวจัดแต่มีน้ำหนักขับร้องไปตามท่วงทำนอง เน้นหนักเบาพอใช้ได้ เอื้อนต่างๆทำได้ค่อนข้างดี โดยรวมแล้วนับว่าดีทีเดียวสำหรับมือสมัครเล่น แต่คงต้องผ่านการขัดเกลาจากมือพระกาฬพิฆาตไก่อ่อนเสียก่อน พิรุณาลอบมองหน้าเกรซ เธอพยักหน้าให้น้อยๆ ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นเต้นพราวอย่างตื่นเต้น
“เยี่ยมเลยคุณปอง แหม...พวกเรานี่ทำงานกันแบบไม่ต้องใช้ทุนกันเลยนะ”เกรซกล่าวด้วยเสียงระรื่นทันทีที่ปองร้องจบพลางยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“ค่ะ ใช้ได้ไหมคะ?”เกรซนิ่งฟังคำตอบจากปลายสายครู่หนึ่ง
“ได้ค่ะ เกรซจะบอกพิรุณาให้ ค่ะ แล้วจะรีบเช็คตารางพิรุณาให้นะคะ ค่ะ....ค่ะ ขอบคุณค่ะ”เกรซพูดจบแล้วปิดฝาโทรศัพท์มือถือก่อนจะยืดอกขึ้น
“คุณปองคะฉันขอดูตารางงานของพิรุณาช่วงสองสัปดาห์นับจากนี้ค่ะ”
“คุณพิรุณาไม่รับงานช่วงนี้ครับ”เกรซยิ้มกริ่มอย่างพอใจ
“เยี่ยมเลย”
‘เราต้องส่งคุณปองบินไปหาแจคนะ เขาถูกใจเสียงคุณปอง’พิรุณาพยักหน้าเข้าใจภาษามือที่เกรซส่งให้
‘เอาสิ ถ้าแจคถูกใจก็โอเค ส่งตัวยัดลงกล่องไปภายในคืนนี้เลยก็ยังได้’พิรุณาขำกับจินตนาการตัวเองที่จับปองยัดลงกล่องพัสดุขนาดเล็ก
และแล้วก็เป็นจริงดังคาด ปองถูกส่งตัวไปพบมิสเตอร์แจค แอนด์ เดอะ ริบเปอร์ สมใจเกรซและพิรุณา ทำให้พิรุณาเกิดโรคขี้เกียจตัวเป็นขนขึ้นมา เขานอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ที่บ้านแทบทั้งวันจนเบื่อ ส่วนเกรซสามวันนี้จะไม่อยู่ คุณเธอมีภารกิจยิ่งใหญ่ไปออนทัวร์เล็กน้อย คาดว่าคงไปเปิดหมวกแก้เซ็ง อาจจะเป็นที่โซโหอีก หรืออาจจะเป็นที่อื่นๆในรายชื่อที่เกรซจดไว้แน่นเอี้ยด พิรุณาเองก็เซ็งออกไปเดินย่ำต๊อกในเมืองบ้างก็คงดี
ธีรธรกำลังประชุมอยู่ในห้องประชุมเล็ก บรรยากาศภายในห้องกำลังอึมครึมเคร่งเครียด ธีรธรที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั่งนิ่ง คิ้วเข้มนั้นนิดๆเพ่งมองสิ่งที่โปรเจคเตอร์ที่กำลังฉายภาพแผนภูมิ ในสมองกำลังคิดทบทวนแผนงานต่างๆไปด้วย สีหน้าของเขาไม่ช่วยให้ผู้อยู่ร่วมประชุมรู้สึกเบาใจขึ้นเลยกลับทำให้อึดอัด เพราะพวกเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าเจ้านายหนุ่มพอใจกับสิ่งที่พวกเขานำเสนอหรือไม่ ไม่แน่พวกเขาอาจถูกไล่ตะเพิดออกมาจากห้องประชุมนี้เลยก็ได้ หรือถ้าร้ายกว่านั้นคือ...ไล่ออก ลีแอนเหลือบมองเวลาแล้วถึงเวลาพักเบรคการประชุมแล้ว เพราะผู้ร่วมประชุมบางคนทำท่าจะไม่ไหวเพราะความเครียดที่จู่โจมโถมใส่นั่นเอง
“เราพักเบรคกันสิบห้านาทีก่อนนะคะ” ลีแอนกล่าวเมื่อสบโอกาส ทำให้ทุกคนลุกแล้วทยอยกันออกไปทานอาหารว่างด้านนอก เหลือเพียงบอสหนุ่มของเธอที่ดูไม่ค่อยอยู่ในอารมณ์แจ่มใสมากนัก มือแข็งแรงนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองเปิดเช็คข้อความ ข้อความสาระพัดถูกส่งเข้ามา ส่วนใหญ่เมื่ออ่านแล้วก็ลบทิ้งไป ทันใดนั้นก็มีข้อความเข้า
ชะโงกหน้าที่หน้าต่าง ถนนด้านข้างสิ
บอสหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัยว่าถนนด้านข้างมันมีอะไร ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะก้าวยาวๆไปที่หน้าต่าง ห้องนี่เป็นห้องริมสุดของอาคารด้านข้าง พอดี และถนนด้านข้างมีเพียงด้านนี้ด้านเดียวเท่านั้น ด้วยเพราะอีกข้างเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ ร่างโปร่งบางในโค้ตสีน้ำตาลแดงคุ้นตากำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือตัวเองด้วยมือหนึ่ง มืออีกข้างเขาไม่แน่ใจนักว่าถืออะไรไว้ ร่างสูงนั้นรีบหันหลังแล้วก้าวยาวๆพละไปจากหน้าต่างทันที ลีแอนมองบอสหนุ่มของเธอที่หุนหันออกไป ก่อนจะมองลงไปจากหน้าต่างบานนั้นบ้าง ภาพใครคนหนึ่งที่คุ้นตาทำให้เธอระบายยิ้มออกมาอ่อนจาง
“พิรุณา!”เสียงเรียกจากด้านหลังทั้งที่เจ้าของเสียงนั้นรู้อยู่เต็มอกว่าชายร่างโปร่งบางที่เขาเรียกไม่อาจได้ยินเสียงนั้น มือแข็งแรงคว้ามือนวลบางข้างหนึ่งได้ พิรุณาหันตามแรงนั้นอย่างตกใจ
‘เบาๆสิเดี๋ยวกาแฟหกหมดพอดี’ กาแฟร้อนจากร้านที่ธีรธรชอบฝากเลขาสาวไปซื้อถูกยื่นให้ ธีรธรรับมาอย่างงงๆ
“ทำไมใจดีจัง”
‘วันนี้ผมเบื่อๆเลยออกมาเดินเล่น พอดีเดินผ่านร้านกาแฟนี่ คุณลีแอนบอกว่าคุณชอบ ผมเลยซื้อมาฝาก เพราะยังไงต้องเดินผ่านที่นี่อยู่แล้ว ส่วนเค้กนี่ฝากให้คุณลีด้วย’ดวงตาคมสีม่านราตรีมองดวงหน้าขาวเนียนที่มีเค้าของหนุ่มน้อยในนัยน์ตาพราวคนนั้นอย่างเผลอไผล
“ขอบใจมาก เดินมาไกลหรือเปล่า เหนื่อยไหม?” พิรุณาส่ายหน้า แต่ไม่ ได้ตอบกว่าเริ่มเดินมาจากตรงไหน
‘ดื่มกาแฟก่อนเถอะครับ เดี๋ยวมันจะเย็นเสียหมด’ ธีรธรดื่มกาแฟที่ตัวเองชอบ พลางมองหน้าคนมีน้ำใจไปด้วย กาแฟเปี่ยมน้ำใจอร่อยอย่างนี้นี่เอง
“เดี๋ยวผมต้องประชุมต่อ อากาศชักเย็นๆแล้ว คุณกลับไปรอที่บ้านดีกว่าไหม?” ธีรธรถาม ในน้ำเสียงนั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน พิรุณารู้สึกถึงความอบอุ่นนั้นผ่านทางสายตาที่ทอดมองมา
‘ทำไมสุภาพจัง กาแฟใส่อะไรผิดสำแดงหรือเปล่าเนี่ย?’
“เปล่าหรอก แต่น้ำตาลมันหวานน่ะ”พิรุณาเอียงคอสงสัย ไม่เข้าใจในสิ่งที่ธีรธรพูดแม้แต่น้อย
“ว่าไง กลับไปรอที่บ้านนะครับ”ธีรธรกล่าวแล้วยิ้มน้อยๆ เป็นรอยยิ้มที่พิรุณาแพ้ทางมากที่สุด ถ้ายิ้มอย่างนี้ทั้งวันให้พิรุณา ขออะไรเขาให้หมดเลยเอ๊า~
‘ครับ แล้วเจอกันที่บ้าน’มือแกร่งจับมือบางมากุมไว้ มือนวลๆนั้นเย็นจัดธีรธรจึงกุมมันไว้ แล้วยกขึ้นเป่าลมให้ไออุ่นจากร่างกายเขาทำให้มือนั้นอุ่นขึ้นก่อนจะถูเบาๆ พิรุณารู้สึกหน้าร้อนวาบ พยายามบิดมือออกจากการเกาะกุม แต่ดูเหมือนตีนตุ๊กแกของธีรธรจะแกะไม่ออกเสียแล้ว
“แล้วจะรีบกลับนะครับ” ธีรธรเลื่อนมือขาวนวลนั้นมาสัมผัสริมฝีปากตนอย่างฉาบฉวยก่อนจะปล่อยเป็นอิสระ แล้วเรียกแท๊กซี่ให้ พร้อมทั้งบอกจุดหมายปลายทางให้ด้วย พิรุณาก้าวขึ้นนั่งเบาะหลังโดยมีธีรธรปิดประตูตามหลังให้ เมื่อแท็กซี่เคลื่อนตัวออกไปแล้ว พิรุณาใช้มืออีกข้างกุมมือที่ถูกสัมผัสเมื่อครู่ รอยสัมผัสอุ่นนั้นยังคงฝากความซ่านร้อนไว้ที่ผิวเนื้อ ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั้นฉายประกายครุ่นคิด
แน่ใจเล้วหรือ พิรุณา? คิดดีแล้วแน่จริงๆนะหรือ?
ธีรธรเดินกลับมาเข้าประชุมอย่างอารมณ์ดี ทำให้ทุกคนยกเว้นเลขาสาวนึกแปลกใจว่าเรื่องดีๆอะไรหนอที่เปลี่ยนอามรณ์บอสหนุ่มได้เร็วถึงเพียงนี้ เมื่อเกือบยี่สิบนาทีก่อน บอสหนุ่มยังหน้าหงิกเป็นม้าหมากรุกอยู่แท้ บัดนี้ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้ผู้ร่วมงานเล่นเอาสาวน้อยสาวใหญ่ในการประชุมอายม้วนกันไปจวบจนการะประชุมเสร็จสิ้น ผู้ร่วมประชุมทุกคนศีรษะยังตั้งอยู่บนบ่าได้อย่างสบาย นับเป็นโชคโดยแท้
“บอสคะ คุณมิลเลอร์มารอพบอยู่ที่ห้องรอพักค่ะ”เลาขาสาวรายงานเสียงเรียบ เธอรับรู้ได้ถึงลางไม่ดีเอาเสียเลย
“คุณลีให้มาพบผมที่ห้องทำงานก็ได้”บอสหนุ่มกล่าวเดินมุ่งตรงไปยังห้องทำงาน ไม่นานนักสาวสวยในชุกดำสนิทเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งเช่นเคยก็เดินเข้ามาอย่างมั่นใจ
“สวัสดีครับ คุณมิลลเอร์” ธีรธรกล่าวอย่างสุภาพ
“สวัสดีค่ะคุณธีรธร แหม ห่างเหินกันจังเลยนะคะ เป็นอย่างไรบ้างคะ ได้ข่าวว่าธุรกิจคุณไปได้สวยทีเดียว”
“ใครก็ราบรื่นดี แต่ผมได้ข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ”ใบหน้าสวยหยิ่งนั้นชะงักค้าง ดวงตานั้นฉายประกายไม่พอใจขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ว่าอย่างไรครับ มาพบผมมีธุระอะไร?”มิลเลอร์หัวเราะแห้งๆออกมา
“อย่างที่คุณทราบ ดิฉันกำลังประสบปัญญหา ด้านเงินทุนน่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าคุณน่าจะสนใจร่วมธุรกิจกัน”
“ขอโทษเถอะครับที่ผมคงต้องตอบปฏิเสธ เพราะปัจจุบันงานผมก็ล้นมือเสียแล้ว คงไม่สะดวกที่จะร่วมทุนกับใครในตอนนี้เพราะฉะนั้นต้องขอโทษด้วยครับ”ธีรธรตอบอย่างสุภาพ หากดวงตาคมกล้านั้นฉายแววเยียบเย็น เสียงอินเตอร์คอมจากเลขาสาวดังขึ้นแทรกความเงียบ
“ครับคุณลี”
“คุณท่านโทรมาจากกรุงเทพค่ะ”
“เรียนท่านว่าผมไม่สะดวกรับ แล้วจะโทรกลับ”
“แต่ท่านมีธุระสำคัญต้องการพูดกับบอสด่วนเลยค่ะ”ธีรธรเคาะโต๊ะเบาๆอย่างชั่งใจก่อนจะตอบตกลง
“ครับ ผมจะออกไปรับสายด้านนอก”บอสหนุ่มกดตัดสายอินเตอร์คอม
“ขอโทษนะครับคุณมิลเลอร์ ผมขอตัวสักครู่”บอสหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะเดินตัวตรงออกไปจากห้อง ทิ้งหญิงสาวไว้ในห้องทำงานเพียงลำพัง มิลเลอร์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเดินมาราวเสือติดจั่น เพราะการที่เธอเจรจาผิดพลาด นั่นย่อมหมายถึงความพินาศในธุรกิจของเธอ ในหัวพยายามคิดหาวิธี ดวงตาสวยร้ายๆมองไปที่เครื่องPCบนโต๊ะทำงานของธีรธร ก่อนจะตรงรี่เข้าไปหามัน
ธีรธรกลับเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้ง หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางนั้นไม่แสดงอาการเกรี้ยวกราดวิตกกังวลใดๆอีก นอกเสียแววตาแปลกๆ ทำให้ธีรธรนึกประหลาดใจ ธีรธรนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง แล้วลอบสำรวจดวงหน้าของหญิงสาวตรงหน้ารู้สึกตะขิตะขวงใจหากแต่มิได้พูดอะไร
“คุณธีรธร ลองกลับไปคิดดูอีกทีดีกว่านะคะ ดิฉันมั่นใจว่าเราจะเป็นหุ้นส่วนที่ดีต่อกันได้อย่างแน่นอน”
“ขอบคุณครับ แต่ผมคงไม่อาจรับข้อเสนอไว้ได้ และไม่คิดจะเปลี่ยนใจด้วย”
“เอาเถอะค่ะ ดิฉันมั่นใจว่าคุณจะยอมเปลี่ยนใจ ขอตัวก่อนนะคะ”หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่วงท่าราวนางพญา ดวงตาที่ได้รับการแต่งด้วยเครื่องสะอางค์มาอย่างปราณีตฉายประกายร้ายกาจอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานนั้นอย่างมั่นใจ
แล้วเราจะได้เห็นกันค่ะว่าคุณ ในท้ายที่สุดก็ต้องสยบอยู่ใต้เท้าฉัน
ธีรธรกลับบ้านด้วยอาการเหนื่อยอยู่บ้างเล็กน้อย เขาทิ้งกระเป๋าเอกสารลงที่หน้าประตูแล้วถอดเสื้อโค้ตออกก่อนจะขยับเนคไทให้คลายพลางเดินเข้าไปในตัวบ้าน แล้วนั่งลงที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ รู้สึกเหมือนนั่งทับบางอย่างจึงหันมอง พิรุณานอนขดตัวกลมอยู่บนโซฟา ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้นั่งทับเข้าไปเต็มๆ ไม่อย่างนั้นร่างโปร่งบางนี้คงแบนแต๋ต้องแซะออกมาแน่
“พิรุณาตื่นเถอะ มานอนอยู่ตรงนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”บอสหนุ่มสะกิดร่างบางให้ฟื้นตื่นจากห้วงฝัน
‘กลับมาแล้วหรือครับ?’พิรุณางัวเงียลุกขึ้นนั่งกอดเข่า
“กลับมาแล้ว เข้ามานอนอยู่นี่ได้ยังไงกันเนี่ย ฮือ?”มือแข็งแรงนั้นจับเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่ชี้โด่ไปเด่มาให้เข้าที่
‘เกรซให้กุญแจไว้ ผมเลยเข้ามา เพราะบ้านผมหนาว’บอสหนุ่มเลิกคิ้ว เกรซอย่างนั้นหรือ....
“ฮีตเตอร์ล่ะ?”
‘เปลืองไฟครับ อยู่คนเดียวต้องเปิดทั้งบ้าน’ ธีรธรขยี้ผมนุ่มนั้นอย่าหมั่นไส้
“แล้วมาเปิดบ้านคนอื่นเนี่ยนะ” พิรุณาอุบอิบ ดวงหน้าขาวนวลๆแย้มยิ้มอย่างเก้อๆ
‘อย่างน้อยก็ไม่ต้องจ่ายเอง’
“โธ่ เด็กเอ๋ยเด็ก”
‘ว่าใครเป็นเด็ก’ คิ้วเรียวสวยขมวดปมเข้าหากันอย่างชักจะเคืองๆ
“เปล่าครับๆ อย่าทำคิ้วผูกโบว์สิ เดี๋ยวแก่เร็วนะ”มือแข็งแรงจิ้มลงหว่างคิ้วพิรุณา ที่ทำแก้มป่อง ธีรธรอดไม่ไหวกับความน่ารักนั้น ฉวยโอกาสหอมแก้มเข้าให้ทีหนึ่ง พิรุณาตกใจหน้าแดงก่ำ มือนวลบางนั้นสัมผัสแก้มตน
“อย่าทำอย่างนั้น”
‘ทำอะไร?’
“ทำท่าน่ารักไง เห็นแล้วมันทนไม่ไหวน่ะ” ดวงหน้าคมสันยื่นเข้ามาใกล้ นัวเนียอยู่แถวๆดวงหน้านวลใสสบตากันลึกซึ้ง ก่อนจะเลื่อนสายตาลงจับที่ริมฝีปากสวย แล้วประทับรอยสัมผัสลงไปแผ่วเบา
ร่างโปร่งบางนั้นแหงนเงยรับสัมผัสนั่นอย่างไม่คิดจะปัดป้อง รสสัมผัสนั้นสุภาพและอ่อนโยนยิ่งจนพิรุณาอดคล้อยตามไปไม่ได้ ริมฝีปากหยัดสวยของธีรธรไล่สัมผัสไปตามเครื่องหน้าต่างๆราวกับจะสำรวจดูให้ทั่ว มือข้างหนึ่งกุมมือน้อยไว้เบาๆ ส่วนอีกข้างช้อนท้ายทอยสวยให้เงยรับสัมผัสได้ถนัดถนี่ นาน...กว่าจะถอนริมฝีปากออก ปากอิ่มสวยแดงช้ำเล็กน้อย นั่นยิ่งเพิ่มความน่าดูให้มากยิ่งขึ้น ดวงตาสีม่านราตรีสบกับดวงตาสีน้ำตาลแดงอยู่หลายอึดใจก่อนจะส่งยิ้มอบอุ่นให้ร่างโปร่งบางที่ยิ้มรับน้อยๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายมอบจุมพิตอ่อนหวานให้เสียเอง
ทั้งคู่แลกจุมพิตอันอ่อนหวานอยู่พักใหญ่ ในที่สุดธีรธรถอนริมฝีปากออกช้าๆแสนเสียดาย ดวงตาสีน้ำตาลแดงงามนั้นจ้องมองกลับมาอย่างตรงไปตรงมา นัยน์ตาสีสวยที่ชวนให้ค้นหานั่น ยั่วเย้าเชิญชวนให้กระโจนเข้าไปค้นหาเสียเหลือเกิน พิรุณาเองสบตาคมกล้าสีม่านราตรีคู่นั่นแล้วก็นึกหวั่นไหว รอยสัมผัสอุ่นซ่านนั้นยังตราตรึง ในหัวกำลังสับสนไปหมด ทุกอย่างตีกันวุ่นยุ่งเหยิงไปหมด
“พิรุณา
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอน 10 แล้วครับ
จบตอนได้เยี่ยมมากเลยน้องเมศ