___เก็บ____รัก____ Sp.03 'ตะวัน' The End P.14 [24/04/58]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ___เก็บ____รัก____ Sp.03 'ตะวัน' The End P.14 [24/04/58]  (อ่าน 90840 ครั้ง)

ออฟไลน์ ๐แตกต่างเติมเต็ม๐

  • "ผมไม่ได้แค่รัก แต่ยังศรัทธาใน'เรา' #ก้องเกียรติ์
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
    • https://www.facebook.com/PokpongGonggend/timeline
#15 โลกของเธอ โลกของฉัน โลกของเรา [1]


"พาพี่เขาไปดีๆ อย่าขับไวนะเกียร์"

เสียงพ่อผมพูดบอก ในขณะที่ตอนนี้ไอ้ป้องขึ้นซ้อนท้ายผมแล้ว

ตอนนี้ผมกับไอ้ป้องอยู่ในชุดพร้อมเที่ยวครับ ผมเลือกยีนส์สีดำสนิทกับเสื่อสีเขียวอ่อนตัวโปร่ง ไอ้ป้องแต่งสีฟ้ากางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบทั้งคู่

"ไม่เกินสองทุ่มกลับครับ พ่อ แม่ สวัสดีครับ"

ผมกับไอ้ป้องไหว้พ่อกับแม่ ก่อนCbrของผมจะแล่นออกไป

"ตกลงจะพากูไปไหนว่ะเกียร์"

ไอ้ป้องที่นั่งซ้อยท้ายผมอยู่ถามขึ้น ไอ้มือมันถือสเก็ตบอร์ดสีเขียวครามกับสีฟ้าอ่อนที่ผมเพิ่งถอยมาจากร้านค้าเมื่อวาน

"โลกของกูไง"

ผมพูดตอบ แต่เอาจริงๆรอบนี้ผมไม่ได้กวนตรีนมันนะครับ

ผมอยากพาไอ้ป้องมาลองอยู่ใน'โลกของผม'บ้างก็เท่านั้น

จุดมุ่งหมายของผมกับไอ้ป้องอยู่ที่สวนเบญจสิริ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการไถของปีนี้เพื่อไปยังสวนสมเด็จสราญราษฎร์มณีรมย์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ 

"ป้อง"

"หื้ม?"

"พรุ่งนี้วันอาทิตย์ พากูไปที่ๆมึงไปทุกอาทิตย์หน่อยได้ไหม?"


ผมพูดฝ่ากระแสสายลมที่ตีโต้หมวกกันน็อคเป็นระยะๆ

วันนี้ ผมจะพามันไปโลกของผม

พรุ่งนี้ ผมอยากไปโลกของมันบ้าง อยากรู้ว่าทุกอาทิตย์มันออกไปไหน

"มึงแน่ใจเหรอ? มันไม่สนุกหรอกนะ ที่ๆกูไปอ๊ะ"

มันพูดตอบ ใบหน้าที่สะท้อนผ่านกระจกแฮนด์รถบอกผมว่ามันไม่ได้ล้อเล่น

"แน่ใจดิ ถ้าเป็นที่ๆมึงชอบไป...กูก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร"

คนซ้อนผมกระตุกมุมปากขึ้นนิดๆเป็นเชิงยิ้ม

นี้เป็นภาพที่ผมไม่ได้เห็นมาครึ่งค่อนเดือน...

มันไม่ได้ซักถามอะไรอีก ปล่อยให้ผมบิดคันเร่งความเร็วขึ้น ปกติถ้าขับคนเดี่ยวผมชอบบิดเจ็ดสิบอัพอยู่แล้วครับตอนถนนโล่งๆ แต่เพราะวันนี้ผมไม่ได้อยู่'คนเดี่ยว'เหมือนเมื่อก่อน ผมเลยเลือกที่จะบิดเพียงหกสิบ ไม่ช้าไป ไม่เร็วไป พอที่จะดูวิวไปได้เรื่อยๆ
ขับไปได้สักพักผมก็ถึงจุดหมายแรกที่ต้องการ ผมชะลอรถลงก่อนจะหันหน้าไปหามัน

"ป้อง อยากเข้างานเลย หรืออยากไปไถกับกู"

"ไถ?"

ในหน้าจืดๆแสดงความสงสัยออกมา ลืมไปเลยครับว่ามันไม่เคยมา

"คืองี้ หลักๆงานมันจะมีสองส่วน ส่วนแรกคือเข้าตัวงานเลย ในงานก็มีพวกบอร์ด พวกอไหล่ขาย แล้วก็มีลานกิจกรรม"

"แล้วอีกส่วน?"

ผมยิ้ม ก่อนจะเล่าต่อ

"อีกส่วนคือกลุ่มคนที่ไถสเก็ตบอร์ดจากระยะห่างประมาณ3-4กิโลไปถึงหน้างาน"

มันพยักหน้าขึ้นลงช้าๆเป็นอันเข้าใจ

"ไกลเหมือนกันแหะ"

"มันเป็นประเพณีนะ คล้ายๆการประกาศให้คนไทยได้รู้ว่า เห้ย ประเทศเราคนเล่นบอร์ดก็เยอะนะ เป็นการแสดงตัวตนแล้วก็เป็นการชักชวนไปในตัว"

"รู้ดีแหะ"

มันพูดชม(ผมคิดงั้นนะ)

"อะไรที่กูชอบ กูก็อยากรู้ดีทุกเรื่องนั้นแหละ"

เป็นอีกครั้งที่ไอ้ป้องหันหน้าหนีผม

เอาเถอะครับ

ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องใจร้อน ให้โอกาสมัน

และให้โอกาสใจตัวเอง...

"มึงอยากไปไหนล่ะ?"

มันย้อนถามดื้อๆ

"วันนี้มึงพากูเที่ยว ตามใจมึงเลย"

พอได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ้มออกมา

"กูอยากไปไถ"

มันตอบตกลงด้วยการพยักหน้า

ไม่ต้อง'เปลี่ยน'ตัวเองจนไม่ใช่'ตัวเอง'

แค่'ปรับ'ก็พอ...

ผมเอารถไปเก็บตรงบริเวณที่จอดรถ ก่อนจะล็อกล้อ

สเก็ตบอร์ดในมือถูกวางลงกับพื่นฟุธบาท เพราะกันมาแต่เช้าพอสมควรเลยยังไม่เริ่มขบวนไถครับ ถือว่าดีไปอีกแบบเพราะผมเองก็ลืมไปเลยว่า...

ไอ้ป้องมันไม่เคยเล่นบอร์ด....

'ตุ๊บ'

"โอ๊ย!!"

มันร้องครางหลังก้มจ้ำพื้น ผมเลยไถสเก็ตไปช่วยดึงมันลุก

"ใจเย็นๆ คิดว่ามึงยืนอยู่บนพื้นธรรมดาๆแค่มึงกำลังวิ่งก็พอ"

ผมแนะทริคเริ่มต้นการเล่นบอร์ด

จริงๆแล้วมันเล่นไม่ยากนะครับ แค่ต้องกล้าๆหน่อยๆก็เท่านั้นเอง มีสมาธิอยู่บนบอร์ด ให้'ใจ'ไป'สถิต'อยู่กับล้อบอร์ดทั้งสี่ข้าง เชื่อมันแล้วก็เคลื่อนตัวออกไป แน่นอนว่าคนเพิ่งหัดเล่นย่อมไม่สามารถเล่นได้คล่องแคล่วเท่าผม เห็นแบบนั้นผมเลยยกบอร์ดขึ้นมาหนีบก่อนจะช่วยประครองมันขึ้นบอร์ด

"จำตอนที่มึงสอนลีลาศกูได้ไหม"

"อื้ม"

ผมจับมือมันทั้งสองข้างก่อนจะออกแรงดึงเบาๆ ไอ้ป้องหลับตาปี๋กลัวล้ม

"ป้อง อย่าหลับตา"

"...."

"มองแค่กูก็พอ"

มันพยักหน้ายอมฟังที่ผมบอก ก่อนจะลืมตาขึ้น

ผมดึงไอ้ป้องจนเห็นว่ามันคล่องพอสมควรแล้วก็ให้มันลองไถไปข้างหน้าดู ผมลัพธ์ที่ได้นับว่าใช้ได้เลยครับ ไอ้ป้องเริ่มเรียนรู้ที่จะ
ทรงตัวอยู่บนบอร์ด หรือต่อให้ล้ม ก็ยังล้มในลักษณะที่เรียกได้ว่าเจ็บตัวน้อยที่สุด สิ่งเหล่านี้ผมเรียกมันว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์

มันไม่มีหรอกครับ ไอ้ความสำเร็จที่ไม่ต้องใส่ความพยายามลงไปนะ

"หนุกไหม?"

พอเห็นว่ามันเริ่มคล่องตัวจนไถไปไกลๆได้แล้วผมก็ถามขึ้น

"สนุกดีว่ะ เสียวๆเหมือนกันว่าจะตกไปจับกบกับพื้นไหม แต่พอชินแล้วก็สนุกดี"

"เห็นไหมล่ะ"

"เห็นอะไร?"

ผมอมยิ้มก่อนจะพูด

"บางเรื่องที่'ไม่เคยลอง'ก็ไม่ได้แปลว่ามัน'ไม่ดี'นะ..."

"ก็จริง"

มันพยักหน้า

"จะสิบเอ็ดโมงแล้ว ไปกันเหอะ"

ผมพูดหลังดูนาฬิกาข้อมือ

"ยังไม่คล่องเท่าไหร่เลยแหะ..."

ไอ้ป้องพูดเสียงอ่อยๆ ถึงจะพอได้บ้างแต่มันคงยังกลัวๆอยู่ดีล่ะมั่งครับ

"เอางี้..."

ผมพูด มันยืนเอาเท้าวางไว้บนบอร์ดข้างหนึ่งรอฟังผมพูดต่อ

"จับมือกูไว้แล้วไปพร้อมๆกัน"

ผมวางบอร์ดลง ก้าวขึ้นไปก่อนจะไถไปอยู่ด้านหน้ามัน

มือข้างซ้ายของผมยื่นออกไปด้านหน้ามัน

ไอ้ป้องยื่นนิ่งไปสักพัก...

......ก่อนจะยื่นมือขวามากุมมือผมไว้

ถ้าเป็นคนอื่น คงเดินจับมือกันธรรมดาแล้วก็คงจะจับกับแบบไม่ปล่อย นี้พวกผมจับมือกันแล้วไถสเก็ตบอร์ด ล้มทั้งคู่บ้าง มันฉุดผมล้มบ้าง ผมฉุดมันล้มบ้าง ระยะทางที่ผ่านมาขรุขระบ้าง ทางลาดชันบ้าง ผมกับมันเลยปล่อยมือกันเป็นช่วงๆเพื่อให้ต่างคนต่างหลบอุปสรรคที่เจอตรงหน้า

สุดท้ายพอผ่านพ้นไปได้ก็กลับมาจับมือกันเหมือนเดิม...

จากสิบเอ็ดโมงกว่าๆ ผมกับไอ้ป้องไถตามขบวนสเก็ตบอร์ดจากบริเวณสวนเบญจสิริ ผ่านถนนสุขุมวิท และซอยทองหล่อ เข้าไป
ยังสวนสมเด็จสราญราษฎร์มณีรมย์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ รวมระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร โดยจะมีเจ้าที่ตำรวจและเทศกิจคอยปิดการจราจรให้ขบวนเป็นระยะเป็นระยะๆครับ ในแต่ละช่วงประมาณ 5 -10นาที

จนเกือบๆเที่ยงวันก็ถึงหน้างาน ผมหันไปมองไอ้ป้องที่ไถตัวอยู่ข้างๆกัน ใบหน้าจืดๆนั้นดูอ่อนล้าแต่สวนทางกับแววตาที่ยังคงสนุกกับของเล่นชิ้นใหม่ ผมกับมันไถกันจนไปถึงที่หน้าโต๊ะรับ ลงทะเบียนเขางาน พอถึงที่หมายอย่างปลอดภัยผมก็ปล่อยมือมันออก

"เอาน้ำไร เดี่ยวกูไปซื้อให้"

ผมเห็นมีจุดขายน้ำอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้สักเท่าไหร่ คิดว่าไถไปไม่นานคงถึง

"น้ำเปล่าก็ได้"

"โอเค งั้นถ้าถึงคิวแล้วฝากลงทะเบียนด้วย"

ผมล้วงบัตรประชาชนจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้ไอ้ป้อง ก่อนจะไถตัวไปจุดขายน้ำ

เพราะมีคนมารอซื้อเยอะพอสมควร กว่าผมจะได้ซื้อน้ำก็พอดีกับที่ไอ้ป้องลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อย ผมเห็นมันยื่นเกาหัวแกรกๆทำสีหน้าลำบากใจส่งมาทางผม

"รับอะไรดีค่ะ?"

"เอาน้ำเปล่าสองขวดครับ"

"16บาทค่ะ"

ผมยืนแบงค์สี่ยิบให้ ก่อนจะบอกพี่เขาว่า

"พี่ครับ ขอผ้าเย็นด้วยผืนหนึ่งครับ"

จำได้ว่าหน้ามันเลอะเหงื่อสิ้นดี ผมเลยซื่อไปฝากซะหน่อย

ผมรับผ้าเย็นและขวดน้ำที่ใส่ถุงผ้าก่อนจะไถไปหาคนคอย ไอ้ป้องยืนสีหน้าบอกบุญไม่รับจนผมงงๆ

"เป็นไรว่ะมึง"

ผมถามงงๆ

ไอ้ป้องคลี่ยิ้มเหมือนๆจะขอโทษผมก่อนจะส่งเสื่อเข้างานมาให้

จริงๆแล้วมันไม่ได้มีกฏเป็นลายลักษณ์อักษรหรอกนะครับว่าต้องใส่เสื่องานเข้างาน แต่เหมือนเป็นธรรมเนียมที่ทำกันมาตลอดครับ เพราะถือเป็นการขอบคุณเจ้าภาพซึ่งเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่จัดงานดีๆแบบนี้ให้กับคนรักสเก็ตบอร์ดแบบพวกผม

"มึงเข้างานเถอะ เดี่ยวกูรอข้างนอกให้"

"อ้าว ทำไมมึงไม่เข้าไปล่ะ เบื่อเหรอ?"

ผมตกใจ ไม่คิดว่ามันจะเบื่อเร็วขนาดนี้

"เปล่า คือ...เสื่อมัน..."

"มันทำไม?"

ผมถามเสียงเครียด ไม่เข้าใจว่าเรื่องเสื่อเป็นปัญหาตรงไหน?

ไอ้ป้องเลียริมฝีปากแห้งๆก่อนจะพูด



"มันเป็นเสื่อคู่..."


ผมสะอึก ก่อนจะหยิบเสื่อมาออกมากางออกดู

เสื่อสองตัวนี้เป็นลายสเก็ตบอร์ดสีเขียวขอบน้ำเงิน ว่าง่ายๆคือสเก็ตบอร์ดครึ่งหนึ่งอยู่บนเสื่อของผม อีกครึ่งอยู่กับเสื่อของไอ้ป้องแถมทั้งสองตัวเขียนไว้ว่า 'เติม'กับ'เต็ม' มีเครื่องหมายการค้าของเจ้าภาพอยู่ที่ด้านหลังเสื่อ

"แล้วมึงทำไมถึงได้เสื่อคู่มาได้ล่ะ?"

ปกติแล้วทุกปีที่ผมมา(คนเดี่ยว...)ผมก็ได้เสื่องานมาตลอด และก็ไม่เคยเห็นเลยว่าจะมีเสื่อคู่แจกด้วย

"โฆษณาสเก็ตบอร์ดสำหรับคู่รัก ผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทแม่งาน"

"แล้วมันเกี่ยวกับเรายังไงว่ะ?"

ไอ้ป้องหน้าแดงขึ้นก่อนจะยอมพูดสาเหตุ

"ก็ตอนกูลงทะเบียน พี่เขาแค่ถามกูว่ามันกันสองคนใช่ไหมแล้วเขาก็ชี้ไปที่มึง กูก็เออออห่อหมกไป ที่นี้พี่เขาก็บอกว่าเป็นคู่ที่แปลกดี ไม่ค่อยเจอมางานแบบนี้เท่าไหร่ ขอให้รักกันนานๆนะ กูยังไม่ทันได้เข้าใจอะไร ไอ้พวกต่อคิวด้านหลังก็โวยกันแล้ว"

เพราะแดดตอนเที่ยงๆนั้นแหละครับทำพิษเข้าใจอยู่หรอก เป็นผมก็ไม่อยากต่อคิวยาวๆหรอกครับมันร้อนสิ้นดี ผมเองก็ไม่คิดว่าการฝากลงทะเบียนจะสร้างปัญหามาให้ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจกับมัน แล้วหันไปใส่เสื่อเข้างานแทนเพียงแต่ไอ้คนข้างๆผมยังคงนิ่งสงบอยู่

"ป้อง มึงอายมากเลยเหรอที่มากับกู?"

อายมากเลยใช่ไหม ที่คนข้างๆมึงเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนหวานหรือน่ารัก...

ความคิดด้านลบถาโถมดุจพายุใส่ใจผม ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียดแทงเข้ามามากมาย

ทั้งๆที่ใจอุตส่าห์กล้ามากพอที่จะพาอีกฝ่ายเข้ามาในโลกของผม โลกที่สะท้อนความเป็นตัวเองแท้ๆแต่กับอีกฝ่ายแค่เรื่องเสื่อมันยังคิดมาก...

ผมมันคงไม่มีค่ามากพอจริงๆ...

"ไม่ใช่แบบนั้น"

ไอ้ป้องพูดขึ้นก่อนจะกุมมือผมแน่น

ถ้าความรู้สึกเมื่อกี้เหมือนตกอยู่ในความมืดมิด

ตอนนี้ ...มันก็คงเหมือนแสงสว่าง....

"กูดีใจมากเลยต่างหาก ที่มึงพากูมาทำอะไรสนุกๆแบบนี้ ตอนที่อยู่ข้างๆมึง...กูมีความสุขนะ"

รอยยิ้มที่ไม่ได้ปั้นแต่ง ถูกส่งให้ผม

เคยรู้สึกเหมือนแผ่นดินที่แห้งแล้ง แล้วจู่ๆก็ได้รับหยาดฝนไหมครับ?

ความรู้สึกของผม...มันก็คงประมาณ

"ที่กูกังวล กูกลัวใครเขามองมึงไม่ดีมากกว่า กูรู้ว่ามึงเป็นผู้ชายเต็มตัว คงไม่อยากให้ใครมองว่า...เออ เป็นเกย์นะ"

ทุกครั้งเวลาไอ้ป้องคิดมาก...

มันไม่เคยคิดมากเรื่องของตัวเองไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนๆ สุดท้ายที่มันเป็นกังวลก็คือเรืองที่ว่าคนเขาจะ'มองผม'ยังไง ไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นแหละจะฤูกมองแบบไหน...

ชอบที่จะปกป้องคนอื่น ก่อนที่จะปกป้องตัวเอง

ผมกุมมือมันให้แน่นขึ้น ก่อนจะตบหัวมันเบาๆ

"งั้นถ้ามึงไม่อายที่มากับกู ก็ไปด้วยกัน"

"แต่..."

"กูไม่อายหรอกนะที่มากับมึง กูจะอายทำไมในเมื่อกูมีความสุขเพราะมีมึง"

ผมพูดออกไปตามสิ่งที่ใจคิด

ก็ผมมีความสุขเพราะมีมันจริงๆนิครับ

มีความสุข ก็คือมีความสุข ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากไปกว่านี้ น้อยไปกว่านี้

ผมพามันมา'โลกของผม'เพราะอยากให้มันสัมผัสด้วยตัวเอง สัมผัสกับโลกที่หล่อหลอมตัวผมขึ้นมา รวมทั้งทดสอบ'แรงกดดัน'
จาก 'สังคม'

ขอแค่อยู่ข้างๆกันแล้วมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่

ผมว่ามันคุ้มดี..... ที่คิดจะแบกรับมัน

ไอ้ป้องค้างไปนิดๆก่อนมันจะถอนหายใจออกมาแล้วแกะห่อพลาสติกออกหยิบเสื่อคู่ตัวนั้นมาสวมทับ

"โอเคยัง?"

มันถาม ผมพยักหน้ายิ้มๆ

"แล้วมือนี้ต้องจับด้วยเหรอว่ะ?"

ไอ้ป้องยกมือที่ถูกผมกุมไว้ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา

"ไม่ต้องก็ได้ แค่เดิน'ข้างๆ'กูก็พอ"

ผมยอมปล่อยมือแต่โดยดี แค่มันยอมไม่คิดมากใส่เสื่อคู่เดินข้างๆผม

ผมว่ามันคงดีที่สุดแล้วล่ะ สำหรับ ณ ตอนนี้...

ผมกับไอ้ป้องเดินเข้าไปภายในงานแบ่งออกเป็นหลายโซน หลักๆก็จะมีบูธของสปอนเซอร์หลักที่นำสินค้ามาขาย ซึ่งก็คือรองเท้า
สำหรับใส่เล่นกีฬาหรือบอร์ดโดยเฉพาะ ต่อมาก็พวกอะไหล่ล้อ หรือขาบอร์ด

ภายในงานมีผู้คนที่เรียกได้ว่าคละอายุจริงๆครับ ตั้งแต่เด็กเล็กๆ6-7ขวบจนถึงเลยวัยทำงาน สิ่งเดี่ยวที่ทำให้ทุกคนมาร่วมตัวกันได้คือความหลงใหลในเจ้าบอร์ดไม้สี่ล้อนี้เอง

ผมพาไอ้ป้องดูลัดเลาะไปเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนพาเด็กหัดเที่ยวเดินเล่น ไอ้ป้องตื่นๆกับจำนวน ผู้คนที่คับคั่งและเดินกันแออัด ชนินที่ว่าแทบจะไหล่ชนไหล่ คนเยอะมากจริงๆครับ ปกติก็เยอะทุกปีอยู่แล้วนะครับ ปีนี้เรียกได้ว่าแน่นสุดๆ

แต่ในที่สุดผมก็พาไอ้ป้องเดินมาถึงโซนที่ต้องการและเป็นโซนที่อมชอบมากที่สุด

พื้นที่บริเวณนี้จะประกอบด้วยพวกท่อเหล็ก หรือแผ่นคลื่นไรงี้นะครับ ไว้ให้พวกเด็กบอร์ดมาเล่นกัน หรือที่เรียกติดปากว่า'แจม'
การแจมในที่นี้คือการเข้าไปเล่นกับคนอื่นครับ เล่นฮาๆกันไป ซึ่งก็ไม่ได้เล่นเปล่าๆปลี้ๆหรอกนะครับ สมมุติเล่นท่าโดดไกลได้ๆสวยๆแล้วเข้าตากรรมการพอดี ก็อาจได้ทริปเล็กๆน้อยร้อยสองร้อยก็ว่ากันไป ผมเองก็เคยเล่นได้เหมือนกันสามหรือสี่ร้อยเนี้ยแหละแต่ส่วนใหญ่แล้วคือเล่นเพื่อความสนุกครับ

ตั้งแต่เดินเข้างานมาจนถึงตอนนี้ไอ้ป้องยังไม่มีท่าที่อึดอัดแม้จะใส่เสื่อคู่เดินกับผม ถามว่ามีคนมองไหม? มันก็มีครับ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าเขาอยากมองก็ให้มองไป มองก็คือมอง ไม่ต้องคิดลึก คิดเพิ่ม ว่าเขามองเพื่ออะไร ผมเป็นพวกประเภทคิดแบบนี้นะครับ

เลือกจะใส่ใจสิ่งที่ทำให้เราสุข อะไรที่ทำให้ทุกข์ โยนทิ้งได้ก็โยนทิ้งไป

"กูไปแจมแปบนะ ดูกูด้วยอ๊ะ"

ผมบอก ไอ้ป้องพยักหน้ารับหลังทำความเข้าใจคำว่าแจมไปเรียบร้อยแล้ว

โอเค เกียร์ สมาธิ...

ตอนนี้มีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมึงอยู่ ไม่ต้องเกร็งแค่เล่นไปตามปกติก็พอ

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เนินที่ผมเลือกเล่น เป็นเนินที่ไม่สูงมากเท่าไหร่ ระดับความยากง่ายกำลังดี

ผมเคยอ่านเจอในหนังสือว่า คนเราพอตั้งใจอะไรสักอย่างเพื่อใครบางคนที่สำคัญย่อมจะสร้างผลลัพธ์ในทางบวกอยู่แล้ว

ผมค่อยๆไถตัวลงเนิน ชั่วพริบตานั้นเองที่อยากได้กำลังใจจนเผลอมองอีกฝ่าย

ในหนังสือที่อ่าน พอทำแบบนั้นแล้วพระเอกจะมีความเท่ห์เหรี้ยๆอยู่กับตัว และโชว์สกิลเหนือมนุษย์ออกมาให้นางเอกได้เห็น
ครับ...

ผมลืมว่านั้นมัน'นิยาย'

และผมมันไม่ใช่ ‘พระเอก’

ในโลกของความเป็นจริง เมื่อคุณกล้าท้าทายแรงโน้มถ่วง มันมักจะสนองผมด้วยการจัดหนักเสมอ

'ตุ๊บ'

'กร๊อบ'

"ไอ้เกียร์"

เสียงผมตกพื้น เสียงไอ้ป้องตกใจ และเสียงบางส่วนในร่างกายผมเนี้ยแหละหักออกมา

ผมสัญญากับตัวเองเลยว่ากลับถึงบ้านเมื่อไหร่ผมจะเผามันทิ้งให้หมด!!!!!!

ทำไมกูไม่เท่ห์แบบในหนังสือว่ะ???


 
                                       
  Confidence never comes from having all the answers;
It comes from being open to all the questions. #ก้องเกียรติ์


TBC.

ในโลกใบนี้ไม่มีใครง๊าวเท่าเอ็งแล้วไอ้เกียร์ !!!!

ปล. พาร์ท โลกของเธอ โลกของฉัน โลกของเรา ยังไม่จบนะครับ มีอีกตอน (มันยาวมากจริงๆ :กอด1: )

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและแวะมาให้กำลังใจกันน่า ตอนนี้คือขยันลงสุดๆ  :bye2:
                 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2014 06:44:33 โดย ๐แตกต่างเติมเต็ม๐ »

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
อ้าวเกียร์ อะไรหัก เจ็บมากป่าว ปะๆหาหมอกัน

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
มัวแต่มองป้อง เจ็บตัวเลยเกียร์
สมน้ำหน้าหรือจะสงสารดี

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
โอ้ยยยยขำเกียร์อ่ะ
กะจะเท่ห์อวดป้องซะหน่อย
แต่ดันล้มไม่เป็นท่าเลยนะนั่น

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กะโชว์เท่ห์สุดท้าย...

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
ฟินนาเล่มาทั้งตอน  :heaven
แต่ดันมาพลาดตอนท้าย เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ

อร๊ายยยยยยยย เชียร์ปกป้องเต็มที่ เมะนะลูกถึงตอนนี้จะเหมือนเคะก็เถอะ

ออฟไลน์ ๐แตกต่างเติมเต็ม๐

  • "ผมไม่ได้แค่รัก แต่ยังศรัทธาใน'เรา' #ก้องเกียรติ์
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
    • https://www.facebook.com/PokpongGonggend/timeline
#16 โลกของเธอ โลกของฉัน โลกของเรา [2]


"ไม่เป็นไรมาก แค่กระดูกมันส้นเฉยๆจากแรงกระแทก"

พี่พยาบาลสาวที่คอยตั้งบูธดูแลคนเจ็บแบบผมบอกขึ้น

"ขอบคุณครับพี่"

ก็ไม่คิดหรอกนะ ว่าจะมาจับกบให้ไอ้ป้องดู อุตส่าห์ทำเท่ห์ สุดท้ายข้อเท้าส้นซะได้-*-

ไอ้ป้องยืนอยู่ข้างๆคอยดูผมอยู่ ดีอย่างที่มันไม่คิดจะหัวเราะให้กับความโง่ของผม

ก็ตอนเล่นบอร์ด ใครใช้ให้มองมันจนเสียจังหวะล่ะครับ...

"เป็นไง"

"ยังไม่ตาย เล่นอีกรอบก็ไหว"

ผมตอบตามความจริง นี้แค่กระดูกส้นเองครับ ตอนฝึกเล่นใหม่ๆสมัยหัวเกรียนแขนผมเดียงไปจากการล้มกระแทกด้วยซ้ำครับ เพราะงั้นแค่มือส้น ถือว่าเล็กน้อยมากครับ

ผมกับมันเดินออกจากบูธไป การเล่นท่าแล้วพลาดเนี่ย มันเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กบอร์ดมากเลยครับ(ส่วนมาก เล่นพลาดจะเยอะกว่าเล่นดีอีก ฮ่าๆ)เพราะงั้นคนที่เล่นอยู่ด้านนอกเลยไม่มีใครหัวเราะหรือขบขันเพราะของแบบนี้มันพลาดกันได้

"ไรว่ะเกียร์ เนินแค่นี้เล่นพลาด เขินแฟนเหรอ?"

ยกเว้นไอ้พี่คนนี้...

"สวัสดีครับพี่ปิง"

"เออ ดีๆ"

ผมยกมือสวัสดีพี่ปิง สาวหล่อห้าวที่ใส่เสื่องานสวมทับด้วยเสื่อนอกลายหัวกระโหลกไขว้ตาสองข้างแต้มด้วยอายไลเนอร์สีดำสนิท
ไอ้ป้องยกมือไหว้ตามผม ก่อนเจ๊ปิงจะคลี่ยิ้มเอ็นดูมัน

คงเพราะไอ้ความซื่อๆเอ๋อๆนั้นล่ะมั่งครับ

"นี้ไอ้ป้องครับ เพื่อนผม"

เจ๊ปิงหันไปยิ้มหวานให้มันก่อนจะพูด

"ชอบเล่นบอร์ดเหรอ?"

คนถูกถามเกาหัวเก้อๆก่อนจะตอบ

"คือ จริงๆเพิ่งหัดเล่นครับ ไอ้เกียร์ชวนมางานพอดี"

"เหรอ? สนุกไหม"

คนถูกถามนิ่งไปแปป ก่อนจะพูดตอบมา

"ผมว่าสนุกดีนะ มันดูเสี่ยงๆดี แบบ ตอนที่เราไถไป ผมรู้สึกว่าหัวใจมันสูบฉีดเลือดดี"

เป็นคำตอบที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ เจ๊ปิงคลี่ยิ้มก่อนจะชี้มาทางผม

"เกียร์ ไปซื้อข้าวดิ เจ๊เลี้ยง"

ไม่ใช่ประโยคขอร้องแต่เป็นคำสั่งเจ๊ปิงยื่นแบงค์ม่วงๆให้กับผมก่อนจะโบกมือไล่ไปทางบูธขายข้าว ผมเกาหัวแกรกๆที่ถูกใช้ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เจ๊ปิงเป็นเด็กบอร์ดคนหนึ่งที่พูดได้ว่าระดับโปร ผมเจอหล่อนครั้งแรกเมื่อตอนสมัยเล่นสเกตบอร์ดใหม่ๆสามปีทีแล้วแน่ล่ะว่าไอ้พวกเด็กโนเนมแบบผมมาเดินงานแบบนี้ก็ย่อมจะต้องไม่รู้หลักรู้ทางเดินสะเปะสะปะไปทั่ว จนกระทั้งมาถึงโซนแจมนี้แหละครับ อาเจ๊แกโชว์เหินให้ดูรอบหนึ่ง ก่อนผมจะโดนเบียดให้ขึ้นไปยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงเนินลูกหนึ่งที่เอาจริงๆมันก็ไม่ได้สูงอะไร แต่นึกสภาพเด็กเพิ่งหัดเล่นสิครับ เจอแค่นั้นก็ล้มไม่เป็นท่าแล้วครับจากนั้นเจ๊แกก็ไถมาใกล้ก่อนจะชมว่า'ล้มสวยดีนะ'

นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้จักหล่อน

ต่อมา หล่อนสอนผมให้ลองเล่นท่าต่างๆดูจนเริ่มเล่นได้ นับว่าเป็นเพื่อนต่างเพศต่างไวคนแรกของผมเลยละครับ เพราะผมอยู่
โรงเรียนชายล้วนมาตั้งแต่เกิด ไอ้เรื่องจะให้มีเพื่อนผู้หญิงนี้ก็ยากหน่อยครับ ส่วนใหญ่จะมีแต่ความสัมพันธ์แบบอย่างว่าซะมากกว่า

ผมต่อแถวคิวรอซื้อข้าว ตาก็เหลือบมองดูไอ้ป้องกับเจ๊ปิงเป็นระยะๆ ผมเห็นพี่ปิงลากมันไปนั่งตง สแตนท์แล้วก็คุยอะไรกันเรื่อยๆ จากตรงจุดนี้เห็นแค่สีหน้าครับ ผมเห็นไอ้ป้องทำหน้า...เขิน?

เขินอะไร?

พี่ปิงเหรอ...

ผมไม่รีบด่วนสรุป แต่ยังมองเรื่อยๆ หน้าไอ้ป้องออกสีเลือดฟาดๆเป็นระยะๆสวนทางกับพี่ปิงที่หัวเราะชอบใจ

"เอาข้าวผัดกระเพา3กล่องครับ อ้อพี่ .....เอาเนื้อปลาด้วยครับ!!! "

ผมรีบบอก ก่อนจะชี้ไปที่เนื้อปลาส่วนห่างตัวประมาณเท่าๆปลานิล ไม่ยักรู้ว่ามีปลาขายด้วย... แต่ก็ดีครับ เพราะไอ้ป้องมันชอบ
กินปลาทุกชนิดซื่อไปฝากมันคงดีใจ

ผมไถตัวกลับไปหามัน เจ๊แกหัวเราะร่วน ขัดกับไอ้ป้องที่เกาหัวดูจะเขินๆ

"กระเพาไก่คนละกล่อง"

ผมพูดก่อนจะส่งกระเพาไก่ให้เจ๊ปิงกับไอ้ป้อง มันรับไปก่อนจะเปิดออกมาทาน

“แล้วนี้ของมึง”

ผมยื่นกล่องพลาสติกให้มันอีกไปอีกกล่องหนึ่ง มันมองหน้าผมหน่อยๆก่อนจะเปิดฝาแล้วทำหน้างงๆ

“อะไรว่ะ ?”

“เนื้อพะยูนมั่ง ไอ้ฟายยย ฉลาดไม่ใช่เหรอดูเอาสิว่าอะไร”

“ปลา ?”

“ก็ปลาไง”

ผมไม่เข้าใจว่าตกลงมันงงอะไรกันแน่

ไอ้ป้องกระพริบตาปริบๆแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อก่อนมันจะกินเนื้อปลาที่ผมส่งไปให้

“ก็ชอบกินปลา เห็นมันมีขายเลยซื่อมาฝาก โอเค๊”

“อื้ม ขอบใจ”

คำตอบรับสั้นๆตามสไตล์มันตอบกลับผมมา ก่อนผมจะนั่งกินข้าวของตัวเองมั่ง(หิวเป็นนะเว้ยเห้ย!!!) เพียงแต่ช้อนพลาสติกสีขาว
ขุ่นถูกยื่นมาใกล้ๆผม

“อะไร ?”

“เนื้อพะยูนมั่ง.... ก็ปลามันอร่อยดีเลยแบ่งให้”

มันย้อนผมหน้าตายก่อนจะตักชิ้นเนื้อปลาให้ผม

“สองคนนี้สนิทกันดีนะ”

เจ๊ปิงพูดแทรกขึ้น ผมเห็นไอ้ป้องมันหัวเราะก่อนจะหันไปคุย

“ไม่หรอกครับพี่ปิง ไอ้เกียร์มันชอบกวนประสาทผมมากกว่า”

“อย่าไปเชื่อมันพี่ปิง ไอ้ป้องมันก็ไม่ได้กวนน้อยไปกว่าผมหรอก”

“ไม่จริงพี่ เกียร์มันเคยทิ้งผมด้วย”

“โห ดูพูดเข้า ก็ผมลืมนี้หว่า อุตส่าห์ตื่นไปตลาดแต่เช้าง้อด้วยปลาแล้วด้วย พี่คิดดูดิคนอะไรต้องง้อด้วยปลาถึงจะหายงอน”

“อะไรใครงอน ? ผมแค่โกรธมันหรอก”

“ไม่งอนนะ แต่ไม่ยอมมองหน้าผม”

ผมเห็นพี่ปิงกั่นยิ้มด้วยความขำขันที่เห็นผมกับมันนั่งทะเลาะกันไปมาแบบนี้ ทั้งๆที่เป็นการทะเลาะกันแท้ๆแต่ผมกลับรู้สึกดีที่ได้อยู่กับมัน คุยกันเรื่อยๆแบบนี้

“อยู่ถึงกี่โมงกันนะ ?”

พอกินข้าวเสร็จจนนั่งย่อยได้สักพักพี่ปิงก็ถามขึ้น

“ว่าจะไปแล้วครับพี่ เดี่ยวจะไปต่ออีกหน่อย”

ผมดึงไอ้ป้องที่ทำตัวขี้เกลียดหลังกินข้าวเสร็จลุกขึ้นยื่นก่อนจะหันไปหาพี่ปิง

“เหรอ ? โชคดีนะ ปีหน้าพี่ขอให้เจอพวกเราสองคนอีก อ้อ!!! ป้องอย่าลืมที่พี่บอกไปนะเว้ย”

พูดจบ พี่ปิงก็โบกมือลาพวกผมสองคนก่อนจะไถสเกตบอร์ดออกไป

“พี่เขาบอกอะไรมึงว่ะป้อง ?”

มันสะดุ้ง หน้าสีน้ำผึงเริ่มออกสีเลือดฝาดนิดๆ

“ปะ...เปล่า”

“แน่นะ ?”

ผมใช้สายตาสแกนคำตอบใส่ร่างมัน ไอ้ป้องอึกอักก่อนมันจะเกาๆหัวแล้วจับมือผมเดินออกไป

“ไปกันดิ่”

“ไปไหน ?”

“ก็...ก็มึงบอกจะพากูไปอีกที่ไม่ใช่เหรอ ?”

รู้หรอกนะว่าอีกฝ่ายจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่ถ้าอุตส่าห์จับมือผมเดินออกมานอกงานโดยไม่สนใจสายตาคนอื่น งั้นถือว่าผมยกผล
ประโยชน์ให้จำเลยสักครั้งก็ได้ครับ ....

ผมกับไอ้ป้องไถสเกตบอร์ดมาจนถึงที่จอดรถ ก่อนผมจะเตรียมสตาร์ทรถ

“โอ๊ย!!”

ผมสบถออกมานิดหน่อย ขาข้างที่กระแทกพื้นรู้สึกเจ็บแปลบตอนที่สตาร์ทรถ

“ไหวป่าวเกียร์ ?”

ไอ้ป้องถามขึ้นหลังเห็นสีหน้าเหยเกของผม

“ไหวๆ”

ผมตอบ

คือถามว่ามันเจ็บไหม มันก็เจ็บครับ แต่ตอบไปก็กลัวจะเสีย ฟอร์ม อีกอย่างหนึ่งเอารถมาแบบนี้ถ้าไม่เอากลับก็คงจะไม่ได้ แต่ขาผมดันเจ็บซะนี้สิ

ไอ้ป้องมองผมก่อนจะเดินมาถือกุญแจรถไปแทน

“อะไรว่ะ ?”

“เดี่ยวกูขับเอง ขาเจ็บแล้วจะเหยียบเบรกได้เหรอ ? กูกลัวตายเหมือนกันนะ”

มันพูดยิ้มขำๆ  ที่ผมสงสัยคือ ....

“มึงขับรถเป็น ?”

“ก็...ก็พอได้ แต่กูว่าก็ดีกว่าให้คนเจ็บเท้าขับอ๊ะ”

นั้นไง ผมเดาผิดที่ไหนล่ะ

“เอางี้”

“...........”

“กูขาเจ็บ แต่มือยังโอเคอยู่ งั้นเดี่ยวกูประครองรถ มึงเป็นคนเหยียบพวกคันเร่งหรือกับเบรก ตกลงไหม ?”

“อื้ม...ก็...โอเค”

สุดท้ายคือมันนั่งด้านหน้าก่อนจะยกเท้าสตาร์ทรถ ผมนั่งซ้อนท้ายแต่ยื่นแขนข้าวไหล่มันไปจับแฮนด์เอาไว้แต่ไม่ถนัด

“ป้อง”

“ห๊ะ ?”

“คือ มือกูมันยื่นไปจับไม่ถนัด...กูขอ....โอบเอวมึงไว้นะ”

ผมนั่งเงียบอยู่ด้านหลังเพราะมองไม่เห็นเหมือนกันว่ามันจะทำสีหน้าแบบไหนอยู่ โกรธผมรึเปล่าที่ทำแบบนี้หรืออายรึเปล่าที่ผม
จะ...เออ โอบเอวมัน(แม้จะเพราะสถานการณ์ตรงหน้าก็เถอะ)

“ก็โอบไปดิ”

เสียงราบเรียบดังบอกผมแบบนั้น

พอได้ยินผมเลยค่อยๆสอดแขนผ่านเอวเหมือนกับกำลังโอบเอวมันนั้นแหละครับ ไอ้ป้องไม่ได้พูดอะไร

ไม่รู้ว่าเพราะมันเข้าใจสถานการณ์หรือเพราะมันยอมผมแล้วกันแน่...

แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็ทำแบบนั้นไปแล้วล่ะครับ

Cbr ของผมค่อยๆแล่นออกจากบริเวณที่จัดงาน เพราะตอนนี้มันเป็นคนที่หนังอยู่ด้านหน้าผมเลยมองไม่เห็นสีหน้าของมัน

“ป้อง”

“หื้ม ?”

“สนุกไหมว่ะที่ไปเดินมา แล้วก็ร้อนไหม ?”

มันเงียบไปแปปก่อนจะพูด

“ร้อนมาก เหนื่อยมาก.....”

ผมได้ฟังแบบนั้นก็เริ่มใจหาย ยังไม่ทันโต้แย้งอะไรอีกฝ่ายก็พูด

“แต่สนุกมาก และโคตรจะมีความสุขมาก ได้เจอคนแปลกๆในงานเยอะ เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยลอง ถ้าจะให้พูดมันก็คุ้มดีกับความร้อนและก็ความเหนื่อยนะ ปกติแล้วกูไม่ชอบเดินงานอะไรแบบนี้แบบ กลัวๆจะอึดอัด แต่พอได้มาลองเดินดูมันก็ไม่ได้อึดอัดอะไร แถมยังรู้สึกดีที่ได้เดินกับมึง”

ประโยคใดเหล่าจะเท่าประโยคจบ...

ผมรู้สึกเหมือนมีผีเสื่ออีกสักฝูงสองฝูงกระพือปีกบินไปมาในท้อง ความรู้สึกที่กลัวๆเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะเข้ากันไม่ได้กับโลกของผมค่อยๆลดน้อยถอยลงไป

“ดีใจนะที่มึงชอบ”

“อื้ม..วันหลังชวนมาอีกก็ได้นะ”

ผมถือว่านั้นเป็นประโยคที่แปลได้ว่ามันไปไหนมาไหนกับผมได้

แบบนี้จะเรียกว่า ‘ก้าวหน้า’ รึเปล่าครับ....  ?

“ป้อง”

“ห๊ะ ?”

ผมลังเลนิดหน่อยกับความคิดตัวเอง กำลังคิดอยู่ว่าควรจะถามออกไปดีไหม หรือไม่ควรถามดี

“มึงคิดยังไงกับน้องแสงว่ะ ?”

“แสง...อ้อ น้องรหัสกูอ่ะนะ”

“เออ”

มันเงียบไป เป็นเรื่องปกติล่ะครับ ก่อนไอ้ป้องจะพูดอะไรสักอย่างมันจะเงียบไป เป็นการแสดงออกว่ากำลังกลั่นกรองความรู้สึก
นึกคิดที่อยู่ในหัวให้ออกมาเป็นคำพูดที่ตรงประเด็นมากที่สุด

“ก็ดีนะ น้องเขาหล่อดี น่ารัก เอาใจเก่ง แถมยังชอบเล่าเรื่องตลกๆให้ฟัง”

“เหรอ”

เหมือนๆไอ้ผีเสือฝูงนั้นจะถูกอะไรสักอย่างโจมตีจากภาคพื่นดินด้านล่างจนร่วงเกลื่อนท้องผมไปหมด

“อื้ม....เป็นรุ่นน้องที่น่ารักดี”

“รุ่นน้อง ?”

“อื้ม รุ่นน้อง”

คำยืนยันสถานะของไอ้แสงดังออกมาจากปากมัน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเอาใบชุบไปแจกให้ไอ้ผีเสือฝูงนั้น จนพวกมันฟื้นคืนชีพขึ้นมาตีปีกบินพับๆ หัวเราะผมที่ด่วนใจร้อนสรุปไปเอง

“แล้วกูหล่อไหม ?”

ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดออกไปได้ยังไง ปกติผมไม่เคยถามคำถามนี้กับใครนะ แม้จะหล่อจริงๆก็เถอะ (อะไร พูดความจริงแค่นี้ถึง
ขนาดต้องอ้วกเลยเหรอครับ -  -)

“ก็หล่อดี”

คำตอบสั้นๆได้ใจความดังขึ้นจากปากมัน

คือ จะพูดอะไรยาวๆต่อจากนี้ก็ได้นะเว้ย กูก็อยากรู้....

ว่ามึงคิดยังไงกับกู....

ผมไม่กล้าถามไอ้ป้องออกไปหรอกนะเกี่ยวกับตัวเอง ด้วยคำถามที่คล้ายกับของไอ้แสง

‘คิดยังไงกับกูว่ะป้อง ?’

กลัวว่าคำตอบที่ได้....

มันจะทำร้ายใจผมเองนี้แหละ

กลิ่นหอมสบู่จางๆจากตัวคนถูกโอบ ทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปหน่อยๆ ผมสูดลมหายใจช้าๆเข้าออก พยายามเก็บเกี่ยวทุกความรู้สึกให้ได้มากที่สุดเพราะสักวันหนึ่งที่ผมมีความกล้ามากพอที่จะพูดออกไป

วันนั้นอาจจะเป็นวันเดี่ยวกับการที่มัน....

เลือกจะเดินจากผมไปก็ได้


...




“มึงพากูมาที่นี้อ่ะนะ ?”

“อื้ม โลกอีกครึ่งใบของกู”

เสียงผู้คนมากมายกำลังโหวกเหวกโวยวาย เสียงเด็กๆร้องกระจองอแงขอตังค์พ่อแม่ ณ ตอนนี้ผมกับมันได้มาอยู่กันที่...

“โลกของมึงนี้มีแต่เกมสินะ”

ไอ้ป้องพูดขึ้น

ครับ ตอนนี้ผมกับมันมาอยู่กันที่เกมเซนเตอร์แถวโรงเรียนที่ผมกับเกลอแก๊งชอบมานั่งตกเหยื่อ เอ๊ย รอสาวกันเป็นประจำ  ครั้งนี้ต่างกันตรงที่ผมมากับไอ้ป้อง

....ผู้ซึ่งผมคิดว่าไม่เคยเล่นเกมมาก่อนเลย

“ก็บอกแล้ว วันนี้กูอยากพามึงไปที่ๆกูอยากไป ส่วนพรุ่งนี้ก็ตามใจมึง อยากพากูไปเที่ยวที่ไหนก็เอาเลย”

ผมกับมันยื่นอยู่ที่แถวรอแลกเหรียญสิบครับ

“พูดอย่างกับมาออกเดทกันแนะ...”

ผมเกือบสำลักอากาศแถวๆนี้ด้วยซ้ำ คือรู้นะครับว่ามันแค่บ่นไปเรื่อย แต่พอโดนจี้ใจดำเนี้ยก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งนิดๆ

“ก็นะ ถือเป็นการขอโทษมึงไง”

“ขอโทษ... ?”

“ขอโทษที่กูไม่ค่อยเข้าใจมึงไง แต่ที่กูพามึงมานี้เพราะกูเองก็อยากให้มึงได้เข้าใจไง ว่าเออ กูเป็นคนแบบนี้นะ กูชอบอะไรแบบนี้ ไม่ใช่แค่ว่ากูทำเป็นแต่ม่อสาวหรือทำอะไรที่มันไม่ดีๆ กูแค่อยากให้มึงได้เห็นอีกด้านของกู”

ผมพูดออกไปด้วยความงงๆมึนๆของตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันรู้เรื่องรึเปล่ากับสิ่งที่ผมพูด เพราะผมเองก็มึนเหมือนกัน แต่พูดตามที่ใจคิด ที่รู้สึกครับ...

“....................”

“มึงเข้าใจที่กูพูดไหมว่ะ ???”

“เข้าใจ”

“อื้ม ดีแล้วแหละ เพราะงั้นพรุ่งนี้มึงต้องพากูไปเที่ยวด้วย”

“.....................”

“กูอยากเข้าใจมึงไง....”

เป็นคำตอบ ......ที่อาจจะถือได้ว่าสรุปสั้นๆสุดๆแล้วล่ะมั่งครับ

การมาเที่ยวครั้งนี้ ตัวผมเองแอบแฝงอะไรไว้หลายๆอย่าง ผมอยากให้มันเข้าใจผม มุมมองของผม ความเป็นตัวเองของผม ว่าผมนะมันปากเสีย ดื้อด้าน อะไรแบบนี้ ผมอยากจะมองเห็นมันในมุมใหม่ๆ อยากรู้ อยากเข้าใจ ว่ามันคิดอะไร อยากได้อะไร เอาจริงๆคืออยู่ด้วยกันมาจะเกือบๆสองเดือนแล้ว กระทั้งพวกสิ่งที่มันสนใจผมยังไม่รู้จักดีพอ

ถ้าไม่รู้กระทั้งเรื่องเล็กๆน้อยๆของอีกฝ่าย ....

แล้วผมจะ ‘รู้ใจ’ มันได้ยังไงล่ะครับ ?

ผมไม่ได้รีบร้อน ไม่เร่งสรุปความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อมัน ไม่หาคำจัดกัดความใดๆมาคิดในปวดหัวด้วย ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามันเป็นอะไรกับผม หรือผมกำลังเป็นอะไร ผมยังยื่นยันได้หนักแน่นเต็มปากว่าตัวเองเป็น‘ผู้ชาย’และผมยังชอบ’ผู้หญิง’ ยังมีอารมณ์ทางเพศกับเพศตรงข้าม ยังสนใจเรื่องยังว่า เหมือนๆกับมันที่ยังเป็นผู้ชายเต็มตัว

บางที่ธรรมชาติก็ไม่ได้อยากให้คนเราทำอะไรให้มันซับซ้อนมากมาย

นิยามสั้นๆของผมที่มีต่อมัน ก็คงจะเป็นคำตอบที่ว่า....

ผมได้อยู่กับมันแล้วผมมีความสุข

ไม่ต้องแอ็ค ไม่ต้องเก๊ก ทำอะไรก็ได้ตามใจ ไม่ต้องคอยวางมาดเกร็งเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิง ไม่ต้องคอยจำวันเกิด วันสำคัญ วันครบรอบ บลาๆๆ นู้น นี้ นั้น  แสดงความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเปิดเผย

กับไอ้ป้องก็เหมือนกัน อยู่กับผม ผมก็ไม่เคยเห็นว่ามันจะประดิษฐ์อะไรออกมาสักอย่าง รอยยิ้ม คำพูด ท่าทาง ทุกอย่างล้วนไร้การปรุงแต่งและผมชอบ....ที่เป็นแบบนั้น

“อยากเข้าใจกูจริงๆเหรอ ?”

คำถามลอยๆออกมาจากปากมัน

“อื้ม...อยากรู้ ว่าบางที่ที่มึงเงียบ มึงคิดอะไรอยู่ ”

มึงคิดยังไงกับกูอยู่...

นั้นต่างหากคำถามที่ถูกต้อง

“งั้นมึงก็ต้อง ‘ไม่เข้าใจ’”

ผมยกคิ้ว งงกับคำตอบของมัน

“คือ กูหมายถึง ถ้าอยากเข้าใจ มึงต้องไม่เข้าใจ เพราะบางครั้งตัวกูเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าบางครั้งกูเงียบไปเพราะอะไร กูอาจจะเงียบเพราะอยากอยู่คนเดี่ยว กูอาจจะเงียบเพราไม่มีอะไรให้พูด กูอาจจะเงียบเพราะต้องการจะฟังเสียงรอบๆตัว....”

“..............”

“หรือกูอาจจะเงียบ....เพราะกูเองก็อยากจะรู้จักมึง....ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะงั้นตอนที่กูเงียบก็ไม่ต้องคิดมากก็ได้”

“..............”

“ไม่ต้องเข้าใจกันทุกเรื่อง แค่อยู่ข้างๆกัน มีความสุขไปกับสิ่งตรงหน้า มึงว่า...แบบนี้มันมากพอรึเปล่าว่ะ ?”

คนไม่ชอบพูด พูดสิ่งที่คิดออกมายาวๆ ตอนที่มันพูด ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงหวานๆ ไม่ได้มีแววตาซึ่งกินใจ ไม่มีการกุมมือกันในรู้สึกอบอุ่น พูดออกมาด้วยลักษณะธรรมดาๆ

ไม่บ่อยนักหรอกนะครับที่มันจะพูดอะไรออกมายาวๆกับผมขนาดนี้

ผมหลับตานิ่ง ไอ้สมองโง่ๆของผมนะไม่รู้หรอกว่าที่มันพูดแปลความหมายไปได้มากขนาดไหน ผมรู้เพียงแต่ว่า....

ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น

“มากพอเกินขอบคุณเลยแหละ”

ไม่มีอ้อมกอดโรแมนทริกๆเหมือนในหนังในละคร ไม่มีฉากสารภาพหวานๆ  ไม่มีคำพูดที่บ่งบอกไปในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ทุกอย่างมีแต่ความคลุมเครือที่ไม่ชัดเจน ไม่มีคำจำกัดความในสถานะใดๆ

แค่รู้ว่าอยู่ข้างๆกันแล้วมีความสุขทั้งคู่....

ก็พอแล้ว.....

เป็นอย่างที่คิด ไอ้ป้องไม่เคยมาเล่นเกมอะไรพวกนี้หรอกครับ มากสุดที่มันเล่นคือเกมในโทรศัพท์มือถืออะไรทำนองนี้

ผมสอนมันเล่นเกมกดตามตู้เหมือนสอนเด็กเล็กๆๆเล่น แรกๆไอ้ป้องก็ดูเกร็งๆ พอเล่นไปสักพักก็เริ่มคล่อง เล่นแข่งกับผมได้สบายๆ เกมที่โดนใจไอ้ปกป้องมากที่สุด ไม่ใช่เกมต่อสู้เลือดสาด ไม่ใช่เกมใช้สมองแบบไพ่ต่อกัน ไม่ใช่เกมเอเลี่ยนล่าสัตว์ประหลาดแต่เป็นเกม...

ตีตุ่น...

'ตุ๊บ'

เสียงค้อนดังทุบตัวตุ่นเป็นจังหวะเดี่ยวกับที่ตุ่นตัวสุดท้ายถูกไอ้ป้องตี

"เกียร์ ขอเหรียญสิบหน่อย"

มันบอก มือข้างซ้ายถือค้อนตีตุ่นไว้ มือข้างขวายื่นมาทางผม

ผมเหมือนเป็นตู้ธนาคารให้เด็กตัวเล็กๆรีดไถตังค์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กอัจฉริยะจะชอบเล่นเกมตีตุ่น
ไอ้ป้องทุบค้อนลงไปด้วยแรงพอประมาณที่จะทำให้ตัวตุ่นถูกดันลงไปด้านล่างจากแรงทุบ ไม่ได้ทุบแบบบ้าคลั่งระบายอารมณ์ เหตุผลที่มันชอบเล่นมีเพียงอย่างเดี่ยว

"มันเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนดี แค่ตีลงไป ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย"

ชอบ เพราะว่ามันเรียบง่าย

จะบอกว่ามันคลาสสิคดีหรือตลกดีล่ะครับ

ไม่ว่าสุดท้ายจะลงท้ายแบบไหน ผมชอบที่เป็นแบบนั้น

ชอบที่ครั้งนี้ ไอ้ตัวดียอมทำตัวง่ายๆ ยอมพูดตรงๆกับสิ่งที่อยู่ข้างใน นี้คือสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจในความสัมพันธ์ในตอนนี้

วันนี้ ‘โลกของผม’ ผ่านพ้นไปแล้ว.....

พรุ่งนี้ผมจะได้เจอแล้วสินะ....

‘โลกของมัน’นะ.....





                     
  _______________________________________________________


TBC.

ในที่สุดก็จบลงแล้วกับ 'โลกของเกียร์' ไม่รู้เหมือนกันว่าเราถ่ายทอดความรู้สึกของเกียร์ให้ออกมาชัดเจนรึยัง ถ้าอ่านแล้วยังงงๆแปลว่าสกิลแตกต่างยังไม่ถึงขั้น Orz

ตอนหน้าเป็น 'โลกของป้อง'นะครับ...

อยากรู้ไหม ว่าโลกที่ป้องอยู่....

มันเป็นยังไง :)

ขอบคุณทุกคน ทุกคอมเม้นท์ทุกกำลังใจ บอกเลยว่าปลื้มปริ่มๆมาก โดยเฉพาะคุณ B52 คุณเทพอสูร คุณsnowboxs คุณ IsDeer มีความสุขมากที่กดกระทู้ที่ยังไม่ได้อ่านแล้วเจอคอมเม้นท์ทุกตอน


ขอบคุณครับ  :L2:


ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ดีจังไม่ต้องรีบหาคำตอบให้ตัวเองสับสน
แค่พูด แค่ทำ แค่คิด ในสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่มีความสุข
ทีนี้ก็ได้เวลารอเข้าไปในโลกของปกป้องกันสักทีนะ
เพราะถ้ามองจากภายนอก ป้องดูซับซ้อนกว่าเกียร์เยอะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เพราะชีวิตมันยุ่งยากพออยู่แล้วก็เลยมองหาอะไรที่มันเรียบง่ายใช่ไหม

ออฟไลน์ dekzappp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
>< งื้ออออ นิยายเรื่องนี้ทำให้เราอารมณ์ดีอีกแล้ว~~

ชอบนะที่บรรยากาศของทั้งคู่มันค่อยเป็นค่อยไป เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง

โลกของเกียร์นี่มีสีสันดีนะ ทำให้เราสนใจจะลองเล่นสเก็ตบอร์ดดูเลย
รอดูโลกของป้องๆ :)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ stickieeZz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น่ารักมากกก :katai2-1: :katai2-1: จับมือกันเล่นสเก็ตบอร์ด :mew1:

เวลาล้มทีเจ็บตูดมาก เคยเล่นแล้วล้มเจ็บก้นไปสองวัน :hao5: :hao5:

อยากเจอโลกของป้อง จะเป็นยังไงน้าาาาา :hao6:

รอจ้าาาาาาา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2014 20:10:02 โดย stickieeZz »

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :hao7:
ทำเอาฟินอีกแล้ว หลายๆฉากมันช่างฟิน จนกำเดาฉันจิไหล
มากอดแตกต่างเป็นรางวัลที่เขียนเรื่องได้น่ารัก  :กอด1:

โลกของปกป้องก็คงฟินไม่แพ้กัน คราวหน้าปกป้องต้องโชว์สกิลเมะนะ อย่ายอมให้เค้ากดล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

ปอลิง: กะเพรา เขียนอย่างนี้จ้า
สแตนด์ เขียนอย่างนี้

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
เพิ่งตามอ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อคืน แบบว่ามันสนุกมากกกกจริงๆ
เราชอบอ่านนิยายที่ค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ

ตอนนี้ยังเดาไม่ออกว่าใครจะอยู่เหนือใคร แต่เดาว่าเป็นป้องนะ ความชอบส่วนตัวค่ะ

รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ก่อนอื่นคงต้องบอกว่า  "ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ"  ยอมรับเลยว่าเรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนมี เพื่อน มาเล่าให้ฟัง วันนี้เจอแบบนี้มานะ จะทำแบบนั้นต่อนะ อะไรประมาณนี้   #วันนี้มีสาระอะ อุ๊ยเขิน  :-[


#เหมือนตอนนี้เค้าหวานๆ มุ้งมิ้ง ฟุ้งฟิ้งกันยังไงชอบกล  :hao6:

ออฟไลน์ ๐แตกต่างเติมเต็ม๐

  • "ผมไม่ได้แค่รัก แต่ยังศรัทธาใน'เรา' #ก้องเกียรติ์
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
    • https://www.facebook.com/PokpongGonggend/timeline
#17 โรงพยาบาล น้องร่าเริง และ มุมมองของป้อง


วันนี้พ่อกับแม่ออกไปหาลูกค้านอกบ้านแต่เช้า ผมกับไอ้ป้องตื่นมาช่วยกันจัดการงานบ้านให้เรียบร้อย เอาผ้าเข้าเครื่องซักผ้า(ที่ใช้ได้แล้ว) เก็บกวาดเช็ดถูจนบ้านสะอาดนั้นแหละครับ ผมกับไอ้ป้องเลือกเมนูทานง่ายๆอย่างไข่ดาวคนละสองฟอง(จริงๆคือผมกินไปสาม)อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ได้เวลาพร้อมไปแล้วครับ

ไอ้ป้องกำชับผมนิดหน่อยว่าให้แต่งชุดสีโทนอ่อนๆ ผมก็ไม่เข้าใจนักหรอกนะครับ เอาเป็นว่าผมตามใจมันล่ะกัน

แน่นอนว่าวันนี้พาหนะของผมกับมันยังเป็นCbr คู่ใจเช่นเคย ไอ้ป้องแค่เตือนผมว่าให้ชะลอความเร็วจากปกติก็เท่านั้นแล้วก็ให้พกบัตรประชาชนไปด้วย ก่อนออกจากบ้าน ตอนแรกมึงหยุดยืนมองสเกตบอร์ดที่จอดไว้หน้าบ้าน สุดท้ายก็หิ้วติดมือมาด้วยทั้งของผมของมัน ผมไม่ถามเหตุผลหรอกนะว่ามันเอาไปทำไม เอาเป็นว่ามันอยากบอกก็คงบอกเองนั้นแหละครับ

"เกียร์"

"หื้ม?"

"รู้จักโรงพยาบาล'มอร์ ลินเทอร์'ไหม?"

ผมทวนชื่อโรงพยาบาลนั้นในใจเงียบๆ ก่อนจะส่ายหน้าเพราะไม่แม้แต่จะคุ้นด้วยซ้ำ

"ฮะฮะ ไม่รู้จักก็ไม่แปลกหรอก มันเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางเล็กๆนะ"

"แล้วมันเกี่ยวกับไรอ๊ะ?"

ผมถามไปด้วย สวมหมวกกันน็อคไปด้วย ไอ้ป้องเงียบไปแปบก่อนจะตอบ

"โรคหัวใจนะ"

"งั้นบอกทางด้วยแล้วกัน กลัวพามึงหลง"

ผมพูดกลั่วหัวเราะ รอยยิ์มจางๆถูกส่งผ่านกระจกมองข้างมาให้ ก่อนไอ้ป้องจะขึ้นซ้อนท้ายผมออกไป




ผมขับรถตามคำบัญชาของไอ้คุณชายปกป้องไปจนถึงบริเวณโรงพยาบาลเล็กๆแห่งหนึ่ง

โอเค...มันไม่ใช่โรงพยาบาลเฉพาะทาง ‘เล็กๆ’แบบที่ไอ้ป้องบอกเหรอ

อาคารสีครีมอ่อนสูงหกชั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าผม ไอ้ป้องบอกกับผมว่าไอ้ขับรถเข้าไปจอดช้าๆตรงบริเวณด้านหน้าโรงพยาบาล ก่อนผมกับมันจะเดินเข้าไปในตัวอาหาร

“สวัสดีครับพี่แพร”

มันว่า ก่อนจะยกมือไหว้นางพยาบาลสาว(สวยโคตรๆ)คนหนึ่ง หล่อนรับไหว้ก่อนจะถามต่อ

“หวัดดีจ้าน้องปลื้ม มากับเพื่อนเหรอวันนี้ ?”

“ครับพี่ นี้เกียร์เพื่อนผม”

ผมยกมือไหว้อย่างงงๆกับนางพยาบาลคนนั้น เพราะเมื่อกี้หล่อนเรียกไอ้ป้องว่า ‘น้องปลื้ม’

“โอเค เดี่ยวเกียร์พี่ขอบัตรประชาชนเราไว้หน่อยนะ เราต้องติดบัตรของทางโรงพยาบาลจ้า”

ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะครับ ว่าทำไมมีแค่ผมคนเดี่ยวที่ต้องติดบัตรติดต่อภายใน แต่ไอ้ป้องกับเดินตัวปลิวไปมาได้ ยังกะมันได้อภิสิทธิ์พิเศษงั้นแหละครับ ผมยื่นบัตรประชาชนไปให้หล่อน ก่อนจะรับบัตรที่มีเข็ดกลัดเล็กๆไว้ติดตรงหน้าอก ไอ้ป้องคุยอะไรกับพี่แพรนิดหน่อยก่อนจะขอตัว

ผมกับมันเดินขึ้นไปเรื่อยๆถึงชั้นสาม ก่อนไอ้ป้องจะเดินไปตรงห้องริมระเบียง มันหันมามองหน้าผมนิดหน่อยก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไป ภาพที่ปรากฏแก่สายตาหลังจากเดินเข้าไปคือเตียงนอนคนไข้ที่ป่วยด้วยผ้าสีฟ้าอ่อนๆ ไอ้ป้องขมวดคิ้วนิดหน่อยก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ

“ร่าเริง อยู่ข้างไหนรึเปล่า ?”

มันตะโกนเรียกชื่อใครบางคน แต่พอเปิดประตูห้องน้ำก็ไม่เจอใคร

“พี่ปลื้มเหรอ ?”

เสียงแหลมเล็กๆเหมือนเสียงเด็กเพิ่งแตกหนุ่มดังขึ้นจากริมระเบียง ไอ้ป้องทำหน้าย่นก่อนจะเดินไปตามเสียง

“แล้วใครใช้ให้ไปยืนริมระเบียง เดี่ยวก็ตกลงไปหรอก”

ผมยืนเงียบๆเพราะยังนึกไม่ออกว่าตัวเองควรจะทำยังไงต่อไป

“ก็มันร้อนนิ...อ๊ะ...นี้... ?”

“นี้พี่เกียร์ เพื่อนพี่เอง”

ไอ้ป้องแนะนำ ก่อนน้องคนนั้นจะหันมาไหว้ผม

รอยยิ้มเล็กๆถูกจุดขึ้นที่มุมปากของร่าเริง ในชีวิตผมถ้าไม่รวมพวกผู้หญิงแล้ว เด็กผู้ชายที่ยิ้มได้น่ารักมากมีสามคน ไอ้ต้องตาน้องรหัสผม น้องเพลงแฟนพี่กาเซียร์ และเด็กที่อยู่ตรงหน้า....

“สวัสดีครับพี่ ผมชื่อร่าเริง”

ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วในความคิดผม ต้องตาเหมือนกล่องแพนโดร่า ที่แม้จะน่าหลงใหลแต่ก็แฝงไว้ด้วยอันตราย น้องเพลงเหมือนไวโอลิน ดูภายนอกงดงามเลอค่า แฝงทำนองไว้มากมาย ส่วนร่าเริงเหมือนพระอาทิตย์ดวงน้อยๆ ไม่ได้อบอุ่นจนแกร่งกล้า แต่ก็มากพอที่จะทำให้คนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดู…

ร่าเริงเป็นเด็กผู้ชายอายุคะเนคร่าวๆจากสายตาผมประมาณ 12-13ปี สูงประมาณ 150กว่าๆไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ เขาอยู่ในชุดคนป่วยแบบที่เห็นตามในหนังในละคร แต่เป็นสีฟ้าอ่อน ผมบนหัวยาวกว่าปกติแบบเด็กทั่วไป สิ่งที่ผมเห็นอย่างเดี่ยวคือบรรยากาศรอบๆตัวน้องมันดูเหมือนไอ้ป้อง

แต่เป็น ’ความเหมือน’ ที่ ‘แตกต่าง’.....

ผมอธิบายไม่ค่อยถูกเหมือนกันว่ามันหมายความว่ายังไง เอาเป็นว่าตอนนี้ผมเอ็นดูเด็กคนนี้แล้วกัน

“เป็นไงมั่งเรา”

ไอ้ป้องนั่งลงตรงเตียงก่อนจะถามร่าเริง เด็กนั้นยิ้มน้อยๆสไตล์คล้ายๆกันกับไอ้ป้องก่อนจะตอบ

“ก็เหมือนเดิมครับพี่ ยังมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งวัน”

 “‘ตั้ง’หนึ่งวันต่างหาก”

ไอ้ป้องแก้ เด็กนั้นหัวเราะแห้งๆก่อนจะพูดต่อ

“พี่ปลื้ม ร่าเริงเบื่อจะอยู่ในห้องแล้วอ๊ะ อยากออกไปสูดอากาศข้างนอก”

คนเด็กกว่าพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ ใบหน้ายิ้มๆนั้นหมองลงไปถนัดหน้า

“ไว้หายดีก่อนสิ เดี่ยวเราก็ได้ออกไปเดินเล่นแล้ว”

“งั้นมันคงไม่มีโอกาสแล้วล่ะครับ....”

“อย่าดื้อสิร่าเริง เดี่ยวก็หายเชื่อพี่สิ”

ไอ้ป้องพยายามพูดตอบ คนเด็กกว่าไม่พูดอะไรแค่เงียบลงไปถนัดตา

“จริงๆไปก็ได้ไม่ใช่เหรอป้อง ?”

ผมที่นิ่งเงียบไปนานเอ่ยพูดขึ้นบ้าง น้องร่าเริงที่เมื่อกี้ทำท่าหูตก หูตั้งขึ้นมาทันตา

“จริงเหรอครับพี่เกียร์ พาผมออกไปข้างนอกได้เหรอ ?”

“ก็ได้สิ นอกห้องไม่ได้มียักษ์มีมารนิเราถึงจะออกไปข้างนอกไม่ได้”

“ไชโย”

เด็กนั้นร้องด้วยน้ำเสียงดีใจ ก่อนทำท่าจะกระโดด แต่ก็หยุดชะงักค้างอยู่กับที่ ใบหน้าที่สดใสเปลี่ยนเป็นเจ็บปวด ผมยังไม่ทันขยับตัวไอ้ป้องที่ทำหน้าตกใจก็รีบเข้าไปดูใกล้ๆก่อนผมจะทันขยับตัวด้วยซ้ำ

“ใจเย็นๆ สูดลมหายใจลึกๆ นั่งลงก่อน”

มันประครองร่างของร่าเริงที่กำลังพยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ ไม่ถึงห้านาที่ร่าเริงก็ยกมือขึ้นมาบอกว่าตนโอเคแล้ว

“เหนื่อยไหม ? พักก่อนรึเปล่า ?”

ไอ้ป้องถามด้วยความเป็นห่วง แต่คนฟังกลับพยายามส่ายหน้ารั่วๆจนผมกลัวอาการน้องมันจะกำเริบอีก

“ไม่เอา ร่าเริงจะไปกับพี่เกียร์”

“เราไม่สบายอยู่ ออกไปไม่ได้”

“แต่...แต่ผม....”       

น้องมันทำหน้าอึดอักก่อนอาการแบบเดิมๆจะปรากฏขึ้นจนผมกับไอ้ป้องกระวนกระวาย สุดท้ายไอ้ป้องก็เลยยอมให้น้องมันออกไปข้างนอกได้

“ออกไปก็ได้ๆ แต่แค่สวนของโรงพยาบาลเท่านั้นนะ”

ไอ้ป้องยอมตามคำขอร้อง น้องมันทำได้แค่พยักหน้ารับช้าๆเพราะกลัวว่าอาการเดิมๆจะกำเริบอีก

“โอ๊ย!!!”

ผมสะดุ้งตัวเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบๆที่แขน ตอนนี้น้องร่าเริงขอตัวเข้าไปอาบน้ำข้างในห้องก่อนครับ น้องมันบอกว่าไม่อยากลงไปข้างล่างแบบตัวเหม็นๆ

“เกียร์ไปพูดแบบนั้นกับน้องเขาได้ยังไง”

มันดุผมเสียงเข้ม

“อ้าว ก็แล้วทำไมน้องเขาถึงออกไปข้างนอกไม่ได้ล่ะ”

ผมถามด้วยสีหน้ากังขา ถึงจะเห็นว่าน้องมันดูจะตื่นตกใจง่ายไปหน่อยแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอันตรายใดๆเดินขึ้นเลยด้วยซ้ำ

“ร่าเริงเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดตีบตัน”

“ห๊ะ ?”

“อาการของน้องมันก็เหมือนที่มึงเห็นเมื้อกี้ เหนื่อยง่ายตามความรู้สึก แค่ตกใจหรือดีใจมันก็เจ็บหน้าอกแล้ว จริงๆอาการของน้องมันในตอนนี้ไม่ควรจะลุกขึ้นมาด้วยซ้ำ......... ”

“อ้าว...คือ กูไม่รู้....”

ผมพูดเสียงต่ำ เริ่มรู้ตัวว่าทำพลาดไป ก็มันไม่ยอมบอกอะไรผมก่อนสักอย่างเลยนิครับว่าต้องทำยังไงบ้าง

“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าให้น้องลงไปเดินเล่นก็ได้ แต่ต้องช่วยกันดูแลนะ ร่าเริงสุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“อ่า......”

ระหว่างที่นั่งรอร่าเริง ไอ้ป้องก็เริ่มเล่าให้ผมฟังถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่

ร่าเริงคือรุ่นน้องคนหนึ่งที่สนิทกันมากสมัยที่พ่อของไอ้ป้องยังอยู่ เป็นเพื่อนบ้านที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนพี่น้องต่างสายเลือดกัน แต่เพราโรคหัวใจที่เป็นโรคประจำตัวซึ่งเพิ่งตรวจเจอสมัยเข้ามัธยมต้น ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนๆเด็กทั่วไป ร่าเริงเองก็พยายามอย่างเต็มที่ในการใช้ชีวิตเพื่อให้มี‘วันพรุ่ง’นี้ต่อไป ทั้งการทำกายภาพบำบัดหรือการเข้ารักษาต่างๆ

แต่อาการของน้องตรวจสอบพบ....’ช้าเกินไป’……

พ่อแม่ของน้องร่าเริงเองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำให้ลูกของตนได้ ไม่ว่าจะหมอกนอกหรือหมอไทย ทั้งแบบวิทยาศาสตร์และความเชื่อ

แต่คำว่า ‘ช้าเกินไป’ มีอยู่จริงเสมอ....

ผมเลียริมฝีปากที่แห้งสนิท ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมาพบกับเรื่องแบบนี้ใน ‘โลกของมัน’

ไอ้ป้องบอกต่อว่ามันพยายามที่จะมาโรงพยาบาลทุกอาทิตย์เพื่อเยี่ยมน้องมันเพราะมันเองก็มีธุระประจำ

สิ่งที่ไอ้ป้องทำได้คือแค่ช่วยอยู่ข้างๆไม่ให้น้องร่าเริงเหงา.....มันบอกว่ามันเองก็รู้สึกแย่ที่ทำได้แค่นี้

ผมไม่ได้พูดแสดงความคิดเห็นใดๆออกไป ไอ้ป้องเองก็ดูเหนื่อยล้าพอสมควรในการเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง

ถ้าสิ่งที่ป้องทำให้น้องร่าเริงได้คืออยู่ข้างๆ....

สิ่งที่ผมทำได้ก็แค่กุมมือมันไว้

“มึงทำดีที่สุดแล้ว”

ผมบอกมันไปแบบนั้น ไม่ได้หวังปลอบใจหรือเพื่ออะไร ผมแค่พูดในสิ่งที่รู้สึกว่าตัวเองสมควรจะพูด

ไอ้ป้องไม่ได้ตอบอะไรผมกลับมา แววตาของมันดูเหนื่อยอ่อน มือที่ผมกุมไว้ก็ดูสั่นแปลกๆ ผมไม่ถามไม่ซักต่อถึงสิ่งที่ค้างคาใจเพราะไม่อยากทำให้มันลำบากใจเพิ่ม แค่พยายามกุมมือมันไว้ให้แน่นที่สุด.....

“พร้อมแล้วครับ”

น้ำเสียงสดใสของร่าเริงดังออกมาจากห้องน้ำ ก่อนน้องมันจะโผล่ออกมาในชุดเสื่อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั่นสามส่วน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มพระอาทิตย์ยังคงประดับอยู่เสมอๆ ผมรู้สึกว่าเด็กคนนี้เข้มแข็งกว่าที่ตัวเองเห็น....

“ลงลิฟต์ นะ”

ผมไม่อยากให้น้องมันเคลื่อนไหวร่างกายมากเกินความจำเป็น เอาจริงๆเองผมก็เริ่มหวั่นใจแล้วว่าการที่ให้ร่าเริงออกไปเดินเล่นนี้มันเหมาะสมจริงๆรึเปล่า ?

ไอ้ป้องส่งสีหน้าที่แสดงคำว่าขอบคุณมาให้ผม ก่อนผมกับมันจะจับมือน้องร่าเริงคนละข้าง บางที่ผมก็รู้สึกเกลียดตัวเองเหมือนกัน ที่บางครั้งเราก็ทำได้แค่ ‘อยู่ข้างๆ’  อย่างเดี่ยว....

เราลงลิฟต์กลางของโรงพยาบาล ไปจนถึงชั้นล่าง พอจะเดินผ่านประชาสัมพันธ์พี่แพรก็ทำตาโตก่อนจะพูดออกมา

“ร่าเริงพี่ว่าเรา...ไม่ควรจะเคลื่อนไหวร่างกายมากเกินไปนะ”

หล่อนพยายามพูดไม่ให้กระทบจิตใจของคนป่วย ร่าเริงเองก็ทำหน้างอๆ ผมเห็นไอ้ป้องส่งสีหน้าขอโทษไปให้พี่พยาบาล

“พี่แพรครับ ขอให้ผมกับป้องพาน้องไปเดินเล่นนะครับ แค่ที่สวนของโรงพยาบาลก็พอ”

“แต่...”

“ผมสัญญาว่าจะดูแลน้องดีๆจริงๆครับ ถ้ามีอะไรผิดปกติผมจะเรียกพยาบาลให้เร็วที่สุดแน่นอนครับ”

พี่แพรมีสีหน้าอึดอัด หล่อนทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะถอนหายใจยาวๆแล้ววางมือไว้บนบ่าผม

“รบกวนเรากับปลื้มด้วยนะ...แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นต้องเรียกพี่ให้ไวที่สุดเลยนะ เราเข้าใจใช่ไหมครับเกียร์  ?”

หล่อนพูดกับผมด้วยเสียงเบาหวิวท้ายประโยค ผมเองก็รู้ดีว่าตัวเองกำลังทำเรื่องเสี่ยงๆอยู่

แต่ผมว่าคนเราไม่ควรจะอยู่แค่ห้องสี่เหลี่ยมนั้น...

“ขอบคุณนะครับพี่แพร”

ร่าเริงพูด ก่อนจะสวมกอดนางพยาบาลสาว หล่อนลูบหัวน้องมันด้วยความเอ็นดูก่อนจะยอมปล่อยออก

“ถ้าเจ็บหน้าอกหรือรู้สึกผิดปกติต้องรีบบอกพี่เกียร์พี่ปลื้มนะ....”

หล่อนย้ำจริงจังกับร่าเริง เด็กน้อยเองตะเบ๊ะมือขึ้นมาก่อนจะพูดน้ำเสียงจริงจัง

“สัญญาด้วยเกียรติ์ลูกผู้ชายเลยครับ”

ผมกับพี่แพรร่วมทั้งไอ้ป้องต่างตลกกับท่าที่ของน้องมัน ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก พี่แพรส่งวิทยุเล็กๆไว้ให้ผม แกกำชับไว้นักหนาเลยว่าต้องรีบวอติดต่อทันที่ที่ร่าเริงผิดปกติ แม้แต่นิดเดี่ยวก็ตาม ผมพยักหน้าตอบตกลงก่อนจะคาดหูของวิทยุไว้กับหูกระเป๋ากางเกงก่อนจะรีบวิ่งไปจับมือร่าเริงอีกข้าง

ใบหน้าของร่าเริงคล้ายกับไอ้ป้องเมื่อวาน คือรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งทั่วไป ทั้งๆที่ไอ้พวกนี้เป็นอะไรที่ปกติธรรมดามาก แต่สำหรับคนๆหนึ่งที่ถูกห้ามไม่ให้ลงมาข้างล่างนานถึงหกเดือน ผมว่าก็ไม่แปลกอะไรที่จะรู้สึกแบบนี้

ผมกับไอ้ป้องพยายามคอยสังเกตอาการของร่าเริงทุกระยะ น้องเองยังมีสีหน้ายิ้มแย้มและแจ่มใสประดับบนใบหน้า ระหว่างทางเดินไปสวนน้องเองก็คอยซักถามถึงสิ่งที่สังเกตเห็น คอยมองคนนู้นที่ คนนี้ที่ ตอนนี้เราสามคนจูงมือกันเดิน ไม่รู้สิครับ ผมแค่รู้สึกว่าไม่อยากปล่อยมือเด็กคนนี้

แค่อยากช่วยไอ้ป้องอยู่ข้างๆคนที่เหมือนน้องชายมัน.....

สวนของทางโรงพยาบาลตกแต่งเหมือนสวนญี่ปุ่นขนาดใหญ่ คือเอาจริงๆผมก็อธิบายไม่ถูกหรอกนะครับแต่รู้สึกว่ารูปแบบการจัดสวนเป็นแบบที่เคยเห็นมาตามรายการทีวีของญี่ปุ่น มีหินก้อนใหญ่ๆตั้งตระหง่านไว้ด้านหน้า ตัวอักษรคันจิญี่ปุ่นสลักไว้บนก้อนหิน(แน่นอนว่าผมอ่านไม่ออกหรอกนะแต่ถ้าไอ้ป้องคงไม่แน่)

ผมกับไอ้ป้องจูงมือน้องมันมาจนถึงชิงช้าขนาดใหญ่ ต้องตาเองก็ดูเหมือนจะพอใจที่ได้มานั่งตรงนี้

“อากาศสดชื่นจัง”

ร่าเริงพูดพร้อมสูดอากาศหายใจเข้าปอดลึกๆ ร่างน้อยๆยังคงยิ้มพรายมองดูผู้คนที่เข้ามาเดินเล่นในสวนเหมือนกับพวกผม

“เจ็บหน้าอกไหมเรา ?”

ไอ้ป้องสอบถาม น้องมันส่ายหัวช้าๆก่อนจะถอดสายตาออกไป ร่าเริงสลัดรองเท้าแตะที่ใส่มาทิ้ง ก่อนจะค่อยๆกดฝาเท้าลงกับดิน

“นานแค่ไหนแล้วนะพี่ปลื้ม ที่เท้าผมไม่ได้สัมผัสกับดินมานานขนาดนี้....” 

ร่าเริงพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ปลายเท้าทั้งสองข้างจิกลงกับดินเล็กน้อย

ผมกับไอ้ป้องไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม มันคงจะคิดเหมือนๆกับผม คืออยากให้น้องมันได้สัมผัสสิ่งที่ขาดหายไปให้เต็มที่ เราจึง
เลือกที่จะเงียบกันโดยไม่ต้องนัดแนะ

เป็นความเงียบที่ไม่อึดอัด...

“พี่ปลื้ม พี่เกียร์”

“ครับ/ครับ”

ผมกับไอ้ป้องขานรับเสียงน้องมัน

ร่าเริงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนจะค่อยๆพูดออกมา

“พี่ว่า ‘จากเป็น’ กับ ‘จากตาย’ แบบไหนมันแย่กว่ากันครับ...”

มือเล็กๆที่ผมกับไอ้ป้องกุมไว้สั่นขึ้นมาเล็กน้อย ผมบีบเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ ไม่รู้จะตอบยังไงดี ผมมันพวกไม่มีวาทะศิลป์ซะด้วย

“แล้วมันต่างกันยังไง ?”

“............”

ผมกับน้องร่าเริงเงียบรอฟังมันพูดต่อ

“จะจากเป็น หรือตาย พี่ว่ามันไม่ต่างกัน จากก็คือจาก มันก็แปลได้แค่ว่าเราไม่มีทางได้เจอกันแล้วนะ....”

“............”

“มนุษย์ทุกคนเกิดมาสุดท้ายก็ต้องจาก จะช้าจะเร็วนั้นก็อีกเรื่อง ถ้าถามพี่ว่าจากแบบไหนแย่กว่ากัน พี่ว่ามันก็แย่ทั้งคู่ จากตายคนที่ยังอยู่ก็ไม่ต่างอะไรจากตายไปแล้ว จากเป็นแล้วมันดียังไง ? ในเมื่อมันก็ไม่ได้ห่างไกลจากคำว่าตายแม้แต่น้อย ”

“.......”

“มีคนเคยถามพี่เล่นๆไว้ว่า ถ้าให้เลือกระหว่างตัวเองกับคนที่พี่รักมากๆ ถ้าต้องกำหนดว่าให้ใครสักคนตาย จะเลือกให้ใครตาย ? เขาหรือพี่ รู้ไหมพี่ตอบคนๆนั้นว่ายังไง”

ผมสัมผัสได้ว่ามือที่สั่นอยู่ทั้งสองข้างสงบลงจนเริ่มเป็นปกติ ร่าเริงส่ายหน้าช้าๆรอฟังคำตอบ

“มึงล่ะเกียร์ ถ้าต้องเลือกนะ”

มันหันมาถามผม

“กูคง...เลือกให้กูตายมั่ง....”

ผมตอบด้วยสามัญสำนึก คงไม่มีใครหรอกมั่งครับที่อยากให้คนที่เรารักตาย

ไอ้ป้องทำหน้านิ่งๆแต่สงบมากในสายตาผม ก่อนจะตอบในสิ่งที่มันเลือก...

..

.

.


“พี่จะเลือกให้เขาตาย”



ผมกับร่าเริงหันไปหาคนพูดด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ....

“ถ้าพี่เป็นคนที่เขารักหมดหัวใจ ถ้าพี่เป็นคนที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขา พี่จะเลือกให้เขาตาย แล้วพี่จะแบกรับทุกสิ่งทุกอย่าง
เอาไว้แล้วเดินหน้าต่อไป”

“.......................”

“ลองคิดในมุมกลับกัน  ถ้าเขาตาย พี่คงทรมานมาก ....ทรมานในทุกๆวันที่ยังลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่าไม่มีเขา แค่คิด...พี่แทบจะยืนไม่ไหวด้วยซ้ำ เพราะงั้นถ้าต้องเลือก....พี่จะให้เขาตาย พี่คงทนไม่ได้ ถ้าคนที่พี่รัก...ต้องทรมานเพราะพี่ตาย.....”

“.........................”

“จะว่าพี่เป็นคนเห็นแก่ตัวก็ได้นะ แต่พี่คิดแบบนั้นจริงๆ  พี่อยากจะมีลมหายใจต่อไปเพื่อแบกรับความรู้สึกขมขื่นนั้นเอาไว้ ดีกว่าจากไปแล้วปล่อยให้ใครอีกคนตายทั้งเป็น...พี่ทนไม่ได้จริงๆที่จะเห็นคนที่พี่รักต้องเสียใจ”

มุมมองที่ผ่านออกมาจากปากมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะคิดตาม...

และเห็นด้วยกับมุมมองของไอ้ป้อง

ถ้ามองในสายตาของคนทั่วไป มันคงเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัว เลือกที่จะให้ตัวเองมีชีวิตอยู่แล้วปล่อยให้อีกคนตายไป...

แต่ถ้ามองอีกด้านหนึ่งเหมือนที่มันมอง แล้วคนที่อยู่ต่อไป....จะมีความสุขได้จริงๆเหรอครับ.....

ทุกๆวันที่ต้องอยู่กับความทรมานที่ใครคนหนึ่งจากไป ทุกๆวันที่ต้องลืมตามาเพื่อใช้ชีวิตไปอีกวัน

มันคงทรมานมากจริงๆ....

เลือก...ที่จะให้อีกคนจากไปอย่างสงบ

เลือก...ที่จะใช้ชีวิตต่อไป แม้จะทรมานเหมือนมีมีดนับล้านมากรีดหัวใจ

เพียงเพราะแค่ไม่อยากให้คนที่ตัวเองรักต้องทรมาน

ผมว่ามัน...ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ถ้าเราจะเลือกเส้นทางเส้นนี้....

เจ็บปวด ทรมาน แต่มีความสุข ที่ไม่ต้องเห็นคนที่รักสุดหัวใจ ทรมานกับการจากไปของเรา....

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเริ่ม‘เรียนตัว’ปกป้องไปอีกก้าว มุมมองที่ผ่านออกจากปากมันยิ่งทำให้ผมรู้สึก

“จะจากเป็นหรือจากตาย ไม่สำคัญเท่าวันนี้....เรายังยืนอยู่ตรงนี้ ....เรายังมีลมหายใจต่อไป .....เรายังต้องยืนขึ้นมาอีกครั้ง
หนึ่ง.....”

“...........”

“เพราะปัจจุบันคือของขวัญที่มีค่ามากที่สุด มันเป็นสิ่งที่พี่มองว่าพระเจ้าให้เป็นของขวัญมา เราทำมัน ให้กลายเป็นอดีตที่เติมเต็มปัจจุบัน และทำมัน ให้เติมเต็มอนาคต อดีต ปัจจุบัน อนาคต ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกัน พี่เชื่อว่าขอแค่เราทำมันให้เต็มที่...มันไม่มีอะไรเลยจริงๆที่จะทำให้เราเสียใจ...เพราะเราได้ทำเต็มที่แล้วในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง....”

สายลมเอื่อยๆพัดผ่านตัวผมกับน้องร่าเริงไป คนพูดหยุดเว้นไปช่วงหนึ่งก่อนจะพูดต่อ

“แค่ทุกวัน.... ได้รู้ว่าเรายังมีลมหายใจ .... มันก็เป็นโชคดีเท่าที่คนๆหนึ่งจะมีแล้วล่ะ....”

“................”

ปกป้องเหมือนทะเลสาบที่กว้างใหญ่เกินกว่าจะหยั่งถึง เงียบสงบและลึกลับ .....

ความสงบนั้น เพื่อแผ่มาถึงผมกับน้องร่าเริง.....

“ขอบคุณครับพี่ปลื้ม”

น้ำเสียงของร่าเริงสงบขึ้นมาจากตอนแรก ผมรู้สึกได้ถึงแรงกุมตอบกลับเบาๆจากมือน้อยๆข้างที่จับกับผมไว้ คิดว่าไอ้ป้องเองก็คงไม่ต่างกัน

“ฮ่าๆ ขอโทษนะ พี่พูดอะไรเรื้อยเปื่อยเพ้อเจ่อไปหน่อย”

มันเกาหัวแกรกๆแก้เขิน ชิงช้ายังคงไกวไปเรื่อยๆ....

ผมรู้สึกว่าใจของผมสงบมากขึ้น ความคิดของตัวเองเริ่มเปลี่ยนไปในแบบของผมเอง

โลกของปกป้อง ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้มีเฉดสีแรงๆหรือเร้าใจแบบของผม

โลกของปกป้อง ไม่ได้มีเรื่องน่าตื่นเต้น ไม่ได้มีเรื่องที่จะทำให้ตื่นมาแล้วสนุกได้ในทุกๆวัน

แต่เป็นโลกที่เต็มไปด้วยไออุ่น...

ปกป้อง...เป็นอะไรที่ผมเปรียบเทียบหลายๆอย่างๆ....

อบอุ่นดุจดังพระอาทิตย์….

สงบเหมือนทะเลสาบ…

เป็นขุนเขาที่กว้างใหญ่...

เป็นป่าไม้ที่ร่มเย็น...

ตอนนี้ผมเข้าใจตัวเองแล้วล่ะ....

ว่าทำไมผมถึงได้รัก‘โลกใบนี้’


TBC.


ยิ่งเขียนยิ่งยาว ฮ่าๆ  :mc4: ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านใหม่ๆด้วยนะครับ ขอบคุณที่ชอบในตัวน้องๆ ขอบคุณที่ยังรักพวกเขาแม้จะ 'แตกต่าง'ก็ตามแต่....

โลกของป้อง เป็นตอนหนึ่งในหลายๆตอนที่เราเค้นพลังภายในออกมาสักพักใหญ่ๆมากก่อนจะเขียนออกมา เป็นตอนที่เราต้องเค้นหลายๆสิ่งในชีวิตเราออกมาตอบ

คำตอบของป้อง อาจจะไม่ถูกใจทุกคน แต่เพราะป้องเป็นป้อง เลยเลือกที่จะตอบไปแบบนั้น

ขอบคุณทุกคนครับ รักมาก อยู่กันไปนานๆนะเออ  :กอด1:

ปล. ตอนหน้ายังคงวิ่งเล่นในโรงพยาบาลอีกสักครึ่งตอน ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับ   :z2:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2014 06:55:30 โดย ๐แตกต่างเติมเต็ม๐ »

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ปลื้ม นึ่ ชื่อเล่นของป้องเหรออ

งงอ่ะ รีบมาเฉลยก่อนนนนนนนน

ปล อย่าบอกนะว่า ป้องก็เป็นโรคหัวใด้วยอ่ะ

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
รักป้อง  :กอด1:  ถ้าเป็นเรา จะเป็นคำว่า ไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเจ็บจะจาก จะสุขจะทุกข์ เราจะไปด้วยกัน พร้อมๆกัน   :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อยากจะร้องไห้ให้ตอนนี้เลย สำหรับการจากลาไม่ว่าจะเป็นแบบไหนมันก็เจ็บปวดเหมือนกันนั่นแหละ

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
เริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจจะมีพาร์ทมาม่าให้เรามานั่งกินกันก็ได้  :m15:

อ้างถึง
“มึงล่ะป้อง ถ้าต้องเลือกนะ”
ต้องเป็นเกียร์ป่ะ

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
คือมันซาบซึ้งมาก ความคิดของปัองคำพูดของป้องมันดีมากกกกก
และชอบบทสรุปตอนท้ายที่เกียร์บอกว่า เค้ารู้แล้วว่าทำไมถึงตกหลุมรักโลกใบนี้ ชอบมากๆค่ะ  รอตอนต่อไปค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
น้องร่าเริงน่าสงสาร

เกียร์ยอมรับเต็มร้อยแล้วซินะ
ฝั่งป้องคงยอมรับมานานแล้วล่ะ

ออฟไลน์ dekzappp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เราเคยเจอคำถามนี้นะ ที่ว่าจะปล่อยให้คนที่เรารักตายหรือเราตายเอง
และเราก็มีความคิดเหมือนป้องเลย เพราะรักถึงได้อยากให้ไปสบาย
 ปกป้องเนี่ยเป็นที่โอบอ้อมอารีนะ คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง มีบุคลิกเป็นคนปกป้องตามชื่อเลย
แต่ว่านะ รักตัวเองบ้างก็ดี

เอาเป็นว่า ตอนนี้ความคิดของปกป้องทำให้รู้สึกอุ่นๆในใจ ปกป้องเนี่ย ขอได้มั๊ย? คิคิ

ออฟไลน์ ๐แตกต่างเติมเต็ม๐

  • "ผมไม่ได้แค่รัก แต่ยังศรัทธาใน'เรา' #ก้องเกียรติ์
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
    • https://www.facebook.com/PokpongGonggend/timeline

ผมกับไอ้ป้องและน้องร่าเริงนั่งเล่นกันต่อไปเรื่อยๆสักพัก หัวข้อที่คุยกันเน้นไปทางเรื่องเบาๆ เท่าที่สมองโง่ๆของผมจะพอนึกออก ดีแต่ว่าไอ้ป้องยังให้ความร่วมมือด้วยดีด้วยการช่วยผมตบมุขเป็นระยะๆ ร่าเริงเองก็ดูจะแจ่มใสขึ้นมาก

“กินข้าวกันไหม ?”

คนไม่ชอบพูดที่วันนี้ต้องมาพูดมากถามขึ้น ผมกับน้องร่าเริงพยักหน้าตอบตกลงเพราะเริ่มๆหิวเหมือนๆกัน

“กินอะไรกันล่ะ เดี่ยวกูไปซื้อให้”

มันว่าพร้อมอาสา

“เดี่ยวกูไปดีกว่าไหม ?”

“มึงรู้ทางในโรงพยาบาลเหรอ ?”

มันถามกลับ ก็จริงอย่างที่มันพูด ผมไม่รู้เส้นทางจริงๆนั้นแหละ

สุดท้ายไอ้ป้องก็ตกลงว่าจะซื้อข้าวผัดให้ผม ของน้องร่าเริงเป็นโจ๊ก ส่วนมันก็คงหาปลากิน(มึงทำตัวเหมือนบ้านติดทะเลมากกก กินปลาทุกวัน - -) แม้จะขาดกำลังเสริมอย่างไอ้ป้องไปชั่วคราวแต่ผมก็ไม่ได้หวั่นอันใด ยังคงพยายามชวนร่าเริงคุยเป็นระยะๆพระอาทิตย์ตัวน้อยๆที่นั่งข้างๆผมยังคงสนุกสนานและยังอยู่ในโหมดปกติ

“พี่เกียร์”

“หื้ม ?”

หลังจากผมเป็นฝ่ายชวนน้องคุยมาพักใหญ่ๆ ในที่สุดก็มีประโยคชวนคุยกลับมาสักที่

“ชอบพี่ปลื้มใช่ไหม ?”


ผมชะงักไปกับคำถาม น้องร่าเริงหยุดไกวชิงช้าหันมามองหน้าผมตรงๆ

“ไม่รู้สิ ถ้าการอยากอยู่ข้างๆไอ้ป้องในทุกๆวันแปลว่าชอบ พี่ก็ตอบได้แค่ว่าใช่”

“..............”

“พี่ไม่รู้หรอกนะว่ามันเรียกว่าอะไร แค่พี่มีความสุขที่ขะอยู่ตรงนี้ในทุกๆวันก็พอแล้ว”

“ฟังพี่พูดแบบนี้ผมก็หมดห่วง”

“หมดห่วง ?”

ผมทำหน้าสงสัย ร่าเริงยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดต่อ

“หมดห่วงว่าพี่ปลื้มจะเจอคนไม่ดีนะสิ”

“ฮ่าๆ เหรอ แล้วทำไมคิดว่าพี่เป็นคนดีล่ะครับ ?”

ผมถามต่อด้วยความอยากรู้

“ก็พี่รักพี่ปลื้มมากเลยนิครับ ร่าเริงมองออกหรอกนะจะบอกให้”

“จริงเหรอ ? เราดูผิดรึเปล่า”

ผมแกล้งหยอก น้องมันทำปากยื่นนิดๆก่อนจะพูดต่อ

“แล้วไอ้การที่แทบจะมองพี่ปลื้มอยู่ทุกเวลานี้ มันแปลว่าอะไรครับ ?”

คนเด็กกว่าย้อนอย่างรู้ทัน ผมหัวเราะแห้งๆรับคำตอกย้ำนั้น

โอเค ยอมรับว่าผมแน่ใจกับตัวเองแล้วล่ะว่าเผลอหลงเสน่ห์ไอ้จืดป้องเข้าเต็มๆลำ สองเดือนครึ่งที่ผ่านมาจะว่านานก็นานจะว่าช้าก็ช้า นับตั้งแต่วันที่มันเข้ามา ชีวิตของผมก็ปั่นป่วน จากคนหนึ่งคนที่ไม่สนิท ไม่เคยพูดกัน แต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในฐานะพี่น้อง ค่อยๆเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน ตัวผมคนเดิมค่อยๆเปลี่ยนไปที่ละนิดๆในรูปแบบที่ตัวเองก็พึ่งพอใจ

แต่ไม่ใช่แค่ผมเองหรอกนะครับที่เปลี่ยน

ป้องเองก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน จากคนๆหนึ่งที่โลกส่วนตัวสูง กลับเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับคนอื่น เรียนรู้ที่จะค่อยๆปรับตัวเข้าหา เริ่มจะพูดถึงสิ่งที่อยู่ข้างในใจ ไม่ได้นิ่งเงียบแล้วเก็บเอาไว้อมพะนำอยู่คนเดี่ยว

ผมกับมันเหมือนสีสองสีที่ต่างกัน รวมกันแล้วผสมออกมาเป็นสีใหม่ แต่สีใหม่ทั้งสองสีนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน และผมเชื่อว่ามันคงไม่มีวันเหมือนกัน เพราะต่อให้สีสองสีผสมกันอย่างไร สีแต่ละสีก็ย่อมต้องมีรูปลักษณ์ของตัวเองอยู่เสมอๆ

เหมือนๆกับผมที่ค่อยๆเข้าใจอีกฝ่าย ค่อยๆเรียนรู้ว่าที่ไอ้ป้องมันทำไป เพราะแบบนี้นะ มันมีเหตุผลของมันนะ เหมือนกับไอ้ป้องค่อยๆซึมซับตัวผม ว่าผมทำแบบนี้นะ เพราะผมเป็นคนแบบนี้นะ

ผมกับมัน ไม่มีใครอยากเปลี่ยนใคร

เรายังเป็นตัวของเราเอง เรายังคงใช้ชีวิตในรูปแบบของเรา

แค่เราเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับอีกคนหนึ่ง...

ความรู้สึก ...ที่ผสมด้วยเหตุผล

จากเดิมที่คนๆหนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึก ทำตามสิ่งที่ใจต้องการ

กับอีกคนหนึ่งที่อยู่กับเหตุผล ใช้ชีวิตอยู่บนหลักการ ทำตามสิ่งที่ตรรกะของตนคิดว่าดีสุด

คนสองคนนั้น ไม่ได้เปลี่ยนตัวเองเพื่ออีกฝ่าย แต่ปรับตัวเอง ‘เพื่อเรา’

เหมือนๆผมกับมัน

ผมรักมัน ในสิ่งที่มันเป็น

มันเองก็(น่าจะ)รักผมในแบบที่ผมเป็น

ตอนที่ไอ้ป้องมันพูดว่า แค่ได้ตื่นมาก็มีความสุขแล้วนะ...ถ้าผมจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า ‘เป็นเพราะได้เจอผมทุกเช้า’

ผมคงไม่หลงตัวเองไปใช่ไหม ? .....

“แปลว่ารักไง....”

ผมตอบร่าเริงกลับไปแบบนั้น บีบมือเล็กๆนั้นหน่อยๆเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ร่าเริงเองก็บีบตอบกลับมา

“สัญญากับผมนะพี่เกียร์ ห้ามทำให้พี่ปลื้มร้องไห้เด็ดขาด”

ร่าเริงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยกนิ้วก้อยขึ้นมาให้ผมเกี่ยว

“ครับร่าเริง พี่สัญญาด้วยชีวิตเลย จะดูแลจนกว่าพี่จะไม่สามารถทำได้”

ผมยกมือขึ้นมาเกี้ยว ก่อนจะเขย่าเบาๆ

อยากจะดูแลไปตลอดๆ

แต่คำว่าตลอดไปมันไม่มีจริง ผมทำได้เพียงสัญญาว่าจะทำให้ทุกๆวันของไอ้ป้องมันมีความสุข

ถ้ามันจะยอมรับ.... ให้ผมเป็นคนๆนั้นของมันล่ะนะ....

อย่าลืมนะว่า ไอ้ตอนนี้นะ....ที่พูดมาทั้งหมด ยังคงเป็นผมที่ ‘รู้สึก’.....

ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะยอมรับผมมั้ย.....

“อีกเรื่องหนึ่งนะพี่เกียร์”

“ครับ ?”

ร่าเริงเม้มปากแน่นสนิท ก่อนริมฝีปากเล็กๆนั้นจะพูดต่อ

“ช่วยกล่อมพี่ปลื้มให้ผ่าตั....”

“ข้าวเที่ยงมาแล้วจ้า”

เสียงไอ้ป้องดังขัด ก่อนผมกับน้องร่าเริงจะดึงนิ้วก้อยออกจากกัน

“พี่ซื้อโจ๊กป้าพรมาฝากเราด้วยนะร่าเริง”

มันบอก ก่อนจะยกกล่องข้าวเล็กๆขึ้นมา ผมเห็นว่าไอ้นั้นมีโจ๊กหมูร้อนๆน่าทานอยู่ประมาณครึ่งกล่อง ร่าเริงยิ้มรับก่อนจะยื่นมือรับกล่องข้าวเที่ยงมาถือเอาไว้

ไอ้ป้องนั่งลงข้างๆผมก่อนจะยื่นกล่องข้าวผัดกระเพราโป๊ะด้วยไข่ดาวส่งมาให้ ผมพยักหน้าขอบใจมันเบาๆก่อนจะลงมือทาน

“เดี่ยวกินเสร็จแล้วต้องขึ้นไปพักผ่อนนะครับ โอเคนะร่าเริง”

“ครับ”

อาจจะเพราะได้สัมผัสในสิ่งที่ตัวเองต้องการเต็มที่แล้ว หรือไม่ก็เพราะจิตใจของร่าเริงสงบขึ้นมา น้องเลยไม่ได้มีที่ท่าว่าจะไม่อยากขึ้นไปพักผ่อน ยอมรับอย่างหนึ่งอาหารของที่นี้อร่อยมากครับ ไม่เหมือนอาหารของคนป่วยเลยแหะ ยังกะฝีมือภัทตาคารระดับห้าดาว ขนาดแค่ข้าวกล่องของผมยังอร่อยมากขนาดนี้ ร่าเริงตักโจ๊กเข้าปากที่ละคำๆจนกระทั้งโจ๊กหมดกล่อง เจ้าตัวเอามือลูบพุงน้อยๆที่ยื่นออกมานิดหน่อย ก่อนจะเอนหลังพิงช้าช้าเอาไว้

“วันนี้ดีจังเลย...ขอบคุณนะครับ พี่ปลื้ม พี่เกียร์”

น้ำเสียงสดใสบอกผมกับไอ้ป้องแบบนั้น

“ไว้พี่จะมาเยี่ยมบ่อยๆนะ”

“พี่ด้วย เดี่ยวตามไอ้ป้องมาเยี่ยม”

ร่าเริงพยักหน้าดีใจ ก่อนผมกับไอ้ป้องจะรีบกินข้าวกันจนอิ่ม ก่อนจะกุมมือน้อยๆแล้วเดินกลับเข้าตัวอาคารไป พอเดินผ่านไปหนึ่งน้องร่าเริงก็ขอคุยกับพี่แพรก่อน

“เป็นไงบ้างครับร่าเริง สนุกไหม ? ”

หล่อนถาม ร่าเริงกอดพี่แพรก่อนจะตอบ

“ขอบคุณนะครับพี่แพร ผมสนุกมากเลย ข้างนอกอากาศดีแหะ”

นางพยาบาลสาวยิ้มรับด้วยความดีใจ ก่อนจะลูบหัวน้องมันด้วยความเอ็นดู ผมยังนึกอยากให้น้องโตไวๆเลย ผมว่าต้องหล่อมากแน่ๆ

“ขอบคุณปลื้มกับเกียร์มากนะ อุตส่าห์ช่วยดูแลน้อง”

“ผมเองก็ต้องขอโทษพี่แพรด้วยนะครับ ที่ทำอะไรตามอำเภอใจ”

ผมยกมือไหว้พี่แพรจากใจจริง เพราะหากน้องร่าเริงเกิดเป็นอะไรขึ้นมา คนที่ซวยคนแรกก็คือพี่แพร หล่อนยิ้มให้อย่างไม่ถือสาก่อนจะขอตัวไปรับคนไข้คนต่อไป

“โอเค งั้นขึ้นห้องนอนกันนะ”

ไอ้ป้องบอกกับน้องร่าเริง ก่อนผมและมันจะจับมือน้องเดินกันไปคนละข้าง หลังพาน้องร่าเริงขึ้นมาถึงห้องเจ้าหัวก็อ่อนเพลียจนขอตัวไปนอน ผมเองก็รู้สึกดีที่น้องมันได้พักผ่อนหลังเคลื่อนไหวร่างกายมากพอสมควร อย่างน้อยๆในวันนี้เท้าของร่าเริงก็ยังได้สัมผัสกับผืนดินตามความต้องการของเจ้าตัว

“ไปไหนต่ออ๊ะ เพิ่งบ่ายโมงเอง”

ผมถาม หลังมองหน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือ

“ยังมีที่ๆอยากให้พาไปไง”

มันพูดเป็นปริศนา ก่อนจะพาผมเดินลงไปจากห้องนอนของร่าเริง

เราสองคนเดินผ่านห้องพักคนไข้หลายๆห้อง บางห้องเองก็มีคนไข้อยู่กันเป็นครอบครัว บางห้องก็มองเห็นคนไข้นั่งอยู่คนเดี่ยว ผมเองก็เดินเงียบๆกับมัน ชอบอยู่กับไอ้ป้องก็ตรงนี้แหละครับ ไม่ต้องมีเรื่องคุยแต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัด แค่เดินไปข้างๆกันก็พอ

“อันนี้ของเรานะปลื้ม พี่จัดการให้เรียบร้อยแล้ว”

พี่แพรพูด ก่อนส่งถุงหูหิ้วของโรงพยาบาลมาให้

อยากถามนะครับว่าคืออะไร แต่สายตาของไอ้ป้องมันบอกกับผมว่าอย่าเพิ่งถาม ผมถอนหายใจช้าๆระบายความรู้สึกด้านใน คือไม่ได้โกรธมันครับ แค่ไม่ชอบใจมากกว่าที่มันไม่ยอมบอกอะไรผมเลย คนแบบไอ้ป้องนะ ถ้าอยากจะบอกมันจะพูดออกมาเอง แต่ถ้าไม่คิดจะบอกต่อให้บีบคอมันก็ไม่พูดออกมาหรอกครับ เพราะงั้นผมเลยเลือกที่จะอยู่เงียบๆมันคงจะดีกว่า

“ถ้าพร้อมแล้วบอกกูนะ”

ผมพูดกับมันแบบนั้นหลังเราออกมาจากโรงพยาบาล

ไอ้ป้องที่อยู่ด้านหลังพยักหน้ารับช้าๆ มันส่งสายตาขอบคุณมาให้ผมผ่านกระจกมองข้าง

“ถ้าพร้อมแล้วกูจะบอกมึงนะ....”

ผมเองก็พยักหน้ารับคำพูดของมัน ก่อนจะบิดเครื่องยนต์ไปตามเป้าหมายที่มันต้องการ ในใจผมเองก็หวังเพียงแต่ว่าวันที่มันเลือกจะบอกผม ...

คงไม่สายเกินไป ...




:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:



“ก็รู้นะว่ามึงกับกูต่างกัน แต่โลกอีกครึ่งใบของมึงนี้มัน....”

ผมพูด ก่อนจะหันไปมองรอบๆ

“อะไร กูว่าที่นี้ดีกว่าเกมเซ็นเตอร์ของมึงอีก”

“เหรอ ? แล้วงั้นเมื่อวานใครตีตุ่นไปยี่สิบกว่ารอบ”

ผมย้อนมันนิดๆ เจ้าตัวทำปากยื่นๆไม่สนใจผมก่อนจะมองหาหนังสือเล่มต่อไป

ครับ ... ตอนนี้ผมอยู่ในโลกครึ่งใบของไอ้ป้อง ...

โลกแห่งหนังสือ

ผมอยากจะบ้าตาย มองไปทางไหนก็เจอแต่สันหนังสือหนาๆ แถมยังเรียงกันเป็นชั้นๆชวนให้ผมรู้สึกเวียนหัวไม่น้อย แต่กลับรู้สึกว่าไอ้คนข้างๆมองเห็นที่นี้เป็นสวรรค์ ผมแทบจะเมากลิ่นหนังสือใหม่ด้วยซ้ำไป

“เคยอ่านหนังสือไหม ?”

มันถาม

“ก็เคย หนังสือเรียนไง”

“แล้วพวกหนังสืออ่านเล่นฆ่าเวลาอ๊ะ”

รอบนี้ผมส่ายหัวแทนคำตอบ

“ชอบอะไรเป็นพิเศษไหม ? แบบพวกแนวหนังสืออะไรงี้”

ผมยืนนิ่งคิดหน่อยๆ จะว่าสิ่งที่ผมสนใจเกี่ยวกับหนังสือนะเหรอ....

“กูไม่แน่ใจว่าจะมีไหมว่ะ ?”

“หนังสืออะไรล่ะ ลองบอกมาดิเดียวกูช่วยหา”

ผมเลียริมฝีปากน้อยๆ ก่อนจะตอบมันไป

“หนังสือสอนจีบผู้ชาย”

ไอ้ปกป้องกระพริบตาปริบๆมองผม คืออย่าว่าแต่มันเลยครับ ผมเองก็งงตัวเองเหมือนกันที่ถามอะไรแบบนี้ออกไป เพียงแต่คนถามทำหน้านึกก่อนจะตอบออกมา

“ไม่เคยเห็นนะ แล้วมีแนวไหนอีกไหมที่อยากจะอ่าน”

หลังผมเห็นกาบินผ่านหน้าไปสองสามตัว ไอ้ป้องก็เปลี่ยนเรื่อง

นี้มึงไม่รู้จริงๆเหรอ ว่ากูแค่เล่นมุก....

“ไม่รู้อ๊ะ ปกติกูไม่เคยจับหนังสือด้วยซ้ำ”

โอเคครับ อย่าเพิ่งไปปล่อยมุกหรือคิดจะรุกอีกฝ่ายเลย กับไอ้คนหน้าตายแบบไอ้ป้อง ต้องค่อยๆตะล่อมแล้วจับกิน...เอ๊ย...จับใจ ไอ้ป้องยืนทำหน้าคิด ก่อนมันจะเดินอ้อมชั้นหนังสือไปอีกโซนหนึ่งแล้วหาหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ผม

“ลองอ่านดู”

ผมรับหนังสือจากมัน ก่อนจะพลิกหน้าปกไปมา

“หนังสืออ่านเล่นเพลินๆ กูชอบนะ”

“ไม่เอาหรอก ยังไงกูก็คงไม่ชอบ”

“เอาน่า เล่มนี้กูชอบจริงๆ ลองอ่านดูก่อนก็ได้”

ผมรู้สึกๆเหมือนๆมันจะคล้ายๆย้ำประโยคตอนท้ายนิดๆ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเปิดอ่านตามคำบอกของมัน หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายแนวแฟนตาซีครับ ประมาณเป็นเกมออนไลน์ของโลกอนาคตที่คนเราสามารถเข้าไปเล่นในเกมได้จริงๆ ผมรู้สึกสนใจมันขึ้นมานิดๆ แต่ก็คิดว่าคงไม่ได้ชอบอะไรมากมาย...

แล้วบทนำของเรื่องก็ดำเนินต่อไปผ่านสายตาของผม


..


.


.

“ซื้อแบบบ็อกเซต 1200บาทถ้วนนะค่ะ”


ผมพยักหน้าตอบตกลงก่อนจะยื่นแบงก์พันและแบงก์ห้าร้อยให้พี่พนักงานขาย ข้างๆผมมีไอ้ป้องที่ถือหนังสือของพี่นักเขียนที่ชื่อนิ้วกลมไว้กับตัวสามเล่ม มันมองผมด้วยสายตาเหมือนจะหัวเราะนิดๆ

อะไรของมึง...ก็หนังสือมันสนุกจริงๆนี้หว่า....

ที่แรกผมคิดเหมือนกันว่าตัวเองน่าจะเบื่อมันตั้งแต่บทนำ เพราะทั้งเล่มมีแต่ตัวหนังสือยั่วเยี้ยเต็มไปหมด แต่เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ยิ่งอ่านรู้สึกว่าตัวเองยิ่งชอบ สุดท้ายไปๆมาๆก็เหมายกภาคไปตามระเบียบ

นับว่าไอ้ป้องประสบความสำเร็จในการชักจูงผมให้อ่านหนังสือ....

“สนุกใช่ไหมล่ะ ?”

“อื้ม สนุกจริงๆนั้นแหละ”

ผมไม่ปฏิเสธคำพูดของมันหรอกครับ

ตอนนี้ประมาณบ่ายสี่โมงกว่าๆแล้ว แสงอาทิตย์เริ่มลดหลั่นลงไปตามเวลาของวัน ไอ้ป้องกับผมเดินจากร้านหนังสือขึ้นไปชั้นสามของห้าง ก่อนมันจะพาผมไปถึงร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ถ้ามันไม่บอกให้พามา ผมก็ลืมไปแล้วล่ะครับว่าพรุ่งนี้มันวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด...

วันทานาบาตะ

สำหรับที่มาของวันนี้ ว่ากันว่าชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าวันทานาบาตะนั้นเป็นวันแห่งความสุขสมหวังของดาวสองดวง คือดาวเจ้าหญิงทอผ้า โอริฮิเมะ หรือดาวเวก้า เป็นดาวที่สดใสที่สุดในกลุ่มดาวพิณ กับดาวคนเลี้ยงวัว ฮิโกโบชิ หรือดาวอัลแตร์ เป็นดาวที่สดใสที่สุดในกลุ่มดาวนกอินทรี ที่ผลัดพรากจากกัน โดยมีแม่น้ำแห่งสวรรค์ (อามาโนคาวา) ซึ่งก็คือทางช้างเผือกกั้นไว้ ทั้งสองจะมีโอกาสได้ข้ามแม่น้ำแห่งสวรรค์ มาพบกันแค่ปีละครั้งในวันที่ 7 เดือน 7 นี้ ชาวญี่ปุ่นจึงถือกำเนิดวันทานาบาตะขึ้นมา ในวันทานาบาตะนี้ ชาวญี่ปุ่นจะตัดกิ่งไผ่มาปักไว้ และเขียนคำอธิษฐานห้อยกับกิ่งไผ่ เพราะเชื่อว่า คำอธิษฐานจะสมหวังเหมือนกับที่เจ้าหญิงทอผ้า โอริฮิเมะ และคนเลี้ยงวัว ฮิโกโบชิ สมหวังได้มาพบกันครับ

และเป็นธรรมเนียมของโรงเรียนผมในทุกๆปีที่จะต้องจัดวันทานาบาตะขึ้นมา อย่างที่กล่าวไปว่าพวกผมเป็นแม่งานของปีนี้ครับ เลยต้องแต่งคอสเพลย์กัน โดยปีนี้ผมเลือกจะใส่ชุดยูกาตะครับ และแน่นอนว่าผมเองแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าต้องแต่งคอสฯ

“ขอดูชุดยูกาตะของผู้ชายหน่อยครับ”

ไอ้ป้องบอกกับพี่คนขาย หล่อนยิ้มให้ก่อนจะเดินหายเข้าไปข้างใน

“ป้อง...”

“หื้ม ?”

“แล้วมึงล่ะ ไม่ซื้อเหรอ ?”

ผมถาม เพราะมันบอกว่าขอดูแค่ชุดเดียว

ไอ้ป้องส่ายหน้าก่อนจะอธิบาย

“กูมีชุดที่จะคอสฯแล้ว”

“มึงจะคอสฯเป็นอะไรว่ะ ?”

รอบนี้มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะกระซิบที่ข้างๆหูผม

“กูจะคอสฯเป็น.....”

ลมหายใจอุ่นๆรดลงตรงใบหูผม ขนแขนลุกขึ้นจากสัมผัสนั้น...

“เป็น...”

ผมพูดออกมา ไม่กล้าหันหน้าไปทางมัน เพราะลมหายใจนั้นยังคงรดลงมาอยู่

“ไม่บอก”

ไอ้ป้องพูดหน้าตาย ก่อนจะแลบลิ้นออกมาให้ผม

“ไอ้เหรี้ยยยยย โกงกูไง มึงรู้แล้วอ๊ะว่ากูจะใส่ชุดยูกาตะ”

ผมโวยลั่นทันทีที่สัมผัสร้อนๆนั้นหายไป

“พรุ่งนี้เดี่ยวก็เห็นน่า”

“ไม่เอา ก็อยากรู้อ๊ะ”

“ไม่เอา ไม่บอก”

“ไอ้ป้อง นิสัยงี้ไง”

ผมแกล้งกระฟัดกระเฟียดโกรธมัน ไอ้ป้องกระพริบตาปริบๆก่อนจะพูดต่อ

“สามพยางค์”

“ห๊ะ... ?”

“กูบอกว่า ที่กูจะคอสฯพรุ่งนี้นะ เป็นคำหนึ่งคำสามพยางค์”

มันใบ้ให้ผมแค่นั้น

ผมยังไม่ทันจะแย้งเลยว่ามันกว้างไป พอดีกับพี่พนักงานในร้านเดินเข้ามาหาพวกผมซะก่อน

“สำหรับชุดยูกาตะของร้านเรา จะมีสามสีให้เลือกนะค่ะ มีสีดำ สีฟ้าอ่อน แล้วก็สีขาวค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการแบบไหนค่ะ ?”

พี่พนักงานพูด ก่อนจะชูชุดยูกาตะให้ผมกับไอ้ป้องดู

ชุดยูกาตะที่นำมาเป็นแบบที่ตัดเสร็จแล้วสำเสร็จรูปครับ มีลายลูกไม้เรียบๆประดับนิดหน่อยทุกตัว แต่ผมว่าก็โอเคนะ เป็นผู้ชายคงไม่ต้องการลายอะไรมากมายหรอกครับ

“ไม่มีสีเขียวอ่อนเหรอครับ ?”

ผมชอบสีเขียวอ่อน  มันสบายตาดี และเป็นสีที่สื่อได้ถึงธรรมชาติที่ผมชอบ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพี่คนขายส่ายหน้า

“งั้นขอลองสีฟ้าครับหน่อยครับ”

“ไม่ลองสีดำเหรอเกียร์ กูว่าผิดมึงขาวๆน่าจะตัดดำได้นะ”

ไอ้ป้องเสนอความคิดเห็น

“สีฟ้า....”

“........”

“ก็มึงชอบสีฟ้า”

ผมขยายความให้คนเข้าใจยากฟัง

ไม่ใช่สีขาวหรือสีดำมันไม่ดี แต่ที่ผมเลือกสีฟ้า....

เพราะมันชอบ

ไอ้ปกป้องมันชอบสีฟ้า สีน้ำเงินครับ สีโทนอ่อนคล้ายๆของผม มันเคยบอกว่าสีฟ้าเป็นสีของท้องนภา เห็นแล้วมันสบายใจของมันดี

พี่พนักงานมองผมด้วยรอยยิ้มนิดๆ ก่อนจะส่งยูกาตะสีฟ้าอ่อนให้

“เดี่ยวไปลองที่ห้องลองเสื่อได้เลยนะค่ะ”

หล่อนบอก พร้อมผายมือไปที่ห้องลองเสื้อของร้าน

“งั้นเปปหนึ่งนะ”

ผมว่า ก่อนจะถือชุดยุกาตะสีฟ้าอ่อนตัวนั้นเข้าห้องลองเสื่อไป

ผมถอดเสื่อยืดสีเทาที่ใส่มาออก ก่อนจะสวมยูกาตะลงไป ดีหน่อยตรงที่ยูกาตะตัวนี้นั้นเป็นแบบสวมใส่ง่าย และเบามากครับ อาจจะเพราะทอมาจากผ้าเนื้อดีล่ะมั่ง พอผูกเสร็จ ผมลองหมุนตัวรอบๆกระจกดู จากไอ้ที่ดูด้วยสายตามันก็โอเคนะครับ เพราะผมหล่อใส่ชุดไหนก็หล่อ(มั่นหน้ามากมึง : ปกป้อง) สีฟ้าอ่อนตัวนี้แม้จะไม่ได้ตัดกับสีผิวขาวๆของผม แต่ก็ให้ความรู้สึกที่กลมกลืน ไม่ขัดแย้งจนเกินไป

ผมทดลองหมุนอีกรอบจนรู้สึกว่าโอเคแล้วเลยเปิดประตูออกไป

“ป้อง....”

ไอ้ป้องมันยื่นหลังหันให้ผมอยู่ครับ สงสัยคงมองวิวด้านนอกฆ่าเวลา

“........”

“เป็นไง หล่อไหม ?”

“........”

เงียบ...

เงียบสนิท....

ไอ้ป้องยื่นมองผมเงียบๆแต่ไมได้พูดอะไร

“ป้อง!!!”

ผมเดินเข้าไปใกล้ๆก่อนจะเรียกมันเสียงดัง

“ห๊ะๆ ว่าไง ?”

มันสะดุ้งทำหน้าตื่นๆ อะไรของมันว่ะ ?

“จะว่าไงบ้าอะไรว่ะ กูถามมึงว่า หล่อไหม โอเครึยัง รึว่ากูใส่แล้วมันน่าเกลียด ?”

ผมว่า ก่อนจะหมุนตัวให้มันดู

“หล่อดี”

คำชมสั้นๆออกมาจากปากมัน ป่วยการที่จะขอประโยคชมยาวๆจากปากหนักๆของมัน

“ตกลงเอาตัวนี้ล่ะครับ”

ผมยื่นชุดยูกาตะทดลองให้พี่พนักงาน ก่อนหล่อนจะยิ้มร่าให้เมื่อรู้ว่าขายเสื้อได้แล้ว

“เกียร์....”

“อะไร”

“ขอบใจนะที่เลือกสีฟ้า มึงใส่แล้วหล่อดี....”

รอยยิ้มจางๆแสดงออกมา มันเกาแก้มน้อยๆ ใบหน้าสีน้ำผึ่งเริ่มปรากฏเป็นสีเลือดฟาดๆ

“เออ กูหล่ออ๊ะดีแล้ว”

ผมส่งรอยยิ้มคืนกลับไปให้ ก่อนจะเดินไปยื่นข้างๆมัน

“มึงหิวข้าวยัง ?”

มันถามระหว่างรอพี่พนักงานเอาเสื่อมาให้

“ยังไม่หิว”

“งั้นมึงช่วยอะไรหน่อยได้ไหม”

“...............”

“คือ ... ถ้ายังไม่กลับบ้าน  ใกล้ๆห้างนี้มีสวนสาธารณะ....ช่วยสอนกูเล่นบอร์ดต่อหน่อยดิ ....”

เกือบลืมไปอีกนั้นแหละว่าพกบอร์ดมาด้วย...ที่แท้มันก็อยากเล่นอีกนั้นเอง ตอนแรกผมคิดว่ามันจะไม่กล้าจับแล้วด้วยซ้ำเพราะล้มบ่อยมาก

พอได้ฟังแบบนี้แล้วผมรู้สึกดีใจนะครับ เหมือนๆกับป้องเองก็คงจะชอบโลกของผมบ้างแล้ว

“สอนให้ได้ แต่ไม่สอนให้ฟรีๆนะ...”

ผมตอบกลับไป ไอ้ป้องทำหน้างงๆ แต่ก็รอฟังผมพูดต่อ

“มึงเองก็ช่วยแนะนำหนังสือดีให้กูด้วยแล้วกัน”

และผมเอง....ก็ชอบโลกของมัน...

“เออ”

เมื่อวานนี้...คือ'โลกของผม'

วันนี้....คือ'โลกของมัน'

ผมคาดหวังและปรารถนาเหลือเกิน อยากให้พรุ่งนี้และวันถัดๆไป....

เป็น'โลกของเรา'.....



TBC.


เก๊าขอโทษที่มาสายไปหนึ่งวัน เมื่อวานนี้ประสบอุบัติเหตุในการลงนิยายนิดหน่อยจ้า

ยังเดามาได้เรื่อยๆว่าหนูป้องจะคอสฯเป็นอะไรรรรรรรร  :hao7:

ปล. วันที่เจ็ดเดือนเจ็ด หรือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ เป็นวันทานาบาตะของแท้จริงๆนะครับ แตกต่างเองก็ต้องแต่งคอสเพลย์เหมือนกัน Y Y

ขอบคุณทุกคนที่อยู่ข้างๆน้อง แตกต่างเองก็พูดได้แต่เพียงว่า ในชีวิตของคนเรานั้นมันไม่มีอะไรที่ตลอดไปจริงๆนะครับ วันนี้สุข พรุ่งนี้เศร้า มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต

เพราะงั้นตอนที่ยังสุข เราก็ต้องสุขให้เต็มที่

เพื่อตอนที่ทุกข์มาถึง เราจะได้ไม่ฟูมฟายเกินไป

ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้ครบรส ....  :z2:

ขอบคุณทุกคนครับ   :bye2:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2014 20:13:24 โดย ๐แตกต่างเติมเต็ม๐ »

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
เดาว่าป้องคอสเป็นคนเลี้ยงวัว อิอิ  :mew3:

ปอลิง: คำผิด ภัทตาคาร=> ภัตตาคาร
แล้วมันจะมีประโยคนึงที่มีคำว่า ขะ อันนี้ไม่แน่ใจว่า ขะ คืออะไร

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ทำไมตอนท้ายๆมันมีออร่า ชมพูม่วงอะ  เค้าเขินนะตัววว


อยากเห็นคนแต่งใส่ชุดคอสเพล  แค่ชุดก็ยังดี~

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แหม เรียนรู้กันไป โลกของเธอโลกของฉัน กลายมาเป็นโลกของเรา

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เรียนรู้กันไป ค่อยๆเปิดโลกเข้าหากัน
ละมุน ละมุน

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ต่อไปก็จะเป็นโลกของเรา
ถ้าได้รู้มุมมองของป้องคงจะฟิน

อ้างถึง
“พี่ซื้อโจ๊กป้าพรมาฝากเราด้วยนะปลื้ม
>>> ร่าเริง

ออฟไลน์ ๐แตกต่างเติมเต็ม๐

  • "ผมไม่ได้แค่รัก แต่ยังศรัทธาใน'เรา' #ก้องเกียรติ์
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
    • https://www.facebook.com/PokpongGonggend/timeline
"เห้ย ปีนขึ้นไปอีกหน่อย ขอสูงกว่านี้"

เสียงไอ้ปั๊ก หัวหน้าห้องของผมสั่งการ ก่อนไอ้โปรเพื่อนอีกคนในห้องจะตวัดวงแขนของมันไต่ขึ้นไปบนต้นไม้อย่างน่าหวาดเสียว

สวัสดีครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงเรียน วันนี้เป็นวันทานาบาตะหรือวันอธิฐานขอพรจากท้องฟ้าตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น โดยการเขียนคำขอพรลงบนกระดาษ เทศกาลทานาบาตะนี้ ชาวญี่ปุ่นจะเขียนคำอธิษฐานลงบนกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้า 5 สี ที่เรียกว่า "ทังซะขุ" (Tanzaku) แล้วนำไปห้อยบนกิ่งไผ่ พร้อมด้วยของประดับอื่นๆ เช่น กระดาษตัดเป็นรูปคล้ายๆ โซ่แทนสัญลักษณ์ของทางช้างเผือก วันรุ่งขึ้นก็จะนำกระดาษอธิษฐานเหล่านี้ไปลอยน้ำ

ความหมายของกระดาษอธิษฐาน ทังซะขุ (Tanzaku) 5 สีมีดังนี้ครับ

สีฟ้า - ความสุข ความโชคดี

สีชมพู - ความรัก

สีแดง - ความสำเร็จ

สีเหลือง - ความมั่งคั่ง เงินทอง

สีเขียว - ความสมปรารถนาในการเรียนและการทำงาน

ถ้าไม่นำไปลอยน้ำก็จะไปติดลงบนยอดไผ่ แน่นอนว่าพี่ไทยของเราก็นำมาประยุกต์กับของไทยได้เป็นอย่างดี

แต่ปัญหาคือ...แล้วจะหาต้นไผ่จากไหน ?

ก็ถ้าไม่มี เราก็'ติต่าง'เอาโลดครับ กิ่งต้นมะม่วง มองให้เป็นต้นไผ่แล้วติดซะ กิ่งต้นไม้ต้นอะรูมีไร(อะไรก็ม่ายยยรู้)ก็ติดไปเถอะครับ ขอแค่ใจเราเชื่อว่ามันเป็นไผ่ มันก็จะกลายเป็นไผ่ เหมือนๆกับที่ใครบางคนเคยบอกไว้

อยากมองให้เห็นเป็นอะไรก็เป็นได้ อยู่ที่ใจคนมอง

"พี่เกียร์ครับ อย่าเหม่อดิ"

ไอ้ต้องตากระตุกปลายชุดยูกาตะเรียกสติผมเบาๆ

วันนี้ผมกับมันอยู่ในชุดคล้ายๆกันเพียงแต่ของมันเป็นกิโมโนสีดำลายขาว ไอ้ต้องตาเองก็ขาวพอๆกับผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอใส่ชุดสีดำตัดกับผิวสีขาวของมัน ความน่ารักเลยเพิ่มดาเมจแบบทวีคูณให้แก่ผู้พบเห็น

ยกเว้นผมล่ะนะ...

วันนี้หน้าที่ของผมกับไอ้ต้องตา คือคนคอยขายกระดาษไว้สำหรับการขอพรใบละ10บาท ซึ่งกับไอ้พวกทโมนในโรงเรียนผมที่มีปัญญาจ่ายค่าเทมอห้าหลักได้ แค่นี้จิ๊บๆครับสำหรับพวกมัน (ของฟรีไม่มีโนโลก -  - แต่ถ้าเขียนใส่กระดาษอื่นมา พวกผมก็ปีนขึ้นไปติดให้นะครับ เพียงแต่เราจะไม่นำมาจับรางวัลตอนสิ้นสุดกิจกรรมก็เท่านั้นครับ)

พวกผมแต่ละคนอยู่ในชุดคอสเพลย์กันเต็มยศครับ ตั้งแต่พวกที่แต่งมาแบบอลังการ ยังพวกคอสฯผีจูออนด้วยการทาแป้งแล้วใส่เกงตัวเดี่ยว(มึงจะโชว์พุงว่างั้น ?)

"น่ารักจังเลย มีแฟนรึยังครับน้อง? "

เป็นคำถามรอบที่เท่าไหร่ก็มิทราบดังถามไอ้ต้องตา คนถูกถามยิ้มจางๆ ยังไม่ทันจะตอบ รอบเอวก็ถูกกอดเอาด้วยวงแขนแกร่ง

"มีแล้วครับ"

ไอ้อู๋ที่อยู่ในชุดพ่อบ้านเซบาสเตียนพูด ก่อนจะยิ้มหวานให้คนถามคำถาม ซึ่งก็ได้แต่ทำหน้าปู เลี่ยน ก่อนจะถอยทัพกลับไปเมื่อโดนหมาบ้าห่วงของมอง

"สมภารกินไก่วัด"

ผมพูดจิกมันลอยๆ ไอ้เฟรมที่กำลังยืนขายน้ำปั้นอยู่ตบมือชอบใจให้กับคำพูดของผม

"พวกมึงสองคนบอกตัวเองดีกว่าไหม? คนหนึ่งคิดจะแดร๊กพี่ตัวเอง อีกคนคิดจะแดร๊กน้องของเพื่อนในชมรม"

ไอ้อู๋สวนกลับ ผมกับไอ้เฟรมกระแอ้มไอกลบเกลื่อน คิดผิดจริงๆที่แดกดันมัน

ก็ไม่ทราบว่าแข่งกันอีท่าไหนหรอกนะครับมันกับไอ้ต้องถึงได้กลายเป็นรักกันแน่นอนว่าผมซักไซร้เต็มที่แล้วแต่พวกแมร่งปาก
แข็งยิ่งกว่าแข็งสุดท้ายผมกับไอ้เฟรมเลยยอมแพ้ไม่อยากรู้เรื่องของมันก็ได้(ว่ะ)

"สวัสดีจ้า การ์ดขอพรขายดีไหมเอ๋ย"

น้ำเสียงทุ้มดังขึ้น ก่อนหน้าร้านของผมจะปรากฏแขกคนสำคัญ

"สวัสดีครับ พี่กาเซียร์"

ผมกับพวกเหล่าทโมนในห้องพากันยกมือไหว้ พี่กาเซียร์ยิ้มรับก่อนจะพูดต่อ

"พี่ขอซื้อการ์ดอวยพรหน่อย พอดีมีเด็กอยากขอพร"

"ม.4นี้ก็ไม่เด็กแล้วนะ"

น้องเพลงที่ยืนข้างๆแย้ง พี่ท่านแค่หัวเราะรับก่อนจะล็อกแขนขยี้หัวน้องเพลงเล่น แน่นอนว่าน้องมันทำท่าโกรธเคื้อง(ที่ดูยังไงก็ดู
น่ารักมากกว่าน่ากลัว)

"แล้วปลื้...ป้องล่ะ ไปไหน?"

พี่กาเซียร์ทักระหว่างรอน้องเพลงเลือกการ์ด

ผมหันไปมองรอบๆตามคำทัก ก่อนจะหันไปถามหาไอ้ป้องกับคนอื่นๆ

เมื้อเช้านี้มีกิจกรรมหน้าเสาธงเกี่ยวกับการพูดสุนทรพจน์ของประเทศญี่ปุ่นครับ ไอ้ป้องกับน้องเพนท์เด็กม.สี่อีกคนเป็นตัวแทนเด็ก eng-japan ออกไปพูด หลังจากนั้นก็มาช่วยงานที่ซุ้มญี่ปุ่นกันเนี้ยแหละครับ ผมเองก็ต้องขายของอยู่หน้าร้านจนลืมมองหามันไปด้วยเลย พอถามหาจากเพื่อนคนอื่นๆ ทุกคนก็ได้แต่บอกว่าไม่เห็นมันเลยหลังจากช่วยกันซุ้มแล้ว แต่ก็คิดว่ามันคงไปเปลี่ยนเป็นชุดคอสฯเพราะเมื้อเช้านี้มันยังอยู่ในสภาพชุดนร.

"เดี่ยวไอ้เกียร์น้องต้องไปพักก่อนได้นะ 30นาที่ รอบต่อไปเข้าประจำจุดด้วย"

ไอ้ปั๊กที่ตอนนี้เป็นแม่งานเต็มตัวบอกกับผมแบบนั้น

"โอเค งั้นกูพักแปบ"

ผมเดินออกจากหน้างานที่เป็นโต๊ะขายการ์ดขอคำอวยพร ให้ตายเหอะ ต้องพยายามยกเท้าสูงๆเวลาเดินครับเพราะวันนี้ผมใส่รองเท้าเกี๋ยเข้าคู่กับชุดยูกาตะ

ผมเดินไปนั่งตรงใต้ร่มไม้ที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้สักเท่าไหร่ แต่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ตอนนี้วุ่นวายมากครับโดยเฉพาะพวกขายของหน้างาน ทั้งการ์ดขอพร น้ำอัดลม น้ำผลไม้ปั้น เสื้อรุ่นแผนการเรียน eng-japan หนังสือญี่ปุ่น(ว่างายๆขายของหาเงินเข้าห้องสารพัดครับ) ตาสองข้างของผมก็มองหาไอ้ตัวดีไปด้วย แต่ก็ไม่เห็นมันแต่งชุดคอสเพลย์เลย

อย่าบอกนะหนีกลับไปแล้ว...

ไม่หรอกครับ มันไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะห้องวุ่นวายขนาดนี้ ไอ้ป้องไม่มีทางอยู่เฉยๆได้หรอกครับ

ผมนั่งพักขาประมาณสิบนาที่เห็นจะได้ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆเหมือนๆตัวอะไรสักอย่างใหญ่ๆกำลังเดินตรงมาทางนี้ตรงที่ผมนั่งอยู่ พอหันไปมองต้นตอของเสียงผมก็ได้แต่อ้าปากค้าง

ผิวหนังสีดำถ่าน ตัวสูงใหญ่สองถึงสามเมตร ลำตัวเป็นตะบุ้มตะบำแบบพวกสัตว์เลื้อยคลาน สองขาใหญ่ๆก้าวเดินจนพื้นสั่นไหว ปลายหางยาวสะพัดไปมาตามการส่ายตัว กรงเล็บด้านหน้าสองข้างเป็นนิ้วมือเล็กๆไว้คอยฉีกเนื้อของเหยื่อ




ไอ้ป้องคอสเพลย์เป็นก๊อตซิล่า!!




"แฮ่..."

ก๊อซซิป้องที่ยื่นหน้าออกมาจากปากชุดก๊อตซิล่าที่มันสวมอยู่พูดขึ้น ก่อนจะยกขาหน้าเล็กๆขึ้นมาประกอบเสียงแฮ่ขู่ ในขณะที่ผมนั่งใบ้อยู่

"ไม่น่ากลัวเหรอ?"

มันเอียงคอถาม ใบหน้าจืดๆของก๊อตซิป้องแสดงออกชัดเจนว่าเฟลนิดๆที่ผมไม่กลัวมัน

คือ.... ชุดมันก็พอจะน่ากลัวอยู่นะครับ แต่พอคนใส่เป็นมันเลยรู้สึกว่าน่ารักมากกว่าน่ากลัว ก็พอมองแบบนี้แล้ว เหมือนมันโดนกินเข้าไปแล้วก๊อตซิล่ากระเดือกไม่ลง หน้ามันเลยติดอยู่ตรงปากของก๊อตซิล่าพอเป็นแบบนี้มันเลยดูขำๆมากกว่าจะกลัว

"มีงานตรงไหนให้ช่วยมั่ง"

ก๊อตซิป้องถามขึ้น

"นั่งก่อนก็ได้ เวรขายของมึงอยู่รอบต่อไปกับกู"

ผมพูดหลังยกตารางเวรขายของขึ้นมาดู ก๊อตชิป้องเลยทิ้งตัวนั่งลงข้างๆผม

"คิดไงแต่งเป็นไอ้ตัวนี้?"

ผมถาม ไอ้ป้องทำปากยื่นๆก่อนจะตอบ

"ก็เมื้อปีที่แล้วมีโฆษณาปลาเส้นมาถ่ายที่โรงเรียนแล้วเขาทิ้งเอาไว้ กูเลยขอพี่เซียร์เอามาใส่จะได้ไม่ต้องซื้อชุดใหม่ด้วย อีกอย่างก็ชอบ"

เหตุผลว่าชอบ ดูจะเป็นแค่ส่วนประกอบ หลักๆคือมันไม่อยากซื้อชุดใหม่ ผมจับใจความถูกไหม?

"ก็ทำไมไม่ซื้อชุดใหม่ไปเลยถ้าอยากคอสเพลย์เป็นก๊อตซิล่าจริงๆ ดูดิ นี้ก็มีบางจุดขาด"

ผมพูดไป มือก็ลูบไปบางจุดที่ขาด แม้จะซ่อมแซมแล้วก็เถอะ

"มันเปลืองเงิน..."

ไอ้ป้องครางตอบเสียงอ่อน

"แล้วพวกชุดนร. รองเท้า จาคอปมึงก็เหมือนกัน พวกนั้นมันจะไม่ไหวแล้วนะเว้ย"

แม้พวกอุปกรณ์พวกนั้นไอ้ป้องพยายามดูแลรักษาอย่างดีแล้วก็จริงครับ แต่ทุกอย่างก็มีอายุของมัน เสื่อนักเรียนมันซีดดดแล้วก็จางมากเกินไปแล้วครับ จาคอปเองแม้จะขัดจนเงาวับแต่ก็ขาดไปแล้วหลายจุด รองเท้าเองก็เหมือนกัน เย็บแล้วเย็บอีก
ไอ้ป้องทำหน้าอึกอักแล้วก็เงียบไป

"ถ้าไม่อยากขอแม่ ยืมกูก่อนไหม? ไม่คิดดอกหรอก"

ผมแซวมันนิดๆ ไอ้ป้องส่ายหน้าน้อยๆแทนคำตอบ

"เดี่ยวอีกประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์กูก็ได้เงินแล้ว รอตอนนั้นก็ได้มั่ง"

"แล้วระหว่างนั้น?"

"ก็ใส่ของเดิมไปก่อนไง"

ผมจงใจถอนหายใจหนักๆให้มันเห็นต่อหน้า

"เกียร์ อย่าทำแบบนี้ดิ"

ไอ้ป้องพูดเสียงอ่อน ผมไม่สนใจนั่งหันหน้าหนีมันแทน แล้วทำไมมันเงียบว่ะ? ตามบทแล้วมันต้องง้อผมดิ ไม่ใช่นั่งเงียบซื้อบื้อแบบนี้

"มึงรู้ไหมป้อง บางที่กูก็เสียใจนะ กูอยู่ใกล้กับมึงแค่นี้ แต่กูเหมือนอยู่ไกลกับมึงมากเลย"

"...."

"กูพยายามเปิดใจ พยายามเข้าใจมึง แต่มึงกลับเฉยชาไปหมด ไอ้ความเงียบของมึงมันไม่น่าอึดอัดหรอก แต่บางครั้ง กูก็คาใจ ไม่สบายใจ แต่กูก็ไม่อยากเซ้าชี้มึง ทั้งเรื่องถุงยา เรื่องที่มึงชื่อปลื้มไม่ใช่ไอ้ป้องแบบที่กูหรือใครหลายคนเรียก ร่วมทั้งเรื่องเสื้อผ้าพวกนี้ด้วย กูบอกเลยว่ากูไม่สบายใจ..."

"..."

"เหมือนกับมึงไม่เชื่อใจกู..."

รอบนี้ผมโกรธมันจนโพล่งออกไปหมด

ถึงผมจะเป็นคนบอกเองก็เถอะว่าพร้อมแล้วให้บอก แต่เข้าใจความรู้สึกของคนที่รอไหมครับ มันหนักมันหน่วง ยิ่งอีกฝ่ายเงียบ มันยิ่งเครียด ผมพยายามหาเหตุผลต่างๆนานามาแก้ต่างให้มันในใจไปแล้วนับล้านๆแต่สุดท้ายไอ้ป้องมันก็ยังเลือกที่จะเงียบ...
ผมสะบัดหน้าหนีมันเตรียมจะลุกขึ้นเดิน แต่มือของมันรั้งแขนของผมไว้ก่อน

"อะไร"

ผมประชดถามมันเสียงห้วน ไอ้ป้องไม่ตอบแต่ดึงผมนั่งลงแทน

"ขอโทษ..."

คำสั้นๆง่ายๆหลุดรอดมาจากปากมัน

เชอะกะอีแค่กุมมือแล้วพูดเสียงอ้อนๆว่าขอโทษ

... คิดเหรอว่าแค่นี้กูจะยอมใจอ่อน

"ขอโทษทำไม มึงก็ไม่ได้ผิดอะไรนิ กูผิดเองแหละที่เป็นห่วงมึงมากไป"

ผมพูดไปแก้มป้องไป เชอะ คิดเหรอแค่นี้กูจะหายงอน

ผมเห็นไอ้ป้องมองซ้ายมองขวาก่อนมันจะพุ่งมือปลาไหลมาทางเอวผม

"ไอ้ป้อง ปล่อย!!!!"

ผมคำรามเสียงดุใส่มันเมื้อวงแขนมันกระชับรอบเอวผมแต่มีหรือก๊อตซิป้องมันจะกลัว

"หายงอน'ปลื้ม'รึยังครับ? ถ้าหายจะยอมปล่อย"

"ปลื้นไหนเหรอ? ไม่เห็นรู้จัก"

ผมตอบกลับหน้าตาย เอาดิ กอดก็กอด ตรงนี้ไม่มีคนเห็นเว้ย

ผมลืมไปว่ามันไม่ได้โง่...

ก๊อตซิป้องที่ตอนนี้ครอบครองเอวของผมไว้เขยิญเข้ามาใกล้ ก่อนน้ำเสียงทุ้มเจ้าเล่ห์จะดังขึ้น

"ก็ปลื้มคนที่กำลังโดน'คนสำคัญ'งอนอยู่ไงครับ"

หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาดื้อๆหลังจับใจความสำคัญของประโยคนั้นได้

"ก็ถ้า'สำคัญ'จริง ทำไมไม่บอกอะไรเขาเลยล่ะ"

ผมโต้กลับไป ขี้เกรียจจะดิ้นตัวหนีมันแล้วครับ

"ปลื้มผิดเองครับ ยอมรับเลยจริงๆ แต่สัญญาเลยว่ากลับบ้านไปจะอธิบายให้ฟัง แบบนี้จะหายงอนปลื้มได้ยังครับ?"

ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ วงแขนของมันที่อยู่ในชุดก๊อตซิล่ากระชับกอดขึ้นมามากขึ้นจนผมรู้สึกได้ถึงไออุ่นที่อยู่ข้างใน

เชอะ...คิดเรอะว่าแค่นี้จะหายงอน

"เออ เล่าให้หมดด้วยและกัน"

ผมตอบมันเสียงขุ่นหน่อยๆ หายงอนก็ได้ว่ะ...

"ครับ สัญญาเลย"

"แล้วก็ปล่อยได้ยัง ร้อน อึดอัด"

แกล้งพูดไปงั้นแหละ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ...กูเขิน

ไอ้ป้องคลี่ยิ้มที่เดียวนี้ชักจะยิ้มบ่อยมากยิ่งขึ้น

"ทำไม เขินเหรอ? ซบหน้าอกกูทั้งคืนยังทำมาแล้วเลย"

พอเห็นผมหายโกรธเท่านั้นแหละ ไอ้ป้องโหมดกวนตรีนก็กลับมา

"ไอ้.... ไอ้บ้า"

อยากจะด่าแรงๆกว่านั้นแต่คิดไม่ออก ติดไว้ก่อนก็ได้ว่ะ

"ไอ้เกียร์ ถึงรอบมึงแล้วนะ!!"

เสียงไอ้ปั๊กตะโกนดังบอก ผมตะโกนตอบกลับ

"เออ"

พอได้ยินแบบนั้น ก๊อตซิป้องเลยยอมคลายวงแขนจากเอวผมก่อนจะยิ้มหน้าระรื่น

"ไปขายของกัน"

"เออ"

ผมกับมันเดินออกไปบริเวณหน้าโต๊ะขายของ แน่นอนว่าไอ้คุณก๊อตซิป้องกลายเป็นจุดสนใจจากทั้งเพื่อนร่วมห้องและรุ่นพี่รุ่นน้อง
ในโรงเรียน เลยทำให้หน้าร้านคึกคันขึ้นกว่าเดิม ทั้งมันยังโดนลากไปถ่ายรูปกับคนนู้นที่คนนี้ที่ แน่นอนว่าไอ้ตัวดีไม่บอกปัดหรอกนะครับ ใครขอถ่ายก็ถ่ายหมด จะว่าไปอาจเพราะมันยิ้มบ่อยขึ้นมากเหมือนเป็นคนละคนล่ะมั่งครับ คนทั่วไปเลยรู้สึกเข้าถึงมันมากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงทำหน้านิ่งๆไม่ยิ้มร่าขนาดนี้หรอกครับ

ผมดีใจนะที่เห็นมันยิ้ม

เพราะผมจะได้ยิ้มตามไง...

"ปากจะฉีกแล้วโว้ยทั้งผัวทั้งเมีย"

เสียงเห่าดังออกมาจากปากไอ้อู๋ ผมหันไปชูนิ้วกลางเป็นรางวัลก่อนจะตะโกนขายการ์ดต่อ แล้วมองไอ้ป้องเป็นพักๆ

เป็นอีกหนึ่งวัน ที่ผมมีความสุขจังเลย...

"เหนื่อยไหม?"

ไอ้ป้องถาม

ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยงครับ หลังจากพวกผมขายของกันเสมือนอยู่ในดงปืน รู้สึกเลยว่าปีนี้เทศกาลทานาบาตะคึกคักสุดๆ ไอ้ดีใจมันก็ดีใจอยู่หรอกครับ ลูกค้าเยอะขึ้น เงินห้องกับส่วนแบ่งก็เยอะตาม แต่ความเหนื่อยจากการใส่ชุดยูกาตะก็ยังคงถาโถมเล่นงานอยู่ดี

คิดว่าไอ้ป้องเองก็คงเหนื่อยหนักๆไม่แพ้ผม เพราะชุดก๊อตซิล่าที่มันใส่ก็เป็นชุดผ้าหนัง เก็บความร้อนได้ดีเลยแหละ เหอะๆ

"แล้วมึงเหนื่อยไหม?"

ผมไม่ตอบแต่ย้อนถามมันแทน

"เหนื่อยสัสๆ ร้อนด้วย"

ก๊อตซิป้องตอบ ใบหน้าของมันอิดโรย มีเหงื่อไหลออกมา ผมมองซ้ายมองขวาหาพวกทิชชู่หรือกระดาษซับมันแต่ก็ไม่มี

"ยื่นหน้ามาดิ"

ผมสั่ง มันทำหน้างงๆแต่ก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆตามที่บอก

"เห้ย คือไม่ต้อ..."

ผมขี้เกรียจฟังมันขัด เลยดันหน้ามันเช็ดๆกับแขนชุดยูกาตะ แน่ล่ะวันมันบ่นอู้อี้อยู่อย่างนั้น

"เดี่ยวชุดเลอะหมด"

มันบ่นหลังผมปล่อยใบหน้ามันขึ้นมาถ้าไม่บ่นแล้วกินข้าวไม่อร่อยเหรอว่ะ?

"ก็หน้ามึงมันเลอะเหงื่อ"

"ก็ให้มันเลอะไปดิ"

"ไม่เอา..."

"...."

"ก็หน้ามึงตอนไม่มีเหงื่อน่ารักกว่าอ๊ะ..."

จบคำของผม ใบหน้าสีน้ำผึ่งของไอ้ก๊อตซิป้องก็มีสีเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ไอ้ป้องทำหน้าอ่อนใจและกังวลขึ้นมาดื้อๆ

"กลับบ้านนี้เราต้องคุยกันจริงๆจังๆแล้วเกียร์..."

ผมอยากรู้จริงๆ...


...ไอ้ป้องมันกังวลอะไรกันแน่



TBC.

ตอนหน้าก็จะได้รู้กันแล้วนะครับ ว่าป้องคิดอะไรกันแน่และกำลังกังวลกับอะไรอยู่

ปล. เลิคซิคมาแล้วนะตัวเธอว์

ปลล. พรุ่งนี้แตกต่างคอสเพลย์เป็นจูออนครับ....

ปปลล. อันนี้ชุดแผนENG-JAPANของโรงเรียนแตกต่างเองครับ ขอเบลอชื่อโรงเรียนไว้เพื่อความสงบสุข 555+


[attachment deleted by admin]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2014 20:47:49 โดย ๐แตกต่างเติมเต็ม๐ »

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
อัลไล   จะรอฟังความจริงตอนหน้านะจ๊ะ

ปล  แหม่ หวานแซ้


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด