เดือนเกี้ยวเดือน #39 พาร์ทของคิท
“เฮียเคี้ยง!”
ผมรีบเปิดประตูลงมาจากรถ แน่นอนว่าใบหน้าของผมแตกตื่นมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รถผมผมไม่แน่ใจเรื่องฟิล์มเท่าไหร่นักเพราะติดฟิล์มครั้งล่าสุดตอนเพิ่งสอบติดหมอเพราะฉะนั้นผมคิดว่าเฮียของผมอาจจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนรถ
และมันก็เป็นจริงดังผมคาด...
“ลื้อทำบ้าอะไรกับผู้ชายแบบนั้นน่ะฮะ?!!!!” เสียงเฮียดังมากจนผมคิดว่าคนในละแวกนี้ต้องได้ยินกันหมดแน่ๆ ตอนนี้ผมรู้สึกชาวาบไปหมดทั้งตัว ไม่รู้จะแก้ปัญหาข้างหน้าตรงนี้ยังไงดี เฮียผมเป็นพี่ชายคนโตของผม และเขาไม่คิดไม่ฝันว่าผมจะมาทำอะไรแบบนี้อยู่หน้าบ้านตัวเอง ผมเห็นเขาตัวสั่น ทั้งตกใจทั้งโกรธผสมปนเปกัน
ผมอยากจะพูดแต่ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่เอามือทึ้งหัวและก็หาคำพูดอะไรก็ได้ให้สถานการณ์มันดูดีไปมากกว่านี้
“สวัสดีครับ”
มีคนมาช่วยแก้ไขสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าจะช่วยให้ดีขึ้นหรือว่าแย่ลง
ที่แน่ๆมิ่งไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าตรงนี้เลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมองว่ามันเท่สุดตีน
มันเด็กกว่าผม แต่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหามากกว่าผมอีก
“เอ็งเป็นใคร” เฮียยังคงมองมิ่งอย่างไม่ไว้ใจและโกรธจัด
“แฟนคิทครับ”
คำพูดของมันทำเอาผมหันขวับไปมองคอแทบหัก มิ่งไม่มองหน้าผมเลย มองแต่หน้าเฮียซึ่งตอนนี้ไม่รู้เป็นสีอะไรแล้ว
ผมกลืนน้ำลาย แม้จะยังไม่ใช่อย่างที่มิ่งพูดแต่ก็ต้องเออออห่อหมกไปก่อน
“แฟน?”
“ครับ แฟน” แขนยาวๆของมิ่งเอื้อมมาวาดรอบไหล่ผมด้วยท่าทางสบายๆ แต่ผมสัมผัสได้ว่าใจของเขาเต้นแรงมากเลยทีเดียว
เฮียมองหน้าผมสลับกับใบหน้าของมิ่ง แล้วเขาก็หันหน้าหนี ทำท่าทางราวกับว่าไม่รู้จะรับเรื่องนี้ยังไงดี
ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของไอ้มิ่งที่อยู่สูงกว่า มันชำเลืองมามองผมแล้วก็ยิ้ม สงสัยกลัวผมโวยวายเรื่องมันโมเมเป็นแฟนผมล่ะมั้ง ก็เลยทำหน้ายิ้มแล้วส่งเสียงชู่ใส่ผม
ผมไม่ได้คิดที่จะโวยวายหรอก ก็แค่สงสัยว่าทำไมมันกล้าเผชิญหน้าคนในครอบครัวผมได้อย่างไม่กลัวเกรงขนาดนี้
“อั๊วพอจะเข้าใจนะว่าสมัยนี้มันเป็นยังไง เพื่อนอั๊วเป็นเกย์ก็หลายคนอยู่” เฮียพูดเหมือนรำพึงกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับผม “แต่บอกตามตรงนะคิท ลื้อทำอั๊วอึ้งมากจริงๆ นี่มันหน้าบ้านเลยนะ”
“ผมผิดเอง...”
“เปล่า ความผิดอั๊วเอง” อย่างน้อยผมก็ควรจะโชว์ความแมนออกมาบ้าง “ขอโทษนะเฮีย”
เฮียทำท่าเหมือนปวดกบาล มองผมราวกับต้องการที่จะอยากรู้อะไรไปมากกว่านี้ แต่ทว่าเมื่อมองไปที่หน้าบ้านครอบครัวผมก็เริ่มทะยอยกันออกมาจากบ้านราวกับรู้ว่าผมเพิ่งมาถึง เพราะฉะนั้นเฮียเลยพูดอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่
“ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเอ็ง...” เฮียพูดกับมิ่ง “...อีกยาว”
มิ่งพยักหน้า ไม่ได้กลัวอะไรเฮียผมเลยสักนิด มีแต่จะยิ้มใส่ไม่รู้ต้องการโปรยเสน่ห์หรืออะไรรึเปล่า แต่ที่แน่ๆทำเฮียผมลดความโหดลงไปเยอะ
“คิท ลื้อมาแล้วใช่มั้ย” เสียงม๊าของผมเอง เดินเข้ามากอดผมหมับ และก็ตามมาด้วยป๊าที่เดินเข้ามาตบไหล่ผมเบาๆเช่นกัน
ตอนนี้ไอ้มิ่งกำลังเจอคนในครอบครัวผมแบบเต็มอัตราศึก ตั้งแต่อาม่า ป๊า ม๊า อาซ้อ(ภรรยายังสาวยังสวยของเฮีย) เจ๊คิม พี่สาวของผม เฮียโค้ช พี่ชายอีกคน อาอึ้ม ทุกคนเดินมารับผมที่หน้าบ้านหมดเลย
ผมอยู่ในอ้อมกอดของคนในครอบครัว แต่ทว่าผมก็ยังกังวลเกี่ยวกับคนที่มาด้วย ตามแบบที่ผมคิดเอาไว้คือมันทำธุระกับผมเสร็จ(ก็ให้จูบสั่งลาอะไรนั่นแหละ)ก็จะให้มันรีบขับรถกลับไปเลย แต่ทว่าตอนนี้มันไปไหนไม่ได้แล้วเพราะฉะนั้น...มันก็เลยต้องยืนตัวแข็งดูผมโดนกอดโดนหอมแบบนี้แหละ
“แล้วนั่นใคร ป่าหรือว่าบีมล่ะนั่น” ม๊าของผมถามเมื่อเห็นไอ้มิ่งยืนอยู่
“ไม่ใช่ทั้งคู่” เฮียเคี้ยงพูดเสียงห้วน
“แล้วใครล่ะ”
ทุกคนมองไปที่ไอ้หน้าใหม่อย่างสงสัย จนมิ่งต้องยกมือไหว้อีกรอบและแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ “ชื่อมิ่งขวัญครับ...เป็นเพื่อนคิท”
ตกลงมึงเป็นแฟนหรือเป็นเพื่อนหรือเป็นอะไรกันแน่ แต่ก็ช่างมันเถอะครับขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด ผมไม่เข้าใจอยู่อย่างเดียวว่าพี่คิทๆๆสำหรับมันหายไปไหนหมด ผมกลายเป็นเพื่อนเล่นมันตั้งแต่เมื่อไหร่
“โอ้โห มีเพื่อนหน้าตาหล่อทุกคนเลยนะลื้อน่ะ”
“แหะ ไอ้นี่มันหล่อน้อยสุดแล้วม๊า”
“ขับมาส่งคิทเหรอลูก บ้านอยู่ไหนน่ะเรา กลับดึกไหวมั้ยล่ะ ค้างได้นะ พรุ่งนี้วันเกิดป๊าด้วย อยู่ฉลองด้วยกันสิ”
โอ้โหหหหหหหห ม๊าผม...ถ้าจะพูดอะไรให้อย่างเสร็จสรรพขนาดนั้น ผมอ้าปากค้างมองไปที่ไอ้มิ่ง ที่พยักหน้ารัวเร็วราวกับรอคอยคำนี้มานาน ตื่นเต้นอย่างกับหมาพุดเดิ้ลเจอเจ้านาย
ผมเลิกคิ้วมองมันอย่างจับผิด เชื่อว่่ามันวางแผนไว้มานานมากแล้วเพียงแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น ให้ตาย...
“ได้ใช่มั้ยครับม๊า” ผมถามม๊าอีกรอบเพื่อความแน่ใจ คำพูดนี้เหมือนผมไฟเขียวให้ไอ้มิ่งเข้าบ้านผมยังไงยังงั้น มันดูดีใจกว่าตอนที่ม๊าผมชวนเองซะอีก
“แหงอยู่แล้ว หล่อๆแบบนี้อาม่าชอบ ใช่มั้ยคะอาม่า”
อาม่าผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หยิกแขนไอ้มิ่งและก็พ่นภาษาจีนออกมาซะจนผมฟังไม่รู้เรื่อง(ไม่เคยฟังรู้เรื่อง) ที่แน่ๆอาม่าถูกอกถูกใจมิ่งมาก ถูกใจพอๆกับหลานสุดหล่ออย่างไอ้ป่าอีกมั้ง ที่บ้านผมรู้กันดีครับว่าผมมีเพื่อนหล่อ(เกินไป)และไอ้มิ่งก็กำลังจะมาอยู่ในรายชื่ออีกคน
ตอนเข้าบ้านผมโดนลากเข้าไปเหมือนผมเป็นเด็กอีกครั้ง หันหลังกลับมามองเห็นไอ้มิ่งโดนเฮียเคี้ยงดึงคอเสื้อเอาไว้ เหมือนกับว่าให้มันเดินตามไปทีหลังอะไรทำนองนั้น
ถ้าเป็นไอ้ป่าคงเตรียมซัดเฮียผมไปแล้ว มิ่งแค่จัดเสื้อใหม่และก็เดินตามเข้ามาทีหลังอีกรอบ...
…อดเป็นห่วงไม่ได้เลยครับ
...ก็เฮียผมมันเป็นนักเลงเก่า
ตลอดเวลาที่ทานอาหารผมได้แต่ตอบคำถามสัพเพเหระที่คนในครอบครัวตั้งมาถาม ตั้งแต่เรื่องสากกะเบือยันเรื่องของเรือรบ เป็นธรรมดาที่คนหายสาบสูญจาครอบครัวไปนานอย่างผมจะโดนตั้งคำถามเยอะแยะ ผมก็คุยจ้อปกติแหละครับ แต่มันดูเหมือนจะสะดุดไปนิดก็ตรงที่ไอ้สายตาคุกคามที่มองมาจากฝั่งตรงข้ามนั่นแหละ หน้าไทยแบบนี้มานั่งทานข้าวด้วยตอนผมอยู่กับครอบครัวผมไม่คุ้นเอามากๆเลย
“ว่าแต่มิ่งจ๊ะ...คิทไปเรียนที่นู่นเรื่องสาวๆน่ะมีบ้างมั้ย” ไอ้มิ่งหลุดพรวดออกมานิดหน่อยน้ำที่มันถืออยู่แทบกระเด็นใส่โต๊ะกระจายตอนโดนม๊าผมตั้งคำถาม
ผมกำช้อนแน่น ในขณะที่เฮียกำส้อมแน่นขึ้นและก็ตั้งมันลงกับโต๊ะ
“ปกติไม่เคยคบสาวที่ไหนเลยหลังจากปิ่น ไม่เคยพาใครเข้าบ้านอีกเลยด้วย”
ไอ้มิ่งชักสีหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะปั้นหน้ายิ้มอย่างว่องไวตามแบบฉบับคนเข้าหาผู้ใหญ่เก่ง “น่าจะโสดนะครับ ตอนนี้คิทตั้งใจเรียนมาก ไม่เห็นมีใครเลย” มันจ้องผมผ่านแก้วน้ำที่มันยกดื่มอีกรอบ ผมจ้องมันเขม็ง ไอ้บ้านี่ไม่มีสัมมาคารวะเกินไปแล้ว
“นั่นสินะ...”
“คุงหมอ อาคุงหมอของอาม่า” ผมยื่นหน้าไปให้อาม่าจับแก้มแล้วยิ้มแฉ่ง
เวลาผ่านเลยไปจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอนของอาม่า ทุกคนก็พากันกระจายแยกย้ายกันไปนอน พรุ่งนี้ดูเหมือนจะไปทำบุญกันแต่เช้าตรู่ ผมหอบเป้ขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองด้วยความเคยชิน จนลืมไปว่าเอาภาระตัวใหญ่ชิบหายมาด้วย ซึ่งมันก็ตามมาอย่างไวพร้อมๆกับคุยจ้อเรื่องครอบครัวผม
“น่ารักจังเลย ทั้งอาม่า ทั้งม๊าของคิท และก็...”
ตอนที่มันเข้ามา ผมปิดประตูห้องนอนเสียงดัง ประจันหน้ากับมันด้วยสายตาซีเรียส
“คำว่าพี่ไปไหน”
“หือ”
“พี่คิท เรียกพี่คิทสิวะ” เดี๋ยวบั๊ดสั่งให้วิดพื้น...
ไอ้มิ่งทำเป็นเดินไปหาคอมพิวเตอร์ของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ “ไม่ล่ะ”
“ว่าไงนะ” ผมเริ่มฉุน แต่จริงๆก็ไม่มากเท่าไหร่
“ก็เดี๋ยวไม่เนียน พี่ชายคิทท่าทางดุจะตาย”
“ตอนนี้มึงกำลังเนียนไม่เรียกกูว่าพี่”
“งั้นก็เนียนไปเลยละกันเนอะ คิทแคท” ท้ายประโยคหันมายิ้มกวนตีนให้ผมอีกแน่ะ “เตียงควีนไซส์นี่เอาไงดี จะนอนกันพอเหรอ”
“ใครบอกมึงจะได้นอนห้องนี้ โน่น มึงต้องไปนอนห้องนอนแขก” ผมไล่
“เฮ้อ...ทำไมบ้านหลังนี้ต้องใหญ่ด้วยก็ไม่รู้”
ไอ้มิ่งถือวิสาสะเปิดคอมผม ให้ผมกดรหัสให้ และมันก็เข้าไปในเฟสบุ๊คของมันท่องโลกโซเชี่ยลของมันไปเรื่อย ผมคิดว่าผมควรทำตัวปกติ แต่เชื่อมัั้ยครับว่ามันไม่ปกติเอาเสียเลย ทั้งๆที่มันนั่งนิ่งๆ ไม่ได้จ้องมองผมตลอดเวลา แต่ผมเนี่ยสิกลับเดินไปเดินมาเหมือนติดสปริงที่ตูด นั่งไม่ได้นาน ต้องเดินไปเดินมาไม่เป็นตัวของตัวเอง
“จะ...เล่นอีกนานป่ะ” ผมค่อยๆถาม
“ทำไม อยากเล่นเหรอ”
“หางเสียงไปไหน”
“ก็บอกแล้วไงเดี๋ยวมันไม่เนียน” มันไม่ได้พูดเสียงแข็งหรอกครับ ก็อ่อนโยนดี แต่ผมไม่ชินที่มันไม่สุภาพ
แล้วทำไมผมต้องเรื่องมากด้วยเล่า...
“เฮียกูไม่ได้อยู่ใกล้กูตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงสักหน่อย”
“นี่ไง ล็อคเอ๊าท์ให้แล้ว เข้ามาเล่นสิ”
มันลุกขึ้นหลีกที่ให้ ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ก็เลยไปนั่งแทนที่มันและก็ล็อคอินอีเมลผมเข้าเฟสบุ๊ค
เสียงของไอ้มิ่งเงียบไป ผมหันไปดูเห็นมันกำลังนั่งหยิบหนังสือในชั้นของผมมาอ่านอยู่ มันอ่านแบบเงียบๆ ในขณะที่ผมก็ทำเป็นสนใจเฟสบุ๊คในคอมแต่เอาเข้าจริงๆผมก็ไม่ได้สนใจเฟสบุ๊คของผมสักเท่าไหร่
ไอ้เพจคิ้วท์บอยเอารูปผมไปลงอีกแล้ว เฮ้อ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบหรืออะไรหรอกครับ แต่ลงรูปผมทีไรมักจะมีคอมเม้นท์เกี่ยวกับไอ้มิ่งพ่วงมาด้วยทุกทีไป ประมาณว่าผมเป็นกิ๊ก อนาคตแฟน อะไรอีกหลายอย่างที่เกี่ยวกับมิ่งตามมาไม่หยุดไม่หย่อน
แต่ผมก็พอจะเข้าใจสาเหตุที่ทำให้คนเขาคิดแบบนั้น ก็ดูมันสิ ไล่ตอบทุกเม้นท์ทีละคนเมื่อตะกี้สดๆว่าน่ารักมั้ย ผมจีบอยู่นะ คนนี้ของผม อย่าด่าเขาให้มาด่าผม อะไรก็ได้ที่ทำให้คนอื่นเขาไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าผมกับมันมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า
ทำไมมันชัดเจนขนาดนี้วะ...
ผมเหลือบมองไปที่ไอ้คนชัดเจนที่เริ่มเลื้อยไปตามโซฟา ท่าทางมันดูง่วงเอามากๆจนผมต้องเอ่ยปาก “ที่ห้องนอนแขกมีห้องน้ำ มีผ้าเช็ดตัวแต่ไม่มีชุด เดี๋ยวไปยืมชุดเฮียมาให้นะ”
ผมลุกขึ้นยืน เตรียมไปยืมชุดเฮียให้ไอ้มิ่ง ทางผ่านของผมอยู่ใกล้กับโซฟาที่มันนั่ง มันดึงแขนผมไม่ให้ผมไปและกระตุกแขนผมให้เข้าไปมันด้วยท่าทีที่จะให้ผมนั่งตัก
และผมก็นั่งตักมันอย่างช่วยไม่ได้...
“เห้ยยยย!” ผมร้อง “นี่ในบ้านกูนะ จะทำอะไรเนี่ย”
“คิดไปถึงไหนเนี่ย” ไอ้มิ่งแกล้งบ่นแบบยิ้มๆ “เหนื่อยอ่ะ ขอพักหน่อยนะ” คอยาวๆของมันเอียงเข้ามาหาหลังผมที่นั่งอยู่บนตักมัน และมันก็ซบหน้าลงที่หลังผมพร้อมๆกับวาดแขนยาวๆของมันโอบไปรอบตัว
นี่ขนาดยังไม่ตกลงปลงใจยังกล้าแต๊ะอั๋งผมขนาดนี้
แต่มันก็กล้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่...
เพราะเห็นมันเหนื่อยมากผมก็เลยนั่งนิ่งๆ กลายเป็นหมอนให้มันอุ้มและก็ให้มันซบอยู่แบบนั้น อ่านหนังสือสอบหนัก ขับรถมาก็ตั้งไกลทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของมันเลยแม้แต่น้อย ผมก็เห็นอกเห็นใจมันอยู่นะครับ
“มิ่ง...” ผมค่อยๆเรียกเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน “...จะห้าทุ่มแล้วนะเว้ย เดี๋ยวไปส่งห้องนอนแขก” จริงๆแล้วผมแค่อยากให้มันไปพักผ่อนเร็วๆน่ะ
“นอนนี่ไม่ได้เหรอ” มันส่งเสียงเบา กระชับอ้อมแขนอีกรอบ
“เชี่ย เตียงมันควีนไซส์”
“ให้นอนทับเลย”
“ก็เหี้ยแล้ว”
“เหนื่อยจริงๆนะ”
“เหนื่อยก็จะได้รีบไปนอนไง” ผมพยายามหว่านล้อม เพิ่งสังเกตว่าเสียงตัวเองอ่อนลงไปมาก เพราะอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เหนื่อยแต่ก็อยากอยู่นี่่อ่ะ”
“อยู่ไหน”
“อยู่นี่ไง...ใกล้ๆคิท”
ผมว่ามันคงเหนื่อยจนมันมึน...ฟังจากน้ำเสียงแล้วละม้ายคล้ายคนเมาไม่มีผิด เพราะผมจะแกะตัวเองให้ออกมาจากตัวมันก็ช่างยากลำบากเหลือเกินเพราะมือแม่งเหนียวมากไม่รู้ทากาวเอาไว้รึเปล่า
“ปล่อย...”
“ไม่”
“ปล่อย”
“ไม่”
“เอ๊ะนี่”
“ปล่อยแล้วเมื่อไหร่คิทจะยอมผมอีกล่ะ”
ผมชะงัก...คาดว่าไม่มีครั้งไหนอีกที่ยอมแน่ๆ...แต่พอได้ยินมันพูดแบบนี้แล้วรู้สึกใจอ่อนยังไงชอบกล
มันนี่แม่งมีอิทธิพลกับผมชะมัด
“ถ้าไม่ปล่อยตอนนี้ จะรู้มั้ยล่ะว่าจะยอมอีกทีเมื่อไหร่”
ใช้จิตวิทยาที่พอมีอยู่น้อยนิด หว่านล้อมให้มันยอมปล่อยตัวผมสักที
เหมือนคำพูดนี้จะถูกใจมันอยู่หน่อยๆ ไอ้มิ่งยอมปล่อยตัวผมแต่โดยดี ยกสองมือขึ้นราวกับโจรโดนตำรวจจับ ในขณะที่ผมยืนขึ้นแล้วหันหน้ามาเผชิญหน้ากับมัน
“ไปอาบน้ำ จะได้นอน”
“นอนห้องไหน” มันถามทันที ด้วยดวงตาปรือๆของมัน
“ห้องนอนแขก”
มิ่งหน้ามุ่ย...ท่าทางคำตอบจะไม่ถูกใจ
“ห้องกูก็ได้...เดี๋ยวกูไปนอนห้องแขกเอง”
เดือนมหาลัยหน้ามุ่ยหนักกว่าเดิม...ถามจริง...นี่ใช่คนเดียวกันกับที่โชว์ต่อยมวยเรียกเสียงกรี๊ดของคนทุกเพศทุกวัยบนเวทีในวันประกวดเดือนรึเปล่าวะนั่นน่ะ...
“น้อยๆหน่อย เพื่อนกูก็ไม่ใช่ แฟนกูก็ไม่ใช่...” ผมโวยวายไปตามประสา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เฮียเคี้ยงเปิดประตูห้องผมเข้ามาพอดี
ชิบหายยยยยยยยยยย!
ไอ้มิ่งไวโคตร มันรีบดึงตัวผมไปนั่งข้างๆแล้วโอบจนแน่น
“เมื่อกี้ลื้อพูดว่าอะไรนะ” เฮียทำหน้าสงสัย ในขณะที่ผมส่ายหน้าพรืด ไม่อยากให้เรื่องมันใหญ่ไปมากกว่านี้ “เชี่ยนี่ ปล่อยน้องข้าก่อน เห็นแล้วแม่งอยากถีบ” มิ่งปล่อยผมแต่โดยดี “มีเรื่องต้องคุยกับเอ็งสองคน”
ผมกับมิ่งตัวแข็งทันทีตอนที่เฮียเดินเข้ามานั่งที่โซฟาอีกตัวพร้อมกับจ้องผมสองคนเขม็ง ท่าทางเฮียน่ากลัวอยู่แล้วเพราะเป็นนักเลงเก่า อีกทั้งยังมีีรอยสักลายมังกรเต็มตัวเต็มแขนไปหมด
“เฮียจะพูดอะไรเหรอ” ผมค่อยๆพูด
“ลื้อสองคน...ถึงขั้นไหนกันแล้ว”
ผมกับมิ่งมองหน้ากัน...ผมไม่รู้จะแถอะไรเลยครับ ผมนึกไม่ออกจริงๆ
“ขั้นไหน? หมายความว่าไง”
“ก็ตามนั้น ขั้นไหน...ซั่ม...กันหรือยัง” ถามเองทำหน้ารับไม่ได้เองซะอย่างงั้น
ไอ้มิ่งหลุดหัวเราะนิดหน่อย เจอผมถองศอกใส่มันเลยเงียบ ในขณะที่ผมส่ายหน้าดิก “ยัง ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกเฮีย”
“ดี” เฮียพูดทันที “งั้นลื้อก็ถอนตัวทัน...อั๊วสั่ง เลิกคบกับไอ้บ้านี่ซะ”
ทั้งห้องเกิดความเงียบขึ้นมาในบัดดล
“ฮะ?” ผมทำเสียงมีคำถาม
“ถอนตัวตอนนี้ยังทัน ลื้อเป็นน้องอั๊วทำไมอั๊วจะไม่รู้ว่าน้องอั๊วชอบผู้หญิงขนาดไหน ถ้าคบกับไอ้นี่เป็นเพราะหน้าตาหล่อของมันหรือเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เฮียขอสั่งให้เลิกซะ ตอนนี้จะได้ไม่สายเกินไปและเจ็บเกินไป”
ผมรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาดหน้า แทนที่ผมจะไม่รู้สึกอะไรเพราะผมไม่ได้คบกับไอ้มิ่งจริงๆ แต่โดนเฮียพูดแบบนี้เหมือนถูกเฮียเอามีดมาแทงกลางหัวใจ ไฟเขียวยังไม่ทันได้รอก็ได้เจอไฟแดงซะก่อนนี่มันคืออะไร
ผมสัมผัสได้ว่ามิ่งกำหมัดแน่น นัยน์ตาปรือๆของมันหายไปเหลือเพียงแต่ใบหน้าเฉยชาระดับสิบแบบผมที่ว่าแน่ยังต้องแพ้
“เอ็งอยากจะต่อยข้าอย่างนั้นรึ” เฮียผมเลิกคิ้วอย่างท้าทาย “ก็เอาซี่ ต่อยเสร็จจะได้จับโยนออกจากบ้านข้า แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับน้องชายของข้าอีก”
จะบ้าตาย...ผมเอามือประสานกันแล้วก้มหน้าก้มตาปิดหน้าปิดหน้าผาก เครียดหนักยิ่งกว่าสอบแก้วิชาอะไรทั้งนั้น...ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เอาเสียเลย
“เปล่าหรอกครับ” มิ่งพูดออกมา น้ำเสียงดังฟังดูชัดเจน “ผมก็แค่กำลังคิด ว่าจะทำยังไงดีให้เฮียของคิทเปิดไฟเขียว ไม่รู้สิครับ” มันยิ้มมุมปาก “เรื่องคิทผมยอมแพ้ไม่เป็นซะด้วย”
ผมมองมันอย่างตื่นตะลึง...
“ว่ายังไงนะ”
“ตามที่ได้ยิน” มิ่งยังคงพูดต่อไป “ไม่ว่าจะยังไง...” มันหันมาหาผม “...ผมก็จะไม่มีวันยอมแพ้...จนกว่าผมกับเขาจะมีปลายทางที่มีความสุขร่วมกันครับ”
ผมอ้าปากค้าง ในขณะที่พี่ชายผมอ้าปากค้างนานและก็กว้างมากกว่า...
“เอ็งแน่ใจเหรอ?”
“แน่ครับ”
“ลื้อจะไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอคิท” เฮียหันมาถามผม “เอาแต่ให้หมอนี่มันพูดอยู่ฝ่ายเดียวนี่มันหมายความว่ายังไง ปกติน้องเฮียไม่ใช่คนไม่มั่นใจแบบนี้นี่”
รู้สึกเหมือนโดนโยนขี้มาใส่ ไอ้มิ่งหันมามองผมพร้อมๆกับใบหน้าเจือรอยยิ้ม เป็นครั้งแรกที่ผมอยากยืมความมั่นใจของมันเอามาใช้บ้าง
“เฮีย...”
ผมค่อยๆพูด เลื่อนสายตาขึ้นไปสบตากับพี่ชายคนโตของผม
“…อย่าบอกให้ผมกับมันเลิกกันเลยครับ”
ผมกล้าสบตาเฮีย แต่ไม่กล้าสบตาคนที่ผมพาดพิงถึง
“…ไม่ได้ผลหรอก”
มิ่งมองผมด้วยสายตาเหลือเชื่อ สงสัยคิดว่าผมควรจะได้ออสการ์ เฮียกระตุกยิ้มมุมปาก นั่นทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง
“จริงๆเฮียก็พูดจริง แต่ถ้าพวกลื้อยืนยัน...ก็นะ น้องชายเฮียทั้งคนนี่หว่า” เฮียยักไหล่ “เอาเป็นว่าปิดๆม๊ากับป๊าไว้ก่อนแล้วกัน มันก็น่าช็อคอยู่นะ เรื่องนี้เข้าใจใช่มั้ยไอ้คิท”
ไอ้มิ่งเอื้อมมือมาแตะมือผม ในขณะที่ผมขยับมือหนีแล้วพยักหน้ากับเฮีย “โอเค”
“ส่วนเอ็ง...” ไอ้มิ่งเลิกพยายามที่จะแต๊ะอั๋งมือผมหลังจากที่เจอสายตาเฮีย “...หักอกน้องข้าข้าหักคอเอ็ง...เข้าใจใช่มั้ย”
“ไม่มีวันนั้นหรอกครับ” มิ่งพูดเจือรอยยิ้ม เฮียมองมันก่อนที่จะสะบัดหน้าหนี “รีบนอนแล้วกันพรุ่งนี้ตื่นเช้า อ้อ ห้องนอนแขกอั๊วกับซ้อจองแล้วนะ ห้องอั๊วแอร์ไม่ติดอ่ะ” เฮียพูดไปบ่นไปพร้อมๆกับเดินออกไปที่หน้าประตู หันมาหาไอ้มิ่งเป็นการส่งท้าย “อะไรที่ยังไม่เคย ก็ไม่ต้องรีบ นี่บ้านไม่ใช่โรงแรม อย่างน้อยก็ให้เกรงใจอาม่า”
ผมกับมิ่งพูดไม่ออก...บ้าน่า ผมไม่คิดจะทำอะไรกับไอ้มิ่งอยู่แล้ว...
“ว้า...” แต่ไอ้คนบางคนที่ส่งเสียงผิดหวังนี่มันหมายความว่ายังไง
[มีต่อ]