ปฏิญญาที่ ๕ดูแลปกป้องเจ้าจันทร์น้อย
และเฝ้าคอยรับฟังความในใจ
ยินอดีตที่ถูกฝังอยู่ภายใน
อยู่ภายใต้ใบหน้าอันอ่อนโยนมืออันอบอุ่นที่ยื่นเข้ามาช่วยเหลือยามที่จิตใจนั้นบอบช้ำ สร้างความรู้สึกแปลก ๆ ภายในดวงหฤทัยของเจ้าชายองค์รองได้อย่างดี
ดวงเนตรงามเหลือบมองร่างที่นั่งอยู่เคียงข้าง... มือที่ยื่นมาปกป้องนั้นช่วยพันแผลที่ต้นแขนให้อย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน...
อ่อนโยน... จนมิอยากจะเชื่อว่าคน ๆ นี้จะแสดงออกมาได้
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ...”รอยยิ้มบาง ๆ คลี่ส่งให้ร่างสูง ดวงตาคู่ที่ตราตรึงนั้นฉายแววดีใจอย่างมิปิดบัง “ให้กระหม่อมทำแผลให้นะพะยะค่ะ...”
“อืม...”หัตถ์ซ้ายยื่นให้กับคนตรงหน้า ศศินจับมือใหญ่นั้นแผ่วเบา “ทำไมเจ้าถึงดูดีใจนัก...”
“ดีใจ...”ศศินเงยหนาขึ้นมองร่างสูง “ออ... แต่เล็กมาไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อกระหม่อมเหมือนดั่งพระองค์น่ะพะยะค่ะ”
“ปฏิบัติ...”
“พะยะค่ะ... มิเคยมีใครปกป้องกระหม่อมต่อหน้าเสด็จพ่อ มิมีใครให้ที่ให้ความช่วยเหลือแก่กระหม่อมต่อหน้าพระพักตร์ และก็ไม่เคยมีใครทำแผลให้กระหม่อมเช่นนี้”รอยยิ้มหวานฉาบทับบนใบหน้ามน “กระหม่อมรู้สึกดีใจมากเลยพะยะค่ะ”
“...”
“เอาล่ะ... เสร็จแล้วพะยะค่ะ”
ผ้าพันแผลสีขาวสะอาดพันทบออกมาอย่างเป็นระเบียบ สวยงาม... ไม่สมกับเวลาน้อยนิดที่ใช้ในการพันแม้เพียงน้อย...
“เย็นมากแล้ว... กระหม่อมขอตัวก่อนนะพะยะค่ะ เจ้าชาย”องค์ศศินลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วน้อมกายให้กับคนตรงหน้าน้อย ๆ “ขอบพระทัยอีกครั้งพะยะค่ะ”
มือหนาคว้าแขนเรียวเอาไว้ก่อนที่จะเดินออกไป เจ้าจันทรหันมามองด้วยความงุนงง... จะทรงรั้งตัวเขาไว้ทำไมกัน...
“ต่อไปไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์กับข้า...”พูดเพียงเท่านี้... แล้วก็ปล่อยแขนเรียวออก “เจ้ามียศศักดิ์เทียบเทียมข้า มิต้องทำตัวราวบ่าวไพร่เช่นนี้”
“...”ศศินคคนานต์อดไม่ได้ที่จะกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมาน้อย ๆ แม้ภายในใจยังไม่เข้าใจนัก “พะยะค่ะ... ขอรับ เจ้าชาย”
คงมิโปรดฟังราชาศัพท์ให้รำคาญหูกระมัง
“รพี...”เสียงทุ้มเอ่ยเบา ๆ “ชื่อของข้า... รพี”
“เสด็จพี่รพี...”
รอยยิ้มอบอุ่นคลี่ส่งให้เมื่อได้ยินชื่อตนออกจากโอษฐ์บาง... รอยยิ้มแรกตั้งแต่มาเยือนอาณาจักรแห่งนี้
เช้าวันต่อมา... ศศินคคนานต์ได้แต่นอนนิ่งบนแท่นบรรทมหรือไม่ก็ลุกขึ้นเดินไปมาอย่างช้า ๆ ไม่อาจที่จะลุกขึ้นมาทำอันใดได้เหมือนปกติ...
โดนพิษบาดแผลเล่นงานแล้วสิเรา...
ร่างบางนั่งนิ่งบนเก้าอี้ไม้แกะสลักภายในตำหนัก นิ้วเรียวนวดขมับของตนเบา ๆ
“วันนี้เราคงทำเครื่องเสวยขึ้นถวายไม่ไหวจริง ๆ ล่ะ แม่แย้ม”เสียงหวานแหบน้อย ๆ เอ่ยกับนางกำนัลห้องเครื่องคนสนิทแผ่วเบา “เราต้องขอโทษจริง ๆ”
“ทรงพักผ่อนเถอะเพคะ เจ้ารอง”หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใย “อย่าฝืนพระวรกายทำอะไรนะเพคะ”
“อืม...”
เครื่องเสวยในวันนี้จึงเป็นฝีมือของคนครัวทั้งหมด... โดยที่ไม่มีเจ้าชายองค์รองกำกับอย่างเคย...
ส่งผลให้ความอยากอาหารขององค์ชายต่างแดนน้อยลงไปด้วย
“อืม... สำรับพวกนี้รสชาติไม่เหมือนปกตินะ อิ่ม”องค์ภาณุวัฒน์ตรัสกับหัวหน้าคนครัวอย่างแม่อิ่มด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“เอ่อ... คือ...”แม่อิ่มอึกอักไม่ตอบในทันที.... จะให้นางตอบได้อย่างไรว่าคนทำครัวหลักอย่างจ้าวศศินไม่ได้ลงมือทำ... “เอ่อ...”
“ศศินเป็นอะไรหรืออิ่ม”รานีคนงามถามขึ้นหลังจากที่เห็นท่าทีของแม่ครัววัยกลางคน “ศศินลูกข้าเป็นอะไร เหตุใดจึงไม่ลงครัวเหมือนปกติ”
“... เจ้ารองเป็นไข้เพคะพระแม่เจ้า”อิ่มหันไปทูลต่อองค์นิศามณีเสียงสั่น “เจ้ารองจับไข้จึงไม่สามารถมาทำเครื่องเสวยได้ในวันนี้เพคะ”
“ตายจริง... เหตุใดจึงไม่มีใครมาบอกข้า”ร่างบางลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีเมื่อได้สดับฟังเช่นนั้น “มีใครไปตามท่านหมอมาตรวจลูกข้าหรือยัง”
“หม่อมฉันให้แม่เรไรไปตามมาแล้วเพคะ”
“ข้า.... ข้าจะไปหาเจ้าศศิน”รานีองค์งามผละจากโต๊ะเสวยหมายจะเสด็จไปยังตำหนักของโอรสตน
“หยุด นิศามณี”เสียงเย็นของผู้ครองแผ่นดินตรัสขึ้นขัด “ร่างกายเจ้าไม่แข็งแรงนัก ถ้าไปติดไข้จากมันจะทำอย่างไร”
“เจ้าหลวง...”
“ไม่มีข้อโต้แย้ง ให้หมอไปรักษามันเท่านั้นก็พอแล้ว”
โอ้ลูกน้อยยาใจของแม่นี้
เจ้าจะมีไข้หนักหนาสักเพียงไร
ตัวแม่อยากเฝ้าเจ้าชิดใกล้
จำห่างไกลด้วยพระบัญชา
พ่อเจ้านั้นใจดำยิ่งนัก
มาเอ่ยหักห้ามแม่ไม่ให้หา
ไม่ให้ไปพบเฝ้าเจ้าลูกยา
แม่เล่าหนาใจแทบขาดรอน
องค์รพีธรณินที่สดับฟังอยู่พักใหญ่ทรงลุกขึ้นยืน แล้วก้าวไปหานางกำนัลอิ่ม
“พาข้าไปหาศศิน”
“...เพคะ เจ้าชาย”
สองร่างเดินออกจากท้องพระโรงไปอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางสายตาของทุก ๆ คน
เหตุใดองค์รพีถึงต้องมีท่าทีเป็นห่วงเจ้าน้องด้วยนะ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ
“องค์ภาณุวัฒน์ไม่โปรดศศินเช่นนั้นหรือ”เสียงทุ้มเอ่ยถามนางกำนัลที่เดินนำหน้าเบา ๆ
“เพคะ เจ้าชาย”
“ด้วยเหตุใดกัน”
“เจ้าหลวงและเจ้าปู่ไม่โปรดเจ้ารองเพราะตอนเจ้ารองเกิดนั้น พระแม่เจ้าทรงตกพระโลหิตอย่างหนัก ทำให้พระวรกายอ่อนแอลงจนไม่สามารถมีโอรสหรือธิดาได้อีกน่ะเพคะ”แม่อิ่มทูลตอบด้วยเสียงเศร้า “ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองพระองค์จึงโทษว่าเป็นความผิดของเจ้ารอง ถ้าเพียงเจ้ารองไม่เกิดมา พระแม่เจ้าก็จะทรงแข็งแรง... ทั้งที่จริงแล้วที่พระแม่เจ้าตกเลือดนั้นเป็นความผิดของพระสนมอุสราแท้ ๆ”
“งั้นหรือ...”
“เพคะ... เจ้ารองจึงต้องลำบากไม่น้อย เลยทีเดียว”ดวงหน้ากลมเงยขึ้นมองตำหนักตรงหน้าด้วยแววตาอันอบอุ่น “ถึงแล้วเพคะ ตำหนักของเจ้ารอง...”
ทั้งสองก้าวเข้าไปในตำหนักที่ตกแต่งอย่างเรียบ ๆ เครื่องเรือนเครื่องใช้ก็มีน้อยนิดจนน่าตกใจ
“เจ้ารอง... เจ้ารองเพคะ ขออนุญาตนะเพคะ”แม่อิ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องบรรทมขององค์ศศิน “เจ้ารองเพคะ เจ้าชายมาเยี่ยมเจ้ารองเพคะ”
“เอ๊ะ...”ร่างเล็กผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะทิ้งตัวลงกลับไปนอนดังเดิม “อา...”
“ลุกขึ้นเร็วแบบนี้ก็ต้องหน้ามืดเป็นธรรมดา”เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ขณะที่กายสูงเข้ามาใกล้แล้วประทับลงที่ขอบเตียงนุ่ม “เป็นอย่างไรบ้าง...”
“เอ่อ... เราไม่เป็นไรหรอก... เพียงแค่มีไข้เล็กน้อยเท่านั้นเอง”ดวงหน้าซีดเซียวคลี่รอยยิ้มอ่อน ๆ ส่งให้ “ท่านเถอะ... ระวังติดไข้จากเรานะ...”
“ข้าไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้นเสียหน่อย”
แม่อิ่มที่คุกเข่ามองทั้งคู่อยู่พักหนึ่งยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อนางเห็นแววตาสดใสขององค์ชายรองที่นางรักราวกับลูก
ร่างอวบค่อย ๆ ถดกายหายออกจากห้องไป...
นางจะต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกแก่ทุกคน
“ได้ทานอะไรบ้างหรือยัง”รพีเอ่ยถามอย่างที่เอนกายอยู่บนเตียงนิ่ง
“ทานแล้ว... แม่แย้มยกข้าวต้มมาให้ทานแล้ว”เสียงแหบตอบกลับแผ่วเบา “แล้วท่านล่ะ ได้ทานอะไรบ้างหรือยัง”
“ข้าทานแล้ว”
“ได้ยินว่าทุกคนทานอาหารน้อยกว่าปกติ... จริงหรือ เสด็จพี่รพี”เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“คงจะเป็นเช่นนั้น... อาหารมื้อนี้รสชาติไม่เหมือนปกติ”
“...”
ดวงตาหวานหลุบลงอย่างสำนึกผิด... เพราะพระองค์ประชวร จึงไม่สามารถลุกขึ้นไปทำหน้าที่ได้เหมือนทุกวันแท้ ๆ
“อย่าคิดว่าเป็นความผิดตนเองสิ...”หัตถ์หนาลูบเกศานิ่มเบา ๆ “เจ้ามิได้มีหน้าที่ทำครัวมิใช่หรือ เจ้าจันทราของข้า”
“อืม... มันไม่ใช่หน้าที่ของข้า...”
“นอนเถอะ... พักผ่อนได้แล้ว จะได้หายไว ๆ”
“อืม...”
ดวงเนตรปิดลงช้า ๆ รอยยิ้มอ่อน ๆ คลี่ออกมาอย่างมีความสุข
อ่า... เจ้าจันทราของข้า... อย่างนั้นหรือ
+++++++++++++++++++++++++++
แอบมาอัพตอนจะตีสอง
สั้นอีกแล้ว อย่าเพิ่งเชือดกันนะคะ TT" // ยังคงสั้นต่อไป จนถึงบทที่ 10 ที่ยากกว่าชาวบ้าน
ตั้งใจแต่ง 20 บท จบ... เอ่อ... ต้องจบสิ เนอะ 55555
ติชมกันได้นะคะ
แอบมางุบงิบตรงนี้นิดนึง(ไม่ต้องใส่ใจค่ะ 5555)
ฮือออออ ดีใจที่ยังมีคนอ่านนะคะ T^T ตอนแรกจะไม่ลงแล้วเรื่องนี้แล้ว คิดเองเออเองว่าคงไม่มีใครอ่านจนแต่งไปได้ครึ่งนึง ตัดสินใจลองลงดู ไม่มีคนอ่านก็ไม่เป็นไร ปรากฎว่ามีคนอ่านด้วย YwY ดีใจสุด ๆ เลยค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตั้งใจแต่งมากกว่าเรื่องอื่น เพราะชอบคำกลอนภาษาไทย ถนัดกลอน8 มากกว่ากลอนอื่น ๆ (ใครที่มีตำนานรักในมือ คงเห็นปกหลังที่เป็นกลอนใช่ไหมคะ 555) แต่ก็แบบ จะกลอน 8 ทั้งเรื่องคงไม่ใช่ เลยไปขุดเอาความรู้เดิม ทั้งโคลงสี่ กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง มาใช้เสริมให้ดูมีอะไร (แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไร 5555) แต่ก็ไม่รู้ว่ารำคาญกลอนต่าง ๆ ที่แทรกลงไปในเรื่องไหม... (ถ้าถอนกลอนบทไหนไม่ได้ หรือยาวไปไม่ถอด บอกก็ได้นะคะ เดี๋ยวจะถอดความไว้ให้ค่ะ)
จริงๆเรื่องนี้มีพล็อตไว้จนจบแล้ว... แต่ด้วยความเอ่อ... สะเพร่าของตัวเอา ตอนโลกหนังสือเรียนม.ปลายทิ้ง เผลอทิ้งไปด้วย ฟิ้วค่ะ กลอนนำบทหายวับไป ต้องคิดใหม่หมดเลย... (ยังดีที่ฉากอย่างว่าพิมพ์ไว้แล้วในคอม ไม่งั้นแต่งใหม่อีกนี่... ตายยย)
ไว้แอบงุบงิบใหม่บทหน้าค่ะ แฮ่
ปล. ทายกันไหมคะว่าคนเขียนเรียนมหาลัยคณะอะไรอยู่ 555