ขออนุญาตอธิบายก่อนนิดนึง ว่าอันนี้เป็นเรื่องสั้นจากกิจกรรม #Fictober เมื่อเดือนตุลาคมปี 59 ที่ผ่านมาค่ะ ปีที่แล้วเล่นอยู่ที่ทวิตเตอร์ แปะฟิคสั้น/แดรบเบิ้ลลงทวิตฯ เป็นรายวัน วันละตอน ตั้งใจจะไล่ไปจนครบ 31 วันตามจำนวนวันในเดือนนั้น เนื้อเรื่องอยู่ในธีมเดียวกัน (จะว่าไปก็เป็นเรื่องเดียวกันเลยนั่นเอง) แต่ว่าเกิดเรื่องเศร้ากับประเทศไทยขึ้นก่อน ตอนนั้นจึงหยุดเขียนไปค่ะ
มาถึงตอนนี้ นึกถึงขึ้นมา ว่าแอบเสียดายพล็อตที่เคยคิดไว้ เลยหยิบมาเขียนต่อ โดยคงคอนเซปต์เดิม ซอยย่อยเป็นตอนสั้น ๆ ทั้งสิ้น 31 ส่วน เหมือนค่อย ๆ อ่านเนื้อเรื่องไปทีละวันตามความตั้งใจดั้งเดิมของผู้เขียนค่ะ
หมายเหตุ - รายละเอียด ว่า #Fictober คืออะไร ขอแปะลิ้งค์ที่มาดังนี้ค่ะ
https://minimore.com/b/tips/17https://twitter.com/noirpoipoison/status/782785879966224385ขอบคุณสำหรับกิจกรรมดี ๆ ที่ทำให้ได้ถือเป็นโอกาสเขียนเรื่องสั้นขึ้นมาอีกเรื่องค่ะ
Butterfly Fragments
[#Fictober]
- 1 -
รักผมคนเดียว คุณบอกผม
รักเขาคนเดียว คุณบอกเขา
ไม่เป็นไร...ผมกระซิบกับริมฝีปากเย็นชืดของคุณ
ผมไม่คาดหวังคำขอโทษ
ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไรคนดี...
อย่าร้องไห้อีกเลย
ผมรู้...คุณจะไม่มีวันโป้ปดเช่นนั้นอีก
คนตายพูดไม่ได้..จริงไหม? - 2 -
เขาบอกคนตายพูดไม่ได้
ผมมีสองข้อสันนิษฐาน
หนึ่ง..ผมอาจยังไม่ตาย
สอง...คนตายยังพูดได้ แต่คุณแค่ไม่ได้ยิน
ทั้งที่เอื้อมมือไปกอด กลับไม่สามารถสัมผัส
‘ผมไม่ได้โกหกคุณ’ ทั้งที่ตะโกนบอกเช่นนั้น กลับลอยไปไม่ถึงหู
มีเพียงเสียงสายลมหวีดหวิว ห้อมล้อมเขม่าควันที่ลอยขึ้นสูงลิบบนท้องฟ้า
ผมยังไม่ตาย หรือคุณแค่ไม่ได้ยิน
..เกรงว่าคงเป็นอย่างหลัง
- 3 -
ในเมืองที่ผู้คนขวักไขว่
แสงสีพร่างพราย กลับขับเน้นความอ้างว้างให้เด่นชัด
ความเดียวดายเหมือนโรคร้าย ยิ่งผลักไส มันกลับยิ่งกอดรัด เฝ้ากัดกร่อนผิวกาย ซึมลึกถึงเลือดเนื้อ แทรกลงแกนกลางของกระดูก ผสานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ไม่มีใครให้รอคอย และไม่มีใครรอคอยเขา
เขาหมดห่วงกับโลก เช่นเดียวกับที่โลกคงหมดห่วงต่อเขา
เขาเพียงอยากจากไปในความเงียบงัน
แต่การอันตธานโดยสมบูรณ์ สูญสิ้นทุกผัสสะเช่นนั้น คงต้องผ่านกระบวนการของความตาย
เขาเร่งความเร็วของยานพาหนะ
เร่งจนราวกับจะให้มันพาตนข้ามไปสู่ดินแดนอื่นซึ่งอาจมีใครอีกคนรออยู่
เสียงระเบิดดังกึกก้อง
ร่างลอยขึ้นสูง กลิ่นคาวเลือดทะลักเข้าปอด
เสี้ยววินาทีนั้น ราวกับกำลังโผบิน
สายลมกรีดร้องหวีดหวิวข้างหู
‘ผมไม่ได้โกหกคุณ’คล้ายได้ยินเสียงนั้นผสานเป็นเนื้อเดียวกับเสียงลม
เขาหลับตา คลี่ยิ้ม กางปีกที่มองไม่เห็น
ผมเชื่อ..
- 4 -
“อยากไปดูผีเสื้อนี่นา”
“หยุดบ่นเสียที” รุ่นพี่เอ่ยเสียงเนือย “ช้าไปสักวันสองวัน สวนผีเสื้อไม่หายไปไหนหรอก”
“เฮ้อ”
“ถอนหายใจอะไร” แฟ้มเหล็กถูกเคาะลงกลางศีรษะเบา ๆ “เป็นเอ็กซ์เทิร์น
[Extern-นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6]ตั้งใจหน่อย”
สุดท้ายก็ได้แต่ปลงยามดึก เปิดประวัติคนไข้คนล่าสุดดูคร่าว ๆ คนนี้ยังหนุ่ม ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ตัวลอยออกจากที่นั่งคนขับมากระแทกพื้น ไม่ตายแต่ก็สาหัส มีประวัติเคยรักษากับแผนกจิตเวช มีอาการเห็นภาพหลอน หวาดระแวง ทำร้ายผู้อื่น เคยมีอุบัติเหตุมาก่อนเหมือนกัน แต่ไม่รุนแรงเท่า ครั้งนี้ถึงกับต้องเตรียมเปิดห้องผ่าตัดฉุกเฉิน
ส่วนสถานการณ์พวกเขาตอนนี้ห่างไกลจากสวนผีเสื้อที่ตกลงกันไว้กับคุณหมอรุ่นพี่ไปไกลโข
“เอ้า อ่านฟิล์ม” เสียงคนข้าง ๆ ดึงเขาจากภวังค์
“หา”
“อ่าน” คำสั่งมาอีกครั้ง เสียงเข้มกว่าเก่า ตามด้วยเสียงเมาส์คลิกรัว ๆ เป็นเชิงเร่ง ตรงภาพถ่ายรังสีเอ็กซ์ของกระดูกขาที่แตกเป็นชิ้นซึ่งฉายขึ้นบนจอคอมพิวเตอร์ “เอาให้ครบ”
“เอ้อ...ก็..”
แถจนสีข้างเลือดซิบไปได้สักพัก คนฟังกลับยืนกอดอก ทำหน้าเหมือนว่ายังตอบไม่ถูกใจ
ครั้นแถต่อไปได้อีกหน่อยกระทั่งจนปัญญา ยอมแพ้ถามหาเฉลย กลับได้รับคำตอบพิลึกกลับมาแทน
“ผีเสื้อ”
“เอ๋?”
“ไม่ต้องมาเอ๋ เห็นหรือยัง”
เขาทำตาปริบ ๆ มองตามสายตาอีกฝ่ายไปยังภาพบนจอ เพ่งดูดี ๆ จึงค่อยพึมพำช้า ๆ อย่างไม่แน่ใจนัก พลางเอานิ้วชี้ภาพรังสีแสดงชิ้นกระดูกที่แตกออกเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายปีกผีเสื้อ มีชื่อเรียกที่เคยได้รับการสอนมา แต่ครั้งนี้ลืมพูดไป
“...Butterfly fragment?”
“ดูนี่ไปก่อนแล้วกัน”
อยากจะบ่นว่าทำไมไม่โรแมนติกเอาเสียเลย! อยากดูผีเสื้อตัวเป็น ๆ กันสองคนต่างหาก แต่กลับพบว่าตัวเองกำลังอ้าปากค้างอยู่ด้วยสีหน้าที่ดูโง่เง่าหนักกว่าตอนอ่านฟิล์มไม่ถูกเสียอีก แถมแก้มยังร้อนวาบเชียว
และกว่าเสียงจะกลับมาอีกหน ก็พบว่าอีกคนไม่อยู่ให้บ่นแล้ว หันหลังเดินฉับ ๆ ไปอีกทาง เห็นแต่ใบหูแดง ๆ จากด้านหลังเท่านั้น
- 5 -
เพราะน่ารัก จึงได้รัก
หรือว่าเพราะรัก จึงได้น่ารัก
“ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อน” เขาถาม
“ไร้สาระ”
“พี่ตอบไม่ได้ละสิ” เขาทำปากจู๋ หรี่ตาล้อเลียนตาขวาง ๆ ของอีกฝ่าย “ไก่เกิดก่อน เพราะโปรตีนที่สร้างเป็นเปลือกไข่ มีแต่ไก่ที่ผลิตได้”
“คำถาม” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นบ้าง หน้าตาอิดโรย หลังอดหลับอดนอนทั้งคืนยิ่งทำให้ดูอารมณ์บูดหนักกว่าเก่า เพื่อนที่ผ่านมาข้างหลังถึงกับถอยออกไปอีกสองสามก้าวแล้วทำเนียนเดินหนีไปทางอื่น ได้ยินเสียงพึมพำแว่ว ๆ ว่าพี่น่ากลัวมาก สงสัยเมื่อคืนเวรยุ่ง
“อันนี้หักไทป์ไหน” น้ำเสียงคุกคาม ว่าพลางเอาปากกาเคาะหน้าจอ ชี้ภาพรังสีเอ็กซ์ส่วนกระดูกบริเวณหัวเข่าที่ผิดปกติ
เขาผงะนิดหน่อย อ้อมแอ้มตอบหลังใคร่ครวญอยู่อึดใจ “ไทป์...อืม...สาม?”
“ผิด!” เหมือนประกาศิตฟาดลงกลางกบาล “สี่ต่างหาก แล้วรักษายังไง”
“เอ้อ...”
“ตอบช้า แบบนี้ต้องผ่า ทีนี้รู้ไหมข้อบ่งชี้ในการเอาไปเปิดคือ?”
“...คือ...ขอกลับไปรีวิวหน่อย”
“ตายแน่ สอบไม่รอดแน่” มีแช่งอีก “ถามต่อว่าแล้วภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดคือ?”
“...อ๊าก ใจร้ายอะ!”
“ไปอ่านมา พรุ่งนี้มาตอบให้ครบ”
รุ่นพี่ส่งรอยยิ้มอำมหิต เห็นเขี้ยวขาวโผล่รำไรตรงมุมปาก น่าเจ็บใจตัวเองที่ดันเห็นว่าโคตรน่ารักไปอีก
เขารู้แล้ว ไก่เกิดก่อนไข่ฉันใด กับรุ่นพี่ที่เพื่อนพากันถอยกรูดคนนี้ก็เช่นเดียวกัน
เพราะรักแน่ ๆ จึงได้หน้ามืดเห็นว่ายักษ์น่ารักไปเสียได้!
- 6 -
รุ่นพี่ถนัดมือขวา สวมนาฬิกามือซ้าย
เก้าอี้ประจำของเขาอยู่ฝั่งซ้ายของรุ่นพี่ เมื่อนั่งติดกัน จะมองเห็นแขนซ้ายคนข้างกายวางพาดบนที่เท้าแขน
"ข้อมือพี่สวยดี"
ไม่มีเสียงตอบ คนคนนั้นก้มหน้าเงียบ ๆ สนใจแต่หนังสือ
เขาคว้าข้อมืออีกฝ่ายยกขึ้นมา รู้สึกนาฬิกาที่เจ้าตัวสวมไว้ช่างเกะกะ พยายามดันขึ้นดึงลงอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าของข้อมือก็พ่นลมออกจมูก เอ่ยเสียงรำคาญใจ
"ไล่ surface anatomy ด้านหน้าของข้อมือมา"
งานเข้าอีกแล้ว
"ที่นายจับอยู่นั่นอะไร?"
"อืม..." นั่งลูบอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยอ้อมแอ้มตอบชื่อเส้นเอ็นที่วางอยู่ใต้นิ้วมือเขา "flexor carpi radialis?"
เห็นชัดดี เขาพยักหน้ากับตัวเอง คิดอยู่ในใจว่าสวย
"อันนี้ชอบเป็นพิเศษ" เขาย้ายไปจับที่เส้นเอ็นตรงกลางข้อมือ "palmaris longus"
ไล่ไปได้อีกแค่สองสามชื่อ รู้สึกอดใจไม่ไหวขึ้นมา เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่พลางยิ้มเจ้าเล่ห์
"ผมกัดได้ไหม?"
ชีพจรที่ข้อมืออีกฝ่ายใต้นิ้วเขาเต้นเร็วขึ้นนิดหน่อย
โดยไม่รอคำตอบ เขาก้มหน้าลงไป ตั้งใจจะขบเบา ๆ ตรงนั้น
"โอ๊ะ!"
แต่โดนนาฬิกาข้อมือซึ่งถูกดันขึ้นไปเมื่อครู่ร่วงลงมาใส่จมูกเข้าก่อน
ได้ยินเสียงหัวเราะหึในคอของรุ่นพี่
แขนซ้ายย้ายกลับไปวางจุดเดิมบนที่เท้าแขน เขาจ้องมองนาฬิกาเรือนนั้น พลางคาดโทษมันอยู่ในใจ
วันถัดมา พวกเขานั่งเคียงกันบนเก้าอี้ตัวเดิม
เขาเหลือบมองแขนซ้ายของอีกฝ่ายที่มักวางอยู่ในตำแหน่งประจำตรงที่เท้าแขน
ข้อมือซ้ายว่างเปล่า นาฬิกาหายไป
ครั้นชะโงกตัวมองข้ามไปอีกฝั่งจึงได้เห็น
รุ่นพี่ถนัดมือขวา และย้ายนาฬิกาไปสวมไว้มือขวา
เขาคลี่ยิ้ม
ก้มหน้าลง จูบแผ่วเบาที่ข้อมือซ้ายเปลือย ๆ
ครั้งหน้าไปท่องกล้ามเนื้อหลังหรือหน้าท้องมาดีกว่า
- 7 -
"อาการแย่ขนาดนี้ ติดต่อญาติไม่ได้เลย"
"น่าสงสาร"
"ยังหนุ่มแท้ ๆ ไม่มีใครมาเยี่ยมสักคน"
ผมมองไม่เห็นหน้าตาคนพูด เสียงเหล่านั้นราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล ร่างกายที่คล้ายถูกพันธนาการจนขยับเขยื้อนไม่ได้ บัดนี้กลับเบาโหวง แค่กะพริบตาก็พร้อมลอยละล่อง
ใบหน้าคุ้นเคยปรากฏขึ้นกลางความว่างเปล่า
เขายิ้มอ่อนโยนเฉกเช่นทุกที
ใครว่าผมไม่มีคนมาหา
'ผมมาเยี่ยมคุณ' เขาบอก
เสียงนั้นไม่ได้ยินผ่านหู แต่ผมรู้สึก...ดังออกมาจากภายใน
'พาผมไปด้วย' ผมอ้อนวอน ดังออกมาจากภายในเช่นกัน 'ผมคิดถึงคุณ'
เขายิ้มรับ งดงาม..สว่างไสว
แสงสว่างสาดส่องจนตาพร่า
ความอบอุ่นแผ่ซ่าน กอดเกี่ยวผมไว้อ่อนโยน ราวกับมารดาประคองลูกน้อย
รูม่านตาผมขยายกว้าง
มันเบิกค้างอยู่เช่นนั้น...ไม่ตอบสนองต่อแสงใดอีก
- 8 -
"เขาตายแล้วนะ"
เขาเปรยถึงคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์
ชายหนุ่มคนนั้นกระดูกหักหลายตำแหน่ง ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน มีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง ทั้งอวัยวะในช่องท้องก็ฉีกขาดไม่น้อย หลังผ่าตัดใหญ่ ร่วมแรงร่วมใจกันหลายแผนกเพื่อยื้อชีวิต ทั้งศัลยกรรม ศัลยกรรมกระดูก ศัลยกรรมระบบประสาท ไปจนถึงอายุรกรรม พักในหอผู้ป่วยหนักได้อีกไม่กี่วันก็จากโลกนี้ไป
"อืม"
"พี่เคยร้องไห้เวลาเสียคนไข้ไปไหม?"
นานจนเขาเกือบลืมคำถามตัวเองแล้ว ค่อยมีเสียงพึมพำลอยเข้าหู
"เมื่อก่อน..ตอนยังเด็กกว่านี้"
"ทำไมถึงร้องล่ะ"
"เสียใจ"
"แล้วเลิกร้องตั้งแต่เมื่อไหร่?"
"ไม่รู้"
เขายิ้มอ่อนใจให้คำตอบอย่างขอไปทีของอีกฝ่าย
"คนคนนั้น จากตอนที่มาถึงจนเขาตาย ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย"
"อือ"
"เพื่อนบอกเขาเคยมีแฟน" เขาเล่าตามที่เพื่อนซึ่งเวียนไปแผนกศัลยกรรมบอกมาอีกที "แต่เหมือนเขาเพิ่งฆ่าแฟนตาย ไม่รู้เห็นภาพหลอนหวาดระแวงอะไรอีกหรือเปล่า ก่อนจะมาเกิดอุบัติเหตุเอง"
รุ่นพี่พยักหน้า รับฟังเงียบ ๆ
"สมมติผมเข้าโรงพยาบาล พี่จะมาเยี่ยมผมไหม"
"นี่เราก็อยู่ในโรงพยาบาลไม่ใช่หรือ?"
"ในฐานะคนไข้สิ"
"นายจะฆ่าพี่ก่อนไหมล่ะ?"
เขาทำหน้าเหลอหลา "ผมจะฆ่าพี่ได้ไง"
ฝ่ายนั้นยักไหล่ "งั้นก็คงมาเยี่ยมได้"
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นระบายยิ้มกรุ้มกริ่ม "เปรียบเทียบงี้คือยอมรับว่าผมเป็นแฟนพี่แล้ว?"
รุ่นพี่ล้มลงมองวันที่บนนาฬิกา กระซิบเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
"วันที่แปด"
"หือ?"
"ครบรอบอีกเดือน"
เขาขยับเข้าไปนั่งใกล้อีกฝ่ายที่ทำท่าเหมือนหนาว อดไม่ได้จะเอื้อมไปกุมมือไว้หลวม ๆ ย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ
"หมายถึง?"
ไร้เสียงตอบรับ เขาจึงทึกทักเอาเองเรื่องครบรอบอีกเดือนที่ว่า อาจหมายถึงฝ่ายนั้นเคยตกลงใจคบกับเขาแล้วเมื่อวันที่แปดเดือนไหนสักเดือน
แย่จริง ทำไมจำไม่ได้
เขาหัวเราะ โมเมเข้าข้างตัวเองต่อเนื่อง
"งั้นตกลงคบกันวันนี้แบบเป็นทางการเลยแล้วกันนะ"
- 9 -
“พี่สักด้วยหรือ?”
“อือ”
เขาไล้ปลายนิ้วไปตามลายรูปปีกผีเสื้อเล็ก ๆ บนแผ่นหลังอีกฝ่าย โคนปีกอยู่ตรงตำแหน่งสะบัก ดูคล้ายมีลวดลายสีน้ำเงินอ่อนช้อยงอกออกมาจากตำแหน่งนั้น
“สวย” เผลอพึมพำอย่างลืมตัว เอียงใบหน้า แนบแก้มลงตรงรอยสัก อดไม่ได้จะพล่ามต่อถึงผีเสื้อ “มันเป็นความสวยงามที่เกิดจากการดิ้นรน”
“เมตามอร์โฟซิส” รู้สึกได้ถึงการขยับเล็กน้อยตอนรุ่นพี่พยักหน้า “เคยเห็นคลิปตอนมันออกจากดักแด้”
“พี่รู้ไหม ผมโคตรชอบพวกมัน”
“รู้แล้ว”
“พี่สักก่อนหรือหลังจากรู้ว่าผมชอบอะ”
รุ่นพี่เงียบไปนาน นานจนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมอง
ผิวแก้มแต้มสีเลือดฝาด กับเปลือกตาที่หลุบลงต่ำ บอกเขาว่าน่าจะเป็นคำตอบหลัง
- 10 -
"นี่"
"ว่า?"
"ผมจูบได้ไหม"
"ที่ไหน"
"ทั้งตัว"
เงียบไปพักใหญ่ รุ่นพี่ค่อยงึมงำเสียงเบาใต้ปลายจมูก "ให้แค่ที่เดียว"
"งกจัง" เขาว่ากลั้วหัวเราะ แต่ก็ก้มลงไปขบที่ต้นคอร้อนผ่าว แรงผลักไม่มากไม่น้อยส่งให้ร่างอีกฝ่ายหงายไปข้างหลัง ทั้งที่ริมฝีปากเขายังตามไปนาบอยู่ตำแหน่งเดิมไม่ยอมปล่อย
เข็มนาฬิกาหมุนวนไปหลายนาที
"นี่" คราวนี้เป็นเสียงรุ่นพี่ดังขึ้นก่อน "เมื่อไหร่จะเสร็จ"
เขาโคลงศีรษะอย่างดื้อดึง ปลายลิ้นยังคลอเคลียตรงนั้นไม่ห่าง บดเคล้ากลีบปากลงหนัก ๆ จนปรากฎร่องรอยเหมือนดอกไม้สีแดงเล็ก ๆ
"ก็พี่ให้แค่ที่เดียวอะ" เขาค้านในจูบ "ผมไม่ได้ทำผิดกติกาเสียหน่อย"
เมื่อเถียงไม่ออก ฝ่ายนั้นจึงทำได้แค่ปล่อยเลยตามเลย กระทั่งเวลาผ่านไปอีกตั้งไม่รู้กี่นาทีแล้ว
"นี่"
เสียงเดิมร้องท้วงอีกครั้ง
"หือ?"
"พี่เมื่อย"
"แต่ผมยังนี่นา" เขาดื้อ
"ลุกก่อน"
"จะโกงผมหรือ"
"จะให้จูบที่อื่น"
เขาชะงัก ลอบยิ้มมุมปาก ถามเสียงใสซื่อ
"ที่ไหน?"
ว่าแล้วก็ดูดเม้มผิวเนื้อที่ต้นคอนั้นไว้อย่างกับจะถือเป็นตัวประกัน ส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่าหากสิ่งแลกเปลี่ยนไม่คุ้มค่าพอ ก็คงต้องอยู่ท่านี้กันไปอีกสักพักใหญ่
รุ่นพี่เงียบไปเกือบนาที จากนั้นถอนหายใจยาวอย่างยอมจำนน ก้มลงกระซิบแผ่วข้างขมับเขา
"ทั้งตัว"
- 11 -
รอยสักรูปปีกผีเสื้อของรุ่นพี่อยู่บนสะบักข้างซ้าย
มีแค่ข้างซ้ายข้างเดียว
เขาถอดเสื้อ หันหลังให้กระจก เอี้ยวคอมองภาพแผ่นหลังของตัวเองที่สะท้อนบนนั้น พลางเปิดรูปถ่ายปีกผีเสื้อสีน้ำเงินของอีกคนหนึ่งที่แอบถ่ายเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือเพื่อเปรียบเทียบ
ปีกที่สะบักขวาของเขายังมีสะเก็ดสีแดง ๆ อยู่ ด้วยเป็นรอยสักใหม่ แต่พอมองเห็นลวดลายที่ราวกับเป็นพิมพ์เดียวกันกับภาพในมือถือ ช่างสักฝีมือดีทีเดียว
แผลยังเจ็บ ๆ คัน ๆ แต่หากคิดว่าเป็นขั้นตอนก่อนจะออกจากดักแด้เป็นผีเสื้อ ก็นับว่าคุ้มค่าอยู่
เขาสวมเสื้อกลับ ยิ้มกว้างกับตัวเอง ตั้งใจรอให้สะเก็ดหลุดออกหมดก่อน จะไปอวดปีกผีเสื้อสีน้ำเงินที่เข้าคู่กันให้เจ้าตัวดู
- 12 -
"ปีกของพี่อยู่ข้างซ้าย ปีกของผมอยู่ข้างขวา แบบนี้ดีไหม"
"อืม"
เขาไม่แน่ใจนักว่า 'อืม' ของรุ่นพี่หมายถึงอะไร
หมายถึงการที่พวกเขามีรอยสักรูปปีกผีเสื้อคนละข้างเป็นเรื่องดี หรือการที่ร่างกายพวกเขาเกี่ยวกระหวัดกันเช่นนี้เป็นเรื่องดี
...อาจจะทั้งสองอย่าง...
เนื้อแนบเนื้อ แผ่นหลังแนบแผ่นอก
เขาขยับตัวกระชั้น บดเบียดให้ลึกลงอีก
ไม่กล้าคิดถึงเรื่องจิตวิญญาณ แต่ราวกับสิ่งนั้นกำลังหลอมละลายเป็นหนึ่งเนื้อเดียว
เหมือนเสียงดนตรีที่สอดประสาน...เหมือนบทกวีที่คล้องจอง
ปีกสีน้ำเงินทั้งสองสั่นไหว...คล้ายโบยบินไปพร้อมกัน
- 13 -
“ทำไมพี่ผอมจัง”
อีกฝ่ายไม่ตอบ เหลียวมองเขาด้วยสีหน้าอิดโรย จากนั้นเบือนหน้ากลับไปหลับตาอีกหน นิ่งไปทั้งที่ร่างกายยังเปล่าเปลือยโดยไม่คิดหาอะไรมาปกปิดไว้ก่อน
“ทำครั้งเดียวเอง หมดแรงแล้ว?” เขายังกระเซ้าต่อ ทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ ตะแคงมองใบหน้านิ่งสงบในระยะใกล้ชิด “เมื่อคืนเวรยุ่งเหรอ?”
ตาโหลกว่าเดิม แก้มก็ดูคล้ายจะตอบลงนิดหน่อย
เขาไล้ปลายนิ้วไปบนผิวแก้มรุ่นพี่ รู้หรอกว่าง่วง แต่ก็อดกวนไม่ได้
“นี่..”
“อืม”
“เมื่อไหร่เราจะไปสวนผีเสื้อกันล่ะ”
ฝ่ายนั้นผงกศีรษะขึ้น มองเลยเขาไปยังปฏิทินบนโต๊ะ
“พรุ่งนี้แล้วกัน”
เขาพยักหน้ารับ เริงร่าขึ้นมาทันที ยื่นหน้าไปงับเบา ๆ ที่ปลายจมูกรุ่นพี่อย่างแสนมันเขี้ยว
ที่มุมหนึ่งจากหางตา เพิ่งเห็นว่ามีกรอบใส่ผีเสื้อสตัฟฟ์ไว้จำนวนหนึ่ง เรียงรายอยู่ตามผนังอีกฝั่งของห้อง บ้างแขวนไว้ บ้างวางพิงผนังอยู่กับพื้น แม้ดูว่ามีหลากสี แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกที่มีปีกสีน้ำเงิน ไม่ยักรู้ว่ารุ่นพี่เก็บของพวกนี้ไว้เต็มห้องตั้งแต่เมื่อไร แต่จะขอคิดเข้าข้างตัวเองสักหน่อย ว่าคงเป็นเพราะเห็นเขาชอบเลยหามาเก็บไว้ก็แล้วกัน
สวยจริง ๆ นั่นละ
ผีเสื้อปีกสีน้ำเงินแสนสวย ต่อให้กลายเป็นเพียงซากศพก็ยังคงความงดงาม
เขาเบือนสายตากลับมายังปีกสีน้ำเงินบนแผ่นหลังรุ่นพี่ จับจ้องอยู่เนิ่นนาน
ราวกับมีแรงดึงดูดลึกลับให้โน้มตัวลง จูบแล้วจูบเล่าบนปีกข้างนั้นไม่รู้หน่าย
- 14 -
ปีกผีเสื้อข้างหนึ่งร่วงอยู่บนพื้น ส่วนตัวของมันไม่อยู่แล้ว
มันอาจถึงแก่อายุขัย หรือไม่ก็อาจถูกเด็ดปีก เหมือนดังความรักของเด็กไม่รู้จักโตบางคน ที่หากบอกว่ารัก อาจหมายความถึงรักจนอยากเด็ดปีกทิ้งด้วยมือตัวเอง
เขาก้มลงมองปีกข้างนั้นด้วยความรู้สึกปั่นป่วนยากอธิบาย
“ไปกันเถอะ” รุ่นพี่เรียกเขาที่ยืนเหม่อ “ซื้อบัตรมาแล้ว”
เขาพยักหน้า เอื้อมไปกุมมือฝ่ายนั้นไว้ในมือตัวเอง เดินเคียงข้างกันผ่านประตูเข้าไปในสวนผีเสื้อ
แน่นอนว่าเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก แต่คุ้นเคยเหลือเกิน
เขากระชับนิ้วมือ เหลียวมองคนข้างกาย
ใบหน้าอีกฝ่ายซีดเซียว แต่ยังงดงามอยู่เสมอสำหรับเขา
เหมือนอย่างผีเสื้อสตัฟฟ์ หรือปีกผีเสื้อบนพื้นที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา
ต่อให้เหลือเพียงซาก ก็ยังสวยงามจนอยากเป็นเจ้าของ
- 15 -
กลับถึงหอ รุ่นพี่โยนหางบัตรจากสวนผีเสื้อลงลิ้นชัก
เขาชะโงกมองตาม เห็นหางบัตรจำนวนมากกองอยู่ในนั้น ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“พี่เคยไปหลายครั้งแล้วหรอกหรือ?”
รุ่นพี่หันกลับมามองเขานิ่ง ครู่ใหญ่กว่าจะตอบ
“อืม”
“ไม่เห็นชวน!” เขาตัดพ้อ แสร้งทำเสียงน้อยอกน้อยใจ
ฝ่ายนั้นพ่นลมออกทางปาก ช้อนสายตามองเขา อุบอิบด้วยเสียงเบาหวิว “ไปเซอร์เวย์ก่อนพานายไปไง”
แก้มซีด ๆ ขึ้นสีแดงบางเบา ขณะเจ้าตัวหันไปแขวนกรอบผีเสื้อสตัฟฟ์ตัวใหม่ที่เพิ่งได้มาเพิ่มไว้บนผนัง เป็นผีเสื้อ
Papilio ulysses ตัวโต ปีกสีน้ำเงินกางแผ่เหมือนกำลังโบยบินอยู่บนพื้นขาว ข้างกับ Blue
Morpho didius ที่คลี่ปีกรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
เป็นซากที่สวยสมบูรณ์มาก หากเป็นเวลาปกติ เขาคงยืนจ้องอยู่นิ่ง ๆ ได้เป็นนานสองนาน แต่ตอนนี้กลับถูกคนที่กำลังแขวนมันกับผนังดึงความสนใจไปจนหมด
เขาก้าวเข้าไปกอดรุ่นพี่ไว้จากด้านหลัง สอดมือเข้าใต้วงแขนอีกฝ่าย ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเจ้าตัวทีละเม็ดแล้วเปลื้องมันลงมากองกับพื้น
รอยสักที่เขาหลงรักปรากฏแก่สายตา
แวบหนึ่ง...เกิดนึกถึงซากปีกผีเสื้อที่ร่วงลงบนพื้น
เขาอ้าปาก ฝังเขี้ยวลงไป แสดงความเป็นเจ้าของ
- 16 -
เพราะรุ่นพี่อยู่คนเดียวในห้องพักนี้ เขาจึงมานอนด้วยได้โดยสะดวก จะกลางวันหรือกลางคืนก็เข้าออกเสมือนหนึ่งเป็นเจ้าของห้อง
รู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นผู้ร่วมอาศัยกันไปแล้ว
“อรุณสวัสดิ์” เขาส่งเสียงปลุกริมหูอีกฝ่ายในสายวันหนึ่ง ทว่าไร้การตอบสนอง
“พี่?” ลองเรียกซ้ำ ขบเม้มเบา ๆ ที่ติ่งหู เมื่อยังนิ่งอยู่ มือก็ค่อย ๆ ปัดป่ายไปใต้ชายเสื้อ ล้วงขึ้นมาตามแผ่นอกอย่างจงใจก่อกวน
ทว่านิ่งเหลือเกิน...นิ่งเกินไป
หัวใจยังเต้นให้สัมผัสได้อยู่ใต้ฝ่ามือ แต่ผิวกายนั้นเย็นเฉียบ
หากไม่ใช่เพราะยังหายใจสม่ำเสมอ หัวใจยังบีบตัวเป็นจังหวะ อาจคิดว่าเป็นแค่ร่างไร้วิญญาณเหมือนกับบรรดาซากผีเสื้อบนผนัง
เขาฉุกใจ ย้ายมือมาเปิดเปลือกตาอีกฝ่าย
รูม่านตาหดเหลือเล็กจ้อย เหมือนหัวเข็มหมุดที่ปักตรึงบนหลังแมลง
- 17 -
นับจากเหตุการณ์นั้น รุ่นพี่ต้องนอนโรงพยาบาลอีกหลายวัน
มันเป็นตลกร้ายอยู่เหมือนกัน เมื่อปกติทำงานในโรงพยาบาล พักในหอพักของโรงพยาบาล ก็คล้ายจะเรียกเป็นมุกตลกว่านอนโรงพยาบาลอยู่เป็นปี ๆ แล้ว แต่นอนในที่นี้คือนอนจริง ๆ นอนในฐานะคนป่วย
“สงสัยจะเผลอกินยาเกินขนาด ลืมไปว่ากินแล้วเลยกินอีก”
คำแก้ตัวไม่สมกับเป็นหมอเอาเสียเลย
เขานั่งเท้าคางอยู่ข้างเตียง จ้องมองดวงหน้านิ่งสงบของรุ่นพี่แล้วก็ได้แต่ถอนใจเฮือก
“ต้องกินยาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่อง”
“นายเคยรู้ แต่ลืมเองไม่ใช่หรือไง” น้ำเสียงอย่างกับจะตัดพ้อ ไม่ยักรู้ว่ารุ่นพี่ที่แสนเคร่งขรึมของเขาทำเสียงอย่างนี้เป็นเหมือนกัน จะน่ารักเกินไปแล้ว
“เปล่าลืมเสียหน่อย” เขาเถียง มองซองยาเปล่า ๆ บนโต๊ะข้างเตียงคนป่วย เป็นยากลุ่มที่ออกฤทธิ์กล่อมประสาท มีผลทำให้ง่วงซึม แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ารุ่นพี่มีปัญหาจนต้องกินยาพวกนั้น “พี่ปรึกษาอาจารย์แล้วใช่ไหม”
“อือ”
“อาจารย์ว่าไง”
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
อยากจะเชื่ออยู่หรอก แต่หน้าตาไม่เห็นเหมือนคน ‘ไม่เป็นอะไรมาก’ สักนิด
“ปากแข็ง” เขาว่า พลางลุกขึ้นยืน ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“ไม่นี่” คนคนนั้นค้าน สีหน้านิ่งสงบ แต่พวงแก้มเริ่มมีสีเลือดฝาดแต่งแต้ม
“ไหนพิสูจน์?”
ครั้นเขาขยับเข้าไปใกล้อีก ดวงตาคู่นั้นก็ปรือลงช้า ๆ จนปิดสนิท
กลีบปากแนบกันแผ่วเบา
อันที่จริง...อาจไม่ได้ปากแข็งเท่าไร
ก็นิ่มดีนี่นะ
- 18 -
เสียงเคาะยังจบลงไม่ทันถึงวินาที ประตูห้องผู้ป่วยก็เปิดผาง
บรรดารุ่นพี่รุ่นน้องยกโขยงเข้ามากลุ่มใหญ่ ส่งเสียงอึกทึก ล้อมหน้าล้อมหลังเตียงของรุ่นพี่ พูดคุยกันประหนึ่งไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
โมโหอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน แต่ต้องอดทนไว้ ขืนอาละวาดออกไป มีแต่จะทำให้ฝ่ายนั้นลำบากใจเปล่า ๆ
ทว่าถึงจะบอกตัวเองอย่างนั้น ก็ห้ามความรู้สึกยากอยู่เหมือนกัน ดังนั้นจะว่าตั้งใจก็อาจใช่ จึงได้ปัดแก้วน้ำด้านหลังหล่นลงกระแทกพื้น
เสียง ‘เพล้ง!’ ดึงให้ทั้งห้องเงียบกริบไปครู่หนึ่ง สายตาทุกคู่เพ่งมายังเศษแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยและน้ำซึ่งเจิ่งนองบนพื้น
“...มึง...” รุ่นพี่อีกคนหนึ่งที่มาเยี่ยมส่งเสียงหวาด ๆ หันหน้ากลับไปมองคนบนเตียง เสี้ยวหน้าที่เห็นด้านข้างขาวซีดเสียยิ่งกว่าคนป่วย ใครอีกคนหนึ่งเดินมาเก็บเศษแก้วด้วยมือสั่นเทา พลางเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง
“ง่วงแล้ว” รุ่นพี่ของเขาเอ่ยเสียงเรียบเป็นเชิงตัดบท “ขอบใจที่มาเยี่ยม พวกนายก็ไปพักเถอะ”
ไม่มีใครคัดค้าน ทุกคนทยอยเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบผิดกับขามา
- 19 -
ประตูปิดลง ฟ้าด้านนอกมืดสนิท
“อย่างอแงสิ” อีกฝ่ายว่า เมื่อในห้องเหลือเพียงพวกเขา
“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“แล้วที่แก้วแตกนั่นล่ะ?”
เขาเถียงไม่ออก เลยยักไหล่แทน จากนั้นเดินเข้าไปอ้อน ก้มลงกอดอีกฝ่ายไว้ทั้งตัว ทิ้งน้ำหนักลงบนอกรุ่นพี่อย่างไม่เจียมว่าตนเองตัวใหญ่กว่าอีกฝ่ายเสียอีก
“ก็พี่มัวแต่สนใจคนอื่น”
ว่าพลางรัดแขนแน่นขึ้นอีก
“...พี่อึดอัด”
“อึดอัดให้ตายไปเลย” เขาว่าทีเล่นทีจริง ตั้งใจว่าจะแช่อยู่ท่านั้นอีกสักชั่วโมงให้รู้แล้วรู้รอด
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v
v