บทที่ 58 # Belove เดท! แรก ..... ...ไอติมกะทิ,น้ำโพลาลิตร,หิ่งห้อย
....หลังจบ Blue Saturday ผ่านมา Monday ชีวิตมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดนัก
เมื่อวานบัพกลับมานอนที่บ้านแล้ว เราแยกห้องนอนกันเหมือนเดิม แต่ขนาดนั้นคุณปาลาดินทร์ก็ยังอารมณ์เสีย ยิ่งตอนรู้ว่า บัพถอนหมั่นกับ โฟร์ท คุณปาลาดินทร์ ถึงกับลุกออกไปจากห้อง ผมได้แต่มองตามหลังผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘พ่อ’ ตั้งแต่เจอหน้ากัน ผมยังไม่เคยคุยกับ คุณปาลาดินทร์ ซักครั้งบรรยากาศมันอึมครึม ไม่เห็นเหมือนคนเป็นพ่อเป็นลูกกันสักนิด ผมเลยหลบไปอ้อนป้านิ่มที่แปลงดอกไม้ ฟังป้านิ่มเล่าถึงรู้ว่าการหมั่นหมายของครอบครัวนี้ มันโยงไปถึงเรื่องธุรกิจด้วย ผมเลยถึงบ้างอ้อ เลียบๆเคียงๆ ถามเรื่อง พระแพง
ป้านิ่มมองหน้าผมนานก่อนจะบอกว่า เธอเป็นคู่หมั่นผม....
หมั่นกันตั้งแต่เด็ก ..ครอบครัวของพระแพงทำธุรกิจบางอย่างอยู่ที่ ญี่ปุ่น ....บลาๆๆ ผมไม่รับรู้อะไรแล้ว ตั้งแต่ประโยคที่ว่า
‘พระแพงเป็นคู่หมั่น ตรินทร์ ???’
พอรู้เรื่องนี้ผมก็สมองโล่งไปเลย....ก็คุ้นๆอยู่นะว่า ตรินทร์ มีคู่หมั่น แต่ไม่คิดว่าจะเป็นพระแพง..เหมือนกับเจอของถูกใจแล้วมันติดป้ายว่า มีเจ้าของจองแล้ว..แถมคนที่จอง ยังเป็นคนที่ผมแย่งไม่ได้อีก....พระแพง...เป็นของ ตรินทร์ ... เล่นเอาผมนอนไม่หลับกับประโยคนั้น...พระแพง เป็น ของตรินทร์ ... ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว ที่เพิ่งเจอกันไม่นาน แต่ทำไมทำผมนอนไม่หลับทั้งคืน...
มาที่มหาลัยฯ แต่เช้าพร้อมบัพ..
ผมนั่งที่เบาะหลังเพราะเหมือนมันติดอยู่ในใจว่า...เบาะหน้านั่นเป็นของ ตรินทร์.....
อะไรๆก็เป็นของตรินทร์ทั้งนั้น !!! อารมณ์ผมเริ่มไม่เสถียรอีกแล้ว.. ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือต้องเรียนที่คณะบริหารคนเดียว..ผ่านมาครึ่งวันผมยังไม่เห็นอะตรอมเลย ทั้งๆที่นัดกันไว้แล้วว่าวันนี้จะลงซ้อมบาสด้วยกัน โทรไปก็ไม่ติด...แถมยังไม่ติดต่อมาอีกต่างหาก..หวังว่าคงไม่ได้โดนเรียกกลับบ้านใหญ่อีกหรอกนะ ตามที่ไหนก็ตามได้แต่ให้ไปตามที่บ้านใหญ่ของอะตรอม ผมขอบาย...ตอนนี้ยังผวาทุกครั้งที่คิดถึง มานั่งชิวลมอยู่คณะวิศวะ พวกไอ้เรดได้ฤกษ์สอบเก็บคะแนนมหาโหด ผมที่ดันเรียน บริหารเลยต้องมานั่งรอพวกมันจะว่าไปแถวนี้ก็ไม่มีสาวๆให้มองฆ่าเวลามากนัก หนักไปทางออกสาวกับสาวแต่ไม่ค่อยสวย .....ต่อมฮอร์โมนผมท่าจะฝ่อแล้วมั้ง...มองไปทางไหนก็ไม่มีอะไรจรรณโลงใจเลย แล้วเมื่อไหร่พวกไอ้เรดจะลงมาจากตึกว่ะ
“ พี่ชาย!!! ”
เสียงนี้...ประโยคแบบนี้...ผมแทบไม่ต้องเดาเลย.... คนที่ทำผมนอนไม่หลับทั้งคืน...
.... ‘พระแพง’ ...
ผมยาวสีดำสนิทรวบเป็นมวยผม แซมด้วยดอกปีบ สามสี่ดอก...เสื้อสีขาวมุกตัดกับกระโปรงสีเขียวอ่อน ดูสบายตา ทั้งเรียบร้อยทั้งน่ารัก ผมชอบผู้หญิงสไตล์นี้จัง ถึงรู้ว่าไม่สมควรแต่หัวใจกับร่างกายมันไม่ยอมฟังผมซะงั้น...ยิ้มนี้ส่งออกไปรับพระแพงก่อนที่ขาจะก้าวไปหาร่างบางนั้นเสียอีก ...ท่าจะเป็นเอามาก
“มาทำอะไรที่นี่ค่ะ?”
“คิดถึงพี่ชายค่ะ...เลยขอคุณปาลาดินทร์มาหาพี่ชาย...รบกวนรึเปล่าคะ”
รอยยิ้มหวานๆ ที่ส่งมาพร้อมคำตอบเล่นเอาหัวใจผมกระตุก...ทำไมผมไม่เจอเธอก่อนหน้านี้นะ ...
ก่อนหน้าที่เธอจะเป็นของตรินทร์ ก่อนหน้าที่อะไรๆ มันจะมาจบอย่างนี้ ...
“พี่ชายขา....พระแพง อยากทานไอศกรีม...”
เสียงอ้อนๆกับตากลมๆ สะกดผมอย่างจัง รู้สึกตัวอีกทีผมก็เดินจูงมือนิ่มข้ามถนน เรียกแท็กซี่ ซะแล้ว ในแท็กซี่... มือผมก็ยังไม่ยอมปล่อยมือพระแพง เหมือนมันล็อคกันไว้ด้วยแม่กุญแจ...กลิ่นหอมเย็นของดอกปีบ ส่งกลิ่นจางๆ แต่อวนไปทั้งหัวใจ ผมไม่อยากปล่อยมือนี้เลยจริงๆ.... ว่าจะมาร้านไอศกรีมแต่สุดท้ายผมกลับพาเธอไปนั่งเล่นที่ ป้อมท่าพระอาทิตย์...ไอติมกะทิถ้วยใหญ่จากร้านรถเข็นที่แบ่งกันทานหวาน...เย็นไปถึงหัวใจ...ขวดน้ำเปล่าที่เพิ่งซื้อมา แค่อึกเดียวก็สดชื่น ...
แสงแดดไม่ได้แรงจนเกินไป อากาศก็ดีเพราะนอกจากจะใกล้ริมน้ำแล้วยังมีต้นไม้เป็นร่มเงา บันไดปูนขั้นใหญ่ที่เรานั่งเล่นด้วยกันอย่างไม่กลัวเลอะ เสียงหัวเราะใสๆที่ดังขึ้นทุกครั้งจากมุขที่เล่นเองตบเอง แถมบางมุขของเรายังแป็กได้โล่....นั่งไปได้สักพัก สัตว์คุ้มครองตัวเขื่องก็เริ่มจะขึ้นมาทักทาย มันเริ่มจากปีนหินขึ้นมาจากน้ำแล้ว ค่อยๆคลานขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้...พระแพงจับมือผมไว้แน่น...ดวงตากลมๆ ฉายแวววิบวับ มองผมสลับกับมองเจ้าสัตว์เลื้อยคลานนั้นเหมือนทั้งอยากรู้ อยากเห็น แต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆ เพราะผมยังยึดมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย
“พระแพง อยากลองลูบหัวมันจัง...พี่ชายมันจะกัดไหมพี่ชาย?”
ผมแทบสำลักน้ำเปล่า ...ผู้หญิงที่ไหนเขาอยากเล่นกับไอ้ตัวนั้นบ้าง?!! แต่ก็ได้แค่คิด...พระแพงทำท่าจะลุกเดินไปหามัน !! เฮ้ย!! ผมดึงมือเล็กนั้นไว้แล้วส่งสายตาดุๆให้เด็กสาวจอมซน ... ความรู้จากรายการสารคดี สัตว์โลกที่เคยดูเห็นทีต้องเอามาใช้ก็คราวนี้ ยังสงสัย ที่ญี่ปุ่น ไม่มี ไอ้ตัวแบบนี้บ้างหรอ?
“ชื่อภาษาไทยเรียก ตัวเงินตัวทอง หรือ ตัวเหี้ย ค่ะ คนไทยจัดว่าเจ้าตัวนี้เป็นตัวซวย เพราะมันกินได้อย่างล้างผลาญมากมายค่ะ อย่างบ่อปลาตากลม ถ้ามีเจ้าตัวนี้ลงไปมันกินปลาหมดทั้งบ่อ ไก่กุ๊กๆมันก็ลากไปทานได้ ส่วนลูกหมาหรือแมวเหมียว ถ้ามันเจอมันก็ลากไปกินได้เหมือนกัน พระแพงเห็นหางมันไหมคะ อันนั้นใช้ฟาดใส่ เหมือนจระเข้ ส่วนปากมันก็มีแต่เชื้อโรค.. ฉะนั้น..ห้ามเล่นกับมันค่ะ...ห้ามลูบหัวด้วยค่ะ ...ไม่ต้องแม้แต่จะคิดเดินไปใกล้ด้วยค่ะ..นั่งนิ่งๆ ..ทำได้ไหมค่ะ?”
เด็กน้อยของผม เม้มปากแน่นแถมทำแก้มป่องได้ น่ารักโฮก เห็นแล้วน่าหยิกชะมัด หมดความสนใจจากสัตว์สงวนตัวเขื่อง เมื่อไอ้ตัวนั้นมันคลานลงน้ำไปแล้ว โผล่ไปเกาะที่ต้นไม้ใหญ่ ผมชี้ให้พระแพงดู ต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ข้างหน้า
“ต้นลำพู ค่ะ เขาว่าต้นนี้เป็นต้นสุดท้ายของบางลำพู ”
“เอาไว้ทำอะไรคะ?”
“เอาไว้ให้หิ่งห้อยเกาะ...มั้ง?”
“หิ่งห้อย?”
“ไอ้ตัวที่ตอนกลางคืน มันบินส่องแสงแวบๆอะค่ะ”
“แล้วคืนนี้จะมีไหมคะ? ถ้าเรานั่งรออยู่อย่างนี้ เราจะเห็นไหมคะ?”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน...ไม่เคยนั่งรอจนเห็นหิ่งห้อยสักที”
“พระแพงอยากเห็น”
“ไว้ว่างๆพี่ พาไปดูที่อัมพวา...ที่นั่นมีเยอะ ”
“เขาว่าหิ่งห้อยเป็นวิญญาณคนตาย...แล้วถ้าหิ่งห้อยตาย ...มันจะกลายเป็นดวงดาว”
เสียงใสของพระแพงเริ่มจะเบาลงเมื่อเอ่ยประโยคนั้น..
“พระแพงรู้เรื่อง ‘คู่กรรม’ ไหมคะ? นิยายของไทย นายทหารญี่ปุ่นรักสาวไทย ในตอนที่เขากำลังจะตาย เขาบอกคนรักว่า เขาจะกลายเป็นหิ่งห้อยไปรอเธอที่ทางช้างเผือก เศร้าดีเนอะ ...”
ผมเล่าเรื่องที่พอรู้มาบ้างให้ พระแพงฟัง ริมฝีปากอิ่มสีสดเม้มเข้าหากัน ดวงตากลมโตจดจ้องไปที่ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า มือนิ่มบีบมือผมแน่น จนมันเริ่มจะร้อน
“พระแพงมีเรื่องเศร้ากว่านี้อีกค่ะ...ผู้หญิงชาวไทยนั่นยังดีที่รู้ว่าคนรักเธอจะรอเธอบนท้องฟ้า...แต่เรื่องเศร้าของพระแพง...ผู้หญิงในเรื่องนั้นไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไม่มีคำพูดสุดท้าย ไม่มีสัญญาที่ให้กัน ไม่มีแม้แต่ดวงวิญญาณให้เฝ้ารอ ....ถ้าพระแพงเป็น ผู้หญิงไทยคนนั้น พระแพงคงดีใจที่รู้ว่าเขายังรอ...ขอแค่นั้นก็พอ...แค่เพียงบอกว่าจะรอ...ขอแค่นั้นก็พอ...”
เสียงใสเริ่มจะสั่น หลังจากนั้นก็เป็นผมที่ต้องโอบร่างบางนั้นมาซบไว้กับอก พระแพงได้แต่สะอื้นไห้น้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด...นิยายของญี่ปุ่นมันมีเรื่องเศร้าแบบนี้ด้วยเหรอ ?
..............
.........................
...
ผมนั่งกอดพระแพงไว้ เกือบสองชั่วโมงที่พระแพงร้องไห้ไม่หยุด ดวงตากลมบนหน้าหวานเริ่มจะช้ำแดงเพราะผ่านการร้องไห้แบบมารทอน ผมยื่นขวดน้ำที่ผมเก็บไว้ให้แม่กระต่ายตาแดงก็ยกดื่มแบบไม่เกรงใจประชาชน จนสำลัก ผมได้แต่ลูบแผ่นหลังให้เธอ มองเด็กสาวตรงหน้าแล้วผมอดอมยิ้มไม่ได้ เธอน่ารักได้อย่างไม่ต้องเสริมแต่ง....ต่อมอิจฉา ตรินทร์ของผมเริ่มจะโต
ขึ้นอีกแล้วสิ...
“หิวหรือยังคะ?”
ผมถามพร้อมเกลี่ยนิ้วปาดคราบน้ำตาที่ยังติดวงหน้านวล พระแพงไม่ได้ขาว หมวย แต่สีผิวของเธอออกจะเป็นสีนวลแปลก โดยรวมแล้วมันก็ดูดี สีแบบนี้รึเปล่าที่โบราณเขาว่า สีกลีบบัว?
“พี่ชายมองอะไร คะ? พระแพงหิวแล้ว...”
มัวแต่มองผิวเนียนๆ จนเจ้าของเขาเอ่ยทัก...แต่ผมก็ยังอดสงสัยไม่ได้จนหลุดเอ่ยปากถาม
“พระแพง..ผิวสีแปลกดีนะคะ”
วงแขนเนียนโอบคล้องเข้ากับแขนผม เจ้าของรอยยิ้มหวานกับตากลมสีแดงที่เพิ่งผ่านการร้องไห้ เงยหน้าจ้องผมอย่างไม่วางตา ครั้งแรกนะที่มีผู้หญิงมาจ้องอย่างนี้ ปกติเคยแต่จ้องชาวบ้านเขา
“สีแปลก...แต่พี่ชายก็ชอบนิคะ ...หรือไม่จริง?”
“...”
กับเธอคนนี้บอกได้ตามตรง....ผมแพ้ทางจริงๆ
“พระแพงอยากทาน สปาเก็ตตี้ ”
ผมหันไปตามเสียงอ้อน ...เอ๋? อย่างกับพระแพงรู้เลยว่าผมคิดอะไร ...
“พี่ก็กำลังจะพาไปทาน สปาเก็ตตี้ ค่ะ...แต่เป็นสปาเก็ตตี้ไก่นะ..ที่ข้าวสารมีร้านอร่อยอยู่ร้านนึง แต่ตามธรรมเนียมต้องทาน จานเดียวแต่สองคนนะ...ไหวรึเปล่า”
“ไหวเจ้าค่ะ!!”
พระแพงยิ้มรับแล้วไถหัวทุยๆกับต้นแขนผม ....น่ารักเกินไปแล้ว.....
..............
............................
..ถ้ามีแฟนผมก็อยากมีแฟนแบบนี้นะ มีแล้วสุขใจ เป็นแฟนกันมันก็ต้องอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ อยู่ด้วยกันแล้วเย็นใจ ....ถ้ามีผู้หญิงสักคนที่ผมจะแต่งงานด้วย ก็พระแพงนี้ล่ะ...
...แต่คงไม่ได้สินะ...
เพราะพระแพงหน่ะ เป็นของ ตรินทร์ผมเคยขอให้บัพเป็นพ่อแล้วให้ ตรินทร์ เป็นแม่ ....ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ มีพ่อที่อบอุ่นได้อย่างบัพ แถมเจ้าชู้เงียบได้อย่างไร้ร่องรอย ถ้าวันนั้นไอ้คิงส์ไม่พาไปเจอหลักฐานผมก็คงคิดว่าบัพซื่อ(บื้อ)อยู่อย่างนั้น...น่าคารวะมาเป็นตัวพ่อจริงๆ แต่ถึงยังงั้นมองตาก็รู้ว่า บัพ ห่วงตรินทร์ รักตรินทร์ ขนาดไหน แล้วถ้าได้แม่อย่างตรินทร์ ครอบครัวผมคงมีความสุข คงเป็นตรินทร์คนเดียวที่คุมบัพอยู่ มือหนักขนาด ให้ตัวพ่อแค่ไหนก็อยู่มือหล่ะน่า.....
....แต่ก็แค่นั้นถึงขอไป...แล้วยังไง...ถึงอยากให้เป็น แต่ผมจะทำอะไรได้
....แค่ชีวิตของตัวเองยังไม่มีกับเขาเลย ...สักวันที่ตรินทร์กลับมา....
แม้แต่มือของพระแพงที่ผมกุมอยู่นี่ ผมก็ต้องคืนให้ตรินทร์ .... พระแพง เป็นของ ตรินทร์ ..
..............
............................
“มีอะไรคะพี่ชาย?”
คิดแล้วผมก็เผลอกระชับมือนิ่มที่กุมไว้ จนพระแพงหันมาถาม รอยยิ้ม กับ คำหวานๆเพราะๆ ของพระแพง ผมขอเก็บไว้ก่อนได้ไหม ...
“เปล่าค่ะ แค่พี่หิวแล้ว เดินอีกนิดนึง ก็ถึงแล้ว สปาเก็ตตี้ไก่...”
..............
............................
.......ไอ้คิงส์บอกห้ามเข้าไปที่คลับมัน คลับใบไม้ ของพี่นพก็ด้วย ....
....
..
.....งั้นแค่แวะหาอะไรทานที่ D-คลับ คงไม่เป็นไรมั้ง ? แล้วทำไมต้องห้ามด้วย....อะไรของมัน ?