Chapter 17
ธีรนัยยังคงจับจ้องลูกพี่ลูกน้องและอดีตผู้ช่วยคนสนิทอย่างปัถย์ด้วยความริษยาที่กัดกินอยู่ในใจของเขามาตลอดชั่วชีวิต
ทำไมว่ะ! คนอย่างไอ้เอรีสถึงได้ทุกอย่างที่ดีไปจนหมด
คนที่รายล้อมตัวมันล้วนแต่เป็นพวกหัวกะทิ พนักงานเกินครึ่งก็จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง หลายคนก็เป็นตัวท็อปในรุ่น หรือไม่ก็พวกติดอันดับเกียรตินิยม
ดูอย่างปัถย์สิ คนที่เก่งและทุ่มเท จนคนในวงการก่อสร้างไม่มีใครไม่รู้กิติศัพท์ของผู้ช่วยคนนี้
ปัถย์ไม่ทำตัวอย่างพนักงานกินเงินเดือน แต่ผู้ชายคนนั้นทำเสมือนว่าเบอร์ตันกรุ๊ปเป็นครอบครัว เป็นบ้านที่ต้องรักษาและดูแลให้ดีที่สุด
ปัถย์นับว่าฉลาดในการวางตัวเขาคอยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกบริษัทตั้งอต่คู่ค้าตลอดจนถึงบริษัทคู่แข่ง ถ้าเอรีสถนัดเล่นบทนักธุรกิจเคี้ยวลากดินมีชั้นเชิง ปัถย์ก็จะเล่นบนในด้านตรงกันข้ามเพื่อให้เกิดมิติหลากหลายในการเจรจา ผู้ช่วยคู่กายคนนั้นจะคอยลดทอนความหยาบกระด้างของเอรีสให้อ่อนดีกรีลง
ยามเอรีสแข็งกร้าว ปัถย์จะเล่นบทคนหยอดน้ำผึ้งลงในยาขม เทียวแจกยาหอมทีละน้อยๆ จนอีกฝ่ายอาจคิดว่าตนได้ประโยชน์ทั้งที่จริงแล้วอาจไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย
ว่ากันว่าเคยมีหลายบริษัททาบทามปัถย์และให้ข้อเสนอที่ดีกว่าแต่รายนั้นก็ไม่ไป ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานเสมือนทาสผู้จงรักกับเบอร์ตันกรุ๊ปแบบถวายหัว กระทั่งเมื่อต้นเดือนที่ปัถย์บอกลาเอรีสแบบปุบปับ เขายังรู้สึกสะใจที่ปัถย์ทิ้งมันได้เสียที
ฮึ! แต่ดูเหมือนว่าเขาจะดีใจเก้อเสียแล้ว
นอกจากปัถย์จะไม่ได้บินหนีไปจากเอรีสแล้ว มิหนำซ้ำอาจจะยิ่งแน่นแฟ้นกันยิ่งไปกกว่าเก่าเสียอีกก็ไม่รู้
โธ่เว้ย!
ยิ่งคิดความริษยาก็ยิ่งเพิ่มพูลจนอัดแน่นอยู่ในอก แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักใคร่ใยดีในตัวปัถย์ขั้นหัวปักหัวปำ แต่เขาก็ยังอยากได้ผู้ชายคนนั้นมาไว้ใกล้ๆ ตัวอยู่ดี มันจะดีสักแค่ไหนถ้าคนสักคนจะตอบสนองเขาได้ทั้งเรื่องงานและเรื่องบนเตียง แม้ปัถย์จะพยายามตีตัวออกห่าง ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมให้เอรีสได้ทุกสิ่งทุกอย่างไป
ในเมื่อเขาไม่ได้ คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ โดยเฉพาะมัน
“งานนี้กูจะเอาให้มึงล้มไม่เป็นท่า ถ้ากูทำไม่ได้ อย่าเรียกกูว่าธีรนัย” เจ้าตัวสบถสาบาน กัดฟันกรอดๆ ด้วยไม่อาจระงับความรู้สึกที่คั่งแค้นได้ ยอมแลกทุกอย่างต่อให้เลวทรามเพียงใดแต่ถ้าวิธีการนั้นทำให้เอรีสย่อยยับได้
ธีรนัยกระดกแก้วสีอำพันในมือ อึกใหญ่ให้ความร้อนของสุราแรงๆ หมายดับไฟระอุในอก กระทั่งเสียงทักจากหนึ่งในผู้บริหารโครงการทำให้คนที่กำลังโกรธเกรี้ยวสลัดท่าทางนั้นทิ้ง แล้วหันมายิ้มแทนที่
“คุณธีรนัย เป็นยังไงบ้างครับ ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันนาน” ชายร่างท้วมอายุราวห้าสิบต้นๆ ตบบ่าหนุ่มรุ่นลูกแล้วเอ่ยทัก
“สัวสดีครับ คุณวิเชียร” ธีรนัยยกมือขึ้นพุ่มไหว้คนตรงหน้าอย่างนอบน้อม ซ่อนเร้นดวงตาเจ้าเล่ห์แบบจิ้งจอกไว้อย่าง
มิดชิด “ก็... สบายดีครับ ได้ยินมาว่าช่วงนี้ไปลุยงานที่พม่า ว่าแต่ดีไหมครับ”
“ก็มีติดขัดเรื่องคนในพื้นที่นิดหน่อยแต่ก็พอเคลียกันได้ จะว่าไปผมได้ข่าวเรื่องโครงการคอมเพล็กซ์บนเกาะXXX ว่าทางคุณธีร์ได้ไป ...ปาดหน้าเบอร์ตัน กรุ๊ปมาแบบนี้ไม่ธรรมดานะครับ” รายนั้นยิ่มกริ่มขณะพูออย่างมีนัย
ธีรนัยยิ้มกว้าง สีหน้าภูมิใจกับผลสำเร็จที่ได้ทั้งเงิน ผลงาน และก็ความสะใจอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานหลายปี
เอรีสมันจะได้สำเหนียกตัวเองไว้บ้างว่าไม่ใช่จะได้อะไรมาง่ายๆ ทุกอย่าง เมื่อก่อนเพราะเขาไม่ได้มีทุนมากพอที่จะประมูลงานโครงการใหญ่ แต่ตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างต่างไปเมื่อลอด์จเข้ามา อะไรที่เป็นไปไม่ได้ ก็ง่ายอย่างกับพลิกฝ่ามือ
“ไม่เท่าไรหรอกครับ ผมแค่มีพาร์ทเนอร์ที่ดี กับจังหวะและเวลาที่เหมาะ”
“ลอด์จ อินดัสทรีมาลงทุนในเมืองไทยทีเดียวสะท้านไปทั้งวงการเลยนะครับ ฮึๆ” คู่สนทนาหยิกแกมหยอก
“ไม่ขนาดนั้นหรือกครับคุณวิเชียร เพิ่งได้งานมาชิ้นเดียว”
“ชิ้นเดียวที่ว่าก็ไม่น้อยนะครับนั่น ได้ข่าวว่ารวมงานระบบต่างๆ ในคอมเพล็กด้วยนี่ครับ”
“ครับ ก็ลอด์จถนัดเรื่องงานระบบ อีกอย่าง มิสเตอร์ลอด์จเก็ไม่ยอมให้ตัวเองน้อยหน้าเบอร์ตัน กรุ๊ปอยู่แล้วละครับ”
“เบอร์ตัน กรุ๊ปคงร้อนๆ หนาวๆ มือดีไม่อยู่แล้วด้วย ไม่รู้ทางนั้นปล่อยไปได้ยังไงนะครับ เสียดายแทน อ้อ... ขอตัวก่อนนะครับพอดีมีเรื่องคุยค้างไว้กับคุณวิษณุ”
“เชิญครับ”
เมื่อร่างท้วมของวิเชียรเดินจากไป ธีรนัยก็เหมือนจะนึกอะไรออก เจ้าตัวหยิบโทรศัพท์คู่กายและเริ่มส่งข้อความ ในใจก็รุ่มร้อนไปด้วยความริษยา
‘เรามีเรื่องต้องคุยกัน’
ชั่วไม่กี่วินาทีก็มีข้องความตอบกลับมา
‘ได้’
“ไปเดินเล่นกันไหม เปลี่ยนบรรยากาศ”
เอรีสกระซิบเบาๆ น้ำเสียงอ่อน อาศัยจังหวะเดียวกันนั้นแอบสูดกลิ่นเฉพาะตัวฟอดใหญ่ ใจหนึ่งก็นึกอยากนั่งมองปัถย์ที่อมยิ้มอยู่อย่างนี้ไปตลอดชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า แต่อีกใจก็ยากจะพุ่งออกจากงานสาเหตุจากแขกไม่ได้รับเชิญวนเวียนมาหลายครั้งเกินไป
นับตั้งแต่ช่วงหัวค่ำปัถย์ก็เนื้อหอมเป็นพิเศษ คนในแวดวงบริษัทคู่ค้าแม้กระทั่งคู่แข่ง พอรู้ข่าวว่าปัถย์ได้ลาออกจากเบอร์ตันกรุ๊ป ก็พากันดาหน้าเข้ามาเลียบๆ เคียงๆ ไถ่ถามอดีตผู้ช่วยคนเก่งหมายจะจีบเข้าไปทำงานในบริษัทของตัวเองเสียให้ได้ หลายคนที่ทิ้งนามบัตรไว้ให้ติดต่อกลับภายหลังหากต้องการเจรจาต่อรองค่าตัวกัน...
คิดแล้วก็เดือดปุดๆ นึกหวั่นใจอยู่ครามครัน ถ้าปัถย์เกิดตกลงไปกับสักคนใดคนหนึ่งเขาจะทำยังไง ความหวังที่จะหว่านล้อมให้คนข้างๆ กลับมาทำงานด้วยกันเหมือนเก่าจะไม่ยิ่งริบหนี่ลงไปอีกหรือ
ฮึ่ม! ไม่ได้เกรงใจที่เขานั่งหัวโด่อยู่สักนิด แต่สิ่งที่ทำได้ก็คงเป็นแค่การกัดฟันกรอด ส่งตาขวางไปให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน จนคนพวกนั้นก็ต่างพากันถอยกรูดกันไปทีละคนสองคน เมื่อเจอสายตาอำหิตจิตสังหารที่แสดงชัดแจ้งว่าอย่าได้แหยม...
เอรีสแตะไหล่เบาๆ ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นเพื่อเดินนำไปก่อน ก้มลงมองคนข้างตัวอย่างใส่ใจ ปัถย์ลุกขึ้นเงียบๆ ตอนนี้เขาก็อยากเดินไปยืดเส้นยืดสายอยู่เหมือนกัน
“เมา? หน้าแดงแจ๋เลย ไหวไหม”
คนหล่อหน้าเข้มสำทับความห่วงและหวงออกมาทางน้ำเสียง นึกคันไม้คันมืออยากลูบแก้มแดงซับเลือดขึ้นมาติดหมัด ด้วยกลัวว่าจะโดนงอนใส่อีกเลยยั้งมือไว้ก่อน มีก็เพียงแววตาล้ำลึกที่ส่งกลับไปอีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาลุ่มหลงอีกฝ่ายหนักข้อเข้าทุกวันๆ
“แค่มึนครับ ไม่ถึงกับเมา”
ที่จริงก็ไม่ถึงกับเมา แค่เวลาดื่มทีไรเลือดลมมันจะสูบฉีด หน้าก็เลยแดงกว่าปกติดเท่านั้น แต่ที่น่าจะแดงกว่าปกติเล็กน้อยก็คงเป็นเพราะ อาการเขินนิดๆ เหตุจากเอรีสเอาแต่คลอเคลียแนบชิดเสียจนหายใจหายคอไม่คล่องปอด
“ไม่เมาก็ดีแล้ว เพราะมีที่ที่อยากชวนไปด้วยกัน” เอรีสเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่มกริ่ม ดวงตากก็วาววับติดเจ้าชู้เล็กน้อยพอให้มีเสน่ห์ จนคนที่ถูกกระทำทารุณด้วยสายตาหลบวูบ เสเมยไปตรงโน้นทีตรงนี้ทีด้วยไม่อยากตกหลุมกับแววตาหื่นที่ส่งมาให้แบบไม่เกรงใจคนรอบข้าง
“อย่าเลยครับ ผมว่าเราเดินแค่ใกล้ๆ นี่ล่ะ อีกอย่างนี่ก็ค่ำไปไหยสุ่มสี่สุ่มห้ามันไม่ปลอดภัย”
“แล้วไงล่ะ ไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร”
ที่น่ากลัวก็คุณนี่ล่ะบอส ปัถย์คิดในใจและกรอกตา ส่ายศีรษะให้อีกฝ่ายได้รู้
“ไม่ไกลหรอก แค่ไปในที่เงียบๆ จะได้คุยกัน”
“แถวนี้ก็คุยได้” ปัถย์ชำเลืองหางตา แสร้งบอกด้วยเสียงเฉยเมย
“อยากให้ใครต่อใครได้ยินเรื่องที่ฉันจะพูดไหมล่ะ ถ้านายไม่ติด ฉันก็ไม่...” น้ำเสียงลับคมคมในของเอรีสฟังแล้วสองสองง่าม มือไม้พาลจะลูบที่แขนบ้างที่เอวบ้าง ชวนให้วูบวาบคล้อยไปกับลมหายใจอุ่นๆ และน้ำเสียงกระเส่า
“อย่ามาใช้ไม้นี้นะครับ แล้วก็ออกไปห่างๆ ผมด้วย คนอื่นมองอยู่” ปัถย์ยกมือห้าม และเบี่ยงตัวออก อีกมือก็ผลักอกอีกฝ่ายไว้ต้านไม่ให้เผด็จการอย่างเอรีสรุกไล่เขาไปมากกว่าคำพูด
“สนใจคนอื่นทำ...” เอรีสยักไหล่ “แต่ฉันว่า ถ้าได้ที่เงียบๆ เราจะคุยกันรู้เรื่องกว่า แล้วก็... เข้าอกเข้าใจกันได้ดีกว่านะ” เจ้าตัวก้มลงกระซิบเสียงพร่า จงใจพ่นลมหายใจอุ่นบนต้นคอขาวที่ย่นคอหนีเพราะอาการขนลุกขนชัน มือก็ปะป่ายที่แผ่นหลังอย่างจงใจจนคนที่ถูกชวนจิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“พอเลยครับ พอก่อน...ขอเว้นช่องไว้หายใจบ้างได้ไหม”
“เปล่าสักหน่อย”
“ผมรู้หรอกนะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าคุณชัดมาก เก็บอาการบ้างก็ดีนะครับ”
ปัถย์ดักคอ สีหน้ารู้ทันทุกประโยค ทุกอากับกริยา ดูก็รู้ว่าเอรีสจ้องจะพาตัวเขาออกไปจากตรงนี้ นี่ก็คงเรื่องไม่ดี เรื่องคิดเอาเปรียบกันอยู่ทั้งนั้น นี่รุกหนักจนตั้งหลักแทบไม่ทัน
“ใส่ความ ใช่ที่ไหน” เอรีสปฏิเสธแบบไม่จริงจังนัก แล้วหัวเราะลงลูกคอ
ดวงตาสีอ่อนหวานเชื่อมมองริมฝีปากบางที่เถียงเขาคอเป็นเอ็นใจก็นึกว่าดูน่าเอ็นดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ปัถย์ในท่าทีสบายๆ ไม่เคร่งเครียดจริงจังเรื่องงาน สีหน้าที่ราบเรียบแต่ก็อ่อนโยนทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ แม้ในตอนนี้เบื้องลึกยังมีเรื่องให้คิดและตัดสิ้นใจที่บอกใครไม่ได้อยู่ก็ตาม
คนอะไร... ยิ่งมอง ก็ยิ่งถอนสายตาไม่ได้ ยิ่งเวลาที่ปัถย์ไม่สวมแว่นด้วยแล้วเขาก็ยิ่งดูเด็ก และในเวลาเดียวกันอยากจะน่าฟัดให้จมเขี้ยว ยิ่งใบหน้าที่แดงระเรื่อ ดวงตาปรือฉ่ำด้วยแล้วบอกได้คำเดียวว่าขอกัดสักคำให้สาแก่ใจ...
แต่ความรู้สึกอย่างอารมณ์ดีๆ ขอเอรีสมีอันต้องสลายหายวับไปสิ้นเมื่อเหลือบสายตาไปเห็นใครบางคนที่ส่งรอยยิ้มโอหังมาให้ที่ตน ร่างของผู้ชายคนนั้นเดินใกล้เข้ามา ด้วยมาดจิ้งจอกน่ารังเกียจ วินาทีนั้นรอยยิ้มหยันเย็นชาชาประกฎขึ้นที่มุมปาก เป็นรอยกึ่งดูถูกกึ่งสมเพช
“ดูสิว่าใคร...เอรีส เบอร์ตัน เพื่อนรักสมัยเด็กนี่เอง” อีกฝ่ายทักทายด้วยภาษาไทยที่แปร่งปร่า แต่สายตากลับกวาดไปทั่วและจงใจหยุดอยู่ที่ปัถย์นานเกินจำเป็น
เหตุที่เป็นเช่นนั้นคงมาจากท่าเอรีสที่แสดงออกต่อผู้ชายที่อยู่ไม่ห่าง สายตาที่มีความหมายบอกว่าผู้ชายข้างตัวคนนั้นมีความพิเศษ...ใบหน้าหล่อเหลาแบบลูกครึ่งประดับยิ้มปรายตามองไปที่เอรีส และลามไปถึงอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันอีกครา ดวงตาสีอ่อนรีเล็กคู่นั้นหรี่ลงนิดหน่อย แล้วพยักหน้าครั้งสองครั้งเหมือนเจ้าตกผลึกความคิดเพียงลำพังได้
ฝ่ายเอรีสเปลี่ยนสีหน้าจากหน้ามือเป็นหลังมือ ความหรรษาอารมณ์ดีเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นความแข็งกร้าวเย็นชา ดวงตาหยอกเย้ากลายสภาพเป็นลุกเรืองเหมือนกำลังมองศัตรูคู่อาฆาตมากกว่าเพื่อนเก่าสมัยเด็กดั่งที่อีกฝ่ายว่า
“ระหว่างฉันกับนายคำว่าเพื่อน ฟังดูน่ากระดากหูไปหน่อย” ร่างสูงยกริมฝีปากหยันเสียงเข้ม
“ฮ่า ฮ่า ผ่านมาเป็นสิบปี นายก็ยังเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เลิก ไม่เอาน่า คนอื่นยังไงก็ยังเป็นคนอื่น ไม่เหมือนเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ต้องหัดลำดับความสัมพันธ์บ้าง”
“งั้นฉันขอมีศัตรูเลวๆ สักร้อยสักพันคน แทนการมีเพื่อนอย่างนายดีกว่า”
ยิ่งฝ่ายตรงข้ามเอ่ยคำมากเท่าใด บรรยากาศตึงเครียดก็แผ่กระจายเป็นวงกว้างมากเท่านั้น ชายหนุ่มเลือดผสมที่ดูหล่อเหลาสองคน กำลังประหัตประหารกันด้วยสายตา ภาษากายบอกได้ว่าคนทั้งคู่เป็นอริต่อกันนั้นชัดเจน ไม่ใช่เพื่อนเก่าอะไรที่ว่าเลย
ปัถย์ยืนฟังอยู่เงียบๆ ขยับตัวออกห่างเอรีสกว่าเก่าอีกหน่อยพอทิ้งระยะ เพื่อจะได้ลอบมองคู่ตรงข้ามของเอรีสชัดๆ เอรีสก็เหมือนจะเป็นใจ ร่างสูงบึกบึนขยับตัวไปข้างหน้าสองเก้า ประหนึ่งตั้งรับอีกฝ่ายที่ดูจะไม่เป็นมิตรอย่างเต็มที่
ใครก็ตามที่เอรีสมองว่าเป็นอริ ปัถย์ก็ไม่ถือว่าบุคคลนั้นคืออริของปัถย์เช่นกัน
ปัถย์เพ่งมอง คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหน...
ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็น เฟยหลง ลอด์จ ประธานบริหารลอด์จ อินทัสทรี
ใช่เลยล่ะ ตัวจริงดูหนุ่มกว่าในรูป แต่ก็ดูอันตรายกว่าเช่นกัน ว่ากันวาเฟยหลง ลอด์จเป็นนักธุรกิจที่มีความเป็นมาเฟียอยู่ในดีเอ็นเอ มองเผินๆ เขาก็ดูเป็นคนหล่อและรวยมากในแบบอุดมคติ แต่ทำไมปัถย์ถึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่ควรจะสุงสิงด้วยมองปราดเดียวก็รู้ว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นมีแววเจ้าเล่ห์แค่ไหน แม้ปากจะแย้มยิ้มจนแทบจะเห็นฟัน แต่ก็พร้อมจะเอามีดที่ซุกไว้จ้วงแทงในยามเผลอได้ทุกเมื่อ
พอคิดมาถึงตรงนี้ความรู้สึกรับรู้ของปัถย์เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง ทุกอริยาบทของเฟยหลง ลอดจ์ ถูกสังเกตด้วยคนช่างห่วงอย่างปัถย์
“นายนี่แปลก ไม่ชอบมีมิตร แต่ชอบที่จะมีศัตรู”
เสียงนั้นเหมือนคำขู่ เอรีสที่ยังดูสงบและไม่สะทกสะท้าน ผิดกับปัถย์ที่ฟังแล้วไม่เข้าหูสักเท่าไร
“ศัตรูมันไม่น่ากลัว แต่มิตรจอมปลอมมันอันตราย” เอรีสกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่ง “ถ้าให้เลือก ฉันขอเลือกศัตรู”
“โอเค... ก็แล้วแต่นาย แต่จะบอกไว้อย่าง เป็นศัตรูกับฉันมันไม่สนุก นายก็รู้ว่าฉันชอบทำลายคนอยู่ตรงข้าม บางทีนะการที่นายยอมลดความทะนงตัวลงบ้างอะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น”
“ฮึ!” เอรีสแสยะยิ้ม เ“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ ส่วนนายล่ะ ยังเลวเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า”
“แบบไหนที่ว่าเลว ใช่แบบที่ทำให้นายเสียสูญไปเป็นปีหรือเปล่า ถ้าเป็นในแบบที่ว่า...ก็ยังอาจจะยังใช่อยู่” เฟยหลงขยับกายเข้ามาใกล้ และกระซิบที่ข้างหูเอรีส “นี่รู้ไหมเอรีส ฉันยังนึกถึงตอนที่เคยสนุกกับรันอยู่เลย เวลาที่รันคราง... มันสุดยอด ตอนที่รันดิ้นพล่านใต้ร่าง นายก็คงรู้นะว่ามันดียังไง”
เอรีสหน้าแดงก่ำ เขากำข้อมือแน่นควบคุมอารมณ์โกรธถึงขีดสุดไว้อย่างหมิ่นเหม่เต็มทน สันกรามแข็งเกร็งขึ้นในทันตา ฝ่ามือหนากำแน่นจนเส้นเลือกดปูดโปน
อดีตที่ผ่านมากว่าสิบปีถูกขุดคุ้ยโดยไอ้ชั่วอีกคนที่ไม่คิดว่าในชาตินี้จะมีวันญาติดดีกันได้ ถึงจะเลิกใส่ใจไปนานแล้วแต่ความแค้นที่ฝังรากลึกที่ไม่มีวันสลัดออกจากใจได้ง่ายๆ อย่างที่ใจอยากให้เป็น
“เอ่อ... ขอโทษนะครับที่ต้องขัดจังหวะ มันคงดูเสียมารยาททีเดียวแต่จำเป็นจริงๆ ที่ต้องขอตัวคุณเอรีสสักครู่ มีธุระที่คุยค้างกันไว้อยู่น่ะครับ ถ้าคุณ... ไม่ว่าอะไร” ปัถย์ขัดจังวะเมื่อเห็นท่าว่าน่าจะไม่ดีแน่ และประโยคในตอนท้ายจงจหันไปพูดกับเอรีสคล้ายส่งสัญญาณบางอย่าง ขืนปล่อยให้สองคนนี้อยู่ใกล้กันนานๆ มีหวังเอรีสปรอทแตกจนรั้งไม่อยู่
“ผมเฟยหลง ลอดจ์ครับ ขอโทษที่ไม่ได้แนะนำตัว”
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมปัถย์ครับ”
ปัถย์ตอบรับการทักทายสั้นๆ แต่ตอนที่กำลังยื่นมือไปจับโดยมารยาทสากล เอรีสกลับฉวยข้อมือของเขาไว้ แล้วรั้งร่างให้ห่างจากเฟยหลงแบบไม่แคร์ว่ามันจะเสียมารยาทมากเพียงใด
ไม่เพียงเท่านั้น เอรีสยังปัดมือเฟยหลงออกแรงๆ อีกฝ่ายถึงขึ้นนิ่วหน้าแต่ก็ยกยิ้มมุมปากในวินาทีต่อมา
“นายไปรอฉันตรงหาดก่อน เดี๋ยวฉันตามไป” เสียงเอรีสอ่อนลง ขณะหันไปพูดกับปัถย์
“ผมขอรอคุณตรงนี้นะครับ” สายตาของปัถย์สื่อความหมายหลายประการ ทั้งห่วงและไม่ยอมผละจากไป
ความหมายที่ว่าคือการพาเอรีสปลีกตัวออกมาจากการพูดคุย ที่อาจเปลี่ยนเป็นการทะเลาะวิวาทในเวลาอันใกล้ แม้เอรีสจะหัวร้อนอยู่เป็นนิจ ก็ใช่ว่าจะเป็นพวกชอบใช้กำลัง ก็คงเป็นปัถย์เองนั่นล่ะที่ไม่อยากให้เอรีสเสียเวลาไปกับเรื่องที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ อะไรที่ทำให้เอรีสวุ่นวายใจ ปัถยืก็อดไม่ได้ที่จะเอาตัวเข้าไปสอด
“งั้นรอแป๊บ” เอรีสแตะแผ่นหลังปัถย์ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ยอมตามใจอีกฝ่ายแบบไม่มีข้อโต้แย้ง
“คุณปัถย์... เพื่อนายเหรอเอรีส”
“ผมเคยทำงานกับเอรีสน่ะครับ เคยเป็นผู้ช่วย” ปัถย์เป็นฝ่ายกล่าวเอง ด้วยตัดปัญหาจะได้รีบแยกย้าย
“เคยหรือครับ แสดงว่าตอนนี้่ก็ไม่ได้เป็นแล้ว ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า”
เฟยหลงถามเสียงพร่า แต่สีหน้าอ่านไม่ออกว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ แถมสิ่งที่น่ากังวลในสายตาของเอรีสก็คือรอยยิ้มชั่วร้ายที่
“ไม่เกี่ยวกับแก” เอรีสเสียงห้วน ใบหน้าถมึงทึงอย่างคนโกรธจัด
“ก็แค่ถามตามมารยาท อย่าหัวเสียไปหน่อยเลย เดี๋ยวที่ไม่รู้อิโหน่อิเน่จะลำบากใจ ดูสีหน้าคุณปัถย์ตอนนี้สิ อย่ากังวลไปเลยครับ ผมกับเอรีสเถียงกันตลอดนั่นล่ะ นี่ครับ นามบัตรผม”
เฟยหลงยื่นแผ่นกระดาษเล็กๆ ส่งให้ แต่ยังไม่ทันที่ปัถย์จะยื่นมือไปรับ เอรีสก็เอ่ยเสียงแข็ง ขัดจังหวะเข้าเสียก่อน
“ไปเถอะ” เอรีสตัดบท แล้วลากปัถย์ออกมาจากการสนทนา
จับบ่าปัถย์ให้หมุนตัวและโอบรอบบ่าเพื่อรุนให้อีกฝ่ายเดินตามตนไปด้วย
และโดยที่เจ้าตัวไม่ยอมหันหลังกลับไปมองคู่อริตลอดกาลอีกเลย
มีต่อด้านล่างค่ะ