วันที่ 38 Chet’s Part
“มันต้องทำขนาดนี้เลยเหรอแหม๋ว”ผมเอ่ยถามที่ปรึกษาหัวใจของผมที่วันนี้ ทั้งบังคับผมให้เข้าร้านทำผม ตัดใหม่ให้ดูดี โกนหนวดให้เกลี้ยงเกลา ปรับเปลี่ยนการแต่งตัวให้มีสไตล์ แถมนี่ยังต้องมาเข้าคอร์สหน้าใสอะไรนี่อีก
“แหม๋ๆ ก็เธอบอกเองนี่ยะว่าตี๊ฟเค้าชอบแบบหล่อใส ไร้ที่ติ ซึ่งประเมินแล้วไอ้คำว่าหล่อนี่พอผ่าน แต่ใสนี่ติดลบ ส่วนไร้ที่ตินี่คือไอ้ที่ที่จะไม่ติคงไม่มีแล้วมั้ง มันก็ต้องขนาดนี้แหละ”
ผมได้แต่ทนๆ ทำไปตามวิธีของคุณเพื่อนตัวดี นอกจากกลุ่มเพื่อนๆ ในคณะอย่างไอ้ตี๊ฟ ไอ้การ์ดพร้อมทีมงาน ผมก็มีแหม๋วนี่แหละครับที่เป็นเพื่อนสนิทอีกคน แต่พวกเพื่อนๆ คนอื่นๆ ไม่รู้จักแหม๋วกันหรอกครับ เพราะอยู่กันคนละคณะ แต่ที่ผมกับแหม๋วสนิทกันก็เพราะแหม๋วเป็นน้องสาวของพี่มาศ พยาบาลที่คลินิกของน้าผม
เรารู้จักกันที่คลินิกของน้าชา และแหม๋วก็เป็นคนแรกที่ผมเล่าเรื่องความรู้สึกที่ผมมีต่อตี๊ฟให้ฟัง ก็มันอึดอัดที่ต้องเก็บไว้คนเดียว เลยต้องระบายออกให้มีคนช่วยอึดอัดบ้าง แล้วจากที่แหม๋วรู้ ก็ลามไปถึงพี่มาศ สองศรีพี่น้องนี่เลยกลายเป็นที่ปรึกษาปัญหาความรักของผมไปโดยปริยาย ดูๆ ไปก็คล้ายพี่อ้อยพี่ฉอดพิกล
พอฟังผมเพ้อนานๆ เข้า สองพี่น้องก็เริ่มทนไม่ไหว เริ่มปฏิบัติการพยายามให้ตี๊ฟหันมามองผมบ้าง ซึ่งปฏิบัติการแรกก็อย่างที่บอกนี่แหละครับ จับผมแปลงโฉมให้เป็นหนุ่มโสดในฝันของตี๊ฟนั่นเอง แต่ผลนะเหรอครับ
“ช่วงนี้ดูดีขึ้นติดหญิงอ่ะดิมึง”
“สาวคนไหนเป็นผู้โชคดีว่ะไอ้หน้าหล่อ”
“พามาเปิดตัวกะเพื่อนบ้างดิมึง อย่าปล่อยให้พวกผัวไอ้ตี๊ฟมันแย่งซีนอยู่ฝ่ายเดียว”
นั่นแหละครับผลตอบรับ พวกไอ้การ์ดและทีมงานสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวผม แม้พวกมันจะเข้าใจผิดเรื่องเป้าหมายของผมไปหน่อย แต่อย่างน้อยพวกมันก็ยังสังเกตเห็น แต่ไอ้ตัวเป้าหมายของผมนี่สิ
“จะเก๊กไปไหนเนี่ย หล่อตายละมึง”นั่นแหละครับ นอกจากมันจะไม่สนใจผมแล้ว ยังดูจะเพิ่มความหมั่นไส้เข้ามาอีกด้วย
“มันไม่เวิร์คว่ะแหม๋ว”สุดท้ายผมก็ต้องกลับมาพร่ำเพ้อให้คุณเพื่อนตัวดีฟังอีกตามเคย
“หรือเชษฐ์จะไปศัลยกรรมเพิ่มดี ฉีดฟิลเลอร์ ร้อยไหม ไรเงี๊ยะ เผื่อจะหล่อเตะตาตี๊ฟบ้าง”นี่ไม่รู้ผมคิดถูกหรือคิดผิดที่มาให้แหม๋วเป็นที่ปรึกษา ดูแต่ละความคิดแล้วไม่น่าจะไปรอดสักเท่าไหร่
“จะว่าไปเชษฐ์เองก็ออกจะหล่อ ไมไม่ลองจีบตี๊ฟไปตรงๆเลยล่ะ”ข้อเสนอแนะเธอมีมาเรื่อยๆ แหละครับเพื่อนคนนี้
“ก็ดูปฏิกิริยาแล้วคิดว่าจะจีบติดไหมล่ะ อีกอย่างเราก็ยังไม่อยากเสียเพื่อน”ผมตอบออกไปตามจริง เพราะถึงผมเป็นได้แค่เพื่อนอย่างน้อยๆ ก็ยังได้พบเจอ ได้อยู่ด้วยกัน แต่เกิดไปจีบจริงๆ สุดท้ายจีบไม่ติด อาจแถมด้วยเข้าหน้าไม่ติดอีกต่างหากนี่สิ
“จีบผู้ชายไม่เป็นก็บอกมาเหอะ”โหจี้จุดเลยนะคุณเพื่อน
“อันนี้ก็ต้องยอมรับ”ก็ผมเองเคยชอบผู้ชายมาก่อนที่ไหนกันเล่า ครั้นจะไปศึกษาจากเกย์ก็คงไม่ใช่เรื่อง แล้วพอมีคนมาให้คำปรึกษาอย่างแหม๋วนี่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายสักเท่าไหร่ด้วยนี่สิ
“หรือว่าเชษฐ์จะลองมีแฟนหลอกๆ ดู”นั่นประไรละแต่ละความคิดของเจ้าหล่อน ดีๆ ทั้งนั้น
“แล้วใครที่ไหนจะยอมมาเล่นเป็นแฟนหลอกๆ แบบนั้น”ถึงจะไม่ได้เห็นด้วยกับความเห็นนี้เท่าไหร่แต่ก็นับว่าน่าสนใจเลยทีเดียว
“ชั้นนี่ไงย่ะ”
“ไม่เอาอ่ะ”ผมต้องรีบปฏิเสธข้อเสนอ เพราะแค่คิดก็ขนลุกแล้ว มันจั๊กจี้ยังไงบอกไม่ถูก แม้ว่าแหม๋วจะสวยก็เถอะนะแต่ด้วยความที่เราเป็นเพื่อน สนิทกันให้มาแกล้งเป็นแฟนกันมันคงแปลกๆ
“ลองดูก็ไม่เสียหายนะย่ะ ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นเพื่อนกันซะหน่อย อีกอย่างจะได้รู้กันไปเลยว่าจริงๆ ตี๊ฟชอบคนมีเจ้าของจริงๆ หรือเปล่า”
แล้วเรื่องราวแห่งความวุ่นวายก็ได้ตามมาอีกหนึ่งเรื่อง เมื่อผมกับแหม๋วถูกจับตามองจากคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก คู่ของเรากลับกลายเป็นคู่รักที่น่าสนใจไปซะงั้น แต่หนึ่งคนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสนใจใยดีอะไรกับสิ่งที่ผมพยายามทำ ก็คือเป้าหมายของผมเองนั่นแหละครับ
แกล้งเล่นเป็นแฟนกับแหม๋วอยู่พักนึงเลยกะว่าจะเลิก แต่ดันมีคนมารู้ความลับของผมเพิ่มอีกจนได้ ในระหว่างที่ผมกับแหม๋วกำลังพูดคุยตกลงว่าจะเลิกเล่นละครเรื่องแฟนปลอมๆ นี่
“ขอขยายความหน่อยสิเพื่อนเชษฐ์”ทั้งผมและแหม๋วต่างตกใจที่อยู่ๆ ไอ้การ์ดดันโผล่มาจากไหนไม่รู้ แต่ดูแล้วคงได้ยินเรื่องที่ผมกับแหม๋วคุยกันจนหมดแล้วมั้งนั่น สุดท้ายไอ้การ์ดก็คาดคั้นให้ผมต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟัง
“มึงชอบไอ้ตี๊ฟ โอ้ววว พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ตบหน้ากูทีว่านี่กูฝันไป”
“เพี๊ยะ”ไม่ใช่ฝีมือผมครับ แต่เป็นฝ่ามือของแหม๋วที่ฟาดลงบนหน้าไอ้การ์ดเป็นการยืนยันว่ามันไม่ได้ฝันไป สิ่งที่มันรับรู้คือเรื่องจริงยิ่งกว่านิยายของผมเอง
“มือหนักเหมือนกันนะเนี่ยเรา”ไอ้การ์ดต้องลูบแก้มตัวเองเลยทีเดียวแถมเหมือนจะเป็นร้อยฝ่ามือแดงๆ เข้าให้แล้วด้วย แหม๋วนี่ก็นะ มือหนักมือเร็วเหลือเกิน ดีนะที่ผมเป็นแค่แฟนหลอกๆ มือหนักแบบนี้ใครได้เป็นแฟนคงต้องคิดหนักเลยนะนั่น
“กูว่าในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้ว มึงกับแหม๋วก็เล่นเป็นแฟนกันต่อไปเหอะ กูมีแผนเด็ดๆ งานนี้เดี๋ยวป๋าช่วยดันเองไอ้น้อง”แล้วมันก็หัวเราะอย่างน่าสยดสยอง นี่มันกรรมหรือเวรอะไรของผมเนี่ย จากแอบชอบผู้ชายด้วยกัน มามีที่ปรึกษาไม่ได้ความ ตามมาด้วยป๋าดันขี้โม้โรคจิตนี่อีก
นั่นแหละครับจุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่นๆ ที่ทำให้ผมต้องมานั่งคิดไม่ตกอยู่ตอนนี้
“ชั้นก็พอเข้าใจน้าชานะ แกเลี้ยงเชษฐ์มาเหมือนลูก แกก็คงอยากเห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝา แต่งงานมีครอบครัว แกยอมถอยให้ขนาดนี้ก็แสดงว่าแกต้องรักเชษฐ์มากๆ เลยแหละ”ถึงผมจะเห็นแหม๋วเป็นที่ปรึกษาที่ไม่ได้ความแต่สุดท้าย ก็ไม่พ้นเธออยู่ดีแหละครับ ที่ผมมาหาเป็นคนแรก
“แต่ที่น้าชาขอ มันก็ไม่ได้ทำง่ายๆ เลยนะแหม๋ว”ผมเริ่มโอดครวญกับสิ่งที่กำลังจะเป็นอุปสรรคให้กับความรักของผม
“อย่ามาเยอะ ฝั่งน้าชานะเรียกไฟเหลืองมาเต็มสูบพร้อมจะไฟเขียวแล้ว ที่น่าหนักใจคือฝั่งหวานใจของเชษฐ์มากกว่า คิดว่างานนี้ไม่ใช่งานง่ายนะ ที่จะให้ตี๊ฟร่วมมือด้วย เกิดตี๊ฟไฟแดงมาละก้อ หึหึ”นั่นสินะ ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ตี๊ฟเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี่
อย่างที่ผมเคยบอกเค้าว่ามันมีอีกหลายเรื่องเหลือเกินที่ผมยังไม่บอกเค้า จริงๆ ผมก็กะว่าจะค่อยๆ เล่าไปทีละเรื่องในช่วงที่เราเข้าใจกันดี แต่ตอนนี้ถ้าผมต้องเล่าทั้งหมดทีเดียว เค้าจะยังรับฟังผมจนจบหรือเปล่าก็ไม่รู้
“แหม๋วว่าเราควรทำไงดี”
“ไม่รู้ย่ะ คิดเองบ้างสิ เรื่องตัวเองแท้ๆ”อ้าวแม่ที่ปรึกษานี่จะมาทิ้งกันกลางคันแบบนี้ได้ไงกันเล่า
“ไหนๆ ก็ช่วยมาขนาดนี้แล้ว ก็ช่วยๆให้ถึงตอนจบเลยดิ นะนะนะ”จริงๆ ผมควรจะเข้มแข็งและทำได้ดีกว่านี้ แต่พอคิดว่าเกิดผมทำพลาดขึ้นมา แล้วผมกับตี๊ฟจะไม่ได้คบกันต่อ แค่นั้นผมก็สมองตื้อคิดอะไรไม่ออกแล้วละครับ
“งั้นไว้ไปปรีกษาแฟนชั้นกัน”ช่างเป็นคำแนะนำที่ชวนปวดหัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีกครับ เพราะอะไรนะเหรอครับ ก็ไอ้แฟนของแหม๋วนี่แหละครับ
“ปรึกษาไอ้การ์ดอ่ะนะ”