.......... เพลงรัก ........... by fingers-crossed ...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: .......... เพลงรัก ........... by fingers-crossed ...  (อ่าน 130730 ครั้ง)

Forever_ever

  • บุคคลทั่วไป
สงสารพี่นนท์กับน้องต้นจังเลยค่ะ
แต่ยังไงก็คุยกันให้เข้าใจนะคะ
เข้าใจกันสองคน เรื่องอื่นก็จะผ่านไปด้วยดีน้า

รอดูด้านมืดของพี่เมษค่ะ
เอาให้ไหมกับเอ้กระเจิงไปเลยนะคะ

ขอบคุณคุณนิ้วไขว็สำหรับเรื่องสนุกๆ
ขอบคุณพี่นาเมฮ์ที่เอามาลงให้อ่านกันนะคะ

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
อยากเห็นด้านร้ายของพี่เมษเร็วๆ จังเลยค่ะ


เอาให้จมดินไปเลยนะพี่ 555  :z6:

ออฟไลน์ LoveAholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
ก่อนที่จะได้รู้ว่าด้านมืด ของพี่เมษเป็นยังไง

สำหรับ ยัยชะนีไหม   :beat: จัดให้ไปก่อน

แบบว่าทนไม่ไหวแล้ว  ทำแบบนี้เผื่อชีคิดได้
 
น้ำต้น กับ พี่นนท์  อยู่ในโลกมายา ถือซะว่า

เป็นบทเรียนแรก ที่เข้ามาให้ช่วยกันแก้ไข

ไม่ว่าจะเกิดอะไร ก็จับมือกันฝ่าฟันไปให้ได้นะ

เอาใจช่วยเต็มที่เลย   :L2: 


ขอบคุณ คนแต่ง และ คนโพสต์นะคะ

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
ตอนต่อไปมาแล้วค่า

******************************

เพลงรัก

บทที่ 14

“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละพี่” เมษนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากที่ได้เริ่มต้นเล่าเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างยืดยาวจนแทบไม่ได้พักหายใจ

“มันเรื่องใหญ่เหมือนกันนะนี่” นรเศรษฐ์เอ่ยออกมาในที่สุด “ชิงรักหักสวาทกันยังกะละครหลังข่าว”

“ก็ดีนะที่ได้รู้เสียก่อน ไม่งั้นพวกพี่คงยังงมกันไม่ถูกว่าจะเอายังไง”

“ทำไมหรือคะ”

“ก็เบื้องบนน่ะสิ” มิ่งที่นั่งฟังอยู่ด้วยพูดขึ้นบ้าง “เขาก็เป็นห่วงกับข่าวที่เกิดขึ้น แค่ต้นมีข่าวกับดาราสาวน่ะ มันไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอมันมาเกี่ยวกับนนท์ด้วยแล้ว ทีนี้ล่ะ นั่งกันไม่ติดเลย”

“แล้วพี่บอกทางนั้นไปว่าไงบ้างคะ”

มิ่งกับนอยักไหล่พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ก็บอกเขาไปแหละว่าให้เชื่อมั่นในตัวเด็กเราหน่อย หนังสือพวกนั้นมันก็ต้องทำทุกอย่างแหละ เพื่อให้ขายข่าวให้ได้ โชคดีมากที่น้ำต้นเป็นเด็กดี ผลงานที่ออกไปมันก็พิสูจน์ตัวเขาได้ในระดับหนึ่งด้วยแหละ นนท์นี่สิ...”

“นนท์ทำไมหรือคะ” เมษนิ่วหน้า

“เขาเกือบให้พี่ล้มเลิกโปรเจ็กต์นนท์แล้ว แถมจะถอดนนท์ออกจากทีมโปรดักชั่นของต้นมันด้วย”

“แล้ว...” เมษทำหน้าไม่ค่อยดีเสียแล้ว

“พี่ก็แย้งเขาไปสิ เรื่องอะไรจะยอม เด็กมีความสามารถจะต้องมาหมดอนาคตเพราะข่าวเฮงซวยพวกนี้ มันใช่เรื่องที่ไหน พี่ก็เลยบอก ขอเวลาให้เด็กมันพิสูจน์ตัวเองก่อนได้ไหม ไม่ใช่เห็นข่าวอะไรออกมาก็เต้นตามมันไปหมด ประสาทหรือเปล่า” มิ่งว่าอย่างหงุดหงิด

“งานนี้นะเมษ พวกพี่เชียร์ไอ้สองคนนั่นสุดใจขาดดิ้นเลย ทีแรกก็ไม่แน่ใจหรอกว่าจะปล่อยให้มันคบกันดีไหม” นรเศรษฐ์ว่า “เด็กมันไม่ได้คบหากันไปในทางเสียหาย แค่อาจจะต้องขอไม่ให้มันออกนอกหน้านักก็พอ ที่เหลือ ถ้ามันคบกันแล้วส่งเสริมกันไปในทางที่ดี พี่ไม่ห้ามแล้ว เอาเลยโว้ย”

“พี่ก็เอาด้วยวะ แหม... รู้เป็นคนสุดท้ายเลย แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ไอ้สองคนนั่นตกอยู่ในปากเหยี่ยวปากกาล่ะวะ เอา... ไฟต์ให้น้องมันหน่อย ไม่ใช่คนอื่นคนไกล น้องเราทั้งนั้น” มิ่งสำทับตามมาด้วยอีกคน

“เอ็งวางแผนยังไงบ้างล่ะเมษ”

“พี่ไว้ใจเมษหรือเปล่าล่ะ”

“ไว้ใจสิ”

“งั้นพี่รอดูเอาก็แล้วกัน จะได้เห็นว่าเวลาเมษร้ายน่ะ น่ากลัวขนาดไหน”

ได้ยินดังนั้น นรเศรษฐ์กับมิ่งจึงได้แต่มองตากันปริบๆ รู้สึกแหยงลูกน้องสาวที่ปกติยิ้มแย้มแจ่มใสไม่อะไรกับใครคนนี้ขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย

**********************

เมษกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองได้ครู่ใหญ่แล้ว มานึกๆดูเธอวนเวียนอยู่ในวงการนี้มาเป็นระยะเวลากว่าสิบปีแล้วสินะ ที่ผ่านมา อยากจะได้อะไร หรือต้องการอะไร เมษไม่เคยออกปากขอร้องหรือพึ่งพาใคร ไม่ว่าจะอย่างไรเมษก็จะพยายามใช้ความพยายามและความสามารถของตัวเองพิสูจน์ให้ใครต่อใครได้เห็นว่า เธอมีดีกว่าที่ใครๆคิด เธอไม่เคยอาศัยบารมีใคร ไม่เคยบอกว่ารู้จักคนใหญ่คนโตที่ไหน

แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอจะทำ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อน้องสองคนที่เธอรัก เมษเคยมองโลกนี้แต่ในด้านที่สวยงาม ทุกคนดูจะเป็นคนดีไปหมด โดยลืมคิดไปว่านี่คือวงการ “มายา” และประสบการณ์ที่ผ่านมาก็สอนบทเรียนให้กับเธอ โลกใบนี้ ทุกอย่างมักจะมาคู่กันเสมอ เมื่อมีคนดีก็ต้องมีคนเลว คนดีต้องใช้ความพยายามมากกว่ามากมายนักเพื่อที่จะบรรลุอะไรสักอย่าง ในขณะที่คนเลวไม่ต้องใช้อะไรมากไปกว่าลูกไม้สกปรกเพื่อให้บรรลุจุดหมายของตัวเอง โดยไม่สนวิธีการ ดังนั้นการปฏิบัติต่อคนเลวในบางครั้งจึงน่าจะมองข้ามวิธีการไปบ้าง ก็คงจะพอสมน้ำสมเนื้อดีเหมือนกัน

เมษกดโทรศัพท์ทันทีที่ตัดสินใจได้

“จอย พี่เมษนะคะ… ตกลงเรื่องที่พี่ขอให้ช่วยเป็นยังไงบ้าง อือม์... พี่เข้าใจ คิดอยู่เหมือนกันว่าต้องเจอตอ งั้นเดี๋ยวพี่จัดการเรื่องนี้เอง จอยช่วยพี่อีกอย่างได้ไหม รับรองเลยว่าถ้าได้เรื่อง พี่จะให้ข่าวเด็ดกับจอยก่อนใครทันทีแน่นอน โอเคนะ...” เมษอธิบายยืดยาวและทำความเข้าใจกับนักข่าวสาวรุ่นน้องที่สนิทกันอีกครั้ง ก่อนจะวางหูไป

*******************

เด็กหนุ่มยังคงนั่งนิ่งเฝ้ามองใบหน้าที่นอนหลับสนิทอยู่อย่างนั้นเป็นนาน น้ำต้นไม่แตะต้องอาหารใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าป้าชื่นจะขอร้องอย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าจะรอกินพร้อมกับพี่นนท์ จนหญิงชราต้องยอมแพ้ในทิฐิของเด็กหนุ่ม นางยิ่งรู้สึกรักใคร่และเชื่ออกเชื่อใจคุณน้ำต้นมากขึ้นไปอีก ถึงขนาดฝากฝังให้น้ำต้นดูแลคุณนนท์แทนเธอ พร้อมกับสำทับตามว่า

“ถ้าตื่นแล้ว คุณทั้งสองคนต้องทานของที่ป้าทำมาให้นะคะ” น้ำต้นรับปาก และก่อนที่แม่นมประจำบ้านนนท์จะกลับบ้านพร้อมคนขับรถที่มารอรับอยู่แล้ว นางก็ยื่นซองสีน้ำตาลส่งให้เด็กหนุ่ม “ตอนไปเอาเสื้อผ้ามาให้คุณนนท์ผลัด ป้าเห็นรูปวางกระจัดกระจายบนโต๊ะคุณนนท์ ก็เลยหยิบติดมาด้วยค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่คิดว่าน่าจะเอามาให้คุณดู”

น้ำต้นยกมือไหว้หญิงชราพร้อมกับรับปากว่าจะดูแลนนท์ให้ดีที่สุด

คล้อยหลังป้าชื่นไม่ทันไร น้ำต้นจึงแกะซองเปิดออกดู รูปนับสิบใบชุดเดียวกับที่ลงในนิตยสารที่เขาเห็นเมื่อเช้าก็ปรากฏแก่สายตาของเขา น้ำต้นพูดไม่ออก รูปเหล่านี้หรือเปล่าคือต้นเหตุให้พี่นนท์ต้องเป็นอย่างนี้ รูปพวกนี้หรือเปล่าที่ทำให้นนท์ต้องนัดออกไปเจอกับเอ้ เป็นเพราะรูปเหล่านี้เองสินะ... น้ำต้นไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกของตัวเองในยามนี้ออกมาเป็นคำพูดได้เลย เขารู้สึกผิดกับนนท์เสียจนไม่รู้จะกล่าวขอโทษอย่างไรดี รู้สึกโกรธคนที่ถ่ายรูปพวกนี้ โกรธนิตยสารที่ทำลายความรู้สึกของคนที่ตกเป็นเหยื่อของมันอย่างเลือดเย็น โกรธคนจิตใจต่ำช้าอย่างไหมและเอ้ที่ใช้วิธีสกปรกทำลายคนอื่น โกรธแม้แต่นนท์ที่ทำไมไม่เคยคิดจะปรึกษาพูดคุยกับเขาเลยสักนิด มีอะไรก็เงียบเก็บเอาไว้แต่เพียงคนเดียวจนตัวเองต้องมีสภาพแบบนี้

แต่แล้วความรู้สึกอันสับสนก็หยุดลงเพียงเท่านั้น เมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวน้อยๆของร่างที่นอนนิ่งนานนับชั่วโมงบนเตียงคนป่วย นนท์นิ่วหน้าก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นมา เขากระพริบตาถี่เหมือนกับจะปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างภายในห้อง แล้วจึงค่อยๆกลอกตาสำรวจดูว่าตัวเองอยู่ที่ไหน น้ำต้นถอนหายใจเบาๆอย่างโล่งอก เขาเอื้อมมือขึ้นไปแตะเบาๆบนหน้าผากของนนท์

“พี่” น้ำต้นเรียกเขาเบาๆ

“....”

“เอาน้ำหน่อยไหม”

ร่างอันอ่อนระโหยนั้นพยักหน้าช้าๆ น้ำต้นหันไปหยิบแก้วน้ำที่ตั้งรออยู่บนหัวเตียงก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งประคองศีรษะคนป่วยยกให้สูงขึ้น แล้วจึงค่อยๆป้อนน้ำให้นนท์ได้ค่อยๆจิบอย่างใจเย็น เมื่อเห็นว่าพอแล้วจึงค่อยๆวางศีรษะให้ลงไปนอนหนุนกับหมอนดังเดิม

“ดีขึ้นหรือยังพี่” ไม่ถามเปล่า เขายังจับมือข้างหนึ่งของนนท์กระชับเอาไว้ ราวกับจะยืนยันว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน นนท์พยักหน้าก่อนจะเบือนสายตามายังใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เห็นได้ชัดว่าซีดเซียวและดูอ่อนล้าเพียงใด

“พี่นอนหลับไปนานไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงเบาแหบโหย

“ก็นานพอดู พี่ไม่ปวดหัวแล้วใช่ไหม”

“ดีขึ้นแล้ว”

“พี่นนท์” เขาเรียกชื่อพี่ชายก่อนที่จะเอาคางวางเกยไว้กับขอบเตียง จับมือของนนท์ขึ้นมาวางไว้บนศีรษะทุยๆของตัวเอง

“ว่าไงครับ”

“ต้นขอโทษที่ทำอะไรไม่ดีกับพี่เอาไว้ ต้นไม่ได้ตั้งใจจริงๆ พี่ยกโทษให้ต้นนะ”

“พี่ไม่ได้โกรธต้นเลยนะ” คนป่วยว่าพลางลูบศีรษะน้องชายเบาๆ

“ต้นมันไม่ได้เรื่อง เอาแต่ใจตัวเองก็เท่านั้น” เด็กหนุ่มตำหนิตัวเองเป็นการใหญ่ เขาลืมไปหมดสิ้นถึงความขุ่นข้องหมองใจที่มีต่อพี่นนท์

“ไม่เอา อย่าว่าตัวเองแบบนั้น”

“พี่” เจ้าเด็กน้อยยกแขนขึ้นท้าวคาง ก่อนจะถามออกไปตรงๆ “ต้นดูพึ่งพาไม่ได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ”

นนท์มองหน้าน้ำต้นอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก

“รูปน่ะ ต้นเห็นหมดแล้ว วันนั้นเขานัดพี่ไปเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม แล้วทำไมพี่ไม่บอกต้นซักคำ”

“อ๋อ เห็นหมดแล้วเหรอ”

“ที่จริงเห็นมาก่อนแล้วด้วยซ้ำ มันเพิ่งลงหนังสือไปเมื่อเช้านี้เอง” นนท์ทำตาโต ก่อนจะระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนและปลดปลง

“เขาทำจริงๆด้วยสินะ คนแบบนั้น...”

“พี่น่าจะบอกต้นสักคำ” น้ำต้นพูดด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจไม่ปิดบัง

“พี่อยากจะบอกนะ แต่พี่ไม่รู้จะบอกยังไงจริงๆ” นนท์หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “น้ำต้นต้องเข้าใจนะว่า พี่อยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียวมาตลอด มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพี่เวลามีปัญหาอะไรแล้วจะเอ่ยปากบอกใคร มันเป็นความเคยชินของพี่ ไม่ใช่เพราะต้นพึ่งพาไม่ได้หรอก”

น้ำต้นมองหน้าพี่นนท์ของตัวเอง

“เข้าใจพี่ใช่ไหม มันผิดที่พี่ ไม่ใช่ที่น้ำต้น” นนท์ยิ้ม

“งั้นสัญญากันก่อน”

“สัญญา?”

“ว่าต่อไปถ้ามีอะไร ต้องบอกต้นนะ พี่ต้องทำตัวให้ชินได้แล้ว สัญญาเลย” เจ้าเด็กโข่งจ้องหน้าเขาเขม็งพร้อมกับชูนิ้วก้อยขึ้น ทำเอาคนป่วยที่นอนอยู่หัวเราะพรืดออกมาเบาๆ แต่ก็ยอมชูนิ้วก้อยขึ้นมาให้คนเฝ้าไข้เกี่ยวด้วยแต่โดยดี

“ครับ”

“ดีมาก” น้ำต้นยิ้มกว้างออกมาในที่สุด มองยังไงก็เหมือนกับเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นที่ถูกใจที่สุดในชีวิตนั่นเอง “งั้น พี่หิวรึยัง ป้าชื่นแกกำชับหนักหนาว่าตื่นมาแล้ว ต้องกินอาหารที่แกทำมาด้วย”

“ยังไม่ค่อยหิว แต่ยังไงก็ต้องกินใช่ไหม”

“ถูกต้อง พี่ผอมเกินไปแล้วรู้ไหม กอดไปมีแต่กระดูก มันเจ็บนะ”

“เป็นความผิดของผิดอีกแล้วสิ” นนท์ว่าอย่างนึกขัน “ว่าแต่...”

“อะไรหรือพี่”

“เรื่องข่าว...”

“ต้นก็ไม่รู้เหมือนกัน” น้ำต้นว่าพลางส่ายหน้า “แต่พี่เมษเขาบอกว่า ปล่อยให้เขาจัดการเอง”

“พี่เมษน่ะเหรอ” นนท์ถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“อื้อ เขาว่า เขาเบื่อเป็นนางเอกแล้ว ขอเป็นนางร้ายสักที” น้ำต้นว่าแล้วก็หัวเราะชอบใจ “เอาน่าพี่... ตอนนี้อย่าเพิ่งไปสนใจอะไร ให้พี่หายก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันนะ มะ... เดี๋ยวไปจัดสำรับมาให้” น้ำต้นเน้นเสียงตรงคำว่า สำรับ ได้น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก พอเอาเข้าจริงๆ ที่ว่าจะจัดสำรับนั้นก็คือ การร้องหาพยาบาลให้มาช่วยเขาอีกแรงนั่นเอง

นนท์ได้แต่ส่ายหน้ากับความเจ้าเล่ห์ของน้องชายที่หันมายักคิ้วให้เขาทีหนึ่ง เหมือนอยากจะอวดว่า น้องพี่เสน่ห์ยังแรงดีไม่มีตกนะจะบอกให้

***************************

ชายหนุ่มนอนนิ่งมองเพดานสีขาวในห้องอย่างอ่อนระโหยโรยแรงด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขารู้สึกเป็นกังวล ใช่แล้ว ดูเหมือนมีอะไรต้องคิดและเป็นกังวลมากมายเหลือเกิน แม้จะได้ปรับความเข้าใจกับน้ำต้น แม้จะคลายความตึงเครียดลงได้บ้าง แต่อะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของเขา

เป็นการดีหรือไม่ ที่เขาควรจะอยู่เคียงข้างน้องชายของเขาต่อไป

ถ้าน้ำต้นไม่ใช่นักร้องที่โด่งดังมีชื่อเสียง ทุกอย่างจะง่ายกว่านี้ไหม หรือถ้าเขาไม่ได้จะกำลังจะกลายเป็นนักร้องขึ้นมา สถานการณ์จะเป็นอย่างนี้หรือไม่ การจะรักใครสักคนมันยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากมายนัก ความรักมันไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง มีอะไรอย่างอื่นอีกมากมายที่เขายังต้องเรียนรู้จากมัน การเสียสละเพื่อคนที่รักน่าจะเป็นสิ่งที่เขาคงจะต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น ที่ผ่านมา เขานึกถึงตัวเองมากเกินไป เขากลัวที่จะเสียน้ำต้นไป จึงไม่ยอมทำอะไรลงไปให้เด็ดขาด จะแยกห่างหรือ ความรู้สึกของเขามันก็ช่างเรียกร้องรุนแรง ไม่ใช่แค่น้ำต้นที่จะเสียใจ แต่เขาเองก็คงทำใจไม่ได้เหมือนกัน และการที่เขากลัวตัวเองจะเสียใจนี่หรือเปล่า ที่เป็นการรั้งเด็กหนุ่มเอาไว้ หรือเขาจะเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่น้ำต้นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ ไหนจะพี่เมษ พี่มิ่ง แล้วก็พี่นออีก ไหนจะทีมงานอีกหลายๆคน ที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดถึงผลกระทบเหล่านี้เลย หรือเขาควรที่จะต้องทำอะไรให้เด็ดขาดไปเสียที

ก่อนหน้าที่ไม่มีน้ำต้น นนท์ยังอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากต่อไปไม่มีน้ำต้น นนท์ก็ควรต้องอยู่ได้สิ

แต่เขาสัญญาเอาไว้แล้ว

นนท์มองไปรอบๆห้อง ไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ป้าชื่นกลับบ้านไปแล้ว น้ำต้นต้องออกไปทำงาน แต่กว่าจะยอมไปได้ก็ทำท่าอิดออดอยู่เป็นนาน

“ก็ต้นไม่อยากทิ้งพี่นนท์เอาไว้คนเดียว”

น้ำเสียงงอแงเอาแต่ใจที่เขาคุ้นเคยมากกว่าใครยังคงสะท้อนอยู่ในหัว เขาอมยิ้ม เมื่อนึกถึงใบหน้าคมคายของเด็กหนุ่มที่คิ้วขมวดเข้าหากันแถมยังเบะปากแสดงความไม่พอใจออกมาเหมือนเด็กๆ ตอนที่ถูกเมษดึงแขน อันที่จริงแทบจะเรียกว่าลากตัวออกไปเลยก็คงไม่ผิดนัก ไม่เพียงแต่ต้องยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้าง ยังต้องใช้กำลังเพื่อลากตัวเจ้าเด็กโข่งนั่นให้ออกไปทำงานจนได้ในที่สุด ก่อนไป เจ้าตัวยังไม่วายกำชับกำชาเขาเป็นหนักหนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกินยา กินข้าว หรือพักผ่อน โดยไม่ลืมย้ำว่าจะรีบกลับมา

จะผิดไหมนะ ถ้าเขาเลือกวิธีโหดร้ายแบบนี้ เพื่อน้องชายที่เขารักที่สุด

เขาจะทำได้ไหม

แล้วน้ำต้นจะเข้าใจไหม

น้ำตาอุ่นๆไหลลงมาช้าๆ อาบแก้มทั้งสองข้าง

“พี่ขอโทษนะ น้ำต้น พี่ขอโทษ” มือเรียวยาวของชายหนุ่มยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ในหัวใจเจ็บปวด แต่ถ้าเป็นการทำเพื่อคนที่เขารักแล้ว เจ็บแค่นี้นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก

***********************

น้ำต้นไปทำงานแล้ว แม้เจ้าตัวจะอิดออดท่าโน้นท่านี้ แต่เมษก็มีวิธีจัดการเอาเสียจนอยู่หมัดได้อยู่ดี

คงต้องโทรไปจริงๆแล้วล่ะสิเนี่ย เมษนึกในใจ ลึกๆแล้วเออาร์สาวก็อดจะรู้สึกแปลกๆไม่ได้ ที่จะต้องมาทำอะไรแบบนี้ แต่ก็เอาเถอะ

“แม่จ๋า” เธอเอ่ยเรียกปลายสายเสียงอ้อนเป็นเด็กๆหลังจากที่คอยฟังเสียงรอสายไม่นาน “โธ่ แม่... อย่างอนน่า ช่วงนี้มันมีเรื่องต้องรับมือเยอะอยู่ นี่เมษเป็นเออาร์นะแม่... จ้า... จ้ะแม่” เมษกลอกตาไปมาเมื่อเสียงจากปลายสายออกปากบ่นเธอเสียยืดยาว เมษชินเสียแล้ว

“แม่... ที่โทรมาเนี่ย ที่จริงมีเรื่องอยากขอให้พ่อช่วยนิดหน่อยน่ะ เมษขอคุยกับพ่อได้ไหม... ขอบคุณจ้ะแม่” หลายคนมักจะออกปากเสมอเวลาได้ยินเออาร์สาวมาดห้าวคนนี้คุยโทรศัพท์กับพ่อหรือแม่ เธอชอบใช้คำพูดจ๊ะจ๋ากับพ่อแม่มากกว่าคะขา แต่กลับไม่ได้รู้สึกขัดหูคนฟังแต่อย่างใด ใครได้ยินมักจะออกปากชมว่าน่ารักไปเสียทุกครั้ง “แปลกตรงไหน พูดจ๊ะจ๋ากับพ่อแม่” เธอว่าอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักเวลามีคนแซว

“พ่อ หวัดดีจ้ะ... เมษมีเรื่องอยากขอร้องหน่อย...” เท่านั้นแหละ เสียงจากปลายสายก็ล้งเล้งบ๊งเบ๊งตามมาทันที แน่นอนว่า เป็นเสียงหัวเราะยินดีปรีดาที่ในที่สุด ไอ้ลูกสาวจอมหัวแข็งมันก็ยอมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่มันเสียที

“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละพ่อ ใจจริง เมษไม่อยากใช้วิธีนี้เลยนะ แต่แหม... ไอ้เราก็ไม่ใช่นางเอกละครเสียด้วย แถมมันมาทำกับน้องเรายังงี้...” เมษทำตาโตก่อนจะยิ้มออกมาอย่างนึกขัน “จริงเหรอพ่อ แม่เนี่ยนะ... เอาจริงเหรอ” ว่าแล้วเธอก็หัวเราะชอบใจออกมาอย่างไม่อาจจะอดกลั้นได้อีก
“อ้อ แล้วมีอีกเรื่อง ไหนๆก็ไหนๆนะ แถมพ่อกับแม่ยังให้ความร่วมมือเต็มที่ขนาดนี้แล้ว...” เมษบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการไปยังปลายสายอีกครั้ง “ยังไง ถ้าน้าพิมอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม น้าพิมจะโทรหาเมษหรือจะให้เมษโทรไปก็ได้นะแม่” ตอนนี้แม่กลับมาพูดกับเธออีกครั้ง

“แม่จ๋า...” เมษส่งเสียงอ่อนหวานไปยังปลายสายอีกครั้ง “ขอบคุณมากนะจ๊ะที่ช่วยหนู ฝากขอบคุณพ่อด้วยนะ”

เมษวางสายไปแล้ว ในใจนึกทึ่งในเส้นสายมากมายที่ตัวเองมีอยู่ แต่ไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้ง นี่ถ้าเราเลวกว่านี้อีกหน่อย ป่านนี้คงเป็นใหญ่เป็นโตไปแล้วเหมือนกันนะนี่ นึกในใจได้ดังนั้น แล้วจึงหัวเราะออกมาในที่สุด

ต่อไป

“พี่เมษ หวัดดีค่ะ” ปลายสายเจื้อยแจ้วออกมาทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่โทรมาเป็นใคร

“จอย เรื่องที่พี่ไหว้วานไป ถึงไหนแล้วจ๊ะ”

“เรียบร้อยพี่... ได้เรื่องแล้ว”

“งั้นเราคงต้องเจอกันหน่อยแล้ว รายละเอียดมันคงไม่สะดวกคุยกันทางโทรศัพท์”

“นัดมาเลยพี่เมษ”

“จอย ขอบใจมากนะ พี่เป็นหนี้จอยเลยหนนี้”

“เลี้ยงข้าวหนูมื้อนึงก็พอ” นักข่าวสาวรุ่นน้องว่าอย่างติดตลก

“ไม่ต้องห่วง พี่ให้จอยได้มากกว่านั้นอีก” เมษนัดแนะพูดคุยกับนักข่าวเรียบร้อยแล้ว จึงวางสายไป

ยังเหลือใครอีกหนอ

ตลอดช่วงบ่ายของวันนั้น งานด่วนของเมษก็คือการโทรศัพท์อย่างบ้าคลั่งชนิดที่ทำเอาเจ้าตัวถึงกับถอนหายใจออกมาหนักๆเมื่อวางสายสุดท้ายของวันนี้ลง

มันต้องได้เรื่องสิน่า เธอนึกกับตัวเองอย่างหมายมั่นปั้นมือ

*********************

นักแสดงสาวนั่งกรีดกรายเปิดอ่านบทละครในมือ ฉากต่อไปต้องรอถึงเย็น เธอจึงยังพอมีเวลานั่งสบายๆได้อยู่พอสมควร เมื่อเหลือบไปเห็นนิตยสารซุบซิบที่ถือติดมือมาด้วย เธอก็บรรจงวางบทละครในมือลง และหยิบนิตยสารเล่มนั้นขึ้นมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จนถึงขนาดจำได้แล้วว่าหน้าที่ต้องเปิดดูนั้นอยู่หน้าไหน พอได้เห็นก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจไม่ได้ไปเสียทุกครั้ง

ทำไมไหมจะไม่รู้ว่า ถึงอย่างไรน้ำต้นก็ไม่มีวันกลับมารักเธออีกต่อไปแล้ว เผลอๆตอนนี้คงเกลียดเธออย่างกับอะไรดี ก็ช่างปะไร เอาเข้าจริงๆเธอเองก็ไม่ได้นึกรักเขามาแต่ไหนแต่ไรเหมือนกัน แค่หวังว่าถ้าได้กลับมาคบกันอีกก็คงจะดี ถือว่าเกาะกันดังไป ตอนแรกเธอก็เข้าใจว่า หรืออาจจะเป็นเพราะเธอยังรักเขา จึงอยากจะได้เขาคืนมาอีก แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้น เธอจึงเข้าใจว่าที่เธอทำไปทั้งหมด มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีต่างหาก เธอแค่อยากจะเอาชนะเท่านั้นเอง แม้จะไม่ถึงกับชนะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายหน้าโง่อย่างน้ำต้น มันก็ต้องเจอกับอะไรแบบนี้แหละถึงจะสาสม กล้าดีอย่างไร ถึงได้ด่าว่าเธอขนาดนั้น คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน

โธ่เอ๋ย ไอ้เราก็หลงคิดว่าเป็นผู้ชายแท้ๆ สุดท้ายก็เป็นพวกไม้ป่าเดียวกัน นึกแล้วให้น่าขนลุก นี่เธอเคยหลงชอบคนแบบนี้ได้ยังไงกันนะ แถมยังยอมเปลืองตัวประกาศออกรายการว่าจะกลับมาคบกันอีกต่างหาก แล้วเป็นไงล่ะ ตอนนี้เลยกลายเป็นรักสามเส้าระหว่างชายสองหญิงหนึ่งที่พลิกล็อก ผู้ชายอีกคนกลับไปเลือกผู้ชายอีกคน อีรุงตุงนังไปหมด ไปๆมาๆ ประเด็นที่น้ำต้นคบกับผู้ชายก็กลบข่าวรักรีเทิร์นของเธอไปเสียอย่างนั้น บ้าบอดีจริงๆ ต่อไปจะเอาแบบไหนอีกดีนะ ถึงจะสาสมกับความแค้นที่เธอมี

“น้องไหมคะ สะดวกหรือเปล่า พี่ขอคุยด้วยหน่อย” ผู้จัดละครร่างอวบเดินเข้ามานั่งลงโดยไม่ต้องรอการอนุญาตจากเธอ

“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่ปุ๊ก” เธอนึกเอะใจเมื่อเห็นสีหน้าที่นิ่งสนิท ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนอย่างทุกวันของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นถึงผู้จัดละครเบอร์หนึ่งของเมืองไทย

“พี่ขอพูดตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมนะ ละครอาจจะต้องมีการตัดบทของน้องไหมออก แล้วก็อาจจะต้องเร่งให้ปิดกล้องเร็วขึ้น”

“อะไรนะคะพี่ปุ๊ก” นักแสดงสาวร้องเสียงสูง “ทำไมทำแบบนี้ล่ะคะ”

“ก็ ทีมของเราประชุมกันแล้ว เราอยากจะเร่งให้ปิดเร็วขึ้น เพราะมีเรื่องใหม่มาจ่อคิวรออยู่แล้ว ทางช่องเขาเร่งมา”

“แต่ทำอย่างนี้ไม่ถูกนี่คะ” เธอนิ่วหน้า

“อีกอย่างนึง ละครเรื่องหน้าที่ทางกองเขามาเกริ่นๆกับไหมเอาไว้ พี่คงต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ”

“ทำไมอีกล่ะคะ” ตอนนี้น้ำเสียงของนักแสดงสาวเริ่มที่จะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเสียแล้ว

“ก็มีคนอื่นที่เหมาะกับบทนี้มากกว่า เราเองก็อยากได้นักแสดงหน้าใหม่ด้วย”

“แต่ไหมก็ยังถือว่าไม่ใช่หน้าเก่านี่คะ” เธอเถียงอย่างอดไม่ได้

“เราดูที่ความเหมาะสมมากกว่าจ้ะไหม ละครพี่ ไม่ได้จำเป็นว่า นักแสดงจะต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างเดียว มันต้องดูกันที่ฝีมือด้วย” ไหมถึงกับคอแข็งเถียงไม่ออก “แค่นี้แหละค่ะที่พี่อยากคุยด้วย ยังไงก็ขอบคุณไหมมากนะคะ” ว่าแล้วผู้จัดสาวใหญ่ก็ลุกขึ้นและเดินออกไปทันที ทิ้งให้นักแสดงสาวสวยนั่งงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว

**********************

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
“พี่เอ้ นายเรียก” โปรแกรมสาวในห้องส่งยื่นหน้าเข้ามาเรียกตัวชายหนุ่มที่หน้าตาโทรมเหมือนคนอดนอนหลังจากจัดรายการเสร็จลงไปหมาดๆ ใจหนึ่งก็อดแปลกใจไม่ได้ที่จู่ๆนายใหญ่ของคลื่นเกิดอยากพบตัวเขาขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนเสียเฉยๆ ชายหนุ่มหอบกระเป๋าเดินออกมา ก่อนจะเลี้ยวไปยังอีกฝั่งที่แยกออกจากสตูดิโอจัดรายการออกไป เมื่อมาถึงเอ้ก็เคาะประตู

“เชิญค่ะ” ชายหนุ่มเดินเข้าไป เขายกมือไหว้ผู้หญิงวัยราวสี่สิบต้นๆที่มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารคลื่นวิทยุหลายๆคลื่นที่บริษัทนี้เป็นเจ้าของที่กำลังนั่งง่วนกับงานเอกสารตรงหน้า แม้จะอยู่ในวัยสี่สิบ แต่เธอก็ยังดูสาวกว่าอายุจริงมากนัก “นั่งสิ” เธอว่า

“เอ้... เราจัดรายการที่นี่มากี่ปีแล้ว” เธอว่าอย่างเป็นการเป็นงานหลังจากที่วางมือจากงานบนโต๊ะแล้ว

“เกือบสองปีแล้วครับ”

“ที่ผ่านมา พี่ก็ไม่เห็นว่าเราจะมีปัญหาอะไรนะ นอกจากพักหลังที่พี่ว่าเราจัดพลาดบ่อย บางทีก็พูดผิดพูดถูกเหมือนไม่ค่อยได้ทำการบ้านมา บางทีก็ปล่อยให้มีเดดแอร์ ทำงานมาขนาดนี้ ไม่น่าจะผิดพลาดกับเรื่องแค่นี้ได้นะเอ้” เธอจ้องเขาเขม็ง

“เอ่อ... คือ พอดี ช่วงนี้มีปัญหานิดหน่อยครับพี่” เขาตอบอ้อมๆแอ้มๆ ไม่เถียงเพราะเรื่องที่นายว่ามาเป็นเรื่องจริงทุกประการ พักหลังเขาเที่ยวหนัก พักผ่อนน้อยยังไม่พอ ยังมีเรื่องของนนท์กับน้ำต้นต้องจัดการอีก แถมนี่ยังต้องเลิกกับพีทอีก ก็เลยยิ่งดื่มหนักกว่าเดิม

“ปัญหาอะไรนักหนาถึงปล่อยให้กระเทือนมาถึงงานได้” น้ำเสียงนั้นเข้มขึ้นจนคนฟังถึงกับหงอไปเหมือนกัน

“เอาล่ะ พี่จะพูดกับเอ้ตรงๆล่ะนะ ปัญหาที่พี่พูดไปน่ะ ยังถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่พี่ได้ยินมา” เอ้ นิ่วหน้าก่อนจะหันไปสบตากับอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ได้ยินมา ได้ยินอะไรครับ”

“เอ้ พี่ไม่โง่นะ ลูกน้องพี่ไปทำอะไรเอาไว้ พี่จะไม่รู้เชียวหรือ เธอบอกพี่มาตามตรงซิ ว่าจ้างช่างภาพไปตามถ่ายรูปน้ำต้นแล้วเอาไปลงหนังสือ หวังจะทำลายเขาน่ะ”

“เฮ้ย...” เอ้ตาโตทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ออกจากปากผู้เป็นนาย

“น้ำต้นอยู่บริษัทเดียวกับเรานะเอ้ เขาเป็นศิลปินของเรา เขาคืออนาคตคนนึงที่สำคัญมากของเรา ทำไมถึงกล้าทำแบบนี้ อันที่จริงอย่าว่าแต่กับคนในค่ายเราเลย ถ้าพี่รู้ว่าลูกน้องพี่ ไปทำแบบนี้กับใคร พี่ก็คงไม่ชอบเหมือนกัน แต่นี่...” เธอหยุดพูดและพยายามอย่างยิ่งที่จะระงับอารมณ์เอาไว้ “ทำไมถึงทำแบบนี้ ถามหน่อยซิ” น้ำเสียงนั้นคาดคั้น

เอ้หน้าซีดขาวเป็นกระดาษ เรื่องแบบนี้มาถึงหูนายเขาได้อย่างไร มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย ทำยังไงดีเอ้ จะทำยังไงดี

“ไม่เป็นไร จะไม่ตอบคำถามพี่ก็ได้” เธอว่าด้วยสีหน้าเยือกเย็น “แต่พี่เลี้ยงคนแบบนี้เอาไว้ไม่ได้หรอกนะเอ้ คนที่ใช้วิธีสกปรกกลั่นแกล้งคนอื่นแบบนี้ พี่ไม่เอา”

“พี่...” เอ้พูดไม่ออก

“ไม่ต้องมาจัดรายการแล้วนะ เดี๋ยวพี่จะหาคนมาทำแทนเอง เธอมาเขียนใบลาออกซะก็แล้วกัน อย่าให้ถึงขั้นว่าพี่เป็นคนไล่เธอออกเลย เรื่องเงินชดเชยอะไรเดี๋ยวพี่ให้ฝ่ายบุคคลจัดการให้ ต่อไปนี้เธอไม่ใช่พนักงานของที่นี่อีกแล้ว” เอ้ได้แต่อ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางศีรษะก็ไม่ปาน “หมดธุระแล้ว เชิญ” แล้วจึงหันไปกดสปีกเกอร์โฟนก่อนจะพูดกรอกลงไป “พี่เสร็จธุระตรงนี้แล้ว เดี๋ยวจัดการที่เหลือแทนพี่ด้วยนะ”

“ครับ”

“อ้อ อีกอย่าง เธออย่าคิดเรื่องฟ้องร้องหาว่าพี่ไม่เป็นธรรมกับลูกน้องนะ เพราะที่พี่พูดมาน่ะ พี่มีหลักฐานพร้อม ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำเถอะ ถ้าไม่อยากปิดประตูอนาคตตัวเองไปเสียก่อน ออกไปเงียบๆแบบนึ้คือหนทางเดียวของเธอจริงๆ”

เอ้ได้แต่ก้มหน้าและเดินเซื่องๆออกไป อย่างไม่อาจจะแก้ตัวอะไรได้อีก ปล่อยให้อดีตเจ้านายมองตามหลังเขาไปพร้อมกับส่ายหน้า เด็กเอ๋ย ทำลายตัวเองแท้ๆ

***********************

หญิงสาวเปิดประตูเข้าห้องมาด้วยอารมณ์ที่ยังคุกกรุ่นได้ไม่ทันไร ก็มีโทรศัพท์เข้ามาหาเธออีกแล้ว มันน่าหงุดหงิดนัก เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของผู้จัดการส่วนตัวของเธอ จึงกดรับ

“โทรมาก็ดีแล้วพี่ ไหมมีเรื่องอยากคุยด้วย” ปลายสายถึงกับงงงวยกับปฏิกิริยาของหญิงสาว

“งั้นน้องไหมว่ามาก่อนเลยค่ะ พี่ก็มีเรื่องต้องคุยกับหนูเหมือนกัน”

“วันนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จู่ๆพี่ปุ๊กก็จะลดบทในละครที่กำลังถ่ายทำอยู่ลง แล้วก็บอกปัดเรื่องหน้าไปแล้วด้วย ไหมงงมากเลยนะ แต่โกรธมากกว่า มาทำกันแบบนี้ได้ยังไง” เธอระบายออกมาอย่างอัดอั้น

“น้องไหมไม่รู้หรือคะว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เอ๊ะ! ถ้ารู้ ไหมคงไม่มานั่งหงุดหงิดอยู่อย่างนี้หรอกค่ะพี่” เธอแหวใส่ปลายสายอย่างไม่สบอารมณ์

“งั้นน้องไหมเตรียมใจเอาไว้เลยนะคะ” ผู้จัดการสาวว่าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“เกิดอะไรขึ้นอีกคะ”

“ไม่ใช่แค่พี่ปุ๊กนะไหม แต่ผู้จัดรายอื่นทุกช่อง บอกยกเลิกบทของไหมหมดเลย ทุกรายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ได้ตัวนักแสดงคนอื่นมาแทนหมดแล้ว”

“อะไรนะ!” ไหมถึงกับแผดเสียงออกมา “นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”

“ยังไม่หมดค่ะ งานอีเวนต์ งานโชว์ตัวทั้งหมด ออร์กาไนเซอร์ก็ยกเลิกคิวไหมหมดแล้ว อย่าถามพี่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ต้องถามไหมมากกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ตอนนี้แม้แต่น้ำเสียงของผู้จัดการส่วนตัวของเธอเองก็เริ่มที่จะหงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้นัดหมายนี้เช่นกัน

“ไหมไม่รู้ โอ๊ย... นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ย!!!”

“ที่แย่คือเรื่องละครน่ะ เราไม่ได้สังกัดกับช่องไหน เราจึงไม่มีสัญญาผูกมัดอะไรกับใคร ดังนั้นถ้าเขายกเลิกกับเรา เราก็ไปว่าอะไรเขาไม่ได้”

“บ้า! บ้า! บ้า!” ไหมออกฤทธิ์อาละวาดตีอกชกหัวตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่

“พี่ก็ไม่เคยเจอนะเรื่องแบบนี้ ประเด็นคือ ไหมแน่ใจนะว่าไม่ได้ไปทำเรื่องอะไรไว้”

“นี่... พี่จะมาพูดกับไหมเหมือนไหมเป็นผู้ร้ายแบบนี้ไม่ได้นะ ไหมเป็นดาราดังนะพี่” เธอตะคอกออกไปอย่างเหลืออด

“ไหม พี่จำเป็นต้องถามนะ ตั้งแต่พี่เป็นผู้จัดการดารามา ยังไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย แล้วถ้าไหมไม่มีงาน พี่เองก็กระเทือนเหมือนกัน”

“อ๋อ แน่ล่ะสิ หน้าไหนมันก็หวังเงินด้วยกันทั้งนั้นแหละ!”

“ไหม!” ปลายสายเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง

“ทำไม มันบาดใจใช่ไหม แค่พูดความจริงแค่นี้ ยอมรับไม่ได้เหรอ หน้าบางนักเหรอ!?!”

“... เอาเถอะ คุยกันตอนนี้คงไม่รู้เรื่อง สงบสติอารมณ์ซะ แล้วค่อยมาคุยกันใหม่” โดยไม่รอคำตอบใดๆ อีกฝ่ายกดวางสายทันที

“เฮงซวย!” ไหมขว้างโทรศัพท์ลงบนโซฟาเนื้อนุ่ม มันจึงไม่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆไปเสียก่อน

“อย่าให้รู้นะ ว่าเป็นฝีมือของใคร” แต่หญิงสาวก็ทำได้แค่ขบเขี้ยวอย่างแค้นเคืองและไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านั้น

**********************

ชายหนุ่มกลับเข้ามาทำงานเป็นวันแรกหลังจากออกจากโรงพยาบาล แม้หน้าตาของนนท์จะสดใสขึ้นมาก แต่ดูเหมือนว่าเขากลับดูเงียบขรึมมากขึ้นไปอีก
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว ในที่สุด นนท์ก็ได้เห็นภาพที่ลงในนิตยสารซุบซิบต้นตอข่าวที่สร้างความฮือฮากันไปทั่ววงการนั่นเสียที วันนั้นทั้งวันนนท์ไม่อยากพบใคร ไม่ออกไปไหน ขังตัวเองเอาไว้ในห้องนอนอยู่อย่างนั้นจนถึงเช้าของอีกวัน โดยอ้างกับทุกคนว่ารู้สึกเพลียและอยากพักผ่อน ทั้งที่เขาใช้เวลาตลอดทั้งคืนเพื่อที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่าง

นนท์เดินเอากระเป๋าไปวางไว้ที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกา อีกสิบห้านาที เขานั่งลง เปิดโน้ตบุ๊กเป็นกิจวัตรเหมือนทุกครั้งที่มาถึงที่ทำงาน ขณะรอให้เครื่องพร้อมสำหรับการทำงาน นนท์หยิบสมุดโน้ตขึ้นมา เปิดดูอะไรต่อมิอะไรไปพลางๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าหนึ่งในนั้นนานกว่าหน้าอื่นๆ
เหลืออีกเพลงหนึ่ง อีกแค่เพลงเดียวเท่านั้นที่แต่งอย่างไรก็ไม่ถูกใจเขาเสียที

คงต้องเร่งมือหน่อยแล้ว

นนท์มองนาฬิกาอีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจลุกขึ้น เขาเดินตรงไปยังห้องทำงานของมิ่ง ชั่งใจอยู่เป็นครู่แล้วจึงเคาะประตู เมื่อมีเสียงตอบรับ จึงเปิดเข้าไปแล้วก็ได้เห็นว่านรเศรษฐ์มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“พี่มิ่ง พี่นอ สวัสดีครับ” นนท์ยกมือไหว้ทั้งสองคน “นนท์ทำให้ต้องรอกันหรือเปล่าครับพี่”

“เปล่าๆๆ” นรเศรษฐ์ปฏิเสธเป็นพัลวัน “ก็เห็นว่าไหนๆก็ต้องมาอยู่แล้ว พี่ก็เลยมาเร็วหน่อย กะมาคุยอะไรกับพี่มิ่งเขาพอดี” นนท์ยิ้มพลางพยักหน้า ไม่ได้ว่าอะไรอีก

“ว่าแต่นนท์มีอะไรด่วนหรือ ถึงได้ขอให้พี่มาคุยด้วย” นรเศรษฐ์ถามอย่างสงสัย

“ก็ไม่ได้เร่งด่วน แต่ก็สำคัญมากครับ” นนท์ว่าด้วยสีหน้าหมองลงไปอย่างรู้สึกได้ “แต่ก่อนอื่น นนท์เอางานมาส่งครับ ที่ค้างๆเอาไว้ ทั้งที่เก็บตกแล้วก็ที่บอกว่าจะเพิ่มเติม เหลือแต่ให้พี่มิ่งกับพี่นอได้ฟังแล้วเคาะอีกที อ้อ แล้วก็มีอีกเพลงนึง เนื้อร้องยังไม่เสร็จ แต่นนท์จะเร่งให้ภายในอาทิตย์นี้แน่นอน”
มิ่งกับนรเศรษฐ์หันไปมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจ

“ทำไมถึงเร่งส่งงานอย่างนี้ล่ะนนท์ เวลาก็ยังเหลือไม่ใช่เหรอ” มิ่งถาม

“พอดี นนท์อยากจะขออะไรพี่มิ่งนิดหน่อย แล้วก็คงต้องขอพี่นอด้วยน่ะครับ”

ยิ่งได้เห็นสีหน้าท่าทางของนนท์ ทั้งโปรดิวเซอร์ทั้งมิวสิกได้เร็กเตอร์ก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่ตรงหน้าขึ้นมาอย่างไม่อาจจะปิดบัง

“นนท์ เป็นอะไรหรือเปล่า” มิ่งถาม “พวกพี่เป็นห่วงนนท์มากนะ”

“นนท์ทราบดีครับ” เขาว่า พลางยกมือไหว้คนที่เขารักและนับถือไม่ต่างอะไรกับพี่ชายแท้ๆ “แล้วก็ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง และสร้างปัญหาให้พวกพี่ต้องเป็นกังวลและวุ่นวายกันไปหมด”

“เฮ้ย... เราพี่น้องกันนะ ถ้าพี่ไม่ช่วยน้องแล้วใครจะช่วย” นรเศรษฐ์ว่าพลางยกมือขึ้นแตะบ่าของชายหนุ่มเบาๆ

“นนท์รู้ดีว่าที่ผ่านมาก็สร้างปัญหาให้พวกพี่พอสมควร แต่ก็ยังอยากจะขอความช่วยเหลือจากพวกพี่อีกสักครั้ง ได้ไหมครับ”

พี่ชาย ทั้งสองคนได้แต่มองหน้ากันปริบๆ กลัวสิ่งที่กำลังจะได้ยินต่อจากนี้ไปเหลือเกิน

******************

น้ำต้นลงลิฟต์มาหาพี่นนท์เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ในใจหมายมั่นปั้นมือจะพาพี่ชายไปหาอะไรอร่อยๆมื้อใหญ่ทานเสียหน่อย งานนี้แหละจะได้ขุนกันให้อ้วนไปเลยเสียที ผอมเหลือเกินพี่นนท์ของเรา น้ำต้นเดินดุ่มเข้าไปที่โต๊ะทำงานของนนท์ แต่ก็ไม่มีร่างของคนที่ตามหาแต่อย่างใด เจ้าตัวจึงหันหลังกลับและเดินตรงไปยังห้องทำงานของมิ่งราวกับรู้ล่วงหน้า แต่ก่อนจะเดินไปถึง ประตูก็เปิดออก พร้อมกับนนท์ที่หน้าตาไม่สดชื่นเอาเสียเลยเดินออกมาพอดี พอเห็นน้ำต้น นนท์ก็ปรับสีหน้าให้ดูสดใสขึ้นทันที

“ตามลงมาถึงนี่เลยเหรอเรา” เขาทักน้องชายอย่างอารมณ์ดี

“พี่เข้าไปคุยอะไรกันตั้งนาน” น้ำต้นถามอย่างสงสัย

“ก็เรื่องงานนี่แหละ พี่เป็นพนักงานของที่นี่นะครับ ไม่ทำงานบ้าง เดี๋ยวโดนไล่ออกปะไร”

“งั้นคุยกันเสร็จแล้วใช่ไหม” นนท์หันไปพยักหน้า “ไปหาอะไรกินกันนะ ต้นเล็งร้านดีๆเอาไว้แล้ว”

“งั้นไปกดลิฟต์รอไป เดี๋ยวพี่ไปเอากระเป๋า แล้วจะตามไป” นนท์ยิ้มให้น้องชายที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ลิฟต์อย่างว่าง่าย

เขาได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไปอย่างเศร้าสร้อย

*********************

ข่าวลือเรื่องดีเจหนุ่มคลื่นดังถูกปลดฟ้าผ่ากลางอากาศกลายเป็นที่พูดถึงอยู่ไม่ทันไร ก็มีข่าวดาราสาวชื่อดังถูกคนในวงการบอยค็อตขนาดที่ว่าไม่มีใครจ้างทำงานอีกต่อไป เมื่อมีประเด็นให้เล่น แต่ไม่มีที่มาที่ไปที่ชัดเจนแบบนี้ ก็หวานหมูนิตยสารหลายๆเล่มที่ถนัดนักเรื่องนั่งเทียนเขียนข่าวแรงๆ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่พอเป็นข่าวของฝ่ายดีเจหนุ่มคนนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกัน แถมยังสำส่อนได้ใจ หนักเข้าก็โดนลือไปถึงว่าเล่นยาเสพติดบ้าง ติดหนี้พนันบ้าง เจ้าแม่ใหญ่ประจำคลื่นจึงต้องปลดออกเพราะทนพฤติกรรมเหลวแหลกเหล่านี้ไม่ไหว ประเด็นที่ว่าเขาเคยเป็นแฟนกับนักแต่งเพลงหนุ่มก่อนหน้านี้จึงถูกกลบเกลื่อนไปในที่สุด

ด้านดาราสาวชื่อดัง ก็มีข่าวลือออกมาว่าหลังจากไม่มีงานเข้ามาเลย ก็ได้รับการทาบทามจากหนังสือแนวปลุกใจเสือป่าให้ไปถ่ายแบบ หนักเข้าเธอก็กลายเป็นเด็กเสี่ยที่ไหนสักคนไปเสียแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ดูเหมือนใครต่อใครที่อ่านข่าวเหล่านี้ก็พร้อมจะเชื่อขึ้นมาเสียสนิทใจทีเดียว

“ไหมเล่นผิดคนแล้วล่ะรู้ไหม” ผู้จัดการส่วนตัวของดาราสาวเอ่ยออกมาในที่สุดเมื่อเห็นสภาพของนักแสดงสาวที่วันนี้เกล้าผมเอาไว้ลวกๆ สวมเสื้อยืด และกางเกงยีนส์ธรรมดา ดวงตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้ถูกปกปิดโดยแว่นตาสีชา แม้จะนั่งอยู่ในร้านที่มีไฟสลัวแบบนี้ก็ตาม

“ไหมไม่ได้ทำอะไรใคร” เธอกัดริมฝีปากอย่างดื้อดึง

“ไหม พี่ขอล่ะ มาถึงขั้นนี้แล้ว” เธอว่าอย่างอ่อนใจ

“มันทำได้ยังไง พี่แก้ว! นักร้องอย่างมันทำกับไหมถึงขนาดนี้ได้ยังไง”

“แล้วไหมไปทำกับเขาแบบนั้นได้ยังไง” ผู้จัดการสาว ไม่ยอมบอกว่าเธอรู้อะไรมาบ้าง แต่สิ่งที่เธอได้รับรู้มาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักแสดงสาวผู้นี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นี่แหละหนอ ที่เขาว่าเวรกรรมมันตามทันไวอย่างกับติดจรวด ทำอะไรกับเขาเอาไว้ไม่รู้จักคิด พอโดนเข้ากับตัวก็ฟูมฟายเสียจะเป็นจะตาย เธอไม่รู้ว่าควรจะสงสารหรือสมเพชหรือสมน้ำหน้าหญิงสาวผู้นี้ดี ดูเอาเถอะ ตัวเองมีทั้งทรัพย์สมบัติ มีรูปสมบัติอยู่อย่างเพียบพร้อม ฝีมือการแสดงก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ฝึกฝนต่อไปขี้คร้านงานจะวิ่งเข้ามาชนจนรับไม่ไหว แต่เพราะความถือดีงี่เง่า ความอยากเอาชนะโดยปราศจากเหตุผล และไม่สนวิธีการ จึงนำพาตัวเองมาสู่จุดนี้

นี่แหละหนอวงการมายา วันนี้อยู่จุดสูงสุด อีกวันอาจจะร่วงหล่นลงมาตกต่ำได้ราวกับพลิกผ่ามือ คนที่เวียนว่ายอยู่ในนี้จึงต้องระมัดระวังตัวเองไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม

“ไหมไม่ต้องสนหรอกว่าเขาทำได้ยังไง ไหมลองไตร่ตรองดูว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง” เธอย้ำ หญิงสาวเบือนหน้าหนี เธอยังกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นราวกับพยายามหักห้ามน้ำตาที่ไหลออกมา “เรื่องนี้มันร้ายแรงมากเลยนะ”

ไม่ต้องบอกก็รู้ เมื่อวานเธอไปหาเอ้มา เห็นสภาพเอ้แล้วทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเอ้โดนอะไรมาบ้าง ห้องของอดีตดีเจหนุ่มเละเทะบ่งบอกว่าเจ้าของไม่ได้สนใจไยดีอะไรกับมันมาเป็นอาทิตย์ กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งยิ่งทำให้ห้องส่งกลิ่นเหม็นอับน่าเวียนหัว เอ้เปิดประตูออกมาในสภาพที่ย่ำแย่เต็มทน ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาทรุดโทรมจนดูไม่ได้ หนวดเคราขึ้นหรอมแหร็ม เขาอยู่ในสภาพตกงานและสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง เอ้เป็นดีเจ งานอื่นๆของเขายังนับว่าน้อยมาก เมื่อถูกไล่ออกก็หมายถึงหนทางที่ปิดตายจนหมดสิ้น เขาอยู่ในสภาพที่ต้องย้ายออกจากคอนโดเร็วๆนี้ เพราะไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าได้ เงินชดเชยที่ได้มาไม่ใช่หลักประกันอะไรอีกต่อไป

ถึงแม้เอ้จะร้ายกาจนัก แต่เขาก็ไม่ใช่คนใจสู้อะไร ยิ่งรู้ตัวว่าเรื่องที่ทำลงไปหลายเป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ เขาจึงสิ้นหวังอย่างที่สุด และไม่อาจจะลุกขึ้นมาสู้กับอะไรได้อีกแล้ว

ไหมไม่รู้ว่าเอ้จะเอาอย่างไรกับอนาคตของตัวเองต่อไป เธอไม่คิดหวังพึ่งอะไรกับคนๆนี้อีก จึงจากมาเสียอย่างนั้น และไม่สนใจอยากรู้ข่าวคราวอะไรของเอ้อีกแล้ว ตอนนี้เรื่องเดียวที่เธอสนใจก็คืออนาคตของตัวเองที่ไม่รู้จะออกหัวหรือก้อยกันแน่ ว่าตามจริง เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำกับทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามา เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะใครและทำได้อย่างไร จึงได้ชี้เป็นชี้ตายอนาคตในวงการของเธอได้ถึงเพียงนี้ เธอออกจะตกใจกับผลที่ตามมาเสียด้วยซ้ำ

“น้ำต้นเป็นนักร้องเบอร์หนึ่งของค่ายนะไหม ค่ายนั่นคือเบอร์หนึ่งของเมืองไทย น้ำต้นอาจจะไม่มีอำนาจเส้นสายอะไร แต่คนที่แวดล้อมเขาน่ะเราไม่รู้ อีกอย่างเด็กคนนั้นเป็นที่รักของใครต่อใครตั้งมากมาย เราไปทำร้ายเขา ก็เหมือนไปทำร้ายล่วงเกินคนอื่นที่ชื่นชมเขาด้วยเหมือนกัน”

ไหมได้แต่ปล่อยให้น้ำตาอาบแก้มพร้อมกับสะอึกสะอื้นออกมา

“ทำไมไหมไม่คิดบ้างคะ ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง” เธอลดความเข้มงวดในน้ำเสียงลงเมื่อเห็นว่าไหมร้องไห้หนักเพียงไร

“ไหม... ไหมไม่ทันคิดเลยจริงๆ ไหมได้แต่โกรธ ได้แต่แค้นที่เขามาทำลายศักดิ์ศรีเรา ไหมแค่อยากเอาชนะเขา”

“พี่หวังว่ามันจะกลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของไหมนะ” ว่าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา “บอกตามตรง พี่ไม่มั่นใจเลยว่า ไหมจะกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับมาได้มากแค่ไหนเหมือนกัน”

“แล้วไหมจะทำยังไงดี” เธอถึงกับคร่ำครวญออกมาอย่างสิ้นหวัง เมื่อสำนึกได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันร้ายแรงกว่าที่เธอคิดเอาไว้มากมายนัก

“เรื่องนี้พี่ก็พอจะรู้ที่มาที่ไปอยู่บ้าง แล้วทางผู้จัดน่ะ เขาก็ไม่ได้ถึงกับแบนเราไปตลอดหรอก เขาก็แค่เหมือนแช่แข็งเราเอาไว้ก่อน”

หญิงสาวยังคงร้องไห้ต่อไป

“ขอพี่ถามอะไรไหมสักหน่อยเถอะ เรายังรักที่จะทำงานในวงการนี้หรือเปล่า หรือไม่อยากอยู่แล้ว เพราะพี่เองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าไหมตั้งใจจะเข้ามาทำอะไรกันแน่”

“ยังไงไหมก็รักการแสดงนะพี่ ไหมอาจจะลืมตัว คิดว่าตัวเองแน่มากมาก่อนทั้งที่ไหมยังไม่รู้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่เลย พอได้ใจก็เลยคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่ไหมแน่ใจว่ายังรักที่จะทำงานอยู่”

“งั้นพี่ก็จะช่วยนะ แต่พี่รับปากไม่ได้เหมือนกันว่าจะช่วยได้แค่ไหน” นักแสดงสาวมองหน้าผู้จัดการสาวอย่างมีความหวังขึ้นมา

“แล้วรับปากพี่ว่า ต่อไปก็ตั้งใจทำงาน อย่าไปทำผิดคิดร้ายกับใครแบบนี้อีก นี่มันไม่ใช่ละครหลังข่าวนะไหม มันชีวิตจริง ผลของมันร้ายแรงกว่าที่เราจะคาดคิดเอาไว้มากมายนัก”

ไหมยกมือไหว้ขอบคุณหญิงสาวที่นั่งสั่งสอนเธออยู่เป็นนานอย่างนึกขอบคุณ จริงอยู่ว่าคำพูดหลายๆคำนั้นสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอเหลือเกิน แต่เธอก็ต้องยอมรับมัน เพราะล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น เธอโง่และสิ้นคิดขนาดที่เอาอนาคตของตัวเองลงไปเสี่ยงเพื่อทำลายชีวิตคนอื่น ที่จริงเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยด้วยซ้ำ แต่เธอกลับยังพอมีโอกาสเหลืออยู่บ้าง ผิดกับเอ้ที่ไม่น่าจะเหลือโอกาสใดๆสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว

“เช็ดน้ำหูน้ำตาซะ แล้วกลับไปพักผ่อน พี่จะโทรไปบอกไหมอีกทีก็แล้วกัน ยังไงพี่ก็ยังเป็นผู้จัดการไหมอยู่นี่นะ” เธอว่าพลางถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน

“ไหมขอโทษนะพี่” นักแสดงสาวยกมือไหว้อีกครั้ง “ที่พูดไม่ดีกับพี่เอาไว้เยอะ แต่พี่ก็ยังมีน้ำใจกับไหม แล้วก็ขอบคุณนะคะ”

ผู้จัดการสาวรับไหว้พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างจริงใจ

“แล้วพี่จะโทรไปบอกไหมนะ” เธอว่าอย่างอ่อนโยนก่อนจะลุกออกไป ปล่อยให้ไหมนั่งนิ่งคิดอะไรคนเดียวอยู่เป็นนาน จนกระทั่งเธอตัดสินใจลุกขึ้น และขับรถกลับที่พักของตัวเองในที่สุด

*********************

วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสินะ ขอบคุณพี่นอกับพี่มิ่งที่ไม่หลุดปากบอกอะไรกับใครมาตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา

เขาใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้จัดการงานทุกอย่างที่เหลืออยู่ มิ่งกับนรเศรษฐ์ลงมาช่วยดูแลงานในส่วนดนตรีสำหรับอัลบั้มใหม่ของน้ำต้นอย่างใกล้ชิดและเคร่งเครียดมากขึ้น ส่วนเวลาว่างที่เหลือก็มีน้ำต้นที่ทำตัวติดกับเขาไม่ห่าง พี่นนท์ไปไหน น้ำต้นเป็นต้องไปด้วยเสมอ

นนท์นึกแปลกใจอยู่บ้างที่ข่าวคราวเสียหายดูจะซาลงไปอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะมีประเด็นข่าวร้อนแรงใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวันกระมัง ข่าวลือร้ายๆที่เกิดแก่น้ำต้นจึงเลือนหายไปได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ แม้จะดูเหมือนกับนิตยสารทุกเล่มพร้อมใจกันหยุดลงข่าวพวกนี้อย่างพร้อมเพรียงกันจนน่าแปลกใจก็ตามที เป็นเรื่องที่ดี และทำให้เขาเบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง แต่...
น้ำต้นจะต้องเจอกับเรื่องแบบนี้อีกกี่ครั้งกันถ้ามีเขาอยู่ด้วย

นนท์นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเหมือนคนอ่อนแรงที่ใกล้จะล้มลงเต็มที แต่ก็ยังฝืนหยิบโทรศัพท์ข้างตัวขึ้นมา

“น้ำต้นครับ” เขาเรียกปลายสายอย่างคุ้นเคย “เย็นนี้ไปหาอะไรกินกัน พี่เลี้ยงเอง” นนท์ยิ้มเศร้าๆออกมาเมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างดีใจไม่ปิดบังออกมาจากอีกฝ่าย ช่างซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆน้ำต้น “ได้ครับ... ตอนเย็นเจอกันนะ”

ชายหนุ่มวางสาย ก่อนจะรำพึงออกมาเบาๆว่า “ถือว่าเลี้ยงส่งก็แล้วกันนะ”

*******************

  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2009 18:27:28 โดย Namehoto »

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
“ดีอกดีใจอะไรกันน้ำต้น หน้าบานเป็นกระด้ง แถมเสียงดังไปถึงฝั่งโน้นแน่ะ” น้ำเสียงไม่ได้ตำหนิเลยสักนิดออกจะติดแซวเล่นเสียด้วยซ้ำ

“เย็นนี้พี่นนท์พาไปเลี้ยงข้าวแหละพี่เมษ”

“โธ่เอ๊ย... นึกว่าเรื่องสำคัญอะไร ฉันก็เห็นพวกเธอไปกินข้าวด้วยกันแทบทุกวัน” เมษว่าพลางส่ายหน้า

“มันไม่เหมือนกัน นานๆพี่นนท์เขาจะเป็นคนออกปากชวน แถมเสนอตัวเป็นเจ้ามือทั้งที” เด็กน้ำต้นทำหน้าทะเล้น

“แล้วนี่เลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไรล่ะ”

“เออจริง” น้ำต้นเหมือนเพิ่งจะคิดได้ “อยู่ดีๆก็บอกจะเลี้ยง เนื่องในโอกาสอะไรหว่า”

“ปัดโธ้ น้องฉัน” ว่าแล้วเมษก็ได้แต่เอามือตบที่ศีรษะตัวเองเบาๆ

“ช่างปะไร ได้ไปกะพี่นนท์ก็พอแล้ว” น้ำต้นหน้าระรื่นเสียจนเมษนึกหมั่นไส้อยากซัดเข้าซักป้าป หนอย มีความสุขจนออกนอกหน้าเลยนะ ไอ้คนมีความรัก

“เฮ้ยสองคนน่ะ” เสียงทุ้มใหญ่อันแสนคุ้นเคยตะโกนเรียก “เข้ามาคุยกันในห้องหน่อย” นรเศรษฐ์ว่าแล้วก็เดินนำไปยังห้องประชุมเล็กโดยมีร่างใหญ่ๆของมิ่งเดินนำไปก่อน

ประตูห้องปิดสนิทลง ทุกคนเลือกที่นั่งของตัวเองเรียบร้อย นรเศรษฐ์จึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมาก่อนใคร

“ไหนอัปเดตข่าวคราวหน่อยซิ”

“เรื่องอะไรเหรอครับ”

“ก็ข่าวคราวเอ็งนั่นแหละ น้ำต้น”

“อ๋อ... ยังไงดีล่ะพี่เมษ” น้ำต้นหันไปถามเออาร์ประจำตัวหน้าซื่อๆ “มันก็เงียบๆไปแล้วนะพี่ ต้นก็งงๆตอนแรกแรงเหลือเกิน แต่พอบทจะหยุดเล่นกันก็หยุดกันหมด ไปเล่นเรื่องอื่นกันแทน” น้ำต้นละที่จะไม่พูดถึง เรื่องอื่น ที่ว่าเอาไว้ราวกับจะเป็นที่รู้กัน

“คือที่เรียกมาเนี่ย อยากจะถามไงว่าอยู่ดีๆข่าวก็เงียบไปเลย มีใครไปทำอะไรหรือเปล่า” นรเศรษฐ์ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ขนาดเบื้องบนเขายังงงเลย โปรเจ็กต์ทุกอย่างเลยยังคงจะดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบไปชั่วครู่ เมษพอจะอ่านสายตาจากพี่ชายทั้งสองคนออก ก่อนที่จะยิ้มเก้อๆออกมาในที่สุด “ก็ได้ แหม... พี่ก็ เมษยอมแล้วอ่ะ” คนพูดทำหน้าแหยๆพลางยกมือขึ้นเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย

“เอ็งใช้วิทยายุทธ์อะไรวะเมษ เรื่องมันถึงกลับพลิกผันไปแบบนี้”

“นิดหน่อยเอง”

“นิดหน่อยเช่น?”

“เช่นโทรไปหาพ่อกับแม่ให้ช่วย” สายตาทุกคู่ยังคงจับจ้องไปที่เออาร์สาวราวกับจะคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ “ก็พ่อเมษเป็นนายกสมาคมสื่อสิ่งพิมพ์แห่งประเทศไทย เขาก็เลยโทรไปหาบอกอหนังสือเล่มนั้นให้บอกตัวช่างภาพมา เมษได้ไปคุยกะช่างภาพคนที่ว่าในที่สุด ถึงได้รู้แน่นอนว่า ใครที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ที่แรกบอกอเขาไม่ยอมบอก หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอม พอพ่อแผลงฤทธิ์เขาเลยยอม เมษเลยขอไปคุยกะช่างภาพคนนั้น เขาก็ยอมเล่า โชคดีที่เขายอมเปิดปากเพราะเห็นว่าโดนเบี้ยวเงินค่าช่างภาพ ก็เลยเคือง แฉออกมาหมดเลยว่าใครเป็นใคร” อย่างไรก็ตามเมษเว้นที่จะไม่เล่าว่าพ่อเขาได้ขู่บรรณาธิการนิตยสารเล่มที่ว่าอย่างไรบ้าง ถึงได้ยอมบอกตัวช่างภาพมาในที่สุด “เอ่อ แล้วพอดีแม่เขาเป็นแฟนน้ำต้น ก็เลยยุพ่อให้สั่งระงับข่าวลือของน้ำต้นกับนนท์ไปชั่วคราว” พร้อมกับเสนอว่าอาจจะมีข่าวฉาวอื่นๆที่น่าสนใจกว่านั้นให้ได้เล่นกันแทน

ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องได้แต่นั่งฟังอ้าปากค้าง ไม่นึกไม่ฝันว่า เออาร์สาวท่าทางธรรมดาเหลือเกินคนนี้ จะมีพ่ออยู่ในตำแหน่งสำคัญถึงเพียงนี้

“แล้วพอดีกับที่น้าแท้ๆของเมษเขาเป็นซีอีโอของคลื่นวิทยุ... เอ่อ นั่นพอดี แม่เลยจัดการโทรไปบอกซะ น้าพิมเลยโทรกลับมาถามเมษแทบไม่ทัน พอถามไถ่เสร็จ น้าก็ลงดาบเลยทันที”

ทั้งสามคนยังนั่งฟังอย่างตกตะลึงต่อไป

“ทีนี้ นายเก่าเมษเขาเป็นออร์กาไนเซอร์ระดับท็อปไฟว์ของวงการ เมษเลยโทรไปขอความช่วยเหลือเขานิดหน่อย คือเขาก็เอ็นดูหนูประมาณนึงไงพี่” เมษหันไปบอกมิ่งกับนรเศรษฐ์ “แกเลย... เคืองแทนลูกน้องเก่า แทนที่จะระงับงานที่ตัวเองจัด ยังไปล็อบบี้เจ้าอื่นเขาด้วย” เมษว่าแล้วก็หัวเราะแหะๆ

“แล้วก็...”

“นี่ยังไม่หมดอีกเหรอ” นรเศรษฐ์ถามอย่างนึกทึ่ง

“พี่ปุ๊ก ผู้จัดละครรายใหญ่ของเรา เขาชอบน้ำต้นจะตาย อยากได้ตัวมาลงละครตั้งหลายเรื่องแล้ว ทางเราก็แบบไม่เคยตกปากรับคำเขาไปเสียทีไง ทีนี้เมษก็เลยโทรไปเล่าให้แกฟังนิดหน่อย แกเลย... แบนละคร แถมผู้จัดฯรายอื่น ยังเป็นใจไปกับแกด้วย เรื่องมันก็เลยเป็นอย่างนี้... อันที่จริงเมษแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” เจ้าตัวว่าแล้วก็ยิ้มแหยๆ

“อื้อหือเว้ยเฮ้ย” มิ่งร้องออกมาอย่างนึกชื่นชมไม่ปิดบัง “เลยได้ยืมมือฆ่าเสียเลย เอ็งแน่มากเมษ”

“โคตรดีใจเลยที่ไม่ได้เป็นศัตรูกะมัน” นรเศรษฐ์ยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรกๆ ส่วนน้ำต้นพูดไม่ออก

“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะพี่ที่หนูอาศัยบารมีพ่อแม่กะคนใหญ่คนโตเขาน่ะ ถึงได้รู้ว่าการมีเส้นมีสายมันดีแบบนี้นี่เอง” เมษว่าอย่างติดตลก “แต่ไม่เอาหรอกพี่ ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวก็พอแล้ว เมษไม่ชอบวิธีแบบนี้เท่าไหร่หรอก แต่นี่...” เมษหันไปทางน้ำต้นพลางทำหน้าพยักเพยิด “มันน้องเราทั้งคน นนท์มันก็น้องเรา เล่นสกปรกมา เราก็จำเป็นต้องใช้วิธีนี้”

“นี่ยังดีนะ” มิ่งว่า “ที่เอ็งรับบทเป็นคนดี ถ้าเอ็งรับบทเป็นคนร้ายล่ะก็... ขนาดมันนานๆจะร้ายทีนะนอ เอ็งว่าไหม” เขาหันไปขอความเห็นกับนรเศรษฐ์

“จริงพี่ จริงแท้” เขาพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่รีรอเลยสักนิด

“แหมพี่... นานๆทีน่า เป็นคนดีอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่เป็นคนร้ายเหนื่อยกว่าเยอะ”

“เอ๊า แล้วนั่น เงียบไปเลยน้ำต้น”

“เอ่อ ยังงงไม่หายครับพี่” น้ำต้นทำหน้าเหมือนคนเพิ่งตื่นจากภวังค์ เด็กหนุ่มยังเด็กนักจึงไม่รู้เรื่องราวเล่ห์เหลี่ยมอะไรสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเขาก็สัมผัสได้ว่า พี่ๆทุกคนในห้องต่างก็รักและหวังดี และพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาอยู่ตลอดเวลา จนเขาซึ้งน้ำใจและนึกขอบคุณอย่างที่สุด

เขายกมือไหว้พี่ชายพี่สาวทั้งสามคน

“แต่ต้นขอบคุณพวกพี่มากๆที่คอยดูแลเป็นห่วงต้นขนาดนี้ สัญญาเลยนะพี่ ว่าต้นจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเลย จะไม่ให้พวกพี่ต้องผิดหวังแน่นอนครับ”

“มันต้องให้ได้อย่างนี้สิไอ้น้อง” ว่าแล้วก็พร้อมใจกันหัวเราะเสียงดังออกมา

“ไป ตามสบาย พี่ไม่กวนแล้ว” สิ้นเสียงสั่งสลายตัว ทุกคนก็พร้อมใจลุกออกไปทันที

____________________________

โปรดติดตามตอนต่อไป

**********************************

จบไปอีกตอน แบบยาวๆ ไม่ขอพูดอะไรมาก อ่านให้สนุกนะคะ

จากคุณ : fingers-crossed

ออฟไลน์ ปี้ปี้ปี้~PalmY

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2427
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +273/-1
เขาเบื่อเป็นนางเอกแล้ว ขอเป็นนางร้ายสักที
ร้ายได้ใจจริงๆ

แต่พี่นนท์ทำงี้อีกแล้ว T^T

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
อย่าทิ้งน้องงงงงงงงงงง

ออฟไลน์ ToeyTato

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-1
อ่า ดีใจ ที่อะไรๆกลับมาเป็นแบบนี้ เย้ๆ ว่าแต่....
พี่นนท์อ่าทำเยี่ยงเน้นะค่ะ ไม่สงสารน้ำต้นหรอ :o12: ร้องไห้ไปก่อนล่วงน้าเลยทีเดียว 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เส้นสายอลังการที่สุดดดดดดดดดดดดด แต่ชักหวั่นๆตอนต่อไป

twin2g

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องข้างนอก คนข้างนอกเค้าก็จัดการให้แล้ว
ชักหวั่นกับเรื่องภายในนี่แหละ

พี่นนท์อย่าซับซ้อนให้มากนักเลย
คิดตรงๆแบบน้องบ้าง ไรบ้าง

สงสารทั้งพี่ทั้งน้องอ่ะ
ตอนหน้าสงสัยต้องเตรียมใจอย่างแรง


อย่าเศร้ามากน้า สงสารคนอ่านมั่งเห๊อะ(อินไปป่าววะเรา)

Forever_ever

  • บุคคลทั่วไป
พี่เมษนี่สุดยอดดดดดดดดดดเลยค่ะ
ไม่ต้องทำไรมาก แค่ยกหูโทรศัพท์ ก็จัดการเรียบร้อย

พี่นนท์ พี่นนท์ อย่าทำร้ายจิตใจน้ำต้นเลยน้า
เลี้ยงส่ง นี่จะไปไหนล่ะเนี่ย

ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆ นะคะ

ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ขอบคุณครับ ยาวมากเลยแต่นนท์จะทำอะไรต้องติดตาม

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
กีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส พี่เมษเริดที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด สะจายยยยยยยยมากค่ะ 555  :laugh: :laugh: :laugh:



ว่าแต่พี่นนท์คิดจะตัดสินใจทำอะไร ถามน้องน้ำต้นสักคำสิคะ  :เฮ้อ:

bixzz

  • บุคคลทั่วไป
พี่เมษสุดยอด... :laugh: จัดการได้สะใจดีแท้
ไหมและเอ้ก็ได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้อย่างรวดเร็ว
...เหลือแต่นนท์...จะหนีน้ำต้นไปไหนอีกเนี่ย  :sad4:
รออ่านต่อนะครับ...ขอบคุณคุณนิ้วไขว้และคุณนาเมฮ์ครับ

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
เรื่องเก่าเงียบไป

แต่ นนนี่ ทำไมจะหนีไปซะงั้นล่ะ


ม่ายยยยยยยย

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
พี่นนท์จะทำอะไรอีกหรอ เหอๆๆ  :call:

น้ำต้นสู้ๆๆนะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวนี้นะคะ  :pig4:

C2U

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องอะไรก็เคลียร์ หมดหละ 

จะเหลือก็แต่ สิ่งที่นนท์ตัดสินใจ   

กลัวใจนนท์จริง  จะทิ้งน้องอีกป่ะเนี่ย   :monkeysad:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
จะเริ่มที่คนไหนก่อนดี พี่เมษดีกว่า  o13
ที่สุดอ่ะ ๆๆๆๆ ต้องแบบนี้แหละค่ะพี่เมษ ^^

ไหมกะเอ้ สมควร ทำตัวเองนิ่ ๆๆๆๆ

พี่นนท์ขาจะไปไหน จะทำอะไร
แง้ ๆๆๆ ไม่เอาน๊า ๆๆๆ พี่นนท์อย่าคิดคนเดียวซิ่ ๆ
มีน้ำต้นอยู่ทั้งคน ๆๆ

ให้คนแต่งกะคนโพสนะค๊าา  :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
มารออ่านและให้กำลังใจครับ

ออฟไลน์ LoveAholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
พี่เมษร้ายได้ใจมั่กมัก  o13

อย่างนี้สิ ถึงจะสาสมกัน

ส่วนพี่นนท์  อย่าน๊า  :serius2:

คิดจะทำอะไรอีก สัญญากันแล้วนี่นา

จะทิ้งน้องไปไหน  ถามความเห็นน้องบ้างเถอะ นะนะนะ

คิดเอาเองคนเดียว ไม่ดีเน้อ  มีอะไรปรึกษากันดีกว่าน๊า


ขอบคุณคนโพสต์ และ คนแต่งค่ะ   :L2:

cmos

  • บุคคลทั่วไป
มะอาวน๊า  นนท์ อย่าทิ้งน้องไปไหนนะ

สัญญากันแล้วไง  :o12:

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
ตอนต่อไปค่ะ

*********************************

เพลงรัก

บทที่ 15

เด็กหนุ่มจ้องมองไปยังดวงหน้าอันเหม่อลอยที่เขารักหนักหนาของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เสี้ยวหน้าด้านข้างหันออกไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ดวงตาเรียวยาวนั้นจับจ้องอยู่กับแสงไฟราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรในใจ มือทั้งสองข้างประสานกันยกขึ้นอยู่ในระดับริมฝีปากพอดี

ร้านอาหารฝรั่งสุดหรูแห่งนี้ เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของมันมาบ้าง มันตั้งอยู่บนอาคารที่สูงติดอันดับในกรุงเทพฯ จึงไม่น่าแปลกใจที่การประดับประตาตกแต่งและวิวด้านนอกของร้านจะสวยงามน่าดึงดูดใจถึงเพียงนี้ ราคาของมันคงแพงระยับทีเดียว แต่นนท์ยืนยันว่าอยากพาเขามาที่นี่จริงๆ

“พี่นนท์” เสียงเรียกเบาๆทำให้เขาตื่นจากภวังค์ ก่อนจะหันหน้ามายิ้มให้กับเจ้าของเสียงเรียกที่นั่งห่างกันแค่มือเอื้อม “เหม่อจังเลย คิดเรื่องอะไรอยู่เหรอพี่” น้ำต้นที่สนใจทุกรายละเอียดปลีกย่อยของพี่ชายออกปากถามอย่างใคร่รู้

“พี่แค่สงสัยน่ะ”

“สงสัยอะไร”

“กรุงเทพที่วุ่นวายจะตาย ทำไมตอนกลางคืน เวลาที่มองลงไปแบบนี้มันถึงได้ดูสวยนัก”

“พี่ชอบเหรอ”

“ชอบ แต่ที่ชอบมากกว่าก็คือ ได้มาดูวิวแบบนี้กับคนที่อยากให้มาด้วยมากที่สุดนั่นแหละ”

“พูดแบบนี้ ดีใจนะเนี่ย”

“น้ำต้นเคยรักใครมากๆไหม”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ แต่ชี้มือไปยังฝั่งตรงข้ามที่คนถามนั่งอยู่ นนท์หัวเราะออกมา

“ไม่เอาสิ ก่อนหน้านั้นต่างหาก”

เขาส่ายหน้า

“ต้นเป็นคนมีแฟนน้อยมากพี่ ไหมเป็นคนแรกที่ต้นคบด้วย” พูดชื่อนี้ออกมาทีไร เขารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทุกครั้ง “แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าแค่ว่าเราสนิทกันมาก เด็กๆน่ะพี่ บอกว่าเป็นแฟนก็เป็น ตอนที่เขาขอเลิกก็เลยไม่ได้เจ็บปวดอะไร” เขายักไหล่ “แล้วพี่ล่ะ”

“อายุขนาดนี้ มันก็ต้องมีบ้างแหละนะ” เขาว่าอย่างติดตลก “พี่เคยคิดนะว่า จะมีไหมคนที่ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า ถ้าชีวิตนี้ขาดเขา เราจะอยู่หรือเปล่า”

“แล้วมีไหม”

นนท์ชี้มือมาทางน้ำต้นบ้าง เด็กหนุ่มถึงกับหัวเราะด้วยความเขินเมื่อเจอมุกนี้เข้าไป

“ที่ผ่านมาก็คิดทุกครั้งแหละว่า นี่น่ะต้องเป็นคนที่ใช่ แต่สุดท้าย พอเลิกกันไป แม้จะเจ็บปวด แค่เราก็ยังอยู่ได้นะ” นนท์ว่าแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “พี่ก็เลยคิดว่า มันก็คงมีแหละ คนที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้น แต่ก็เชื่อนะว่ามันไม่ทำให้ใครตายได้หรอก ถ้าเราเข้มแข็งพอและเลือกที่จะเก็บความทรงจำที่ดีเอาไว้” นนท์เอื้อมมือเรียวยาวและแบบบางเกินมือผู้ชายทั่วไปสัมผัสกับมือที่ใหญ่และหนากว่าเล็กน้อยของน้ำต้น

“น้ำต้นสัญญาอะไรกับพี่อย่างนึงได้ไหม”

“สัญญาอะไรพี่”

“ขอให้เข้มแข็งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“หมายความว่าไงอ่ะพี่” น้ำต้นไม่ค่อยเข้าใจนักว่านนท์หมายความว่ายังไง

“สัญญากับพี่ก่อน”

ทำไมเขาจะสัญญาไม่ได้เล่า เรื่องแค่นี้เอง สำหรับเขา ขอให้มีพี่นนท์เสียคน จะเข้มแข็งเท่าไหร่ก็ย่อมได้อยู่แล้ว

“สัญญาน่ะได้อยู่แล้ว แต่วันนี้ พี่นนท์ดูแปลกๆนะ”

“แปลกยังไง” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

“ก็พี่ดูเหม่อยังไงไม่รู้ แล้วจู่ๆก็มาพูดเรื่องนี้”

“ยังไม่ชินอีกเหรอ” เจ้าตัวย้อนถามยิ้มๆ “น้ำต้น”

“ครับผม” เด็กตาหวานขานรับล้อๆ

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่อยากให้น้ำต้นรู้ว่าพี่รักเรามากนะ”

หนนี้น้ำต้นถึงกับเลิกคิ้วขึ้นบ้าง

“เห็นไหม พี่นนท์แปลกๆไปจริงๆด้วย” น้ำต้นทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อพี่ชายหน้าตาเฉย “กลัวน้องไม่รักล่ะซี้...” ว่าแล้วก็หัวเราะชอบใจ ทำเอาคนพี่ถึงกับยิ้มออกมาพลางส่ายหน้า

บริกรในชุดสูทสุดโก้เดินตัวตรงพร้อมถือถาดอาหารในมือดูท่าทางสง่างามเกินกว่าจะมาทำหน้าที่นี้ เขาวางอาหารหน้าตาสวยหรูลงตรงหน้าชายหนุ่มทั้งคู่พร้อมรอยยิ้ม คล้อยหลังไปไม่ทันไร น้ำต้นเกิดคันปากอยากถามพี่ชายขึ้นมาตงิดๆ

“พี่ ถามอะไรหน่อยสิ” น้ำต้นยื่นหน้าทำเสียงกระซิบกระซาบ ทั้งที่โต๊ะอื่นๆที่มีแขกอยู่ห่างออกไปไกลโขอยู่ “พี่พามาเลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไรเนี่ย”

“โอกาสอะไรดีล่ะ” นนท์ก้มหน้ามองอาหารตรงหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองน้ำต้น “พี่ไม่ได้คิดเอาไว้ซะด้วยสิ”

“เอ๊า...” น้ำต้นตบหน้าผากตัวเองเบาๆ

“ก็แค่อยากพามาน่ะ…”นนท์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่น้ำต้นอดรู้สึกไม่ได้ว่าแวบหนึ่งมีแววเศร้าฉายออกมาด้วย ก่อนที่จะกลับไปเป็นยิ้มที่สดใสตามเดิม “เลี้ยงส่งก็แล้วกัน”

“ส่งอะไร ใครจะไปไหน” น้ำต้นถาม หนนี้คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยเต็มที่

“ก็ส่งเรื่องร้ายที่กำลังจะจบลงด้วยดีไงเล่า มา พี่หิวแล้ว ทานกันเถอะนะ” ว่าแล้วนนท์ก็ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารหน้าตาน่าทานที่อยู่ในจานตรงหน้าทันที โดยไม่รอให้เด็กช่างถามได้ซักอะไรอีก

อาหารพิเศษในคืนนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ชายหนุ่มทั้งสองคนดูจะมีเรื่องพูดคุยกันมากมายไม่รู้จักจบจักสิ้น

แสงไฟยามราตรีในช่วงเวลาดึกดื่นค่ำคืนที่การจราจรบางตาเช่นนี้สวยแปลกตาแล้วก็ให้ความรู้สึกเงียบเหงาอย่างไรบอกไม่ถูก เมืองใหญ่ที่ไหนๆในโลกก็ดูจะเหมือนกันไปเสียหมด นนท์รู้สึกเช่นนั้น เมื่อหันไปมองสารถีจำเป็นที่ตั้งอกตั้งใจมองถนนตรงหน้าแล้ว นนท์ก็ยิ้มออกมา เขาอยากจะซึมซับภาพใบหน้าของคนที่เขารักเอาไว้ให้ได้มากที่สุด มีความทรงจำระหว่างเขาและน้ำต้นเกิดขึ้นมากมายในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนมานี้ สำหรับเขา ระยะเวลาเท่าไหร่ก็คงยากจะลบเลือนมันลงไปได้ แต่สำหรับน้ำต้น เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้แต่หวังว่า เวลาน่าจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลายไปเอง

รถเก๋งสีดำที่คนบ้านนี้คุ้นเคยเป็นอย่างดีไปแล้ว เข้าไปจอดเทียบหน้าเรือนหลังเล็กเหมือนอย่างทุกครั้งที่ได้มาเยือนที่แห่งนี้

“วันนี้ต้นรีบกลับเถอะ มันดึกมากแล้ว อย่าแวะเลยนะ” นนท์บอกน้องชาย

น้ำต้นชั่งใจอยู่เป็นครู่ก่อนจะสบตานนท์ราวกับจะค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง

“พี่นนท์ไม่เป็นไรใช่ไหม” น้ำต้นถามออกไปตรงๆ

“พี่ไม่เป็นไรครับ ทำไมหรือ” เขายิ้ม

“ไม่รู้สิ ต้นว่าพี่นนท์แปลกๆอ่ะ”

“พี่ไม่เป็นอะไรหรอก” นนท์ไม่ว่าเปล่า เขาเปิดประตูรถตรงที่นั่งข้างคนขับออก น้ำต้นก็ทำอย่างเดียวกัน  แต่ดูจะเป็นการกระทำที่เป็นไปโดยอัตโนมัติมากกว่า

“พี่....” ยังไม่ทันได้เรียกชื่อ ร่างที่เล็กบางกว่าของพี่ชายก็เดินเข้ามาสวมกอดเขาเอาไว้แน่น น้ำต้นได้แต่ประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจไปในขณะเดียวกัน “พี่นนท์” เขาว่าได้เท่านั้น ก็ยกแขนขึ้นสวมกอดนนท์เอาไว้แน่นไม่แพ้กัน

“พี่รักต้นนะครับ”

“ต้นก็รักพี่นนท์”

นนท์คลายวงแขนออก เขาใช้มือทั้งสองข้างจับต้นแขนของน้ำต้นเอาไว้และค่อยๆผลักออกอย่างเบามือ น้ำต้นยังคงงงไม่หายกับอ้อมกอดนั้น และประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อมือข้างหนึ่งของนนท์โน้มคอเขาลงมาก่อนที่จะประทับจูบลงไปอย่างอ่อนโยนบนริมฝีปากอ่อนนุ่มของเขา เนิ่นนานเป็นครู่ก่อนจะค่อยๆถอนออก หน้าผากสัมผัสกันแผ่วเบาจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน น้ำต้นใจเต้น พี่นนท์ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ที่แน่ๆความสุขมันท่วมท้นหัวใจไปหมดแล้วในตอนนี้

“ขับรถกลับบ้านดีๆนะครับ” นนท์ว่าเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบ

น้ำต้นพยักหน้า มือข้างที่จับมือนนท์เอาไว้นั้นไม่อยากปล่อยเอาเสียเลย เขาอ้อยอิ่งอยู่ได้ไม่นาน นนท์จึงเป็นฝ่ายปล่อยมือออกก่อน

รถของน้ำต้น หายลับไปจากประตูบ้านแล้ว น้ำตาของนนท์ไหลอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ บ่าทั้งสองข้างสั่นสะท้าน เขากลืนเสียงสะอื้นลงคออย่างยากเย็น ก่อนจะขยับริมฝีปากโดยไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาจับได้ว่า

“ดูแลตัวเองนะครับ ลาก่อน”

แล้วจึงเดินหายเข้าไปในเรือนเล็กราวกับคนไร้วิญญาณ

**********************

พี่นนท์หายตัวไป

น้ำต้นรู้สึกชาไปหมด เกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนพวกเขายังไปทานอาหารด้วยกัน พูดคุยกัน เขายังขับรถไปส่งพี่นนท์ถึงบ้าน พี่นนท์ยังเข้ามากอดเขา จูบเขา แล้วจู่ๆพี่นนท์จะหายตัวไปไหนได้อย่างไรกัน

เขาโทรไปหานนท์แต่เช้า ไม่รู้เป็นอย่างไร วันนี้รู้สึกอยากจะไปรับนนท์มาทำงานด้วย แต่โทรศัพท์ปิด โทรไปกี่ครั้งก็ไม่ติด เขาร้อนใจถึงขนาดขับรถไปหาถึงบ้านนนท์ แต่เรือนเล็กปิดล็อกเอาไว้ น้ำต้นมีกุญแจสำรอง แต่เมื่อไขเข้าไป กลับไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของพี่นนท์ บ้านมันช่างเงียบ เงียบจนน่ากลัว เขาวิ่งไปถามเด็กในบ้าน ไม่มีใครรู้ว่าคุณนนท์หายไปไหน แม้แต่ป้าชื่น ที่บอกเขาได้แค่ คุณนนท์ทิ้งโน้ตสั้นๆเอาไว้ว่าจะขอเดินทางไปพักผ่อนที่ไหนไกลๆสักพัก ไม่รู้เก็บกระเป๋าไปตอนไหน ไม่มีใครรู้เห็นเลย น้ำต้นถึงกับหน้าถอดสี มันจะเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีเหตุผลเลย

น้ำต้นโทรหาคุณแม่ของนนท์ แต่เมื่อเล่าให้ฟังว่านนท์ทิ้งโน้ตเอาไว้ว่าอย่างไร นางก็สงบใจลงได้ แต่ก็บอกน้ำต้นได้แค่เพียงว่า “ถ้านนท์ไม่อยากให้หาเขาเจอ ก็จะหาเขาไม่เจอหรอก เวลาเขามีปัญหาอะไร เขาจะหนีหายไปเพื่อให้เวลาตัวเองได้ใคร่ครวญอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็จะกลับมาเอง” น้ำเสียงของน้ำต้นแสดงความผิดหวังออกมาอย่างไม่ปิดบัง

วารีรินเข้าใจเด็กหนุ่มเป็นอย่างดี และเชื่อเหลือเกินว่าต้นเหตุที่ทำให้นนท์คิดไม่ตกจนต้องหนีหายไปแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นเด็กหนุ่มปลายสายนี้เป็นแน่แท้ นนท์คงมีปัญหาคับอกเสียจนไม่อาจจะบอกใครได้จริงๆ นางได้แต่ถอนใจและให้กำลังใจเด็กหนุ่ม และยืนยันว่าหากนนท์แจ้งข่าวมาเมื่อใด นางจะโทรบอกให้เขาได้ทราบเรื่องก่อนใครทันที

ทันทีที่วางหูโทรศัพท์ เขาก็รีบผลุนผลันออกจากรถ และตรงดิ่งไปยังชั้นสามสิบทันที ลิฟต์ที่ช้าอยู่แล้วเป็นปกติกลับยิ่งดูช้าลงไปอีกจนเขาหงุดหงิด น้ำต้นได้แต่กัดริมฝีปากเอาไว้อย่างอดทน เขาต้องอดทนสินะ

เขากดปุ่มเปิดซ้ำๆเหมือนคนเสียสติทันทีที่ลิฟต์พาเขามายังจุดหมายที่ต้องการ แม้แต่ประตูลิฟต์ก็ยังช้าไม่ทันใจเขาเอาเสียเลย คนอื่นที่อยู่ในลิฟต์ถึงกับแปลกใจกับกริยาร้อนรนของเด็กหนุ่ม

“พี่เมษ! พี่เมษครับ...” น้ำต้นเรียกเมษเสียงดังขนาดทำเอาคนทั้งออฟฟิศหันมามองเขาเป็นตาเดียว เมษโผล่หน้าออกมามองหาต้นเสียง ยังไม่ทันได้พูดอะไร น้ำต้นก็ปรี่เข้ามาถึงตัวเสียก่อนแล้ว

“พี่นนท์... พี่นนท์ เขา...” น้ำต้นระล่ำระลักพลางจับแขนเมษเขย่าอย่างลืมตัว

“นนท์ทำไมครับน้ำต้น ใจเย็นๆ” เมษตกใจ แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะเรียกสติของเด็กหนุ่มให้กลับมา เกิดอะไรขึ้น ทำไมน้ำต้นถึงได้ดูร้อนใจขนาดนี้ แล้วนนท์เป็นอะไร

“พี่นนท์หนีต้นไปแล้ว พี่เมษ... พี่นนท์หนีไปอีกแล้ว ต้นจะทำยังไงดี” พูดได้เท่านั้น น้ำต้นก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจจะอดกลั้นอะไรเอาไว้ได้อีก เด็กหนุ่มซบหน้าลงบนแขนของเมษ ร้องไห้อย่างอัดอั้น ด้วยความไม่เข้าใจว่า ทำไมนนท์ต้องหนีไป มันเกิดอะไรขึ้นอีก เขาทำอะไรให้นนท์ไม่พอใจ ในหัวมีแต่ความไม่รู้อยู่เต็มไปหมด สร้างความสับสนในใจให้กับเด็กหนุ่มยิ่งนัก

เมษนิ่วหน้า ก่อนจะลูบศีรษะน้ำต้นอย่างปลอบประโลม เธอเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน

“ไหนมาคุยกับพี่ให้รู้เรื่องก่อนซิ มันเกิดอะไรขึ้น” น้ำต้นได้แต่ส่ายหน้า เขาเล่าให้เมษฟังเท่าที่ได้รับรู้มาจากป้าชื่นและวารีริน แต่ก็ยืนยันว่าเมื่อคืนนี้ทุกอย่างยังเป็นปกติ เขาไปหาอะไรทานกับนนท์ แล้วก็ไปส่งนนท์ ไม่มีสัญญาณของการบอกเลิก การลาจาก การโกรธเคืองอะไรจากนนท์ทั้งสิ้น

“ไปหาพี่มิ่งกับพี่นอกัน” เมษโพล่งขึ้นมา

“พี่สองคนเขาจะรู้เรื่องเหรอพี่” น้ำต้นถามทั้งที่น้ำตายังอาบแก้ม

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่นนท์เขายังต้องส่งงานให้พี่เขาหรือเปล่าล่ะ นนท์น่ะ ไม่ใช่คนที่จะหนีไปโดยทิ้งความรับผิดชอบให้ใครได้หรอกนะ” นึกได้ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่รีรอที่จะเข้าไปหานรเศรษฐ์ในห้อง แน่นอนว่ามิ่งก็อยู่ด้วย ครบองค์ประชุมทีเดียว

นนท์หายไป

พูดได้เท่านี้มิ่งกับนรเศรษฐ์ก็ได้แต่หันไปมองหน้ากันแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ

“น้องมันเอาจริงว่ะนอ”

“พวกพี่รู้เหรอครับว่าพี่นนท์อยู่ไหน” น้ำต้นชิงถามก่อนทันที แต่ความหวังก็ดับวูบลงไปอีกเมื่อพี่ๆพร้อมใจกันส่ายหน้าอีกครั้ง

“เรื่องนี้พี่จนปัญญาจริงๆ”

“เชื่อสิว่าถ้าพวกพี่รู้ พวกพี่ก็ต้องบอกเราไปแล้ว” มิ่งเสริม

“เมื่อซักอาทิตย์นึง นนท์เดินเข้ามาบอกพวกพี่ว่าจะเคลียร์งานให้เรียบร้อย เขาอยากจะหายไปซักพัก พวกพี่ก็งง พยายามถามเหตุผลเขา แต่เขาไม่ยอมบอก”

“ทั้งที่เขาก็รู้นะว่าการที่เขาหายไปมันอาจจะเป็นการตัดโอกาสการเป็นนักร้องของเขาไปเลยก็ได้ เขาก็บอกว่า เขายอม พวกพี่ถึงกับงงไปเลย” มิ่งว่า “แล้วพี่ทำงานกับนนท์มา ทำไมพี่จะไม่รู้ว่านนท์น่ะอยากมีผลงานของตัวเองในฐานะนักร้องขนาดไหน แต่นี่เขายอมทิ้งโอกาสนั้นไป ก็เลยคิดว่าปัญหามันคงใหญ่มากสำหรับเขา”

“ตอนแรกที่ก็ไม่รู้หรอกว่ามันเรื่องอะไร แต่เมื่อวาน เขาเข้ามาส่งงานชิ้นสุดท้าย” มิ่งพูดพลางชี้มือไปที่ซองสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะของนรเศรษฐ์ “เขาบอกว่าเป็นเพลงที่ใช้เวลาแต่งเนื้อและแก้ไขอะไรนานมาก เขาเพิ่งทำเสร็จแล้วก็เลยรีบเอามาส่ง แล้วก็บอกว่าจะมาลา”

“ลาไปไหนอ่ะพี่” น้ำต้นถาม

“นนท์ไม่ได้บอก พี่ก็ไม่ได้คิดอะไร ก็บอกไปว่า ถ้ามีเรื่องอะไรจะลาไปซักอาทิตย์นึงพี่ไม่ว่าหรอก เพราะงานเขาเสร็จหมดแล้ว เขาเร่งทำมาตลอดทั้งอาทิตย์เลย เอาจนเสร็จ”

“แต่ตอนมันมาบอก พี่ว่ามันฟังทะแม่งๆ” พี่ใหญ่ที่สุดของทีมว่าต่อ

“ยังไงคะพี่มิ่ง” เมษเอียงคอถามอย่างสงสัยขึ้นมาติดหมัด

“เขาบอกว่า ถ้าหากนานกว่านั้นล่ะ อาจจะเป็นเดือน หรือเป็นปี เขาเองก็ไม่รู้ พี่กับนองี้อึ้งไปเลย”

“ท่าทางนนท์มันไม่ดีเลยนะเมื่อวาน เหมือนมันตัดสินใจอะไรได้เด็ดขาดแล้วน่ะ”

“แล้วพวกพี่บอกนนท์ว่าไง”

“พี่ก็เลยบอกไปแค่ว่า ให้เวลาตัดสินใจอาทิตย์นึง ครบอาทิตย์แล้วจะว่ายังไงให้โทรมาบอกพวกพี่ด้วย จะได้รู้ว่าจะเอายังไงต่อกับโปรเจ็กต์ของนนท์”

“ผมกลัวใจมันว่ะพี่” นรเศรษฐ์หันไปออกความเห็นกับมิ่ง

“ทำไมพี่นนท์ถึงทำแบบนี้ ต้นไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงได้ร้ายกาจ เห็นแก่ตัวขนาดนี้” ความน้อยใจกลายเป็นความโกรธขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แน่ล่ะ พี่นนท์ยอมบอกคนอื่น แต่ไม่บอกอะไรกับเขาเลย แล้วไหนบอกว่ารักกัน ทำไมถึงได้ขยันทำร้ายจิตใจกันนัก

“น้ำต้น” มิ่งเรียกชื่อเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน “อยากฟังเพลงสุดท้ายที่น้ำต้นแต่งให้ไหม”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า เขาไม่มีอารมณ์ฟังเพลงอะไรทั้งนั้น ในหัวมีแต่เรื่องของนนท์ที่เขาไม่เข้าใจเลยสักอย่าง

“ฟังหน่อยเถอะ แล้วบางทีต้นอาจจะเข้าใจเหตุผลของนนท์มากขึ้นก็ได้” น้ำต้นเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเอ่อไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด มิ่งไม่รอคำตอบ เขายื่นซีดีที่อยู่ในซองสีน้ำตาลให้กับนรเศรษฐ์ที่รู้หน้าที่ หยิบเอาซีดีแผ่นนั้นใส่ลงในเครื่องเล่นก่อนที่จะเปิดฟัง

เสียงเปียโนที่ไพเราะและเศร้าบาดใจดังขึ้นมาในท่อนอินโทร บอกให้รู้ว่านี่เป็นเพียงแผ่นเดโมที่ยังต้องใส่เสียงดนตรีอะไรลงไปอีกเพื่อทำให้เพลงนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่อะไรบางอย่างในเสียงเปียโนนั้นที่ฟังดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน เสียงร้องนุ่มๆของนนท์ดังขึ้นคลอไปกับเสียงเปียโนที่เข้ากันได้อย่างลงตัว


'บนทางสายนี้ เราเคยมีกัน มือของเราจับเอาไว้มั่น
ราวกับจะไม่มีวันจากกันไปไหน
แต่มาวันนี้ใจหาย เราต้องเดินด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย
ทางเดินของหัวใจต้องจบสิ้นลง

มองเธอในดวงตา อยากให้เธอได้เข้าใจ
ฉันไม่ได้อยากจากไปไหน แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเรา
รักเธอ แม้รักเธอ แต่ก็ต้องปล่อยมือไป
รักเธอ จะจดจำไว้ ไออุ่นไม่มีวันจาง

ถึงเวลาต้องแยกจาก แม้ไม่อยากแต่ต้องตัดใจ
ไม่ใช่เราไปกันไม่ได้ แต่คงยากจะบอกให้เข้าใจ
วันไหนหากได้พบกัน หวังว่าเธอจะพอจดจำฉันไว้ได้ไหม
เธออาจไม่ให้อภัย แต่จงเข้าใจว่าฉันรักเธอ

น้ำตาของเราคงรินไหล ไม่เป็นไรจงเข้มแข็ง
วันนี้อาจจะไม่แข็งแรง ไม่ต้องฝืนแสดงมันออกมา
รักเธอ จะรักเธอตลอดไป ไม่มีวันลืม
รักเธอ อยากบอกรักเธอ แต่ทำไม่ได้
รักเธอ แม้รักเธอ แต่ก็ต้องปล่อยมือไป
รักเธอ จะจดจำไว้ ไออุ่นไม่มีวันจาง
รักเธอ ฉันรักเธอเพื่อจะบอกลา
ถึงอย่างนั้น มันก็ยังดังก้องในใจ... ไม่ว่าจะอย่างไร ก็รักเธอ'

เสียงคีย์สุดท้ายจบลงพร้อมกับเสียงสะอื้นอย่างหนักจากคนที่กำลังจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของเพลงนี้ น้ำต้นยกมือขึ้นปิดหน้า เขาร้องไห้อย่างไม่อายใครอีกต่อไป บ่าที่กว้างใหญ่ของเขาสั่นสะท้าน ภาพชายหนุ่มตัวโตที่นั่งร้องไห้ให้เห็นกันต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ดูแล้วมันช่างสะเทือนใจยิ่งนัก ไม่มีใครพูดอะไรอยู่เป็นนาน ชั่วโมงนี้คงไม่อาจจะทำอะไรได้ดีมากไปกว่าการปล่อยให้เด็กหนุ่มได้ระบายความรู้สึกทั้งหมดผ่านน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด

แค่ได้ฟังเพลงนี้ เขาก็เข้าใจพี่นนท์ของเขาแล้ว

พี่นนท์เลือกที่จะจากไปเพื่อเขา พี่นนท์ยอมทิ้งอนาคตของตัวเองก็เพื่อเขา พี่นนท์เลือกที่จะเจ็บปวดก็เพื่อเขา น้ำต้นนึกไม่ออกว่านอกจากพ่อกับแม่ยังจะมีใครที่รักเขาได้มากเท่ากับพี่นนท์อีกหรือไม่ ใจหนึ่งก็ซาบซึ้งตื้นตันในหัวใจ แต่อีกใจก็นึกโกรธที่นนท์ตัดสินใจเองทุกอย่าง โดยไม่สนใจถามความรู้สึกของเขาเลย

“เพลงนี้...” พูดได้เท่านี้เด็กหนุ่มก็สะอื้นออกมาอีกครั้ง กว่าจะตั้งสติเอ่ยอะไรออกมาได้อีก “เพลงนี้มีชื่อไหมครับ”

“รักเพื่อบอกลา”

ได้ยินดังนั้นน้ำตาของเด็กหนุ่มก็พาลจะไหลออกมาอีก

“เพลงมันเศร้ามากเลยนะคะ” เมษเปรยขึ้นมาลอยๆ ไม่คาดหวังจะได้รับคำตอบใดๆ

“พี่นนท์แต่งให้ต้นเหรอพี่” เขากัดฟันถามออกไป ทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
มิ่งกับนรเศรษฐ์ได้แต่พยักหน้า

“แล้วต้นจะร้องได้ยังไง...” เด็กหนุ่มก้มหน้า “เพลงมันเศร้าขนาดนี้ ต้นร้องไม่ได้หรอกพี่”

น้ำต้นลุกขึ้นแล้วเดินช้าๆออกจากห้องไป

ทิ้งความเงียบเอาไว้เบื้องหลังกับคำถามที่ไม่มีใครตอบได้

*********************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-09-2009 17:19:18 โดย Namehoto »

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
หัวหิน

เขามาพักอยู่ที่หัวหินได้สามวันแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลามันผ่านไปช้าหรือเร็วกันแน่ เขาไม่ค่อยได้นึกถึงมันเท่าไหร่ อันที่จริงเขาจะไปพักที่ไกลๆอย่างภูเก็ตก็ได้ แต่... หัวหินมันอยู่ใกล้กรุงเทพมากกว่า สุดท้าย ที่คิดว่าจะหักดิบตัดใจได้ มันไม่ง่ายเลย ที่ผ่านมา นนท์เป็นฝ่ายถูกความรักเดินจากไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเลือกที่จะเดินจากมันมา ทั้งที่ยังรัก ทั้งที่รู้ว่ามันจะต้องเจ็บปวด แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะทำให้เขารู้สึกเหมือนขาดพลังใจในการมีชีวิตถึงเพียงนี้ นนท์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้อง แล้วก็ระเบียงที่มองเห็นวิวทะเลได้ชัดเจน ตกเย็นเขาก็เดินเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายไปเรื่อยๆ พอมืดแล้วค่อยเดินกลับ

มีเพื่อนดีก็ดีอย่างนี้เอง นนท์คิดกับตัวเอง เขามีเพื่อนเป็นลูกเจ้าของรีสอร์ทสุดหรูในหัวหินแห่งนี้ ทันทีที่บอกว่าอยากได้ห้องพัก ที่เขาสามารถพักไปได้เรื่อยๆก่อนสักอาทิตย์หนึ่ง เพื่อนเขาก็เปิดห้องให้ทันที แถมยืนยันว่าจะไม่คิดเงินอีกต่างหาก นนท์ไม่ยอม แต่เขาในวินาทีนั้นหรือจะมีแรงทุ่มเถียงกับใครได้ เขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า ที่พักที่แน่ใจว่า ใครก็จะหาเขาไม่พบ

เพื่อนที่มีอยู่ไม่กี่คนของนนท์ทำได้แค่เป็นห่วงเพื่อน แต่ไม่ว่าจะเฝ้าเพียรถามสักเท่าไหร่ นนท์ก็ไม่ยอมตอบ ได้แต่ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า พร้อมกับบอกแค่ว่าสบายดีเท่านั้น

“ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร” ธีร์ หรือทีเจชื่อที่ถูกใช้บ่อยๆสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ หนึ่งในเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนของนนท์บอกเขาอย่างนั้น “พร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยบอกก็แล้วกัน”

นนท์โทรหาแม่ บอกแค่ว่าพักอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก แม่ไม่ซักอะไรอีก บอกแค่ว่า “ลูกหนีได้ทุกอย่าง ยกเว้นหนีใจตัวเอง” เท่านั้นแม่ก็วางหูไป อย่างน้อยก็เบาใจว่าลูกชายของเธอยังสบายดีทุกประการ เขาโทรหาเมลเพื่อนสนิท บอกแค่ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ ถ้าโทรหาเขาไม่ติดก็ทิ้งข้อความเอาไว้ แล้วเขาจะโทรกลับ เมลคงเป็นเพื่อนคนเดียวในโลกที่เขาจะไม่มีความลับอะไรต่อเธอ

“นนท์ อาร์ยูชัวร์อะเบาท์ ธิส” เมลถามกลับมาอย่างเป็นห่วง

“ไอม์ น็อต ชัวร์” นนท์ตอบตรงๆ “เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้”

เมลรู้จักเพื่อนคนนี้ของตัวเองดีเสียจนคิดว่าพูดไปตอนนี้คงไม่มีประโยชน์

“ออลไรท์ เทคแคร์นะนนท์” พูดได้เท่านั้นเมลก็วางหูพลางระบายลมหายใจด้วยความหนักอก


********************

หกวัน

พี่นนท์หายไปหกวันแล้ว ไม่ว่าจะเพียรพยายามโทรไปเท่าไหร่ นนท์ก็ไม่เคยรับสาย โทรไปถามวารีรินกี่ครั้งนางก็บอกได้แต่ว่านนท์อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯแต่เจ้าตัวไม่ยอมบอกว่าอยู่ที่ไหน เขาขับรถไปบ้านนนท์ทุกวัน แม้จะรู้ว่านนท์ไม่กลับมา เขาก็ยังเฝ้าเพียรไปรอนนท์ที่บ้านจนดึกดื่น แล้วจึงค่อยกลับ ไม่ว่าป้าชื่นหรือเด็กๆ จะบอกแก่เขาอย่างไร เขาก็ไม่ฟัง อาหารที่ป้าชื่นจัดเตรียมไว้ให้น้ำต้นก็ไม่ยอมแตะ

ทุกเช้าเขาจะขับรถมาที่ออฟฟิศ แล้วก็จะแวะมานั่งรอที่ชั้นยี่สิบ ทุกเช้าจนถึงเที่ยง แล้วจึงค่อยขึ้นไปชั้นสามสิบ ก่อนกลับก็จะต้องแวะมาที่ชั้นยี่สิบอีกครั้ง เป็นอย่างนี้มาตลอดเกือบทั้งสัปดาห์ น้ำต้นบอกเมษว่าจะขอรับงานให้น้อยที่สุดตลอดช่วงสัปดาห์นี้ เขาอยากทุ่มเทเวลาอันน้อยนิดที่มีในการติดตามและรอคอยนนท์อย่างเต็มที่ อีกไม่นานจะต้องเข้าห้องอัดเสียงแล้ว เขาจะทำอย่างไรดี

พี่นนท์ไม่อยู่ เขาจะร้องเพลงได้อย่างไร

รักเพื่อบอกลา เพลงสุดท้ายที่นนท์แต่งทิ้งเอาไว้ ที่สุดแล้วนรเศรษฐ์ก็ทำก๊อปปี้ให้เขาเอาไว้ชุดหนึ่ง เพื่อฟังให้ขึ้นใจ น้ำต้นไม่กล้าแม้แต่จะเปิดฟังด้วยซ้ำ เขาจะทนฟังเพลงนี้ได้อย่างไรกัน

“พี่... พี่อยู่ไหน ต้นอยากเจอพี่” เด็กหนุ่มก้มหน้าซบลงบนพวงมาลัยรถยนต์ก่อนจะร้องไห้ออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ น้ำต้นทนไม่ไหวอีกต่อไปเมื่อคิดว่า การขับรถไปบ้านนนท์วันนี้ก็จะเหมือนกับทุกๆวัน นั่นคือไม่มีพี่นนท์อยู่ที่นั่นแล้ว วันพรุ่งนี้จะครบกำหนดหนึ่งสัปดาห์ที่นนท์จะโทรมาให้คำตอบมิ่งกับนรเศรษฐ์ ถ้าเขายังหานนท์ไม่เจอ ความหวังก็จะยิ่งริบหรี่ลงไปอีก
อีกสักตั้ง

เขาจะขอลองทุ่มเทอีกสักตั้ง ดูซิว่าจะหาพี่นนท์เจอไหม

“ป้าชื่นครับ” เด็กหนุ่มเรียกแม่นมของบ้านทันทีที่เปิดประตูรถลงมาแล้วเห็นหญิงชราเดินมาหาเขาด้วยความเป็นห่วง “พี่นนท์มีเพื่อนสนิทที่นี่บ้างไหม ใครก็ได้”

“โอ๊ย เพื่อนสนิทคนเดียวของคุณนนท์ที่ป้ารู้จักก็คือคุณน้ำต้นนี่แหละค่ะ” ป้าชื่นทำหน้ายุ่ง “เอ๊ะ แต่เห็นมีอยู่คนนึงค่ะ เป็นฝรั่งด้วยสิ แต่ป้าชื่นไม่รู้จักเธอหรอกนะคะ”

“แล้วคุณแม่ล่ะครับ เอ่อ หมายถึงคุณแม่พี่นนท์จะรู้จักหรือเปล่า” น้ำต้นถามอย่างร้อนใจ

“ป้าไม่แน่ใจหรอกค่ะ เรื่องของคุณๆ ป้าไม่เคยเข้าไปยุ่งเลย”

“ไม่เป็นไรครับป้า เดี๋ยวต้นขอเข้าไปใช้ห้องพี่นนท์หน่อยนะครับ” ป้าชื่นพยักหน้าก่อนที่น้ำต้นจะไขกุญแจห้องเข้าไป เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดหมายที่คุ้ยเคยมาตลอดทั้งสัปดาห์

“คุณแม่ครับ” เขาหมายถึงวารีริน คุณแม่ของนนท์ “คุณแม่รู้จักเพื่อนพี่นนท์คนที่เป็นลูกครึ่งไหมครับ เห็นป้าชื่นบอกว่าเป็นผู้หญิง” ปลายสายนิ่งไปราวกับใช้ความคิดก่อนจะตอบออกไปให้น้ำต้นได้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆวัน

“อ๋อ เมลานี เพื่อนสนิทของนนท์เขา แม่เคยเจอไม่กี่ครั้งจ้ะ”

“คุณแม่มีเบอร์เขาไหมครับ”

“ไม่มีหรอกจ้ะ” คำตอบของนางทำเอาเด็กหนุ่มหัวใจห่อเหี่ยวลงไปอีกครั้ง นางรู้สึกเห็นใจเด็กหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะนึกขึ้นได้

“แต่เห็นว่าหนูเมลแกแต่งงานกับน้องร้องคนนึง ที่ดังๆหน่อยน่ะค่ะ เป็นวงร็อคอะไรสักอย่าง แม่จำไม่ได้ เขาเพิ่งมีลูกกันไปด้วยนะถ้าแม่จำไม่ผิด นนท์เขาก็เล่าๆให้ฟังอยู่”

นักร้อง นักร้อง นักร้อง อย่างนั้นหรือ... ใช่แล้ว เขานึกออกแล้ว

“ขอบคุณครับแม่” น้ำต้นร้องออกมาอย่างดีใจ

“แล้วต้นแน่ใจหรือลูกว่าจะหานนท์เจอ”

“ไม่ลองไม่รู้ครับ แล้วต้นจะโทรมารบกวนอีกนะครับ” กล่าวลากันเรียบร้อยน้ำต้นก็รีบวางสาย ก่อนจะกดหาเออาร์สาวประจำตัวทันที

“พี่เมษ” เขาเรียกชื่อออกไปทันทีที่ปลายสายกดรับ “พี่ช่วยเช็กอะไรให้ต้นหน่อยได้ไหม”

************************

หัวหิน พี่นนท์อยู่ใกล้เขาแค่นี้นี่เอง

เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นรถทันทีที่รู้ว่านนท์พักอยู่ที่ไหน ตอนนี้เที่ยงคืน ขับรถอย่างเร็วก็ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะร้อนใจเพียงไร เขาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับไม่ให้ตัวเองขับรถเร็วเกินไป เขายังไม่อยากเอาชีวิตไปทิ้งทั้งที่ยังไม่ทันได้เห็นหน้าพี่นนท์ของเขาหรอก

ถ้าไปถึงแล้ว พี่นนท์ไม่อยู่ล่ะ เขาจะทำอย่างไร หากนนท์พยายามที่จะหนีหน้าเขาต่อไปแบบนี้ เขาจะทำอย่างไร แล้วเขาจะพูดอะไรกับพี่นนท์ น้ำต้นขับรถด้วยความรู้สึกอันหลากหลายและความคิดอันมากมายที่ตีกันไม่หยุดในหัว

ไม่รู้ล่ะ เป็นตายอย่างไร เขาก็จะพาพี่นนท์กลับด้วยกันให้ได้ เขาจะไม่ยอมให้คนที่เขารักหายไปไหนอีกแล้ว พอกันที จะว่าไป... ถ้าเจอตัว น้ำต้นเองก็อยากจะซัดพี่นนท์สักทีเหมือนกัน คนอะไรคิดมากเหลือเกิน แถมคิดเองเออเองเสียด้วย แล้วเป็นไงล่ะ ไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนบ้าอะไร ก็เดือดร้อนกันไปหมดแล้วเนี่ย!

ตีสองกว่านิดหน่อย ในที่สุดเขาก็มายืนอยู่ที่รีสอร์ทสุดหรูแห่งนี้จนได้ โชคดีไปที่ไม่ได้หายากอย่างที่คิด นี่ถ้านนท์ไปพักอยู่รีสอร์ทเล็กๆ เขาคงตามหาลำบากกว่านี้มาก น้ำต้นยืนจดๆจ้องๆอยู่ครู่เดียวแล้วจึงสวมหมวกแก๊ปประจำตัวของเขาเดินเข้าไปในส่วนต้อนรับลูกค้าที่จะมาพัก

พนักงานสองสามคนเดินไปมา แต่ไม่มีที่ท่าว่าจะยุ่งขิงอะไรมากมาย แต่ก็นึกแปลกใจเมื่อเห็นร่างสูงของชายหนุ่มที่สวมหมวกเดินตรงเข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้

“เอ่อ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้าจะเช็กอินคงต้องรอสายๆของวันพรุ่งนี้น่ะค่ะ” พนักงานสาวหน้าตาสวยสะไม่เบาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“คือ ผมไม่ได้จะมาเปิดห้องครับ คือ...” เอาเข้าจริงๆ เขาเองก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดีเหมือนกัน “ผมมาตามหาคนครับ”

พนักงานสาวยังคงมองหน้าชายหนุ่มอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรนัก

“คือเขาเป็นแขกของที่นี่น่ะครับ”

“ถ้าอย่างนั้น เอ่อ... เราคงช่วยอะไรไม่ได้ค่ะ คือที่นี่เรารักษาความเป็นส่วนตัวของแขกของเรามาก”

“ขอร้องล่ะครับ” น้ำต้นเอ่ยออกไปในที่สุด เขายื่นมือไปจับมือของพนักงานสาวผู้นั้นอย่างลืมตัว “ผมขับรถมาจากกรุงเทพฯ ยังไงก็ต้องพบกับเขาให้ได้”

“คุณคะ...” เธอทำหน้าลำบากใจขึ้นมาเต็มที่ “อย่าทำอย่างนี้เลยค่ะ”

น้ำต้นถอดหมวกออก และแน่นอน พนักงานสาวผู้นั้นจำเขาได้และถึงกับผงะไปเล็กน้อย เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปากเอาไว้อย่างลืมตัว ด้วยไม่อยากเชื่อว่า จู่ๆนักร้องชื่อดังจะมายืนจับมือเธออยู่ตรงหน้านี้แล้ว

“นะครับ ผมขอร้อง เอาแค่ช่วยเช็กให้นิดเดียวว่า เขาพักอยู่ที่นี่หรือเปล่าก็พอ อย่างน้อยให้ผมได้แน่ใจว่าผมมาถูกที่แล้วจริงๆ”

พนักสาวอ้าปากค้างไปเป็นครู่ก่อนจะตั้งสติได้ หนนี้เธอระบายลมหายใจเพื่อเรียกสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว

“ถึงอย่างนั้นเถอะนะคะ เอ่อ... คุณน้ำต้น...” เธอเอ่ยชื่อเขาอย่างลังเล แต่น้ำต้นพยักหน้า “ฉันอยากจะช่วยนะคะ แต่ก็ลำบากใจจริงๆ”

“เขาชื่อนนท์ครับ” น้ำต้นเอ่ยชื่อ และนามสกุลของพี่ชายออกมา โดยไม่รอให้พนักงานสาวว่าอย่างไรต่อ

ได้ผล ชื่อของนนท์ทำให้เธอนึกเอะใจ ชื่อนนท์ นามสกุลแบบนี้ เพื่อนของคุณธีร์คนนั้นนั่นเอง ชายหนุ่มรูปร่างไม่สูงใหญ่นัก แต่หน้าตาชวนให้ดึงดูดใจ แถมกริยามารยาทยังดูดีอีกต่างหาก เสียอย่างเดียวดูเศร้าเกินไปหน่อย

“คุณน้ำต้นคะ...”

“แค่บอกว่าเขาอยู่ที่นี่ก็พอครับ”

พนักงานสาวพยักหน้า น้ำต้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขามาถูกที่แล้ว อย่างน้อยก็พอจะทำให้ความหวังที่เหลือริบหรี่เหลือเกินดูมีหนทางขึ้นบ้างแล้ว

“คงบอกห้องไม่ได้ใช่ไหมครับ” เธอส่ายหน้าอย่างเห็นใจ ที่ไม่อาจช่วยอะไรเขาได้

“ไม่เป็นไร” น้ำต้นว่า “แต่ถ้าผมอยากพบกับเจ้าของที่นี่จะเป็นไปได้ไหม”

“หา...” มีไม่บ่อยหรอกนะที่จะเกิดเรื่องอะไรให้ได้เธอตกใจได้ติดๆกันขนาดในภายในหนึ่งคืน

“ก็ในเมื่อ คุณเปิดเผยข้อมูลของแขกไม่ได้ ผมก็จะไม่เซ้าซี้ไงครับ แต่ถ้าจะขอพบกับเจ้าของที่นี่ คงได้ใช่ไหม” น้ำต้นยิ้มอย่างมีชัย “วันพรุ่งนี้เช้า คือผมหมายถึงตอนสายของวันนี้เลยจะเป็นไปได้ไหม”

“เอ่อ... ยังไงดีล่ะคะ” ตอนนี้เธอชักจะทำอะไรไม่ถูกแล้วเหมือนกัน

“ช่วยผมหน่อยเถอะนะครับ” น้ำต้นมองตาพนักงานสาวผู้นั้นอย่างจริงจังเป็นการขอร้อง “คนที่ผมตามหามีความสำคัญมาก สำคัญเท่าชีวิต คุณเชื่อเถอะว่า ถ้าผมไม่ได้ทางใด ผมก็ต้องพยายามเอาอีกทางหนึ่งอยู่ดี ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้พบกับเขา เพราะฉะนั้น ช่วยผมหน่อยเถอะครับ” เขาว่าด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ ใช่แล้ว อย่างหนึ่งที่เธอรู้สึกแปลกใจในตัวชายหนุ่มผู้นี้ก็คือ ดวงตาที่บวมช้ำราวกับคนอดนอนและผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักนั่นเอง ผิดกับภาพของชายหนุ่มผู้ร่าเริงพร้อมกับรอยยิ้มสดใสที่เธอๆได้เห็นผ่านทางจอโทรทัศน์อย่างสิ้นเชิง

พนักงานสาวยิ้มให้เขาก่อนจะบีบมือข้างที่เขายังคงไม่ยอมปล่อยเอาไว้ตอบเขา

“เอาเถอะค่ะ ฉันจะโทรบอกคุณธีร์เป็นอย่างแรกของเช้าวันนี้เลยก็แล้วกันนะคะ”

“ขอบคุณครับ” เขามองเธออย่างรู้สึกซึ้งน้ำใจยิ่งนัก

“แล้วคุณ...”

“ผมจะนั่งรออยู่ที่นี่แหละ รับรองว่าจะไม่ให้รบกวนใครแน่ๆครับ”

“จะดีเหรอคะ อีกตั้งหลายชั่วโมง”

“ดีครับ ผมรบกวนคุณตั้งมากมาย อีกอย่าง ผมรอมานานแล้ว จะรอต่อไปอีกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก” ว่าแล้ว น้ำต้นก็เดินตรงไปที่โซฟาที่ตั้งอยู่ในล็อบบี้ ก่อนจะนั่งปุลงไป โดยไม่รอให้หญิงสาวได้มีโอกาสพูดอะไรต่ออีก

***********************

เช้ามืดแล้ว

เขานอนหลับๆตื่นๆแบบนี้มาหลายวัน อันที่จริงต้องบอกว่าตั้งแต่มาพักอยู่ที่นี่ต่างหาก นนท์หันไปมองนาฬิกาตรงหัวเตียง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้น ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าเหมือนกับทุกวัน... เขาเดินไปล้างหน้าล้างตา แต่งตัวด้วยชุดลำลองที่ดูสบาย แต่กลับดูดีเหลือเกินเมื่ออยู่บนร่างของชายหนุ่ม

นนท์ไม่สวมรองเท้า เวลาเดินลงไปยังชายหาด เขาชอบที่จะเดินลงจากระเบียงทางด้านหลังของห้องแล้วก็ย่ำเท้าลงไปบนทรายนุ่มๆ เดินทอดอารมณ์ไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาที่ได้ทำแบบนี้พร้อมกับรอชมพระอาทิตย์ในตอนเช้า เป็นช่วงเวลาที่เขาชอบมากที่สุด และทำให้เขารู้สึกมีความสุขที่สุดเช่นกัน

แต่ทำไมหนอ แสงอาทิตย์ในยามเช้ามันถึงได้ทำให้เขารู้สึกเหงามากมายถึงเพียงนี้ ดูพระอาทิตย์ขึ้นคนเดียวมันเหงาได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ นนท์หยุดยืนอยู่ตรงจุดที่น้ำทะเลซัดมาบรรจบบนหาดทราย น้ำทะเลเย็นๆชะล้างทรายบนเท้าของเขาออกไป แต่กลับยิ่งทำให้ทรายติดเท้ามากขึ้นไปอีก ยิ่งล้างออกก็ยิ่งติดอยู่อย่างนั้น

ความรักก็คล้ายกัน ยิ่งพยายามวิ่งหนีจากมัน มันก็จะผูกติดอยู่กับเราจนสลัดไม่หลุด

นนท์ยืนมองตรงขอบฟ้า แสงสีส้มอ่อนค่อยๆเผยให้เห็น บรรยากาศรอบข้างเริ่มที่จะสว่างไสวขึ้น นานเท่าไหร่เขาไม่รู้ รู้แต่คอยยืนมองดวงอาทิตย์สีส้มลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ดวงตาพร่าพรายไปชั่วครู่เมื่อละสายตาจากมัน อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว นนท์จึงก้มลงมองเท้าที่มีน้ำทะเลซัดใส่อย่างอ่อนโยน เขายิ้ม และตัดสินใจจะเดินเล่นต่ออีกสักหน่อย


*********************


นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้

น้ำต้นนั่งหลับๆตื่นๆอยู่ที่ล็อบบี้ จนไม่อาจฝืนตัวเองต่อไปได้ เขาจึงเดินไปบอกแก่พนักงานสาวคนเดิมว่าจะขอลงไปเดินเล่นที่ชายหาดเพื่อรอเวลาแทน

“ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นสิคะ รีสอร์ทของเราขึ้นชื่อทีเดียวค่ะ” เธอว่า “อย่างน้อยมันน่าจะทำให้คุณสดใสขึ้นได้บ้าง”

“ขอบคุณนะครับ แล้วก็...”

“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ฉันจะโทรบอกคุณธีร์ให้เอง”

เขายิ้มขอบคุณให้เธอก่อนที่จะเดินตรงไปยังหาดทรายที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยสะอาดของรีสอร์ทแห่งนี้ คงจะดีนะ ถ้าได้มาเที่ยวที่นี่กับพี่นนท์ ไม่ใช่คนหนึ่งหนีมาแล้วอีกคนมาตามหาแบบนี้ น้ำต้นถอดรองเท้าทิ้งไว้บนทราย ก่อนจะค่อยๆเดินทอดน่องลงไปให้เท้าได้สัมผัสกับน้ำทะเลเย็นๆ

เขาชอบทะเลมาก ทั้งที่เกิดอยู่กับป่ากับเขามาตั้งแต่เด็กแท้ๆ จำได้ว่าพอได้มาเที่ยวทะเลเป็นครั้งแรก เขาก็ตกหลุมรักมันชนิดถอนตัวไม่ขึ้น แต่ปัญหาเพียงอย่างเดียวของเขาที่มีต่อทะเลก็คือ ถ้ามาคนเดียว กลับยิ่งรู้สึกว่ามันเหงาเกินไป ทะเลช่างกว้างใหญ่ ท้องฟ้าก็กว้างไกล ทำให้คนเรารู้สึกตัวเล็กเหลือเกิน

พระอาทิตย์ริมทะเลสวยงามเสมอโดยเฉพาะเวลาที่มันกำลังขึ้นจากขอบฟ้าแบบนี้

พี่นนท์จะรู้ไหมว่าความหวังดีของพี่ มันทำร้ายน้องชายคนนี้สาหัสเหลือเกิน พี่คงไม่คิดสินะว่าต้นจะรักพี่หมดหัวใจขนาดนี้ ถึงได้คิดว่าการหนีมาจะทำให้อะไรดีขึ้นได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น มาหัวหินหนนี้ ถ้าต้นไม่ได้เจอพี่นนท์ หรือถ้าพี่นนท์ยังยืนยันจะหนีเขาไปอีก เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีแรงร้องเพลงต่อไปได้อีกไหม

ความรักมันเป็นอย่างนี้นี่เองสินะ

ไหนๆก็ต้องรอเวลาอยู่แล้ว ก็ขอฆ่าเวลาด้วยการเดินเล่นบนหาดทรายไปเรื่อยๆแบบนี้ก็แล้วกัน แล้วก็คิดซิว่า ถ้าเจอพี่นนท์จะพูดอะไรเป็นอย่างแรก

“น้ำต้น”

เขาไม่แน่ใจว่าที่ได้ยินนั้นเป็นชื่อของเขาหรือไม่ แต่เสียงเรียกนั้นช่างคุ้นหูเหลือเกิน เขาเงยหน้าขึ้น แสงอาทิตย์ทำให้ตาพร่าไปเล็กน้อย เขาจึงทำได้แต่เพียงพยายามหรี่ตามองไปทางต้นเสียง

ออฟไลน์ Namehoto

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +696/-9
“น้ำต้น...” เสียงนั้นเรียกมาอีกครั้ง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาพลันชัดขึ้น

“พี่นนท์” เขาเอ่ยได้เท่านั้นก็เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ ร่างที่ดูบางลงกว่าเดิมนับแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา เห็นได้ชัดว่าตกใจและประหลาดใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นน้ำต้นอย่างไม่คาดคิดมาก่อน

ไม่น่าเชื่อว่าจะยืนอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่เหมือนห่างไกลกันเหลือเกิน ชายหนุ่มทั้งสองคนได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง ด้วยต่างฝ่ายต่างไม่คาดคิดว่าจะได้พบกันในลักษณะนี้

น้ำต้นตาพร่า แต่ไม่ใช่เพราะแสงอาทิตย์ แต่เพราะน้ำตาที่เอ่อคลอออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“พี่นนท์ ทิ้งต้นได้ยังไง” คำพูดหลุดออกมาจากปากได้ในที่สุด

นนท์สะอึกเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่านั้นเอ่ยออกมาไม่ดังไปกว่าเสียงคลื่นบางๆที่ดังก้องอยู่ทั่วบริเวณเท่าไรนัก น้ำตาของเด็กหนุ่มไหลลงเป็นสายอาบแก้ม ดวงตาฉายชัดว่าผ่านการร้องไห้มาไม่น้อยและดูอิดโรยอย่างยิ่ง น้ำต้นได้นอนบ้างไหม เขาอยากถาม แต่ตอนนี้เขาพูดอะไรไม่ออก ขาข้างหนึ่งก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว

“หนีอีกสิ พี่หนีต้นไปอีกสิ” ตอนนี้เสียงนั้นกลายเป็นเสียงตะโกนที่ดังขึ้น นนท์ชะงักขาข้างนั้นทันที “ทำไมพี่ไม่บอกว่าเกลียดน้องคนนี้แล้ว ทำไมไม่บอกว่าไม่รักกันอีกต่อไปแล้ว ถึงตอนนั้นพี่ไม่ต้องหนีไปไหนหรอก ต้นจะเดินออกจากชีวิตพี่ไปเอง” เขาต่อว่าทั้งน้ำตา “แต่พี่รู้ไหมว่าพี่ทำแบบนี้ มันฆ่ากันชัดๆ นึกจะหนีไปก็ไป ไม่พูด ไม่บอก ต้นเป็นอะไรในชีวิตพี่ แล้วต้นไปทำอะไรให้พี่เจ็บช้ำน้ำใจ พี่ถึงทำแบบนี้กับต้น บอกหน่อยได้ไหมพี่นนท์ บอกให้เข้าใจ แล้วถึงตอนนั้นต้นจะไปจากพี่เองก็ได้”

“น้ำต้น...พี่ไม่...” เสียงของนนท์แหบหายลงคอไป

“ไม่อะไร! ไม่รักกันแล้วใช่ไหม! ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วใช่ไหม!” น้ำต้นตะโกนออกไปอย่างไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ตอนนี้เขามีแค่ความรู้สึกโกรธ น้อยใจ เสียใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด

“ไม่ใช่!” นนท์ตะโกนตอบกลับมาเสียงดังไม่แพ้กัน “ไม่ใช่...” เขาทรุดร่างลงนั่งบนพื้นทรายอย่างหมดแรง เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆอีกต่อไปแล้วจริงๆ ใบหน้าซบลงกับฝ่ามือและร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“พี่นนท์” น้ำต้นแทบจะถลาเข้าไปหา แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่าแค่เดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าชายหนุ่ม

“พี่อยากจะบอกน้ำต้นไปเลยเหมือนกันว่า ไม่รักแล้ว พี่เกลียดต้น ไม่อยากอยู่ใกล้ ไปไหนก็ไป... อะไรก็ได้ ที่จะผลักไสต้นให้อยู่ห่างจากพี่” นนท์ยังคงก้มหน้าโดยมีมือข้างหนึ่งคอยปาดน้ำตาอยู่อย่างนั้น “แต่พี่พูดไม่ออก พี่ทำไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพราะพี่รักต้น แต่พี่โกหกตัวเองไม่ได้เลย” นนท์ยังคงสะอึกสะอื้นต่อไป

“ที่จริงพี่จะหนีไปไกลๆก็ได้ แต่พี่ทำไม่ได้ เพราะมันรู้สึกเหมือนจะตายถ้าอยู่ห่างกันมากกว่านี้ เข้าใจพี่ไหมน้ำต้น” เด็กหนุ่มได้แต่พยักหน้า “แต่จะให้พี่อยู่กับน้ำต้นแล้วทำให้ชีวิตการงาน ทุกสิ่งที่น้ำต้นสร้างมาพังหมด พี่ก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน พี่ถึงต้องหนีมา อนาคตทั้งหมดของต้นจะมาจบเพราะพี่ไม่ได้เด็ดขาด” นนท์คว้าแขนของน้องชายแล้วบีบมันอย่างลืมตัว “นักร้องที่มีอนาคตสวยงามอย่างน้ำต้นจะจบลงตรงที่มีคนรักเป็นผู้ชายไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจไหม”

“ต้นไม่ได้มีคนรักเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงอะไรทั้งนั้นพี่นนท์” น้ำต้นว่าด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดแต่หนักแน่น “ถ้าไม่ใช่พี่นนท์ ต้นก็รักใครไม่ได้เข้าใจไหม” หนนี้เป็นเขาที่จับไหล่นนท์กระชับแน่นแล้วเขย่าเหมือนจะตอกย้ำคำพูดทั้งหมดของตัวเอง

“ต้นไม่ได้อยากได้แค่พี่ชายนะ แต่อยากได้คนรักที่จะมาเป็นคู่คิด อยู่ด้วยกัน ช่วยกัน แชร์กัน ต้นถามพี่อีกครั้งได้ไหมว่า ต้นดูพึ่งพาไม่ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ ต้นไม่ได้อยากจะให้พี่มาดูแลต้นอย่างเดียวนะ แต่ต้นก็อยากให้พี่เห็นต้นเป็นที่พึ่งพิงได้เหมือนกัน แต่แล้วพี่ก็พยายามจะหนีไป พยายามจะผลักไสกัน พี่เคยคิดบ้างไหมว่าต้นจะรู้สึกยังไง จะเจ็บปวดแค่ไหน ต้นเสียใจมากเลยนะพี่” น้ำต้นร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “พี่ไม่รู้หรือว่าต้นรักพี่แค่ไหน ทำไมพี่ถึงได้ดูถูกน้ำใจกันขนาดนี้”

“พี่ขอโทษ น้ำต้น พี่เสียใจ” เขาถลาเข้าไปกอดน้องชายเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าน้ำต้นจะหนีหายจากเขาไปต่อหน้าต่อตา

“ต้นกอดพี่ได้ไหม แล้วจะสัญญาได้ไหมว่าจะไม่หนีกันไปแบบนี้อีก” แขนแข็งแรงทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มปล่อยทิ้งไว้ข้างตัว อย่างไม่แน่ใจว่าถ้ายกมันขึ้นกอดตอบ พี่ชายของเขาจะหนีเขาไปอีกหรือไม่

นนท์พยักหน้าถี่ ใบหน้าอาบน้ำตาซบลงบนไหล่จนเสื้อของน้ำต้นเปียกชื้นไปหมด

“ต้นไม่มีแรงจะเสียใจได้บ่อยๆนะพี่นนท์ เพราะฉะนั้นอย่าทำแบบนี้อีกนะพี่ ต้นขอร้อง” แขนของเด็กหนุ่มยกขึ้นโอบกระชับร่างชายหนุ่มที่รู้สึกได้ชัดเจนว่าผ่ายผอมลงไปมากจนน่าใจหาย

“พี่สัญญา จะไม่ทำแบบนี้อีก”

“สัญญาแบบคราวที่แล้วก็ไม่เอานะ”

“ไม่แล้ว ครั้งนี้สัญญาจริงๆ”

“พี่ยังรักต้นอยู่หรือเปล่า”

“รักสิครับ ไม่อย่างนั้นพี่คงวิ่งหนีต้นไปแล้ว”

“เราจะอยู่ด้วยกันนะ” นนท์พยักหน้า “มีอะไรก็ต้องคุยกัน อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว อย่าแบกโลกเอาไว้คนเดียวอีก” นนท์กอดกระชับน้ำต้นให้แน่นขึ้นเรากับจะเป็นการตอบรับ

“ต้นรักพี่นนท์มากนะ พี่หนีไปที ใจมันจะขาดให้ได้เลย” น้ำต้นว่าต่อ

“พี่ขอโทษ” วงแขนของทั้งคู่คลายจากกัน แต่มือไม้นั้นไม่ยอมห่างกันเลยแม้แต่น้อย น้ำต้นประสานมือเข้ากับนนท์ ก่อนจะกระซิบอะไรเบาๆข้างหูเขา ทำเอานนท์ถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบอ้อมแอ้มเสียงเบาไม่แพ้กันว่า “พูดออกมาได้ ไม่อายปากนะเรา”

น้ำต้นฉวยโอกาสที่นนท์ไม่ทันได้ตั้งตัวช้อนร่างนั้นขึ้น

“เฮ้ยยยยย!!! อะไร... ไม่เอา! ปล่อย!” นนท์ประท้วงออกมาด้วยเสียงอันดัง น้ำต้นที่แข็งแรงกว่า ยืนอมยิ้มมองหน้าพี่ชายที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างมีเลศนัย

“ขืนยอมยกโทษให้ง่ายๆ ก็ไม่ใช่น้ำต้นสิ” คนพูดแยกเขี้ยว

“ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ!” นนท์สั่งเสียงแข็ง “เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” นนท์ทุบไหล่ของน้ำต้นไม่แรงนักแต่ก็ไม่เบาเช่นกัน

“โอ๊ย... เช้าๆยังงี้ก็มีคนบ้าอย่างเราแค่สองคนนี่แหละมายืนอยู่แถวนี้” เด็กเจ้าเล่ห์ยังว่าต่ออย่างยียวน ยังไม่ทันที่นนท์จะได้ประท้วงอะไรต่อ ร่างอันสูงใหญ่แข็งแรงของน้องชายก็อุ้มร่างของเขาวิ่งลงทะเลไปหน้าตาเฉย ก่อนจะโยนร่างของเขาทิ้งลงน้ำตูมเบ้อเริ่ม นนท์พรวดพราดขึ้นมาจากน้ำ ก่อนจะที่กระโจนเข้าหาน้ำต้นอย่างเอาเรื่อง

“ทำอย่างนี้ใช่ไหม!” น้ำเสียงคาดโทษของนนท์ไม่ได้ฟังดูน่ากลัวเลยสักนิด น้ำต้นที่ได้แต่หัวเราะชอบใจไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อโดนร่างเล็กแต่แข็งแรงนั้นโถมเข้าใส่จึงเสียหลักล้มลง เปียกมะล่อกมะแล่กตามกันไปแบบไม่มีใครน้อยหน้าใคร


************************


หากมองขึ้นไปบนบันไดทางขึ้นไปยังด้านหลังของรีสอร์ท จะเห็นร่างของคนสองคนยืนมองภาพชายหนุ่มสองคนปลุกปล้ำผลักกันไปมาอยู่ในน้ำอย่างพิศวงงงงวย ด้วยไม่แน่ใจว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ เพราะชายหนุ่มทั้งสองคนที่ทำท่าเหมือนจะทะเลาะกันใหญ่โต ตอนนี้ลงไปเล่นน้ำกันจนเป็นที่สนุกสนานไปแล้วเรียบร้อย

“เอายังไงดีคะคุณธีร์” พนักงานสาวถามชายหนุ่มที่ยืนกอดอกยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆเธออยู่เป็นนาน

“ก็... คงไม่ต้องทำอะไรแล้วมั้ง” เขาว่าหน้าตาเฉย “ท่าทางจะคุยกันรู้เรื่องแล้วล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ

“ยังไงก็ขอบคุณมากนะ”

“ขอบคุณอะไรคะ”

“ก็ที่ทำให้เพื่อนผมยิ้มได้ซักที คุณทำหน้าที่ของคุณได้ดีทีเดียวแหละ” ธีร์ออกปากชมหญิงสาว

“ไม่หรอกค่ะ ดิฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“เอาเถอะ ปะ... ขึ้นไปกัน ปล่อยเขาไว้อย่างนั้นแหละ แล้วถ้านนท์จะเอาอะไรก็ดูแลให้ผมด้วยก็แล้วกันนะ”

“ได้เลยค่ะ” ว่าแล้วทั้งคู่ก็เดินหายเข้าไปในรีสอร์ท ปล่อยให้ชายหนุ่มสองคนสนุกกับการเล่นน้ำทะเลในแบบที่ไม่ได้คาดคิดกันต่อไป

*********************

“ตามหาพี่เจอได้ยังไงน้ำต้น” นนท์ถามขณะยื่นผ้าเช็ดตัวให้หลังจากที่เล่นน้ำกันอยู่นานเป็นชั่วโมง น้ำต้นที่ไม่มีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนเลยเพราะมาแต่ตัว ก็ไม่พ้นต้องมาออดอ้อนขอยืมเสื้อผ้าของพี่ชายมาใส่ ไม่ต่างอะไรกับตอนอยู่กรุงเทพฯ

“พี่เมลไงพี่” น้ำต้นตะโกนออกมาจากห้องน้ำ

“เราไปรู้จักเมลได้ยังไง” นนท์ถามอย่างสงสัย

“ไม่ยาก โทรไปถามแม่พี่นนท์ไง แล้วก็ให้พี่เมษช่วยหาเบอร์แฟนพี่เมลให้หน่อย เส้นสายพี่เมษอ่ะเยอะ แกไปหาเอาจนได้ ต้นเลยโทรไปหา เล่าที่มาที่ไปเสร็จ แกยื่นโทรศัพท์ให้คุยกะพี่เมลตรงนั้นเลย”

“แต่พี่ไม่ได้บอกเมลว่าพักที่ไหนนะ” นนท์ทำท่าครุ่นคิด

“พี่เมลบอกว่า ถ้าพี่พักอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ก็คงไม่พ้นหัวหิน แต่พี่เมลไม่ชัวร์ เลยโทรเช็กกะเพื่อนที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทซะเลย แล้วก็อย่างที่เห็น...”

นนท์นึกทึ่งในตัวเพื่อนสาวคนสนิท อีกใจก็นึกทึ่งเจ้าน้องชายที่เห็นเป็นเด็กขี้เล่นแบบนี้ บทจะเอาจริงขึ้นมา น่ากลัวเหลือเกิน น้ำต้นทำทุกอย่างจริงๆถ้านั่นเป็นสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง

“เก่งเหมือนกันนะเราเนี่ย” นนท์ออกปากชมน้ำต้นทันทีที่เด็กหนุ่มอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าออกมาเป็นที่เรียบร้อย

“โชคช่วยหรอกพี่นนท์” ไม่ว่าเปล่า น้ำต้นยังถือวิสาสะนอนหนุนตักพี่นนท์ต่างหมอนแถมยังเอาแขนโอบเอวเอาไว้ไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก “ตลอดทางที่ขับรถมาต้นก็คิด ถ้าไม่เจอพี่นนท์แล้ว ต้นจะทำยังไง จะไปหาพี่ที่ไหน เพราะนี่น่ะเป็นความหวังสุดท้ายแล้ว”

“ขอบคุณที่หาพี่จนเจอนะ” นนท์ลูบผมที่ยังเปียกชื้นของเด็กหนุ่มที่ยึดตักเขาเอาไว้เป็นของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว

“พี่นนท์”

“ครับ”

“ถ้าต้นไม่มาหาพี่ พี่จะทำยังไงต่อ”

“พี่กำลังคิดว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอกน่ะ”

“พี่ไม่เสียดายเหรอที่จะไม่ได้เป็นนักร้อง”

“เสียดายสิ แต่ว่าพี่นึกถึงเรื่องนี้น้อยกว่าเรื่องของน้ำต้นนะ”

“ใจนึงก็โกรธพี่นะที่ทำแบบนี้ แต่อีกใจนึงก็อยากขอบคุณ”

“ขอบคุณอะไร”

“ขอบคุณที่พี่รักต้นขนาดนี้”

นนท์ยิ้มกับคำพูดที่ได้ยิน น้ำต้นพลิกตัวขึ้นนอนหงาย มองหน้าชายหนุ่มที่ลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยนอยู่ในตอนนี้

“ตอนนี้พี่ไม่ต้องหนีแล้วนะ” นนท์พยักหน้า

“แล้วก็จะได้ออกอัลบั้มแล้วด้วย”

หนนี้นนท์ยิ้มก่อนจะกลอกตาขึ้น

“ไม่รู้พี่มิ่งกับพี่นอจะยังอยากได้พี่อยู่ไหม”

“อยากสิ แค่อย่าลืมโทรบอกพี่เขาก็พอ”

“นั่นสิ” เขาหัวเราะออกมาเบาๆ

“พี่”

“หือม์”

“ต้นฟังเพลงของพี่แล้วนะ”

“อือม์”

“ร้องยังไงก็ร้องไม่ได้”

“ทำไมล่ะ มันร้องยากขนาดนั้นเลยเหรอ” นนท์ขมวดคิ้ว

“เปล่า”

“อ้าว”

“มันเศร้าเกินไป ต้นร้องทีไรต้องหยุดกลางครันทุกที”

นนท์ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

“พี่แต่งเพลงเศร้าขนาดนั้นออกมาได้ยังไง” น้ำต้นยกมือขึ้นสัมผัสข้างแก้มของนนท์

“บางอย่างก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน”

“ยังอยากให้ต้นร้องเพลงนี้อยู่อีกหรือเปล่า”

นนท์พยักหน้า

“อยากสิ ถึงมันจะเป็นเพลงเศร้า แต่มันก็เป็นเพลงที่น่าจดจำนะว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราบ้าง”

“พี่นนท์กลับกรุงเทพฯกับต้นนะ” นนท์พยักหน้า “แล้วไปฟังต้นอัดเสียงเพลงนี้ นะ”

“ถ้าพี่ไปฟังด้วย ต้นจะร้องได้แน่เหรอ”

“ต้นจะพยายาม”

เขายิ้มตอบกลับรอยยิ้มของน้องชายที่นอนมองหน้าพูดคุยกับเขา จะไม่หนีไปอีกแล้ว นนท์บอกตัวเองอย่างนั้น ในวินาทีที่เขาได้เห็นน้ำต้นเมื่อเช้านี้ เขาได้แต่บอกตัวเองว่า เขาคงหนีคนคนนี้ไปไม่ได้จริงๆ น้ำต้นเข้ามานั่งอยู่ในหัวใจของเขาจนเต็ม จนไม่เหลือที่เอาไว้ให้ใครอีก และดูเหมือนชีวิตของเขาพลันจะดูมีความหมายขึ้นมาทันที

“ตายล่ะ” จู่ๆเด็กน้ำต้นก็โพล่งออกมา

“อะไร”

“หิวแล้ว ทำไงดี”

นนท์ส่ายหน้าก่อนที่จะเคาะมือลงบนหน้าผากน้ำต้นเบาๆ

“หิวแล้วยังจะลีลา มันน่าปล่อยให้อดตายไหม”

“พี่นนท์ก็เหมือนกัน” น้ำต้นได้ทีจึงสวนกลับไปบ้าง

“พี่ทำไม” นนท์เลิกคิ้วอย่างข้องใจ

“ผอมจะตายอยู่แล้ว!” น้ำต้นว่าไม่สบอารมณ์ “ถามหน่อย อยู่ที่นี่กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้างไหม หือ” ว่าไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังพรวดพราดลุกขึ้นมา จับแขนบ้างไหล่บ้างของนนท์โดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้ออกปากอะไรทั้งสิ้น “เนี่ย แล้วมีแต่กระดูก หน้าก็เหลือแค่สองนิ้วเองมั้ง แล้วดูเอวดิ๊... เท่าไหร่เนี่ย 23 ถึงไหม แขนขาเล็กนิดเดียว” น้ำต้นบ่นต่อไปไม่หยุด “อุ้มทีเบายังกะอะไรดี กอดทีก็โดนกระดูกทิ่มพุง ไม่เอาละพี่นนท์ ต่อไปนี้ต้องกินเยอะๆ เริ่มจากมื้อนี้ก่อนเลย ไป...” น้ำต้นจับข้อมือนนท์ ทำทีพยักเพยิดให้เขาลุกตามมา

“ไปไหน”

“ไปกินข้าว”

“ได้ยังไง น้ำต้นไม่ใช่แขกของที่นี่”

“แต่พี่เป็นเพื่อนเจ้าของที่นี่ โทรไปบอกเลยนะว่ามีแขกห้องนี้เพิ่มมาอีกคนนึง”

“เอาจริงหรือนี่”

“เอาจริง หิวแล้วด้วย” น้ำต้นทำหน้าตาเอาเรื่อง นนท์ถึงกับหัวเราะออกมา ตกกระไดพลอยโจนอีกแล้วเรา ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้น พูดอะไรกับปลายสายสักพัก แล้วก็มองหน้าน้องชาย ที่เลิกคิ้วขึ้นราวกับจะถามว่า เรียบร้อยใช่ไหม นนท์ไม่ว่าอะไร แต่ยื่นมือออกไป น้ำต้นจับมือพี่ชายก่อนจะเดินออกไปยังห้องอาหาร

นี่น่าจะเป็นอาหารมื้อแรกที่ทั้งคู่ทานได้มากที่สุดในรอบหลายๆวันเลยทีเดียว

---------------------------------------

โปรดติดตามตอนต่อไป

***************************

จบไปแล้วนะคะ สำหรับตอนไคลแม็กซ์ที่เขียนยากที่สุด กว่าจะเขียนตอนนี้จบลงได้ จำได้ว่าไปนั่งทำอารมณ์อยู่นานเป็นเดือน แต่พอลงมือเขียน ก็รวดเดียวจบไปเลยเหมือนกัน

หวังว่าจะชอบนะคะ ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของนิยายเรื่องนี้แล้ว ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด และจะยังติดตามกันไปจนตอนสุดท้ายนะคะ

จากคุณ : fingers-crossed 

*************************

แจ้งข่าวนะคะ สำหรับเรื่องเพลงรัก มีโครงการที่จะรวมเล่มค่ะ และในการรวมเล่มจะมีตอนพิเศษของพี่นนท์กับน้ำต้นเพิ่มให้ด้วยนะคะ มีใครสนใจหรือเปล่า เพราะนิ้วไขว้ยังไม่แน่ใจว่าจะรวมดีไหม เลยมาขอโยนหินถามทางว่ามีใครสนใจหรือเปล่าก่อนน่ะค่ะ

*****************************

ออฟไลน์ ปี้ปี้ปี้~PalmY

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2427
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +273/-1
ถ้ารวมเล่นสนใจครับ

ตอนนี้ชอบอะ นี้นะไม่ค้างไว้ให้ลุ้นว่าหาเจอไม่เจอ  :z1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
จะจบแล้วหรอคะ ๆๆๆ
อยากบอกว่าอ่านตอนนี้ไปแล้ว สงสารทั้งน้ำต้น สงสารทั้งพี่นนท์
เห้อออ พออ่านจบก็โล่งอก เข้าใจกัน
เจอกันซะที :)

ออฟไลน์ ToeyTato

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-1
 o13
อ่านไปร้องไห้ไปอ่ะ เศร้าแทน แต่ดีใจที่เข้าใจกันแล้ว เย้ๆ
จะมีรวมเล่มด้วยหรอค่ะเนี้ย อู้วววว

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีค่ะ คุณนิ้วไขว้ และคุณนาเมฮ์

อ่านตอนนี้ด้วยน้ำตา มันไหลตลอดที่อ่านตอนนี้เลยค่ะ :sad11: :sad11:
เศร้ามาก แต่ก็ดีใจที่ได้เจอกัน รักกัน
ต้องขอบคุณความรักของทั้งสองคน ที่ทำให้ผ่านพ้นเรื่องร้ายๆมาได้

เรื่องรวมเล่ม เอาเลยค่ะ ดีดีดีดี  ขอจอง 1 ชุดด้วยเลยค่ะ
ชอบเรื่องนี้มาก อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด