ตอนพิเศษ เมื่อไอ้หน้าหวานป่วย
“โปเต้ นายเป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมเอ่ยถามคนข้างกาย ที่วันนี้มาเรียนด้วยท่าทีที่ไม่เบิกบานใจเสียเท่าไหร่
“เปล่า แค่ง่วงน่ะ” โปเต้ตอบก่อนจะหันมายิ้มให้ผม
“นาย...ไม่สบายหรือเปล่า?” ผมเอ่ยถามออกไปตามตรง
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“จริงๆนะ”
“จริงสิ”
“นี่...ถ้าไม่สบายหรือเป็นอะไรก็ต้องบอกผมนะ เรื่องที่จะไปดูหนังตอนบ่ายเรายกเลิกกันไปก่อนก็ได้” ผมเอ่ยออกไป
ความจริงช่วงนี้ผมกำลังโปเต้เรายุ่งกันมากๆ แทบจะไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นหรือทำอะไรเลย การเป็นนักศึกษาปีสี่นี่มันไม่ง่ายเลย
สักนิด แต่เพราะงานมันเยอะมาก พวกผมจึงพยายามกันเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้คือเรียนเสร็จ แล้วกลับไปบ้านอย่างเดียว
แม้จะอยู่ห้องเดียว นอนด้วยกัน แต่เราแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันสักเท่านั้น เอาแต่เร่งทำงานกัน เพราะอยากให้มันเสร็จเร็วๆ
แต่วันนี้คาบบ่ายอาจารย์ยกเลิศคลาสไป ทำให้พวกเราว่าง เนื่องจากพึ่งจะส่งงานไปเมื่อวาน แต่ถึงจะส่งงานเดี่ยวกันไปแล้ว
พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานกลุ่มกันอีก และคงจะยาวติดต่อกันเป็นสัปดาห์เลย ทำให้เวลาว่างที่มีอยู่ คือวันนี้ตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป
ผมจึงชวนโปเต้ไปดูหนังที่พึ่งเข้าใหม่ แต่ผมอยากดู ซึ่งโปเต้ก็ตอบตกลง
“ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ติณณ์ขี้กังวลเกินไปแล้ว” โปเต้ว่าก่อนจะยิ้มให้ผม
“ก็...”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ เพราะงั้น...บ่ายนี้ไปดูหนังกันนะ” โปเต้ว่าเสียงอ้อน อ่า...ให้ตายสิ เขาต้องรู้ว่าผมแพ้ทางเขา
แพ้น้ำเสียงอ้อนๆของเขาแน่ๆ
“อืม ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ผมก็แค่เป็นห่วง”
“หึๆ ขอบคุณครับ” โปเต้ยิ้มให้ผมอีกทีนึง ก่อนจะหันกลับไปตั้งใจเรียน
“ในที่สุดก็ว่างสักที!” เสียงหลุยส์ตะโกนเมื่อออกมาจาห้องเรียน
“เออ กูจะได้กลับบ้านไปนอน” จีน่าว่า ส่วนนิดาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“พวกมึง เดี๋ยวกูขอตัวก่อนนะ” แลนด์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ยืนกดโทรศัพท์อยู่พักนึง คาดว่าคงจะคุยกับดินนั่นแหละ
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ทั้งสองคนจะเป็นแฟนกันสักที เห็นตามดูแลกันยิ่งกว่าคู่ของผมกับโปเต้เสียอีก
“ไปหาแฟนเหรอวะ?” เซย์เอ่ยแซว
“ยังไม่ได้เป็นเว้ย!” แลนด์เอ่ยปฏิเสธ เหอะๆ ปากพูดอีกอย่าง แต่การกระทำอีกอย่าง มันน่าเชื่อมากกก
“ก็รีบๆเป็นสักทีดิวะ เอาแต่บอกว่าเป็นเพื่อน ระวังเถอะ เดี๋ยวดินเกิดอยากเป็นแค่เพื่อนจริงๆแล้วมึงจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“เดี๋ยวก็เป็นน่า ไปล่ะ รีบไปทำคะแนนก่อน” ว่าจบ แลนด์เดินไป คงจะไปหาดินอย่างไม่ต้องสงสัย
“งั้นกูไปล่ะนะ” ผมเอ่ยบอกกับพวกเพื่อน ก่อนจะเดินแยกออกมา ผมกับโปเต้เราคุยกันไว้ว่าจะไปหาข้าวกินก่อน
แล้วค่อยไปดูหนังกัน
“โปเต้ ทำไมมือนายร้อนๆล่ะ” ผมเอ่ยถาม เมื่อเขาเอื้อมมือมาจับมือผม และเรากำลังเดินไปที่ลานจอดรถ
“หืม?...ก็ไม่หนิ”
“โปเต้ ผมว่านายไม่สบายนะ ตอนนี้ปวดหัวหรือเจ็บคอหรือเปล่า?” ผมรีบเอ่ยถาม ก่อนจะดึงมือโปเต้ให้เขาหยุดเดิน
ผมเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากและลำคอของโปเต้ พบว่ามันร้อนผิดปกติ
นั่นไง มันเป็นอย่างที่ผมสงสัยจริงๆด้วย แล้วทำไมโปเต้ถึงไม่ยอมบอกผมตรงๆล่ะ ทำไมต้องเอาแต่บอกว่าไม่เป็นไรด้วย
“ติณณ์ ผมไม่ได้เป็นอะไร” โปเต้ว่าก่อนจะรวบมือของผมทั้งสองข้างที่แตะอยู่ที่หน้าเขาลงมา แล้วจับมือผมเอาไว้
“โปเต้ ตอนนี้นายมีไข้ ทำไมจะต้องบอกผมว่าไม่เป็นไรด้วยล่ะ” ผมถามเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ก็...ติณณ์อยากดูหนัง”
“โปเต้ ผมไม่ได้อยากดูถึงขนาดนายป่วยแล้วจะลากนายไปดูด้วยสักหน่อย นายไม่สบาย ...และเราจะกลับ ไม่ไปดูหนังอะไร
ทั้งนั้นแหละ” ผมว่าก่อนจะลากโปเต้ให้เดินตาม
“แต่หนังเรื่องนี้ติณณ์อยากดูมากนี่ แล้วเราก็ว่างแค่วันนี้นะติณณ์” โปเต้ยังคงพูดเหมือนไม่ยอม
“ระหว่างหนังกับนาย ผมเลือกนายนะ” ผมบอกด้วยสีหน้าจริงจัง ตั้งแต่ที่ผมกับโปเต้คบกันมา ตอนนี้มันก็ปีกว่าๆแล้ว
พวกเราต่างคนก็ต่างที่จะเริ่มพูดมากขึ้น กล้าพูดในสิ่งที่คิดมากขึ้น อาจเป็นเพราะเราเคยคุยเปิดใจกัน
แบบว่า...คุยกันทุกอย่าง คุยกันทุกเรื่อง เพื่อที่เราจะได้รู้ถึงจุดบกพร่องต่างๆ ที่สมควรแก้ไข้ และมันก็ทำให้ความสัมพันธ์
ของเราทั้งคู่เหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น
“แต่...”
“ไม่มีแต่ เอากุญแจรถมา ผมขับเอง” ผมเอ่ยบอกเมื่อเราเดินมาถึงที่รถพอดี
“ผมขับได้”
“เต้” ผมเรียกเขา และถ้าหากครั้งไหนที่ผมเรียกเขาแบบนี้ เขาก็จะต้องฟังผมแบบไม่มีข้อโต้แย้ง และผมเองก็เหมือนกัน
หากโปเต้เรียกผมว่า ‘ติณณ์’ ด้วยน้ำเสียงเดียวกันอย่างที่ผมเรียกเขา ผมก็ต้องฟังเขาอย่างไม่มีข้อโต้แย้งด้วยเหมือนกัน
“.....” โปเต้มองหน้าผมนิ่งๆก่อนจะยื่นกุญแจรถมาให้ผม ก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งข้างคนขับ ส่วนผมเองก็เปิดประตูรถ
แล้วสอดตัวลงไปนั่งที่เบาะคนขับ ก่อนที่จะขับรถออกจากมหา’ลัยทันที
ผมจอดแวะซื้อยาและแผ่นเจลลดไข้ที่ร้านขายยาในระหว่างทางกลับบ้าน ตอนนี้ผมกับโปเต้ย้ายออกมาจากบ้านพี่ปาร์กับพี่ตาล
และมาอยู่ที่บ้านที่คุณแม่ซื้อให้ ซึ่งมันก็อยู่หลังตรงข้ามกับบ้านพี่เขานั่นแหละครับ
“อยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไหม?” ผมเอ่ยถาม เพราะเขามีไข้ ถ้าจะให้นอนเลยก็กลัวว่าจะไม่สบายตัว แม้ว่ามันพึ่งจะเที่ยงกว่าๆ
ก็เถอะ
“อยาก”
“นายจะอาบน้ำหรือเช็ดตัว” ผมเอ่ยถามพลางจูงมือโปเต้เข้ามาในบ้าน
“อาบดีกว่า”
“งั้นก็รีบไปอาบ อาบน้ำอุ่น เช็ดตัวให้แห้งและรีบแต่งตัว”
“ครับแม่”
“ไอ้บ้า!” ผมตีเข้าไปที่แขนของโปเต้ไม่แรงนัก แม่อะไรกันล่ะ ผมเป็นผู้ชายนะ
“หึๆ” โปเต้หัวเราะนิดๆ ก่อนจะขึ้นบันไดไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมก็จะเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำข้าวเที่ยง แต่ก็มีเสียง
ตะโกนของโปเต้ดังลงมาจากตรงบันได
“ติณณ์! ผมไม่เอาพวกข้าวต้มหรือโจ๊กนะ!”
“รู้แล้วๆ” ผมตะโกนตอบกลับ เขาก็เป็นอย่างนี้ทุกทีแหละครับ เวลาไม่สบาย แต่ไม่ชอบทานพวกโจ๊กหรือข้าวต้ม
บอกว่าไม่อยากซ้ำกับคนอื่น อยากจะคิดต่างว่าคนป่วยไม่จำเป็นต้องกินของพวกนี้อะไรประมาณนั้นน่ะครับ
ตอนที่ได้ฟังครั้งแรกผมก็ขำนะ แต่ก็พอจะเข้าใจแหละครับ เพราะถ้าผมไม่สบาย ผมก็ไม่อยากกินของพวกนี้เหมือนกัน
แต่ว่า...ก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าจะทำอะไรให้เขากินดี???
เอ...เอาอะไรดีน้า???
คิดไม่ออก...งั้น ...เอาอาหารที่ติดอันดับคนกินมากที่สุดก็แล้วกัน...
...ผัดกระเพรา
“ผัดกระเพรา?”
“ใช่ ผัดกระเพรา รีบมากินสิ เดี๋ยวเย็นหมด” ผมว่าก่อนจะตักข้าวใส่จาน แล้ววางจานข้าวไว้ตรงหน้าโปเต้ ก่อนจะกลับมา
ตักข้าวให้ตัวเอง
“หึๆ พอจะรู้ว่าติณณ์จะไม่ทำพวกข้าวต้มหรือโจ๊กแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นผัดกระเพรา” โปเต้ว่าอย่างขำๆ
“ทำไม?”
“ก็มันสิ้นคิด ..โอ๊ย!” สิ้นคำพูดเขาเท่านั้นแหละ ผมก็เตะขาเขาจากใต้โต๊ะทันทีเลยครับ จะป่วยอยู่หรือไม่ป่วย ยังไงผมก็ไม่สน
“สมน้ำหน้า”
“ล้อเล่นน่า กินเถอะๆ” โปเต้ว่าก่อนจะลงมือกิน ผมจึงกินบ้าง
พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ ผมก็ให้เขากินยาที่ซื้อมาจากร้านขายยา ก่อนจะไล่ให้เขาไปแปรงฟัน แล้วมานอนที่เตียง
“.....”
“ตัวนายรุ่มๆ นอนพักก็แล้วกัน” ผมเอ่ยบอกพลางเพิ่มแอร์มาเป็นยี่สิบห้าองศา (ปกติเปิดยี่สิบองศา ไม่ก็ต่ำกว่านั้น)
“แล้วติณณ์จะไปไหน?” โปเต้เอ่ยถามเมื่อเห็นผมลุกขึ้น
“จะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง วันนี้อากาศร้อน เหงื่อเต็มตัวผมเลย” ผมว่าพลางแกะกระดุมเสื้อไปด้วย เรื่องแบบนี้พวกผมไม่
อายกันแล้วครับ
“ครับ”
“ฝันดีนะ” ผมว่าก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบริมฝีปากของโปเต้เบาๆ
“ครับ” โปเต้ยิ้มให้ผมก่อนที่จะหลับตาลง ส่วนผมก็เดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ
บ่ายนี้ว่าง ผมเองก็ไม่รู้จะทำอะไรดีเหมือนกัน เล่นเกมในโทรศัพท์ก็แล้ว (ผมเริ่มติดเกมก็เพราะโปเต้นี่แหละ)
อ่านหนังสือก็แล้ว ทำโมเดลจนเสร็จ ...จนตอนนี้ว่างจัดอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี
มัน...ว่างจริงๆนะ
ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา พบว่าสี่โมงครึ่งแล้ว ผมว่าผมควรจะไปทำข้าวเย็น เพื่อให้โปเต้ได้กิน แล้วกินยา
“.....” ผมเดินแตะตัวโปเต้ที่นอนหลับอยู่ พบว่าตัวร้อนจี๋เลย แปลว่าผัดกระเพราไม่ช่วยอะไรเลย (เกี่ยว?)
ผมจึงรีบไปหาผ้ามา ชุดน้ำในห้องน้ำ บิดพอให้มันหมาดๆ แล้วเอามาเช็ดตัวให้โปเต้ อาจเป็นเพราะพิษไข้รุมเร้า
คนตื่นง่ายอย่างโปเต้กลับไม่มีท่าทีที่จะตื่นเลย ทั้งๆที่ผมกำลังเช็ดตัวให้อยู่ และเมื่อผมเช็ดตัวให้โปเต้เสร็จ ผมก็เอา
เจลลดไข้ที่ซื้อมาพร้อมกับยา มาแปะที่หน้าผากของโปเต้ ก่อนจะเดินออกจากบ้านตัวเอง ตรงไปยังบ้านพี่ตาล
“ติณณ์/ติณณ์” เสียงสองแฝดแสตมป์สตางค์เรียกผมครับ และที่สองแฝดเรียกผมว่า ‘ติณณ์’ แทนที่จะเรียกน้า
นั่นเป็นเพราะว่าเขาเรียกตามพี่ปาร์น่ะครับ สอนให้เรียกน้าก็ไม่เรียก ผมเลยปล่อยเลยตามเลย ส่วนโปเต้นั้น
สองแฝดจะเรียกเขาว่า ‘เต้’ ตามที่พี่ปาร์เรียกเหมือนกัน
“ไงครับ” ผมทักก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มสองแฝดคนละฟอด ตอนนี้ทั้งคู่ก็อายุขวบนึงแล้วครับ ยังพูดได้เป็นคำๆอยู่เลย
แต่พวกเขาก็เรียบร้อยนะครับ ไม่ดื้อ แต่ซนและขี้อ้อนมากๆ
“เต้ ...เต้” สตางค์คงจะเอ่ยถามหาโปเต้ครับ อยากจะบอกว่าสตางค์ติดโปเต้มากๆ ทั้งที่ไอ้หน้าหวานของผมก็ชอบทำหน้านิ่ง
หน้าดุใส่หลาน แต่หลานก็ไม่ยักจะกลัวกันเลย
“เต้ไม่สบายครับ” ผมตอบหลาน ก่อนจะจูงมือสองแฝดแล้วเดินไปหาพี่ตาล สองแฝดพึ่งจะเดินได้ไม่นาน แต่คลานเก่ง
และเร็วมากครับ ผมกับโปเต้ยังเคยวิ่งตามจับเพราะความซนของทั้งสองแฝดนั่นแหละ
“อ้าวติณณ์ โปเต้ล่ะ?” พี่ตาลเอ่ยทักเมื่อเห็นผมเดินมาคนเดียว
“โปเต้ไม่สบายน่ะครับ ให้กินยาแล้วนอนตั้งแต่เที่ยงแล้ว แต่ไข้กลับขึ้นเฉยเลย” ผมเอ่ยบอกอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“อ้าว เป็นหนักหรือเปล่า”
“พึ่งมีอาการเมื่อตอนไปเรียน ตัวเริ่มรุมๆก็ตอนเที่ยง น้องติณณ์เลยพากลับมาบ้านให้กินข้าวกินยา แล้วให้นอนเลย
ก่อนออกมาน้องติณณ์ก็พึ่งเช็ดตัวกับแปะเจลลดไข้ให้” ผมบอกพี่ตาลไป
“งั้นเดี๋ยวพี่ทำโจ๊กให้ ติณณ์เอาไปให้โปเต้กินซะนะ กินยา ให้โปเต้นอน แล้วติณณ์ก็ต้องคอยเช็ดตัวให้โปเต้ด้วย”
“พี่ตาล โปเต้เขาไม่อยากกินโจ๊กกับข้าวต้มน่ะครับ” ผมรีบเอ่ยบอก
“ต้องกินจ้ะ เดี๋ยวพี่ไปทำมาให้” ว่าจบ พี่ตาลก็เดินเข้าไปในครัว ผมจึงห้ามอะไรไม่ได้ เลยได้แต่นั่งเล่นอยู่กับแสตมป์สตางค์ไป
“ติณณ์...เต้” สตางค์ดึงขากางเกงผม ก็จะชี้ออกไปมั่วๆ คงอยากจะให้ผมพาไปหาโปเต้ล่ะมั้ง
“ตอนนี้ติณณ์ยังพาไปไม่ได้นะ เต้ไม่สบาย” ผมว่าก่อนจะลูบหัวสตางค์เบาๆ
“..แอะ ...เต้” สตางค์คงจะเสียใจที่ผมพาไปหาโปเต้ไม่ได้ แต่ก็เท่านั้นแหละครับ พอแสตมป์ชวนเล่นด้วย
สตางค์ก็ลืมเรื่องโปเต้แล้วหันไปเล่นกับแสตมป์
ผมนั่งรอสักพักใหญ่ๆ พี่ตาลก็เดินมาหาผมพร้อมกับถ้วยโจ๊กในมือ
“เอาให้โปเต้กิน แล้วก็ทำตามที่พี่บอกนะ”
“ครับ ขอบคุณนะครับ” ผมรับมาก่อนจะเอ่ยขอบคุณพี่ตาล
“ติณณ์ไปก่อนนะ” ผมหันไปลาสองแฝด ก่อนจะเดินออกมาจากบ้านพี่ตาลไปบ้านของตัวเอง
พอเข้าห้องมาก็ยังเห็นว่าโปเต้ยังคงหลับอยู่ ผมจึงตัดสินใจปลุกเขา
“โปเต้ ...โปเต้ ตื่นก่อน” ผมเรียกพลางเขย่าตัวเขาไปด้วย
“.....”
“โปเต้...ตื่นก่อน มากินข้าวกินยาก่อน”
“หืม??” เสียงโปเต้ครางในลำคอ แต่ยังไม่ยอมลืมตา อาจะเป็นเพราะพิษไข้ ทำให้โปเต้ที่มักจะตื่นง่ายกลับตื่นยาก
“ลุกขึ้นมากินข้าวก่อน”
“หืม...ไม่กินได้ไหม” โปเต้บอกผม และยังคงไม่ยอมลืมตาหรือลุกขึ้นนั่งเลย
“โปเต้ ไม่เอาไม่งอแง” ไม่กี่ครั้งหรอกที่โปเต้จะงอแงแบบนี้ ส่วนมากก็จะเป็นตอนที่เขาไม่สบายนั่นแหละ หรือไม่ก็ตอนที่ง่วงจัด
เท่านั้น ในเวลาปกติอย่าหวังเลยครับว่าจะได้เห็นน่ะ
“ติณณ์ ไม่กินนะครับ...นะ” โปเต้บอกผมเสียงอ้อน ก่อนจะค่อยๆเลื่อยตัวเข้ามากอดเอวผม หัวก็ซุกอยู่ที่ท้องของผม
ออดอ้อน อย่างที่บอกว่าเราคบกันมากเป็นปีๆ เปิดใจคุยกันมากแล้ว ไอ้กิริยาออดอ้อนแบบนี้ผมไม่อายที่จะทำหรอกครับ
โปเต้เองก็เหมือนกัน
“ไม่ได้ ต้องกิน อย่างอแง ผมไม่ใจอ่อนหรอกนะ” ผมว่าเสียงเข้ม ผมจะใจอ่อนมาตามใจโปเต้แบบนี้ได้ยังไง
ที่ผมทำก็เพื่อตัวเขาทั้งนั้น
“ที่รัก...” โปเต้ว่าเสียงอู้อี้ แต่ผมก็ยังได้ยิน ให้ตายเหอะ...ชอบใช้จริงๆ ไอ้วิธีอ้อนผมแบบนี้น่ะ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าผมแพ้ทาง
แบบนี้ของเขา
“ผมไม่ใจอ่อน อย่าดื้อ” ผมบอกกับเขาเสียงอ่อน เฮ้อ...ผมแกล้งทำเป็นดุเขาไม่ได้นานจริงๆ
“เต้ไม่อยากกินเลย” โปเต้ว่าด้วยเสียงที่แหบผิดปกติของเขา แต่ก็ค่อยๆยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งโดยมีผมคอยประคอง
“เต้ต้องกิน ไม่งั้นเต้ก็จะไม่หาย ไม่งอแงนะ เดี๋ยวติณณ์มีรางวัลให้” ผมว่าเสียงอ่อน ทุกทีแหละ เวลาอ้อนกันเรามักจะ
แทนตัวเองด้วยชื่อ และเวลาโปเต้อ้อนมันน่ารักมาก เมื่อมองหน้าเขาพร้อมกับฟังเขาอ้อนไปด้วยพร้อมๆกัน
“จริงหรอ?” โปเต้ปรือตามองผมก่อนจะยิ้มนิดๆ
“ติณณ์เคยโกหกหรอ ...มาๆ ติณณ์ป้อน” ผมว่าก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถ้วยโจ๊ก
“โจ๊ก?” โปเต้เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นถ้วยโจ๊กในมือของผม
“พี่ตาลทำมาให้ กินซะ” ผมว่าก่อนจะตักโจ๊กขึ้นมาครึ่งช้อน ก่อนจะเปาให้มันหายร้อนแล้วป้อนโปเต้
“ไม่เห็นอร่อยเลย” คงเพราะไม่สบาย ทำให้ลิ้นโปเต้จืด เลยกินอะไรก็ไม่อร่อย
“กินไป จะได้กินยา” ผมว่าพลางป้อนเขาต่อ
โปเต้กินไปได้ไม่กี่คำ ก็ร้องขอผมว่าไม่เอาแล้ว ผมจึงยอมและให้เขากินยา ก่อนจะเดินไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวโปเต้
ส่วนเจ้าตัวน่ะเหรอ พอหัวถึงหมอนก็หลับทันทีเลย
เมื่อเช็ดตัวให้เขาเสร็จ ผมก็เดินไปอาบน้ำ แล้วมานอนข้างๆเขา และคงเป็นเพราะมีผมมานอนข้างๆ โปเต้ที่ไม่สบาย
เลยหาที่อุ่นๆ โดยการค่อยๆขยับเข้ามาหาผม แล้วเอาหน้าซุกที่คอของผม ผมจึงกวาดมือไปโอบกอดเพื่อให้ความอบอุ่น
กับเขา
ฝันดีนะครับไอ้หน้าหวาน หายไวๆนะ
อาจเป็นเพราะผมบอกให้เขาหายไวๆแน่ๆเลย ตื่นเช้ามาโปเต้หายดีราวกลับไม่เคยเป็นไข้มาก่อน โปเต้ตื่นก่อนผมเสียอีก
ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปมหา’ลัย ผมจึงรีบลุกและไปอาบน้ำแต่งตัวบ้าง ข้าวเช้าวันนี้ผมกับโปเต้ไปฝากท้อง
ที่บ้านที่ปาร์พี่ตาลครับ แสตมป์สตางค์ดีใจใหญ่เลยที่ได้เห็นโปเต้ โดยเฉพาะสตางค์ที่กอดโปเต้ไม่ปล่อยเลย
และแม้ว่าโปเต้จะหายไข้ดีแล้ว ผมก็ยังคงให้เขากินยาหลังอาหารอยู่ กลัวไข้กลับ ตอนแรกโปเต้ก็ประชดผมด้วยนะ
ว่าทำไมไม่เอาเจลลดไข้มาแปะที่หน้าผากเขาเลยล่ะ ซึ่งผมก็เป็นพวกบ้าจี้ครับ ตอนจะไปมหา’ลัยกันผมก็เข้าไปในบ้าน
หยิบเจลลดไข้มาแปะที่หน้าผากของโปเต้ แน่นอนว่าเจ้าตัวเบี่ยงตัวหลบครับ แต่ผมไม่ยอม จนเขาต้องยอมให้ผมแปะ
เจลลดไข้ที่หน้าผากของเขาครับ และวันนี้ผมก็เป็นคนขับรถ ให้โปเต้นั่งเฉยๆไป
“ติณณ์...ไหนรางวัลล่ะ ผมเป็นเด็กดีแล้วนะ”โปเต้ทวงรางวัลครับ เมื่อผมเลี้ยวรถเข้ามาในมหา’ลัย
“เดี๋ยวซื้อเค้กให้ชิ้นนึง”
“ไม่เอาแบบนั้น”
ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้น่ะนะ ว่าโปเต้อยากได้รางวัลแบบไหนจากผม แต่เรื่องแบบนี้ ขอเล่นตัวหน่อย จะให้ยอมง่ายๆ
มันก็ทั้งเขินทั้งอายอ่ะ
“ไม่อยากกินเค้กเหรอ ผมให้สองชิ้นเลยก็ได้” ผมว่าพลางมองหน้าที่จอดรถ
“ผมรู้นะ ว่าติณณ์รู้ว่าผมอยากได้รางวัลแบบไหน” โปเต้ว่า น้ำเสียงเขาดูไม่น่าไว้ใจ
“ตอนนี้ไม่ได้หรอก เรานัดพวกเพื่อนไว้ตอนเก้าโมงหนิ นี่ก็จะเก้าโมงแล้วนะ” ผมบ่ายเบี่ยง
“ได้สิ”
“ไม่ดะ..!” ผมปฏิเสธ...ไม่ได้ครับ เมื่อโปเต้คว้าต้นคอผมเอาไว้ ก่อนจะโน้มหน้าลงมากดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปาก
ของผม ลิ้นร้อนๆของเขาแทรกผ่านริมฝีปากของผมเข้ามาก่อนจะเกี่ยวตวัดลิ้นของผมอย่างเอาแต่ใจ แต่...ผมก็เต็มใจ
ให้เขาเอาแต่ใจน่ะนะ
“อื้ม! อ๊ะ! ...อย่าทำรอยนะ” ผมร้องห้ามเมื่อโปเต้ละริมฝีปากจากปากของผม แล้วลากลงไปยังซอกคอ
“อืม” โปเต้ส่งเสียงมา ผมรู้สึกจั๊กจี้และวู่วาบ เมื่อลิ้นของเขาแตะลงที่คอของผม แรงดูดดึงเบาๆ มันทำให้ผมต้องกลั้นหายใจ
“ทำแค่นี้ก่อน คืนนี้จัดหนักแน่” โปเต้กระซิบที่ข้างหูของผมก่อนจะขโมยหอมแก้มผมอีกทีนึง จากนั้นเขาก็ผละออก
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้นมันน่าตีจริงๆ
“คิดว่าผมยอม?” ผมว่าอย่างท้าทาย
“คุณปฏิเสธผมไม่ได้หรอก...ที่รัก”
อ่า...โอเค
... ผมยอมแพ้แล้ว ขยันจริงๆที่จะให้ผมเขินน่ะ
********************************************************************************
แอบแวะมาลงตอนพิเศษ พร้อมกับแจ้งข่าวเรื่องหนังสือจ้าาาาาาาาาาา
TBL-425-920
เปิดจองและโอนเงินตั้งแต่ วันที่ 24 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2558
เริ่มจัดส่งหนังสือให้ตั้งแต่ วันที่ 20 กันยายน – 5 ตุลาคม 2558
ระยะเวลาที่จะได้รับหนังสือโดยประมาณ วันที่ 25 กันยายน - 12 ตุลาคม 2558
รายละเอียดหนังสือ
ขนาด A5 จำนวนเล่ม 1 เล่ม
ราคา 425 บาท (รวมค่าส่งแบบลงทะเบียน/ห่อกันกระแทกใส่ซอง)
ของแถม จะแจ้งอีกครั้งที่หน้าเว็บ
สั่งจองได้ที่
Pre-order เผลอใจ 'รัก' ไปซะแล้ว และสามารถติดตามข่าวสารได้ที่
FANPAGE************************************************************************************
FANPAGE
นี่แหละที่เขาเรียกว่า 'ความรัก'
เผลอใจ 'รัก' ไปซะแล้ว จบแล้ว
ถ้ามันเรียกว่ารัก...อืม รักก็ได้
รักนี้...ต้องลอง