True 2: You own me
ถัดจากเมืองไคร์ตเชิร์ต ผมก็ขับรถลงใต้มาเรื่อยๆ ผ่านเมือง Oamaru แวะดูสถานีรถไฟและเมืองที่นั่นเล็กน้อย ก่อนตรงไปยังเมือง Dunedin ระหว่างทางผมตั้งใจขับออกนอกเส้นทางของจีพีเอสนิดหน่อย เพื่อพาน้องมาแวะดูทะเลที่ไม่มีใครรู้จัก อยู่ติดกับบ้านใครสักคน และมีฟาร์มอัลปาก้าอยู่ด้วย เจนนินทร์ดูสนใจเจ้าตัวคอยาวหน้าเด๋อนี่ไม่น้อย เมื่อน้องพยายามถ่ายรูปมันใหญ่แถมยังมาขอให้ผมถ่ายรูปคู่กับเจ้าตัวนี้อีกต่างหาก
ผมไม่ได้อิจฉาอัลปาก้าหรอก ถ้ามันทำให้เจนนินทร์มีความสุขได้ผมก็จะเป็นมิตรกับมันแล้วกัน
ระหว่างทางก่อนถึงเมือง Dunedin ผมแวะจอดรถเพื่อพาเจนไปดูหินรูปร่างประหลาดที่หาด Koelohe ซึ่งอยู่ระหว่างเมือง Moeraki กับ Humpden ก้อนหินทรงกลมราวกับปฏิมากรรมที่มีคนปั้นขึ้นมาวางเรียงรายอยู่บริเวณชายหาด เสียแต่มันเป็นก้อนหินที่เกิดตามธรรมชาติ
มีคนเรียกพวกมันว่าไข่ไดโนเสาร์ ด้วยเพราะขนาดและรูปร่างทำให้คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วมันคือก้อนหินที่เกิดการกัดกร่อนของคลื่นลมจนกลมดิ๊ก
และเจ้าก้อนหินแปลกๆ นี่ก็ดึงดูดความสนใจของคนน้องได้ไม่น้อย เมื่อเจนนินทร์วิ่งสำรวจหาดนี้ไปทั่ว ก้มดูโน่น มองดูนี่ ปีนป่ายจนผมกลัวว่าน้องจะลื่นล้มเข้า แต่ก็ยังตามถ่ายรูปของคนตัวเล็กไปเรื่อยๆ
รอยยิ้มของเจนนินทร์ควรค่าแก่การเก็บไว้เป็นภาพนิ่งในความทรงจำ
และรอยยิ้มของเขาก็ทำให้ผมหุบยิ้มไม่ได้เลยตลอดทั้งวัน...
เจนนินทร์คนเก่งหลับตลอดทางหลังจากเล่นสนุกจนเหนื่อย จนกระทั่งเรามาถึงเมือง Dunedin ช่วงค่ำ แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่ดึกมากนักแต่บ้านเมืองและร้านรวงก็ปิดไฟมืดสนิทแล้ว เมืองนี้เป็นเมืองน่ารัก บ้านหลังเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ตามเนินเขา งดงามราวกับเทพนิยาย ผมจองที่พักไว้ที่จะทำให้เห็นวิวพวกนี้ เสียแต่มืดแล้วจึงมองไม่เห็นอะไรเลย จึงได้แต่หวังว่าตอนเช้าเจนนินทร์จะตื่นมาเจอกับสิ่งที่ผมชอบเหมือนกัน
หลังจากที่กินข้าวในที่พักและอาบน้ำเตรียมเข้านอนเสร็จสรรพ ผมเหนื่อยจากการขับรถทั้งวัน จนหัวถึงหมอนก็แทบจะหลับทันที แต่ว่าคนน้องกลับเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนไม่รู้ โถมมาทับตัวผมเต็มแรง
“เจน...ทำอะไร”
“กอดกัน”
“...”
“นะ ฌาณ...”
“พี่ง่วง...เหนื่อยแล้ว วันนี้ขับรถทั้งวันเลยครับ นอนกันนะ”
ไม่ว่าเปล่า ผมขยับตัว เอื้อมมือไปลูบหัวของน้องพร้อมกับกดจูบลงที่หน้าผากมน เจนนินทร์พองลมที่แก้มคล้ายไม่พอใจที่ผมปฏิเสธเขาอีกแล้ว แต่ก็ยอมลงมานอนข้างตัวผมแต่โดยดี
เด็กดีของพี่ฌาณ
ผมตื่นก่อนเจนนินทร์ด้วยความเคยชินที่ต้องตื่นเช้าเป็นประจำ และต่อให้ออกมาเที่ยวโร้ดทริปแต่ผมก็ยังคงลงมือทำอาหารเองบางมื้อ เมื่อคืนก่อนจะถึงที่พักผมแวะซื้อของสดนิดหน่อย เพื่อมาทำข้าวเช้าให้เด็กดี ที่พักที่จองไม่ได้เป็นโรงแรมหรู จึงไม่มีข้าวเช้าให้ เป็นเพียงบ้านพักเรียบๆ เท่านั้น แต่เพราะที่ตั้งของมันอยู่ใกล้กับวิวสวยๆ ทำให้ผมเลือกที่นี่ และคิดว่าตัวเองเลือกไม่ผิด เมื่อได้ยินเสียงใสเจื้อยแจ้วมาแต่ไกล น้องคงตื่นแล้ว
“ฌาณ! ฌาณ! มาดูนี่สิ สวยอ่ะ โคตรสวยเลย”
เจ้าตัวดีวิ่งมาทางผม พยายามดึงให้ผมไปที่หน้าต่างในห้องนอน แน่นอนว่าผมเคยเห็นวิวพวกนี้แล้ว แต่มันสวยขึ้นเมื่อได้มองกับคนพิเศษ
“เจนชอบก็ดีแล้ว”
“สวยอ่ะ เหมือนหลุดมาจากนิทานเลย”
น้องว่า สายตาสดใสเป็นประกายจ้องไปยังภาพตรงหน้าที่ปรากฏเป็นบ้านหลังเล็กๆ วางเรียงรายสลับกันอยู่บนเนินเขาสีเขียวขจี ซ้ำยังมีหมอกลงจางๆ ทำให้ภาพตรงหน้าดูฟุ้งเหมือนฝัน เหมือนในนิทานอย่างที่น้องว่าจริงๆ นั่นแหละ
“ฌาณ ผมออกไปดูได้มั้ย”
“ไปล้างหน้าแล้วมากินข้าวเช้าก่อน”
และเด็กดีของผมก็ทำตามอย่างไม่รอช้า น้องฟาดข้าวเช้าเร็วกว่าปกติและรีบวิ่งออกไปทันทีที่ข้าวหมดจาน
“เจน ใส่เสื้อหนาๆ หน่อย” ผมร้องเอ็ด เดินตามคนน้องออกไปพร้อมหยิบโค้ทสีน้ำตาลของตัวเองติดมือ ไม่ลืมหยิบโค้ทและผ้าพันคอของเจนนินทร์ออกมาด้วย จะรีบอะไรขนาดนั้น
“บรือออ ฌาณ หนาววว”
และดังคาด น้องวิ่งออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็รีบวิ่งกลับมาซุกผม ผมแย้มยิ้มให้กับความไร้เดียงสานั้น เอื้อมมือใส่เสื้อโค้ทให้น้องดีๆ ก่อนพาเขาออกไปเดินชมวิวด้วยกัน
อากาศยามเช้าของเมืองดูเนดินหนาวยิ่งกว่าเกาะเหนือ มวลอากาศเย็นตัวเลขหลักเดียวเฉียดศูนย์องศาปกคลุมจนมือแทบแข็ง แต่กลับอุ่นไปทั้งหัวใจเมื่อมีคนข้างๆ อยู่ด้วยกันตอนนี้
ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเจนนินทร์ไม่ยอมกลับมาแล้วผมจะเป็นยังไง
คงนอนแข็งตายเพราะช้ำรักอยู่ตรงนี้ล่ะมั้ง
เจนกอดแขนผมแน่น ดูจากสภาพของคนขี้หนาวแล้วเสื้อโค้ทและฮีทเทคอุ่นๆ คงไม่ช่วยบรรเทาความหนาวให้เขาเท่าไหร่ เราเดินเล่นรอบที่พักอยู่พักนึงก็พากันเช็คเอาท์ขับรถออกไป ผมพาน้องไปเที่ยวในเมือง มีสถานีรถไฟสวยๆ ให้เขาได้ถ่ายรูป รวมถึงพาไปมหาลัย Otago ที่ขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย
ตัวมหาลัยเป็นสถาปัตยกรรมสวยงาม ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เงียบสงบ เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่งก็ว่าได้
เจนนินทร์บอกว่าที่นี่สวยมากจริงๆ แต่ถ้าเขาต้องมาเรียนที่นี่คงเหงาตายแน่ๆ เมืองที่เงียบสงบขนาดนี้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ ท้องฟ้า ทุ่งหญ้า นานๆ ทีจะเจอกลุ่มคน น้องบอกว่าถ้าได้อยู่ที่นี่นานๆ เข้าคงพูดภาษาแกะได้
ผมขำในความคิดของคนช่างคิด
หลังจากนั้นผมก็พาเขาไปเมือง Bluff ที่ซึ่งเป็นเมืองท่าที่อยู่ใต้สุดของประเทศนิวซีแลนด์ ปลายทางใต้สุดของทวีป หลังจากตรงนี้ไปก็จะเป็นขั้วโลกใต้แล้ว อันที่จริงยังมีเกาะ Stewart ที่เป็นเกาะของนิวซีแลนด์ อยู่ใต้ลงไปอีก แต่ว่าต้องนั่งเรือข้าม การเดินทางค่อนข้างลำบาก ผมจึงตัดสินใจไม่ไป เอาแค่สุดทางของผืนดินก็พอ
ลมของขอบขั้วโลกใต้หนาวจับใจจนเจนนินทร์ที่สำรวจพื้นที่ได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องกลับมาซุกตัวเกาะผมแน่น ความน่ารักของเขาทำให้ผมยิ้มไม่หุบตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ ผมพาเจนนินทร์ไปถ่ายรูปกับป้ายที่เป็นแลนด์มาร์คของที่นี่ เป็นป้ายบอกทางที่มีความครีเอทก็ตรงที่แต่ละป้ายชี้บอกทางไปเมืองหลวงของแต่ละประเทศ เช่นชี้ไปลอนดอน 18958 km ไปซิดนีย์ 2000 km ไปนิวยอร์ก 15008 km และอีกหลายๆ ที่ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่และถือเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมเลย
บ่งบอกว่าที่แห่งนี้นี่แหละ คือจุดใต้สุดของโลกแล้ว
จบจากตรงนี้ ผมพาน้องไปพักดื่มกาแฟสตาร์บัคที่เมือง Invercagill เป็นอีกซิกเนเจอร์ว่าคือสตาร์บัคที่อยู่ใต้ที่สุดของโลก ผมปล่อยให้คนน้องเช็คอิน ถ่ายรูปอวดไจกับไนล์ไปอย่างมีความสุข
เมื่อพอใจแล้วก็พากันกลับที่พักที่เมือง Invercagill
อีกสองวันจะจบโร้ดทริป และเราจะสิ้นสุดทริปนี้ที่เมือง Queenstown อีกเมืองที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน
และในคืนนี้น้องก็ยังคงขยับตัวยุกยิก มาพร้อมคำถามเดิม
“ฌาณไม่กอดผมเหรอ”
และผมก็ตอบด้วยประโยคเดิม
“กอดอยู่นี่ไง”
“ฌาณ...ไม่คิดถึงผมเหรอ”
“คิดถึงสิ”
“ไม่อยากกอดเหรอ”
“อยากสิ”
“ทำไมไม่ทำ”
“...ไม่อยากให้เราป่วย”
“ผมไม่ป่วย”
“ไม่เอาหรอก ไม่อยากเสี่ยง เดี๋ยวเจนเที่ยวไม่สนุกนะ ควีนส์ทาวน์สวยมาก ถ้าป่วยขึ้นมาคงเที่ยวไม่สนุก”
“แต่ผมอยากกอดฌาณ”
งอแง
เจ้าเด็กคนนี้นี่ ไม่รู้เหรอว่าคนเค้าอดทนแค่ไหนไม่ให้จับกดลงเตียงแล้วฟัดให้หายมันเขี้ยว แต่เพราะอย่างที่พูดจริงๆ เจนนินทร์ป่วยง่าย ยิ่งอากาศหนาวๆ แบบนี้แล้วด้วย ลำพังแค่ดูแลเขาไม่ให้ป่วยก็ยากแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าผมกอดน้องขึ้นมาจริงๆ น้องคงต้องนอนซม ผมไม่อยากให้น้องนอนเป็นผักในขณะที่มีเมืองสวยๆ รอให้เที่ยวชมอย่างนี้
วันต่อมาเจนนินทร์หน้าบูดเป็นตูด เมื่อผมไม่ยอมทำตามใจเขา เด็กน้อยนั่งหน้างอไปตลอดทางที่จะไปเมืองควีนส์ทาวน์ แต่พอระหว่างทางผมแวะพักรถที่ริมทะเลสาบ และวิวตรงนั้นก็สวยงามมากพอที่จะทำให้เจนนินทร์หายงอนได้ ภาพทะเลสาบไกลสุดลูกหูลูกตา รวมถึงบรรยากาศเงียบสงบทำให้เขาอารมณ์ดี และแน่นอนว่าผมก็อารมณ์ดีตามน้องไปอย่างช่วยไม่ได้
ระยะทางไปควีนส์ทาวน์ค่อนข้างไกล กว่าเราจะถึงเมืองควีนส์ทาวน์ก็เย็นแล้ว ครานี้ผมจองที่พักที่ควีนส์ทาวน์ติดแม่น้ำที่มาจากทะเลสาบ ที่พักเป็นบ้านพักส่วนตัวมีสามชั้น และวิวจากที่นี่เมื่อมองออกไปถ้าตีเป็นราคาคงถึงพันล้าน ที่พักอยู่ติดขอบทะเลสาบ มองออกไปฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านคนหลังเล็กๆ ปลูกกันเรียงรายริมทะเลสาบ ซ่อนตัวตามเนินเขา คล้ายกับเมือง Dunedin แต่มีแม่น้ำคั่นไว้ เนินเขาสีเขียว ท้องฟ้าโล่งและเงาสะท้อนภาพจากผืนน้ำ เนรมิตให้สถานที่แห่งนี้เหมือนอยู่ในโลกของเทพนิยายอีกครั้ง
เจนนินทร์ตื่นตาตื่นใจกับภาพวิวตรงหน้ามากจนไม่เป็นอันทำอะไร
ผมรู้ว่าน้องคงท่องเที่ยวมาหลายที่ นอนพักโรงแรมหรู รีสอร์ทไฮคลาสหลายแห่ง แต่เชื่อว่าไม่มีที่ไหนที่เหมือนกับที่นี่หรอก และก็เป็นตามคาด เมื่อเขาดูตื่นตากับวิวที่ผมสรรหามาให้
“ฌาณ...สวย สวยมากๆๆ เลย”
“ชอบไหมครับ”
“ชอบ ชอบที่สุดเลย สวยมากอ่ะ สวยจนไม่รู้จะพูดยังไง ขอบคุณนะครับที่พาเจนมาที่นี่”
“...”
“ฮืออ สวยไปหมดเลย ผมถ่ายรูปยังไงก็ออกมาไม่สวยเท่าตาเห็นอ่ะ”
“เจน...”
“หือ”
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”
“สวย...สวยไปหมดเลย?”
“ก่อนหน้านั้น”
“ก็ขอบคุณ...ที่พาเจน...”
เหมือนน้องจะรู้ตัวแล้วว่าหลุดแทนตัวเองด้วยชื่อเล่น ผมยกยิ้มล้อคนน้อง
“แทนตัวเองว่าเจนบ่อยๆ นะ”
“ทำไมอ่ะ”
“พี่ชอบ”
“...”
คนน้องหน้าแดงกับคำสารภาพของผมอย่างน่ารัก โอย จะน่ารักไปถึงไหนกันนะคนเรา
“ขอบคุณเหมือนกันนะครับที่ยอมให้พี่พามาที่นี่”
“...”
“ไม่งั้นพี่ต้องเหงาตายแน่ๆ เลย”
จบคำหวาน ผมก้มลงไปลิ้มชิมกลีบปากนุ่ม ละเลียดเลียริมฝีปากที่หวานยิ่งกว่าน้ำหวานจากดอกไม้ใดๆ ลุกล้ำเข้าไปในโพรงปาก หยอกล้อเล่นกับปลายลิ้นเล็ก จุมพิตแทนคำขอบคุณและความรักที่ผมมีต่อเขา เนิ่นนานจนแทบขาดใจ
คืนนั้น เจนนินทร์ไม่งอแงขออ้อมกอดของผมเหมือนอย่างเคย
ช่วงสาย ผมพาเขาไปเที่ยวที่ Arrow town อีกเมืองที่สวยเหมือนเทพนิยายและอยู่ใกล้กับควีนส์ทาวน์ ทำให้เดินทางไม่นาน ตัวเมืองมีบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ เต็มไปหมด ส่วนใหญ่มักจะขายของที่ระลึกกัน เจนเดินซื้อของฝากในเมืองนี้ไม่น้อย และผมก็ไม่ไปขัดความสุขของเขา ระหว่างทางที่กำลังเดินเล่นในเมือง หิมะก็ตก
เป็นที่น่าตกใจเล็กน้อย แม้จะเข้าหน้าหนาวก็จริง แต่สี่วันที่ผ่านมานั้นไม่มีหิมะเลย วันนี้เป็นวันแรกที่หิมะตกตั้งแต่เราเดินทางมาก เจนนินทร์ไม่ตื่นเต้นกับหิมะ คงเพราะเขาคงเห็นอะไรแบบนี้มาหลายที่แล้ว แต่ที่ดูจะตื่นเต้นคงเป็นเพราะวิวของที่นี่เริ่มเปลี่ยนไป หมอกลงปกคลุม หิมะโรยตัว งดงามจนหาคำบรรยายไม่ได้อีกครั้ง
ผมพาน้องขึ้นรถก่อนที่หิมะจะตกหนักไปมากกว่านี้ และทันทีที่เราออกนอกเมืองก็ไม่เจอหิมะแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องดี ถ้าหิมะตกหนักคงเดินทางลำบากแน่ๆ คราวนี้ผมขับรถขึ้นเขา เพื่อไปยังถนน Crown range road ที่เป็นถนนที่หักโค้งได้โหดที่สุดก็ว่าได้
ทางโค้งหักศอกหลายมุมจนเจนบ่นว่าเมารถ ผมขับรถไต่เขาไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านมันมาได้กลายเป็นทางตรงราบ ระหว่างทางมีทั้งทุ่งหญ้า เนินเขา ภูเขา และซอกเขา วิวระหว่างทางเปลี่ยนไปตลอดทำให้ไม่น่าเบื่อเมื่อมีอะไรใหม่ๆ สวยงามให้ดู จนถึงจุดชมวิวระหว่างเขา ผมจอดรถเพื่อแวะถ่ายรูป
และหนีไม่พ้นถ่ายรูปคนข้างตัว
ภาพตรงหน้าเป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ วางสลับซับซ้อน ย้อมไปด้วยสีน้ำตาลของทุ่งหญ้า ความสวยงามตระการตาอีกแบบทำให้เจนนินทร์ตื่นเต้นอีกครั้ง เจ้าแกะน้อยวิ่งโร่ลงไปยังผืนหญ้า และแน่นอนว่าผมไม่ลืมที่จะลั่นชัตเตอร์เก็บเขาไว้เป็นความทรงจำ
แกะน้อยวิ่งเล่นได้ไม่เท่าไหร่ก็รีบปีนขึ้นมาซุกกับผม ที่นี่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส บวกกับลมบนภูเขาสูงทำให้หนาวสั่นกว่าเคย เจนนินทร์กอดผมแน่นเพื่อเติมความอุ่น ผมยินดีโอบกอดเขาไว้ท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว และเมื่อคนน้องพอใจ ผมก็ปล่อยให้เจนนินทร์เป็นอิสระ
ก่อนรั้งให้เขามาอยู่ข้างตัว
ผมไม่ค่อยถนัดการถ่ายรูปเซลฟี่เท่าไหร่นัก แต่ก็ยอมยกกล้องขึ้นมา หันจอให้กล้องกลับด้าน เล็งมาที่ใบหน้าของเรา ก่อนลั่นชัตเตอร์ดังแชะ และเมื่อเปิดดูรูปก็เป็นที่น่าพอใจไม่น้อย เจนนินทร์เองก็ดูตั้งตัวทันถึงได้ยิ้มแฉ่งให้กล้องขนาดนี้
“เอาอีกรูปนะฌาณ”
ผมทำตามคำสั่ง และรูปคู่ของเราอีกหลายๆ รูปก็ได้บันทึกไว้เป็นความทรงจำ
ระหว่างทางขับรถกลับไปยังเมืองควีนส์ทาวน์ น้องไล่ส่งรูปจากกล้องผมเข้ามือถือของเขา แกะน้อยบ่นบางรูปเมื่อเห็นว่าผมถ่ายเขาทีเผลอ เจนบอกว่าหน้าตาตลก แต่ผมว่าน่ารักมากกว่า
และไม่ทันคาดคิด เจนนินทร์ก็ยกกล้องของผมขึ้นมา ลั่นชัตเตอร์มาที่ผมขณะขับรถ
“ตากล้องไม่มีรูปเดี่ยวเท่ๆ เลย เดี๋ยวผมถ่ายให้เอง”
เขาว่า ลั่นวาจาไว้อย่างมั่นเหมาะ จนผมหลุดยิ้ม
อันที่จริง...ก็ยิ้มมาตลอดทางอยู่แล้วนี่นา
กลับเข้าเมืองก็เกือบเย็น แต่ก็ประจวบเหมาะพอดี เพราะในเมืองจะคึกคักก็ต้องตอนเย็นๆ หน่อย แสงสีในเมืองจะปรากฏสวยงาม เหมาะกับการเดินชมเมือง
เจนนินทร์เที่ยววิ่งสำรวจโน่นนี่อีกแล้ว ผมเดินเร็วๆ ตามเขาไป เด็กน้อยดูตื่นเต้นกับร้านรวงหลายอย่าง ทั้งร้านขนมหวาน ร้านขายตุ๊กตา ตึกที่เปิดให้เล่นบ้านผีสิง ร้านขายคุกกี้ชื่อดังของเมือง และหลายต่อหลายอย่าง แสงสีส้มที่ประดับตามถนนยิ่งขับให้เมืองควีนส์ทาวน์มีสเน่ห์มากกว่าเดิม ราวกับต้องมนต์สะกด ดั่งเมืองที่อยู่บนสรวงสวรรค์ สงบแต่ไม่เงียบ คล้ายจะเหงาแต่ครึกครื้นด้วยเสียงดนตรีจากงานเทศกาล ทุกอย่างสวยงามและลงตัวไปหมด
ผมไม่ได้มาที่นี่ครั้งแรก แต่มากี่ครั้งก็ประทับใจทุกครั้ง เป็นความสวยงามที่ที่ไหนก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ เป็นความสวยงามที่ต่อให้มีเลนส์กล้องราคาแพงแค่ไหนก็เก็บภาพได้ไม่ชัดเจนเท่าตาเห็น เป็นความสวยงามที่อยากได้นักกวีมาร่ายบทกลอนให้ฟัง เพราะลำพังแล้วคนธรรมดาอย่างผมไม่สามารถหาคำมาพรรณนาความงามของมันได้เลย
ผมพาเจนทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และเมื่อเดินเล่นจนทั่วแล้ว เราก็พากันกลับที่พัก
แน่นอนว่าวิวของที่พักตอนกลางคืนก็สวยงามไม่แพ้กัน แสงไฟที่สะท้อนผืนน้ำงดงามเกินคำบรรยาย บนท้องฟ้าปรากฏดวงดาวพร่างพรายมากมาย เสียแต่อากาศที่หนาวจับใจทำให้เราดูดาวได้ไม่นานนัก
ผมชงโกโก้อุ่นๆ ให้เจนนินทร์ก่อนเข้านอน
พรุ่งนี้จะถึงวันกลับโอ๊คแลนด์ คนน้องบ่นอุบเมื่อต้องจากสถานที่แสนสวยเช่นนี้ไป
“อยากอยู่ต่ออีกสักอาทิตย์นึงจังเลยฌาณ มันสวยไปหมดจนผมอยากอยู่ที่นี่นานๆ”
“...กลับโอ๊คแลนด์ไม่ดีเหรอ จะได้กลับบ้านของเราไง”
“...”
น้องไม่ตอบ แต่ก้มลงจิบโกโก้ร้อน เรานั่งซุกกันอยู่บนโซฟา มองวิวนอกหน้าต่างที่มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ จนเจนนินทร์พูดตัดความเงียบออกมา
“ที่นี่สวยมาก แต่ผมก็คิดถึงโอ๊คแลนด์เหมือนกัน”
“ใช่ไหมล่ะ...”
“แต่มันไม่สำคัญเลยถ้าไม่มีฌาณ”
“...”
“ถ้าไม่มีฌาณที่ไหนก็ไม่สวย ที่ไหนก็ไม่น่าอยู่”
โดนน้องจีบอีกแล้ว
“...พี่ก็เหมือนกัน”
ผมเอ่ยพร้อมยกยิ้ม ก้มลงจุมพิตริมฝีปากนุ่ม กลีบดอกไม้ครานี้มีกลิ่นของโกโก้หวาน เช่นเดียวกับโพรงปากเมื่อได้เชยชิม รสชาติโกโก้เจือจางปะปนอยู่ไปทั่ว ทำให้อยากจะกลืนกินเขาลงไปทั้งตัว ดูดดึงริมฝีปากบางค่อยๆ เป็นไปอย่างเนิบช้า ไออุ่นจากอีกฝ่ายเริ่มร้อนมากขึ้นท่ามกลางอากาศหนาว พลันเปลี่ยนให้จุมพิตแสนหวานครั้งนี้รุ่มร้อนมากขึ้น เมื่อผมเร่งรุกจังหวะรสจูบให้เร็วกว่าทุกที ราวกับคนตะกละตะกราม ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ
รสชาติแสนหวานของเจนนินทร์ทำให้ผมคลุ้มคลั่งทุกครั้งที่ได้สัมผัส ที่ผ่านมาผมใช้ความอดทนอย่างสูงที่จะไม่กินมูมมาม แต่เมื่อถึงวันนี้ ทุกอย่างได้ปลดล็อกตามที่ต้องการแล้ว
ทริปฮันนีมูนที่ผมสร้างขึ้น มีหรือที่อยากจะปล่อยน้องไปง่ายๆ
แค่ที่ผ่านมาอยากให้เด็กดีได้เที่ยวเล่นให้สมใจก่อนก็เท่านั้น ถ้าเขาป่วยระหว่างทางจะแย่เอา วิวทิวทัศน์และบรรยากาศสวยงามจึงเป็นเพียงแค่ออร์เดิร์ฟ เมื่อเมนคอร์สกำลังจะเริ่มนับจากนี้
“ฌา...ณ?”
“ไม่อยากกอดพี่แล้วหรือครับ”
“อยาก แต่...ตอนนี้? ตรงนี้อ่ะนะ”
“อืม...กอดกันนะ”
ไม่ว่าเปล่า ผมก้มลงฉกชิมเนื้อหวานที่ซอกคออุ่น เจนนินทร์สะดุ้งเฮือก
“ต...แต่ที่ผ่านมาฌาณ...”
“ยอมอดทนจนถึงวันนี้...” ผมเฉลย คลอเคลียหยอกเย้าอยู่แถวต้นคอขาวไม่ห่าง ไม่ได้ไม่อยากทำ ไม่เคยบอกว่าไม่อยากทำ เพียงแต่รู้ว่าตัวเองคงไม่ยั้งมือแน่ๆ หากได้ลงมือกอดน้องจริงๆ ผมไม่อยากให้เจนนินทร์ป่วยระหว่างทริปอย่างที่เคยบอกน้องไว้จริงๆ ถึงได้ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวานในวันสุดท้าย
“ไม่อยากให้เจนป่วย”
“อ๊ะ...”
“เพราะพี่คงจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ”
“ฌาณ...”
“...อย่าร้องห้ามแล้วกันนะ เด็กดี”
ในเมื่อร้องขอมาตลอดทริป ตอนนี้ตาผมเอาจริงแล้ว หวังว่าเด็กขี้ยั่วคงจะไม่เปลี่ยนใจ และเป็นดังคาด เมื่อเด็กดีไม่คิดจะต่อต้าน และเอ่ยกลับราวกับท้าทาย
“ไม่เคยห้ามอยู่แล้ว...”
จบประโยคเด็กน้อยก็มุดเข้าไปซุกที่อกผม พร้อมกับไฟในตัวที่ปะทุขึ้นอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป
ผมรวบตัวน้องขึ้นเหมือนอุ้มลูกลิง ที่ห้องรับแขกออกจะหนาวไปสักหน่อย ผมอุ้มน้องพาไปยังห้องนอนที่น่าจะอุ่นกว่ามากโข และทันทีที่แผ่นหลังของเด็กดีแตะเข้ากับผืนเตียง ผมก็ลงมือลอกคราบเด็กน้อยของผมทันที
“ฌา...อ๊ะ”
เจนนินทร์ร้องเสียงหลงเมื่อผมถอดกางเกงนอนของเขาออกไปอย่างง่ายดาย และประคองเจนนินทร์ตัวน้อยไว้ในกำมืออย่างไม่รอช้า ขยับรูดรั้งอย่างไม่รีรอจนคนน้องร้องเสียงหวาน ก่อนครอบปากตัวเองให้กลืนตัวตันของน้องจนหมด น้ำเสียงครวญครางปลุกให้ผมร้อนรุ่มอย่างง่ายดาย แค่เสียงครางของเจนก็ทำเอาผมแทบบ้าแล้ว
จวบจนปลดปล่อยคนน้องได้ในเวลาไม่ช้า ผมกลืนหยาดน้ำขาวขุ่นลงไปจนหมด ส่วนตัวเองก็ลงมือเตรียมปลดปล่อยบ้าง
“ฌาณ...กิน...?”
คนตัวเล็กนอนหอบน้ำตาคลอหน้าแดงก่ำ ผมทำเพียงยกยิ้มมุมปากตอบกลับไป ไม่คิดรังเกียจอะไรเพราะมันเป็นของเจนนินทร์ ส่วนคนขี้อายพอสบตาผมแล้วก็มุดหน้าหนีลงไปในหมอนใบโต ผมจึงลุกขึ้นไปหยิบอุปกรณ์ที่แอบพกมาด้วย น้องแอบเหล่มองผมแวบนึง และไม่คิดจะปิดบังอะไร ผมปีนขึ้นเตียง นั่งคร่อมคนตัวเล็กก่อนเทเจลหล่อลื่นจนชุ่มมือ
เจนนินทร์เบิกตาโตทำหน้าเลิ่กลั่ก
แต่เสียใจด้วย เปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว
ผมสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางแน่นแคบ น้องร้องเสียงหลงอีกครั้ง และอีกครั้งเมื่อเริ่มขยับนิ้วหยอกแหย่
“ฌา...ณ อือ”
ไม่ปล่อยให้เขาร้องท้วง ผมประกบจูบกลืนกินเสียงใสให้หายไป แน่นอนว่าไม่ยอมหยุดขยับนิ้วมือที่ละเลงไปทั่วช่องทาง จากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง จากสองค่อยๆ เป็นสาม เจนนินทร์บิดตัวเกร็ง เชิดหน้าขึ้นเผยให้เห็นลำคอขาว แอ่นสะโพกบิดไปมา ปลายเท้าจิกลงผ้าปูที่นอนอย่างหมายระบายอารมณ์ ส่วนปลายนิ้วมือกดจิกลงกับแผ่นหลังของผม ขูดครืดจนแสบ และคิดว่าหลังตัวเองคงเต็มไปด้วยรอยเล็บของเขาแล้วเป็นแน่
เมื่อผละตัวออกมาดูผลงาน ก็เห็นน้องนอนตัวขาวนอนหอบหน้าแดงน้ำตาคลอ
ให้ตาย เด็กน้อยของผมโตมาเซ็กซี่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมบอกกับตัวเองให้ใจเย็นๆ นี่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น
ขยับปลายนิ้วระรัวเข้าไปในตัวเจนนินทร์ เร่งจังหวะมากขึ้นและมากขึ้นไปอีก ภายในตัวน้องร้อนจัด และรัดนิ้วผมแน่น ไม่นานนักเด็กดีก็หวีดร้องลั่นเมื่อได้ปลดปล่อยหยาดน้ำขาวขุ่นออกมา คนน้องถึงฝั่งฝันอย่างง่ายดายอีกครั้ง เสียแต่ผมยังไม่ได้ปลดปล่อยเลยสักรอบ และไม่ยอมให้น้องมีความสุขแค่คนเดียวแน่ๆ
เมื่อคิดว่าเบิกเส้นทางจนพร้อมแล้ว ผมก็ค่อยๆ จ่อส่วนนั้นของตัวเองเข้ากับช่องทางของเจน เด็กน้อยที่เพิ่งเสร็จสมอารมณ์หมายไปไม่ถึงนาทีถึงกับเบิกตาโพลง
“ฌาณ...ฌาณ...”
“ให้พี่กอดนะคนดี”
“...อือ”
“เด็กดี”
“ฌาณ...”
“ครับ”
“เบาๆ...นะ อ๊า!”
สิ้นสุดคำขอร้อง ผมกระแทกตัวเองเข้าไปในตัวน้องจนเกือบมิด ทรยศต่อคำวิงวอนอย่างใจร้าย เจนนินทร์บิดตัวร้องลั่นห้อง หอบฮั่กเอาอากาศหายใจ หน้าแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหลเป็นทางอย่างน่าสงสารจนผมต้องกดจูบเพื่อปลอบประโยนเขา แลบลิ้นตวัดเลียน้ำตาให้เหือดแห้งไป ก่อนจะประกบจูบอีกครั้งเพื่อปลอบใจ เริ่มบรรเลงบทเพลงรักที่แท้จริง
เจนนินทร์ร้องครางเสียงหวานลั่นสนั่นหู เสียงใสกรีดร้องตามจังหวะโยกตัวของผม เมื่อกระแทกทีน้องก็หลุดร้องเสียงดังออกมาที ผมไม่ได้ร่วมรักกับใครมานานแล้วก็จริง แต่ที่ผ่านมาคนที่เคยนอนด้วยก็ใช่ว่าจะน้อยที่ไหน และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบทรักของผมกับเจนนินทร์ดีอย่างหาที่สุดไม่ได้
“ฌาณ...เบา อื๊อ”
ไม่ปฏิเสธคำร้องขอ เมื่อผมไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เมื่อได้เริ่มสัมผัส ความคิดถึง คะนึงหาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีมานี้ถาโถมใส่เข้ามาอย่างไม่ยั้ง เจนนินทร์ในจินตนาการตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้โดนผมย่ำยีไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง และมีหรือที่เมื่อเจอตัวจริงแล้วผมจะปล่อยให้หลุดมือไปได้
รวมถึงไม่สามารถยั้งมือได้เช่นกัน
น้องร้องครวญครางลั่นห้อง ปฏิเสธไม่ได้อีกว่ายิ่งน้องร้องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดิบในตัวผมให้มากขึ้นเท่านั้น เสียงใสที่เปล่งออกมาราวกับเป็นการขับร้องให้ปิศาจในตัวผมตื่นขึ้น ผมกอดน้องที่อยู่ใต้ร่างแน่น ขยับสะโพก เบียดตัวตนของตัวเองให้เข้าไปข้างในตัวร้อนๆ ของน้องแล้วถอนออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก่นกายผงาดสู้ข่มเสียงหวานและช่องทางคับแคบ บรรเลงเพลงรักไปอย่างไม่คิดจะหยุด
และไม่สามารถรู้ได้เลยว่าบทรักครั้งนี้จะสิ้นสุดที่ตรงไหน
กระแทกกระทั้นจนหยาดน้ำกามเปรอะเปื้อนไปทั่วผืนเตียงและทั่วทั้งร่างกายขาวผ่อง ที่ปรากฏรอยรักลายพร้อยไปทั่วตัว ผมจับน้องพลิกตัวเป็นว่าเล่น เมื่อจบหนึ่งรอบ ก็ต่ออีกรอบอย่างไม่รอช้า จับกดเขาให้จมเตียงสมใจปรารถนา ฝังรอยรักไว้ทั่วตัวราวกับรอยสัก ตีตราว่าเขาเป็นของผม ความอัดอั้นที่สะสมมานานถูกปลดปล่อย และมันไม่มีทางเลยที่จะปลดปล่อยออกมาหมดได้เพียงแค่ครั้งเดียว
กับความคิดถึงที่ล้นทะลักมาตลอดปี
เจนนินทร์ครางอื้ออึงตามจังหวะที่ถูกกระแทกใส่ตัว น้องไม่ร้องขอให้หยุด มีแต่เสียงร้องของกามารมณ์ที่แสดงถึงความเสียวซ่านเท่านั้น และนั่นยิ่งทำให้ปิศาจในตัวผมได้ใจ ปลุกปั้นแก่นกายให้ผงาดขึ้นอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลืนกินเด็กน้อยคนตรงหน้าให้หมดสิ้น
ผมอยากขอพรให้ค่ำคืนนี้นิรันดร ใคร่จะตกอยู่ในห้วงแห่งความสุขเช่นนี้ตลอดกาล
ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น มีเพียงร่างของสองเราที่รุ่มร้อน บดเบียดแลกไออุ่นให้กันและกัน
และในเช้าวันต่อมา เจนนินทร์ก็ไข้ขึ้นตามระเบียบ…
❄❄❄❄❄❄
พี่ฌาณได้กินสเต็กแกะไปตามระเบียบ .///.