ตอนที่ 1
“อือ...” เสียงครางผะแผ่วเล็ดรอดออกมาจากลำคอบางทันทีที่เปลือกตาสีอ่อนค่อยๆขยับเปิดขึ้น ดวงตาโตกวาดมองเพดานขาวนิ่งซักพักจนความทรงจำเริ่มไหลย้อนเข้ามาในหัว
“อ๊ะ!...อือ...อึก...พะ..คุณ...พะ...แพท...แพททริก...อื้อ” “อืมห์...” ความร้อนแรงไหลบ่าเข้ามาจนคนที่นอนนิ่งอย่างเบลอๆตื่นขึ้นมาเต็มตา พอภาพในห้วงความจำฉายชัดความเจ็บปวดตามร่างกายก็แล่นริ้วตามมาจนน้ำตาเล็ด กานต์รักทำได้เพียงนอนนิ่งๆอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้จะทำยังไงกับร่างกายของตัวเอง แม้แต่นิ้วมือยังแทบขยับไม่ได้ ข้างในเนื้อตัวก็เปลือยเปล่ามีเพียงผ้าห่มผืนใหญ่ปกปิดร่างกายเอาไว้
แอ๊ด
เสียงประตูเปิดดังขึ้นแต่คนที่นอนอยู่ก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาดูได้ว่าเป็นใคร
“ตื่นแล้วหรือครับ” บอร์ดี้การ์ดร่างสูงใหญ่ที่กานต์รักจำได้ว่าเป็นคนพาตนมาส่งยังห้องนี้เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง แม้อีกฝ่ายจะไม่เห็นว่าภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่นี้ไร้ซึ่งเสื้อผ้าซักชิ้นแต่เขาก็อดกระดากอายไม่ได้
“คะ ครับ” เสียงที่เอ่ยออกไปแทบมีเพียงแค่ลมเปล่าๆ
ก็ไม่แปลก...เพราะกว่าจะได้หยุดร้องขออีกฝ่ายก็เป็นตอนที่สลบไปทั้งที่ตัวยังคงสะท้อนตามจังหวะการสอดกายเข้าหาของคนด้านบน
ภาพที่แว๊บเข้ามาในหัวทำให้คนนอนนิ่งอยู่ร้อนผ่าวขึ้นมาทั้งตัวจนต้องหลับตาลงเนื่องด้วยทนความอายนั้นไม่ไหว
“คุณสามารถพักที่นี่ได้จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น ส่วนเช็ควางอยู่ตรงนี้ให้คุณระบุตัวเลขลงไปได้ตามสบาย หรือถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมสามารถบอกผมได้ครับ” กานต์รักลืมตาขึ้นมองคนพูดก่อนจะหันไปตำแหน่งที่อีกฝ่ายผายมือบอก บนนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจเลยซักนิด
เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันก็เป็นเพียงแค่เท่านี้สินะ...ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วทำไมลึกๆในใจยังรู้สึกคาดหวังอีก
อย่าคาดหวังในสิ่งที่มันไม่มีวันเป็นไปได้สิกานต์รัก...
“...ผม แค่กๆ ขะ ขอยาแก้ปวด...กับ...ยะ ยาแก้อักเสบครับ” พยายามกลั้นความเจ็บพูดออกมาให้เป็นคำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นานนักแต่ตอนนี้ร่างกายไม่เอื้ออำนวยให้ลุกขึ้นไปไหน ได้แต่หวังว่ายาที่เอ่ยขอจากอีกฝ่ายไปจะทำให้อาการดีขึ้นมาบ้าง
“ได้ครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรที่คุณต้องการเพิ่มอีกไหม”
“ไม่..ครับ...ขอบคุณมาก” อีกฝ่ายค้อมหัวลงให้เล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป สิ้นเสียงประตูที่ปิดลงกานต์รักจึงค่อยๆลองขยับตัวขึ้นนั่ง แม้จะเจ็บจนต้องร้องออกมาหลายครั้งแต่ในที่สุดก็ทำในสิ่งที่คาดหวังได้สำเร็จ
พออยู่ในท่านั่งสิ่งที่ยังคงคั่งค้างอยู่ภายในก็ค่อยๆไหลย้อนออกมาจนเลอะหน้าขาเต็มไปหมด ผ้าปูที่นอนก็เปรอะไปพอๆกัน แม้รับรู้ได้ว่าร่างกายโดนชำระให้สะอาดไปบ้างแล้วแต่คงเพราะบางอย่างมันเยอะจนเกินกว่าที่จะเอาออกไปได้หมด
แค่คิดว่าสิ่งที่อยู่ภายในร่างกายตอนนี้หลั่งออกมาจากใครหัวใจที่เจ็บปวดก็ค่อยๆเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เสียงทุ้มในลำคอแกร่ง...สัมผัสอันร้อนแรง...จังหวะหนักแน่นที่กระทั้นเข้าหา...
ราวกับมีใครมาเปิดวิดีโอเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาในหัว กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เสียงร้องครวญครางราวจะขาดใจดังออกจากปาก เสียงครางต่ำจากอีกคนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในตัว
แต่ก็เท่านั้น...ทุกอย่างจะเป็นแค่ความทรงจำที่กานต์รักเก็บมันเอาไว้เพียงคนเดียว เพราะสำหรับคนอย่างแพททริกแล้วคงไม่มีอะไรสมควรจะจดจำ
ก็แค่คนที่เขาซื้อมานอนด้วยเหมือนกับคนอื่นๆ จะแตกต่างได้อย่างไร
“นี่ยาที่คุณขอ ผมจัดมาให้สามชุดเผื่อคุณจะต้องการมันอีก ถ้ารู้สึกไม่ดีตรงไหนบอกผมได้นะครับ ทางเราสามารถดูแลพาคุณไปส่งโรงพยาบาลได้”
มัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยจนกว่าจะรู้สึกตัวว่ามีใครเข้ามาก็เมื่อบอร์ดี้การ์ดคนเดิมเอ่ยขึ้นข้างเตียงพร้อมถาดยาและแก้วน้ำ แถมยังมีถ้วยอะไรบางอย่างที่กำลังส่งกลิ่นหอมไปทั่ว
“ส่วนนี่ก็ข้าวต้มของคุณ ทานซักหน่อยก่อนจะทานยาครับ...ผมจะวางเอาไว้ให้ตรงนี้”
คนพูดปรายตามองลาดไหล่เนียนที่มีรอยรักสีกุหลาบเต็มไปหมดจนแทบมองไม่เห็นสีผิวจริงก่อนจะรีบขอตัวออกไปเพื่อให้คนที่รับศึกมาอย่างหนักได้พัก ไม่คิดเลยว่าคนเป็นเจ้านายจะดุเดือดถึงขนาดนั้น ปกติก็มีบ้างแต่ไม่เคยเห็นรายไหนจะหนักเช่นนี้
กานต์รักขยับตัวอย่างยากลำบากไปใกล้โต๊ะข้างหัวเตียง เอื้อมมือไปคว้าช้อนในถ้วยขึ้นมาตักข้าวต้มเข้าปากด้วยแรงอันน้อยนิดจนช้อนแทบจะหลุดออกจากมือ ฝืนกินได้เพียงไม่กี่คำก็ต้องพอเพราะพะอืดพะอมเกินกว่าจะรับไหว อาการครั่นเนื้อครั่นตัวรุนแรงขึ้นจนปวดกระบอกตาไปหมด รู้เลยว่าไข้ได้เล่นงานเอาเขาแล้วเป็นแน่
ยาที่ถูกจัดเป็นชุดถูกกลืนลงไปในคออย่างรวดเร็วก่อนที่จะเคลื่อนตัวลงนอนราบอีกครั้ง แม้อยากจะลุกไปจัดการกับร่างกายตัวเองแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เปลือกตาบางจึงค่อยๆปิดลงอย่างยอมแพ้
หวังว่าตื่นขึ้นมาจะมีเรี่ยวแรงพอพาตัวเองกลับห้องได้...
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
2อาทิตย์ผ่านไป “คุณรักคะ...มีลูกค้าติดต่อมาจะสั่งออเดอร์สำหรับงานแต่งงานค่ะ”
“บอกลูกค้ารอซักครู่นะครับ” มือบางละจากการวางใบมิ้นต์ลงบนหน้าเค้กเป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนตรง รั้งปมเชือกผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวออกแล้วถอดวางเอาไว้ เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นหอมๆของขนมเดินออกมาทางฝั่งที่เป็นส่วนออฟฟิศของร้าน พนักงานคนเดิมถือโทรศัพท์ไว้รออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับ...” มือบางรับเครื่องมือสื่อสารมาแล้วยกขึ้นแนบหู กรอกเสียงนุ่มๆลงไปเพื่อเริ่มบทสนทนา
หลังจากนั้นการเจรจาเรื่องรายละเอียดงานก็ดำเนินไปราวๆครึ่งชั่วโมง จนได้บทสรุปที่ว่าให้ลูกค้าเข้ามาที่ร้านเพื่อตกลงงานกันอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อคุยกันคร่าวๆจนเสร็จเรียบร้อยกานต์รักถึงได้นั่งพักบ้างหลังจากที่วันนี้ยืนทำขนมมาทั้งวัน
“ว่าไงบ้างคะคุณรัก” ผู้จัดการร้านเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นว่าร่างเพรียวคุยโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว
“มีงานใหญ่เข้าเลยล่ะครับ...หลังจากปิดร้านวันนี้นัดประชุมพนักงานทุกคนทุกฝ่าย เดี๋ยวรักจะชี้แจงเรื่องรายละเอียดต่างๆ คุณไหมช่วยบอกพนักงานทุกคนด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ งานนี้ต้องเหนื่อยกันอีกแล้วสินะคะ” แม้จะว่าอย่างนั้นแต่คนพูดกลับมีรอยยิ้มแต่งแต้มเต็มหน้า ยิ่งมีงานมากเท่าไหร่ยิ่งบ่งบอกว่าถึงคุณภาพของทางร้านและพนักงานได้มากเท่านั้น ความสุขของคนทำมีเพียงเท่านี้ นั่นคือการได้เห็นคนอื่นมีความสุขกับสิ่งที่เราทำ ยิ่งคราวนี้เป็นงานของระดับคนใหญ่คนโตที่เขาสามารถจะเลือกใครก็ได้แต่กลับเลือกเรายิ่งทั้งดีใจและภูมิใจ
“ครับ...แล้วตอนนี้หน้าร้านเป็นยังไงบ้าง” เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดลูกค้าจะเข้าออกร้านเยอะเป็นพิเศษกว่าวันไหน ขนมที่ทำมาเผื่อมากมายไม่เพียงพอต่อความต้องการจนกานต์รักต้องยุ่งเข้าครัวตั้งแต่เที่ยง ทั้งอบทั้งทำขนมไม่ได้หยุดพัก พนักงานหลายคนต้องไปช่วยกันเสิร์ฟและรับออร์เดอร์จนคนแทบไม่พอ
“คนเริ่มบางลงแล้วล่ะค่ะ นี่ก็ค่ำมากแล้ว”
“ยังไงรักก็ฝากคุณไหมด้วยแล้วกันนะครับเดี๋ยวรักว่าจะไปเช็คของหน่อย ของหมดหลายอย่างเลย”
“ได้ค่ะคุณรัก” เจ้าของร้านเบเกอร์รี่ชื่อดังส่งยิ้มอ่อนแล้วเดินออกมาในส่วนที่เป็นห้องเก็บวัตถุดิบเพื่อตรวจดูว่ามีของอะไรต้องซื้อเพิ่มบ้าง เช็คของและโทรสั่งของจนเรียบร้อยแล้วจึงเข้ามาเช็คบัญชีที่ห้องทำงานของตัวเอง
หนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟามาตั้งแต่เช้าไม่ถูกสัมผัสเลยแม้แต่น้อยจวบจนกระทั่งในขณะที่กานต์รักกำลังจะเดินผ่านมันไป...เนื้อหาข่าวเด่นหราพาดอยู่หน้าแรกทำให้สองขาเรียวหยุดชะงักนิ่งแล้วเอื้อมมือสั่นๆไปหยิบมันขึ้นมาดู
เดซี่ ดริกายอมรับมีหนุ่มคนคุยด้วยแล้ว ไม่ใช่ใครที่ไหน...แพททริก เบรนเนแกรน นักธุรกิจที่สาวๆทั้งประเทศอยากได้มากที่สุด! อ่านต่อหน้า23 ...แน่นอนว่ามือบางพลิกไปที่เลขหน้านั้นอย่างรวดเร็ว
“ดารากับไฮโซเป็นของคู่กัน” นาทีนี้ต้องยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาของนางเอกสาว เดซี่ ดริกาจริงๆ ทั้งเรื่องงานที่กำลังมาแรงสุดๆสำหรับการกลับมาทวงบรรลังก์ตำแหน่งดาราขวัญใจมหาชนและเรื่องที่หน้าจับตามองมากกว่านั้นคือเรื่องความรักของเธอ ซึ่งเจ้าตัวพึ่งจะออกมายอมรับว่ามีหนุ่มที่คุยด้วยแล้ว งานนี้ทำเอาแมงเม้าทั้งหลายอยากเห็นหน้าค่าตาของหนุ่มคนนั้นเสียเหลือเกินว่าเป็นใครมาจากไหน แต่แล้วก็ไม่ต้องเดาไม่ต้องสงสัยกันให้เสียเวลาเมื่อมีคนตาดีแอบเห็นทั้งคู่ไปทานข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารสุดหรูแห่งหนึ่ง พร้อมภาพแนบชิดสนิทสนม แล้วหนุ่มคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าพ่อวงการธุรกิจที่ทั้งหล่อ แซ่บ และรวยสุดๆอย่าง...แพททริก เบรนเนแกนนั่นเอง!! มือที่ถือกระดาษหนักเพียงไม่กี่ขีดสั่นเทาราวกับถือหนังสือเล่มหนา ความทรงจำเมื่อสองอาทิตย์ก่อนย้อนคืนมาเล่นงานจนต้องทรุดตัวลงนั่ง
วันนั้นกานต์รักออกจากที่นั่นโดยไม่ได้สนใจเช็คที่ถูกวางไว้เลยซักนิด พาร่างกายอันสะบักสะบอมโบกแท็กซี่กลับมายังห้องของตัวเองแล้วนอนซมไข้อยู่เกือบสามวัน ร่องรอยตามร่างกายจนถึงวันนี้ยังคงเหลือจางๆให้ได้เห็น พยายามทำงานไม่นึกถึงอะไรแต่ก็เพียงเท่านั้น ยิ่งวันนี้สิ่งที่ได้รับรู้ยิ่งพลันให้ความรู้สึกวูบโหวงตีรวนขึ้นมาในอก
แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่ทำลงไปในวันนั้นเขาก็ไม่เสียใจเลยซักนิดเพราะทุกอย่างคือการตัดสินใจของตัวเอง
มันดีแล้วกานต์รัก..สิ่งที่ได้แค่ฝันอย่างน้อยมันก็เคยเป็นจริง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดึงรั้งความคิดที่ฟุ้งซ่านไปไกลให้กลับมาอยู่กับความจริงอีกครั้ง กานต์รักยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้คนเคาะเข้ามาได้
“คุณรักคะ To’ak Chocolate Cake หมดแล้วค่ะ”
“อืม...ถ้างั้นก็ปิดร้านเลยครับ เดี๋ยวต้องประชุมกันต่ออีก”
“ได้ค่ะ”
ขนมอื่นๆในร้านก็คงเหลืออีกเพียงไม่กี่ชิ้น ปิดร้านเร็วกว่าปกติถือว่าให้ทุกคนได้พักหลังจากที่ทำงานหนักกันมาทั้งวันก็แล้วกัน
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
“วันนี้ตารางงานนายมีเพียงเท่านี้ครับ” เสียงคนสนิทเอ่ยบอกคนที่นั่งหลับตาพิงเก้าอี้ การทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำสูบพลังงานไปอย่างมหาศาลจนรู้สึกปวดกระบอกตา แม้จะเป็นเช่นนี้เสมอแต่ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่งานหลายอย่างรุมเร้า สภาพของผู้กุมบังเหียนใหญ่จึงอ่อนล้ากว่าที่เคย
“เรื่องที่ให้สืบไปถึงไหนแล้ว” เสียงทุ้มเย็นเอ่ยถามไปถึงอีกเรื่องพร้อมกับเปิดเปลือกตาขึ้น แม้จะมีแววเหนื่อยล้าอยู่ในนั้นแต่ความน่าเกรงขามกลับไม่ได้ลดลงซักนิด
“พวกเรากำลังพยายามกันอย่างเต็มที่ครับ แต่แปลกที่กลับคว้าน้ำเหลวไม่ได้อะไรเลยซักอย่าง...แม้แต่ชื่อก็หาไม่เจอ”
“แค่ผู้ชายตัวเล็กๆคนเดียวเรื่องแค่นี้ทำไมถึงทำกันไม่ได้ ให้ไปสืบมาตั้งนานแล้วยังไม่ได้เรื่องอะไรเลยหรือไง!” ผู้เป็นเจ้านายแผดเสียงใส่จนก้องไปทั่ว ทั้งหงุดหงิดและเหนื่อยล้าจนทุกอยากตีรวนกันไปหมด
“ขอโทษครับนาย...เพียงแต่ผมคิดว่ามันมีอยู่สองเหตุผลที่เรายังสืบประวัติเขาไม่ได้ หนึ่งคือเป็นคนต่างด้าว และสอง...มันเหมือนกับว่าเขารู้ว่าเราจะตามหา เหมือนว่าตั้งใจปกปิดประวัติเอาไว้ไม่ให้ตามเจอ”
“ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แต่พวกนายก็ต้องหาให้เจอเข้าใจไหม!”
“ครับ ผมสัญญาว่าเจ้านายจะได้พบเขาแน่”
“มันจะต้องเป็นอย่างนั้น...ออกไปได้แล้ว ฉันจะพักผ่อน” มือขวาค้อมตัวลงให้เล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปตามคำสั่ง ขืนไม่รีบออกไปตอนนี้เกรงว่าจะโดนผู้เป็นนายอาละวาดใส่ยิ่งกว่าเดิม
ลิ้นชักข้างโต๊ะทำงานตัวใหญ่ถูกเลื่อนให้เปิดออก มือหนาหยิบกระดาษที่วางอยู่ในนั้นขึ้นมาก่อนจะมองมันนิ่ง เช็คที่ไม่ได้ถูกหยิบไป
“ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่านายเข้าหาฉันทำไม”
หลายอย่างมันดูไม่ชอบมาพากล ทันทีที่รู้ว่าเช็คยังถูกวางไว้เช่นเดิมไม่ได้ถูกหยิบไปความรู้สึกบางอย่างในตัวก็กระตุ้นเตือน จริงอยู่ที่คืนนั้นไม่ได้มีการตกลงซื้อขายกันเป็นเรื่องราวนัก แต่เด็กนั่นก็รู้ว่าสิ่งแลกเปลี่ยนนั้นคืออะไร ตกลงรับข้อเสนอง่ายๆแต่กลับไม่รับเช็คกลับไป มันน่าแปลกใจจนต้องสั่งให้คนตามหา
ลูกน้องของเขาไม่เคยทำงานผิดพลาด ประวัติของคนที่ต้องการรู้มักจะถูกรายงานภายใน15นาที แต่นี่แค่ผู้ชายตัวเล็กๆคนเดียวเวลากว่าสองอาทิตย์แม้แต่ชื่อก็ไม่พบ
เขาเป็นนักธุรกิจ มีศัตรูอยู่รอบด้าน อะไรที่สุ่มเสี่ยงว่าจะเป็นอันตรายต่อตัวเองต้องป้องกันเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะกับคนที่เข้ามาโดยไม่รู้จุดประสงค์ชัดเจนอย่างเด็กนั่น ยอมรับว่าคืนนั้นเผอเรอไปเพราะท่าทางอันใสซื่อ แม้สัญชาตญาณจะร้องบอกว่าเด็กคนนั้นไม่ได้มีพิษภัยแต่ก็ยังไม่วางใจจนกว่าจะได้พิสูจน์
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณรัก” เสียงใสเอ่ยบอกให้คนฟังพยักหน้ารับ เมนูทุกอย่างสำหรับงานแต่งถูกตระเตรียมไว้แล้วเรียบร้อย ทุกอย่างต้องไร้ข้อผิดพลาดเนื่องจากเป็นงานของคนใหญ่คนโต กานต์รักต้องการให้มันออกมาดีที่สุดให้สมกับความไว้วางใจของลูกค้า
“งั้นก็ให้คนลำเลียงไปยังสถานที่จัดงานได้เลยครับ” ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยง ทุกอย่างต้องถูกเผื่อไว้เมื่อเกิดข้อผิดพลาดจะได้จัดการได้ท่วงทัน งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในช่วงค่ำ ยังมีเวลามากพอที่จะจัดตกแต่งบรรดาขนมทั้งหลายโดยไม่ต้องรีบร้อน
กานต์รักมาถึงงานในตอนบ่ายโมง สั่งพนักงานลำเลียงอาหารลงในส่วนที่ทางลูกค้าแจ้งมา ดีลงานกันเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเตรียมงานในส่วนของตัวเอง หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ต้องอยู่ดูแลจนกว่างานจะจบ ต้องคอยเติมคอยควบคุมเมื่อจำนวนขนมนั้นลดลง ส่วนทางร้านของตัวเองก็ให้พนักงานอีกส่วนดูแล
แววตาใสทอประกายเมื่อเริ่มเห็นคนเดินเข้างานมา บรรยากาศนั้นเต็มไปด้วยความยินดีจนแม้แต่คนนอกยังสัมผัสได้ กานต์รักชอบความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม
“เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวเหมาะกันดีนะคะ” ผู้ช่วยสาวเอ่ยขึ้นเมื่อคู่บ่าวสาวลงมาต้อนรับแขก
“น่ารักดีครับ ตอนแต่งงานพี่ถิงมุ้งมิ้งแบบนี้เลยไหม” คนตัวเล็กเอ่ยถามพร้อมแย้มยิ้มน้อยๆ ผู้ช่วยคนเก่งเข้ามาทำงานกับที่ร้านหลังจากแต่งงานแล้วกานต์รักจึงไม่ได้เห็นบรรยากาศอย่างนี้
“ไม่ได้ใกล้เคียงแบบนี้เลยค่ะ...วันนั้นวุ่นวายมาก แทบเป็นลมเลย คนรวยก็อย่างนี้แหละอะไรๆเลยง่ายไปหมด”
“คุณรักคะ เครปเค้กสตอร์เบอร์รี่เหลือน้อยแล้วค่ะ” ยังไม่ทันจะพูดอะไรกันมากกว่านั้นเสียงผู้จัดการร้านที่เดินเข้ามาจากอีกทางก็ทำให้ทั้งคู่หยุดชะงัก
“เดี๋ยวรักไปดูครับ” ร่างเพรียวบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตามธีมเดินไปยังทางที่ผู้จัดการร้านจากมา มองจำนวนเครปเค้กชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วได้แต่ครุ่นคิดว่าควรจะจัดการอย่างไรดี
“คุณรักคะ ทางเราอยากจะขอเพิ่มเมนูเครปเค้กและช็อกโกแล็ตได้ไหมคะ มีแขกที่เราต้องจัดไว้เป็นพิเศษแล้วก็คาดว่าที่มีตอนนี้คงไม่พอแขกภายในงานแน่ เราไม่คิดว่าคนจะชอบขนมร้านคุณรักขนาดนี้ หมดเร็วยิ่งกว่าของคาวเสียอีก” ทีมงานของงานแต่งเดินเข้ามาหา ประโยคที่ได้ยินนั้นทำเอากานต์รักยิ้มออกมาอย่างเป็นปลื้ม เขาเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน
“ขอบคุณครับ...ถ้าอย่างนั้นช่วยระบุจำนวนที่แน่ชัดมาได้ไหมครับรักจะได้จัดการได้ง่ายขึ้น ทางร้านมีส่วนที่แช่เย็นเอาไว้ขายคงพอแทนกันได้”
“ได้ค่ะ”
หลังจากทราบเรื่องจำนวนที่แน่ชัดแล้วกานต์รักจึงโทรบอกพนักงานที่ร้านให้นำเครปเค้กและช็อกโกแลตมาส่ง ความจริงแล้วส่วนนั้นคือส่วนที่ทำไว้สำหรับขายในวันพรุ่งนี้ แต่ยังสามารถเอามาใช้รับแขกแทนก่อนได้เพราะยังพอมีเวลาทำใหม่ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงทั้งทีมงานของงานแต่งและกานต์รักเองก็เบาใจ
แขกเหรื่อมากมายเดินเข้ามาตักบรรดาขนมหวานจนเจ้าของยิ้มปลื้ม
“หูย หล่อจัง” เสียงอุทานจากคนรอบข้างดังขึ้นเป็นระลอกจนคนที่กำลังจัดขนมเติมใส่ถาดเริ่มใคร่รู้ ตอนแรกกานต์รักไม่ทันสังเกตว่ารอบตัวเกิดความฮือฮากระทั่งเสียงซุบซิบเหล่านั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อจัดขนมเสร็จใบหน้าหวานจึงเงยขึ้นมองสถานการณ์รอบตัว
ปึก
เสียงอุปกรณ์คีบขนมตกลงบนพื้นที่ปูพรมอย่างดีเพราะคนถือเกิดไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาฉับพลัน ราวกับโลกทั้งใบของกานต์รักกำลังหยุดนิ่ง ร่างเล็กรู้สึกเหมือนถูกสะกดด้วยสายตาคมกริบคู่นั้นจนแม้แต่หายใจยังลำบาก
เรือนร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีฟ้าครีมกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนสองขาก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว หัวใจแทบหยุดเต้นพร้อมกับสติที่ปลิวหาย ก่อนจะต้องเผชิญหน้ากันซึ่งๆหน้ากานต์รักก็หมุนตัวกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางห้องน้ำ แข้งขาสั่นจนเดินแทบไม่ตรง พยายามประคองตัวเองให้ถึงที่หมายแล้วจัดการล็อคประตูก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนชักโครก
ขอให้จำไม่ได้...ขอให้คุณแพททริกจำเขาไม่ได้ด้วยเถอะ
เหงื่อกาฬไหลซึมลงมาตอบกรอบหน้า หัวใจเต้นรัวถี่จนเจ็บหน้าอก
“ใจเย็นๆสิกานต์รัก...เราไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย” อากาศภายนอกถูกสูดเข้าปอดลึกเพื่อควบคุมสติของตัวเอง ทำอย่างนั้นช้าๆหลายครั้งจนกระทั่งเริ่มรู้สึกดีขึ้น เมื่อนึกขึ้นได้ถึงการดูแลความเรียบร้อยของงานและคิดว่าอีกคนคงเดินมาเพียงแค่ตักขนมแล้วจากไปกานต์รักจึงขยับตัวลุกขึ้น
คนอย่างเขาไม่มีอะไรให้คุณแพททริกต้องใส่ใจจดจำเสียหน่อย แม้จะต้องเจอหน้ากันอีกคนก็คงจำไม่ได้และไม่มีความจำเป็นจะต้องจำ ระหว่างเรามันเป็นเพียงคนไม่รู้กันก็เท่านั้น
แกร๊ก
เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้นเบาๆก่อนคนที่ขังตัวอยู่ในนั้นจะก้าวออกมา ออกไปล้างหน้าซักหน่อยคงช่วยให้รู้สึกดีขึ้น
หมับ
“คิดว่าจะหนีฉันพ้นหรือไง”
แรงกระชากตรงข้อมือไม่ได้ทำให้ตกใจเท่าคนที่อยู่ตรงหน้า คราวนี้สติและลมหายใจราวกับถูกพรากออกไปพร้อมกัน ร่างทั้งร่างแข็งทื่อ ตาเบิกกว้าง
“ที่หนีเพราะมีความผิดจริงสินะ...ในที่สุดก็เจอซักที” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจนหัวใจสั่นสะท้าน ไรขนอ่อนลุกเกรียวขึ้นทั่วทั้งตัว แม้จะไม่เข้าใจนักถึงสิ่งที่อีกคนพูดแต่กานต์รักก็ยังพอจับใจความได้
คะ ความผิดอะไรกัน เขาไปทำตอนไหน
“ผะ ผม...ไม่รู้” แรงบีบตรงข้อมือเล็กเพิ่มขึ้นพร้อมกับดวงตาคมที่ประกายไปด้วยเปลวเพลิง
“ไม่ต้องมาแสร้งเฉไฉ!”
เฮือก
เสียงทุ้มตะคอกใส่จนกานต์รักสะดุ้งสุดตัว มือไม้สั่น หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ทั้งที่มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากคนตรงหน้านั้นเขย่าขวัญจนตัวสั่น
น่ากลัวเหลือเกิน
“ผะ ผมไม่รู้...จริงๆ...ผม...ไม่...มะ..ได้ทำ”
“ถ้าไม่ได้ทำแล้วจะกลัวทำไม” ท่าทาง น้ำเสียง และสายตาของคนตรงหน้าแม้เป็นใครก็ต้องนึกหวาดกลัว เขาไม่รู้จริงๆว่าอะไรทำให้คนตรงหน้านั้นไม่พอใจรุนแรงขนาดนี้ หรือเพราะเป็นเขาคุณแพททริกถึงไม่พอใจ การนอนกับคนอย่างกานต์รักมันอาจเป็นเรื่องแย่จนคนตัวสูงเป็นอย่างนี้
“ผม...ขะ...ขอโทษ” อาจเพราะคืนนั้น ในตอนนั้นมันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของอีกคน แม้จะยาวนานและหนักหน่วงก็คงเป็นเพราะอยู่ในห้วงอารมณ์ของความต้องการทางธรรมชาติ แม้รู้ตัวดีว่าเป็นคนไม่คู่ควรแต่กานต์รักยังอยากเห็นแก่ตัวตักตวงช่วงเวลานั้นเอาไว้ ที่เอ่ยคำขอโทษนั้นคือขอโทษที่เขาเป็นคนไม่คู่ควร รู้ดีว่าไม่ควรแม้แต่จะเฉียดตัวเข้าไปใกล้คุณแพททริกเลยด้วยซ้ำ
“หึ ยอมรับว่ามีความผิดจริงๆสินะ...บอกฉันมาว่านายเป็นใคร”
หมายความว่ายังไงกัน?
คำถามจากคนตัวใหญ่พลันทำให้ตระหนกจนใบหน้าหวานซีดขาว พิรุธที่เจ้าพ่อแห่งวงการธุรกิจสังเกตเห็นจนได้แต่แสยะยิ้ม
ไม่ว่าคนตัวเล็กนี้จะเป็นคนของฝั่งไหน แพททริกก็จะไม่เก็บเอาไว้เด็ดขาด เขาต้องรู้ให้ได้ว่าใครส่งเด็กนี่มา!
“จะไม่ยอมบอกอย่างนั้นเหรอ?” กานต์รักนิ่งเงียบไม่พูด แม้จะกลัวจนแทบสิ้นสติแต่เขาก็ไม่ยอมพูดอะไรออกไป แรงบีบบนข้อมือนั้นไม่ได้ลดน้อยลงจนตอนนี้เจ้าของมันเริ่มรู้สึกชา ปากเล็กเม้มเข้าหากันแน่น ใบหน้าหล่อเหลาที่สลักในความทรงจำห่างกันเพียงคืบ มันคงดีกว่านี้หากกานต์รักได้พิศมองใกล้ๆโดยไม่ใช่สถานการณ์เช่นตรงหน้า
“มาดูกันว่าคนอย่างฉันจะทำให้นายพูดออกมาไม่ได้” ร่างเล็กถลาไปตามแรงกระชากจนตัวแทบปลิว คนตัวสูงฉุดรั้งให้เดินลึกเข้าไปภายในก่อนจะเหวี่ยงร่างที่บางกว่าถึงครึ่งเข้าผนัง แววตาของคนตรงหน้านิ่งเรียบแต่เต็มไปด้วยความดุดัน กานต์รักภาวนาขอให้มีคนเดินมาเข้าห้องน้ำบ้างโดยไม่รู้เลยว่าป้ายกำลังทำความสะอาดถูกหยิบขึ้นมาแขวนพร้อมกับมีบอร์ดี้การ์ดร่างสูงยืนเฝ้า
“อื้อ!” ใบหน้าเล็กถูกบีบด้วยฝ่ามือใหญ่ก่อนริมฝีปากได้รูปจะทาบทับลงมา สัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรงจนคนได้รับรู้สึกเจ็บ ตาคู่สวยมีน้ำมาคลอก่อนจะไหลลงมาตามแก้มเมื่อกลั้นเอาไว้ไม่ไหว เสื้อเชิ้ตถูกกระชากออกจากตัวจนบาดผิวให้รู้สึกแสบ
ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความรุนแรง ดุดัน ไม่ได้ให้ความรู้สึกวาบหวามเช่นวันนั้นเลยซักนิด ร่างกายทั้งสั่นไหวและกลัวเกรง กานต์รักไม่กล้าขัดขืนเพราะรู้ดีว่าแรงกายนั้นยังไงก็ไม่มีทางสู้ไหว ยิ่งขัดขืนอาจยิ่งแย่
หรือมันอาจเป็นเพราะความต้องการลึกๆของใจตัวเอง
“อ๊ะ!” ตุ่มไตเม็ดเล็กสีเชอร์รี่บนอกถูกขยี้ดึงอย่างไร้ความปราณี กานต์รักเริ่มดิ้นเพราะขาดอากาศหายใจกระทั่งริมฝีปากคู่นั้นผละออกไปจู่โจมในส่วนที่ต่ำกว่า จากแค่บีบกลับถูกขบกัดให้เจ็บยิ่งกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกเสียดเสียวก็แทรกเข้ามาทีละเล็กจนนึกระอาใจ
ระ รู้สึก...อย่างนั้นได้ยังไง...มะ ไม่
“ถ้านายไม่พูด...ฉันก็จะทรมานจนนายต้องยอมพูดมันออกมา” เข็มขัดเส้นสวยถูกกระชากดึงให้หลุดออกจากล็อค กระดุมกางเกงสแล็คถูกปลดออกพร้อมกับซิบที่ถูกเลื่อนลง นิ้วแกร่งเกี่ยวทั้งกางเกงตัวนอกและตัวในออกพร้อมกันจนมันไปกองอยู่บนข้อเท้าเล็ก เปิดเผยเรือนร่างบางทั้งหมดสู่สายตา
“มะ ไม่นะ...อย่าทำ ฮึก อย่าทำรักเลย” เสียงร้องขอน่าสงสารดังขึ้นแต่นั่นไม่ได้ทำให้คนใจดำรู้สึกอะไร กานต์รักกลัว กลัวคนตรงหน้านี้เหลือเกิน
“ถ้าไม่อยากให้ทำก็พูดออกมา...นายเป็นใคร!” คนถูกถามทำเพียงแค่ส่ายหน้าด้วยความกลัว เมื่อเห็นดังนั้นแพททริกจึงไม่รั้งรอที่จะจัดการขั้นต่อไป แล้วมาดูกันว่าเด็กนี่จะอดทนไม่พูดได้ซักแค่ไหน
เรียวปากได้รูปขบกัดลงมาที่เม็ดกลางหน้าอกอีกครั้ง คราวนี้ลิ้นหน้าตวัดไล้ผ่านไปพร้อมๆกับดูดดึง สัมผัสนั้นไม่ได้โหดร้ายเช่นคราแรกและมันกำลังแผดเผากานต์รักด้วยความเสียวกระสัน
“อึก...ฮ่ะ...อะ...อื้อ” เสียงครางผะแผ่วดังขึ้นแม้จะพยายามอดกลั้น ความรู้สึกเสียวปลาบเกิดขึ้นวูบวาบไปหมดจนต้องกัดปากแน่น ยิ่งคราวที่มือใหญ่ลูบไล้บีบเค้นไปทั่วร่างกานต์รักยิ่งแทบทนไม่ไหว ร่างกายบิดเร้าไปมาอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
“หึ แค่นี้ก็รู้สึกขนาดนี้เลยสินะ” น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นเมื่อคนตรงหน้าผละออก กานต์รักหลับตาแน่นกลั้นเสียงสะอื้นจากทั้งความเสียวและความกลัวเอาไว้ ต่อมาเมื่อได้ยินเสียงรูดซิบเบาๆจึงลืมตาขึ้นมองด้วยความตระหนก ถึงกระนั้นก็ไม่ทันเมื่อคนตัวโตขยับเข้ามาใกล้แล้วรุกล้ำสอดใส่เข้ามาด้วยความรวดเร็วและรุนแรง
“โอ๊ย...จะ เจ็บ! ฮึก รักเจ็บ” แก่นกายใหญ่สอดใส่เข้ามาโดยไร้ซึ่งการเบิกทางใดๆ ความฝืดเคืองและความเจ็บปวดแล่นริ้วจู่โจมราวกับร่างกายกำลังฉีกขาดออกจากกัน ตาดวงโตเบิกกว้างพร้อมกับน้ำตาที่ไหลเป็นทาง
เจ็บจนไม่รู้จะอธิบายว่ามันมากขนาดไหน
“พูดออกมาสิ! เจ็บนักก็ยอมเปิดปากออกมาว่านายเป็นคนของใคร!” ร่างสูงกัดฟันพูดพร้อมกับเสือกกายเข้าหาลึกเข้าไปอีก ใช่ว่าคนทำไม่เจ็บแต่มันน้อยนักหากเทียบกันกับร่างเล็กที่ต้องรองรับความใหญ่โตโดยไม่ยินยอมทั้งร่างกายและจิตใจ เขาจะทำให้เด็กนี่พูดออกมาให้ได้ ในเมื่อถามดีๆไม่ตอบก็ต้องทรมานจนกว่าจะยอมพูด