เ จ น ไ ม่ น ก (ลูกชุบของอัศวิน : 7) 23.1.2019 P.36 ตอนจบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เ จ น ไ ม่ น ก (ลูกชุบของอัศวิน : 7) 23.1.2019 P.36 ตอนจบ  (อ่าน 172109 ครั้ง)

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ mellowshroom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 976
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
ไม่อยากนึก ถ้าน้องมีความกะล่อนของอิตาเพชร จะเป็นยังไง

มันจะเจ้าเล่ห์แค่ไหนกันน้าาาาา แต่เราชอบน้องวินที่เป็นวัยเรียนรู้มากเลย

น่ารักมากกก ให้น้องซึมซับนิสัยมาอย่างละนิดหน่อยก็พอเนอะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
ลูกชุบของอัศวิน 3


“เฮ้อ…” 


ไม่มีเรื่องอื่นที่คุยกับพ่อได้ดีกว่านี้แล้วเหรออัศวิน ทำไมถึงชวนคุยเรื่องนี้นะ เพราะไม่อยากคุยเรื่องงานกับพ่อเท่าไหร่ อาจจะอายที่ต้องยอมรับว่าตนทำได้ไม่ดี และเพราะพ่อคือคนที่อยากจะเทียบเคียงได้มากที่สุด จึงเลี่ยงจะคุยเรื่องนี้  แต่เรื่องความรักนี่นะ? ช่างดูไม่เหมาะสมเอาเสียเลย!


ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนมาสนใจหรือเรื่องพวกนี้ไกลตัวไปหรอก แต่เพราะว่าไม่เคยคิดจะมีคนรักจริงๆ จนบัดนี้จึงยังไม่มีใครสักที แต่อัศวินเพิ่งอายุแค่ 18 จะรีบไปสนใจทำไม แย่งเจนกับพ่อก็สนุกดี และทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครข้ามผ่านกำแพงสูงที่ตั้งไว้มาได้ เอาเป็นว่าคนที่เข้ามายังไม่มีใครที่เขาสนใจ มีแต่ความรำคาญใจและอยากหลบเลี่ยงเท่านั้น


อย่างคนที่เพิ่งได้เจอเมื่อวันก่อนนั่นก็เป็นอีกคนที่ดูน่ารำคาญ แต่…ลูกชุบไม่ได้เข้าหาเขาในเชิงนั้นหรอก คนนั้นก็แค่บ้าๆบอๆยุ่งเรื่องชาวบ้านไปหน่อยก็แค่นั้นเอง อืม…ก็เจนฝากให้มาดูแลนี่เนอะ ก็ทำได้ดีตามหน้าที่ แต่ทำไมต้องรู้สึกแย่ตอนที่ทำให้อีกฝ่ายถอยห่างไปแบบนั้น รำคาญไม่ใช่เหรอ ปกติไม่แคร์ใครไม่ใช่เหรอ แต่กับลูกชุบ เขาไม่อาจจะพูดได้ว่ารำคาญอย่างแท้จริง


ในเช้าของวันทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้ ไม่มีลูกชุบที่ขึ้นมาในโบกี้เดียวกันอีก ไม่มีความบังเอิญเกิดขึ้นซ้ำๆในชีวิต และเขาก็คงต้องมานั่งคิดว่าอีกสี่วันที่ไม่มีงานทำนี่จะทำอะไร ไม่สิ…วันนี้ต้องทำให้ดีที่สุดอย่างไรต่างหาก เมื่อมาถึงซุปเปอร์ เขาก็พบว่าลูกชุบมาถึงก่อนอยู่แล้ว อีกฝ่ายยิ้มให้ ทักทายอย่างร่าเริง เขาจำภาพนั้นไว้เพื่อคิดต่อไปว่าตนควรจะทำอย่างนั้นดีไหมตอนที่ทำงาน แต่รับตัวเองที่เป็นแบบนั้นไม่ได้จริงๆ


แต่คุณป๋าก็ไม่ได้ยิ้มแบบนั้นนี่…ตรงนี้ก็ยังติดอยู่ในใจเขาอยู่เหมือนกัน แล้วถ้าคุณป๋ามายืนอยู่ตรงนี้เขาจะทำหน้าอย่างไรกันนะ อัศวินพยายามนึกภาพ หากว่านักรบมาทำหน้าที่การขาย บางทีเขาก็คงไม่ได้ยิ้มโง่ๆแบบที่เราคุยกันเมื่อวาน แต่ยิ้มแบบไหนที่จะทำ? อา…ทั้งๆที่รู้จักคุณป๋าดีกว่าใครไม่ใช่เหรอ ในเมื่อเราเหมือนกันขนาดนี้…


“ชิมได้นะครับ”  ก็คงยิ้มน้อยๆและมองคนอื่นด้วยสายตาแบบที่มองคนในครอบครัวแบบนี้ละมั้ง


เมื่อจับจุดได้ เขาก็เริ่มทำตามแบบที่นึกภาพไว้ จากที่ยืนทื่อและยื่นส่งแบบในทุกๆวัน เขาลองค้อมตัวลงมานิดนึง อัศวินเป็นคนตัวสูงและมีบุคลิกที่สง่า ซึ่งบางทีมันก็ดูไม่เป็นมิตรต่อแม่บ้านในที่แห่งนี้ เขาได้สังเกตว่าที่นี่จะมีแม่บ้านชาวต่างชาติมาเดินบ้าง เมื่อพวกเธอเดินผ่านมาก็ลองนำเสนอต่างภาษาดูและก็พบว่าได้รับความสนใจมากขึ้น ในที่สุดก็พอจะมีคนที่ยืนฟังอธิบายสินค้าจนจบสักที


“ไปกินข้าวกันเถอะ”  เมื่อได้เวลาพัก ลูกชุบก็เดินมาชวน เขาก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี อีกเรื่องนึงที่ทำได้ในช่วงนี้แต่คนที่บ้านยังไม่รู้คือปรุงก๋วยเตี๋ยวให้ตัวเองเป็นแล้ว


เราสั่งอาหารมากิน ลูกชุบกล่าวชมในพัฒนาการทางการทำงานของเขาในวันนี้ ส่วนนึงต้องยอมรับเลยว่าเจ้าตัวเองก็เป็นเหมือนต้นแบบให้หาแนวทาง เขาอาจจะทำไม่ได้เหมือนลูกชุบเพราะไม่ได้ดูเฟรนด์ลี่ขนาดนั้น แต่ก็พยายามปรับให้เป็นตัวเองให้ได้มากที่สุด


“น้องวินหล่อนะ”  อยู่ๆก็พูดขึ้นมา เขาแทบสำลักน้ำซุบ โอย…  “คือแบบหน้าตาแบบนี้ยังไงใครๆก็อยากเข้าใกล้ไง”


“หล่อแล้วไง”  เอาจริงๆก็ไม่เคยชมตัวเองว่าหล่อหรอก รู้ตัวว่าหน้าตาดีในระดับหนึ่ง แต่จู่ๆต้องมาฟังคนสาธยายความหล่อด้วยตาแป๋วๆนั่น มันแปลกๆจริงๆ ยุบยิบหัวใจแปลกๆ แก้มก็เหมือนจะร้อน


“ก็ใครๆก็อยากเข้าหาคนหล่อไง ถ้าเป็นคนหล่อที่ดูนิสัยดี เชื่อพี่ชุบไหม ว่าต้องขายดีแน่ๆ”


“ขายดี?”


“ขายของดีไง คนเราก็เข้าหากันเพราะหน้าตาก่อนทั้งนั้นแหละ”  คุยกันมาตั้งนานเขาเพิ่งจะเข้าใจเจตนารมณ์ของอีกฝ่ายก็ตอนนี้ อาจจะเป็นอย่างที่ลูกชุบว่า มีคนมาด้อมๆมองๆแต่ไม่กล้าเข้าหาเพราะเขาชอบทำหน้าดุ แต่พอวันนี้ไม่เกร็งหน้าแบบวันก่อนๆแล้วก็จะเห็นคนเดินเข้ามาเรื่อยๆ มันอาจจะผิดที่เขาเกร็งหน้าจนชินก็เป็นได้


เรากลับมาทำงาน วันนี้ลูกชุบดูซึมผิดปกติ แม้จะยังพูดมากเหมือนเดิม แต่อัศวินดูออกว่ารอยยิ้มเหล่านี้มันถูกเค้นออกมา จะว่าไปเขาก็ไม่ค่อยจะรู้จักอีกฝ่ายดีนัก เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่พูดๆออกไปนั้นแทบไม่มีเรื่องส่วนตัวเลย ถ้าไม่เรื่องเขาก็เรื่องงานเรื่องกินเรื่องนั่นนี่ แต่ไม่มีเลยที่จะบอกว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน


มันก็ไม่แปลกหรอกที่จะพูด ยิ่งพูดก็ยิ่งแปลกเพราะเราเพิ่งรู้จักกัน อัศวินยังไม่เคยพูดเรื่องส่วนตัวให้อีกฝ่ายรับฟังด้วยซ้ำ เขาระวังตัวเองดีไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ด้วยความที่นามสกุลรัตนสกุลย่อมมีคนอยากจะเข้าหาอยู่แล้ว และนั่นทำให้เลือกที่จะไม่สนิทกับใครจนเกินไป อัศวินไม่ต้องการคนมากมายรอบตัวเขาอยู่แล้ว ที่มีอยู่ก็ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการจริงๆ


ยอดขายที่เห็นได้ด้วยตาของตนเองทำให้เขารู้สึกพอใจ แม้จะไม่ได้ยิ้ม แต่อัศวินก็ไม่ได้มีใบหน้าเครียดขึงเหมือนวันก่อนๆ  และตอนนี้เขาก็กำลังกลับบ้านกับลูกชุบ อื้ม…ทำไปทำมาก็เดินกลับโดยที่รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เรารอรถเมล์อยู่ด้วยกัน คาดว่าตอนเย็นวันอาทิตย์คงรถไม่ติดเท่าไหร่


แต่คนแน่นบนรถเมล์นั้นไม่แน่…


“โอ๊ะ ขอโทษน้า”  ลูกชุบพูด ยามที่รถเบรกทีแล้วคนตัวเล็กที่ฐานอาจจะไม่แข็งแรงเท่าเซมาหา ให้ตายเหอะ รถทั้งติด คนก็เยอะ แต่ทำไม…ไม่น่าหงุดหงิดเลยนะ?


อาจจะเพราะว่ากำลังอารมณ์ดีเรื่องที่ทำงานได้มากกว่า ไม่ใช่เพราะอย่างอื่นหรอก รถยังคงเบรกไปมา ลูกชุบก็เซไปนู่นนี้เรื่อยเปื่อย เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจแล้วที่คนตัวเล็กเซไปโดนคนอื่น และคนๆนั้นก็ยิ้มให้ยามที่ได้เอ่ยขอโทษออกไป หัดมีความเกรงใจในคนอื่นหน่อยสิ!


“น้องวิน”


“เขยิบมาทางนี้หน่อยก็ได้”  เขาดึงให้ลูกชุบเข้ามาใกล้ขึ้น อย่างน้อยถ้าจะเซอีกก็ไม่ไปชนใครเขา อัศวินถือเป็นผู้เสียสละของวันนี้ อีกไม่กี่ป้ายก็จะลงแล้ว และเขาก็มองไปข้างหน้า ต่างกับลูกชุบที่เอาแต่ก้ม


เราลงรถและต่อรถไฟฟ้าอย่างที่ทำกันปกติ คงไม่ได้เจอกันอีก 4 วัน ก็ไม่แน่ใจนักว่าลูกชุบจะไปอยู่ไหนทำอะไร อัศวินผู้ปากหนักไม่แน่ใจว่าควรจะถามออกไปไหม แต่ในที่สุดก็คิดว่าควรจะพูดอะไรออกไป เพราะลูกชุบเงียบเกินไปแล้ว เขาไม่ชินเอาเสียเลย


“พรุ่งนี้ก็มาทำที่นี่หรือเปล่า”


“ไม่อ่ะ พรุ่งนี้ไม่มีงาน”


“เหมือนกันเลย กว่าจะมีก็วันศุกร์”  งานของเขาที่สาขานี้คือทำทั้งเดือน แต่ทำแค่สัปดาห์ละ 3 วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์


“อาทิตย์หน้าไม่มีงานแล้วอ่ะ คงต้องหาก่อน”


“อ้าว…แล้วงานขายแอปเปิ้ลล่ะ”  อัศวินคงไม่รู้ตัวว่าอยู่ๆเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เริ่มอารมณ์เสียอย่างที่บอกไม่ถูก


“หมดจ็อบแล้วอ่ะ แต่เดี๋ยวคงมีงานอื่นๆที่อื่นๆอะไรแบบนี้”  งานแบบนี้มักจะไม่อยู่ประจำที่สาขาไหนอยู่แล้ว ตามการจ้าง ถ้าสะดวกและคุ้มเงินก็ไป สำหรับลูกชุบ ตนก็ไม่ได้ทำอยู่ที่เดียว


“แล้วงานพวกนี้หาได้ยังไง”


“มันมีคนมาประกาศหาเรื่อยๆอ่ะ แล้วก็มีพี่ที่ทำบริษัทรับจัดอีเวนท์ที่รู้จักกันมาชวน น้องวินอยากทำด้วยเหรอ”  เปล่า เขาไม่อยากทำ แค่อยากรู้ แต่จะรู้ไปทำไม


“…”


“อา เดี๋ยววันนี้ต้องลงสถานีถัดไปแล้วแหละ แวะไปทำธุระหน่อยอ่ะ”  อะไร…ยังไม่ถึงสถานีที่ขึ้นลงประจำเลย ทำไมวันนี้ลงเร็วนักล่ะ “ถ้าโชคดีคงได้เจอกันอีกนะ”  แต่งานพวกนี้มันไปเร็วมาเร็วแบบนี้แหละ จะไปคาดหวังอะไรมาก มิตรภาพ 3 วันนี่ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ว่าแต่ลูกชุบนี่…เย็นชากว่าที่เขาคิดไว้อีก


“อืม ก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะกัน”


“เอาไว้เจอกันนะ”  เจอกัน…เจอยังไง คิดว่ามันง่ายนักเหรอที่จะเจอเขาน่ะ ลูกชุบช่างไม่รู้อะไรเสียแล้ว หรือไม่เคยอยากรู้กันแน่ แหงล่ะสิ อีกฝ่ายทำงานแบบนี้ พบเจอคนมาก็มากหน้าหลายตา ย่อมไม่เคยคาดหวังที่จะเจอใครซ้ำๆอยู่แล้ว ที่พูดมาล้วนเป็นมารยาท แล้วที่ผ่านมาน่ารำคาญถึง 3 วันนั่น มันอะไรกันเหรอ?


เขาถูกปั่นหัวอยู่หรือไง!


“อ๊ะ เดี๋ยวต้องลงแล้วล่ะ”


“อืม”


“ตั้งใจทำงานมากๆนะน้องวิน”  และโดยไม่ทันตั้งตัว คนที่ตัวเล็กกว่าก็เขย่งปลายเท้าตนขึ้นมาและเอามือลูบหัวของเขา ไม่ใช่ว่าอัศวินไม่เคยโดนลูบหัว แต่ไม่เคยถูกจู่โจมโดยคนนอกมาก่อน “บ้ายบาย”  รอยยิ้มสดใสแต่แววตาเศร้านั้นดูเปล่งประกายจนยากจะลบเลือนออกจากความคิดของเขา ก่อนที่ประตูจะปิดลง ร่างนั้นก็ได้หายไปแล้ว


เหมือนกับสติของเขาที่หายไปด้วย…


“บ้าเอ้ย”  นี่มันอะไรกันอัศวิน ทำไมอยู่ๆถึงไม่เป็นตัวเองได้ขนาดนี้ เกิดมาก็ 18  ปีแล้ว เขาไม่รู้สึกหนักใจกับความหงุดหงิดแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ


“กลับมาแล้วเหรอน้องวิน”  เขาชะงักเมื่อเห็นว่าเจนเดินมาหากัน ทั้งๆที่ปกติต้องเข้าไปออดอ้อนหรืออยากจะเล่นด้วย แต่นี่ไม่เลย ไม่อยากจะพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว


“ผมเหนื่อย ขอขึ้นไปนอนเลยได้เปล่า”  แต่จะทำให้เจนเห็นไม่ได้ว่าเขากำลังหงุดหงิดอยู่ เจนเพียงแค่พยักหน้าและมองกันนิดหน่อย อัศวินรีบหนีขึ้นไปอยู่ในพื้นที่ของเขาก่อนที่เจนจะจับได้ ให้ตายเหอะ นี่ไม่เคยเป็นเด็กแบบนี้มาก่อน เจนจะน้อยใจไหม เจนจะเข้าใจหรือเปล่า นี่มันความผิดใครกันนี่ เพราะลูกชุบของเจนแท้ๆเลย!


และวันหยุดปิดเทอมที่ได้นอนอย่างเต็มอิ่มก็ดูว่างเปล่า ทั้งๆที่ทำงานไปแค่ 3 วัน กลับสร้างช่องว่างประหลาดให้กันได้ ยกยอดความดีไปที่ลูกชุบเลยได้ไหม ส่วนหนึ่งเขาคิดว่าที่มันแปลกๆก็เพราะคิดได้ว่าคนเราเข้ามาเพื่อจากไปง่ายๆแบบนั้นจริงๆเหรอ อัศวินคงเด็กเกินไปจริงๆ เขาเด็กจนไม่รู้เรื่องอะไร ใน 3 วันนี้มันก็เพียงพอแล้วให้พิสูจน์ความอ่อนด้อยของตัวเอง ทั้งเรื่องงาน และเรื่องความสัมพันธ์ต่อบุคคล


เดี๋ยวพรุ่งนี้ มะรืนนี้คงเลิกคิดถึงไปเอง ทีลูกชุบเองก็ยังจากกันมาง่ายๆเลย เขาที่ดูเย็นชากว่าย่อมปล่อยวางได้ง่ายดาย แต่ที่ผ่านมามันน่าประหลาดนัก อัศวินไม่เคยมีโมเมนท์นอนกลิ้งไปมาบนเตียงเพียงเพื่อคิดถึงท่าทีการจากลาอย่างเป็นทางการที่ไม่ดูเป็นทางการแบบนั้นมาก่อนเลยจริงๆ


มันคงไม่มีเรื่องบังเอิญให้เรากลับมาทำงานร่วมกันหรอก คุณป๋าคงให้เขาทำงานที่นี่แค่ในตอนนี้เท่านั้น และหลังจากนั้นคิดว่าเขาจะวนเวียนมาเจอง่ายๆเหรอ ไม่หรอก มันไม่มีเรื่องบังเอิญแบบนั้น หรือต่อให้ตั้งใจ ก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายนัก รู้แค่ทำงานสาธิตสินค้าให้กับหลายๆที่ ขึ้นลงรถไฟฟ้าสถานีไหน และมีรอยยิ้มแบบที่…เขาบอกว่าโง่แต่มองแล้วสบายใจ พอไม่ยิ้มบ่อยๆแบบเมื่อวาน…ก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่


“ตาหนู” 


“เข้ามาได้ครับ” เป็นนักรบที่มาเคาะประตูห้อง อัศวินรีบเด้งตัวลุก เขาไม่อยากดูแปลกๆให้พ่อเห็น และการนอนแผ่ไม่ทำอะไรนี่แหละแปลกแล้ว…ว่าแต่คุณป๋าไม่ไปทำงานเหรอ?


“เป็นเด็กมีปัญหาไปแล้วเหรอ เจนเครียดมากเลย น้องไม่ลงไปกินข้าวด้วยตอนเช้า”  อา… เพราะเจนไม่แน่ใจว่าน้องโกรธหรือเปล่าเลยไม่กล้ามาเจอ งานนี้ก็เลยดันหลังคุณรบขึ้นมารับมือ น้องโตช้าไปไหมสำหรับการมีปัญหาวัยรุ่น แต่ตอนนี้ก็มีปัญหาจริงๆ


“เปล่าครับ แค่อยากนอนเลยไม่ลงไป”


“วันก่อนก็มาถามเรื่องตกหลุมรัก อย่าบอกนะว่าอกหักเลยเอาแต่นอน ไม่กินข้าวปลา”  นักรบตั้งใจจะพูดเล่น เขายิ้มออกมา แต่อยู่ๆก็ต้องหุบฉับ เพราะสีหน้าตกใจของอัศวินนั้นทำให้เขาไปไม่เป็น


“ผมเปล่าอกหัก!”  เจ้าตัวจึงรีบแก้ตัว


“แปลกๆนะ เล่าให้คุณป๋าฟังได้ไหม”


“...”


“ไว้ใจคุณป๋าเปล่า”  ไอ้ไว้ใจนะไว้ใจ แต่ไม่แน่ใจ…


ว่าคุณป๋านะเหรอจะให้คำปรึกษาด้านนี้ได้ดี??


แต่เมื่อเทียบกับอาเพชรแล้ว คุณป๋าถือว่าเก็บความลับได้ เมื่อเทียบกับเจน ก็ถือว่าขี้ตกใจน้อยกว่า ถ้าเจนรู้ว่าเขากำลังหงุดหงิดลูกชุบ เจนนั่นแหละที่จะต้องคิดมากกว่าใคร คนกลางที่เอ็นดูคนนั้นและรักคนนี้อย่างเจนจึงไม่ควรทราบเรื่องที่สุด อัศวินนั้นกลืนน้ำลายเอือก เขาไม่อยากเล่านัก แต่ก็คิดว่าถ้าไม่เล่าก็คงแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ อย่างว่า…ช่วงนี้ค้นพบว่าตนเองอ่อนด้อยนัก แม้ไม่แน่ใจว่าพ่อจะช่วยได้ แต่ก็อาจจะทำได้ดีกว่า


“ลูกชุบ…” ในที่สุดก็มีหนึ่งคำหลุดออกมาจากปาก


“เด็กคนนั้นทำไมเหรอ” นักรบก็พอจะรู้จักอยู่หรอก เขาให้เพชรไปแอบดู เพราะคนๆเดียวที่ได้ใกล้ชิดกับคนสำคัญของเขาทั้งคู่ มันก็จะน่าสนใจหน่อยๆ แต่เท่าที่ฟังรายงานมา ก็ไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องกังวลนี่ ว่าแต่มีอะไรกันเหรอ?


“ผมจะไม่ได้เจอลูกชุบอีก” น้องวินก็ดูสับสนในตัวเองไม่น้อย “เขาเองก็ไม่ได้ดูจะอยากเจอกันเป็นพิเศษ ซึ่งมันก็ปกตินะ ก็โอเคอ่ะ”  แต่คนฟังรู้ใช่ไหม…


ว่ามันไม่มีอะไรที่โอเคสักอย่าง!


“…”


“…”


“คือผมว่าเขาเป็นคนแปลกๆอ่ะ ทำเหมือนมาสนใจกัน มาดูแลกัน แล้วจะไปก็ไป”


“เขาไม่ได้ให้เบอร์ติดต่อไว้เลยเหรอ?”


“ไม่อ่ะ”  และน้องวินก็ไม่คิดจะขอด้วย


“รู้ใช่ไหม ว่าที่เขามายุ่งกับเราเพราะเจนไปขอให้เขาช่วยดูแล”  จริงๆก็พอรู้ แต่คุณป๋าตอกย้ำ  “และงานของเขาก็จบแล้วด้วย เจนไม่ได้ให้อะไรนอกจากคุ้กกี้ ที่เขาทำให้เรานั่นมันก็พึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเจนกับเขา ไม่ใช่เขากับเราเลยนะ”


“เข้าใจแล้วครับ”  ว่าอัศวินไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร


“สรุปคือชอบเขา”


“ไม่ได้ชอบ”


“งั้นเกลียด”


“ไม่ได้เกลียด”


“งั้นเฉยๆ”


“…”  มันก็ไม่เฉยนะ แล้วมันเป็นยังไงกันล่ะ


“อ้าว อัศวิน รู้สึกยังไงก็ไม่รู้ตัวเหรอ แล้วคุณป๋าจะรู้แทนไหม”  อย่ากดดันนักสิ นี่ลูกนะ ไม่ใช่ลูกน้อง!


“ก็แค่สนใจ”  มันคงเป็นอะไรประมาณนี้


“อืม”


“คือ…ลูกชุบมีทักษะที่ดี เห็นแล้วก็สนใจ แต่ไม่ได้ชอบ เกลียด หรือเฉยๆ คุณป๋าเข้าใจไหม”  ทำไม่ยิ่งพูดเหมือนยิ่งรู้สึกแก้ตัวนะ ไม่คุยกับคุณป๋าแล้ว!


“เข้าใจแล้วครับ”  แล้วทำไมต้องทำตาแบบนั้นด้วย “เข้าใจว่า เรามีความสนใจในตัวลูกชุบในด้านความเป็นโปรทางการทำงาน”  ใช่ ๆ แบบนั้นแหละ


“อืม แบบแค่ยังดูดข้อมูลไม่หมดเลยหงุดหงิดนิดหน่อย”  นี่คือนิดหน่อยนะ เด็กเอ้ยเด็กน้อย คิดจะหลอกใครก็หลอกไปเหอะ แต่หลอกพ่อตัวเองนะ….ยังเร็วไป 20 ปี!


“ถ้างั้นเข้ามาที่บริษัทคงตื่นตาตื่นใจ มีคนมากมายเก่งกว่าลูกชุบเยอะ”  แต่ในความเป็นจริงคืออัศวินเคยพบเจอคนเหล่านั้นมาแล้วและไม่เคยตื่นเต้นตกใจจนเสียจริตขนาดนี้ โอเค ทุกเหตุผลถูกตีแตกหมดแล้ว


“ก็…สนใจลูกชุบจริง แต่สนใจเพราะอะไรนั้นมันก็บอกไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามันเป็นความลับ แต่แค่ไม่แน่ใจ!” ในที่สุดก็ยอมรับออกมา ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะได้ชื่อว่าลูกชายของนักรบ ปากแข็งกับใครได้ทั้งโลก แต่ต้องยกเว้นพ่อเขาไว้คน และนักรบก็เหมือนจะมีประสบการณ์คล้ายคลึงมาก่อน เขาพอจะบอกได้ว่าควรทำไง


“ยังอยากทำงานกับลูกชุบไหม?”


“ครับ?”


“น้องวินยังอยากทำงานกับลูกชุบไหม?”  นักรบยังคงถามคำเดิม จริงๆลูกชุบไม่มีงานแล้ว และไม่มีช่องทางติดต่อ แต่ทั้งนี้เขารู้ว่าถ้าได้ชื่อว่าถึงมือของคุณป๋าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ว่าแต่เขาจะให้มันเป็นไปยังไงล่ะ ความสนใจนี่มันควรจะหยุดแค่นี้เหมือนการละเล่นเด็กๆไหม หรือยังไง…เขาควรจะสนใจลูกชุบต่อไปไหม??


“รบกวนคุณป๋าด้วยครับ”  และในที่สุดก็ได้ตัดสินใจที่จะเดินต่อ นั่นทำให้คุณป๋ายิ้มกว้าง ถ้าอะไรที่มันค้างคาต่อให้เราไม่เห็นอนาคตของมันแต่ก็ขอให้ได้ไปจนสุดทาง นักรบขยี้ผมลูกชายที่ยุ่งอยู่แล้วให้ยุ่งกว่าเดิม ทำอย่างนี้ช่างไม่สมกับเป็นอัศวิน รัตนสกุล แต่แบบไหนล่ะที่สมกับเป็นเขา? คนที่ประสบความสำเร็จตามแบบพ่อ หรือแบบตัวเอง ใครที่จะเป็นคนเลือกกัน?


“รอรับข้อความจากคุณป๋านะครับ”  และนักรบจะไปจัดการมาให้ในแบบที่เขาเห็นสมควร เขาอาจจะดูสปอยล์ลูก แต่เชื่อสิ มันจะไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เขาอาจจะเป็นพ่อ แต่ไม่อาจจะไปกำหนดเส้นทางพรหมลิขิตให้กับใครได้ ดังนั้นต้องเป็นอัศวินที่จะต้องเดินต่อไปเอง เขาจะแค่ชี้ทาง แต่สร้างสะพาน…


ต้องเป็นตัวเองทำเท่านั้น


ลูกชุบในวันนี้ดูว่างเปล่ากว่าทุกวัน ทั้งๆที่เตรียมใจไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ แต่พอตื่นมาอย่างไร้จุดหมาย มันก็ยากจะข่มตาต่อไป หลังจากที่พลิกตัวไปมาได้สองสามครั้ง ก็พบว่านี่ยังเช้าเกินกว่าที่ใครๆในบ้านจะตื่น หรือว่าลูกชุบควรจะออกไปจากบ้านเสียแต่ตอนนี้ แล้วจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ตรงไหนก็ดูจะเสียเงินทั้งนั้นเลย


ด้วยความจำเป็นบางอย่าง เด็กหนุ่มจำต้องหาเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค่าแรงที่ทำมาคงโอนราวๆสัปดาห์หน้า ตอนนี้ก็ต้องประหยัดกันหน่อย หลังจากลุกลงจากเตียง ก็แอบดูลาดเลาข้างนอกว่าเป็นเช่นไร เมื่อเห็นทางสะดวกจึงรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกจากบ้าน จะไม่มีการนั่งรถไฟฟ้าอีกเพราะมันสิ้นเปลือง ในวันที่ไม่รีบร้อนก็มักจะนั่งรถเมล์แบบนี้แหละ


จุดหมายปลายทางในวันนี้คือห้องสมุดแห่งหนึ่ง ลูกชุบชอบมาอาศัยนั่งที่นี่เพราะไม่มีที่ให้ไป ต่อให้ง่วงอยากนอนต่อแค่ไหนก็ต้องอดทน คนตัวเล็กค่อยๆปิดประตูเบาๆ มองบ้านหลังนี้ที่เคยอบอุ่นด้วยสายตาอมทุกข์ ก่อนจะรีบสะบัดหัวไล่ความคิดเสียดายต่างๆออกไปให้เร็วที่สุดและออกเดินทาง


เมื่อวานนี้ก็เอาแต่หางาน แต่เหมือนจะไม่มีงานอะไรในช่วงนี้ที่ทำได้เลย จริงๆลูกชุบสามารถหางานพาร์ทไทม์ตามร้านอาหารในห้างได้ แต่ที่ไม่ทำเพราะรายได้แบบนี้ได้ดีและมีให้ทำตลอดแม้เปิดเทอม เรื่องเวลาก็จัดสรรค์ได้ง่ายกว่าจึงทำมาตลอด ทว่าช่วงนี้มันซบเซาเลยออกจะว่างๆนิดหน่อย


เมื่อมาถึงห้องสมุด ตนก็หยิบสมุดขึ้นมาทำบัญชีรายรับรายจ่าย เคร่งเครียดไปกับสถานการณ์ปัจจุบันนิดหน่อย ในหัวก็พลันคิดไปถึงเด็กคนนึงที่เพิ่งได้รู้จักแต่จากกันแล้ว น้องวินที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกับพี่เจนคนนั้นนั่นเอง…ลูกชุบอาจจะดูเด็กกว่าวัย แต่ไม่เคยเจอใครที่ดูโตกว่าวัยแบบนั้นมาก่อนเหมือนกัน เขาตัวสูง เสียงทุ้ม ใบหน้าเคร่งขรึม เราเหมือนอยู่คนละโลกแม้จะยืนห่างกันระยะไม้บรรทัดวัดก็ตาม


“น้องวิน”  ป่านนี้จะตื่นยังนะ ลูกชุบไม่ได้ขอเบอร์ไว้เพราะเขาก็ไม่ได้จะดูเหมือนอยากรู้จักอะไรกันอยู่แล้ว เมื่อวานก็ไม่ค่อยได้ยิ้มให้เพราะมีปัญหาที่บ้าน ไม่รู้เขาจะสังเกตไหม คงไม่หรอก อัศวินคงพยายามอยู่แต่กับงานของเขาจนไม่สนใจอะไร แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ ว่าภาพของเขามันติดตา


เด็กคนนั้นดูไม่เหมือนคนในชีวิตจริง อาจจะเพราะรอบตัวของลูกชุบไม่มีใครเหมือนเขาเลย น้องวินจึงดูพิเศษขึ้นมาทันตา ท่าทางหยิ่งๆของเขาอาจจะทำให้คนไม่ชอบได้ แต่ไม่รู้ทำไม ไม่มีสักครั้งที่จะนึกโกรธเกลียดได้ลง อาจจะเพราะความพยายามที่เห็นได้ชัดนั้นมันน่าเอ็นดู


ซึ่งเป็นคำเรียกที่ขัดกับภาพของเด็กผู้ชายตัวสูงดูเคร่งขรึมไปมาก แต่ลูกชุบมองน้องวินว่าน่าเอ็นดูจริงๆ แต่เราก็จากกันแล้ว และคงเหมือนคนอื่นๆที่ไม่ได้เจอกันอีก นี่ไม่ใช่งานแรก และลูกชุบไม่ถลำลึกกับใครเพราะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกหรอก  น่าเสียดาย แต่เป็นเรื่องปกติมากๆ ทว่าในระหว่างที่คิดไปเรื่อยเปื่อย โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเบอร์แปลกที่ไม่เคยเมมไว้


“สวัสดีครับ”  อาจจะเป็นคนโทรมาจ้างงานก็ได้ เพราะงั้นต้องตอบดีๆแบบกลางๆไว้ก่อน


“…”


“สวัสดีครับ?”  ทำไมไม่พูดล่ะ พูดสิ กำลังอยากได้งานเลย


“นี่ผมเองนะ”  ในที่สุดปลายสายก็พูดออกมา แต่มันทำให้ลูกชุบมึนงง “วินเอง”  แต่แล้วก็ร้องอ๋อขึ้นมาในใจ แต่เดี๋ยวนะ…มันใช่เหรอ??


นี่น้องวินจริงๆเหรอ???


“น้องวิน”  เขาเอาเบอร์มาจากไหน แล้วทำไมหัวใจต้องเต้นแรงถึงเพียงนี้ด้วย


“เผอิญว่าได้งานเป็นอีเวนท์ยาวที่ห้างแถวชิดลม”


“อา…”


“เขาหาสองคนน่ะก็เลยลองโทรมาชวนดู”  แต่ประเด็นคือเบอร์นี้เอามาจากไหน “ขอเบอร์จาก..พี่เจนมา”  และอีกฝ่ายก็เฉลยมาให้แบบไม่ต้องรอให้สงสัยไปมาก และคนที่จิตใจห่อเหี่ยวก็เผยรอยยิ้มกว้างที่ปลายสายคงไม่รู้เพราะมัวแต่สนใจบทพูดอยู่ ไม่รู้ว่าที่ลูกชุบยิ้มได้ขนาดนี้เพราะงาน…หรือเพราะน้องวิน


“งานเริ่มเมื่อไหร่เหรอ”


“มะรืนนี้”


“น้องวินก็ไปใช่ไหม”


“ถ้าไม่ไปจะโทรมาชวนเหรอ”  นั่นสินะ แต่ลูกชุบก็แค่อยากจะย้ำอีกครั้งเอง เพราะอยากเจอมาก อยากเจอจริงๆ แล้วเราจะได้เจอกันใช่ไหม


เราจะได้อยู่อีเวนท์ยาวด้วยกันจริงๆใช่ไหม??


“จะมาไหม”


“มาสิ”  เสียงของลูกชุบสั่นเครือโดยไม่ทราบเหตุผล อาจจะเพราะโอกาสที่ได้รับนั้นมันมาในเวลาที่ต้องการ โดยคนที่…ใช่ด้วยจริงๆ


“ต้องมาให้ได้นะ”


“อืม”


“งั้นขอไลน์ไอดีไว้ได้ไหม”  ในที่สุดคำที่พูดยากสุดก็ได้พูดออกไป “จะเอาไว้ส่งรายละเอียดให้น่ะ” แต่ก็รีบอธิบายต่อเพื่อไม่ให้คิดไปไกล ไม่รู้ว่าที่คิดไกลนั่นคือฝ่ายไหนกันแน่เหมือนกัน


“เบอร์นี่แหละ”


“อืม”


“ของน้องวินก็เบอร์นี้ใช่ไหม”


“เมมไว้เลยนะ”  เขาสั่งทับ ลูกชุบพยักหน้าแม้อีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม


การพูดคุยที่เหมือนจะยาวนานได้สิ้นสุดลงแล้วในตอนนี้ ลูกชุบคงไม่รู้ว่าอัศวินต้องรวบรวมความกล้าขนาดไหนที่จะโทรหา คุณป๋าไม่อ่อนโยนจริงๆ เขาได้โทรไปคุยกับผู้ดูแลงานนี้ที่บริษัทด้วยตัวเองเพื่อหาตำแหน่งว่างให้กับเขา โชคดีที่จะมีจัดอีเวนท์ส่งเสริมการขายที่ซุปเปอร์ย่านชิดลมเป็นเวลา 2สัปดาห์ติด


จริงๆทำมาให้ขนาดนี้ก็ควรจะทำให้เสร็จ แต่ไม่ กฎก็คือกฎ และคุณป๋าไม่เคยอ่อนโยนกับใครจริงๆ และสิ่งที่อัศวินได้รับตอนที่คุณป๋าส่งข้อความมา ก็คือข้อมูลตำแหน่งงานว่าง และเบอร์โทรของผู้ร่วมงานที่ยังไม่ทราบเรื่องอะไร


เขาลังเลไม่น้อยที่จะโทรไปบอกเพราะมันจะดูแปลกๆไปไหมที่ทำแบบนี้ แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็คิดว่าเจ้าของรอยยิ้มโง่ๆคงไม่คิดอะไรเขาก็เลยโทรไป แต่แค่ประโยคสั้นๆ จะเอ่ยออกไปมันก็ไม่ง่ายดายเอาเสียเลย เขารู้สึกเหมือนใช้พลังงานไปมากกับเหตุการณ์นี้


“…”  แต่ลูกชุบก็ได้ตกลงแล้ว


เราไม่รู้หรอกว่ารักจะมาเมื่อไหร่…


“…”  เหมือนที่นักรบและเจนรักษ์เคยประสบ และอัศวินอายุยังน้อย ไม่รู้ตัวก็ไม่แปลก แต่น้องไม่ได้อยู่คนเดียวและคิดเองคนเดียว ทำไม… นี่อัศวิน ลูกของนักรบนะ มีอะไรที่มันยากเกินไปด้วยหรือ? ไม่มีหรอก


ต่อให้มันมี…ก็จะลองทำให้มันไม่มีดูให้ได้!


TALK
น้องวินนี่ลูกใครทำไมเป็นเด็กแบบนี้555
รู้สึกเหมือนมาลงน้องวินช้าเลย จริงๆสัปดาห์ที่ผ่านมาเรายุ่งด้วย
และช่วงนี้ยังเป็นช่วงที่ทุ่มเทให้กับ #อาทิตย์ศศิ
แต่จะพยายามมาเรื่อยๆนะคะ อย่าเพิ่งลืมตาหนูกันนะ
#เจนไม่นก #ลูกชุบของอัศวิน
@reallyuri




ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ cirrus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เอ็นดูหนูลูกกบ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
น้องวินมีอะไรให้บอกป๊ะป๋า ป๊ะป๋าช่วยได้ o13 ป่านนี้พี่เจนจะหายเครียดรึยัง55555

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
ลูกชุบของอัศวิน 4


อัศวินกำลังทำเรื่องที่แปลกที่สุดในโลก…


เขาไม่เคยมีปัญหากับการตื่นเช้า แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะดูว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวไหนในตู้ที่ดีที่สุด เลือกน้ำหอมที่คิดว่ากลิ่นจะไม่ฉุนแต่มันให้ลักษณะเฉพาะตัว แม้แต่เรื่องผมก็ไม่เคยสนใจอยากจะเซ็ต ทว่าวันนี้เขาทำทั้งหมด แถมยังส่องกระจกตรวจความเรียบร้อยและฝึกทำหน้าทำตาต่างๆด้วย


บ้าไปแล้ว เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!


และจบลงด้วยการมาเร็วกว่าเวลาปกติไปครึ่งชั่วโมง ต้องการเวลาแค่ไหนเพื่อสงบสติอารมณ์กัน อยากทำงานขนาดนั้นเลยเหรอ สุดท้ายจากความตื่นเต้น ก็มายืนรออยู่ไม่ไกลจากจุดนัดพบด้วยจิตตกๆนิดๆ ยังไม่ทันได้ทำงาน ก็เครียดขนาดนี้แล้ว แล้วนี่อีก 2 อาทิตย์เลยนะที่ต้องอยู่ด้วยกัน


มาคิดดู เรื่องที่เขาโทรไปหาลูกชุบด้วยตัวเองก็บ้ามาก แค่คุณป๋าบอกว่าต้องเป็นเขาโทรไปชวนเท่านั้น อัศวินก็ทำแล้ว ใจง่ายเหลือเกิน แล้วดูเจ้าตัวดีสิ รับโทรศัพท์เสียงใสแบบนั้น มันทำให้เขายิ้มเหมือนคนบ้าออกมา ชักจะมีอิทธิพลมากเกินไปแล้ว อะไรที่ปรามาสคุณป๋าไว้ วันนี้แทบจะเป็นเองทั้งหมด!


“น้องวิน”  อย่ามาเรียกน้อง และอย่าเรียกกันเสียงดังแบบนั้น ขอร้อง!


ในที่สุดลูกชุบก็มา ก่อนเวลานัด 15 นาที พอตระหนักได้ถึงตรงนี้ หัวใจของเขาก็เต้นระรัว อย่างน้อยก็ไม่ใช่เขาที่บ้าไปเองคนเดียวละมั้ง ไม่สิ ลูกชุบอาจจะแค่ออกเช้าเพราะกะเวลาไม่ทันเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นเลย เราสองคนก็แค่กะเวลาออก ‘ไม่ทัน’ เท่านั้น


ต่อจากนี้เราต้องเจอหน้ากันติดๆไปอีก 2 อาทิตย์ ดูไม่ออกแล้วว่านี่เป็นผลประโยชน์ของ ลูกชุบ ของรัตนสกุล หรือของเขากันแน่ ในขณะที่บรีฟงาน ก็เหลือบมองอีกฝ่ายเป็นระยะ แม้กระทั่งเริ่มทำงาน ก็ยังแอบมองอีก อา…นี่มันบ้าบอเกินไปแล้วจริงๆด้วย


“พี่ชุบดีใจมากๆเลยที่น้องวินโทรหา”  แล้วเมื่อกำลังสูดเส้นก๋วยเตี๋ยว เจ้าตัวดีก็พูดขึ้นมาทำเอาสำลัก


“แค่กๆ”  ไม่รู้ว่าที่หน้าแดงอยู่นี่เพราะปัญหาทางการสำลัก หรือเขินกันแน่


“โอ๋ๆ กินเป็นเด็กๆเลยนะ”  หุบปากไปซะ!


แต่ลูกชุบคิดเช่นนั้นจริงๆ หากไม่ได้น้องวินโทรมา วันนี้ก็ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะไปอยู่ตรงไหน ทำอะไรอยู่ กลายเป็นคนไฮเปอร์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันก็ไม่แน่ใจ แต่การได้ออกมาทำงานคือความรู้สึกสบายใจจริงๆ เรายังไม่ค่อยสนิทสนมกันหรอก เวลา 3-4 วันมันน้อยมากที่จะเชื่อใจหรือสนิทกับใครบางคนจริงๆ แต่ลูกชุบกลายเป็นตัวเลือกที่อัศวินโทรหา มันเป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ


ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่ก่อตัวเป็นพิเศษนี่ มันเป็นไปในมุมมองไหนกัน?


เราทำงานด้วยกันได้ดี คนหนึ่งรูปหล่อ อีกคนดูน่าเอ็นดู ลักษณะภายนอกที่ดูต้องห้ามแต่ดูน่าเข้าหาต่างดึงดูดให้คนสนใจ และตามมาสนใจโปรดักส์ที่เรานำเสนอร่วมกัน แค่เพียงวันแรกสินค้าก็เกือบหมดสตอคแล้ว โชคดีที่ช่วงบ่ายทางทีมงานได้จัดการนำมาเติมให้เพิ่มได้ทัน


และจากชิดลม เราก็กลับบ้านด้วยกันในตอนเย็น เพราะเป็นวันธรรมดา มันก็จะเบียดๆกันหน่อย ยิ่งสายสุขุมวิทขาออกไปทางสำโรงในตอนเย็นคนยิ่งแน่น ลูกชุบเองก็ไม่ได้อยากอยู่ใกล้อัศวินถึงเพียงนี้ แต่เพราะเจ้าตัวอยู่ใกล้ราวจับเลยคว้าไว้ได้ ส่วนรุ่นพี่ที่ตัวเล็กกว่า ก็ทำได้แค่คว้าเสื้อของอีกคนไว้ตามการอนุญาตของใบหน้านิ่งๆนั่น


“...”


“...”


“วันนี้ลงทองหล่ออีกหรือเปล่า”


“อืม”  ก็บ้านผ่านทางนั้น  อัศวินคิดไปว่าคงอยู่แถวเพชรบุรีหรืออะไรแบบนี้ แต่ไม่ใช่หรอก มันอยู่ในซอยซึ่งคั่นระหว่างทองหล่อกับเอกมัยต่างหาก แต่เขาไม่ได้พูดออกไป ค่าที่ดินสมัยนี้แพงแค่ไหนเขารู้ แต่รัตนสกุลครอบครองมันมาเกือบจะ 100 ปีแล้วมั้ง


“ดีจัง ทองหล่อมีแต่อาหารกับขนมอร่อยๆ”


“เหรอ…ไม่ค่อยได้กินอ่ะ”


“ได้ไง!”


“กินแต่ข้าวบ้าน”  ก็เพราะอยู่แต่บ้านไงเลยไม่ค่อยได้ออกมากิน อย่างดีก็ซื้อเข้าไปกินบ้าง แต่นั่นเจนหรือคนอื่นๆซื้อ อัศวินไม่ซื้อ นอนรอกินอย่างเดียว


“บุฟเฟต์หมูเกาหลีตรงนั้นอร่อยมากเลยนะ พี่ชุบชอบไปกินกับเพื่อนบ่อยๆ”


“...”


“ว่าแล้วก็อยากกินล่ะสิ”  และคนที่บ่นพึมพำกับตัวเองก็หยิบมือถือขึ้นมากะว่าจะโพสต์ถามเพื่อน เขาไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกชุบนะ แต่เรายืนใกล้กัน แล้วลูกชุบตัวเล็กกว่าไง มันเลยเป็นระยะที่มองเห็นได้…ชัดเจนพอดิบพอดี


“งั้นไปกินกันไหม”


“หืม…”  ลูกชุบยังพิมพ์ไม่จบเลย


“อยากลองเหมือนกัน”  ก็ไม่รู้สินะว่าอยากลองกินบุฟเฟต์แบบนั้นสักครั้ง หรือแค่อยากลองกินมื้อเย็นกับใครมากกว่า


และนั่นคือจุดเริ่มต้นอันแปลกประหลาดระว่างเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายกับมหาวิทยาลัย จากมื้อแรก ก็มีมื้อที่สอง และมันน่าประหลาดที่กินติดๆกันได้ทุกวัน! ถ้าลูกชุบไม่ชวน ก็เป็นเขาเองนี่แหละ ทุกวันอัศวินจะกลับบ้านไปทำการบ้านว่าด้วยเรื่องของสถานที่กินเที่ยวย่านสุขุมวิท บางอันมันก็ไม่ได้อร่อยเลย แต่เพียงแค่คิดว่าล่อลูกชุบได้ ก็ยินดี


แล้วทำเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อใคร? กับเด็กน้อยที่ไม่ค่อยได้ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านอย่างอัศวิน หรือกับเด็กโตกว่าที่ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตในบ้านแบบลูกชุบ สุดท้ายแล้วมันก็เหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อคนทุกคู่ เพราะคนนึงมีรอยยิ้มระหว่างมื้อ ส่วนอีกคนก็เหมือนจะชอบมองรอยยิ้มนั้นเพลินๆ การเฝ้ารอให้วันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งกลายเป็นเรื่องที่ไม่ประหลาดอีกต่อไปแล้ว และการครุ่นคิดว่าพรุ่งนี้กลางวันกับเย็นจะกินอะไรก็เป็นเรื่องที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษ



“...”  แต่มีคนนึงที่เสียประโยชน์


“เอาน่า”


“เดี๋ยวนี้น้องทำตัวประหลาดไปมาก”  พี่เจนนั่นเอง ใช่…พี่เจนที่กำลังรอน้องกลับมากินข้าวเย็นด้วยทุกวันนี่แหละ และก็เป็นคนเดียวกับที่เอากับข้าวใส่ตู้เย็นและอุ่นให้กินในตอนเช้าแทน


“พี่บอกแล้วว่าลูกของเราต้องโต” เนียนมากี่ครั้งแล้วพ่อ ลูกของคุณรบคนเดียว ไม่ใช่ลูกของเจนสักหน่อย ไม่ได้เบ่งออกมาเองนะ เผื่อลืม


“โตแบบแปลกๆนะเดี๋ยวนี้ กลับบ้านมืดๆทุกวัน เจนเป็นห่วงมาก”  เจ้าของร่างเล็กกล่าวพลางพิงร่างของตนลงไปบนร่างของเขาที่กำลังช่วยปรับความเข้าใจ


“ดีแล้ว แต่ก่อนสิ ติดบ้านเกินไป”


“แต่เดี๋ยวนี้ก็กลับดึกบ่อยๆเกินไป!”


“โตเป็นหนุ่มช้าเลยกินเวลาหน่อย เข้าใจลูกหน่อยสิ!”  เออ ลูกก็ลูก! แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่มันต้องห่วงลูกไม่ใช่หรือไง คุณนักรบนี่อะไรกันนะ ทำไมถึงยิ้มแปลกๆและดูผ่อนคลายแปลกๆแบบนั้น


“ให้ใครตามดูลูกหรือเปล่า”


“ไม่มีใครทำอย่างนั้นหรอกครับ”


“งั้นพี่รบก็ต้องรู้อะไรมาสินะ”


“ก็นิดนึง”


“ไม่เล่าให้เจนฟังหน่อยเหรอ”


“รอน้องวินมาเล่า”  เขาจะเปิดเผยความลับของลูกได้ไง เจนรู้ องค์ลงแน่นอน เผื่อๆโลกรู้ด้วย เสียงดัง..


“แน่นะ” ถามย้ำ แต่ใบหน้าดูมีเลศนัยเสียยิ่งกว่าคนถูกถาม


“ทำอะไรน่ะเจน”


“หึหึ”  ชักจะเริ่ม…


ไม่น่าไว้วางใจแล้วสิ…


สามีภรรยาที่ดีไม่ควรมีความลับต่อกัน คือสิ่งที่เจนบอกกับเขาเมื่อวาน และเมื่อเขามาบอกลูกว่าโดนอะไร เจ้าตัวแสบที่เป็นต้นเรื่องก็แค่ขำ นักรบหรี่ตามองเจ้าลูกบ้าบอแต่เช้าอย่างไม่สบอารมณ์ มันดีจริงๆเหรอที่เขาไปยุยงส่งเสริมให้มันออกจากบ้านแบบนี้


“ขำอะไร”


“จากที่กะว่าจะเขี่ยผมออก จะได้อยู่กับเจน กลายเป็นเจนงอนออกไปอยู่ที่อื่น”  ใช่…เจนขอย้ายห้องจนกว่าน้องวินจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น!


“พ่อไม่ได้เขี่ย แต่หวังดี”  และเขาก็เป็นคนเก็บความลับเก่ง อย่างน้อยก็เก่งกว่าใครทุกคนรอบตัวของอัศวิน ทุกวันนี้ เรื่องราวแปลกประหลาดนี่เลยยังไม่มีใครรับรู้ ก็คิดดูว่าถ้าเพชรรู้ โลกรู้ไง!


“แต่ก็ขอบคุณนะครับ ช่วยได้เยอะเลย”  และอัศวินก็ยังไม่อยากให้ใครรู้จริงๆ


“...”


“ถ้าไงก็รบกวนคุณป๋าต่อไปด้วยนะครับ สวัสดีครับ”  สรุปจะไม่ไปต่อรองกับเจนให้คุณป๋าจริงๆใช่ไหมนี่เจ้าลูกคนนี้ พูดเสร็จก็เปิดประตูรถเดินลิ่วๆไปถึงไหนต่อไหน ให้ตายเหอะ!


เป็นนักรบคนเดียวสินะที่นกที่แท้จริงในเรื่องนี้!


อัศวินใช้เวลาเป็นอาทิตย์ในการทำงานเพื่ออยู่กับใครอีกคนนึงอย่างสิ้นเปลืองมาก เผลอแป็ปเดียวมันก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้ว เขานั่งรถไฟฟ้ามาที่ซุปเปอร์ในตอนเช้าอย่างอารมณ์ดี ยืนรอใครอีกคนที่คงมาถึงไม่นานต่อจากนี้ พลางคิดไปด้วยว่าจะชวนไปกินอะไร โดยที่ไม่ได้สนใจว่าช่วงเวลามันผ่านไปเรื่อยๆ โดยที่เขาไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่


แต่จริงๆต้องการอะไรจากการไปชวนลูกชุบมาทำงานด้วยกันล่ะ ตั้งแต่แรกแล้วเขาทำตามอารมณ์มาตลอด ซึ่งมันผิดต่อวิถีการใช้ชีวิตของตัวเองมาก และมันก่อให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากมาย จวบจนตอนนี้เขาก็ค้นพบความต้องการใหม่ๆอย่างไม่สิ้นสุด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกย่ำแย่ต่อตัวเอง หากในทุกวันยังตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความคาดหวังแบบนี้ จะเอาเวลาที่ไหนไปรู้สึกไม่ดีกับตัวเองอย่างนั้นล่ะ


เขายิ้มน้อยๆเมื่อเห็นลูกชุบกำลังเดินเข้ามา สุขภาพจิตของเด็กอายุ 18 ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อัศวินไม่ค่อยยิ้มพร่ำเพรื่อ เขามักยิ้มให้กับคนที่คุ้นเคย แต่ไม่ใช่กับอากาศและธรรมชาติแบบนี้ แค่เพียงเห็นลูกชุบเดินมา ริมฝีปากก็ยกขึ้นแล้ว และมันดูจะกว้างขึ้นทุกๆวัน คนตัวเล็กโบกมือให้อย่างร่าเริง และเมื่อเดินเข้ามาใกล้ขึ้น


เขาก็ได้เห็นอะไรบางอย่าง…


ไปล้มมาเหรอ? คือความคิดแรกที่เขาคิดถึงเมื่อเห็นรอยช้ำที่ศอก แต่ไม่ได้ถามอะไรเพราะเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ เราใช้เวลาร่วมกันหนึ่งวันตั้งแต่เช้าจนมืดไปตามแผนการที่วางไว้เมื่อคืนวาน และทุกอย่างก็วนกลับมาเหมือนลูปเดิมในวันใหม่ ทว่าวันนี้สลับกัน ลูกชุบเป็นฝ่ายมารอเขาก่อนในตอนเช้า


และรอยช้ำนั้นก็ดูเด่นกว่าเดิม…


“...” ลูกชุบนี่…ซุ่มซ่ามขนาดนั้นเลยเหรอ?


หน้าตาอาจจะดูเป็นอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงที่ได้รู้จัก ลูกชุบห่างใกล้จากคำว่าซุ่มซ่ามไปมาก อีกคนไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย  จะหยิบจับทำอะไรก็คล่องแคล่วไปหมด  แทบไม่เคยเห็นความผิดพลาด อัศวินรู้ได้ไงนะเหรอ ก็เป็นเขาไม่ใช่หรือไง ที่เฝ้ามองแทบจะตลอดเวลา ถึงไม่อยากยอมรับแค่ไหน แต่มันก็เป็นความจริง ลูกชุบ…คือคนที่เขามองนานกว่าใครจริงๆ


“ที่แขนไปทำอะไรมาน่ะ”  เขาว่าจะไม่ถามเลย ถ้ารอยวันนี้มันต่างจากเมื่อวาน เมื่อวานยังแค่รอยช้ำรอยเดียวที่แขน วันนี้มันมีรอยช้ำใหม่


ในจุดที่ติดๆกัน…อีกรอย


“อ๋อ ล้มน่ะ”  ส่วนหนึ่งก็คิดไว้ว่ามันอาจจะเป็นแบบนั้น และลูกชุบก็ตอบแบบนั้น แต่คนเราจะล้มซ้ำๆเพื่อได้แผลในระยะใกล้ๆกันในสองวันเลยเหรอ ลูกชุบประเมินเขาต่ำเกินไปแล้ว นี่ใครกัน! อัศวินที่มองแต่ลูกชุบไง คิดว่าจะไม่สังเกตใช่ไหม ใช่! ลูกชุบคงไม่คิด เพราะคงไม่เคยคิดหรอกว่าจะถูกมองแบบไหน เพราะขนาดตัวเขายังไม่คิดว่าตัวเองจะบ้าได้ขนาดนี้เหมือนกัน!


“...” แต่อัศวินก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ และก็ตั้งใจจะกลับมาเป็นผู้สังเกตการต่อไป


เรายังวนลูบใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ตื่นเช้ามาเจอกันเพื่อทำงาน กินข้าวกลางวันด้วยกัน ตกเย็นก็ไปลองนู่นลองนี่ที่ใครว่าดี และจากลาเพื่อมาพบกันใหม่ ก็ยอมรับว่าไม่อาจจะวางใจต่อไปได้ เพราะทุกวันนี้ยังชอบสังเกตนั่นนี่บนตัวลูกชุบเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม อีกฝ่ายดูจงใจซ่อน แต่เขาก็จงใจมองหา มันเลยมักจะเห็น


จาก 1 เพิ่มเป็น 2 และ 3 – 4 ตามลำดับ ให้ตายสิ นี่ไม่ใช่ลำดับขั้นของความสำเร็จ แต่เป็นรอยแผลของลูกชุบต่างหาก อัศวินกัดฟันกรอดที่ได้เห็นมัน อีกแล้ว ซ้ำๆ ไม่รู้จะอะไรนักหนากับตัวเล็กๆนี่ ทำไมมันขยันช้ำขยันเขียวได้ขนาดนี้ และก็ได้ค้นพบด้านใหม่ๆของตัวเองในตอนนี้ ด้านใหม่ๆที่เรียกว่าความห่วงใยปนเปไปกับความไม่ชอบใจ


“...”  และลูกชุบก็หมดข้อโต้แย้งมาสักพักกับเรื่องที่ตนมีแต่รอยแผลมาหากัน ทว่า…


ก็ไม่ได้บอกเขาว่าเพราะอะไร…


“เฮ้อ…”  แค่เพียงเสียงถอนหายใจของอัศวินก็ทำให้อีกฝ่ายน้ำตาคลอ จะแคร์กันมากไปแล้วนะ หัวใจนี่… แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ เราเป็นอะไรกันเหรอ ถึงจะต้องมาบอกทุกสิ่งว่ามันเกิดอะไรขึ้น ลูกชุบ…จะร้องไห้ออกมาแล้ว


ทว่า…


“มีอีกไหม”  อัศวินกลับเลือกที่จะไม่ถาม ไม่พูดถึง แต่แสดงออกในแบบของเขา แบบที่ว่าหยิบกล่องใส่พลาสเตอร์ยาและยาทาแก้ช้ำขึ้นมา มันทำให้ลูกชุบช้อนตามองรุ่นน้องตัวสูงนั่นเพื่ออ่านเขาอีกที นี่น้องวิน…ไม่ได้โกรธหรือระอากันอยู่ใช่ไหม? ที่เขาดูเหมือนจะซุ่มซ่ามอย่างรุนแรงและหนักเกินไปหน่อย


“น้องวิน”  อัศวินไม่ได้ส่งกล่องให้ แต่เป็นคนทายาและแปะพลาสเตอร์ด้วยตัวเอง ใบหน้าขาวๆของลูกชุบขึ้นสีระเรื่อ หัวใจก็พลันเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่อ่อนโยน มันดูไม่ใช่เขาจริงๆ แต่เขาที่เป็นแบบนี้มันดีจริงๆ ดีตรงไหน…หัวใจเต้นแรงขนาดนี้


“อ่ะนี่”  และจุดสุดท้ายที่เขาแปะให้คือรอยที่มุมปาก ต้องซุ่มซ่ามแบบไหนกันถึงได้เอาปากไปกระแทกกับอะไรแบบนั้น ถ้าอัศวินเชื่อว่าล้มจริงเขาก็บ้ามากแล้ว แต่เขายังลังเลที่จะถาม เลยเลือกไม่ถามอะไรออกไปมากกว่า การที่มาไล่ติดพลาสเตอร์ให้แบบนี้ไม่ใช่แค่ห่วง แต่อยากให้อีกคนรู้ตัวว่าเขาเห็น และคิดอย่างไร หวังว่าคนซื่อจะเข้าใจเจตนานี่สักที


และถ้าเป็นไปได้ก็เปิดปากเล่าให้ฟังก่อนที…


“ขอบคุณนะ”  เขาส่งกล่องให้ หากมันจะมีอีกก็เป็นลูกชุบเท่านั้นที่รู้ เพราะนี่ก็เยอะแล้วที่สังเกตเห็นได้ มันมากไปแล้ว และมันไม่ควรจะเพิ่มมาทุกวันแบบนี้ เขาไม่อาจจะปกป้องอีกฝ่ายได้ในสถานะของเพื่อนร่วมงานหรือรุ่นพี่รุ่นน้องแบบที่เป็นอยู่ มันน่าหงุดหงิดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ทำไมเราถึงได้รู้จักกันแสนสั้นแบบนี้


และอีกแค่ 3 วัน ก็จะหมดข้ออ้างให้อยู่ต่อไปแล้ว


“...”


“...”  และเราสองคนก็รู้จุดนี้ดี



“วันนี้ไปกินข้าวมันไก่แถวอนุกันไหม”


“อนุไหน”


“สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิน่ะ”


“ไกลไหม”


“น้องวิน…ไม่ว่างเหรอ”


“เปล่าหรอก”  ถ้าเป็นกับคนอื่นก็ไม่แน่


“...”


“แค่อยากรู้”  ว่าจุดที่เรายืนอยู่ตรงนี้ มันห่างกันไกลมากกว่าไหม


เรามากินข้าวเย็นกันที่ร้านที่ลูกชุบเลือก ปกติเราไม่เคยนั่งรถไฟฟ้ามาไกลขนาดนี้เลย นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขามาไกลถึงตรงนี้ก็เป็นได้ เขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับถนนแถวนี้ และไม่คิดว่าผู้คนจะพลุกพล่านวุ่นวายได้มากขนาดนี้เช่นกัน ต้องขอบคุณลูกชุบไหม ที่มาเปิดโลกทางการเรียนรู้กรุงเทพมหานครให้เขาขนาดนี้


“เผอิญวันนี้พี่ชุบจะค้างแถวนี้”  แล้วมันเพราะอะไรถึงต้องมาค้างแถวนี้ เขาขมวดคิ้วอีกแล้ว อัศวินไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าตัวเองหน้าดุแค่ไหน ทำหน้าแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ อย่าดุกันซี่...


“ทำไม”


“ก็…เพื่อนพี่ชุบอยู่แถวนี้”


“เพื่อน? ไว้ใจได้ไหม”  ก็ต้องไว้ใจได้สิ...คนตัวเล็กช้อนตามองเขาที่ดุเก่งกว่าใคร ใน 2 สัปดาห์ที่รู้จักกัน ลูกชุบเรียนรู้ที่จะเกรงใจอัศวินได้ขนาดนี้แล้ว มันแปลกมากๆ แปลกจริงๆ


“...”


“กินข้าวเถอะ”  อาหารมาเสิร์ฟพอดี เรียกว่าคั่นเวลาน่าหนักใจให้กันได้อย่างพอดิบพอดี ลูกชุบพยักหน้าก่อนจะจัดการทานอาหาร แต่เพราะบรรยากาศกดดันเมื่อครู่ ทำให้ไม่เจริญอาหารเท่าไหร่


และอัศวินก็สังเกตได้


“เอ๊ะ!”คนตัวเล็กร้องเสียงหลง เมื่ออัศวินเอาเลือดหมูในจานตัวเองมาใส่จานของลูกชุบ


“ให้”


“ไม่อาวววววว”  ลูกชุบก็ไม่กินนี่!


“ใจดี ผมกินอันนี้ให้”  แล้วยังมีหน้ามาขโมยแตงกว่าอีก ไม่ต้องมาแลกกันแบบนี้เลยนะ ลูกชุบกำลังจะบ่นกลับไปแล้ว แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจากใบหน้าหล่อเหลานั่น ก็ทำได้แค่ก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ ซ่อนแก้มแดงๆของตนไว้ไม่ให้ใครเห็น


หลบเก่งเป็นบ้า…อัศวินจะไม่เห็นได้ลงคอเลยเหรอ??


“หึหึ”  และแน่นอนว่าเขาเห็นและจงใจให้มันเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าเลือดพ่อมันแรงมากหรือเปล่า แต่เขาคิดว่าจับทางทำให้อีกคนหลงลืมปัญหาติดอกได้ชั่วขณะออกมาแล้ว


การหว่านเสน่ห์โดยตั้งใจทั้งที่ไม่จำเป็นนี่แหละที่ได้ผลชะงักนัก อัศวินก็ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน ทว่ามันดูเป็นธรรมชาติมากเมื่ออยู่กับลูกชุบ จะว่าเพราะลูกชุบ เลยได้แสดงตัวตนด้านแปลกๆออกมา บางทีก็สงสัยว่ามีมันอยู่แล้วหรือเปล่า แต่ปกติเขาอยู่ในโหมดประหยัดพลังงานไง เลยไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิต และต้องแบตเตอร์รี่ประเภทไหน ที่ดึงฟังก์ชั่นแฝงแบบนี้ออกมาได้ น่าตลกชะมัด…แต่ถ้าตลกแล้วมีความสุข ก็ยืนยันจะทำต่อไปเรื่อยๆ


ขอแค่ระหว่างเรามีเวลาต่อไปเรื่อยๆก็พอ


“งื้อ พี่ชุบกลับเองได้”


“จะส่ง”   เขายังยืนกราน


“มันใกล้แค่นี้เอง”


“เพราะใกล้ไงเลยไป” 


“หึ”  แปลว่าไกลๆจะไม่ไปงั้นเหรอ จะงอนแล้วนะ


“เป็นแค่ลูกชุบอย่าเถียง”


“…” 


“เวลาคนเขาเสนอตัวไปส่งก็รับๆไว้เถอะ เขาหวังดี” จริงๆนะเหรอ? “ยิ่งซุ่มซ่ามอยู่ไม่ใช่เหรอ”  เพราะแผลพวกนี้เหรอ ถึงทำให้อัศวินเป็นห่วงขนาดนี้


ลูกชุบจะคิดเข้าข้างไปเองได้ไหม…


“เห…”  แต่ยังไม่ทันได้คิดเข้าข้างตัวเองไปเลย อัศวินก็คว้ามือเล็กไปจับและฉุดให้ไปเดินข้างๆกันแล้ว


“เดี๋ยวหลง”  เหตุผลนี้ใช้กับเด็กอายุ 20 ปีได้ที่ไหนเล่า! เจ้าผู้ใหญ่อายุ 18! ลูกชุบได้แต่ค้านในใจไม่ออกเสียงออกมา ส่วนนึงก็คงจะเพราะหวั่นเกรงว่ามือใจดีนี่จะปล่อยกันไป


“...” และหัวใจของลูกชุบยังรับไม่ไหวจริงๆในตอนนี้


ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามที่ทำให้คนเย็นชาใจดีต่อกัน ลูกชุบก็ยังรู้สึกขอบคุณในสิ่งเหล่านั้นอยู่ดี เพราะในยามที่อ่อนแอสุดๆไปเลยนี่ หัวใจอาจจะต้องการ มืออุ่นที่กระชับกันนั้นให้ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ดี และแม้ว่าเราอาจจะดูแปลกๆในสายตาคนอื่น แต่อัศวินและลูกชุบไม่มีความคิดจะสนใจมันเลยเวลานี้ และถ้าแสงไฟตามข้ามทางไม่เพี้ยนจนเกินไป ใบหน้าของคนหน้าดุยังคงนิ่งสนิท


แต่ใบหูออกจะขึ้นสีให้เห็นอยู่ไม่น้อย…



“ขอบคุณน้องวินมากนะ”


“อืม”  ทั้งๆที่ก็เขินขนาดนี้แท้แต่ก็ยังยอมกันทุกอย่าง แม้สักนิดลูกชุบก็ไม่ได้ร้องขอเพราะไม่เคยคาดหวังอะไร แต่การทำให้กันเช่นนี้มันกำลังจะไปจุดประกายอะไรบางอย่างรู้ไหม…


บางอย่างที่เรียกว่าแสงแห่งความหวังอย่างไรเล่า…


นี่อัศวินทำอะไรลงไป เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เมื่อส่งลูกชุบถึงมือเพื่อนที่ลงมารับเสร็จ เขาก็ทักทาย พูดคุยกับอีกคนพอประมาณ หลังจากที่แยกมาอยู่คนเดียวก็จมกับความรู้สึกมากมายที่ประดังประเดเข้ามาหา ช่างเป็นวันที่ยาวนานจริงๆ และเป็นวันที่เขารู้สึกไปมากมาย ทั้งผิดหวัง วุ่นวายใจ ห่วงหา และตื่นเต้นดีใจ


นี่หรืออาการของคนโตเป็นหนุ่มแบบที่ใครๆเขาบอก


“บ้าไปแล้ว” คนพวกนั้นหรือตัวเองล่ะที่บ้าไปแล้ว อาจจะเป็นตัวเองก็ได้ เขาเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าทั้งๆที่ยังหน้าร้อนขนาดนี้ได้ยังไง แล้วเรี่ยวแรงของเด็กหนุ่มมันหายไปไหนหมด ทำไมกับแค่คนที่ตัวเล็กกว่าถึงทำให้เข่าอ่อนไปได้ขนาดนี้


แล้วควรเอาไงดีล่ะทีนี้?


“เฮ้อ”  ควรจะเริ่มจากการหาร้านทานข้าวร้านต่อไปสำหรับพรุ่งนี้


และมันก็กำลังจะจบลงแล้ว ปิดเทอมอันแสนสั้นและกิจกรรมที่ไม่ยาวนาน หากนั่นไม่ใช่ลูกชุบ มันก็คงจะจบไปโดยง่าย ต่างคนคงไม่คิดจะติดต่อกันอีกเพราะไร้ผลประโยชน์ หรือเขาจะชวนอีกฝ่ายมาทำงานอีกดี? แต่ถึงอย่างนั้นอัศวินก็ไม่ได้ปิดเทอมยาวนัก เป็นครั้งแรกที่คิดว่าปิดเทอมแรกของชั้นปีมันสั้นเกินไป สั้นมากจริงๆแล้วควรจะทำยังไงต่อดี จะมีใครบอกกันได้บ้างไหม?


อัศวินต้องบ้าแน่แล้ว เขาจะบอกกับคนอื่นๆยังไงถึงอาการที่เป็นอยู่ ศัตรูทางหัวใจตลอดกาลอย่างคุณป๋าก็คงช่วยไม่ได้ ในส่วนของเจนถ้าพูดให้ฟังคงฟูมฟายไปกันใหญ่ เพราะเรื่องนี้มันไม่ปกติเลย ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าอะไรเป็นอะไร และมันก็ชัดเจนขึ้นมาในตอนนี้ แต่จะให้ประกาศออกไปก็ไม่สมกับเป็นเขาเอาเสียเลย จะให้พูดอย่างไรดีล่ะ พูดออกไปตรงๆเลยได้ไหม…


เจน…คุณป๋า…
น้องคิดว่าน้องกำลัง…มีความรัก



TALK
กลัวว่าจะลืมลงตาหนูอีกก็เลยมาลง
เหล่าป้าๆน้าๆที่ติดตามเรียลลิตี้ชีวิตน้องวินมาตั้งแต่ฟันยังไม่ขึ้น
เลยเห็นฟีลเตอร์น้องในพระเอกเรื่องนี้ อ่านเมนท์ก็ตะหมูกบานที
มีแต่คนชมพระเอกของพี่ชุบว่าน่ารักไม่เกรงใจส่วนสูงพ่อให้มาเลย
น้องงอนแล้ว อ่อจะหล่อขนาดนี้ทำไมมีแต่คนชมว่าน่ารัก555
#เจนไม่นก @ reallyuri






ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
น้องวิน พูดตรงๆเลยลูกว่ามีความรัก  คุณป๋าคงไม่เท่าไหร่ พี่เจนนี่สิจะออกอาการยังไง

ลูกชุปต้องมีปัญหากับทางบ้านแน่เลย อยากให้น้องวินรู้ปัญหาลูกชุป  แววพระเอกจะได้ออกมา

เพราะตอนนี้ก็ยังมองน้องวินเป็นเด็กน้อยเหมือนเดิม เอ็นดูลูก  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ไปอธิบายแม่กบยังน้อง

ลูกกบ แม่เครียดละมั้ง

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น้องวินลูกกกกกกกกกกกกก ยิ่งอ่านยิ่งเอ็นดูน้องวิน

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ลูกชุบคือโดนคนในครอบครัวทำร้ายรึเปล่า เห็นว่ามีปัญหา น้องวินจะช่วยลูกชุบได้มั๊ย :กอด1:

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ควต้องขอแรงแม่กบเสียแล้วนะลูก
ลูกชุบไปโดนใครตบตีมาลูก ไม่เอานะหนูต้องลุกขึ้นสู้

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
หนูลูกชุบของป้าาาาาาา~ใครทำอะไรหนูรอก่อนนะลูกอัศวินขี่กบของป้าจะไปช่วยหนูแน่นอน ฮืออออ่านแล้วน้ำตาซึมเหมือนลูกชุบอยากบอกอยากเล่านะแต่ดูก็กลัวจะทำให้ลูกกบไม่สบายใจไปด้วย และคงคิดยังไม่สนิทกันมากพอกลัวอีกคนจะไม่อินไปด้วย โธ่มาให้ป้ากอดทีสิหนูลูกกกกก อัศวินคนเก่งของป้ามีความรักแล้วต่อไปขี่กบไปช่วยพี่เขานะลูก  :hao5:

ออฟไลน์ cirrus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตาหนูของป้าาาาา  น่ารักอะไรขนาดนี้!!!!!!!!
ลูกชุบคนดีใครทำหนูคะลูกกกก แม่จะไปตีตีตีตีตีตี มันให้เองงงง :m31:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ครอบครัวลูกชุบเป็นอะไร ทำไมทำร้ายกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mellowshroom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 976
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
น้องวิน ต้องช่วยลูกชุบให้ได้นะ เป็นห่วงจัง

คุณป๋า พี่เจน ช่วยน้องด้วยยยยยย

ลูกชุบสู้ๆ เกิดอะไรขึ้นก็สู้ๆน้าาาา :กอด1:

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
ลูกชุบของอัศวิน 5


แล้วเมื่อไหร่กันที่อัศวินจะบอกออกไป?
ตอนนี้ยังไม่มีกำหนดแน่ชัด


“เฮ้ออออออ”  แต่จะเปิดเทอมอยู่แล้ว จะปล่อยมือลูกชุบได้ลงคอเชียวเหรอ อัศวินดูเป็นคนตกหลุมรักอะไรง่ายๆหรือไง ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งได้กระสับกระส่ายแบบนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ แน่นอนว่าปล่อยไปไม่ได้ แต่จะให้เก็บไว้ใกล้ๆ ก็ไม่มีวิธีดีๆผุดขึ้นมาในหัวเลย


การมาเจอกันแบบที่รู้ใจแล้วกลายเป็นเรื่องยากแต่ขาดไม่ได้ขึ้นมา วันนี้เขาเป็นฝ่ายมารอลูกชุบแน่นอน ใจน่ะอยากเจอ แต่มันก็เขินตัวเองและอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก อัศวินรู้ดีว่าตัวเขานั้นก็ไม่ได้ย่ำแย่ มีคนมากมายที่สนใจเขา แต่ไม่เคยมีใครเข้าตาและได้เฉียดกลายเข้ามาใกล้หัวใจ มีแค่รุ่นพี่หัวกลมคนนั้นแหละที่เข้ามาใกล้ที่สุด ใกล้จุดกึ่งกลางของหัวใจแล้ว


เดี๋ยวลูกชุบก็คงมา เขาคิดเช่นนั้นขณะยกมือขึ้นมาดูนาฬิกา ทว่าอัศวินก็ยังคงรอต่อไปจนกระทั่งใกล้เวลาเข้างานขึ้นมาทุกที แปลก…ปกติลูกชุบไม่ใช่คนแบบนี้ เรามักจะได้มายืนคุยแถวนี้ราวๆเกือบ 10 นาทีก่อนเข้างานทุกวัน แต่วันนี้มันจะเข้างานอยู่ไม่กี่นาทีนี้แล้ว ทำไมยังไม่มาอีก เขาไม่ลังเลเลยในเมื่อมันมีเหตุผลให้โทรหา และก็พบว่า…


ไม่มีใครรับสาย…


เมื่อโทรหาอีกครั้งกลับถูกตัดสาย อัศวินพยายามทำใจให้เย็นและเชื่อว่าอีกฝ่ายคงมาสายและกำลังวิ่งอยู่จึงไม่สะดวกรับ แต่รอแล้วรอเล่า… ก็ยังไม่มีใครมา…จนกระทั่งเวลางานมันถูกเริ่มไปราวๆ 5 นาทีแล้ว เขาโทรกลับไปอีกครั้ง และก็พบว่ามือถือได้ถูกปิดลงแล้ว


แปลกมาก แปลกมากจริงๆ ในตอนนี้เขาไม่สามารถห้ามความรู้สึกตนเองได้ อากาศดีๆในยามเช้าพลันร้อนอบอ้าว เขาพยายามติดต่ออีกฝ่ายไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ผลลัพท์ยังเหมือนเดิม ตอนนั้นได้รู้แล้วว่าไม่ควรโง่ทำซ้ำและทำอย่างอื่นที่ดีกว่า เขาโทรหาพี่ที่ดูแลเราสองคนที่สาขานี้ เพื่อสอบถามว่ามีใครโทรไปลางานไหม กลายเป็นว่าฝ่ายนั้นก็เพิ่งทราบว่าลูกชุบไม่ได้มาทำงานจากเขา…


“พี่ไม่รู้จริงๆครับ คุณอัศวิน”  ปลายสายก็กระวนกระวาย ทั้งนี้การรับสายจากลูกชายประธานบริษัทในเรื่องชวนหงุดหงิดมันทำให้รับมือไม่ถูก ความหงุดหงิดนี่อาจจะครอบงำจนทำให้ทำเสียงไม่น่ารื่นหูใส่ใคร และมันอาจจะทำให้คนที่อยู่ใต้บัญชาของบิดาต้องตื่นกลัว


ในที่สุดอัศวินจึงแจ้งไปว่าตนจะไม่เข้า ให้หาคนมาแทน และขอโทษที่ทำให้ลำบาก นี่คือเหตุการณ์ที่ก่อความวุ่นวายต่อหัวใจของมากเกินไป มากเกินจะอยู่เฉยๆและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ และเขาเลือกจะทิ้งงานที่ขอมาทำและเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อไปหาลูกชุบที่ห้องของเพื่อนที่เมื่อวานได้ไปส่ง จริงๆอยากจะนั่งแท้กซี่ไป แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันไกลจากที่นี่ไหม รถติดหรือเปล่า และต้องขึ้นฝั่งไหน ปัดโธ่เอ้ย! ทำไมช่างไร้ประโยชน์เช่นนี้!


ในที่สุดเขาก็เดินย้อนทางเดิม เห็นทีถ้าได้เจอต้องต่อว่าสักหน่อยแล้ว แต่ตอนนี้ขอให้ได้เจออย่างปลอดภัยด้วยเถิด ถ้าไม่เพราะช่วงหลังๆคนตัวเล็กมีแต่แผลมาให้เห็นทุกวันล่ะก็ เขาอาจจะไม่คิดร้ายและห่วงหาขนาดนี้ แต่เพราะมันรุนแรงขึ้นทุกวันนะสิ ถึงได้เป็นห่วงและก็โกรธตัวเองมากด้วยที่สงสัยแต่ไม่มีความกล้าจะถามออกไป!


มันเกิดอะไรกับลูกชุบกันแน่?


“ครับ”  อัศวินรับโทรศัพท์ เขากำลังเดินออกจากรถไฟฟ้าและนึกย้อนความทรงจำเมื่อวานที่ได้มาที่นี่ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรดี ปลายสายก็ส่งเสียงกลับมา


“อัศวิน”  น้ำเสียงนี้ วิธีเรียกแบบนี้ เขาคิดเป็นอื่นไม่ได้เลย นี่คือคุณนักรบ รัตนสกุล ยามที่กำลังโกรธลูกชายคนเดียวของเขาอยู่


“คุณป๋า…”


“ทำอะไรของลูก และนั่นอยู่ไหน”  เขาจับกระแสเสียงได้ ไม่ใช่บ่อยครั้งที่นักรบจะเป็นเช่นนี้ แม้เราจะทะเลาะกันบ่อยแต่มันก็เล่นๆ ไม่เคยหรอกที่เขาจะโกรธกันจริงๆจังๆ แต่วันนี้มันไม่ใช่ นักรบกำลังโกรธ และมันเรื่องอะไร ตัวลูกชายก็พอจะรู้


“ผมกำลังตามหา…ลูกชุบอยู่ครับ”  ในขณะที่เท้าก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว เขาก็พยายามหาคำตอบที่เหมาะสม


“กลับมาเดี๋ยวนี้ ลูกคิดว่าลูกทำอะไรอยู่!”  ไม่มีคำว่าน้องวิน ไม่มีคำว่าตาหนู ในตอนนี้คุณป๋าโกรธจริงๆ แต่เขา…มาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปแบบคว้าน้ำเหลว


“ขอโทษครับคุณป๋า ผมจะรีบกลับไป”


“ลูกรู้ไหมว่าทำอะไรลงไป ไม่รับผิดชอบแค่ไหน ทำไมเป็นคนแบบนี้!”


“ผมเป็นห่วงลูกชุบ ถ้าเจอตัวแล้วจะรีบกลับไป”  และเขาก็อธิบายสาเหตุที่ทำให้ห่วงมาก นักรบฟังอย่างใจเย็นทั้งๆที่ยังมีอารมณ์กรุ่นโกรธ


วิธีการของอัศวินมันหุนหันพลันแล่นเกินไป ลูกชายของเขาทำให้พนักงานลำบากต้องขอโทษผู้จัดการซุปเปอร์ และยังต้องหาคนไปทำแทนอย่างกะทันหัน  ตามระเบียบแล้วมันผิดและต้องโดนแบล็คลิสต์ นี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงทำแบบนี้ลงไป เพราะเป็นลูกของประธานบริษัทงั้นเหรอ ถึงจะทำตามอำเภอใจอย่างไรก็ได้?


“แล้วลูกคิดว่าจะหาเจอ?”


“…”


“อัศวิน…ลูกได้คิดก่อนหรือเปล่าว่านี่มันอันตรายแค่ไหน”  ใช่…เขาควรจะคิด ในเมื่อคิดไปได้ว่าลูกชุบกำลังอยู่ในอันตราย แล้วเขาเป็นใครถึงจะไปช่วยได้ คุณป๋าพูดถูก แต่ก็ไม่อาจจะอยู่เฉย


“คุณป๋า…”


“ลูกคิดว่าถ้าเป็นอะไรไปจะมีคนชื่นชมงั้นหรือ ได้คิดไหมว่าเจนกับคุณป๋าและคุณย่าจะเสียใจแค่ไหน” เขาตระหนักถึงข้อนั้นดี เพราะทุกคนให้ความสำคัญกับเขาที่สุด ไม่ใช่ฐานะทายาทคนเดียวของตระกูล แต่เพราะเขาเป็นที่รัก การที่นักรบพูดแบบนั้นออกมาตรงๆ มันแทงทะลุใจคนมุทะลุจริงๆ


“…”


“แล้วนี่อยู่ไหน”


“แถวหอของเพื่อนลูกชุบครับ ผมพาเขามาส่งที่นี่เมื่อวาน”


“แน่ใจได้ไงว่าเขาอยู่ที่นี่”  การควานหาคนๆนึงแบบนี้ ก็ไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร อัศวินเอาความมั่นใจมาจากไหนนะเหรอ ไม่มีทั้งนั้นแหละ ที่เขามี…คือที่นี่ที่เดียว เพราะไม่มีที่อื่นอีกแล้วที่อยู่ในความทรงจำระหว่างกัน


“…”


“กลับบ้านเราถ้าหาไม่เจอ”


“ครับ”


“ลูกจะทำจริงๆใช่ไหม”


“ผมจะระวังตัว และถ้าหาไม่เจอ”


“….”


“จะไปรอคุณป๋าที่บ้านเราครับ”  เพราะมันไม่มีที่ไหนที่เขาไปได้อีกแล้ว อัศวินไม่อาจจะตัดใจ แต่แค่ไม่มีทางไปต่อแล้วจริงๆ เขารู้ถึงความสำคัญของตัวเองในบ้าน และก็ไม่ต้องการทำให้คนอื่นเป็นห่วงกว่านี้


บางทีเจนอาจจะไม่ทราบเรื่อง และคุณป๋าก็พูดถูกทุกอย่างว่าเขาทำตัวเสี่ยงเกินไป และทำให้ชื่อเสียงของคุณป๋าเสียหาย เด็กนี่เป็นใครมาจากไหนไปทำอย่างนั้นกับลูกน้องของคุณป๋า การทำให้คนอื่นตกอยู่ในความกลัวและกังวลมันไม่ใช่เรื่องดี และเพราะความเอาแต่ใจนี่ มันทำให้พนักงานคนนึงเกิดความเสี่ยงในหน้าที่การงานขึ้นมา เขาเอาแต่ใจมากจริงๆ


และก็คว้าน้ำเหลว เมื่อมาถึงก็ได้แต่ยืนเก้ๆกังๆ ถามยามก็แล้วแต่ไม่มีใครทราบ จริงๆคือเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนของลูกชุบชื่ออะไร การมายืนรอหน้าหอพักของคนอื่นโดยไร้จุดหมายนั้นก็ไม่ดีนัก ในที่สุดก็ยอมแพ้และทำตามสิ่งที่สัญญากับคนเป็นพ่อเสียแต่โดยดี เพราะไม่เคยเป็นเด็กเกเรและไร้ความรับผิดชอบจริงๆ ไม่ใช่แค่คุณป๋าที่ผิดหวัง แต่เขาก็ผิดหวังในตัวเองมากเช่นกัน


“กำลังกลับครับ”  เขารายงานตามความจริงไป ไร้ประโยชน์ที่จะโกหกและหาต่ออย่างไร้เงื่อนงำอื่นใดอีก


“ไม่เจอเหรอ”


“ครับ”


“กลับยังไง รถไฟฟ้าเหรอ”


“ครับ”


“เฮ้อ…”  นักรบเองเมื่อได้ยินเสียงอันสิ้นหวังนี่ก็ไม่อยากจะว่ากล่าวอะไรอีก อัศวินก็คล้ายๆกับเขา บางทีในตอนที่อายุเท่ากันก็คงจะเลือกทำอะไรเหมือนกัน นักรบเองก็พอจะรู้ว่าความรักมันทำให้เลือดร้อนได้ขนาดไหน ว่าแต่เจ้าลูกชายล่ะ รู้ตัวเองบ้างหรือยัง และถ้ารู้ตัวแล้ว… ก็หวังว่าอีกฝ่ายจะดีพอกับสิ่งที่น้องวินได้เพียรทำไป


เพราะมันยากจะมองหน้าลูกที่ผิดหวังกับสิ่งที่เขารัก…


“ทำไมไม่ไปหาที่บ้านเขา”


“ผมไม่รู้”


“…”  แต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้ เพียงแค่ลูกชายของเขาไม่กล้าเอ่ยปากขอความช่วยเหลืออะไรอีกแล้ว ในเมื่อก่อเรื่องไปเสียขนาดนี้ อัศวินยังเป็นเด็กดีของพ่อและทุกคนจริงๆ แล้วเขาจะไม่ช่วยเหลือได้เหรอ? อดใจไม่ไหวจริงๆหรอก “คุณป๋าจะไม่ปล่อยให้เราไปคนเดียว”  แต่มันต้องมีใครไปด้วย เห็นไหม…


สุดท้ายนักรบก็ตามใจแม้จะหวาดกลัวเพียงใดก็ตาม


น่าแปลกที่นักรบปล่อยให้ลูกไปหาลูกชุบที่บ้าน รัตนสกุลมีฐานข้อมูลตอนกรอกใบสมัครของตัวปัญหาอยู่ มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะดึงมันออกมา แต่หาเจอหรือเปล่านั่นมันอีกเรื่อง เขาไม่เคยคิดจะพึ่งพ่ออีกต่อไป แต่ก็เป็นอีกฝ่ายที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ แน่นอนว่ามันไม่มีการเรียกร้องอะไรเกินไปกว่าการให้กลับมาอย่างปลอดภัย แต่เพราะเราไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัด จึงไม่ปล่อยให้ไปแต่เพียงผู้เดียว มันต้องมีอีกคนไปด้วย และคนๆนั้นจะต้องเป็นคนที่คุณป๋าไว้ใจและกล้าปล่อย…ให้ไปตาย


“อาเพชรจะรอที่สถานีทองหล่อ คุณป๋าต้องไปประชุมแล้ว”


“ขอบคุณครับ”


“แล้วจำไว้นะอัศวิน”  เขาอยากจะเน้นย้ำให้เจ้าลูกชายรับรู้ “ดูแลตัวเองดีๆแทนคุณป๋าที่ไปดูไม่ได้ด้วย” เขาตอบรับไป อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่กล้าทำให้คุณป๋าผิดหวังอีกแล้วในวันนี้


เมื่อมาถึงสถานีทองหล่อ สองขายาวของเด็กหนุ่มก็แทบจะกระโดดลงมาจากบันไดของสถานี เขาเร่งรีบ อยากให้ขาของตัวเองไวตามจังหวะหัวใจ ในที่สุดก็มาอยู่ในรถของคุณอาเลขาที่ขับมาถึงแบบพอดิบพอดี คาดว่าอาเพชรคงรู้แล้วว่าบ้านของเจ้าตัวดีอยู่ที่ไหน โดยไม่พูดพล่ำทำเพลงอะไร รถของเราก็ตรงไปยังเส้นทางที่ได้มาจากผู้เกี่ยวข้อง กรุงเทพมหานครจะใหญ่แค่ไหนกัน อัศวินเสียเวลาไปก็เยอะแล้ว แต่ก็ยังหาไม่เจอเสียที!


“เหนื่อยหน่อยนะครับวันนี้”  อาเพชรน่าจะทราบเรื่องแล้ว เขาเป็นคนที่มีความสามารถในการปะติดปะต่อเรื่องขั้นสูง แค่มีชิ้นส่วนนิดหน่อยก็สามารถคาดเดาได้แม่นยำ บางทีวันนี้เราอาจจะเจอลูกชุบได้ด้วยฝีมือเขาก็เป็นได้


“ก็ไม่รู้ว่าคุ้มหรือเปล่า”  เอาจริงๆ แม้อัศวินจะมั่นใจว่าตกหลุมรักเข้าแล้ว แต่ก็ไม่เคยลงทุนขนาดนี้ให้กับสิ่งนี้มาก่อนเพราะมันเป็นครั้งแรก ทุกย่างก้าว แม้จะลงมือทำไปเกินครึ่ง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความลังเล


“ถ้าคุณหนูวินทำมาถึงขั้นนี้แล้ว มันต้องคุ้มถ้าได้เจอครับ”  ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น ถ้าได้เจอจะจับเขย่าสักที เอาให้รู้เรื่องกันไปเลย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มันไม่ควรสั้นแค่ปิดเทอมขึ้นเทอม 2 แล้ว


เขาควรจะทำให้มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดแบบระยะยาวจริงๆ



อัศวินครุ่นคิดมาตลอดทางตั้งแต่นั่งรถมา และตอนนี้เราก็เข้ามาในซอยที่ระบุไว้ในเอกสารสมัครงานของลูกชุบ เอาจริงๆเขาไม่เคยเข้าใกล้ชีวิตส่วนตัวของใครเท่านี้มาก่อนเพราะรักสันโดษจนบางทีก็ดูเป็นพวกไม่แคร์โลก อย่างนี้ก็ไม่ชินเท่าไหร่นัก ทว่ามันก็ถอยหลังกลับไม่ได้ มีแต่ต้องยอมรับว่านอกจากเข้าซอยบ้าน ยังต้องเอาตัวเข้ามาในชีวิตของลูกชุบด้วยตัวเอง



“อาว่า…น่าจะเป็นบ้านหลังข้างหน้านี่แหละครับ เดี๋ยวเราจอดเลยไปหน่อยดีกว่า”


“อาเพชรจอดให้ผมลงก่อนก็ได้ครับ จะดูลาดเลาหน่อย”


“ได้ครับ แต่อย่าทำอะไรผลีผลามนะ”  เพราะหน้าที่ของเขาคือมาปกป้องชีวิตของลูกชายคุณรบ ถ้าเกิดตายโดยที่ไม่เหลือโอกาสให้เขาหมายหัวใครไว้ก่อนแบบนั้น มีหวังโดนคุณเขาประหารเจ็ดชั่วโคตร!


อัศวินลงรถมาก่อนตามที่ได้คุยกัน เขายืนเก้ออยู่หน้าประตูบ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่มากสีฟ้าซีดๆ เต็มไปด้วยความเงียบงันแบบให้ความรู้สึกแปลกๆ มองหารถของอาเพชรที่บอกจะเอาไปจอดข้างหน้าหน่อย และกลับมาดูลาดเลารอบตัว ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอ ทำไมเงียบกันจัง?


อย่างนี้ก็หมายความว่าลูกชุบก็ไม่อยู่บ้านด้วยอย่างนั้นหรือ นั่นหมายความว่าที่มาถึงนี่ก็ไร้ความหมายงั้นสิ? แต่นอกจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหนแล้ว ยิ่งคิด จากที่เคยลังเลว่าการเข้ามาที่นี่จะเป็นเรื่องที่ดีในระยะยาวไหม เขากลับลืมมันไปทั้งหมด ในตอนนี้ลูกชุบอยู่ที่ไหน และจะตามหาได้อย่างไร จะไปถามหาได้ที่ใคร อัศวินไม่รู้อะไรเลย


กึก..กึก…


แต่แล้วอะไรบางอย่างก็ดูแปลกๆไป เขาได้ยินเสียงและการขยับแปลกๆของหน้าต่างบานหนึ่งที่มองเห็นได้จากจุดที่ยืนอยู่ อัศวินมองไปรอบๆ เขาควรจะหลบไปสักนิดเผื่อว่าจะถูกเข้าใจผิด ทว่าหน้าต่างบานนั้นก็ยังขยับแปลกๆจริงๆ หัวใจเขาเต้นตึกตักอย่างไม่มีสาเหตุ และมันเหมือนจะดังขึ้นเรื่อยๆ



พลันสายตาได้เห็นร่างของอาเพชรที่กำลังเดินมา เขารีบส่งสัญญาณให้อีกคนหยุดอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ทั้งๆที่นี่คือสิ่งที่คุณป๋าไม่ชอบที่สุด ทว่าบรรยากาศและสถานการณ์ก็ทำให้อาเพชรเผลอไผลทำตามคำสั่งกันโดยง่าย ก่อนจะมองไปตามทิศทางที่มือของลูกเจ้านายชี้ชวนให้มอง ที่หน้าต่างบ้านหลังนั่น….


มันกำลังจะเปิดออก!


“…”  อัศวินไม่ส่งเสียงอะไรออกมา เขาเห็นแล้วว่าใครเปิดหน้าต่าง และมันก็คือคนที่เขาอยากจะถามที่สุดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งเรื่องที่ว่าทำไมไม่ไปทำงาน ทำไมถึงติดต่อไม่ได้


และทำไมต้องปีนหน้าต่างแบบนั้น!!!


ในที่สุดสายตาของเราก็สบกันเข้า แม้เขาจะพยายามหลบซ่อนตัวแค่ไหน แต่ก็ยอมรับว่าทำได้ยากเมื่อลูกชุบอยู่ที่สูงกว่า น่าแปลกที่ปกติลูกชุบคงเรียกหาเสียงดังอย่างร่าเริง ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายรีบส่งสัญญาณให้เขาเงียบและกวักมือเรียกให้เข้าไปใกล้ แต่มันจะใกล้ได้สักแค่ไหนเชียว ในเมื่อเรามีทั้งกำแพงและประตูกั้น หวังว่าลูกชุบคงไม่บินลงมาให้เขารับจริงๆ


“!!!”  ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างน่าตกใจแต่เงียบงัน ลูกชุบไม่ได้กระโดดลงมาให้เขากลัวเล่น แต่กลับโยนกระเป๋าใบเบ้อเร่อมาให้รับ แย่แล้ว! หากนี่เป็นของโจรขึ้นมา เขาจะเอาหน้าที่ไหนไปพูดแก้ตัวกับเจน นี่คิดถูกหรือผิดที่ตามมาถึงที่นี่กันนี่!


ทว่าที่น่าตกใจกว่าคือการที่ลูกชุบกำลังทำตัวเป็นลิงเกาะเกี่ยวปีนป้ายไปทั่ว ขาก็สั้นแล้วยังจะปีนจากชั้นสองลงมาอีก ทำไมไม่ลงบันไดมาดีๆ และเพราะกลัวอีกฝ่ายตกลงไปจึงเฝ้ามองจนแทบลืมหายใจ แต่เขาทำอะไรให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว สภาพของเขาตอนนี้คงตลกน่าดู ยืนเขย่งเท้ากอดกระเป๋าให้อีกฝ่ายไปมาแบบนี้


“โอ้ย!”  ในที่สุดก็ไม่รอดจริงๆ ขาสั้นและไม่เจียมมันเป็นเช่นนี้เอง ตกลงมาจูบพื้นอย่างไม่ต้องสงสัย


“ลูกชุบ!”  เขาร้องเรียก ยิ่งเข้าไปใกล้ประตูบ้านที่ขวางกั้น สถานการณ์ตอนนี้ช่างน่าสงสัยและน่าอันตราย แต่ภาพอีกฝ่ายที่ตกลงมามันทำให้เขาลืมคิดถึงผิดชอบชั่วดี บางทีนี่อาจจะเป็นการช่วยโจรอยู่ แต่…เอาไว้เราค่อยไปคุยกันที่โรงพักละกัน


“นี่มันอะไรกันน่ะ!” ทว่าเสียงที่ดังออกมาทำให้คนในบ้านรู้ตัวและออกมาดู ในตอนนี้ต่อให้เจ็บแค่ไหน ลูกชุบก็พยายามจะลุกขึ้นยืน แม้มันจะลุกได้ลำบากยากเย็นก็ตาม


“ภาพ! ชุบมันจะหนีแล้ว!!!”  อัศวินเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงที่ถลาออกมาจากประตูเพื่อที่จะเข้ามาจับตัวของลูกชุบที่ลุกแล้วก็ล้มอย่างนั้น ผู้ชายอีกคนที่ตะโกนในตอนแรกรีบฉุดคนที่พยายามลุกอีกครั้งให้ล้มลงไปอีก เป็นภาพที่ดูวุ่นวายซึ่งอัศวินไม่เคยชอบใจ แต่ครั้งนี้…เขาอดไม่ไหวที่จะไม่เข้าร่วมจริงๆ


ขอโทษคุณป๋าจริงๆนะครับ…


“ใครวะ!” เขาอาศัยความได้เปรียบในการปีนประตูบ้านชาวบ้านเข้ามา จากแค่คนดูก็มาร่วมฉุดกับเขาแล้ว อัศวินลืมแล้วสิ้นคำสั่งของนักรบที่คุยกันเป็นมั่นเหมาะก่อนมา


“น้องวิน”  แม้แต่ลูกชุบก็ไม่อยากจะคิดว่าผู้ชายหน้าขรึมคนนี้จะมาร่วมวง มันดูผิดจากภาพที่เราได้เห็น แม้แต่อัศวินก็ยังงงตัวเอง เขาแทบไม่เคยปีนต้นไม้ อย่าว่าแต่ปีนบ้านคนอื่นเลย!


“มึง! บุกรุกบ้านกูเหรอ!”


“นี่บ้านพ่อของชุบ!”


“มึงหุบปากไปเลยไอ้เด็กเหี้ย!”  เอาจริงๆ อัศวินไม่ได้ใสซื่อขนาดไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน แต่แค่ไม่ชอบ…เมื่อมันอยู่ใกล้ๆหู


“พูดให้มันดีๆนะ”


“มึงเป็นใคร เสือกเรื่องชาวบ้านทำไม”  ตอนนี้มันอาจจะเกินมือ เพราะมัวแต่ยื้อฉุดลูกชุบที่เสียหลักล้ม ผู้หญิงอีกคนที่ก็พยายามจะฉุดเขาให้ออกไป เล็บมือของเธอ จิกลงบนเนื้อของเขา มันเจ็บ แต่อัศวินไม่ได้อ่อนแอที่จะร้องโอดโอย แค่ลังเลว่าจะสลัดยัยป้านี่ออกไปจากตัวได้ไหม


อย่างน้อยเขาก็ผู้ชายคนหนึ่ง…


“หยุดเดี๋ยวนี้!”  และก็มีคนมาดึงยัยป้านั่นออกไปจากตัวเขาสักที และคนๆนั้นก็คือคนที่เขาสั่งให้อยู่ห่างๆ คงเห็นแล้วว่าคุณหนูปีนเข้าบ้านชาวบ้านเขาแบบนั้น ถ้ายังอยู่เฉยๆได้…ก็เตรียมคอขาดได้เลย


และเพชรพิสุทธิ์ที่แม้จะอายุมากเสียหน่อยแต่ก็ตัวเล็กตัวน้อยเสียที่ไหน ท่าทางของเขาก็ดูน่ากลัวไม่น้อย ทุกคนตรงนั้นชะงัก สบโอกาสให้เขาผลักอีกคนออกไปและดึงลูกชุบเข้ามาใกล้ได้ง่ายๆ ว่าแต่นี่มันเรื่องอะไรก็ยังไม่เข้าใจนัก เอาเป็นว่าตอนนี้ลูกชุบต้องปลอดภัยแน่ และอย่างที่คิดไว้เลย…ว่าคนตัวเล็กนี่กำลังมีปัญหา!


“พวกแกเป็นใครกันเนี่ย”


“ไอ้ชุบ! พวกนี้มันใคร อย่าบอกนะว่ามึงไปเป็นเด็กเสี่ยจริงๆ” ก็ที่นี่มันใช่สถานที่ที่ผู้ชายใส่สูทจะมาเดินเผ่นผ่านเหรอ เขาก้มลงไปมองลูกชุบในอ้อมแขน ก็ค้นพบว่าอีกฝ่ายกำลังสั่นไหวอย่างน่ากลัว


“มึงมันไม่รักดีจริงๆด้วย”  เขาหันไปมองคนพูดด้วยสายตาที่ชาตินี้คงไม่มีวันเป็นมิตรกันได้ เพียงแค่สายตาของอัศวินที่มองไปเท่านั้น อีกฝ่ายก็ขนลุกซู่อย่างไม่มีสาเหตุ


“คุณหนูครับ เราพาคุณลูกชุบไปกันเถอะครับ” เขาพยักหน้า ก่อนจะค่อยๆประคองให้ลูกชุบลุกขึ้น แม้อีกฝ่ายจะหมดแรงเต็มที


“เดี๋ยว! พวกมึงไม่มีสิทธิ์จะพาไอ้เด็กเวรนี่ไปด้วย”


“ใช่! ต้องให้มันเอากุญแจมาให้เราก่อน”


“คุณลูกชุบครับ คุณอาถามหน่อย คุณลูกชุบอยากไปกับพวกเราไหมครับ” เพชรไม่สนใจคำพูดของใครหน้าไหนทั้งนั้น สายตาของผู้อายุมากกว่าและผ่านปัญหามากมาย ดราม่ามาตลอดชีวิตย่อมเข้าใจสถานการณ์บางส่วนดี เขาเลือกจะถามเจ้าตัวคนเจ็บโดยตรง และแน่นอน…ว่าลูกชุบพยักหน้า


“ไปครับ”  อัศวินไม่สนใจด้วยซ้ำ แม้ลูกชุบจะอยู่ แต่เขาไม่ให้!


“ผมจะพาไปคุณหนูไปส่งที่บ้าน และจะกลับไปรายงานคุณพ่อที่บริษัทนะครับ” เขาผายมือให้เด็กทั้งสองคนเดินออกไปก่อน มองดูทั้งสองพ้นประตูไปแล้ว ก็หยิบกระเป๋าใส่นามบัตรของตัวเองออกมาและยื่นให้หนึ่งในสองคนนั้นที่ยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก


คุณหนู? บริษัท? คุณพ่อ? นี่มันอะไรกัน!!?!!!?


“ผมเป็นตัวแทนจากรัตนสกุล ชื่อเพชรพิสุทธิ์ครับ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการทำร้ายร่างกายดังกล่าว หากต้องการเรียกค่าทำขวัญ ฟ้องร้อง ขอให้ติดต่อมาที่นามบัตรนี้”  เขายิ้มให้ มันเป็นยิ้มที่ไม่เรียกว่าเป็นมิตร “ในส่วนของทางเรา จะกลับไปพิจารณาโดยละเอียดอีกครั้งว่าจะจัดการยังไงดี”


“กะ…แก”


“หวังว่าอย่างแย่ ก็ขอให้จบในโรงพักนะครับ”  เพราะนั่นแฟร์ที่สุดแล้วเท่าที่นึกภาพออก ถ้าไม่… “แต่ถ้าอยากง่ายๆก็บอกได้ครับ”  รัตนสกุล ก็มีให้คุณเลือก หลายรูปแบบเช่นกัน!


ไม่มีใครพูดหรือต่อรองอะไรออกมาอีก คาดว่ายังหาปากกันไม่เจอ เพชรไม่รอช้า เพราะนี่ก็เสียเวลามากแล้ว เขาเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น และไปยังที่จอดรถที่ป่านนี้เด็กสองคนคงกำลังรออยู่ จากที่ฟังดู ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นปัญหาครอบครัว ซึ่งเป็นด้านที่เขามีความถนัดเสียด้วย แต่ลูกชุบของอัศวินดูจะรับมือไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แน่นอน ว่าไม่ใช่ทุกคนบนโลกจะเกิดมาเหมือนเพชร


“เฮ้อ…”  สงสัยคงได้กลับไปซักฟอกกันสนุกแน่ๆ เพชรส่ายหน้ายิ้มๆ เหนื่อยแทนทั้งคู่ จนตอนนี้คุณหนูวินก็ยังกอดอีกฝ่ายเอาไว้ หากคุณเจนมาเห็นต้องอกแตกเป็นคนแรก คนนึงก็เอ็นดู อีกคนนี่ก็เลี้ยงมา เลือกไม่ถูกเลย ไม่รู้จะปวดหัวแบบไหนดี


เอาเป็นว่าอาเพชร…
จะเอาใจช่วยห่างๆอย่างห่วงๆนะครับ



TALK:
บอกแล้วว่าอาเพชรนี่ครั้งนึงเป็นพระเอกนิยายเลยนะตัวเทอออออ555
ตอนนี้เราอาจจะหายหัวเก่ง ไม่ใช่อะไร งานเยอะตัวเท่าโลก5555
แต่ตอนนี้ #เจนไม่นก เปิดจองกันแล้วนะเจ้าคะ ปกสวยมากด้วย มีสามเล่มรับประกันความยาว5555
สนใจไปเจอะเจอกันได้ที่ www.hermitbookshop.com
สำหรับคำถามที่พบบ่อย มีลงงานสัปดาห์หนังสือและร้านหนังสือนะคะ
แต่สำหรับกล่องที่ยังไม่เผยโฉมตอนนี้จะมีให้สำหรับคนที่สั่งจองและถ้าเหลือก็จะมีขายในงานหนังสือเนอะ
รับประกันความน่ารักของกล่อง แบบยังไม่ออก แต่ในใจเราคือน่ารักตัวเท่าโลก5555
ในส่วนของอีบุคนี่ เราเคยสอบถามสนพ เมื่อนานมาแล้ว เขาว่ามีเด้อ แต่อาจจะช้าหน่อยนาจา
ก็ยังไง ฝากอ่านเรื่องนี้กันต่อ และฝากไปเปย์ตะหนูด้วย
รักมากฮะ มีคำถามก็ฝากกันไว้<3 อาจจะตอบช้า แต่จะมาแน่นวล555
@reallyuri





ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
น้องงงงง ลูกกบ มีความรัก ใจป้า

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
หลานป้าเป็นหนุ่มแล้วจริงๆ ฮรึก พาสะใภ้กลับคฤหาสน์ไปำหว้แม่เจนเถอะจ้ะหนูลูกกบ

ออฟไลน์ Gokusan

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
คุณป๋าและอาเพชรเป็นฮีโร่ตลอดอ่ะ ^^

กลับบ้านไปเจอเจน เด็กๆ จะรับมือยังไง
เอ๊ะ หรือเจนจะรับมือเด็กๆ ยังไง...ได้เด็กมาเลี้ยงอีกคนแหง 555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
โอ้โห ลูกกบมีความรัก

ออฟไลน์ cirrus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แงงงงงง  น้องชุบบบบบ ใครทำไรน้องงงง

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
อัศวินของลูกชุบ6


มันเป็นวันที่แย่ที่สุดในชีวิตวันนึงเลยของลูกชุบ


แม้ตอนนี้จะปลอดภัยในอ้อมกอดของอัศวินแล้ว แต่สภาพของลูกชุบ ก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับว่าโอเค หากน้องวินไม่มาที่นี่ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรต่อๆไป แต่ทำไมเจ้าของอ้อมกอดนี้ถึงได้มาที่นี่ได้ ลูกชุบเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน เท่าที่จำได้ก็ไม่เคยบอกก่อนนี่ว่าอยู่ที่นี่ เมื่อคิดๆดีๆให้ถี่ถ้วน คำตอบนั้นหาไม่ยาก


เพราะรัตนสกุลไง… ลูกชุบได้ยินคุณอาที่มาด้วยพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับรัตนสกุล แล้วน้องวินเกี่ยวข้องอะไร? เท่าที่จำได้ นามสกุลนี้คือเจ้าของธุรกิจมากมายในประเทศ และลูกชุบก็ร่วมงานด้วยบ้าง แต่สัดส่วนของตนต่อรัตนสกุลนั้นมันเล็กน้อยเหมือนมดตัวนึง แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้เอื้อมมือมาช่วย?


“เดี๋ยวอาพาไปส่งที่บ้านก่อนนะครับ”  ผู้ชายใส่สูทที่เข้ามาจบความรุนแรงต่างๆพูดขึ้น ลูกชุบไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน


“ครับ ถ้ารุนแรงกว่านั้นเดี๋ยวผมให้เจนพาไปโรงพยาบาล”  ไปโรงพยาบาล ไปทำไม อา…ใช่ เพราะลูกชุบเจ็บตัวอยู่นี่นะ


“น้องวิน”


“เงียบก่อน”  อัศวินเพียงตอบกลับแค่นั้น เขากระชับอ้อมกอดมากขึ้นแม้ว่าคนตัวเล็กจะดิ้นนิดๆให้เขารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าน้องวินยังไม่ปล่อย งั้นลูกชุบก็จะนั่งแบบนี้ต่อไปแล้วนะ


เรื่องที่เกิดขึ้นมันน่าอายมาก กับคนที่รู้จักกันน้อยเกินไปอย่างอัศวิน ลูกชุบไม่ยินดีให้เขามาเห็นด้านนั้นของตน ไม่รู้ป่านนี้เขาจะคิดไปถึงไหน ลูกชุบมีแต่ความกังวลใจจนไม่อาจจะถ่ายทอดอะไรออกมาได้ดีในตอนนี้ เมื่อวานอัศวินอุตสาห์ไปส่งที่หอเพื่อน แล้วทำไมถึงโผล่มาปีนหน้าต่างบ้านหลังหนึ่งย่านอ่อนนุชได้ล่ะ จะมีใครยอมฟังและเชื่อลูกชุบไหม


ปัญหามันค้างคามายาวนานตั้งแต่ตอนที่พ่อของลูกชุบแต่งงานใหม่เมื่อ 5 ปีก่อน ผู้หญิงคนนั้นที่มีลูกติดมาคือแม่เลี้ยงของลูกชุบเอง ในตอนนั้นเธอก็ใจดีต่อกันอยู่ แต่ก็ไม่ค่อยสนิทหรอก เพราะลูกชุบไม่ได้ยอมรับว่าเธอคือแม่ของตนขนาดนั้น และนั่นอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตที่จะไม่ผูกพันกับคนที่ภายหลังจะทำร้ายกันอย่างเลือดเย็น


เราเข้ามาในรั้วของบ้านหลังหนึ่ง ลูกชุบไม่แน่ใจว่ามันอยู่ส่วนไหนของโลกเพราะสมองนั้นทำงานอย่างหนักขณะที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของอัศวินในตอนนี้ บ้านหลังนี้ใหญ่กว่าบ้านที่ลูกชุบมี และมันก็ดูดีจนฉุดกันออกมาจากโลกอันฟุ้งซ่าน และเมื่อรถจอด อัศวินก็ได้ปล่อยให้เป็นอิสระจากอ้อมกอดของเขา เราลงมาจากรถ และคนที่เดินออกมาจากในบ้านก็ทำให้ลูกชุบตกใจจนตาโต


“อ้าว ไม่ไปทำงานเหรอวันนี้”  เป็นพี่เจนนั่นเอง พี่เจนที่ใจดีหางานดีๆให้ลูกชุบทำ ทำไมพี่เขามาอยู่ที่นี่ อย่าบอกนะว่า…


นื่คือบ้านของน้องวิน…


“แล้วนั่นลูกชุบไปโดนอะไรมา”  ใบหน้าของพี่เจนดูเคร่งเครียดขึ้น คนตัวเล็กสะดุ้งโหยง มองไปทางไหนก็ไม่รู้จักทางไป จึงได้เอาแต่ซ่อนตัวอยู่หลังคนตัวสูงที่พามา


“ขอเอาลูกชุบมาฝากแถวนี้ก่อนครับ”  อัศวินอธิบายสั้นๆ เขาพยุงคนที่เอาแต่หลบข้างหลังให้เดินเข้าไปข้างใน ร่างเล็กส่ายหน้ารัวๆ แต่เขาพยักหน้าให้ ไม่สนใจการโต้แย้งใดๆทั้งนั้น เจนมองเด็กทั้งสองอย่างงงงวยก่อนจะหันไปสบตากับเพชรที่พามาส่ง เลขาของคุณรบเพียงยิ้มให้ ก่อนจะกล่าวลาไปทำงานต่อ มันอะไรกันวะเนี่ย!


ลูกชุบรู้สึกเหมือนตัวเองจะตัวเล็กลงไปได้อีกเมื่ออยู่ในห้องรับแขกแห่งนี้ การตกแต่งของมันไม่ได้หรูหรา แต่เรียกว่าดีกว่าความเป็นอยู่ของลูกชุบไปมากเลยทำให้ประหม่า อัศวินนั่งอยู่ข้างๆ เขาไม่ได้เข้ามากอดกันแล้ว และพี่เจนก็เดินออกมาพร้อมกับน้ำเย็นๆให้เราสองคน


“มันเกิดอะไรขึ้น”  ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะต้องอธิบาย แววตาของลูกชุบดูตระหนก ส่วนคนที่เหมือนจะรู้เรื่องอยู่บ้างอย่างน้องวินกลับถอนหายใจออกมา อย่างไรซะคนที่รู้ดีที่สุดคือลูกชุบไม่ใช่เหรอ มันต้องเป็นเจ้าตัวปัญหานี่พูดเท่านั้น


“ลูกชุบไม่มาทำงาน ผมเลยไปตามหา ไปเจอกำลังปีนหน้าต่างบ้านอยู่”  พอพูดถึงตรงนี้ตัวลูกชุบยิ่งหดเล็กเข้าไปอีก


“ลูกชุบเนี่ยนะ?” และก็หดได้อีกเมื่อพี่เจนเสียงดัง


“มีปัญหากันนิดหน่อย ดูได้จากสภาพครับ”  มีการใช้กำลังกันเกิดขึ้น สภาพของลูกชุบถลอกปอกเปิกไปหมด แม้แต่ที่แขนของอัศวินก็มีร่องรอย เจนเห็นเลยรีบคว้ามาดู


“โดนอะไรเนี่ย”


“เล็บจิกครับ แต่ผมฉีดพิษสุนัขบ้ามาแล้วคงไม่เป็นไร”  มันใช่ที่ไหนเล่า! ปากคอเราะร้ายขนาดนี้ได้ยังไง เจนถลึงตาใส่คนที่ตอบหน้าตาย ก่อนจะหันไปมองลูกชุบอย่างเป็นห่วง มีรอยช้ำตามตัว ใบหน้า และท่าทางสลดนั่นก็ดูน่าสงสาร


“ผมขอโทษครับ”  ลูกชุบเอ่ยขอโทษออกมาที่ทำให้เขาต้องมาเจ็บตัวด้วย แต่ไม่เลย…อัศวินมันรนหาที่ไปเจอเองไม่ใช่หรือไง?


“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราถึงโดนขนาดนี้”  เจนถาม เป็นคำถามที่อัศวินเองก็อยากรู้


“คือแม่เลี้ยงผม…กับเอ่อ ลูกของเขา”  มันยากจะอธิบาย แต่เพียงแค่เกริ่นเท่านี้เจนก็พอวาดภาพออกได้


“โดนมานานแค่ไหนแล้ว แผลพวกนี้”  แต่อัศวินเป็นคนถามแทน


“ตั้งแต่ เอ่อ…พ่อเสีย”


“…”


“…”   มันเป็นเช่นนี้มาสักพักแล้ว ลูกชุบถูกขัดขาบ้าง บางทีเขาก็ทำเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ช่วงหลังๆก็ชัดเจนว่าจงใจ ทั้งนี้ลูกชุบเป็นคนซ่อนกุญแจตู้เซฟ เพราะข้างในมีสมบัติที่พ่อเก็บไว้และลูกชุบไม่ประสงค์ให้เธอเอาไปทั้งหมดเพราะบางอย่างมีคุณค่าต่อจิตใจ ทว่าการเจรจาไม่เป็นผล มันจบลงที่ลูกชุบมักถูกทำร้ายร่างกาย


ช่วงหลังมานี่ลูกชุบได้ไปขออาศัยบ้านเพื่อนเป็นบางครั้ง หากกลับไปที่บ้านก็มักจะเลือกเวลาที่คนอื่นไม่อยู่ หรือยอมจ่ายเงินให้พวกเขาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ทั้งนี้ลูกชุบอ้างเสมอว่าไม่รู้เรื่องกุญแจ แต่ช่วงหลังๆการประนีประนอมเป็นไปได้ยากเหลือเกิน พอไม่กลับบ้าน พวกเขาก็ตามกันเจอ จนต้องไปขอพักกับเพื่อนที่อาศัยไกลออกไปเพื่อความปลอดภัยเช่นเมื่อวาน


วันนี้ลูกชุบตั้งใจจะไปเอาข้าวของที่สำคัญออกมาอย่างกะทันหันแต่เช้าตรู่ก่อนจะไปทำงานและจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ก็รู้ว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ในขณะที่ยังขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้ ตัวเองที่เหลืออยู่ตัวคนเดียวจำต้องทำบางอย่างเพื่อความปลอดภัย


ทว่าพอกลับไปเอาก็พบว่าพวกเขาดักรออยู่ก่อนจะออกมา และลูกชุบก็ถูกขังอยู่ในห้องๆหนึ่งบนชั้นสองพร้อมกับข้าวของที่ไปเก็บมาโดยไม่สามารถติดต่อใครได้ คาดว่าพวกเขาคงกำลังวุ่นวายกับการไปหาเพื่อนของลูกชุบที่ข้างล่างเพื่อเรียกดูของส่วนตัวที่ฝากไว้


จึงไม่ทันระวังว่าคนที่ถูกขังจะหาทางสะเดาะกลอนทั้งประตูและหน้าต่าง และหวยออกที่กลอนหน้าต่าง พอเปิดประตูมาก็อย่างที่เห็น น้องวินรออยู่ข้างล่าง ด้วยสถานการณ์ที่จวนตัว ลูกชุบจึงโยนกระเป๋าไปให้ โดยไม่คิดเลยว่าจะเป็นการดึงอีกฝ่ายให้มาลำบากแบบนี้


“ลูกชุบ ขอโทษพี่เจนและน้องวินด้วยครับ”  ความจริงที่ออกจากปากตนเองแบบซ้ำๆเหมือนย้ำแผลแห่งความอ้างว้างและความน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงจากหางตา เจนที่เห็นดังนั้นส่ายหน้าออกมา ก่อนจะหยิบทิชชู่ให้


“ว่าแต่ลูกชุบอายุเท่าไหร่แล้ว” เจนถาม


“20 จะ 21แล้วครับ”


“แม่เลี้ยงเขาได้จดทะเบียนสมรสกับคุณพ่อหรือเปล่า”


“เปล่าครับ” 


“แล้วนี่ลูกชุบจะไปพักที่ไหน เรามีญาติอยู่หรือเปล่า”


“ลูกชุบจะไปพักกับเพื่อนแถวอนุเสาวรีย์ คิดว่าพวกเขาคงยังตามไม่เจอ”  เจนส่ายหน้าช้าๆ ส่วนน้องวินถลึงตามองอีกฝ่ายที่ทำอะไรเหมือนจะไม่คิดให้รอบคอบ ไม่…ในสถานการณ์ของลูกชุบ นี่มันรอบคอบที่สุดแล้วจริงๆ


หลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมด เจนก็ออกไปคุยโทรศัพท์อยู่นานสองนาน ทิ้งให้คนสองคนที่ตอนมาก็กอดกันดีอยู่ แต่ในตอนนี้คนๆนึงกลับตึงใส่กันอย่างเห็นได้ชัด ความผิดของลูกชุบหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ แต่คนถูกมองก็ใจฝ่อไปเสียแล้ว นี่เคยบอกอัศวินแล้วใช่ไหมว่าเขาหน้าดุแค่ไหน


“น้องวิน”  ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าขึ้นมา “พี่ชุบขอโทษ”


“ลูกชุบทำอะไรผิดเหรอไง”


“…”  นั่นสิ


“ผมไปช่วยเอง ไม่ได้ขอก่อนนะ”  ก็จริงๆ แต่อัศวินก็เจตนาดีไม่ใช่หรือ เขาทำเพื่อลูกชุบไม่ใช่หรือไง


“ต่อไปพี่ชุบจะระวัง”


“แล้วที่ผ่านมาไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังเลยหรือไง”  ก็เพราะว่าใช้ไง แต่ต่อให้ระวังแค่ไหนก็หนีไม่พ้นอยู่ดี “ตัวเองก็รู้ดีแท้ๆ” 


ตัวลูกชุบคงรู้ดีอยู่แล้วว่าการหนีไม่ใช่ทางออก แต่แค่ไม่รู้ว่าจะจัดการเองอย่างไร แม้จะอายุมากกว่าอัศวิน แต่อย่าลืมสิว่านี่ก็เป็นแค่ลูกชุบที่อายุ 20 ประสบการณ์ชีวิตไม่ได้มากพอที่จะเด็ดขาดได้ แล้วอย่างไร? ลูกชุบควรทำอย่างไรหรือถึงจะแก้ปัญหาได้ คำถามนี้มีคำตอบไหม ไม่…


แม้แต่คนตั้งคำถามก็ไม่รู้เช่นกัน


บางทีอัศวินก็ไม่ได้เก่งไปกว่า กะแค่ไปตามหา เขาก็หุนหันพลันแล่นไปมากจนทำตัวเองให้มีแผล ที่สัญญากับคุณป๋าไปทำได้กี่ข้อ เขาตระหนักในความผิดของตัวเองดี และไม่พอใจอย่างมาก ทั้งความงี่เง่าของตัวเองและอีกคน เจนกลับเข้ามาแล้ว และได้พาลูกชุบไปข้างนอก อัศวินจะออกไปด้วย แต่เจนกลับสั่งให้เขาอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในบ้าน แน่นอนว่าต้องไม่ยอม แต่แล้วไง…


ตอนนี้ทั้งเจนและคุณป๋าก็โกรธพอกัน…


“พี่เจนจะพาชุบไปไหน” ลูกชุบถาม ยังนึกถึงท่าทางไม่ชอบใจของคนน้องที่คงรออย่างกระฟัดกระเฟียด อยู่ๆก็ลากมาโดยไม่บอกอะไร ลูกชุบเองก็หวั่นใจไม่น้อย


“พาไปคุยกับผู้ใหญ่ที่จะช่วยเรา”


“พี่เจน จริงๆแล้วลูกชุบ…”


“ดูแลตัวเองได้จริงๆเหรอ?”

   
“ลูกชุบไม่อยากให้คนอื่นมาลำบาก”


“พี่ถือว่าพี่ทำให้เราเพราะเราลำบากช่วยดูตาหนูมาให้”  ตาหนู…เจนคงหมายถึงน้องวิน แต่ที่ฝากเอาไว้ มันดูจะเทียบไม่ได้เลยกับความช่วยเหลือนี่ ทว่ายังไม่ได้แย้ง เจนก็กล่าวต่อไปอีก “คุณพ่อของน้องวินเขายินดีจะช่วย”  เพราะเจนออกไปคุยกับคุณรบมา น่าแปลกที่เขารู้มากกว่าที่เจนคิด แต่ช่วงหลังๆพ่อลูกก็ดูมีความลับกันอยู่ อาจจะเกี่ยวกับเรื่องนี้


เจนไม่ได้โง่ขนาดที่จะมองไม่ออก พอน้องวินประคองลูกชุบที่บาดเจ็บมาที่บ้าน ตนรับทราบได้ทันทีว่านี่เองคือความลับของจอมดื้อเงียบ เกินคาดไปเสียหน่อย แต่ก็พอจะเดาได้ ก็เล่นทำตัวประหลาดๆมาตลอดช่วงนี้ พอมาเจอลูกชุบ เจนก็ปะติดปะต่อเรื่องได้ ทุกอย่างดูเมคเซ้นส์ขึ้นมาเลย ที่จะหงุดหงิดนั่นก็ไม่แปลก อะไรจะหวงได้ขนาดนี้ เจ้าหนุ่มเลือดร้อน!


คุณรบตัดสินใจให้คนรู้จักที่เป็นตำรวจเข้ามาช่วยดูแล ที่ไม่เล่นลับหลังเพราะเรามีข้อมูลเกี่ยวกับลูกชุบน้อยเกินไป หากเขาเป็นคนไม่ดีขึ้นมา เท่ากับว่าเรากำลังส่งเสริมน้องวินให้กับคนไม่ดีอย่างนั้นหรือ? ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงๆก็ต้องกล้ายอมรับวิธีทางกฎหมาย และนี่เป็นวิธีการคัดสรรขั้นหนึ่งของคุณรบและเจน


ทั้งๆที่เด็กสองคนนี้ยังไม่ได้ไปถึงไหนกันหรอก แต่ผู้ปกครองที่ดี ย่อมต้องการให้คนดีๆเข้ามาในชีวิตของลูกตัวเองมากกว่า แม้เจนจะพอรู้จักลูกชุบอยู่บ้างแต่มันผิวเผินเกินไป หากจะต้องยอมรับให้อีกฝ่ายเข้ามาเป็นคนสำคัญอีกคนในชีวิตของเด็กที่เลี้ยงมา เจนย่อมอยากดูให้ดีจริงๆ


ในขณะที่อีกคนซึ่งรออยู่นั้นวุ่นวายใจ ในที่สุดก็มีใครบางคนกลับบ้านมา แต่นั่นไม่ใช่ลูกชุบ!อัศวินที่แทบจะวิ่งออกมาดูหน้าบ้านนั้นทำสีหน้าอย่างไรไม่ทราบได้เมื่อเห็นว่าใครกลับบ้านเร็ว ไม่รู้เจนพาลูกชุบไปที่ไหน แต่ตอนนี้เขาต้องรับมือกับคนนี้ก่อน เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายมีเรื่องให้สะสางเยอะ


“มานั่งคุยกับคุณป๋าก่อน”  และเขาก็เดินตามไปแต่โดยดี


“ผมต้องขอโทษคุณป๋าด้วยครับ”  คาดว่าที่กลับเร็วคงไม่ใช่แค่เรื่องที่เราคุยกัน บางทีนักรบก็อาจจะรู้แล้วเรื่องที่เขาได้แผลมานิดหน่อย


“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว แต่ต่อไปต้องระวังและมีสติกว่านี้”


“…”


“พวกเขามีอาวุธหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดีที่ปลอดภัยกลับมา”  เขาพูดด้วยใบหน้านิ่งๆ ก่อนจะตามด้วย “แต่ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร ต่อไปอัศวินต้องระวังกว่านี้” ก็พูดไปงั้นแหละ เพราะสุดท้ายอัศวินจะเป็นเช่นไร คนเป็นพ่อเช่นเขาก็ควบคุมไม่ได้ทั้งหมด แค่เห็นว่าลูกยอมว่าง่ายนั่งฟังคำสั่งสอน ใจก็อ่อนยวบไปแล้ว


“คุณป๋าให้เจนมาพาลูกชุบออกไปเหรอ” 


“อืม…เราคุยกันว่าจะให้อาพงษ์ช่วยดูแลให้ ลูกชุบบรรลุนิติภาวะแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่ใช่แม่ และไม่ได้จดทะเบียนด้วย เรื่องมันคงไม่วุ่นนัก”


“ขอบคุณคุณป๋ามากครับ”  คาดว่าน้องที่ยังเด็กคงจัดการอะไรไม่ได้ดีนัก อัศวินควรตระหนักได้แล้วว่าแม้จะสูงใหญ่กว่าเจน แต่แท้จริงแล้วก็ยังมีสภาพไม่ต่างจากลูกนกที่ต้องรอพ่อแม่เอาอาหารมาให้กิน เขาไม่อาจจะปกป้องตัวเองได้ ไฉนเลยจะเสนอหน้ายื่นมือไปปกป้องใคร แม้คนๆนั้นจะเป็นคนที่หัวใจของเขาบอกว่าต้องปกป้องก็ตาม ชีวิตจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ ถ้าไม่มีอาเพชรไปด้วยวันนี้ มันจะจบง่ายๆไหมก็ไม่รู้เลย


และนักรบก็ไม่ใช่พ่อที่จะหาอาหารให้ลูกกินตลอดไปเช่นกัน!


“วันนี้คุณป๋าเห็นว่าความผิดพลาดนี้ดีอยู่อย่าง อย่างน้อยอัศวินก็รู้สักทีว่าตัวเองยังไม่พร้อมสำหรับรัตนสกุล”  ดูเป็นคำพูดที่แรง แต่ก็ใช่ ในตอนนี้ยังไงเขาก็ไม่มีทางพร้อม ถ้ายังเอาแต่ใจต่อไป ก็อาจจะไม่มีวันพร้อมเลย และอัศวินก็รู้สภาพของตนเองดีกว่าใคร เขายอมรับในความบกพร่อง และขณะเดียวกันก็ไม่พอใจสักนิด เลือดแห่งความทะเยอทะยานกำลังพุ่งพล่าน นักรบเห็นดีว่าจะตีเหล็กต้องตีตอนร้อนนี่แหละ เขาถึงกลับมาก่อน


“เข้าใจแล้วครับ”


“คุณป๋าให้กลับไปคิดว่าเราจะเอายังไง จะหยุดเรียนมหาลัยมาช่วยคุณป๋าก่อนก็ได้ หรือจะเรียนไปทำงานไปก็ได้ หรืออยากเรียนอย่างเดียวคุณป๋าก็ไม่ว่า”  อย่างไรก็ตามนักรบให้สิทธิ์ในการตัดสินใจแก่ลูก และมั่นใจว่าลูก จะเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดอย่างไม่โอนเอียง เขาหวังกับอัศวินไว้เยอะ เหมือนกับที่อีกฝ่ายหวังในตนเอง “เรื่องของลูกชุบก็ไปคิดมาด้วย”


เพราะเข้าไปในชีวิตอีกฝ่ายแล้ว จะเดินออกมาเลย ก็จะเห็นแก่ตัวจนเกินไป…


วันนี้เจนไม่ได้พาลูกชุบกลับมาด้วย และไม่พูดกับน้องวินในเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ไม่ได้แสดงออกว่าโกรธเคืองกัน ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่คิดจะดุด่าอะไรอีกเพราะรู้ดีว่าน้องก็รู้สึกผิดกับตัวเองพอ เลี้ยงมากับมือย่อมรู้ดีแก่ใจ สุดท้ายเราก็นั่งกินข้าวเงียบๆ เจนมีบอกนิดหน่อยว่าพาลูกชุบไปฝากไว้กับคุณย่าให้ท่านช่วยดูแล้ว ก็จะหมดห่วงอยู่หน่อย ที่ห่วงตอนนี้…ก็คงเรื่องที่ต้องไปคิดดู


เขาจะเอายังไงต่อไปดี…


คำว่าไม่พร้อมสำหรับรัตนสกุลมันน่าเจ็บปวด ทั้งๆที่ก็เป็นรัตนสกุลตั้งแต่เกิด แต่วันนี้เขาได้พิสูจน์ให้ทุกคนและตัวเองได้เห็นว่ายังไม่พร้อม ไม่มีใครโทษหรือโกรธเคือง ทั้งนี้ก็รู้ตัวแล้ว ว่าไม่สามารถอยู่เฉยและเป็นคนไม่พร้อมตลอดไปได้ แม้จะไปช่วยงานคุณป๋าได้ แต่ไม่ได้มีผลงานเป็นชิ้นอัน แม้จะเรียนเก่งเป็นที่ชื่นชม แต่ก็ยังต้องให้เจนคอยดูแลและคิดแทนว่าวันนี้จะต้องทำอะไร พอมีปัญหาคนที่แก้ให้ ก็ไม่ใช่ตัวเองอยู่ดี เป็นเช่นนี้แล้วจะขึ้นมาแทนคุณป๋าได้ไง?


มีตัวเลือกมากมายในหัวที่คิดมาเมื่อวาน ถึงเวลาที่จะโตสักที และวันนี้ที่โต๊ะอาหารตอนเช้า เขาจะแจ้งให้กับทุกคนได้รับรู้ถึงสิ่งที่ได้ตัดสินใจ อัศวินจะไม่ยอมเป็นลูกกบในกะลาที่มีแม่นกคอยอยู่ไม่ไกลอีกต่อไปแล้ว และไม่รู้ว่าทางเลือกนี้ดีที่สุดหรือไม่ แต่ อย่างที่คุณป๋าพูด ว่าเขาบ่ายเบี่ยงมาหลายครั้งแล้ว วันนี้ต้องรู้ตัวสักทีว่าตนนั้นอ่อนด้อยแค่ไหน


“น้องวิน”


“ลูกชุบ” ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ก็ไหนเจนบอกว่าพาไปอยู่กับคุณย่าแล้วนี่ แค่วันเดียวก็พามาเลยเหรอ? ได้เห็นใบหน้าของอีกคนดูสดใสขึ้นมาเขาก็ยิ้ม ถูกแล้วที่เจนเป็นคนช่วยดูแลให้ เพราะอัศวินคงไม่มีอำนาจพอที่จะช่วยเหลือได้ และถ้าเขาทำ…ก็ไม่พ้นการอ้างอำนาจของรัตนสกุลที่ยังไม่มีสิทธิ์เอื้อมถึงในตอนนี้ไปช่วยลูกชุบอย่างน่าละอายหรอก


ได้ยินว่าพี่พระพายช่วยรับมาส่งให้ ก่อนจะออกไปจัดการธุระให้คุณป๋าต่อ ลูกชุบช่วยเจนจัดอาหารและนำมาเสิร์ฟให้กับเราพ่อลูก ก่อนที่เจนจะชี้ชวนให้ทานอาหารเช้าร่วมกัน เป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าของที่บ้าน และคนอื่นก็ทำให้อัศวินยิ้มออกมา ไม่มีท่าทางของความหงุดหงิดไม่พอใจใดๆอยู่ เมื่อได้มองตาลูกชุบในวันนี้มันก็ทำให้เขาตัดสินใจได้เด็ดขาด


“ผมเลือกมาแล้วครับ”  อัศวินได้พูดออกไป ในตอนนั้นคุณป๋าที่กำลังจะหยิบช้อนส้อมก็หยุดมือไว้แค่นั้น เขาประสานมือวางบนโต๊ะ ตั้งใจฟัง มีเพียงลูกชุบคนเดียวที่ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไร


“ว่าไง”


“ผมจะเข้าไปช่วยงานที่บริษัทและเรียนไปด้วย”


“อืม”


“ผมหมายถึงบริษัทในเครือที่อังกฤษและเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นั่น”


“น้องวิน…” แต่เจนคาดไม่ถึงนัก หลังจากมองหน้าคนลูก ก็หันไปมองคนพ่อที่ยิ้มน้อยๆ อัศวินเคยเป็นคนที่คัดค้านเรื่องนี้มากที่สุด แต่วันนี้กลับออกปากว่าจะไปเอง อยู่ๆมันก็ง่ายอย่างนี้เลย “คุณรบ…”  เจนหรี่ตามองเมื่อพอจะจับได้ มันมีคนคำนวณไว้อยู่แล้วสินะ และคนๆนั้นก็กำลังยิ้มอย่างพอใจ


“ผมรู้ดีครับว่าคุณป๋ารู้ว่าผมจะเลือกอะไร”  และก็รู้ว่านักรบใช้สถานการณ์นี้ในการชี้นำให้อัศวินตัดสินใจแบบนี้ หากลูกไม่ออกไปทำงานข้างนอก ก็คงไม่รู้หรอกว่าตนยังด้อยประสบการณ์มากมาย และชักช้าเกินไปแค่ไหน นักรบเองก็ไม่ได้เก่งกาจไปกว่าในตอนที่อายุเท่ากัน จนตอนนี้ก็ยังบกพร่องอยู่เยอะ แต่เขาหวัง…ว่าอัศวินจะเป็นได้มากกว่า…


“ถ้างั้นก็ไปเลือกมาว่าอยากเข้าที่ไหน”


“แต่ผมจะไม่ยอมทำตามข้อเสนอคุณป๋าฝ่ายเดียว”


“คุณป๋าไม่ได้เสนอ” เขาเคยเสนอ แต่ลูกไม่สนอง นั่นถือเป็นโมฆะไปแล้ว


“แต่ผมไม่ทำงานฟรีครับ”  แต่แววตาแบบนั้นไม่น่ารักเลย มันทำให้นักรบรู้สึกเหมือนแก่ลงไปเยอะเมื่อเห็นภาพซ้อนของเจ้าเด็กที่พูดไม่รู้เรื่องเมื่อวันวานขึ้นมา เลี้ยงลูกให้มาต่อรองกันแบบนี้ ใช้ได้ที่ไหน!


“ว่ามา”  ในเมื่อกล้ามาเสนอ คนพ่อก็ยินดีจะฟังเผื่อจะสามารถสนองให้ได้ ทว่าก็พอนึกออกว่าอะไรที่ถูกจะขอมา


“ระหว่างที่ไม่อยู่ ช่วยดูแลลูกชุบให้ด้วยครับ”  เขาหันไปมองอีกคนที่ตัวเล็กเท่ามดเมื่อทุกคนกำลังคุยกันเรื่องภายใน แล้วจู่ๆก็มีชื่อของตนผุดขึ้นมา มันก็ได้เหรอ?


“น้องวิน!”  มันไม่ได้นะซี่!


“ได้!”  แต่นักรบได้ประกาศชัดว่าได้ ช่างขัดแย้งกับในใจของลูกชุบนัก ว่าแต่นี่เราอายุเท่าไหร่กัน ทำไมต้องให้เด็กอายุ 18 มารับผิดชอบชีวิตด้วย?


“งั้นก็ตกลงครับ”


“แต่ว่า…”


“ไม่มีแต่ ลูกชุบ!”  เขาหันไปบอก จริงๆยังไม่เคยขออนุญาตกับเจ้าตัวเรื่องที่จะมาดูแลเลย ทำอย่างนี้ก็ดูจะเจ้ากี้เจ้าการไปหน่อย แต่ที่เป็นห่วงน่ะ เรื่องจริง… “อย่าทำให้ผมห่วง”  แล้วแบบนี้ลูกชุบจะไปพูดอะไรได้ มีเจนที่ยิ้มมาให้อย่างเข้าใจ ก่อนจะชี้ชวนให้เราทานอาหารเช้ากันเสียที เพราะเรื่องต่อจากนี้ ไม่ใช่อะไรที่ผู้ใหญ่ควรจะเข้าไปเกี่ยวแล้ว


และในที่สุดเราก็ได้มีเวลาส่วนตัวร่วมกัน ตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่ได้คุยเพราะมันมีแต่เรื่องยุ่งๆ ลูกชุบถูกพาตัวไปพบเพื่อพูดคุยแจ้งความ ตรวจร่างกาย เมื่อมีผู้ใหญ่เข้ามาช่วย แม้จะไม่รู้จักกัน แต่ดูจากท่าทางแล้วไว้ใจได้ จึงพอวางใจ ต่อจากนี้ก็คงจะค่อยๆสะสางกันไป และคงเคลียร์ได้ในที่สุด ทว่าวันนี้เขาต้องเคลียร์กับเด็กนี่เสียหน่อย พูดอะไรออกไปน่ะเมื่อกี๊!


“น้องวิน พี่ชุบลำบากใจนะ”


“ผมก็ลำบากใจเหมือนกันนะ!”  แล้วมาขึ้นเสียงใส่ทำไม ลูกชุบไปทำอะไรให้เหรอ อ๋อ…ทำให้ห่วงไง


“แล้วมันใช่เรื่องเหรอที่จะมาให้คนอื่นมาดูแลพี่แบบนี้”  เราเป็นอะไรกันเหรอ ไหนพูดสิ!


“ก็ถ้าผมดูแลได้ ก็ทำเองไปแล้ว!”


“….”


“แต่ผมยังทำได้ไม่ดีไง”  และเขายังเจ็บใจไม่หาย “อย่ามาบอกว่าดูแลตัวเองได้ด้วยนะ จะฟาดให้” ลูกชุบสะดุ้งโหยง มันใช่เหรอ!


“แล้วน้องวินต้องไปเรียนเมืองนอกเพื่อพี่นี่มันใช่เหรอ”  ต้องเสียสละมากขนาดนี้เลยหรือไง นี่แค่ลูกชุบเองนะ ลูกชุบที่เป็นแค่ลูกชุบไง ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย


“คิดว่าผมทำเพื่อลูกชุบขนาดนั้นเหรอ” ดวงตากลมโตวูบไหวเมื่อฟังคำนี้ มันเหมือนจะบอกว่าประมาณตัวผิดไป มันก็ใช่ อัศวินไม่ได้ทำเพื่อกันขนาดนั้นหรอก เป็นลูกชุบที่คิดไปเองทั้งนั้น และเมื่อนึกขึ้นได้ใบหน้าที่เคยเกรี้ยวกราดนิดๆก็ดูสลดลง คิดไปกันใหญ่แล้ว อัศวินรู้ได้เลย ลูกชุบเป็นผู้ใหญ่ที่โกหกไม่เก่ง คิดอะไรก็แสดงออกทางใบหน้า


“อือ…”


“เรื่องไปเรียน ผมทำเพื่อตัวเอง เพื่อที่บ้าน แต่ทั้งนี้มันก็เพราะลูกชุบทั้งนั้น”  เขาอธิบาย มือทั้งสองข้างวางบนบ่าของคนที่ก้มหน้า บังคับให้ฟังแม้ไม่ต้องการ “ถ้าไม่มีลูกชุบ ผมก็คงไม่มีวันคิดแบบนี้”  เพราะลูกชุบเท่านั้นเลย ถ้าไม่ใช่ลูกชุบที่ก่อให้เกิดความรู้สึกห่วงหา มีหรืออัศวินจะลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองให้ออกจากเซฟโซน


“น้องวิน”


“เงยหน้าหน่อยสิ”  เขาเชยคางลูกชุบให้มาสบตา ก็ไม่ชอบอธิบายอะไรให้มากความ แต่ไม่ชอบให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดมากกว่า “ลูกชุบทำให้ผมรู้ว่าผมไม่พร้อมจะดูแลใคร และทำให้รู้ว่ายังไม่สามารถทำอะไรได้อีกมากมาย ดังนั้นผมจึงต้องไปจากที่นี่”


มันไม่ใช่เพราะลูกชุบทำให้เลี่ยงไม่ได้ แต่ก็เพราะลูกชุบที่ทำให้คิดได้…


“ผมไปไหนมาไหนเองไม่เป็น ปรุงก๋วยเตี๋ยวเองก็ไม่ได้ ทันคนอื่นเสมอ แต่ไม่เคยใช้คนอื่นให้เป็น นั่นแหละตัวผมในตอนนี้”  และเขาจะไม่ยอมเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต


“มันไม่แย่หรอก”


“มันแย่สิ อายุ 18 แล้วนะ” และอีกไม่กี่ปีก็จะอายุเท่าลูกชุบในตอนนี้ และอีกไม่กี่ปี ก็ต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่บรรพบุรุษสร้างมา


“น้องวินจะไปนานไหม”


“คิดว่า 4-5 ปี”


“แล้วพี่ชุบคิดถึงได้ไหม”  พอพูดไปก็เขินเอง มีสิทธิ์อะไรไปขอคิดถึงเขา แต่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าพูดอย่างนี้มันน่ารักเกินไปแล้ว!


“ลองไม่ดูสิ”  แค่ได้ยินแบบนี้ก็ชื่นใจ แม้ว่าเราจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของอาการนั้นๆก็ตาม แต่ไปตอนนี้แหละดีแล้ว หากเขาติดไวรัสลูกชุบระดับลึกๆลงไป บางทีมันอาจจะตัดใจยากกว่านี้ และในระยะเวลาที่หายไป มันอาจจะเหมาะสมแล้วที่จะพิสูจน์ว่านี่มันฉาบฉวยไปไหมสำหรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ก็อย่างที่รู้กัน…ว่าน้องไม่เคย และอย่างที่รู้กัน


ว่านี่อาจจะเป็นรักครั้งแรก…


“ไปแล้วกลับมาได้ไหม”  ลูกชุบถาม ยอมรับว่าตั้งแต่ได้พบกันมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมันดีมากๆ จนนึกเสียดายหากเราต้องจากกันทั้งๆที่ยังไม่ได้มีโอกาสได้เที่ยวเล่นคบหามากกว่านี้ แน่นอนว่าในจุดที่วาบหวามต่อใจมากกว่าที่เป็นอยู่ มันยังไปต่อไม่ได้ง่าย แต่…จะลบให้หาย มันก็ทำไม่ได้เลยเช่นกัน


“จะพยายาม”  เขาจะกลับมาบ้าง แต่คาดว่าคงยุ่งทีเดียว เพราะต้องทำงานไปด้วย และเขาจำเป็นต้องยอมรับว่านี่คือการอดเปรี้ยวที่ทรมานที่สุด เพื่อดูว่าความหวานจะคุ้มค่าไหม เป็นการลงทุนที่เสี่ยงที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ในเมื่อไม่เคยลงทุนเพื่อใครมาก่อน และลูกชุบเป็นคนแรกที่ได้มันไป ก็ไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ แต่ไม่มีการคืนคำแน่!


“แล้วน้องวินจะนั่งรถเมล์ได้ใช่ไหม ปรุงก๋วยเตี๋ยวได้หรือเปล่า จะดูแลตัวเองได้ไหม”  หลังจากได้ยินว่าเขาทำอะไรไม่ได้ ลูกชุบไม่ใช่คนที่หัวเราะเยาะ หากแต่แสดงความเป็นห่วงออกมา บางทีเขาพอจะรู้แล้วว่าทำไมถึงได้รักเจนได้ขนาดนี้ ทุกคำตอบมันมาจากลูกชุบจริงๆ เขาไม่ได้รักเจนเพราะเจนเป็นแฟนพ่อหรอก อัศวินก็แค่รักคนที่ห่วงใยคนอื่นอย่างบริสุทธิ์ใจมากกว่า และคนอื่นในนั้น ต้องได้รวมเขาเข้าไปแล้ว ทว่ากับลูกชุบ อัศวินไม่ต้องการแค่นี้!


เขาต้องการจะสำคัญกว่าคนอื่นไหนๆในนั้นต่างหาก!


TALK
มาถึงตรงนี้รู้หรือยังคะว่าใครเป็นตัวร้ายของเรื่อง
คุณพ่อกบนั่นเองงงงงงง นางเป็นคนโชคดีที่สุดในเรื่องนี้แล้ว หลังจากนกทุกเรื่อง
เรื่องส่งลูกออกจากอกไม่นกนะพ่อ
จริงๆคุณรบก็ไม่เชิงคำนวณไว้หรอก คุณพ่อแค่รู้ว่าลูกชอบเอาชนะ
และถ้าออกไปใช้ชีวิตเดินดินกินข้าวแกงแล้วได้เห็นตัวเองไม่ได้ดั่งใจน้องก็อาจจะยอมห่างจากอกเจนที่ประคบประหงมเอง
จะอยู่ที่นี่และฝึกงานก็ได้ แต่ก็รู้ว่าเจนต้องเข้ามาแทรกแซงแน่น้องเลยทำใจฮึบและไปไกลๆเจนเองเลยดีกว่า
เรื่องนี้คุณป๋าคำนวณไว้นิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะประสบความสำเร็จขนาดนี้
อายุมากขึ้นคุณพ่อก็จะเดินตามสายมารเหมือนเลขา555
ตอนหน้าจบแล้ว แม่ๆไม่งอแงนะคะ555






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด