ตอนที่ ๒
ไอ้ลินท์แกใจง่ายไปหรือเปล่าวะ เพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน วันนี้ตามเขามาถึงห้อง! กระเป๋าเป้ขนาดย่อมสีครีมถูกเจ้าของวางลง ดวงตากลมใสกวาดสายตาไปโดยรอบ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กในสลัมอย่างเขาจะมีโอกาสได้ขึ้นมาเพนท์เฮ้าส์ชั้นบนสุดของคอนโดหรูใจกลางเมือง มีทั้งแอร์เย็นฉ่ำ โทรทัศน์จอแอลซีดี60นิ้ว โซฟาเข้าชุดสีน้ำตาลอ่อน สไตล์เอิร์ธโทน มุมห้องมีกองของเล่น รถแข่ง หุ่นยนต์ เลโก้สีสันต่างๆ จัดวางเอาไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย เด็กหนุ่มมองแล้วก็รู้สึกคิดถึงตัวเองสมัยเด็กๆที่งอแงจะเอาของเล่น จนยายต้องยอมซื้อหุ่นยนต์พลาสติกตัวเท่ากำปั้นในราคา10บาทให้
“ชอบไหม” นายทหารหนุ่มนั่งลงบนโซฟา มือหนารินน้ำเปล่าใส่แก้วก่อนจะยื่นให้คนหน้าแดงก่ำ
“ชะ ชอบครับ” ลูกเป็ดรับแก้วน้ำมาแล้วกระดกลงคอรวดเร็ว ข้างนอกอากาศร้อนเหลือเกิน เขาไม่น่าขี้งกยืนรอรถเมล์ฟรีเลย ร้อนจนแทบจะละลายไปกับพื้นถนนอยู่แล้ว
“ของลินท์ห้องนั้นนะ” เขาชี้ไปที่ห้องอีกฝั่งหนึ่ง “ตามสบายเลยไม่ต้องเกรงใจ”
“คะ ครับ” เด็กหนุ่มวางแก้วแล้วใช้มือปาดริมฝีปาก “พี่จะให้ผมทำอะไรบ้าง?”
“เป็นพี่เลี้ยงเด็ก วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ลินท์แค่ไปรับ-ส่งลูกพี่ที่โรงเรียน สอนการบ้านง่ายๆ พี่จะพยายามกลับบ้านให้บ่อยที่สุด ส่วนค่าใช้จ่ายพี่จะโอนเข้าบัญชีธนาคารให้ ขาดเหลืออะไรบอกพี่ได้เลย”
“น้องกี่ขวบครับ”
“ปีนี้4ขวบ”
“เข้าโรงเรียนหรือยังครับ”
“ไทเกอร์ยังอยู่เตรียมอนุบาล” ชลธีใช้นิ้วนวดขมับ “แม่เขาส่งไปตั้งแต่2ขวบครึ่ง เพราะอยากให้ลูกปรับตัวก่อนเข้าโรงเรียนอนุบาล”
คนรวยนี่ดีจริง.. นึกถึงตัวเองที่ยายเล่าว่ากว่าจะได้เรียนก็ปาไปเกือบ5ขวบ..
“ผมว่าเด็กวัยนี้ควรได้เล่นตามช่วงวัยเขามากกว่าไปอัดเรื่องวิชาการ” เหลือบมองกองหนังสือคิดเลขอย่างง่ายและกระดานลูกคิดเล็กๆเขานึกว่าลูกชายของนายทหารหนุ่มเป็นเด็ก7-8ขวบเสียอีก
“บอกตามตรงพี่ไม่รู้เลยว่าเกศเขาวางแผนอย่างไรบ้าง เราแทบไม่มีเวลาคุยกัน พี่ต้องไปราชการต่างจังหวัดตลอด มีเวลากลับบ้านแค่ไม่กี่วัน ทุกสิ่งทุกอย่างเกศเขาเป็นคนจัดการทั้งหมด” ชลธีพูดเสียงแผ่ว ความรู้สึกเจ็บช้ำตีรวนในอกเมื่อพูดถึงอดีตภรรยาที่เลิกรากันไปเมื่อปีก่อน เมื่อเห็นคนตัวโตทำหน้าเศร้า ลูกเป็ดก็เอื้อมมือไปแตะไหล่เบาๆ ทำไมเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของการมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ชลธีจะต้องทำหน้าที่เป็นทั้งแม่และพ่อ ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีกเมื่อตัวเองไม่มีเวลาดูแลลูก
“ผมรู้ว่าพี่ธีมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ผมจะช่วยดูแลน้องไทเกอร์เอง”
“ฉลาม”
“หะ”
“ชื่อเล่นพี่”
“คนบ้าอะไรชื่อฉลาม”
“ไม่ใช่คนบ้าที่ไหน พี่นี่แหละ”
“ถ้าพี่ชื่อฉลาม ผมก็ชื่อปลาวาฬแล้ว”
“ปลาวาฬนั่นชื่อน้องชายพี่”
“หะ?”
“ไม่ต้องมาทำหน้างง ไอ้ลูกเป็ดเอ๊ย” เขาใช้มือขยี้กลุ่มผมนุ่มอย่างหมั่นเขี้ยว เวลาเห็นตากลมๆเบิกกว้างแล้วตลกชะมัด “เดี๋ยวเราไปรับไทเกอร์ที่โรงเรียนกัน จะเปลี่ยนเสื้อผ้าไหม?”
“ไม่เปลี่ยน ผมเพิ่งอาบน้ำมา” แอบดมรักแร้ตัวเองหนึ่งทีมีกลิ่นตุ่ยๆหน่อย แต่ก็ช่างมันเถอะ ใครจะมาดมล่ะ อาบน้ำทีเปลืองน้ำเปลืองสบู่!
“รอพี่แปบนะ” ชลธีถอดเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้าที่ใส่อยู่ออก โชว์ร่างกายบึกบึนอย่างคนออกกำลังกายทุกวัน “โทษที พี่ติดนิสัยเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เป็นที่มาตั้งแต่สมัยเรียนละ”
“อะ เอ่อไม่เป็นไรครับ” เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนี ริมฝีปากบางขบแน่น
ไม่ได้เป็นคนถอดสักหน่อยแต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกหน้าร้อนๆล่ะเนี่ย!.
.
.
.
.
.
“อาลีนนนนน แกะให้โหน่ยยย” เด็กชายแก้มยุ้ยในชุดเสื้อกะลาสีกรมท่ากางเกงลายสก็อตสีน้ำเงิน นั่งยุกยิกบนตักเด็กหนุ่ม ในมือมีลูกอมเต็มกำมือ วันนี้ชลธีรับหน้าที่เป็นพลขับในการไปรับลูกชายตัวป่วนจากโรงเรียน หลังจากแนะนำตัวพี่เลี้ยงเด็กให้ลูกชายฟัง ไทเกอร์เข้าใจ สามารถจดจำชื่อพี่เลี้ยงเด็กคนใหม่ได้และไม่ตื่นกลัวคนแปลกหน้าอย่างที่เขานึกกลัว
“เกอร์กินลูกอมไม่ได้นะครับ ฟันผุ”
“เกอร์ชอบ ทำไมอาลีนไม่ให้เกอร์กิน”
“กินได้แต่ต้องไม่ใช่ทั้งถุงแบบนี้” มุจลินท์ค่อยๆดึงถุงลูกอมออกมาจากกระเป๋าเป้ที่เด็กชายสะพายไปโรงเรียนออกมา “พี่ฉลามให้น้องกินอะไรเนี่ย?” เขาชูถุงลูกอมเคี้ยวหนึบที่เคยเห็นดาราวัยรุ่นเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา
“พี่เปล่า”
“เปล่าได้ยังไง มีเต็มตู้เย็นเลย” เขาแอบเห็นขนมขบเคี้ยวอัดแน่นเต็มตู้เย็นไปหมด
“พี่เลี้ยงเด็กคนก่อนที่ชื่อชมพูชอบป้อนให้ไทเกอร์กิน” คุณพ่อตอบเสียงอ่อน
“แล้วทำไมพี่ไม่ห้าม”
“พี่เห็นว่าเกอร์กินแล้วจะไม่ร้อง”
“ทีหลังกินไม่ได้นะครับเกอร์” เขาพูดพลางใช้สายตาดุส่งไปให้นายจ้างหนุ่ม “อาลินท์ไม่อยากเห็นเกอร์ร้องไห้ปวดฟันเพราะฟันผุ” ชลธีสะดุ้งโหยง
นี่เขาได้พี่เลี้ยงเด็กหรือแม่มากันแน่.. “ทำไมฟันผุครับอาลีน”
“ฟันผุเพราะแมงกินฟันครับเกอร์”
“แมงกินฟันคืออะไรครับอาลีน แล้วฟันอร่อยไหม”
สองเสียงดังเจื้อยแจ้วบนรถท่ามกลางรถติด ชลธีตัดสินใจเปิดไฟเลี้ยวรถเข้าร้านอาหารเพราะเห็นว่าค่ำมากแล้ว เดี๋ยวจะหิวกัน จนกระทั่งจอดรถเข้าซองเรียบร้อย เด็กหนุ่มกับเด็กตัวอ้วนก็ยังพูดคุยกันไม่หยุด จนเขาสะกิดเรียกก็ยังไม่มีใครสนใจ หัวเราะคิกคักกันอยู่สองคน
ให้ตายเถอะ เขากลายเป็นหมาหัวเน่าโดยสมบูรณ์!!.
.
.
.
.
.
.
‘เพียงแค่จอบแนมซอมเบิ่งอ้ายอยู่ไกลๆ หัวใจน้องนี้ก็มีแฮง ฮู้ว่าอ้ายมีเขา น้องกะสิบ่ขอแข่ง บ่อาจสิไปแย่ง แต่น้องขอสแตนด์บาย..’ “เปรี้ยว หยิบกะทิให้พี่หน่อย” เด็กหนุ่มตะโกนเสียงลั่นบ้านพลางใช้มือข้างที่ถนัดกวนมะพร้าวที่ขูดเป็นเส้นยาวในกระทะทองเหลือง โรยเกลือและใส่น้ำตาลปี๊บ จนกลิ่นหอมโชยติดจมูก ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนจุดยิ้ม เหลือแค่คนให้เข้าที่แล้วปล่อยให้ส่วนผสมแห้ง.. วันนี้วันเสาร์เขาจึงได้กลับบ้านมาดูแลยายพร้อมทั้งลงมือทำขนมเตรียมไปขายที่ตลาดเป็นประจำเหมือนทุกที “เปรี้ยว! ได้ยินที่พี่พูดไหมเนี่ย”
‘ซอมเบิ่งอยู่เด้อ ถ้าหากว่าเธอ นั้นเลิกกันกับเขา เรื่องของสองเฮาสิเป็นไปได้บ่ บ่ได้เข้ามาเพื่อกดดัน แต่ว่าฉันนั้นแค่รอ ฟ่าวเลิกกันแหน่เถาะ ผู้สาวขาเลาะ อยากเป็นผู้สาวอ้าย’เพลงอะไรของมัน!
เสียงเพลงจากวิทยุดังกระท่อนกระแท่นออกมาจากหลังบ้าน มุจลินท์สืบเท้าเร่งเข้าไปในห้องด้านในสุด บ้านไม้ชั้นเดียวสุดซอยติดกับคลองในชุมชนแออัดหลังนี้เขาอยู่มาตั้งแต่เกิดแล้ว แม้อีกไม่นานโครงการสร้างเขื่อนริมคลองลดน้ำท่วมในเมืองกรุงของท่านผู้ว่าฯจะมาในอีกไม่ช้า ชาวบ้านจะได้เก็บเงินออมและมีที่พักอาศัยที่แน่นอนขึ้น เขาจะได้มีบ้านดีๆอยู่อย่างคนอื่นเขาเสียที แต่.. สิ่งที่เขาห่วงมากที่สุดคืออาการเจ็บป่วยของยายต่างหาก ยายถูกย้ายไปนอนในเพิงสังกะสีที่เขาทำขึ้นอย่างลวกๆ ทุกวันก่อนไปรับไทเกอร์กลับจากโรงเรียนเขาจะไปส่งข้าวส่งน้ำและเปรี้ยวจะนอนเป็นเพื่อนในเวลากลางคืน ยายไม่สามารถจะนอนอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ ในเมื่อ ‘มัน’ จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เคร้ง เคร้ง เคร้ง“โอ้ย พี่ลินท์ ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว” เด็กหญิงหัวยุ่งเงยหน้าขึ้นจากฟูกเก่าปริที่เห็นฟองน้ำด้านใน มุ้งสีทึบถูกเปิดขึ้นตามด้วยร่างงัวเงียที่เดินออกมาหน้ามู่ทู่
“พี่ก็คิดว่าแกน่ะไปตัดใบตองมารอพี่แล้ว แล้วนี่ทำอะไรฮะ! ยังไม่ตื่นนอนอีก ตัวขี้เกียจเข้าสิงแกหรือ” มุจลินท์เดินปึงปังเข้าไปเก็บหมอนผ้าห่มให้เข้าที่ “ไปอาบน้ำแล้วมาตัดใบตองให้พี่ เร็วๆเลย”
เด็กหนุ่มเดินออกไปห้องครัวคว้ากะทิขึ้นมาผสมกับแป้งข้าวเจ้า และเกลือป่น เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเผลอใส่หนักมือไปหน่อยหวังว่าขนมใส่ไส้ยายสมใจเจ้าเก่าวันนี้จะไม่เค็มจนโดนลูกค้าด่าตามหลังมาหรอกนะ
“เปรี้ยว! ใบตองได้หรือยัง พี่รอนานแล้วนะ” เสียงเงียบหายไปเกือบยี่สิบนาทีจนมุจลินท์ชักสงสัย วางตะหลิวที่ใช้คนขนมในมือลง “พี่ยอมให้แกเปิดเพลงแล้ว อย่าเงียบแบบนี้สิวะ”
“มาแล้วจ้า!” เด็กสาวกระโดดออกมาจากมุมบ้าน ในมือถือใบตองสีเขียวสดที่เจ้าตัวใช้มีดกรีดเป็นทางยาว เขาสะดุ้งตัวโยนเกือบยกขาถีบผีจำเป็นที่แล่นปราดมาข้างหน้า
“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง!”
“รอฉันแปบนึงนะพี่ อย่ารม’เสียดิ” เปรี้ยวรีบกุลีกุจอหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางซ้อนกันอยู่ออกมาคลี่เป็นทางยาวก่อนจะปูให้แนบไปกับพื้นไม้ บ้านไม้หลังน้อยแห่งนี้เก่าผุผังเต็มทีเวลาจะนั่งต้องคอยระวังแมลงให้ดี “ฉันขอโทษนะพี่ลินท์ เมื่อกี้ฉันเล่นหวาดเสียวไปหน่อย” เปรี้ยวพุ่มมือไหว้หน้าตาสลด เขาเอื้อมมือเขกหัวเบาๆ
“พี่ไม่โกรธแกหรอกน่า”
เปรี้ยวเป็นหลานลุงกิจกับป้าแจ่ม ลุงกับป้าข้างบ้านที่ขายน้ำเต้าฮวยกับสลัดที่ตลาด ยายพริมซึ่งเป็นยายของเขานั้นเคยรับเลี้ยงเปรี้ยวตอนเล็กๆ เพราะพ่อกับแม่ไปรับจ้างอยู่โรงงานที่ต่างจังหวัด เมื่อครึ่งปีก่อนพ่อกับแม่ของเปรี้ยวขาดการติดต่อกะทันหัน เด็กสาวอายุสิบเจ็ดปีจึงต้องลาออกจากโรงเรียนมาช่วยลุงกับป้าทำงานรับจ้างเล็กๆน้อยๆ ด้วยความที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก มุจลินท์จึงรักเปรี้ยวเหมือนน้องสาวแท้ๆ
“เดี๋ยวไปดูกระทะให้พี่ที” เด็กสาวพยักหน้าก่อนจะวิ่งปรู๊ดออกไปทางห้องครัวที่ติดกับลานบ้าน
โครมมมม! ปัง!
“กรี๊ดดดดดดดดดด”
“เปรี้ยว!” มุจลินท์สะดุ้งเฮือกปล่อยมือจากใบตองตรงหน้า พุ่งตัวไปตามเสียงร้องของน้องสาว ในใจภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิด สิ่งที่เขากลัวมาตลอด
“ไอ้ลินท์ มึงก็อยู่กับเขาด้วยหรือ” ข้างหน้าเขาคือผู้ชายตัวโตร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้าม มันชอบสวมเสื้อกล้ามสีสันฉูดตาและลำตัวเต็มไปด้วยรอยสัก ‘สินชัย’ คือเจ้าพ่อเงินกู้แห่งชุมชนย่านนี้ ชาวบ้านที่เดือดร้อนจนต้องไปพึ่งพิงต้องยอมจ่ายดอกแพงแสนแพงเพื่อต่อชีวิตให้ผ่านไปอีกวัน ยายของเขาเคยไปยืมเงินเพื่อนำมาเป็นทุนขายขนมเมื่อสองปีที่แล้ว การคิดเงินของมันคือดอกลอย ต่อให้จ่ายดอกให้มันทุกวัน เงินต้นก็ยังอยู่เท่าเดิมไม่เคยลด เขาพยายามหาเงินมาจ่ายดอกให้มันทุกวัน มันจึงยังไม่มาหาเรื่องเขา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องพายายไปอยู่ที่อื่นเพื่อความปลอดภัย
“พี่ อย่าทำอะไรไอ้เปรี้ยวมันเลย มันยังเด็ก”
“เด็กอะไรวะ เนื้อนมไข่แบบนี้เป็นแม่พันธุ์ได้แล้ว” มันล็อคคอเปรี้ยวแน่นจนเขานึกกลัวน้องจะหายใจไม่ออก เด็กสาวพยายามดิ้นแค่ไหนก็ไร้ผล มุจลินท์จุดยิ้มหวานทำเป็นใจดีสู้เสือ
“ฮือ พี่อย่าทำอะไรหนูเลย” เปรี้ยวกระพุ่มมือไหว้อย่างน่าสงสาร แทบจะก้มลงไปกราบเท้า
“มึงไม่ต้องพูดมาก พ่อกับแม่มึงหายหัวไปเกือบปี บอกกูสิว่ากูจะเก็บเงินที่พ่อแม่มึงเอาไปได้ยังไง”
“ฉัน ฉันมีเท่านี้ พี่เอาไปก่อนนะ ปล่อยไอ้เปรี้ยวก่อน” สองมือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์สามส่วนที่ซักจนขาวซีด มือที่สั่นระริกค่อยๆบรรจงนับแบงค์สีแดง หัวใจเต้นระรัว ภาวนาขอให้มันอย่าทำอะไรไปมากกว่านี้เลย นอกจากยายแล้วก็มีเด็กสาวตรงหน้านี้ที่เขาเป็นห่วงเป็นใยเหมือนน้องในไส้คนนึง
หนึ่งร้อย สองร้อย สามร้อย สี่ร้อย...
เขายอมรับว่าตั้งแต่เกิดจนโตเขาไม่เคยรู้สึกโกรธหรือโทษโชคชะตาที่ต้องเกิดมาจนเหมือนวันนี้เลย..“เงินแค่นี้มันจะไปพออะไรวะไอ้ลินท์ สู้กูเอาอีนี่ไปให้พวกแม่เล้าขัดดอกสักปีสองปี มันได้ใช้หนี้กูหมดแน่” หัวใจเขาเหมือนหล่นลงไปอยู่ตาตุ่ม ริมฝีปากบางขบกันจนเนื้อแทบแตก เขาไม่มีวันยอมให้ไอ้คนชั่วทำอะไรน้องเขาเด็ดขาด
“ฉันไง เอาฉันไปแทนไอ้เปรี้ยวมันเถอะ มันยังเด็กเกินไป รอให้มันโตกว่านี้เถอะพี่”
“มึงเนี่ยนะไอ้ลินท์ หุ่นขี้ก้างอย่างมึงจะไปทำอะไร” มือหยาบกร้านคว้าแก้มเนียนของเขาแน่น พลิกซ้ายพลิกขวา เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ๆ สูดกลิ่นกายหอมกรุ่นเหมือนขนมหวาน นิ้วมือกวาดไล้ไปตามเนื้อแก้ม ผิวขาวสุขภาพดีมีเลือดฝาดแถมยังนุ่มนิ่มไม่ต่างจากผู้หญิง ดวงตาสีสวยที่จ้องมองอย่างแข็งกร้าวดูน่าค้นหา สินชัยกดยิ้มที่มุมปากเป็นรอยลึก นึกในใจคำนวณค่าตัวเด็กหนุ่มตรงหน้า มันคงได้เงินกลับมาชดเชยที่เสียพนันบอลไปเมื่อวานแน่ “เอามึงไปแทนก็ได้ ไอ้พวกชอบของแปลกกระเป๋าเงินหนักคงทุ่มไม่อั้น” มุจลินท์ถอนหายใจเฮือกที่มันยอมตกลงแต่โดยดี เขาสบตากับน้องสาวที่น้ำตาคลอหน่วย มันปล่อยตัวเปรี้ยวลง เด็กสาวผวาวิ่งเข้ามากอดเขาแน่น เขาได้แต่กอดปลอบลูบหัวไปมา
“ฮึก ฮือ”
“จะร้องไห้ทำไม หืม”
“หนูไม่ยอมให้พี่ไป..ฮึก”
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอกน่า ยังไงพี่ก็เป็นผู้ชายนะ” เขากอดตัวเด็กสาวแน่น ใช้มือปาดน้ำตาที่ทะลักทลายออกมาไม่หยุด “เก็บข้าวของแล้วไปนอนกับยายซะคืนนี้”
“ไม่เอา ฉันไม่เอา พี่ลินท์อย่าทำอย่างนี้”
“ดูแลยายแทนพี่ด้วย เดี๋ยวพี่กลับมา” เขายิ้มให้เด็กสาวที่กำลังงอแง เปรี้ยวปาดน้ำตาแล้วก็ยังสะอึกสะอื้น ขนาดโตเป็นสาวก็ยังขี้อ้อนเขาเหมือนเป็นเด็กเล็กๆ
“ร่ำลาเสร็จแล้ว มึงก็รีบตามกูมาได้แล้วไอ้ลินท์ มึงไม่ต้องห่วงมีคนดูแลช่วยมึงแต่งตัวก่อนรับแขกคืนนี้อยู่แล้ว หึ”มุจลินท์กัดกรามแน่นเมื่อเห็นสายตาหยามเหยียดจากคนตรงหน้า ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะไปขัดขืนอะไรทั้งนั้น ได้แต่ก้มหน้าก้มตาลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เกาะติดตามตัว มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อน้องสาว เขาก้มลงไปจุมพิตหน้าผากเนียน
“รอพี่นะเปรี้ยว”
“พี่ลินท์!!” เด็กสาวนั่งทรุดลงกับพื้นปล่อยโฮอย่างไม่อาย ไม่กล้าจะวิ่งตามไปช่วย ไม่กล้าจะไปเรียกร้องให้ใครมาช่วยเหลือ ไม่มีใครสนใจเด็กในสลัมแออัดอย่างเธอและพี่ชายอยู่แล้ว มือเล็กคว้าปลายเสื้อขึ้นมาซับน้ำมูก แผ่นกระดาษเล็กๆสีขาวปลิวหล่นมาบนตัก มือเธอสั่นเมื่อค่อยๆอ่านข้อความในใจช้าๆ
‘พ.ต. ชลธี พันศิยะวัตร’
089-459-XXXX
TBC ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ ขอบคุณจริงๆ