⊰บงการ:วันที่20:⊱
'...เบียทรีซ นี่เบียทรีซ' นี่เสียงของวิณณ์เรียกดวงตาสีทองสว่างของผมให้ลืมขึ้น บรรยากาศรอยกายและวิวทิวทัศน์ที่เห็นนั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่โลกของความเป็นจริงแต่เป็นเพียงความฝัน
ขนาดในความฝันยังเห็นวิณณ์อีกเหรอเนี่ย เรียกว่าวิณณ์เข้ามาอยู่ทั้งในโลกความจริงและความฝันเลย
มันไม่ใช่เพียงความรู้สึกรักแต่มีบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้หมด หากจะให้บรรยายออกมาเป็นประโยคก็คงไม่พ้นประโยคที่ว่า...
วิณณ์เป็นทุกอย่าง
'มาอยู่ในความฝันข้าแบบนี้คิดจะทำอะไรวิณณ์' ความจริงผมควรจะถามตัวเองมากกว่าว่าทำไมถึงได้ฝันถึงอีกฝ่ายแบบนี้
'ผมอยากคุยกับเบียทรีซ...อยากคุยด้วยเยอะๆ เลย' วิณณ์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้างซึ่งถ้าเป็นคนอื่นคงจะมองว่าเป็นรอยยิ้มดีใจปกติแต่ผมมองเขามาตลอดเพราะงั้นความรู้สึกแปลกๆ ที่แผ่ออกมาจากรอยยิ้มนั่นไม่สามารถเร็ดรอดสายตาผมไปได้
'ทำไมถึงทำหน้าเศร้าแบบนั้น' ผมถามกลับไปตามจริง มันไม่ใช่แค่ความเศร้าที่สื่อออกมาแต่รวมไปถึงความปลงหรือแม้แต่ความหม่นหมองบางอย่าง
'คุณชอบขนมอะไร' อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องพูดคล้ายไม่อยากตอบคำถามนั้น
'คำถามอะไรของเจ้าเนี่ย' มีคำถามเป็นพันเป็นแสนกลับถามเรื่องขนมที่ผมชอบซะอย่างงั้น
'ก็ผมอยากรู้นี่'
'ไว้ตื่นมาค่อยถามก็ได้มั้ง'
'...ก็ผมไม่มีโอกาสได้ถามแล้วนี่' เสียงพึมพำอันแผ่วเบาของวิณณ์ที่ผมได้ยินนั้นทำเอาผมต้องขมวดคิ้วแน่น
'หมายความว่ายังไง'
'...ตอบผมหน่อยสิว่าขนมที่คุณชอบคืออะไร' เป็นครั้งที่สองที่อีกฝ่ายเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม
'...ช็อคโกแลตละมั้ง' ถ้าเป็นปกติผมคงถามซ้ำจนกว่าจะได้คำตอบแต่ไม่รู้เพราะอะไรครั้งนี้ผมถึงเลือกที่จะตอบคำถามนั้นไป
'...'
'...อะไร ก็ตอบไปแล้วไง' ผมถามกลับเมื่อดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นเบิกกว้างขึ้นคล้ายกำลังจะตกใจกับคำตอบที่ได้ยิน
'แค่ตกใจ ไม่คิดว่าคุณจะชอบช็อคโกแลต'
'ข้าไม่ได้ชอบช็อคโกแลตทั้งหมดหรอกนะ แค่บางอันเท่านั้นแหละ' ถ้าคิดว่าผมชอบช็อคโกแลตทั้งหมดละก็ผิดแล้ว ตั้งแต่เมื่อก่อนผมไม่ค่อยชอบกินพวกขนมหรือของหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งโตมาก็ยิ่งไม่ค่อยชอบแต่ก็กินล้างปากหลังอาหารนิดหน่อยตลอด ที่บอกว่าบางอันก็ค่อนข้างผิดไปต้องพูดว่าที่ชอบมีแค่ช็อคโกแลตฝีมือวิณณ์
จะวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรักอะไรก็ไม่รู้แหละ แต่ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในทุกคำที่ป้อนมันสื่อออกมาได้อย่างชัดเจน
ผมชอบเวลาที่รับรู้ความชอบหรือรักจากวิณณ์ ความเขินอายบวกกับใบหน้าเห่อแดงนั่นมองยังไงก็ไม่เคยเบื่อ
'ฮืม...งั้นคุณชอบสัตว์อะไร'
'ไม่ชอบ' แทบไม่ต้องคิดคำตอบเลย
'ชอบท้องฟ้าเวลาไหน'
'ตอนเย็น' ท้องฟ้าในช่วงเย็นจะมีไม่กี่นาทีที่ทั่วทุกพื้นที่จะเห็นท้องฟ้าเป็นสีทองอร่าม มองดูกี่ทีก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย
'ผักที่ชอบล่ะ'
'แครอท' ผักหลายชนิดของโลกปิศาจจะเหมือนกับโลกมนุษย์ซึ่งแครอทก็เป็นหนึ่งในนั้น
'ผลไม้ล่ะชอบอะไร'
'ฟีปัส' ผลไม้ขนาดเล็กที่ไร้เมล็ดและด้านในไม่ใช่เนื้อผลไม้แต่เป็นน้ำผลไม้ พอกัดเข้าไปจะสัมผัสได้ถึงน้ำที่ไหลออกมาจากด้านใน สาเหตุที่ชอบไม่ใช่รสชาติที่อร่อยแต่เป็นกินง่ายดี
'แล้ว...'
'คิดจะถามให้หมดทุกอย่างเลยรึไง' ผมพูดแทรก
'...ไม่ได้เหรอ'
'รอตื่นข้าจะตอบเจ้าทุกคำถามเลย' ผมบอกพลางเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มของวิณณ์เบาๆ เจ้าตัวไม่ได้หลีกหนีตรงกันข้ามกลับขยับตัวเข้ามาใกล้พร้อมเอียงหน้าเล็กน้อยให้ผมสัมผัสได้มากขึ้น
'...เบียทรีซ...ผมรักคุณมากๆ เลยนะ' ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่ส่งมาสร้างความรู้สึกหน่วงๆ ภายในอกให้เกิดขึ้น สำหรับผมฟังแล้วไม่รู้สึกว่าเป็นคำบอกรักแต่มันให้ความรู้สึกคล้ายคำบอกลาซะมากกว่า
‘รักข้าแล้วทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนี้’
‘ผมมีความสุขที่สุดที่ได้อยู่กับคุณมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความเอาแต่ใจและความไม่ยอมใครของคุณมันทำให้ผมชอบเช่นเดียวกับความอ่อนโยนและอบอุ่นที่ทำให้ผมหลงใหล ทุกอย่างของเบียทรีซทำให้ผมรัก’
‘วิณณ์...’
‘นี่เบียทรีซ’
‘…อะไร’
‘อย่าแพ้นะ’ วิณณ์บอกก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้จนดวงตาของพวกเราประสานกันนิ่ง
‘แพ้อะไร’
‘คุณต้องชนะให้ได้นะ!’ วิณณ์ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างแนบมายังแก้มผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง ในขณะนั้นเองที่ร่างกายของอีกฝ่ายค่อยๆ สลายไปราวกับเม็ดทรายยามถูกสายลมพัดพา
‘จะไปไหนวิณณ์’ ผมไม่ได้รับคำตอบของคำถามที่เอ่ยไป สิ่งที่อีกฝ่ายทำมีเพียงมอบจูบอันแผ่วเบาลงบนริมฝีปากก่อนทั้งร่างจะสลายหายไปจนหมดสิ้น
“วิณณ์!” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด ผนังของปราสาทถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุพิเศษช่วยในการควบคุมอุณหภูมิภายในปราสาทให้พอเหมาะอยู่เสมอ ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่ผมกลับรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลอาบเกือบทั้งร่าง
ความฝันเมื่อครู่คืออะไรกัน?!
ผมคิดพลางหันไปหาวิณณ์ที่น่าจะนอนหลับอยู่ด้านข้างทว่าร่างของวิณณ์กลับหายไปจากเตียง ความกังวลที่มีเริ่มเพิ่มขึ้นและเพิ่มเข้าไปอีกยามรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในห้องน้ำ ประสาทสัมผัสของปิศาจระดับสูงมีมากกว่าปิศาจระดับอื่นยิ่งกับผมที่เป็นถึงราชาสามารถขยายสัมผัสนั้นออกไปเพื่อหาคนที่ต้องการได้ เป็นการค้นหาพลังปิศาจที่ถูกปล่อยออกมาแบบเฉพาะของปิศาจแต่ละตน
เช่นเดียวกันกับวิณณ์ตลอดมาผมสามารถหาเขาเจอด้วยการตามกลิ่นไอของพลังปิศาจซึ่งแตกต่างจากปิศาจตนอื่นมาก ไม่ว่าจะอยู่ไกลสุดเขตแดนโลกปิศาจหรือแม้แต่บนยอดเหนือสุดของภูผาผมก็มั่นใจว่าสามารถหาเจอทว่าครั้งนี้ผมกลับสัมผัสถึงพลังของวิณณ์ไม่ได้เลย ราวกับหายไปอย่างสิ้นเชิง
เกิดอะไรขึ้น...วิณณ์!
ความรู้สึกภายในกำลังว้าววุ่นส่งผลต่อการควบคุมพลังปิศาจโดยตรง พลังปิศาจหนาแน่นระเบิดออกเป็นวงกว้างไปทั่วทั้งปราสาทและอาจไกลไปถึงหมู่บ้านที่อยู่ถัดไปไม่ไกลด้วย ผมในตอนนี้ไม่สนว่าพลังจะร่อยหรอไปมากเพียงใดก้าวเดินไปยังห้องประชุม พลังที่ผมแผ่ออกไปเรียกเหล่าปิศาจระดับสูงที่สามารถขยับตัวได้ให้มารวมกัน
พวกเขาต่างรู้ดีด้วยสัญชาตญาณว่าผมในตอนนี้ไม่อยู่ในอารมณ์ปกติ ทั้งแกรน เตโช สก๊อตหรือแม้แต่กาเนอร์ต่างก้าวเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าซึมเหงื่อ พลังของผมต่อให้เป็นปิศาจระดับสูงก็ยังมีผลเพราะงั้นอย่าพูดถึงปิศาจที่อยู่ระดับต่ำกว่านี้เลย นอกจากจะไม่สามารถขยับตัวได้แล้วยังจะสลบไม่รู้เรื่องอยู่ในห้อง
“องค์ราชา...เกิดอะไรขึ้น” แกรนเอ่ยถาม
“วิณณ์หายไป” ไม่จำเป็นต้องมีการเกริ่นใดๆ แค่ประโยคเดียวก็มากพอให้ข้ารับใช้คนสนิททั้งสี่ตนเข้าใจ
“ทรงสัมผัสถึงเขาไม่ได้?” กาเนอร์ถามต่อ
“ใช่ สก๊อต” ผมเบนสายตาไปทางสก๊อต ในเรื่องของการค้นหาไม่มีใครเก่งไปกว่าสก๊อต การค้นหาของสก๊อตก็ไม่ได้ต่างกับผมนักคือการใช้การจับกลิ่นไอหรือพลังของมนุษย์หรือปิศาจในการตามหา
“...สัมผัสถึงพลังของท่านวิณณ์ไม่ได้” สก๊อตเอ่ยบอกหลังจากใช้เวลาสักพักใหญ่ในการค้นหา
“หมายถึงเกิดอะไรขึ้นสินะ” เตโชหันไปถามสก็อต
“หากสัมผัสถึงพลังไม่ได้มีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือพลังปิศาจหมดไปหรือแผ่วมากซึ่งในกรณีของท่านวิณณ์แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับสัมผัสไม่ได้ พลังปิศาจระดับนั้นไม่ว่าจะอยู่ในโลกปิศาจหรือโลกมนุษย์ข้ามั่นใจว่าสามารถหาเจอได้”
“อย่างที่ 2 คืออะไร” แกรนถามสก๊อตต่อ สีหน้ากังวลของสก๊อตทำให้บรรกาศเริ่มตรึงเครียดขึ้น ผมเองก็พอจะเดาอีกทางที่สก๊อตจะเอ่ยออกมาได้ และมันเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะฟังด้วย
“อย่างที่ 2 คือ...”
“ท่านวิณณ์ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกอีกแล้ว อธิบายง่ายๆ ก็คือตาย” เสียงจากบานประตูที่เปิดอ้าออกนั่นมาพร้อมกับบักเก็ตที่ก้าวเข้ามาภายในห้องด้วย เพียงแค่เห็นใบหน้านั้นความโกรธและหยุดหงิดก็ปะทุขึ้นมาแทบจะทันที
“ฝีมือเจ้าใช่ไหมบักเก็ต!!” ผมตะหวาดกร้าวดึงพลังปิศาจที่แผ่อยู่รอบๆ กลับมาปกคลุมรอบห้อง
“ดูท่านจะรนมากสินะ”
“ตอบคำถามข้า!” พลังปิศาจถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของกริซพุ่งเข้าใส่บักก็ตที่ใช้พลังปิศาจของตัวเองป้องกัน
“ต่อให้เป็นราชาปิศาจที่อยู่เหนือสุดแต่ก็ใช่ว่าจะอยู่เหนือไปได้ตลอดไปนี่นะ พลังปิศาจอันมหาศาลของท่านลดลงขนาดที่ข้ายังสามารถป้องกันได้สบายๆ เลย” บักเก็ตยกยิ้มขึ้นระหว่างพูด
“องค์ราชาทรงพักก่อนเถิด” แกรนก้าวเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าปกติ พลังของผมที่ทำให้เหล่าปิศาจหวาดหวั่นลดน้อยลงเพราะการปลดปล่อยพลังออกไปแบบไม่ยั้งคิดก่อนหน้านี้
“เจ้าทำอะไรท่านวิณณ์บักเก็ต” เตโชก้าวขึ้นไปเผชิญหน้ากับบักเก็ตด้วยสายตาของสัตว์ร้าย เตโชเป็นคนสนิทของผมและก็เป็นอาจารย์ของวิณณ์ด้วย เขาใช้เวลาฝึกวิณณ์มากว่า 20 ปี ความผูกพันธ์น่ะไม่ต้องพูดถึงเตโชถือว่าวิณณ์เป็นลูกศิษย์คนสำคัญ ไม่แปลกที่เขาจะโกรธ
“หึ อย่ามาปรักปรำข้าเตโช” บักเก็ตจ้องไปยังเตโชอย่างไม่ยอมแพ้
“เจ้าต่างหากเลิกแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรสักที คนที่อยู่เบื้องหลังการใส่ยาพิษลงในแก้วขององค์ราชาก็คือเจ้า ปิศาจสารภาพมาหมดแล้ว” เตโชพูดต่อ
“แล้วไง? ข้าไม่สนหรอกนะว่าเจ้าจะรู้ความจริงหรือไม่เพราะยังไงข้าก็ไม่คิดจะปล่อยพวกเจ้าไปอยู่แล้ว ต้องกวาดล้างพวกที่จะมาขัดขวางการขึ้นเป็นราชาของข้าให้หมด”
“คิดว่าพวกเราจะยอมง่ายๆ รึไง” แกรนและสก๊อตรวมไปถึงกาเนอร์ก้าวขึ้นไปอยู่ขนาบข้างเตโช
“เหอะ นี่ราชา มาสู้กันโดยใช้ตำแหน่งราชาเป็นเดิมพันดีกว่าน่า” บักเก็ตไม่สนใจพวกเตโชแต่กลับเงยหน้าขึ้นมาท้าทายผมแทน
“วิณณ์อยู่ที่ไหน” เรื่องที่สำคัญในตอนนี้ไม่ใช่การสู้กับบักเก็ตแต่เป็นวิณณ์
“ถ้าชนะข้าได้อาจจะยอมบอกก็ได้นะ”
“บักเก็ต!”
“เอายังไงล่ะองค์ราชา จะหนีหรือสู้?!” อีกฝ่ายตะโกนถามต่ออีก
“องค์ราชา อย่าไปสนใจ”
“เดี๋ยวพวกข้าจะจัดการเอง” ทั้งเตโชและแกรนรวมไปถึงคนอื่นๆ พากันช่วยพูดเพื่อไม่ให้ผมหลงกล ต่อให้กำลังกังวลหรือว้าวุ่นเรื่องวิณณ์สักแค่ไหนแต่เรื่องง่ายๆ ทำไมผมจะดูไม่ออก บักเก็ตเล็งช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอที่สุดไว้เพราะนั่นอาจเป็นโอกาสเดียวที่อีกฝ่ายจะสามารถเอาชนะได้
“เอาสิบักเก็ต” ผมตอบตกลงพร้อมก้าวไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยมีพวกแกรนถอยไปยืนอยู่ข้างหลัง พวกเขาไม่ได้คัดค้านอะไรเพราะคำพูดของผมเป็นตัวบอกถึงการตัดสินใจ
“หึหึ ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง ข้าจะจัดการเจ้าซะแล้วจะขึ้นเป็นราชา!” สิ้นคำพูดบักเก็ตควบคุมพลังปิศาจมารวมกันตรงหน้าก่อนจะใช้พลังนั้นพุ่งเข้าโจมตีผมอย่างรวดเร็วซึ่งผมใช้พลังของตัวเองเป็นเกราะป้องกันหากเป็นในยามปกติแค่พลังของบักเก็ตระดับนี้ไม่สามารถทำอะรผมได้แต่เพราะเสียพลังไปโดยเปล่าประโยชน์นานหลายสิบนาทีตอนนี้พลังที่เหลือจึงไม่สามารถป้องกันการโจมตีนั้นได้ทั้งหมด
“อึก...” ร่างของผมถูกพลังนั่นพุ่งเข้าใส่จนล่าถอยไปหลายเมตร
“องค์ราชา!”
“อย่าเข้ามายุ่งเจ้าพวกตัวกวน การต่อสู้นี่เป็นของข้ากับราชาที่กำลังจะถูกโค่น!!” บักเก็ตตะโกนใส่พวกแกรนที่ทำท่าจะเข้ามาช่วยผม
“แก! บักเก็ต!”
“ว่าไงราชา จะยอมสละตำแหน่งโดยดีไหมล่ะแล้วข้าจะให้เจ้าตามเด็กนั่นไป”
“วิณณ์อยู่ที่ไหน” ผมกัดฟันข่มอาการบาดเจ็บถามบักเก็ตกลับไป
“ลองเดาไหมล่ะ”
“บักเก็ต!”
“ข้าไม่กลัวเจ้าในตอนนี้หรอกนะ อ่อนแอแบบนั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
“วิณณ์อยู่ไหน” จะว่าผมยังไงก็ช่าง เรื่องสำคัญในตอนนี้คือต้องหาที่อยู่วิณณ์ ยังไงก็ต้องเป็นฝีมือของบักเก็ตแน่นอนอยู่แล้ว
“หึ รักมันมากขนาดนั้นเลย? ก็ได้ข้าจะบอกหลังจากจัดการเจ้า” กลุ่มของพลังปิศาจจับตัวกันเป็นก้อนขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่ผมที่พยายามรวบรวมพลังที่เหลือมาใช้แทนเกราะป้องกัน แน่นนอนว่าพลังที่เหลือเพียงแค่นี้ไม่พอที่จะต้านพลังของบักเก็ตได้
ร่างกายของผมลอยไปตามแรงปะทะ แผ่นหลังกระแทรกเข้ากับผนังพร้อมโลหิตสีแดงฉานหลั่งไหลออกมาจากจากบาดแผลทั่วร่าง ถึงจะเจ็บสักแค่ไหนแต่ผมก็ยังยืนอยู่ไม่ยอมทรุดลงไปกองบนพื้นแน่
“ตอบข้าบักเก็ต เจ้าทำอะไรวิณณ์”
“ใกล้ตายขนาดนั้นยังจะถามถึงมันอีกนะ ถือเป็นความใจดีของราชาองค์ใหม่ข้าจะบอกให้ละกันว่าข้าทำอะไรคนรักของเจ้า มันเป็นเรื่องง่ายๆ ข้าแค่ใช้พลังปิศาจเปิดทางเชื่อมพาร่างของมันมาในสภาพงัวเงียจับกรอกยาพิษบังคับให้กลืนลงไป...”
“บักเก็ต!” ไม่ต้องรอให้ฟังจบประโยคผมใช้พลังปิศาจของตัวเองโจมตีใส่บักเก็ตแต่ด้วยพละกำลังที่ด้อยกว่าการโจมตีผมเลยโดนปัดออกหมด
“จากนั้นข้าทำอะไรต่อน่ะเหรอ ข้าก็บีบคอมันแล้วลากไปยังหน้าผา เสียงร้องครวญครางยามขอชีวิตก่อนข้าจะปล่อยร่างมันให้ล่วงลงไปข้าอยากให้เจ้าได้ยินจริงๆ เลย!” พูดจบบักเก็ตก็หัวเราะออกมาท่ามกลางความเงียบของพวกเราในห้อง
ความเจ็บปวดจากบาดแผลยังมีอยู่และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงอย่างนั้นผมกลับไม่รู้สึกว่าพลังของตัวจะด้อยกว่าบักเก็ตเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งที่บักเก็ตทำกับวิณณ์มันมากเกินกว่าผมจะสามารถให้อภัย พลังที่หายไปอยู่ๆ ก็กลับคืนมา คำพูดของบักเก็ตมีหลายส่วนที่ผมไม่เชื่อโดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่บอกว่าวิณณ์ร้องขอชีวิต
“เจ้าหลอกไม่ได้หรอกบักเก็ต...ต่อให้ทุกเรื่องที่เจ้าพูดมาจะเป็นจริงแต่มีแค่เรื่องเดียว วิณณ์ไม่มีทางร้องขอชีวิตกับเจ้า” ผมรู้จักวิณณ์ดี เขาอาจดูเหมือนอ่อนแอและอ่อนไหวไปกับทุกเรื่องแต่ภายใต้ความอ่อนแอนั่นกลับเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ เขาไม่มีทางจะร้องขอชีวิตกับบักเก็ต
ความฝันที่เห็นก่อนหน้านี้มันอาจไม่ใช่ความฝันก็ได้
‘อย่าแพ้นะ!’
เสียงของวิณณ์ที่เอ่ยก่อนหน้านี้ดังก้องอยู่ในหัว
“อืม...ข้าไม่แพ้หรอก”
‘คุณต้องชนะให้ได้นะ!’
“แน่นอน...คิดว่าจะแพ้เหรอวิณณ์”
พลังปิศาจที่ใกล้จะมอดดับกลับแผ่ขยายออกมาคละครุ้งไปทั่วห้องแถมไม่ใช่พลังอันน้อยนิดแต่เป็นพลังอันมหาศาลเฉกเช่นยามปกติ ไม่สิ พลังของผมในตอนนี้มากกว่าตอนปกติอีก ความเข้มข้นของพลังส่งผลต่อพวกแกรนที่อยู่ไม่ไกลให้ทรุดตัวลง ทางด้านบักเก็ตเองก็มีสภาพไม่ต่างกันทว่าเจ้าตัวกลับใช้มือทั้งสองข้างยันเข่าตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ทรุดลงไปอยุ่บนพื้น
“เจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้บักเก็ต” ผมเอ่ยระหว่างก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ยิ่งเข้าไปใกล้มาเท่าไหร่ร่างกายนั้นก็ยิ่งสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวต่อระดับพลังที่ต่างชั้นกันเกินไป
“อึก...พลังเจ้าน่าจะหมดแล้วนี่ ทำไมถึง...”
“วิณณ์บอกข้าว่าอย่าแพ้ ต้องชนะให้ได้” นั่นเป็นเหตุผลที่ผมจะไม่ยอมมาแพ้อยู่ตรงนี้
“ทำไมถึงรู้ว่ามันพูดแบบนั้น” สิ่งที่หลุดออกมาจากปากบักเก็ตทำให้ผมรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ
ไม่ใช่ความฝันจริงๆ ด้วย
รู้สึดีได้ไม่นานความรู้สึกเศร้าจะเริ่มถาโถมเข้ามา
“คงไม่คิดว่าข้าจะปราณีเจ้าหรอกนะบักเก็ต” พลังปิศาจจากภายในร่างเคลื่อนไปปกคลุมร่างกายของบักเก็ตจนไม่สามารถมองเห็นร่างนั้นได้เนื่องจากพลังปิศาจอันเข้มข้นนั้นมีสีดำสนิทกำลังกัดกินผู้ที่อยู่ภายในอย่างทุกข์ทรมาน
“องค์ราชา!” พวกแกรนก้าวเข้าหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“สก๊อตเปิดทางเชื่อม” ผมหันไปสั่ง
“ไปที่ไหนครับ”
“สถานที่ที่จะไม่มีใครสามารถเข้าไปได้”
“รับทราบ” สก๊อตเปิดทางเชื่อมก่อนผมจะเหวี่ยงบักเก็ตที่อยู่ภายใต้พลังผมไปยังอีกฝากโดยไม่ปราณี
อีกฝ่ายไม่มีทางทำอะไรได้แล้วในสภาพที่ถูกกักขังด้วยพลังระดับนี้ จงจมอยู่ในห้วงของความทรมานเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่เถอะ
“องค์ราชา...เรื่องท่านวิณณ์ให้ข้าจัดการออกตามหาเถอะ” เตโชเอ่ยหลังจากทางเชื่อมถูกปิด
“อืม ฝากด้วย ดูเหมือนจะเป็นหน้าผาที่ไหนสักแห่ง”
“ท่านวิณณ์ต้องปลอดภัยแน่องค์ราชา” กาเนอร์บอก
“ข้าจะหาทางโลกมนุษย์เอง” สก๊อตพูดต่อ
“หากได้ข่าว ข้าจะรีบไปรายงานให้พระองค์ทราบ” สุดท้ายที่เอ่ยคือแกรน แม้ทุกคนจะพยายามให้กำลังใจผมสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจปิดซ่อนความกังวลเหล่านั้นได้ วิณณ์มีอิทธิพลมากไม่เพียงแค่กับผมแต่รวมไปถึงปิศาจคนสนิทของผม เวลาเพียง 20 ปี สามารถสร้างความเชื่อใจและความผูกพันธ์ได้เทียบเท่าผมที่อยู่กับพวกเขามานับร้อยปี
สัปดาห์ต่อมาแกรนมารายงานถึงข้อมูลที่เตโชส่งปิศาจไปตรวจสอบและเสาะหาจากทั่วทั้งดินแดนโลกปิศาจจนในที่สุดก็พบสถานที่ที่บักเก็ตพาวิณณ์ไป หน้าผาบนเขตเหนือสุดของโลกปิศาจได้ชื่อว่าเป็นหน้าผาซึ่งสูงชันที่สุด ผมให้ปิศาจเปิดทางเชื่อมมายังหน้าผาพร้อมกับก้มลงไปดูด้านล่าง ความสูงขนาดนี้ต่อให้เป็นดวงตาของปิศาจยังไม่สามารถมองเห็นก้นเหวได้
หากถูกปล่อยลงไปจากตรงนี้ถึงจะเป็นปิศาจที่เก่งขนาดไหนโอกาสที่จะรอดก็...
“อึก...” ผมยกมือขึ้นมากุมบริเวณหัวใจที่แสดงอาการเจ็บแปล๊บออกมา ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมามีอาการเจ็บแบบนี้มาตลอด กริซเองก็ไม่สามารถรักษาได้ซึ่งผมรู้ดีอยู่ก่อนที่กริซจะมาตรวจแล้ว สาเหตุของความเจ็บนี้คือความเครียดและความเศร้ายามไม่มีวิณณ์อยู่
ห้องนอนขนาดยังเท่าเดิมแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันช่างใหญ่ยามไม่มีวิณณ์นอนกลิ้งไปมาอยู่ข้างๆ
ห้องอาหารที่มักจะเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันของผมและวิณณ์บัดนี้กลับเงียบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่
ห้องทำงานผมมักจะใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการมองวิณณ์ซึ่งนั่งทำหน้าเคร่งเครียดทำงานยังโต๊ะด้านข้างโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวทว่าในตอนนี้แม้จะมองสักเท่าไหร่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
น้ำตาของผมไม่ได้ไหลแต่ทั้งความเศร้า ขมขื่นและเสียใจกลับอัดแน่นอยู่ภายใน ไม่รู้ว่าวันที่จะปะทุออกมาจะเป็นเมื่อไหร่ ความสดใสรอบกายเริ่มมืดและมืดขึ้นเรื่อยๆ แม้หัวใจจะยังเต้นแต่ผมรับรู้ได้ถึงจังหวะที่ช้าลงจนคล้ายจะหยุดเต้นในไม่ช้า
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะไม่มีวิณณ์เหมือนอย่างทุกที
ผมอยู่ตามลำพังมาได้กว่า 200 ปีแต่แค่ช่วงเวลา 20 ปีอันแสนสั้นมันกลับสร้างความรู้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นและไม่สามารถลบมันออกไปจากใจได้ ยิ่งนานวันยิ่งมีแต่จะมากขึ้น จนถึงตอนนี้วิณณ์กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“องค์ราชา” เสียงเรียกจากด้านหลังมาพร้อมกับเตโชและคนในกองทัพบางส่วน
“ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มไหม” ผมถามโดยที่สายตายังคงทอดยาวออกไปยังผืนฟ้าสีครามตรงหน้า
“ข้าให้คนไปตรวจสอบด้านล่างแล้วแต่ไม่พบร่างของท่านวิณณ์”
“ไม่พบ?” หัวใจผมเริ่มส่งเสียงเต้นแรงขึ้นทีละน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเตโช การที่ไม่พบอะไรทั้งที่เพิ่งเกิดเหตุได้ไม่นานมีโอกาสสูงมากที่วิณณ์จะยังไม่ตาย เพราะหากจบชีวิตลงต้องมีร่องรอยหรือร่างหลงเหลืออยู่
“ครับ ที่พบมีเพียงรอยเลือดแต่หากไม่เจอร่างนั่นมีความเป็นไปได้ว่าท่านวิณณ์จะยังมีชีวิตอยู่” เตโชเองก็สรุปออกมาในทิศทางเดียวกับผม
“ตามหาให้ทั่ว! ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด ทุกซอกทุกมุมในโลกปิศาจ ตามหาจนกว่าจะเจอ!” ผมหันไปสั่งเสียงก้อง
“น้อมรับคำสั่ง!”
ในเมื่อมีความหวังขนาดนี้ผมก็จะทำทุกอย่างเพื่อจะหาเขาให้เจอ!
กองทัพปิศาจกว่า 30,000 ตนกระจายออกไปทั่วทุกพื้นที่ของโลกปิศาจโดยเน้นบริเวณทางตอนเหนือโดยมีผู้นำคือเตโชและแกรนสลับกับสก๊อตที่เข้ามาช่วยในช่วงที่ไม่ติดจัดการปัญหาในโลกมนุษย์ การทุ่มกำลังเพื่อตามหาใช้เวลานานนับปีแต่กลับไม่พบเจอเบาะแสหรือร่องรอยอะไรเลย
ราวกับตัวตนของวิณณ์ไม่ปรากฎขึ้นที่ใดอีก
ผมไม่คิดจะจบทุกอย่างเพียงแค่การหาครั้งเดียวจึงออกคำสั่งให้ทำการค้นหาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบเจอเบาะแสและไม่เพียงแค่โลกปิศาจแต่ยังขยายขอบเขตการค้นหาไปยังโลกมนุษย์เพิ่มเติม เพราะอาจมีความเป็นไปได้ที่วิณณ์จะอยู่โลกมนุษย์ถึงจะน้อยแต่ใช่ว่าจะไม่มี
เวลาได้ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ผมก็ยังคงไม่ละความพยายามในการค้นหา ชีวิตในแต่ละวันผ่านพ้นไปได้เพราะผมคิดว่าวันพรุ่งนี้ต้องได้เจอกันวิณณ์ วันพรุ่งนี้แหละที่ผมจะได้เห็นรอยยิ้มพร้อมกับเสียงเรียกชื่อผมดังขึ้น แต่แล้วไม่ว่าจะ 5 ปี 10 ปี 20 ปี 30 ปีหรือ 40 ปีผมก็ไม่เคยได้พบกับวิณณ์อีกเลย
จบบริบูรณ์................
ล้อเล่นนะคะ 555
เคยคิดเหมือนกันว่าหรือจะให้จบไปแบบนี้เลยดีนะ หวานกันนัก//คนขี้อิจฉา
แต่ก็ทำใจไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นการแต่งดราม่าหรือจบแบบแบด หัวใจเราค่อนข้างบอบบางเวลาจะให้มีอะไรก็จะทำเป็นจุดดราม่าเล็กๆ ไม่ใหญ่โตหรือทะเลาะกันแบบร่ำไห้เสียน้ำตา
ที่กังวลอยู่คือนักอ่านจะค้างไปจนถึงวันอาทิตย์หน้าเลย
หรือเราจะขยับมาอัพวันเสาร์หน้าแทนวันอาทิตย์ดีนะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจนะคะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪