ตอนที่ 21
“ทรงยศ มนต์ตรีตระกูลชัย” ทั้งโต๊ะเงียบเป็นเสียงเดียว เมื่อป๊าของผมพูดชื่อนี้ออกมา
“ชื่อใครอ่ะป๊า” ผมถาม
“อังศนา น้ำวิเชียร” และแม่ผมก็พูดชื่ออีกชื่อขึ้นมา พร้อมกับมองหน้าไปที่น้ำมนต์ ที่ตอนนี้ตกใจอย่างกับพ่อแม่พูดชื่อคนรู้จักของตน
“ชื่อใครอ่ะแม่ นี่ป๊ากับแม่พูดชื่อใครออกมา” ผมก็หันไปถามอีกที ในขณะที่บรรยากาศรอบโต๊ะดูยังไงชอบๆกล
“ชื่อพ่อชื่อแม่เราเอง” น้ำมนต์ตอบออกมา
“ใช่มั๊ย หนูเป็นลูกไอ้ยศใช่มั๊ย” พ่อผมตบมืออย่างกับคนที่คาดเดาอะไรถูก ก่อนจะหันไปถามทางน้ำมนต์
“ใช่ครับ” น้ำมนต์ตอบมาสั้นๆ ก่อนจะก้มหน้าดูข้าวในจาน
“นี่ลูกของยัยนากับตายศจริงๆเหรอเนี่ย โตเป็นหนุ่มแล้วนะป๊า แม่จำไม่ได้เลยนะเนี่ย” แม่ผมพูดพร้อมกับเอามือลูบหัวน้ำมนต์ไปด้วย ตอนนี้ผมกำลังงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ป๊าก็จำไม่ได้แล้วแม่ เจอครั้งสุดท้ายห้าหกขวบได้ม้าง ตอนนั้นก็ไม่ได้เรียกว่าน้ำมนต์ด้วยนี่ เลยจำชื่อเล่นจริงๆของหนูน้ำมนต์ไม่ได้” ป๊าหันไปคุยกับแม่ผม
“ใช่แล้ว ตอนนั้นใครๆก็เรียกหนูแดงๆ กัน” แม่หันมาคุยกับป๊าบ้าง ผมหันไปมองน้ำมนต์ที่ยิ้มๆ แต่ก็เหมือนทำตัวไม่ถูกนัก
“นี่มันอะไรกันป๊า แม่ หนูงงหมดแล้วนะ” ผมไม่ลดละที่จะเรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่สองคนที่กำลังพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ที่ผมฟังยังไงก็ไม่เข้าใจ
“หนูน้ำมนต์จำป๊าได้มั๊ย” พ่อไมได้สนใจผมเลย
“เอ่อ จำไม่ได้ครับ”
“ป๊าก็ จะจำได้ไง เจอครั้งสุดท้ายก็เด็กอยู่เลย” เสียงแม่ครับ
“ตกลงจะบอกหนูมั๊ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น !!!” ผมพูดขึ้นเสียงดังอีกที เล่นเอาทั้งโต๊ะหันมามองผมเป็นจุดเดียวกัน
“หนู ทำไมตะโกนเสียงดังอย่างนั้นล่ะลูก ไม่มีมารยาทเลย” แม่ดุผม
“ก็ป๊ากับแม่ก็บอกหนูสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย หนูงง” ผมบอกด้วยความหงุดหงิด
“นั่นสิครับ น้ำมนต์ก็งงหมดแล้ว ว่าท่านสองคนรู้จักพ่อแม่น้ำมนต์ได้ยังไง” น้ำมนต์ที่นั่งนิ่งๆ ทำหน้างงๆ ก็ถามขึ้นมาบ้าง
“มา ป๊าจะเล่าให้ฟัง” ป๊าพูดขึ้น ทำให้ผมหันหน้าไปมองอย่างอัตโนมัติ รวมทั้งน้ำมนต์ ไม่เว้นแต่หมวยเล็กที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็ให้ความสนใจด้วย
“ไอ้ยศ พ่อน้ำมนต์อ่ะ เป็นเพื่อนสนิทกับป๊า เราเคยอยู่กลุ่มเดียวกันตอนเรียน” พ่อผมเริ่มเล่า
“ส่วนยัยนา ก็เพื่อนสนิทแม่ อยู่โรงเรียนเดียวกับแม่เหมือนกัน” แม่พูดบ้าง
“ตอนที่ป๊าจีบแม่เรา ก็มีพ่อน้ำมนต์นี่แหละ ที่ไปเป็นเพื่อนป๊าจีบแม่เจ้าหนูทุกวี่วัน” พ่อพูดต่อ
“แล้วพ่อน้ำมนต์ก็จีบแม่น้ำมนต์ไปพร้อมๆกัน” แม่เสริม
“แล้วพวกเราทั้งหมดก็เป็นแฟน แต่งงาน มีครอบครัวกัน” พ่อเล่าข้ามๆ เพื่อรวบรัด
“โอ้โห น่ารักกันจังเลยครับ นั่นก็แปลว่า ป๊ากับแม่ ก็สนิทกับครอบครัวน้ำมนต์นั่นสิครับ ทำไมผมไม่เคยรู้เลยละเนี่ย” ผมรู้สึกดีใจ ที่อย่างน้อยความสัมพันธ์ของป๊ากับแม่ผม มันก็พอจะช่วยให้เราสนิทกันง่ายขึ้น
“เพราะพ่อกับแม่เราเสียไปตั้งแต่เราอายุห้าขวบไง ครอบครัวเรากับนายถึงไม่เคยได้เจอกันตอนเราโต” น้ำมนต์ตอบมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเศร้าสร้อย
“หนูน้ำมนต์” เสียงแม่ของผมพูดขึ้นอย่างเบาๆ ด้วยความรู้สึกสงสาร
“น้ำมนต์อิ่มแล้ว ขอตัวไปเดินย่อยหน่อยนะครับ ขอโทษด้วยที่เสียมารยาท” น้ำมนต์พูดพร้อมกับเดินออกไป ป๊ากับแม่หันมามองผม
“ไอ้หนู ไปคุยกับน้องเค้าหน่อยไป น้องเค้าคงคิดถึงพ่อกับแม่เค้า” ป๊าบอกผม
“อ่าครับ” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินตามน้ำมนต์มา
ผมเห็นน้ำมนต์กำลังเดินกลับมาทางกระท่อมของผม แต่ก็หยุดนั่งมองอะไรที่สวนของบ้าน สายตามองไปที่ชายหาดของทะเล ผมเห็นดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปหา
“คิดถึงพ่อกับแม่เหรอวะ” ผมถามขึ้น ก่อนที่จะลงไปนั่งข้างๆกับน้ำมนต์ บนม้านั่งหินอ่อนตัวเดียวกัน น้ำมนต์เขยิบหนีเล็กน้อย
“เปล่านี่”
“ไม่ต้องโกหกกูหรอก กูเข้าใจ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มให้
“ขอบใจนะ” มันพูดขึ้นมาก่อนที่จะหันไปมองทะเลอีก ผมเลยเงียบ อยากให้เวลาส่วนตัวกับมัน
“พ่อแม่เราเสียด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำ ตอนที่เอาเรามาฝากไว้กับยาย และจะขึ้นไปทำงานที่หัวหิน ยังไม่ทันได้ไปเลย รถก็คว่ำเสียแล้ว ตอนนั้นเรายังเด็กมาก ยังคิดว่าพ่อกับแม่ไปหัวหินอยู่เลย งานศพที่จัดขึ้นที่บ้านยาย เราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก ว่าตอนนั้นเราเสียใจแค่ไหน แต่พอโตขึ้น เรากลับรู้สึกเสียใจ ที่ตัวเองไม่มีพ่อกับแม่เหมือนคนอื่นเค้า .. แต่เราก็ไม่เคยร้อง ไม่เคยอ่อนแอ ไม่เคยคิดว่านั่นเป็นปมด้อยของตัวเอง .. ยายบอกว่าเราต้องอยู่ได้ เราก็เลยเชื่อว่าเราต้องอยู่ได้อย่างที่ยายบอก”
น้ำมนต์พูดออกมาเหมือนจะต้องการเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้ผมฟัง ผมว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้ น้ำมนต์คนที่มีหน้าตาน่ารักอย่างกับผู้หญิงคนนี้ ถึงมีหัวใจที่แข็งแกร่ง จนบางครั้งก็เกือบจะเย็นชา ..
“ป๊ากับแม่กู รู้จักพ่อกับแม่มึง ดีเลยเนอะ เราจะได้ดองกันง่ายหน่อย” ผมพูดติดตลกไปเพื่อให้มันได้ยิ้มบ้าง
“ตลกละ แล้วคู่หมั้นของนายละ” มันหันมาพูดกับผมครับ
“ใครกันคู่หมั้นกู”
“พี่หมวยเล็กไง”
“ตี๋โป้ น้องน้ำมนต์ แม่ให้มาตามเข้าบ้านอ่ะค่ะ” เสียงของหมวยเล็กดังมาพอดี
“พูดถึงก็มาเลย ไปกันเถอะ” น้ำมนต์พูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปทางหมวยเล็ก
นี่ไปรู้มาจากไหนอีกนะ ว่าหมวยเล็กเป็นคู่หมั้นผม ... แต่ยังไงซะ ผมว่าเรื่องราวของพ่อแม่น้ำมนต์และป๊ากับแม่ผม ต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ ไม่งั้นพ่อกับแม่ไม่ท่องชื่อจริงได้ เพียงแค่เห็นหน้าน้ำมนต์หรอก
“วันนี้ป๊าจะไปที่สะพานปลา ไปดูพวกคนงานหน่อย หนูจะไปกับป๊ามั๊ย” พ่อถามผม เมื่อผมเข้ามาในบ้านเป็นคนสุดท้าย
“ก็ได้ป๊า เอาน้ำมนต์ไปด้วยนะป๊า” ผมบอกป๊า
“ได้ดิ หนูน้ำมนต์ ไปเที่ยวสะพานปลากันนะลูก” พ่อบอกผม ก่อนที่จะหันไปชวนน้ำมนต์
“ได้ครับ” มันตอบมาสั้นๆ
“แล้วหมวยเล็กละ จะไปกับลุงด้วยมั๊ย” ป๊าผมหันไปถามหมวยเล็ก
“ไม่ดีกว่าคะ หมวยเล็กอยู่ช่วยคุณป้าที่บ้านดีกว่า” หมวยเล็กตอบ
“ดีเลยหมวยเล็ก วันนี้ป้าอยากทำขนมหวานอยู่พอดี อยากมีลูกมือ” แม่ผมพูดขึ้น
“งั้นป๊าว่าเราไปกันเถอะ สายกว่านี้จะร้อน” ป๊าผมพูด
“ป๊าเอารถยนต์ไปนะ เดี๋ยหนูเอามอไซค์ไปเอง หนูจะพาน้ำมนต์ไปเที่ยวชายหาดด้วย” ผมบอกป๊า
“เอางั้นเหรอ ก็ได้ ยังไงก็รีบตามป๊าไปที่สะพานปลาล่ะ” ป้าพูดกับผม ก่อนที่จะเดินออกจากบ้านไป
ผมหันไปพยักหน้าให้น้ำมนต์ให้มันเดินตามผมมา ผมพาน้ำมนต์เข้าไปในโรงรถของบ้าน ที่อยู่ไม่ห่างจากเรือนใหญ่นัก เพื่อมาเอารถมอไซค์คันโปรดของผม ไปขี่รับลมทะเลยามเช้า
“นี่ เดี๋ยวเราจะเที่ยวกันกับคันนี้” ผมบอกน้ำมนต์ พร้อมกับดึงผ้าคุมรถออก เผยให้เห็นเวสป้า สีชมพูสดใส ที่ผมอ้อนให้ป๊าซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด และอ้อนแม่ให้ออกเงินค่าทำสี ทำเครื่องใหม่ให้อีกทีนึง
“โห นี่รถนายเหรอ” น้ำมนต์อุทานออกมาเมื่อเห็นรถผม
“ใช่แล้ว สวยมั๊ย”
“อืม สวยดี”
“อืม ดีจังที่มึงชอบ กูไม่เคยให้ใครซ้อนรถกูเลยนะ สาวๆก็ยังไม่เคย มึงคนแรกเลยนะ” ผมบอกมัน
“แต่เราไม่ใช่สาวๆของนายนะ”
“แต่มึงก็เป็นคนพิเศษของกูเหมือนกัน” ผมตอบไปแล้วยิ้มๆ แต่ใบหน้าที่อยู่ตรงหน้า กลับนิ่งเฉย ไม่รู้สึกอะไรกับคำหยอดของผมเลย ผมเลยต้องหุบยิ้ม แล้วเข็นรถเวสป้าของผมออกมา แล้วก็สตาร์ทรถ น้ำมนต์ขึ้นซ้อน ก่อนจะพาน้ำมนต์ขับชมชายหาดทะเลยามเช้า
ชายหาดแถวนี้ยังไม่มีธุรกิจอะไรเติบโตมากนัก ส่วนมากก็เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย มีรีสอร์ท ไม่ก็บังกะโลเล็กๆไว้คอยให้บริการ ความเป็นชาวบ้านยังมีให้เห็นอยู่เรียงราย มีโรงแรมที่ใหญ่ๆของนายหน้าจากกรุงเทพไม่มากนัก แต่ก็คงอีกไม่นาน พวกนายทุนคงมาทำโรงแรมกันมากขึ้น
แดดอ่อนๆ กับลมทะเลในตอนนี้ทำให้ผมไม่รีบร้อนนักในการขับมอเตอร์ไซค์ไปที่สะพานปลา น้ำมนต์นั่งซ้อนผมโดยไม่ได้พูดจาอะไร สายตาของเค้ามองลงไปที่ชายหาดและทะเลกว้าง ผมที่เขาไม่ได้รวบไว้ปลิวไปตามแรงลม แว่นกันแดดที่เขายืมของผมมาใส่ รับเข้ากับแสงแดดระยิบระยับ
“มึงใส่แว่นแล้วเท่ดีวะ” ผมบอกมัน
“หล่อกว่านายป่ะ” มันถามมากวนๆ
“ไม่มีทางซะหรอก” ผมบอกมันพร้อมกับยิ้มๆ
“งั้นทีหลังก็ไม่ต้องชม” มันพูดมาพร้อมกับหันหน้าไปดูทางอื่น
“แต่น่ารัก น่าหอมแก้ม”
“อยากโดนต่อยอีกใช่มั๊ย”
“โห คนไรวะ โหดเป็นบ้า แผลเดิมยังไม่หายเลยนะครับบบบ”
“ก็จะต่อยให้หน้าเละไปเลย” ถึงแม้ว่ามันจะพูดมาโหดๆ แต่ผมมองเห็นจากกระจกมองหลังนะ ว่ามันแอบยิ้ม
เรามาถึงสะพานปลากัน โดยผมเห็นป๊าเดินคุมคนงานอยู่ตรงท่าเรือ ผมเดินทักทายคนงานที่คุ้นเคยกันไปเรื่อยๆ พร้อมกับแนะนำน้ำมนต์ให้คนที่ผมสนิทรู้จัก น้ำมนต์ได้แต่ยิ้มและยกมือไหว้ ที่ท่าเรือนี้มีชาวประมงเยอะแยะมากครับ ส่วนมากก็เป็นชาวบ้านลูกหลานแถวนี้แหละ ที่มาของานพ่อทำ พอรับพ่อมา ก็รับเมียมาด้วย สักพักก็รับลูกมาทำด้วย เป็นธุรกิจภายในครัวเรือนของพวกเขาไปแล้ว
“เอ๋า นายหัวโป้ ไม่เห็นหน้าเลยนิหวางนี้ ไปไหนมาเหล๋า” เสียงของคนงานทักผมมาเป็นภาษาถิ่น
“ช่วงนี้เรียนหนักลุง ไม่ค่อยได้กลับบ้าน” ผมตะโกนบอกไป
“เรียนหนัก หรือว่าติดหญิงละ ได้ข่าวว่าหรอยหนัดนิเติน”
“หรอยอะไรกัน มั่วแล้วๆ”
“ทำไมไม่บอกเค้าไปละ ว่าหรอยจริงๆ” น้ำมนต์เหน็บผม
“หรอยยังไงของมึง อย่ามาหาเรื่องกู”
“ไม่รู้สิ”
“เคยชิมแล้วหรือไง อ้อลืมไป เมื่อคืน ..”
“หยุดพูดเลยนะ ไม่งั้นเราต่อยนายตรงนี้อายคนงานแน่ๆ” มันพูดแล้วรีบเดินไปเลยครับ ไม่ให้คิดก็พอรู้ว่ามันอาย หึหึ นับวันยิ่งน่ารักเว้ย
ผมเดินตามมันมาครับ มันเดินมาดูปลาหมึกที่ชาวบ้านไปจับมาได้กับป๊าผมอยู่
“โหตัวใหญ่มากๆเลยครับคุณลุง” น้ำมนต์ทักขึ้น
“เอ๊ย หนูน้ำมนต์ เรียกป๊าว่าป๊าสิลูก ยังไงลูกก็ลูกเพื่อนรักป๊า เรียกว่าป๊าเลย ป๊าไม่ถือ” ป๊าผมบอก
“ใช่ป๊า เรียกไว้จะได้ชินๆ” ผมพูดพร้อมกับอมยิ้มไปทางมัน มันทำหน้าไม่พอใจมากเล็กน้อย คงรู้ว่าผมหมายถึงอะไร
“ครับป๊า นี่พวกเค้าจับมาเองหมดเลยเหรอครับเนี่ย” น้ำมนต์หันไปถามพ่อ
“ใช้แล้วหนูน้ำมนต์ ช่วงนี้นะหมึกเยอะเลยละ ชาวเรือเลยจับมาได้เยอะแยะ”
“โห ตัวโตๆทั้งนั้นเลย นี่ถ้าทำหมึกยัดไส้นี่ สองตัวก็เต็มหม้อแล้วนะครับ น้ำมนต์ว่า”
“เอาป่ะละ เดี๋ยวป๊าให้แม่ครัวทำให้กิน”
“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ”
“เอ๊ย ไม่เป็นอะไร คืนนี้นอนบ้านป๊าอีกคืนสิ ป๊าจะให้แม่ครัวเค้าทำให้”
“เอ่อ ..”
“นอนเหอะมึง เดี๋ยวกูโทรไปบอกยายให้” ผมบอกมันพร้อมกับยิ้มไปให้ อยากให้มันหายห่วงเรื่องยายของมัน
“เออ ใช่ ยายหนูน้ำมนต์เป็นยังไงบ้าง ป๊าไม่เจอนานแล้ว” พ่อผมถาม
“ก็สบายดีครับ ยังแข็งแรงดีอยู่ แต่ก็มีเจ็บป่วยบ้าง ตามประสาคนแก่” น้ำมนต์ตอบ
“อืม ฝากบอกยายด้วยว่าป๊าคิดถึง มีโอกาสคงได้ไปเยี่ยม”
“ครับ” น้ำมนต์ตอบป๊า ก่อนที่ป๊าจะยกมือไปลูบหัวน้ำมนต์เบาๆ ก่อนจะคล้องคอเดินไปดูปลาหมึกที่กำลังจะขึ้นมาจากเรือ ส่วนผมนะเหรอ ป๊าไม่สนใจแล้ว ได้แต่เดินตามต้อยๆ
“เออ พูดถึงปลาหมึก หนูน้ำมนต์รู้มั๊ย เมื่อป๊ากับพ่อหนูเป็นวัยรุ่นนะ ป๊ากับพ่อหนูชอบออกเรือไปตกหมึกกันตอนดึกๆ พ่อหนูนะตกหมึกเก่งมากๆเลยละ ได้ทีนึงเป็นลังใหญ่เลย”
“จริงเหรอครับ พ่อน้ำมนต์ตกหมึกเก่งเหรอ น้ำมนต์ไม่ยักรู้” น้ำมนต์ถามป๊าของผมไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แววตาของน้ำมนต์ตอนนี้ดูดีใจที่ได้ยินเรื่องพ่อของตัวเอง
“จริงสิ ตอนนั้นนะ ป๊าพาเพื่อนลงไปแข่งตกหมึกกัน ไม่มีใครชนะพ่อน้ำมนต์เลยนะ”ป๊าผมเล่าทั้งรอยยิ้ม ตอนนี้คงเป็นเวลาของเขาสองคนสินะ คนนึงก็คิดถึงเพื่อนเก่า อีกคนก็คิดถึงพ่อของตัวเอง
“พอช่วงปิดเทอม พ่อหนูก็มักจะมาของานเตี๋ยป๊าทำ บางทีก็อยู่ในรีสอร์ท บางทีก็ออกมาเป็นลูกเรือ พ่อของหนูขยันมากๆเลยนะตอนนั้น” พ่อผมพูดพร้อมกับมองลงไปที่คนเรือ ที่กำลังเดินผ่านไม้กระดานเพื่อเอาสัตว์ทะเลที่จับมาได้ไว้บนสะพาน
“ครับ ยายเคยบอกว่าพ่อของน้ำมนต์ขยันมาก ยายบอกว่าพ่อของน้ำมนต์ไม่มีอะไรเลยตอนที่มาขอแม่ แต่ยายก็ยกให้เพราะพ่อมีความขยัน และก็อดทนจนชนะใจยาย” น้ำมนต์พูดมาด้วยน้ำเสียงและความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน มันเหมือนกับภูมิใจ และมีความสุขที่พูดถึงเรื่องนี้
“ใช่ ป๊ายังจำได้เลย กว่ามันจะชนะใจแม่ยายได้นะ ป๊าลุ้นแทบตาย ฮ่าๆๆ” ป๊าผมเล่าด้วยเสียงหัวเราะ
“ลุง .. เอ่อ ป๊า ช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพ่อของน้ำมนต์ให้ฟังเยอะๆได้มั๊ยครับ น้ำมนต์อยากฟัง” น้ำมนต์พูดพร้อมกับมองหน้าผม เชิงขอร้อง พ่อผมก้มลงมามองหน้าน้ำมนต์นิดหน่อย
“ได้มั๊ยป๊า หนูก็อยากฟังเรื่องของพ่อน้ำมนต์” ผมพูดพร้อมกับเดินไปกอดคอน้ำมนต์อีกข้างหนึ่ง น้ำมนต์หันมามองหน้าผม พร้อมกับทำหน้าไม่พอใจ แอบด่าประมาณว่าผมทำเนียน .. แต่ใครจะไปสนละ เนอะ
“ได้สิ เดี๋ยวป๊าเล่าให้ฟัง ถ้าหนูอยากรู้เรื่องแม่หนู หนูก็ไปถามแม่เจ้าโป้มันนะ ถ้าอยากรู้เรื่องไอ้ยศ ก็มาถามพ่อ” พ่อผมบอกด้วยรอยยิ้ม และแน่นอน ว่าน้ำมนต์ก็ยิ้มตามรอยยิ้มนั้นของพ่อ แปลกใจจริงๆ ที่ผมก็ยิ้มตามทั้งสองคนไปด้วย
ระหว่างที่เราอยู่ที่สะพานปลา ป๊าพาเราดูคนงานไปและเล่าเรื่องของพ่อน้ำมนต์ไป น้ำมนต์ตั้งใจฟังทุกอย่างที่พ่อเล่า โดยลืมไปเลยมั้ง ว่ามีผมยืนอยู่ด้วย แต่ผมก็ไม่ได้น้อยใจอะไรนะ กลับดีใจด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าการพาน้ำมนต์มาบ้านครั้งนี้ กลับทำให้น้ำมนต์มีความสุขขนาดนี้ น้ำมนต์คนที่ไม่ค่อยยิ้ม ท่าทางเฉยชา และทำตัวแข็งกระด้างต่อโลก ทั้งๆที่จริงๆตัวเองกลับเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี อ่อนโยน คงเพราะว่าขาดพ่อขาดแม่ตั้งแต่เด็กมั้ง น้ำมนต์จึงสร้างภูมิคุ้มกันเป็นความแข็งแกร่ง เพื่อให้คนภายนอกไม่กล้าเข้าใกล้ ในเมื่อไม่มีใครกล้าเข้าหา คงคิดว่าจะปลอดภัยจากศัตรูกระมัง ..
ความคิดเด็กน้อยจริงๆ ...
“ไงมึง ชอบป๊ากูป่ะ” ผมถามขณะที่กำลังขับรถกลับบ้านไปกินข้าวเที่ยงกัน
“ก็ชอบกว่าลูกแกอ่ะ” มันตอบมากวนๆ
“เหรอ ชอบพ่อแล้ว ไม่ชอบลูกด้วยละ”
“ไม่มีทางอ่ะ”
“ทำเป็นปากดี ระวังสักวันจะกลืนน้ำลายตัวเอง” ผมบอกมัน
“รีบๆขับ เราร้อน” มันเงียบไปพักนึง ก่อนจะพูดเร่งให้ผมรีบขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ซึ่งอากาศตอนนี้ช่างต่างกับตอนเช้าลิบลับ ..
เรามาถึงบ้านก็เจอป๊า แม่ และหมวยเล็กรออยู่แล้ว
“ตี๋โป้ น้องน้ำมนต์ ทางนี้จ้า” หมวยเล็กตะโกนเรียกพร้อมกับกวักมือเรียกพวกผม วันนี้เราเลือกจะกินข้าวเที่ยงกันที่ศาลาใกล้หาด หมวยเล็กเลยรับหน้าที่มาตามพวกผม ผมหันหลังไปจับมือน้ำมนต์เพื่อจะพาเดินไปด้วยกัน
“ปล่อย” น้ำมนต์พูดพร้อมกับทำท่าจะสะบัดมือผม แต่ก็ยังไม่หลุด
“ทำไมอีกละ” ผมถาม
“เราจะไปห้องน้ำก่อน” คำพูดและสายตาที่ดูก็รู้ว่าเป็นข้ออ้าง ก่อนที่จะสะบัดมือผมหลุดไป เพราะการปล่อยมือของผมด้วย
“น้องน้ำมนต์ไปไหนเหรอ” หมวยเล็กเข้ามาถาม
“เห็นบอกว่าไปห้องน้ำ” ผมตอบหมวยเล็กไป
“งั้นเราเข้าไปกันก่อนเถอะ” หมวยเล็กพูดพร้อมกับจูงมือผมเข้าไปที่ศาลา ซึ่งมีป๊ากับแม่ผมกำลังนั่งคุยกันอยู่ แว่วๆเหมือนกับเป็นเรื่องของน้ำมนต์
“จริงเหรอคะคุณ หนูน้ำมนต์นี่นะ นิสัยเหมือนกับพี่ยศ” แม่ผมพูดขึ้น
“จริงสิคุณ ป๊ามองแว๊บเดียวก็รู้เลย” พ่อผมบอก
“ยังไงเหรอป๊า ที่ป๊าบอกว่าเหมือนกับลุงยศอ่ะ” ผมถามด้วยความสงสัย
“ก็นิสัยดื้อรั้น อดทน เด็ดเดี่ยว แบบนี้แหละ นิสัยเจ้ายศมันเลย” ป๊าผมบอก ผมแอบยิ้มกับคำพูดของป๊า เพราะมันจริงซะยิ่งกว่าจริงเสียอีก
“หมวยเล็กว่าเรามาทานข้าวกันเถอะคะ หมวยเล็กหิวแล้ว” หมวยเล็กพูดขึ้น
“แต่น้ำมนต์ ..” ผมจะขัด
“เข้าห้องน้ำ เดี๋ยวคงมา เราทานกันก่อนเถอะคะ”
“เอ้า ทานกันก่อนเลยก็ได้นะป๊าว่า ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรให้มากหรอก คนกันเองทั้งนั้น” ป๊าผมพูดตัดบท
เรานั่งทานข้าวไปกันได้ครู่หนึ่ง น้ำมนต์ก็กลับมาจากห้องน้ำ แล้วก็นั่งทานข้าวไป ไม่พูดไม่จาอะไร บนโต๊ะเต็มไปด้วยบทสนทนาของป๊าและแม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเก่า เรื่องใหม่ ถูกยกมาเล่าขานให้ลูกหลานฟัง
“เออ หนูหมวยเล็ก แล้วเมื่อไหร่จะชวนป๊ากับม๊าหนูมาทานข้าวบ้านแม่อีกละ” แม่ผมถามขึ้น
“อ๋อค่ะ เดี๋ยวเอาเป็นปลายเดือนนี้แล้วกันนะคะ หมวยเล็กจะเรียนท่านให้ ตี๋โป้ว่างมั้ย อาทิตย์ปลายเดือนนี้” หมวยเล็กตอบแม่ผม ก่อนจะหันมาถามผม
“เอ่อ ไม่รู้สิ เดี๋ยวค่อยบอกอีกที”
“เอ๊ย ได้ไงอ่ะ ตี๋โป้เบี้ยวหมวยหลายรอบแล้วนะ ป๊ากับม๊าหมวยบ่นอยากเจอตี๋โป้หลายครั้งแล้วด้วย”
“นั่นสิไอ้หนู เอ็งทำป๊าเสียผู้ใหญ่มาหลายรอบแล้ว กลับบ้านมากินข้าวกับครอบครัวหมวยเล็กเค้าบ้าง ยังไงก็เป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน อย่าทำให้เหมือนห่างเหิน” ป๊าผมพูดขึ้น
“อ้าว อิ่มแล้วเหรอหนูน้ำมนต์ ทำไมกินน้อยจังละลูก” แม่ผมหันไปถามน้ำมนต์ เมื่อเห็นน้ำมนต์รวบช้อนและยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“พอดีน้ำมนต์ยังอิ่มมื้อเช้าอยู่เลยครับ เลยกินได้ไม่ค่อยเยอะ” น้ำมนต์ตอบพร้อมกับยิ้มให้แม่ของผม
“งั้นเดี๋ยวแม่เรียกให้แม่บ้านยกขนมหวานมาให้นะ”
“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เดี๋ยวน้ำมนต์เข้าไปช่วยแม่บ้านยกดีกว่าครับ”
“เอางั้นเหรอ งั้นก็เข้าไปในครัวนะลูก บอกให้แม่บ้านช่วยยกมา”
“ครับ” น้ำมนต์ตอบแม่ ก่อนที่จะลุกออกจากศาลาตรงเข้าไปในครัวของบ้าน
“ไม่เอาละ ตี๋โป้ห้ามเบี้ยวนัดเดือนนี้ด้วย” หมวยเล็กพูดมาด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว
“เอาเถอะตาหนู มากินข้าวกับคุณน้าเค้าบ้าง เรานะไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัวหนูหมวยเล็กหลายรอบแล้วนะ” แม่หันมาดุผม
“ครับ ได้ครับ” คราวนี้ทั้งป๊าและแม่ออกปากพูดพร้อมกัน จนผมยากจะเลี่ยงเหมือนครั้งก่อนๆ
ก็ดีครับ ในเมื่อได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง ผมจะได้คุยเรื่องนี้ให้มันชัดเจนสักที .. ปล่อยให้มันคาราคาซังมานานนมแล้ว ..
คงถึงเวลาสะสาง “สัญญาแต่ปางก่อน” ซะที !!!,
...................................................
อัพก่อนวันเกิดผม ยังไงก็อ่านให้สนุกนะครับ อวยพรผมด้วยนะ ขอบคุณล่วงหน้าครับผม