ไม่รู้เป็นเพราะบรรยากาศอุ่นๆ หวานๆ ยามย่ำคืนที่ผ่านมาหรือเปล่า เรื่องดีๆ เลยเกิดขึ้นกับน่านนทีโดยไม่ทันตั้งตัว เช้าวันถัดมาขณะกำลังกลับบ้าน เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นแต่เขาไม่ได้สนใจจนกลับถึงบ้าน ข้อความจากเพื่อนที่แทบไม่เคยทักเขามาก่อน
‘ปิงจะไปงานเลี้ยงรุ่นเปล่า แพนมันนัดไปพร้อมกันหนึ่งทุ่มนะ เจอกันหน้าร้านก่อนค่อยเข้าไปพร้อมกัน’ ข้อความจากภัทรที่ส่งมาทำให้น่านนทีดีใจแล้วรีบตอบตกลงไปทันที ลืมความตั้งใจที่จะไม่ไปร่วมงานไปเสียสนิท เขาบอกกับตัวเองว่าต้องลองดู ช่วงนี้งานสบายขึ้นมีเวลาว่างกว่าเมื่อก่อนที่เปลี่ยนงานบ่อย ถ้าเพื่อนชวนไปไหนเขาก็จะลองไปดู ไหนๆ คบกันมาตั้งหลายปี จะหายหน้ากันเฉยๆ เหมือนลืมๆ กันไปมันก็รู้สึกไม่ดี
ในห้องประชุมของบริษัทฯ นักรบ วันนี้มีทีมงานหลักที่ลงตัวเรียบร้อยแล้วเข้ามาประชุมความคืบหน้า สิงหาได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมด้วย คนเขียนบทหรือเจ้าของเรื่อง ผู้ช่วยผู้กำกับ ทีมงานฝ่ายต่างๆ ที่สำคัญก็ร่วมประชุมด้วย นักรบพูดเรื่องการเตรียมงานในขั้นตอนต่อไป การคัดเลือกนักแสดงบทอื่นๆ โดยยินดีรับฟังความเห็นทุกคนหากมีใครอยากเสนอคนที่เหมาะกับบท
“เรื่องตารางถ่ายทำเดี๋ยวให้พี่อ้วนแจ้งอีกทีนะสิง แต่ต้องเริ่มลดน้ำหนักลงได้แล้วนะ พยายามอย่าโดนแดดด้วยช่วงนี้ เอาขาวๆ ซีดๆ ไว้” นักรบหันมากำชับสิงหาอีกครั้ง ที่เขาเรียกให้สิงหาเข้าประชุมด้วยเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายสนใจงานเบื้องหลังเหมือนกัน
“ได้ แล้วตกลงบทพี่สาวนี่ใครเล่น เผื่อนัดไปเวิร์คช็อปด้วยกัน”
“ได้พี่แหม่มมาเล่นให้ โชคดีไป แต่เรื่องเวิร์คช็อปนี่เดี๋ยวดูอีกทีนะ พี่เขาคิวแน่นอยู่ จะพยายามให้ได้ก่อนเปิดกล้องสักครั้งสองครั้งก็พอ แล้วสิงไปติดต่อครูสอนภาษามือแล้วใช่ไหม เริ่มเรียนหรือยัง”
“มะรืนเริ่มวันแรก ส่วนโรงฯบาลพี่อ้วนบอกจะติดต่อให้เข้าไปสักสองสามครั้ง ต้องคุยกับทางหมอก่อน”
“พี่อ้วนว่าไงครับ คุยมาหรือยัง”
“หมอเขาให้ดูได้เป็นคนๆ นะ ตอนนี้ยังบอกว่ากี่คนต้องรอให้ญาติคนป่วยอนุญาตก่อน แต่ถ้าคุยแค่กับหมอนี่กี่ครั้งก็ได้แค่แจ้งล่วงหน้าไปหน่อยก็พอ”
“โอเค พี่อย่าลืมดูให้ตรงเคสเดียวกับบทหน่อยนะ”
“ได้จ้ะ อ้อแล้วก็สิง เรื่องลดน้ำหนักเดี๋ยวพี่พาไปคุยกับนักโภชนาการอีกทีนะ อย่าเพิ่งโหมลดเอง”
“คุณสิงอย่าตัดผมด้วยนะครับ ให้มันยาวอีกหน่อยดูยุ่งๆ จะดีกว่า ตอนนี้มันสั้นไป” ทั้งคนเขียนบทและพี่อ้วนผลัดกันกำชับการเตรียมพร้อมคนละอย่างสองอย่าง นักรบเลยนั่งคุยกับผู้ช่วยผู้กำกับเรื่องโลเคชั่นที่อยากได้ กว่าจะเลิกประชุมก็เกือบบ่าย ออกจากบริษัทฯ ได้ก็ตรงไปร้านอาหารที่นัดเพื่อนเอาไว้เพื่อคุยเรื่องร้านต่อ แต่ไม่ว่างานจะยุ่งมากแค่ไหนเขาก็ไม่ลืมส่งข้อความหาน่านนทีเพื่อบอกเล่าให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังทำอะไร เบื่อรถติด หิวข้าว อยากได้กำลังใจ และอีกฝ่ายก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แม้จะไม่ได้ตอบอะไรมากมายแต่ก็มีสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนส่งกลับมา บางครั้งก็มีคำพูดที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจเช่น ทำไมไม่กินครับ ทำไมไม่หาอะไรรองท้องก่อน รถติดมากเลยเหรอ ขับรถดีๆ นะครับ แถมอีกฝ่ายก็เริ่มพูดเรื่องส่วนตัวกับเขามากขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องถามเอง อย่างเช่นเรื่องงานเลี้ยงรุ่นที่ตกลงจะไปเพราะเพื่อนชวน น้ำเสียงดีใจตอนเล่าทำให้เขาเป็นห่วงนิดหน่อย การอยู่กลุ่มเดียวกันไม่จำเป็นต้องสนิทเท่ากันทุกคน และหลายครั้งในกลุ่มเพื่อนมักจะมีคนหนึ่งที่สนิทน้อยที่สุด ในสถานการณ์นี้น่านนทีคือคนๆ นั้น แม้แต่กลุ่มเพื่อนของสิงหาเองก็มีเรื่องแบบนั้น ยิ่งตอนที่เขาคบกับพีท ความห่างเหินในกลุ่มก็ยิ่งมาก โบ้เป็นเพื่อนต่างคณะทำให้ไม่ค่อยได้เจอ ส่วนเต้ตอนแรกก็ยังดีๆ แต่พอเขาเริ่มทะเลาะกับพีทบ่อยเต้ก็เริ่มไม่ชอบพีท ถึงพีทจะมีเพื่อนสนิทอีกกลุ่มแต่งานของสิงหาทำให้มีเวลาว่างไม่มาก ถ้าว่างก็จะนัดเจอพร้อมๆ กัน ชวินที่เป็นคนกลางก็พลอยอึดอัด สถานการณ์แย่ๆ แบบนี้เกิดได้กับทุกคน อยู่ที่ว่าจะจัดการยังไง สิงหาพยายามประคับประคองความสัมพันธ์กับทุกคนให้ดีที่สุดเพราะทุกคนล้วนเป็นคนสำคัญ เพื่อนทุกคนก็ให้ความร่วมมือ ไม่มีการชวนกันไปไหนแล้วไม่ชวนอีกคนหรือห้ามอีกคนมา ทุกครั้งที่มีปัญหาก็จะพูดตรงๆ เพื่อเคลียร์ให้จบไม่ติดใจกัน มันไม่ได้ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินกว่าจะพยายาม แต่จากที่ฟังน่านนทีเล่า เหมือนจะไม่มีใครพยายามประสานความสัมพันธ์นี้เท่าไร แม้แต่ตัวน่านนทีเองก็อาจจะมีแค่การตั้งคำถามโดยไม่พยายามหาคำตอบและแก้ไขมัน จนเริ่มห่างเหินกันเหมือนทุกวันนี้
การติดต่อวัดหาฤกษ์สำหรับทำบุญขึ้นบ้านใหม่โจเป็นคนรับหน้าที่ โดยมีคำกำชับของน่านนทีที่ระบุให้หาวัดหรือพระที่มีของดีปราบผีเก่งๆ ตอนที่โจได้ยินแทบจะยกมือตบหัวลูกน้อง ถามไปถามมาถึงได้รู้ว่าปัญหาที่เกิดนอกจากโทรศัพท์วันนั้นยังมีอย่างต่อเนื่องและมากกว่าที่คิด คนที่ออกความเห็นให้ทำบุญก็คือลูกน้องตัวดีตรงหน้านี่เอง แต่จะให้เขาไปหาวัดดังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ง่าย เขาเลยเลือกวัดที่ใกล้ที่สุดเพราะเดินทางสะดวกและก็เป็นวัดดังที่คนนับถือมากอยู่แล้ว เป็นการตัดสินใจที่ไม่ค่อยได้รับการตอบรับจากคนที่นั่งข้างๆ
“เอาพระมาทั้งทีถ้าไล่ผีไม่ออกเราเสียชื่อเลยนะพี่โจ ปิงบอกให้หาวัดดังๆ หน่อย ไปไกลหน่อยก็ได้ไม่เป็นไรหรอก”
“ไอ้ปิง เราเป็นคอนเซียซไม่ใช่คนไล่ผีนะ จะมาเสียชื่ออะไร แล้ววัดนี้ก็ดังมันต้องมีดีบ้างสิ อย่าไปทำท่าขี้กลัวอย่างนี้ให้คุณสิงเห็นล่ะ เดี๋ยวเขาจะยิ่งคิดมาก บางทีมันอาจไม่มีอะไรก็ได้ ทำบุญสักหน่อยก็หาย”
“พี่โจก็พูดได้สิพี่ไม่ได้อยู่ห้องเขานี่ ปิงเห็นรูปถ่ายผี เอ้ย ไม่ใช่สิต้องรูปผีถ่าย มีตั้งหลายรูป คุณสิงตั้งกล้องถ่ายในห้องเลยนะแต่ปิงไม่กล้าดูหรอก เขาเจอมาหนักนะ เราต้องช่วยเขาสิพี่ ไหนตอนแรกบอกปิงว่าคอนเซียซต้องทำได้ทุกอย่างเพื่อความสุขของลูกบ้าน เนี่ย ลูกบ้านโดนผีหลอกก็ไม่เห็นช่วยได้เลย เอาพระมาหลอกคุณสิงทำบุญเฉยๆ มากกว่า”
“นี่ไอ้ปิง พระจริงนะเว้ยไม่ใช่พระปลอม พูดซะเสียหายกันหมด แล้วต่อให้ไปหาพระดังเรื่องปราบผีก็ไม่รู้จะช่วยได้จริงหรือเปล่า อาจมาหลอกคุณเขาเปล่า เราเป็นพุทธก็แก้แบบสายกลางไปก่อน ทำบุญให้ไปก่อนเผื่อเขาได้แล้วจะไปเกิด จบปัญหากันไป”
“แต่...”
“พอๆ ไม่ต้องพูด พี่ได้ฤกษ์มาแล้ว นิมนต์พระไว้แล้ว ศุกร์หน้า เลี้ยงเพล ไปบอกคุณสิงด้วย” โจพูดจบก็หันหลังหนี หยิบแฟ้มงานมานั่งอ่าน พยายามไม่สนใจเสียงบ่นพึมพำของคนอยากปราบผี เห็นท่าทางแบบนี้แล้วเขายิ่งนึกไม่ออกว่าอะไรทำให้ดาราหนุ่มหล่อขนาดนั้นมาสนใจได้ หรือว่าโดนของ
ยิ่งใกล้วันนัดเลี้ยงรุ่นน่านนทียิ่งตื่นเต้นและกังวล แต่ก็ไม่ยกเลิกแน่นอน เมื่อวันเสาร์มาถึงน่านนทีที่เพิ่งกลับมานอนเกือบเที่ยงก็รีบตื่นตั้งแต่ห้าโมงเย็น เตรียมชุดทำงานใส่กระเป๋าเพราะต้องเข้างานตอนห้าทุ่มครึ่ง ร้านที่จัดเลี้ยงเป็นร้านอาหารมีห้องคาราโอเกะหรืออยากฟังดนตรีสดก็มีเหมือนกัน แต่ทุกคนลงความเห็นให้จองห้องคาราโอเกะจะได้เป็นส่วนตัว เสียงดังได้ไม่ต้องเกรงใจใจ เขามาถึงก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง มีเพื่อนบางคนเริ่มมาถึง ชักชวนให้เข้าไปในงานด้วยกันแต่เขายืนยันจะรอเพื่อนในกลุ่มก่อน
“วันนี้นอนไม่กี่ชั่วโมงเอง คืนนี้ปิงจะไหวไหมเนี่ย” สิงหาเพิ่งกลับถึงห้องเลยโทรมาให้กำลังใจอีกฝ่าย เมื่อคืนน่านนทีแอบบ่นกับเขาว่าร้องเพลงไม่เป็น แต่เพื่อนในกลุ่มชอบ มีคาราโอเกะแบบนี้สงสัยมีแย่งไมค์กันแน่ๆ แต่เจ้าตัวก็กังวลว่าจะมีใครยื่นไมค์มาให้ร้องเหมือนกัน ถ้าปฏิเสธไม่รู้จะทำงานกร่อยหรือเปล่า หัวเล็กๆ ไม่รู้คิดอะไรฟุ้งซ่านไปหมด
“ไหวครับ แต่อาจงีบหลับสักชั่วโมง ไม่มีใครจับได้แน่นอน”
“จะออกจากงานกี่โมง ให้ผมไปรับดีไหม จะได้นอนบนรถด้วย”
“ไม่ต้องหรอก ปิงไปเองได้ เดี๋ยวนั่งบีทีเอสไปแป็บเดียวถึง”
“แน่ใจนะ ผมไปรอรับได้นะ ร้านที่ปิงไปผมก็รู้จัก”
“ไม่เอา ปิงกลับเอง คุณสิงห้ามมานะ”
“โอเคๆ แต่ถ้าเปลี่ยนใจโทรมาได้ตลอด ห้ามเกรงใจกัน”
“ได้ครับ งั้นแค่นี้ก่อนนะ เพื่อนปิงเดินมาแล้ว”
“ครับ ขอให้สนุกนะ”
“ขอบคุณครับ”
คำอวยพรของอีกสิงหาเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล รอยยิ้มที่มีเมื่อได้เจอเพื่อนๆ ตอนแรกเริ่มค่อยๆ ตกลงเมื่อบรรยากาศวันเก่าๆ เริ่มกลับมาอีกครั้ง แพนกับเป๊บคู่หนุ่มหล่อสาวสวยยังคงตัวติดกันเหมือนเดิม เพื่อนร่วมรุ่นแซวตั้งแต่ก้าวเข้างาน แต่เหมือนบรรยากาศระหว่างทั้งคู่จะแปลกๆ เป๊บค่อนข้างติดโทรศัพท์ ส่วนแพนก็นั่งกอดอกหรือไม่ก็หันมาคุยกับภัทร แน่นอนว่ากระซิบกันแค่สองคน น่านนทีพยายามปล่อยวางความรู้สึกโดดเดี่ยวทิ้งไป สนุกกับเพื่อนคนอื่น ใครถามอะไรก็ตอบหรือไม่ก็เป็นฝ่ายชวนเพื่อนที่นั่งใกล้ๆ คุย แต่บทสนทนาไม่ค่อยรื่นไหลเท่าไร ไม่นานก็หมดหัวข้อคุยเพราะส่วนใหญ่คุยกันแต่เรื่องสมัยเรียน กิจกรรมที่เคยร่วมกันทำในวันเก่าๆ ที่เขาแทบไม่เคยมีส่วนร่วม ครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง แถมมีลูกสามคนอายุใกล้ๆ กัน ค่าใช้จ่ายมันสูง คณะที่เขาเลือกเรียนมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด งานก็น้อย มีเวลาว่างช่วยงานที่บ้านได้ เขารู้ว่าเงินมันหายากและพ่อแม่ก็ลำบากอยู่ เวลาใครชวนไปเที่ยวเขาก็เลยไม่ค่อยไป เพื่อนในห้องเคยนัดไปเที่ยวทั้งห้องที่เวียดนามเขาก็ไม่ไป หรือไปแค่ต่างจังหวัดแบบเหมารถค้างคืน เขาก็ไม่ได้ไป มันไม่ได้ผิดที่เพื่อนหรอกที่จะสนิทกันอยู่สองสามคน เขาเองที่ทำตัวแปลกแยก แต่มันก็ผ่านมาถึงตอนนี้ แก้ไขอะไรไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยมันไปอย่างที่สิงหาบอก เพียงแต่...เสียดายเหมือนกันนะ
งานเริ่มไปได้เกือบสามทุ่มน่านนทีก็ขอตัวกลับก่อนด้วยข้ออ้างว่าต้องไปเข้างานต่อ แต่เพื่อนก็ไม่ถามอยู่ดีว่าเข้างานกี่โมง ภัทรกับแพนเดินออกมาส่งเขาหน้าร้าน แต่เหมือนหาโอกาสออกมาคุยกันลับตาคนอื่นมากกว่า เขาเดินนำจนพ้นร้านมาถึงริมถนน หันไปมองเพื่อนสองคนเดินควงแขนคุยกันสีหน้าเคร่งเครียด ภัทรเป็นคนที่หันมาเห็นว่าเขามองอยู่
“ไปแล้วนะ กลับเข้าไปเถอะ เดี๋ยวเรายืนเรียกรถตรงนี้แหละ”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวยืนเป็นเพื่อน แกน่าจะอยู่นานๆ หน่อย ทีหลังลางานไปเลยจะได้อยู่ดึกๆ กัน เผื่อไปเที่ยวไหนต่อ”
“ไว้คราวหน้านะ ไปเถอะ เดี๋ยวยืนคนเดียวได้ ยุงกัดเปล่าๆ”
“เออๆ โชคดีนะแก ไว้เจอกันใหม่”
“บายนะปิง ยังไม่ค่อยได้คุยกันเลยว่ะ ไว้นัดเจอกัน”
“เออ บ๊ายบาย” เขาโบกมือลาเพื่อนแล้วหันหลังให้ เตรียมมองหารถแท็กซี่ที่ผ่านมา ไม่ได้สนใจว่าเพื่อนจะเดินไปหรือยัง
ปริ๊น ปริ๊น
เสียงแตรรถดังมาจากคันที่กำลังขับออกจากร้านพอดี ทั้งเขาและเพื่อนรีบหลบให้พ้นทางทั้งที่ความจริงก็ไม่ได้ขวางอยู่แล้ว ปากที่หุบยิ้มไปนานแล้วเม้มแน่น คนยิ่งหงุดหงิดยังมาบีบแตรใส่อีก แถมยังจอดแช่ไม่ขับไปพ้นๆ สักที เขาพยายามชะเง้อผ่านหน้ารถมองหาแท็กซี่ ถ้าเผื่อมีคันว่างๆ มาตอนนี้แล้วคันนี้พุ่งออกไปพอดี แท็กซี่ไม่จอดเขาจะทำยังไง กำลังสองจิตสองใจว่าจะเดินห่างๆ ไปอีกหน่อยดีหรือเปล่า โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นซะก่อน เขาหยิบมาดูเห็นชื่อคนโทรรีบหันขวับมองเพื่อนที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว คงไม่เห็นรูปใช่ไหม ไม่น่าเอารูปที่ถ่ายด้วยกันบันทึกตรงเบอร์เลย
“ครับคุณสิง”
“คุยกับเพื่อนเสร็จหรือยังครับ ผมจอดนานไม่ได้นะ”
“ห๊ะ อะไรนะครับ”
“ปิงลาเพื่อนเสร็จยัง ผมจอดนานไม่ได้มีรถกำลังจะออก”
“อย่าบอกนะว่าที่จอดหน้าปิงนี่รถคุณ”
“ใช่สิครับ ขึ้นรถเร็วๆ เลย มีรถมาจ่อแล้ว”
“อ้อ ครับๆ ไปนะพวกแก” เขารีบหันไปลาเพื่อนที่ยังยืนคอยอยู่ แล้วรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับทันที เปิดเร็วปิดเร็ว ไฟรถติดแป๊บเดียวน่าจะยังไม่ทันเห็นว่าใครขับ น่านนทีรีบเหลียวไปมองเพื่อนเห็นทั้งคู่มองเข้ามาในรถด้วยความสงสัย แต่คงไม่ทันเห็นอะไรหรอก คงงงว่ามีคนมารับแล้วจะยืนโบกรถทำไมมากกว่า
“คุณสิงมาได้ไง แล้วมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”
“คุยกับปิงเสร็จก็กินข้าวแล้วขับมาเลย โชคดีได้ที่จอดใกล้ทางออกพอดี ถ้าไม่เห็นปิงนี่คงรอเก้อเลย”
“ปิงบอกว่ากลับเองได้ไงครับ คราวหลังคุณสิงอย่าทำอีกนะ มันทำให้ปิงรู้สึกไม่ดีเลย” น่านนทีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนสิงหาเริ่มหุบยิ้มลง นึกทวนคำพูดและท่าทางของอีกฝ่าย เป็นครั้งแรกที่เห็นน่านนทีโกรธ
“ขอโทษนะครับ สัญญาว่าต่อไปจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีก ไม่โกรธนะ”
“ไม่ได้โกรธนะแค่ไม่พอใจนิดหน่อย มันดูเหมือนปิงไม่ได้เรื่องต้องให้คนอื่นคอยช่วยตลอด ปิงไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้”
“โอเคครับ ผมเข้าใจแล้ว จริงๆ แค่เป็นห่วงเฉยๆ แล้วก็ว่างด้วย ถ้าพรุ่งนี้มีงานต่อให้ห่วงก็คงไม่ออกมาหรอกครับ สัญญาว่าครั้งหน้าจะไม่ทำอะไรตามใจแบบนี้อีก ผมกลัวมาดักรอเก้อเหมือนกัน”
“ขอบคุณนะครับ อย่าโกรธปิงนะที่พูดแบบนี้ ปิงชอบที่มีคนคอยห่วงแต่ไม่ชอบทำตัวให้คนอื่นห่วง คราวหน้าคุณสิงแค่โทรมาก็พอนะครับ”
“ได้ ดีกันแล้วนะ”
“ครับ เพิ่งสามทุ่มเอง ถึงคอนโดฯ ก่อนเวลาเยอะแน่เลย ปิงจะได้งีบก่อนสักชั่วโมง”
“จะไปแอบงีบตรงไหน ไปห้องผมไหม”
“ไม่ดีหรอกครับ ขึ้นห้องลูกบ้านบ่อยๆ เดี๋ยวโดนร้องเรียน ปิงนอนห้องพักพนักงานได้ มีเสื่อของพี่แม่บ้านเอามาปูก็นอนได้แล้ว”
“ยังไม่ถึงเวลางานนี่ครับ นอนห้องผมสบายกว่า นะ”
“ไม่เอา”
“ไม่เอาเพราะเกรงใจหรือกลัวผี”
“คุณสิงน่ะ! พูดอย่างนี้แล้วใครจะอยากไปล่ะ”
“ไปเถอะครับ นะ ผมอยากอยู่ด้วยนานๆ ไหนบอกจะให้โอกาสกันไง”
“ก็...”
“นะครับ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวผมนั่งเฝ้ารับรองความปลอดภัยให้ ไปนะ”
“ก็ได้ครับ” น่านนทีตอบรับเบาๆ รู้สึกเหมือนแพ้ทางยังไงไม่รู้ น้ำเสียงนุ่มๆ อ้อนๆ แบบนี้ทำเอามือกระตุกอยากหาพวงมาลัยมาคล้องคอให้จริงๆ
น่านนทีกำลังนั่งคิดอย่างหงุดหงิด ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เมื่อคืนก่อนไม่น่าขึ้นไปนอนบนห้องสิงหาตามคำชวนเลย ถามว่าเจอผีหรือเปล่า คำตอบคือไม่ แต่น่ากลัวกว่าและจัดการยากกว่า นั่นก็คือ...ผู้จัดการคอนโดฯ หลังจากนอนพักผ่อนวันอาทิตย์แล้วตื่นมาทำงานเช้าวันจันทร์อย่างสดชื่น รอยยิ้มเบิกบานที่มอบให้ลูกบ้านสุดหล่อพร้อมปิ่นโตยามเช้าเป็นรอยยิ้มครั้งสุดท้ายของวัน เพราะตอนสิบโมงอยู่ดีๆ ผู้จัดการก็โทรมาเรียกไปพบที่ห้องทำงาน ถึงผู้จัดการจะค่อนข้างใจดีแต่ก็เข้มงวดมาก ข้อห้ามสำหรับพนักงานต่างๆ ต้องทำให้ได้ ห้ามฝ่าฝืน ที่เขาบอกบ่อยๆ ว่าขึ้นห้องลูกบ้านไม่ได้เพราะกลัวโดนร้องเรียนก็ไม่ใช่ข้ออ้าง วันนี้เขาโดนร้องเรียนจริงๆ
“หน้าหงิกทั้งวันเลย อย่าไปคิดมาก เขาก็แค่เตือนๆ ปิงก็ไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดสักหน่อย” ออมเอ่ยปลอบเมื่อรู้ว่าเพื่อนโดนเรียกไปตักเตือน
“ก็รู้ แต่ไม่ชอบคำว่าหาผลประโยชน์จากหน้าที่นี่ เราไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ แม่ง โคตรเซ็งเลย” จริงๆ ในใบร้องเรียนยังมีคำว่าพฤติกรรมไม่เหมาะสมด้วย รวมๆ ทั้งสองข้อหายิ่งทำให้หงุดหงิด
“แล้วใครร้องเรียนไปแกรู้ไหม พวกห้องนิติฯ น่ะชัวร์แต่ใครวะ ดึกขนาดนั้นยังไปแอบเห็นอีก”
“น้าสิทธิ์บอกว่าคืนนั้นพวกพี่สากินเลี้ยงกันที่ร้านหน้าซอยเนี่ย น้าเขาบอกว่าจอดรถทิ้งไว้แล้วนั่งคันอื่นออกไปกัน คงเห็นตอนปิงให้คุณสิงแวะร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย มันติดกับร้านเหล้าใช่ไหมล่ะ คุณสิงก็ลงมายืนด้วย ซวยโคตร”
“ยังดีที่มันไม่รู้ว่าแกขึ้นไปนอนบนห้องเขาด้วย ไม่งั้นคงยิ่งกว่านี้”
“ที่โดนเรียกเพราะเรื่องขึ้นห้องนี่แหละ ไม่รู้ว่ารู้ได้ไงเหมือนกัน สงสัยแอบตามเข้ามาด้วย ถ้าเห็นแค่ไปซื้อของข้างนอกก็ร้องเรียนไม่ได้หรอก นี่คำร้องเหมือนกล่าวหาลอยๆ ว่าให้ลูกบ้านหิ้วขึ้นห้องอะ ผู้จัดการเขาเลยถามอ้อมๆ ไงว่าสนิทสนมแค่ไหน แล้วก็เตือนว่าถึงสนิทก็อย่าขึ้นห้องลูกบ้านในเวลางานนะ” น่านนทีบ่นต่ออีกนิดหน่อยก็รีบปรับสภาพจิตใจให้กลับมาแจ่มใสเพื่อรับมือกับงานต่อไป แต่ก็เหมือนความวุ่นวายยังไม่จบสิ้น เพื่อนที่เขาเริ่มปลงว่าจะห่างๆ กันไปกลับเป็นฝ่ายติดต่อมาด้วยข้อความชวนให้โมโห
‘วันนั้นใครมารับปิงน่ะ หน้าคุ้นๆ เหมือนดาราเลย’
เขาพยายามคิด ว่าช่างมัน ถือว่าเป็นวันแย่ๆ วันหนึ่งก็พอ โดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่คิดตรงกับใจสิงหาตอนนี้เหมือนกัน
—¤÷(`[ ♌ ♡ ▽ ]´)÷¤—
ถามว่าติดกล้องช่วยอะไรได้ไหม คำตอบคือ...ช่วยให้หลอนกว่าเดิม
แต่ที่แน่ๆ คือ เขาจะจีบกันแบบเป็นทางการกันแล้วค่ะคุณณณณณณณณ
เจอกันตอนหน้าค่าาาา